ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 1 หน้า แสดงรายการที่ 1 - 1 จากข้อมูลทั้งหมด 1 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ |
---|---|---|---|
1 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. .... ของวุฒิสภา | สว | 19/11/2556 |
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. .... ของวุฒิสภา และผลการดำเนินการตามข้อสังเกตดังกล่าวที่กระทรวงการคลังเสนอ แล้วแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้มีการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ เพื่อให้มีการกำหนดนโยบายของรัฐที่ชัดเจนและแน่นอนในการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ โดยกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐที่ครบถ้วน สมบูรณ์ ๒. เห็นว่าตามกฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ ซึ่งใช้บังคับมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๕ การร่วมลงทุนต้องผ่านสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และมีขั้นตอนในการที่จะเสนอผ่านหลายหน่วยงานหลายชุดของคณะกรรมการ ซึ่งไม่มีความจำเป็น และหน่วยงานอาจไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับการร่วมลงทุนในกิจการต่าง ๆ ให้ครบถ้วน ทำให้เสียเวลาไปโดยใช่เหตุ ๓. เห็นว่าร่างพระราชบัญญัตินี้มีความโปร่งใสและสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและหลักวินัยการเงิน การคลัง การส่งเสริมและสนับสนุนการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ๔. เห็นว่าร่างพระราชบัญญัตินี้มีกรอบการดำเนินงานที่ชัดเจน กล่าวคือ มีคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเป็นผู้กำหนดนโยบาย มีหน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง เป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องนโยบายหลักของหลักการร่วมทุนกับเอกชน วิธีการในการที่จะนำเสนอโครงการของแต่ละหน่วยงานจะต้องมีที่ปรึกษา มีข้อกำหนดว่าต้องทำอย่างไร ซึ่งมีความชัดเจนกว่ากฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ที่ยังขาดกรอบการดำเนินการในเรื่องนี้อยู่ ๕. เห็นว่าร่างพระราชบัญญัตินี้มีการกำหนดยุทธศาสตร์ที่แน่นอนซึ่งตามร่างพระราชบัญญัติฉบับใหม่นี้ได้กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายที่ต้องกำหนดยุทธศาสตร์ของประเทศว่าจะเดินทางทิศใดและต้องให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติ ดังนั้น กระทรวงทุกกระทรวงและหน่วยงานต่าง ๆ ต้องดำเนินการภายใต้ยุทธศาสตร์ที่กำหนดเกี่ยวกับการลงทุนไว้อย่างชัดเจน ๖. เห็นว่าร่างพระราชบัญญัตินี้จะมีความชัดเจนว่า ๑) ยุทธศาสตร์ใดที่เจ้ากระทรวงหรือหน่วยงานใดเสนอมาต้องมีความชัดเจนและอยู่ภายในกรอบยุทธศาสตร์หลักที่กำหนดไว้ ๒) ในการพิจารณาแต่ละขั้นตอน มีกรอบเวลาที่แน่นอน เช่น ไม่เกิน ๖๐ วัน หรือต้องอนุมัติภายใน ๖๐ วัน และ ๓) ในแต่ละขั้นตอนต้องมีที่ปรึกษาที่สามารถให้คำปรึกษาในโครงการได้ ๗. โครงการตามร่างพระราชบัญญัตินี้ทุกโครงการก่อนที่จะดำเนินการ หน่วยงานที่จะเสนอโครงการต้องอ่านและเข้าใจยุทธศาสตร์หลักและต้องใช้เป็นแม่บทในการเขียนโครงการ โดยเฉพาะต้องทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อเสนอให้คณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเป็นผู้เห็นชอบในหลักการ การดำเนินการให้มีประสิทธิภาพตามร่างพระราชบัญญัตินี้จะเกี่ยวข้องกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเป็นหลักในระยะเริ่มแรก ๘. โดยที่ปัจจุบันผลประโยชน์ตอบแทนที่รัฐได้รับจากเอกชนในการให้สัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม และการให้ประทานบัตรตามกฎหมายว่าด้วยแร่ มิได้อยู่ภายใต้หลักผลตอบแทนตามสัดส่วนการลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนที่เป็นธรรม โดยถือว่ารัฐไม่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ จึงมีการหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของเอกชนฝ่ายเดียว ดังนั้น จึงควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม และกฎหมายว่าด้วยแร่ เพื่อบัญญัติให้นำหลักผลตอบแทนตามสัดส่วนการลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน ทั้งนี้ เพื่อให้การแบ่งผลตอบแทนระหว่างรัฐและเอกชนมีสัดส่วนที่เป็นธรรมยิ่งขึ้น |
.....