ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1347 จากทั้งหมด 6214 หน้า แสดงรายการที่ 26921 - 26940 จากข้อมูลทั้งหมด 124262 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
26921 | การจัดทำความตกลงในการเป็นประเทศเจ้าภาพจัดการประชุมสมัชชาแห่งภาคีสถาบันป้องกันและปราบปรามการทุจริตระหว่างประเทศ (International Anti - Corruption Commission : IACA) ครั้งที่ 2 | ปช | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหนังสือแลกเปลี่ยนเพื่อจัดทำความตกลงในการเป็นประเทศเจ้าภาพจัดการประชุมสมัชชาแห่งภาคี สถาบันป้องกันและปราบปรามการทุจริตระหว่างประเทศ (International Anti-Corruption Commission : IACA) ครั้งที่ ๒ ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๙-๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพมหานคร (United Nations Conference Centre) และร่างหนังสือตอบรับของฝ่ายไทย ๑.๒ อนุมัติให้ผู้แทนไทยประจำ IACA เป็นผู้ลงนามในหนังสือตอบรับของฝ่ายไทย ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขความตกลงฯ ดังกล่าว ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้สำนักงาน ป.ป.ช. ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๒. ให้สำนักงาน ป.ป.ช. ปฏิบัติเกี่ยวกับการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) โดยหากผู้ลงนามมิใช่นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะต้องได้รับหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ที่ออกโดยกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม) ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
|
|||||||||||||||||||||||||||
26922 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณค่าใช้จ่ายในการปรับเงินเดือนเจ้าหน้าที่ (มูลนิธิโครงการหลวง) | กร | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามแนวทางและกรอบวงเงินงบประมาณค่าใช้จ่ายในการปรับเงินเดือนเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิโครงการหลวง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเสนอ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับเพิ่มค่าจ้างให้แก่เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิโครงการหลวง ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณภายในกรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
26923 | การลงนามหนังสือแสดงเจตจำนงว่าด้วยการหารือเชิงนโยบายด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมระหว่างสหภาพยุโรปกับราชอาณาจักรไทย | อก | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การลงนามหนังสือแสดงเจตจำนงว่าด้วยการหารือเชิงนโยบายด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ระหว่างสหภาพยุโรปกับราชอาณาจักรไทย (Letter of Intent on an SME Policy Dialogue between the European Union and the Kingdom of Thailand) ในระหว่างการเยือนราชอาณาจักรไทยของนาย Antonio Tajani รองประธานคณะกรรมาธิการยุโรปและกรรมาธิการยุโรปด้านอุตสหากรรมและกิจการวิสาหกิจ ในวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ โดยหนังสือแสดงเจตจำนงฯ มีสาระมุ่งเน้นการหารือเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลในด้านนโยบายการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการส่งเสริมให้เกิดพันธมิตรทางธุรกิจระหว่างวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ทั้งนี้ หากก่อนการลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กระทรวงอุตสาหกรรม หารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางในการสนับสนุนและส่งเสริมให้กลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ที่มีศักยภาพของต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทยให้มากยิ่งขึ้น ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรส่งเสริมบทบาทการมีส่วนร่วมของผู้ประกอบการภาคเอกชนด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในความร่วมมือระหว่างสหภาพยุโรปกับราชอาณาจักรไทยมากขึ้น เพื่อนำไปสู่การเชื่อมโยงทางธุรกิจที่มีศักยภาพระหว่างกัน โดยให้ความสำคัญกับการติดตามประเมินผลเพื่อนำไปสู่การขยายความร่วมมือที่จะมีมากขึ้นในอนาคต ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
26924 | คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเกี่ยวกับคดีปราสาทพระวิหาร | นร | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ เรื่อง คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเกี่ยวกับคดีปราสาทพระวิหาร ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ทั้งนี้ เป็นไปตามนัยมาตรา ๘ วรรคสอง ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ ดังนี้
๑. ให้เสนอเรื่อง คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเกี่ยวกับคดีปราสาทพระวิหาร ให้ประธานรัฐสภาขอเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาตามมาตรา ๑๗๙ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ๒. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และคณะดำเนินคดีปราสาทพระวิหารของประเทศไทย รายงานคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเกี่ยวกับคดีปราสาทพระวิหาร สรุปได้ว่า คำพิพากษาของศาลฯ ให้ความสำคัญกับการที่ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาจะต้องเจรจากัน โดยมีประเด็นหลัก ๆ ดังนี้ ๒.๑ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศรับฟังข้อต่อสู้ของฝ่ายไทย และได้ยืนยันที่จะตัดสินภายในขอบเขตของคำพิพากษาเดิมเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ๒.๒ ศาลฯ รับฟังข้อต่อสู้ของฝ่ายไทย โดยยืนยันว่าคำพิพากษาเดิมเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ไม่ได้ตัดสินเกี่ยวกับประเด็นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งหมายความว่าศาลฯ ไม่รับพิจารณาข้อเรียกร้องของกัมพูชาเหนือพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตร และที่สำคัญศาลฯ ไม่ได้ตัดสินว่าแผนที่มาตราส่วน ๑ ต่อ ๒๐๐,๐๐๐ ผูกพันไทย โดยผลของคำพิพากษาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ๒.๓ ศาลฯ รับตีความเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับพื้นที่บริเวณใกล้เคียงปราสาทพระวิหาร (vicinity) ตามคำพิพากษาเดิมเมื่อปี ๒๕๐๕ โดยอธิบายว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ขนาดเล็กมาก ซึ่งกำหนดขึ้นตามสภาพภูมิศาสตร์ที่ประกอบขึ้นเป็นยอดเขาพระวิหาร โดยไม่ได้กำหนดเส้นเขตแดน และที่สำคัญไม่รวมพื้นที่ภูมะเขือ ซึ่งในส่วนของพื้นที่บริเวณใกล้เคียงปราสาทนี้ ทั้งสองฝ่ายจำเป็นต้องหารือกันในรายละเอียดต่อไปโดยกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ๒.๔ ศาลฯ ได้แนะนำให้ทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญกับการที่จะต้องร่วมมือกันอนุรักษ์และพัฒนาปราสาทพระวิหารในฐานะที่เป็นมรดกโลก ๓. ให้คณะที่ปรึกษากฎหมายศึกษารายละเอียดและสาระสำคัญของคำพิพากษาเพื่อนำข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะไปประกอบการพิจารณาดำเนินการของรัฐบาลต่อไป ต่อจากนั้น ฝ่ายไทยและกัมพูชาจะต้องเจรจาหารือภายใต้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่เพื่อให้ได้ข้อยุติที่เป็นที่ยอมรับของทั้งสองฝ่าย โดยจะต้องคำนึงถึงขั้นตอนและกระบวนการตามกฎหมาย ตลอดจนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยด้วย ๔. ให้ฝ่ายทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงยังคงรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณชายแดน รักษาอธิปไตยและดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ เพื่อสันติภาพ สันติสุข และความสงบเรียบร้อยดังที่ได้ปฏิบัติมาโดยตลอด
|
|||||||||||||||||||||||||||
26925 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามหนังสือแสดงเจตจำนงว่าด้วยการยกระดับความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการต่างประเทศและพาณิชย์แห่งนิวซีแลนด์ | กก | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๑.๑ การจัดทำและลงนามหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent : LOI) ว่าด้วยการยกระดับความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการต่างประเทศและพาณิชย์แห่งนิวซีแลนด์ โดยหนังสือแสดงเจตจำนงฯ มีสาระสำคัญคือ พัฒนาและส่งเสริมความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว อำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยวและส่งเสริมการเดินทางให้กับประชาชนของทั้งสองประเทศ สนับสนุนและแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งสถิติและสื่อประชาสัมพันธ์ด้านการท่องเที่ยว ส่งเสริมและยกระดับการท่องเที่ยวและกิจกรรมของทั้งสองประเทศ แลกเปลี่ยนทางวิชาการ การสัมมนา และการประชุมเชิงปฏิบัติการด้านการบริการและการท่องเที่ยว ตลอดจนแลกเปลี่ยนความเห็นด้านการท่องเที่ยวภายใต้การสนับสนุนของคณะกรรมการร่วมระดับรัฐมนตรีไทย-นิวซีแลนด์ ทั้งนี้ หากก่อนการลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๑.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงว่าด้วยการยกระดับความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการต่างประเทศและพาณิชย์แห่งนิวซีแลนด์ (โดยระบุตำแหน่ง) ในโอกาสการเยือนไทยของนายจอห์น คีย์ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวนิวซีแลนด์ ระหว่างวันที่ ๑๗-๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำในหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ฉบับภาษาอังกฤษให้ครบถ้วน ถูกต้องตรงตามฉบับภาษาไทย ก่อนการลงนามต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
26926 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสะพานปลา (จำนวน 6 คน 1. นายภาณุ อุทัยรัตน์ ฯลฯ) | กษ | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสะพานปลา จำนวน ๖ คน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๖) เป็นต้นไป โดยกรรมการในลำดับที่ ๑, ๒ และ ๓ เป็นบุคคลที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังจัดทำขึ้นตามมาตรา ๑๒/๑ แห่งพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๑๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๕๐ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. นายภาณุ อุทัยรัตน์ ประธานกรรมการ ๒. รองศาสตราจารย์ นาวาอากาศเอก ประสงค์ ปราณีตพลกรัง กรรมการ ๓. นายนิพนธ์ ฮะกีมี กรรมการ ๔. พลตำรวจโท ระพีพัฒน์ ปาละวงศ์ กรรมการ ๕. นายนิวัติ สุธีมีชัยกุล กรรมการ ๖. นายอัศม์เดช วานิชชินชัย กรรมการ
|
|||||||||||||||||||||||||||
26927 | การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากพายุใต้ฝุ่นไห่เยี่ยน (Haiyan) ในสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ | นร04 | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ประสบกับภัยพิบัติรุนแรงมากจากพายุไต้ฝุ่นไห่เยี่ยน (Haiyan) ซึ่งได้พัดขึ้นฝั่งทางตอนกลางของประเทศเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีประชาชนเสียชีวิตและไร้ที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก สมควรที่ประเทศไทยจะให้การช่วยเหลือแก่สาธารณรัฐฟิลิปปินส์เป็นการด่วนในฐานะมิตรประเทศ จึงมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการให้ความช่วยเหลือแก่สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ต่อไป โดยอาจขอความร่วมมือจากภาคเอกชนร่วมดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
26928 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นายวีระพล ธีระพันธ์เจริญ) | สธ | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นายอภิชาต อภิวัฒนพร ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลสกลนคร สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสกลนคร สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ ๒. นายวีระพล ธีระพันธ์เจริญ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) กลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๖
|
|||||||||||||||||||||||||||
26929 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร04 | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||
26930 | รายงานผลการกู้เงินในรูป Euro Commercial Paper (ECP) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | กค | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการกู้เงินในรูป Euro Commercial Paper (ECP) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ สรุปได้ ดังนี้
๑. ณ สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ กระทรวงการคลังไม่มียอดเงินกู้คงค้างภายใต้ ECP Porgramme ๒. ในช่วงไตรมาสที่ ๑-๔ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ กระทรวงการคลังไม่มีการกู้เงินใหม่ โดยทำให้ ณ สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ กระทรวงการคลังไม่มียอดเงินกู้คงค้างภายใต้ ECP Porgramme ดังนั้น กระทรวงการคลังสามารถเบิกใช้เงินกู้ภายใต้ ECP Porgramme ได้จำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ
|
|||||||||||||||||||||||||||
26931 | การปรับปรุงข้อเสนอแผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันทีของจังหวัดพิจิตร ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดกำแพงเพชร วันที่ 9 - 10 มิถุนายน 2556 | นร11 | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนงาน/โครงการ ที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันทีของจังหวัดพิจิตร จำนวน ๖ โครงการ วงเงินรวม ๑๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการขุดลอกคลองศิริวัฒน์ (บึงนาราง-บางลาย) วงเงิน ๕ ล้านบาท โครงการก่อสร้างถนนลาดยางสายเนินสะอาด ต.แหลมรัง อ.บึงนาราง จ.พิจิตร-นาตาเซา ต.วังชะโอน อ.บึงสามัคคี จ.กำแพงเพชร วงเงิน ๑๘ ล้านบาท โครงการระบบส่งน้ำบ้านไทรโรงโขน-บ้านบางไผ่-บ้านดงตะขบ วงเงิน ๒๐ ล้านบาท โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำน่าน ต.ไผ่หลวง อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร วงเงิน ๑๒ ล้านบาท โครงการระบบส่งน้ำสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าจากแม่น้ำน่านไป ต.ท่าหลวง วงเงิน ๑๕ ล้านบาท และโครงการขุดลอกคลองห้วยน้อยเชื่อมโครงการท่อทองแดงผันน้ำจากแม่น้ำปิงลงสู่แม่น้ำยม วงเงิน ๓๐ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณจัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาวงเงินงบประมาณที่เหมาะสม โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่ได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีจากกรมบัญชีกลางแล้ว ๑.๒ ให้จังหวัดพิจิตรรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับกรณีโครงการใดที่หน่วยงานท้องถิ่นต้องรับผิดชอบในการบริหารจัดการและบำรุงรักษาภายหลังจากก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ ให้จังหวัดประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนก่อนขอรับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณ เพื่อประกอบการดำเนินโครงการต่อไป ๒. คณะรัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติมว่า กรณีการพัฒนาหรือฟื้นฟูแหล่งน้ำในพื้นที่สำคัญที่ถูกบุกรุกจนไม่เหลือสภาพธรรมชาติเดิม จำเป็นจะต้องบูรณาการการดำเนินการของหลายหน่วยงาน เช่น การพัฒนาแหล่งน้ำบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร หรือแหล่งน้ำอื่น ๆ ควรจัดทำเป็นแผนพัฒนาระยะยาวที่เป็นที่ยอมรับของทุกภาคส่วน และมีคณะกรรมการกำกับแผนและโครงการในระดับพื้นที่เป็นเจ้าภาพหลัก เพื่อให้เป็นกลไกประสานงานกับหน่วยงานระดับกระทรวงที่มีความเป็นเอกภาพ มีความสอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่และสามารถใช้จ่ายเงินงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในกรณีการพัฒนาแหล่งน้ำบึงสีไฟ ให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยรับไปประสานงานกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาจัดทำโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร ในระยะยาวให้สามารถฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศให้มีความยั่งยืนและสอดคล้องกับสภาพปัญหาของแหล่งน้ำดังกล่าวต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
26932 | ขออนุมัติแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์ราชอาณาจักรสวีเดนประจำเมืองพัทยา (นายชัชวาล ศุภชยานนท์) | กต | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายชัชวาล ศุภชยานนท์ ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์ราชอาณาจักรสวีเดน ประจำเมืองพัทยาคนใหม่ โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมเมืองพัทยา สืบแทนนายสัญญา วีระไวทยะ ซึ่งเกษียณอายุ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
26933 | การบังคับใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าฉบับใหม่ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี | พณ | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในสารัตถะของร่างระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าฉบับใหม่ หรือ Decision to Endorse the Amendment of Appendix 1 [Operational Certification Procedures (OCP) for Rules of Origin] ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง สำหรับร่างระเบียบปฏิบัติฯ มีวัตถุประสงค์อำนวยความสะดวกทางการค้ามากขึ้น โดยให้มีการปรับเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติ แต่ไม่เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญตามพันธกรณีความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ได้แก่ ๑.๑ การขยายอายุหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าจาก ๖ เดือน เป็น ๑๒ เดือน ๑.๒ การอนุญาตให้ผู้ส่งออกสามารถออกใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าก่อนเวลาที่ส่งออกจากเดิมที่อนุญาตให้ออกใบรับรองได้เฉพาะเวลาที่ส่งออกหรือหลังส่งออก ๑.๓ การอนุญาตให้การแก้ไขใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าที่ผิดพลาด โดยการขีดฆ่าข้อความที่ไม่ต้องการและเพิ่มเติมข้อความที่ถูกต้องหรือออกใบรับรองฉบับใหม่ จากเดิมที่ให้แก้ไขจากฉบับเดิมเท่านั้น ๑.๔ การอนุญาตให้ไม่ต้องระบุราคาสินค้าที่ส่งมอบ ณ ท่าเรือ (Free On Board : FOB) [ยกเว้นกรณีที่ใช้เกณฑ์สัดส่วนมูลค่าการผลิตในภูมิภาค (Regional Value Content) ต้องระบุราคา FOB] จากเดิมที่ต้องระบุว่า FOB ทั้งนี้ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้ผู้ส่งออกในกรณีที่ไม่ต้องการเปิดเผยราคาของผู้ขายหรือผู้ผลิต ๒. เห็นชอบให้กรมการค้าต่างประเทศและกรมศุลกากรดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ร่างระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ ๓. เห็นชอบให้กระทรวงพาณิชย์ประสานกระทรวงการต่างประเทศแจ้งประเทศภาคีความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลีว่า ไทยพร้อมที่จะดำเนินการบังคับใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าฉบับใหม่หลังจากที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินกระบวนการภายในแล้ว ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ) และกระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการไทยทราบถึงระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าฉบับใหม่ดังกล่าว เพื่อป้องกันปัญหาในทางปฏิบัติ รวมทั้งสนับสนุนให้มีการใช้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลีเพิ่มมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
26934 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. .... ของวุฒิสภา | สว | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. .... ของวุฒิสภา พร้อมผลการพิจารณาตามข้อสังเกตดังกล่าวของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยในส่วนข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ในการพิจารณาร่างกฎหมายที่เสนอโดยประชาชนตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ รัฐสภาควรให้ความสำคัญ จึงสมควรที่จะได้รับการพิจารณาบรรจุวาระโดยเร็วและมีการพิจารณาอย่างต่อเนื่องในการจัดทำเป็นกฎหมาย ในกรณีที่ร่างพระราชบัญญัติที่เสนอนั้นเกี่ยวด้วยการเงิน ซึ่งประธานสภาผู้แทนราษฎรจะต้องส่งร่างพระราชบัญญัตินั้นต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้คำรับรองก่อนนั้น ในการพิจารณาให้คำรับรองให้นายกรัฐมนตรีคำนึงถึงความรวดเร็วและความสำคัญของร่างพระราชบัญญัติที่ประชาชนเข้าชื่อเสนอ นอกจากนี้ หากมีการตั้งคณะกรรมาธิการร่วมกันของทั้งสองสภาเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายที่เสนอโดยประชาชน ควรเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณาร่างกฎหมายที่เสนอโดยประชาชน ควรเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนั้น ๆ ด้วย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมกระบวนการการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย ๒. เนื่องจากสภาพัฒนาการเมืองมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนการเข้าชื่อเสนอกฎหมายของประชาชน ดังนั้น รัฐบาลควรพิจารณาจัดให้มีมาตรการสนับสนุนการดำเนินการขององค์กรดังกล่าวในด้านต่าง ๆ อย่างเพียงพอและเหมาะสมกับภารกิจตามพระราชบัญญัตินี้ ๓. โดยที่ได้มีการกำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นหน่วยงานอีกหน่วยหนึ่งที่ให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับการเข้าชื่อเสนอกฎหมายของประชาชน ในการดำเนินการจัดให้มีการรวบรวมรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งในการเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามพระราชบัญญัตินี้ จึงเป็นการสมควรที่คณะกรรมการการเลือกตั้งจะได้มีบทบาทเกี่ยวกับการให้ความรู้ความเข้าใจและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบเกี่ยวกับกระบวนการการมีส่วนร่วมทางการเมืองผ่านการเสนอร่างกฎหมายและสาระสำคัญของร่างกฎหมาย เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนเห็นความสำคัญและส่งเสริมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการการมีส่วนร่วมทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยมากขึ้น ๔. สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายและหน่วยงานอื่นที่มีหน้าที่ในการช่วยเหลือจัดทำร่างกฎหมายให้แก่ประชาชน ซึ่งตามพระราชบัญญัตินี้กำหนดให้เป็นหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือในการจัดทำร่างกฎหมายที่ประชาชนจะเสนอต่อประธานรัฐสภา ในการนี้ เพื่อให้ประชาชนทราบถึงบทบาทและอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานและสามารถขอรับความช่วยเหลือได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว สมควรที่หน่วยงานดังกล่าวจะได้มีการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่วิธีการในการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนทั่วไป ๕. ในกรณีที่ร่างกฎหมายใดที่เสนอให้รัฐสภาพิจารณา ทั้งที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง หากร่างกฎหมายนั้นมีสาระสำคัญกระทบซึ่งสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเป็นสำคัญ สมควรที่จะได้มีการเปิดโอกาสหรือจัดให้ประชาชนหรือผู้ซึ่งได้รับผลกระทบได้แสดงความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะในร่างกฎหมายนั้น เพื่อนำไปเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
26935 | สรุปผลการเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารของยูเนสโก ครั้งที่ 192 | ศธ | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารของยูเนสโก ครั้งที่ ๑๙๒ และการหารือระดับทวิภาคี ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ ๒๘ กันยายน-๔ ตุลาคม ๒๕๕๖ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมเต็มคณะ โดยกล่าวถึงนโยบายของรัฐบาลไทยที่ได้กำหนดให้การจัดการศึกษาเป็นวาระแห่งชาติ พร้อมทั้งส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีบทบาทสำคัญในการร่วมผลิตบุคลากรตามความต้องการของตลาดแรงงาน และให้มีการเพิ่มสัดส่วนผู้เรียนในสายอาชีวศึกษาเมื่อเปรียบเทียบกับสายสามัญ นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการจะได้ร่วมมือกับองค์การยูเนสโกจัดการประชุมระดับภูมิภาคและระดับโลกในประเทศไทย ได้แก่ การประชุมระดับโลกว่าด้วยสื่อและความเสมอภาคทางเพศ ระหว่างวันที่ ๒-๔ ธันวาคม ๒๕๕๖ การประชุมว่าด้วยความเป็นพลเมืองโลก ระหว่างวันที่ ๒-๕ ธันวาคม ๒๕๕๖ และการประชุมในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกว่าด้วยการจัดการศึกษาเพื่อปวงชน ในช่วงกลางปี ๒๕๕๗ ๒. ที่ประชุมฯ รับทราบการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้ ๕ สาขาหลัก ของยูเนสโก ได้แก่ สาขาการศึกษา สาขาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ สาขาสังคมและมนุษยศาสตร์ สาขาวัฒนธรรม และสาขาสื่อสารมวลชน โดยการดำเนินโครงการในภาพรวมจะเน้นความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ๆ และเพิ่มเครือข่ายความร่วมมือเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ทั้งนี้ องค์การยูเนสโกได้ใช้เงินงบประมาณปกติเพื่อดำเนินการในโครงการต่าง ๆ ร้อยละ ๗๓ คือ ๓๗๗.๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากที่ตั้งไว้ที่ ๕๑๗.๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ๓. ที่ประชุมฯ ได้มีการเลือกตั้งผู้อำนวยการใหญ่ของยูเนสโก ซึ่งผลการลงคะแนนเลือกตั้งปรากฏว่า นาง Irina Gueorguieva Bokova ชาวบัลแกเรีย เป็นผู้ชนะการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโก เป็นสมัยที่สอง ๔. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้เดินทางไปเยี่ยมนักเรียนโครงการ ๑ อำเภอ ๑ ทุน รุ่นที่ ๓ จำนวน ๔๑ คน ณ สถาบันเทคโนโลยีอุดมศึกษา (Institute Universitaire de Technologie : IUT) มหาวิทยาลัย Le Mans ซึ่งขณะนี้ได้มีการจัดเตรียมให้นักเรียนเหล่านี้เข้าศึกษาหลักสูตรเตรียมความพร้อมด้านภาษาและวิชาการ ณ ศูนย์ภาษา สังกัดสถาบัน IUT มหาวิทยาลัย Le Mans
|
|||||||||||||||||||||||||||
26936 | รายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2556 เกี่ยวกับการปรับปรุงการให้บริการรถโดยสารประจำทางรายสายของ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง รายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๓ ของการรถไฟแห่งประเทศไทยและองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ) เกี่ยวกับการปรับปรุงการให้บริการรถโดยสารประจำทางรายสายขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การนำระบบบริหารงานคุณภาพ ISO 9001 : 2008 มาใช้ในทุกสายการเดินรถ ปัจจุบัน ขสมก. ได้รับใบรับรองคุณภาพ ISO 9001 : 2008 จากสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ (สรอ.) ทุกสายเดินรถ ๒. การดำเนินการตามโครงการขันน็อตของกระทรวงคมนาคม ๒.๑ โครงการซ้ายตลอดจอดทุกป้าย สร้างวินัยจราจร วัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มคุณภาพการให้บริการ ลดจำนวนเรื่องร้องเรียน และการกระทำผิดกฎหมายจราจรของพนักงานขับรถโดยสาร ๒.๒ โครงการบริการดีมีน้ำใจ สร้างความพึงพอใจให้ประชาชน วัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มคุณภาพการให้บริการและลดจำนวนเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการบริการของพนักงานเก็บค่าโดยสาร โดยการใช้วาจาสุภาพ กล่าวคำ “สวัสดี” “ขอบคุณ” และ “ขอโทษ” ตามโอกาสขณะปฏิบัติหน้าที่ ๒.๓ โครงการสายตรวจลดอุบัติเหตุ เป็นมิตรกับประชาชน วัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มคุณภาพการให้บริการและลดจำนวนการเกิดอุบัติเหตุรถโดยสาร โดยการใช้วาจาสุภาพกล่าวคำว่า “สวัสดี” “ขอบคุณ” และ “ขอโทษ” ตามโอกาสขณะปฏิบัติหน้าที่ ๒.๔ โครงการรักษ์ท่า รักษ์สะอาด รักษ์ความปลอดภัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม วัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงท่าปล่อยรถทุกสายให้อยู่ในสภาพดี สะอาด เป็นระเบียบ ปลอดภัย จำนวน ๑๓๖ ท่า และให้พนักงานมีส่วนร่วมในการรักษาความสะอาดและปลอดภัยตามคู่มือระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001 : 2008 ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในสถานที่ทำงาน ๒.๕ โครงการสร้างวินัยจราจร สร้างความปลอดภัยที่ป้ายรถโดยสารประจำทาง วัตถุประสงค์เพื่อกำหนดป้ายรถโดยสารประจำทางที่มีผู้ใช้บริการมากในแต่ละถนน โดย ขสมก. ได้จัดผู้บริหาร พนักงานตรวจการ นายตรวจ และเจ้าหน้าที่ประจำสำนักงานให้บริการประชาสัมพันธ์ตามป้ายที่มีผู้ใช้บริการจำนวนมากในช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า-เย็น ตามถนนสายหลัก สายรอง และป้ายรถโดยสารประจำทาง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุขณะขึ้น-ลง และรอรถโดยสารประจำทาง ๒.๖ โครงการบริการดี ขับขี่ปลอดภัยไปกับรถเมล์ฟรี วัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนมีความพึงพอใจในการใช้บริการรถเมล์ฟรี เกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์การ และหันมาใช้บริการรถโดยสารประจำทางเพิ่มขึ้น ๒.๗ โครงการนายท่า IT วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบสารสนเทศสำหรับนายท่าจัดทำข้อมูลในการบริหารการเดินรถ ระบบปล่อยรถ รวมทั้งลดขั้นตอนและเวลาการทำงานของพนักงานในกลุ่มของนายท่าและพนักงานจัดทำสารสนเทศด้านการเดินรถ ๓. การปรับปรุงการปล่อยรถโดยสารประจำทางทุกช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า-เย็น ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ขสมก. ได้จัดทำแผนการปล่อยรถโดยสารประจำทางรายสายจำแนกตามเขตการเดินรถที่ ๑-๘ และได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมที่ให้ ขสมก. นำรถออกวิ่งในช่วงเวลา ๑๖.๐๐-๒๐.๐๐ น. ให้ครบร้อยละ ๑๐๐ ของทุกสายการเดินรถ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชนในช่วงเย็น ๔. การกำกับดูแลบริษัทเหมาซ่อมรถโดยสารดำเนินการซ่อมบำรุงรถโดยสารประจำทางให้มีสภาพมั่นคงแข็งแรงและสามารถออกวิ่งให้บริการมากที่สุด
|
|||||||||||||||||||||||||||
26937 | รายงานการดำเนินงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ปี 2556 ของกระทรวงการคลัง | กค | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการดำเนินงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ปี ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. การให้ความช่วยเหลือด้านอุปโภคบริโภคผ่านส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงการคลัง จำนวน ๒๓ พื้นที่ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี พังงา ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี ขอนแก่น นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ ร้อยเอ็ด เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ พิษณุโลก ตาก พิจิตร ลพบุรี ตราด ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และนครนายก ๑.๑ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลังได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัย จำนวน ๔ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดพังงา ปราจีนบุรี นนทบุรี และฉะเชิงเทรา ประกอบด้วย ถุงยังชีพ จำนวน ๑,๐๐๐ ถุง เสื้อชูชีพ จำนวน ๒๖๕ ถุง น้ำดื่ม จำนวน ๑๐,๓๐๐ ขวด ข้าวสาร ๕ กิโลกรัม จำนวน ๑,๐๐๐ ถุง และอื่น ๆ ได้แก่ เครื่องกรองน้ำ ๑๙๐ เครื่อง ปลากระป๋อง ๑๑ ลัง ปลาหมึกแห้ง ๑ ถุงใหญ่ และให้ยืมเครื่องสูบน้ำ ๒ เครื่อง ๑.๒ กรมธนารักษ์ได้ให้ความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ของกรมธนารักษ์ที่ประสบภัย จำนวน ๒ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดตราด และปราจีนบุรี โดยจ่ายเงินสวัสดิการให้กับเจ้าหน้าที่รายละ ๒,๐๐๐-๓,๐๐๐ บาท ๑.๓ กรมบัญชีกลางได้ให้ความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ของกรมบัญชีกลางที่ประสบภัย จำนวน ๑ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดลพบุรี โดยจ่ายเงินสวัสดิการให้กับเจ้าหน้าที่รายละ ๒,๐๐๐-๓,๐๐๐ บาท ๑.๔ กรมศุลกากรได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัย จำนวน ๕ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี ตาก ปราจีนบุรี สระแก้ว และฉะเชิงเทรา ประกอบด้วย ถุงยังชีพ จำนวน ๒,๓๐๐ ถุง และข้าวสาร จำนวน ๗๕๐ กิโลกรัม ๑.๕ กรมสรรพากรได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย จำนวน ๒ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดปราจีนบุรี และฉะเชิงเทรา โดยการบริจาคเงิน จำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท และบริจาคเรือ จำนวน ๒๐ ลำ ๑.๖ กรมสรรพสามิตได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนและเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพสามิตที่ประสบภัย จำนวน ๑ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดปราจีนบุรี ประกอบด้วย ถุงยังชีพ จำนวน ๑๑๒ ถุง และเรือ จำนวน ๗ ลำ ๑.๗ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนและเจ้าหน้าที่ของธนาคารใน ๔ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ ปราจีนบุรี และฉะเชิงเทรา ประกอบด้วย บริจาคเงิน จำนวน ๔๗,๐๐๐ บาท ถุงยังชีพ จำนวน ๑๐,๐๐๐ ถุง เรือ จำนวน ๔ ลำ และอื่น ๆ ได้แก่ อาหารกล่อง จำนวน ๕,๐๐๐ ชุด ๑.๘ ธนาคารออมสินได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย จำนวน ๑๓ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก ตาก ขอนแก่น ชัยภูมิ ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ อุบลราชธานี บุรีรัมย์ ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และนครราชสีมา ประกอบด้วย ถุงยังชีพ จำนวน ๖,๖๒๐ ถุง น้ำดื่ม จำนวน ๗,๗๐๐ ขวด และอื่น ๆ ได้แก่ เสื้อชูชีพ ๑๐ ตัว และยารักษาโรค ๒,๐๐๐ ชุด ๑.๙ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย จำนวน ๑๓ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดปราจีนบุรี ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี ขอนแก่น นครราชสีมา บุรีรัมย์ นครสวรรค์ พิจิตร สระแก้ว ฉะเชิงเทรา เพชรบูรณ์ และนครนายก รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓๓,๒๕๓,๕๕๔ บาท แบ่งเป็น ถุงยังชีพ จัดเลี้ยงอาหารและน้ำดื่ม ณ จุดรวมพล จำนวน ๒๖,๖๒๙ ราย เป็นเงิน ๑๓,๓๑๔,๖๑๖ บาท มอบเงินบำรุงขวัญแก่ลูกค้าผู้กู้ที่เสียชีวิต จำนวน ๒ ราย (รายละ ๒๐,๐๐๐ บาท) เป็นเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท และมอบเงินเพื่อโครงการป้องกันและบริหารความเสี่ยงภัย จำนวน ๑๙,๘๙๘,๙๓๘ บาท ๑.๑๐ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย จำนวน ๓ พื้นที่ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (เขตหนองจอก) จังหวัดฉะเชิงเทรา และพระนครศรีอยุธยา โดยมอบถุงยังชีพ จำนวน ๒,๒๐๐ ถุง ๒. การให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประสบอุทกภัยผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และบรรษัทตลาดรองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย โดยมาตรการต่าง ๆ คือ การผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระคืนหนี้เดิม การให้สินเชื่อเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย การผ่อนปรนเวลาชำระหนี้เงินกู้ การลดดอกเบี้ย กรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพ การให้สินเชื่อเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย มาตรการพักหนี้ช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย การเพิ่มวงเงินฉุกเฉินเพื่อฟื้นฟูกิจการ การให้ความช่วยเหลือลูกค้า โดยจะพิจารณาเป็นราย ๆ มาตรการพักชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกัน และการผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้เดิม ซึ่งประชาชนสามารถขอความช่วยเหลือจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เป็นลูกค้าอยู่ได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
26938 | การลงนามในร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างรัฐบาลไทยและภูฏาน | พณ | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในสารัตถะของร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างรัฐบาลไทยและภูฏาน (Trade Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Royal Government of Bhutan) โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญครอบคลุมสาขาความร่วมมือทางเศรษฐกิจด้านต่าง ๆ ประกอบด้วย ๑.๑.๑ ความร่วมมือด้านการค้า/การลงทุน การอำนวยความสะดวกทางการค้า การท่องเที่ยว การก่อสร้าง ด้านสุขภาพ/การรักษาพยาบาล การศึกษา ด้านพลังงาน ด้านโลจิสติกส์ รวมทั้งการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ๑.๑.๒ การยกเว้นภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าที่นำเข้ามาชั่วคราวเพื่อใช้เป็นตัวอย่าง/สินค้าโฆษณาที่ไม่มีมูลค่าเชิงพาณิชย์ เครื่องมือ/ชิ้นส่วนสำหรับการประกอบและซ่อมแซม และสินค้าสำหรับแสดงในงานแสดงสินค้าซึ่งจะต้องส่งกลับไป (Re-export) โดยให้เป็นไปตามกฎหมายและกฎระเบียบภายในของแต่ละภาคี ๑.๑.๓ การจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) เพื่อทบทวนการดำเนินการตามความตกลงทางการค้าฉบับนี้ พิจารณาแนวทางขยายการค้าระหว่างกัน และจัดทำข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาการค้าระหว่างกัน ๑.๑.๔ การส่งเสริมและอำนวยความสะดวกการติดต่อทางธุรกิจระหว่างบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลผ่านการแลกเปลี่ยนการเยือนและส่งเสริมการเปิดสาขาธุรกิจในแต่ละภาคี โดยให้เป็นไปตามกฎหมายและกฎระเบียบภายในของแต่ละภาคี ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้ผู้ลงนามตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และเร่งสร้างความเข้าใจกับภาคเอกชนในรายละเอียดของความตกลงฯ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากความร่วมมือทางการค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งติดตามประเมินผลเพื่อขยายไปสู่ความร่วมมือในด้านอื่น ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
26939 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ที่ออกภายใต้ พ.ร.ก. ช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ระยะที่สอง ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2556 | กค | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ที่ออกภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕ (พ.ร.ก. ช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ระยะที่สอง) ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินและสัญญาเงินกู้ระยะยาว ที่ออกภายใต้ พ.ร.ก. ช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ระยะที่สอง ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๖ จำนวน ๓ รายการ วงเงินรวม ๑๔,๖๒๔,๘๑๘,๑๓๔.๒๓ บาท ประกอบด้วย ตั๋วสัญญาใช้เงิน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๑/๑ จำนวน ๕,๐๐๐ ล้านบาท ตั๋วสัญญาใช้เงิน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๑/๒ จำนวน ๕,๐๐๐ ล้านบาท และสัญญาเงินกู้ระยะยาวเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๑/๑ จำนวน ๔,๖๒๔,๘๑๘,๑๓๔.๒๓ บาท โดยชำระคืนต้นเงินกู้จากบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ๒ จำนวน ๔,๕๐๐ ล้านบาท จากเงินทดรองจ่ายจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลัง จำนวน ๗,๒๖๑,๕๐๘,๑๓๔.๒๓ บาท และจากการกู้เงินโดยตั๋วสัญญาใช้เงิน จำนวน ๒,๘๖๓,๓๑๐,๐๐๐ บาท ๒. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พ.ร.ก. ช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ระยะที่สอง) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๙ (LB236A) อายุคงเหลือ ๙.๗๘ ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๓.๖๒๕ ต่อปี เมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๖ จำนวน ๘,๘๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และได้มีการประมูลตั๋วสัญญาใช้เงิน อายุ ๒ ปี วงเงิน ๓,๖๖๙,๙๙๘,๑๓๔.๒๓ บาท รวมจำนวน ๑๒,๔๙๙,๙๙๘,๑๓๔.๒๓ บาท เพื่อนำไปชำระคืนเงินทดรองจ่ายจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังที่ใช้ชำระคืนเงินกู้ดังกล่าว จำนวน ๗,๒๖๑,๕๐๘,๑๓๔.๒๓ บาท และเงินทดรองจ่ายคงค้างเดิม จำนวน ๕,๒๓๘,๔๙๐,๐๐๐ บาท ๓. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการออกประกาศกระทรวงการคลัง จำนวน ๔ ฉบับ ประกอบด้วย ๓.๑ ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พ.ร.ก. ช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ระยะที่สอง) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๙ ๓.๒ ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้โดยตั๋วสัญญาใช้เงิน (พ.ร.ก. ช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ระยะที่สอง) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๒ ๓.๓ ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การปรับลดวงเงินการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พ.ร.ก. ช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ระยะที่สอง) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๙ ๓.๔ ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้โดยตั๋วสัญญาใช้เงิน (พ.ร.ก. ช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ระยะที่สอง) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๓
|
|||||||||||||||||||||||||||
26940 | รายงานสถานการณ์วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ปี 2556 | อก | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ปี ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จำนวนและการจ้างงานในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises : SMEs) ปี ๒๕๕๕ วิสาหกิจทั่วประเทศในปี ๒๕๕๕ มีจำนวนทั้งสิ้น ๒,๗๘๑,๙๔๕ ราย จำแนกเป็นวิสาหกิจขนาดใหญ่ จำนวน ๗,๕๙๑ ราย ขณะที่ SMEs มีจำนวนทั้งสิ้น ๒,๗๓๙,๑๔๒ ราย และอื่น ๆ ๓๕,๒๑๒ ราย โดยจำนวน SMEs คิดเป็นร้อยละ ๙๘.๕ ของวิสาหกิจทั่วประเทศ จำแนกตามกลุ่มวิสาหกิจพบว่า อยู่ในภาคการขายส่ง ขายปลีก การซ่อมแซมยานยนต์ฯ มากที่สุด จำนวน ๑,๑๙๓,๐๓๘ ราย คิดเป็นร้อยละ ๔๓.๕ รองลงมา อยู่ในภาคการบริการ จำนวน ๑,๐๓๕,๐๘๙ ราย คิดเป็นร้อยละ ๓๗.๘ ส่วนภาคการผลิต จำนวน ๕๑๑,๐๑๕ ราย คิดเป็นร้อยละ ๑๘.๗ ๒. ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) ของ SMEs ปี ๒๕๕๕ โดย GDP ปี ๒๕๕๕ มีมูลค่า ๑๑,๓๗๕,๓๔๙.๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ๘๓๕,๙๐๓.๐ ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๖.๕ ส่วน GDP ของ SMEs มีมูลค่า ๔,๒๑๑,๒๖๒.๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๗.๐ ของ GDP รวมทั้งประเทศ โดยมูลค่า GDP ของ SMEs ขยายตัวร้อยละ ๖.๖ เมื่อพิจารณามูลค่า GDP ตามขนาดวิสาหกิจ พบว่า วิสาหกิจขนาดย่อม (SE) มีบทบาทด้านมูลค่า GDP สูงกว่าวิสาหกิจขนาดกลาง (ME) โดยอยู่ที่ ๒,๘๒๔,๘๙๘.๒ ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ ๖.๕ มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ ๒๔.๘ ของ GDP รวม ส่วน GDP ของ ME มีมูลค่า ๑,๓๘๖,๓๖๔.๕ ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ ๖.๘ มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ ๑๒.๒ ของ GDP รวม ๓. การค้าระหว่างประเทศของ SMEs ปี ๒๕๕๕ ๓.๑ ด้านการส่งออก มีมูลค่าการส่งออกรวมทั้งสิ้น ๗,๐๙๑,๑๖๒.๒๑ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า คิดเป็นร้อยละ ๕.๗ เป็นการส่งออกของ SMEs มูลค่า ๒,๐๔๓,๖๖๔.๙๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒๘.๘ ของมูลค่าการส่งออกรวมทั้งหมด และมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๗ ตลาดส่งออกที่สำคัญของ SMEs ไทย ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา โดยมีสัดส่วนการส่งออกร้อยละ ๑๑.๗, ๑๐.๒ และ ๙.๙ ตามลำดับ ทั้งนี้ ตลาดที่ SMEs สามารถขยายการส่งออกได้สูงสุด ได้แก่ ออสเตรเลีย เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๑.๕ รองลงมา คือ กัมพูชา เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๖.๓ สินค้าที่ SMEs มีการส่งออกในสัดส่วนสูงที่สุด คือ กลุ่มสินค้าประเภทอัญมณีและเครื่องประดับ พลาสติกและของที่ทำด้วยพลาสติก ยางและของที่ทำด้วยยาง ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ ๑๖.๒, ๘.๗ และ ๗.๓ ตามลำดับ ๓.๒ ด้านการนำเข้า มีการนำเข้าจากต่างประเทศ คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น ๗,๗๓๔,๕๐๓.๔๓ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๐.๙ เป็นการนำเข้าของ SMEs มูลค่า ๒,๔๖๖,๙๙๓.๖๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๑.๙ ของมูลค่าการนำเข้ารวมทั้งหมด และมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๕ ตลาดนำเข้าที่สำคัญของ SMEs ไทย ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น และสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีสัดส่วนการนำเข้าร้อยละ ๒๑.๖, ๑๗.๐ และ ๗.๙ ตามลำดับ สินค้าในกลุ่มที่ SMEs มีการนำเข้าสูงสุด คือ กลุ่มสินค้าประเภทอัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องจักรและส่วนประกอบ รวมทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ และเครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าและส่วนประกอบ โดยมีสัดส่วนร้อยละ ๑๖.๑, ๑๕.๓ และ ๑๒.๖ ตามลำดับ
|
.....