ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1348 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 26941 - 26960 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
26941 | ปฏิญญาบันดาร์เสรีเบกาวันว่าด้วยโรคไม่ติดต่อในอาเซียน | สธ | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบปฏิญญาบันดาร์เสรีเบกาวันว่าด้วยโรคไม่ติดต่อในอาเซียน (Bandar Seri Begawan Declaration on Noncommunicable Diseases in ASEAN) ซึ่งจะมีการรับรองโดยผู้นำอาเซียนในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๓ (23rd ASEAN Summit) ในวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงบันดาร์เสรีเบกาวัน ประเทศบรูไนดารุสซาลาม โดยปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือด้านโรคไม่ติดต่อในภูมิภาคอาเซียน เช่น การลดปัจจัยเสี่ยงสำหรับโรคไม่ติดต่อ การพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารร่วมกับภาคเอกชนเพื่อให้มีข้อตกลงร่วมกันเกี่ยวกับการเลือกอาหารเพื่อสุขภาพ การคัดกรองผู้ที่เสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อให้มีความสะดวกในการค้นหาในระยะแรกและการป้องกันโรคในระดับปฐมภูมิ เป็นต้น ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำหรือประเด็นที่มิใช่สาระสำคัญ ขอให้อยู่ในดุลยพินิจของกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๒. อนุมัติให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองในปฏิญญาฯ ดังกล่าว |
||||||||||||||||||||||||
26942 | การรับรองร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยเรื่องการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการจัดการภัยพิบัติ | มท | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยเรื่อง การเสริมสร้างความร่วมมือด้านการจัดการภัยพิบัติ ที่จะมีการรับรองในที่ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ ๒๓ (23rd ASEAN Summit) ณ กรุงบันดาร์เสรีเบกาวัน ประเทศบรูไนดารุสซาลาม ระหว่างวันที่ ๙-๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๖ โดยร่างปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการเสริมสร้างความร่วมมือของประเทศสมาชิกอาเซียนในด้านการจัดการภัยพิบัติ ภายใต้กรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการจัดการภัยพิบัติและการตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉิน (ASEAN Agreement on Disaster Management and Emergency Response : AADMER) และแผนงานการจัดการภัยพิบัติภายใต้กรอบ AADMER พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
26943 | การลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงศึกษาธิการแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนด้านการศึกษา | ศธ | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดทำและลงนามร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงศึกษาธิการแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนด้านอาชีวศึกษา ซึ่งจะมีการลงนามบันทึกความตกลงดังกล่าวในวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ ทำเนียบรัฐบาล ในช่วงการเดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นความร่วมมือทางด้านอาชีวศึกษา โดยการแลกเปลี่ยนข้อมูล ข้อสนเทศ การวางแผนความร่วมมือ การฝึกอบรม การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสถานศึกษา การอำนวยความสะดวกทางการศึกษา รวมทั้งการยอมรับวุฒิการศึกษา ทั้งนี้ หากก่อนลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงศึกษาธิการหารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๒. ไม่ต้องจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา |
||||||||||||||||||||||||
26944 | ขออนุมัติการลงนามความตกลงว่าด้วยการส่งเสริม 4 โครงการความร่วมมือ ระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งราชอาณาจักรไทยกับ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน | วท | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างความตกลงว่าด้วยการส่งเสริม ๔ โครงการความร่วมมือระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (Draft) Agreement on Promoting 4 Cooperation Projects between the Ministry of Science and Technology of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Science and Technology of the People’s Republic of China ในระหว่างการเยือนราชอาณาจักรไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ได้แก่ การร่วมจัดตั้งศูนย์วิจัยร่วมไทย-จีนด้านรถไฟความเร็วสูง การร่วมพัฒนาศูนย์ให้บริการข้อมูลการสำรวจดาวเทียมระยะไกล ความร่วมมือด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยี และโครงการแลกเปลี่ยนนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่มีผลกระทบต่อเนื้อหาสาระของร่างความตกลงฯ ฉบับนี้ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหรือผู้ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับรายละเอียดโครงการ ASEAN-China STEP Program ไม่ได้กำหนดชัดเจนว่าให้ดำเนินโครงการในลักษณะทวิภาคีเป็นรายประเทศ หน่วยงานผู้ปฏิบัติควรซักซ้อมความเข้าใจกับฝ่ายอาเซียนและจีนในเรื่องนี้เพื่อไม่ให้ถูกทักท้วงจากประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น ๆ และเห็นควรเพิ่มข้อความที่ระบุว่า “ให้การดำเนินกิจกรรมภายใต้ร่างความตกลงฯ เป็นไปตามกฎระเบียบภายในประเทศ” สำหรับโครงการพัฒนาศูนย์ให้บริการข้อมูลการสำรวจดาวเทียมระยะไกล หากมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลสารสนเทศ อาจมีข้อมูลที่ถือเป็นความลับ จึงขอให้คำนึงถึงการจัดการข้อมูลซึ่งถือเป็นความลับ ให้เป็นไปตามกฎหมายภายในประเทศของแต่ละฝ่าย เพื่อประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26945 | สรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำท่วมของประเทศไทยประจำสัปดาห์ (ครั้งที่ 5/2556 ณ วันที่ 7 ตุลาคม 2556) | นร04 | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยสรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำท่วมของประเทศไทย ครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ ณ วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ ดังนี้
๑. ร่องความกดอากาศต่ำหรือร่องมรสุมที่อาจส่งผลกระทบต่อประเทศไทย หย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณจังหวัดเพชรบุรีและประจวบคีรีขันธ์ และจะเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกตามแนวร่องมรสุมพาดผ่านทะเลอันดามัน ภาคใต้ตอนบน และภาคตะวันออก ๒. ในช่วงวันที่ ๗-๙ ตุลาคม ๒๕๕๖ ภาคกลางตอนล่าง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน มีฝนตกชุกหนาแน่น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบน และอ่าวไทย มีกำลังแรง สำหรับในช่วงวันที่ ๑๐-๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๖ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ยังคงมีฝนตกหนาแน่น และมีฝนตกหนักบางแห่ง มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่ปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย มีกำลังอ่อนลง คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะมีกำลังอ่อนลง ๒. สถานการณ์น้ำและน้ำท่วม กรมชลประทานรายงานว่า ๒.๑ ปริมาณน้ำท่าในบริเวณจุดสำคัญ ได้แก่ แม่น้ำเจ้าพระยา สถานี C.2 เขื่อนเจ้าพระยา สถานี C.13 และ อ.บางไทร สถานี C.29 ปริมาณน้ำไหลผ่าน ๑,๗๗๑, ๒,๐๓๒ และ ๒,๒๗๖ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ตามลำดับ ๒.๒ ระดับความสูงของน้ำในแม่น้ำสายหลัก ได้แก่ แม่น้ำปิง ที่สถานี P.1 จังหวัดเชียงใหม่ +๑.๖๖ เมตร ต่ำกว่าตลิ่ง ๒.๐๔ เมตร แม่น้ำวัง ที่สถานี W.4A จังหวัดตาก +๓.๑๐ เมตร ต่ำกว่าตลิ่ง ๓.๐๐ เมตร แม่น้ำยม ที่สถานี Y.16 จังหวัดพิษณุโลก +๘.๒๙ เมตร สูงกว่าตลิ่ง ๑.๒๙ เมตร แม่น้ำน่าน ที่สถานี N.1 จังหวัดน่าน +๑.๐๑ เมตร ต่ำกว่าตลิ่ง ๕.๙๙ เมตร แม่น้ำเจ้าพระยา ที่สถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์ +๒๓.๐๙ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๓.๑๑ เมตร และแม่น้ำเจ้าพระยา ที่สถานี C.13 จังหวัดชัยนาท ระดับน้ำเหนือเขื่อน +๑๖.๖๐ ม.รทก. ระดับน้ำท้ายเขื่อน +๑๔.๔๖ ม.รทก. ๒.๓ น้ำในเขื่อน ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ๖,๒๙๕, ๕,๗๐๙ และ ๑,๐๖๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ ๓. สถานการณ์อุทกภัย ดินถล่มและน้ำป่าไหลหลาก ๓.๑ อุทกภัย จังหวัดจันทบุรีมีฝนตกหนักในพื้นที่ส่งผลให้ได้รับผลกระทบเพิ่มเติม ๒ อำเภอ ๔ ตำบล ๙ หมู่บ้าน สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด อำเภอโป่งน้ำร้อน ได้เข้าพื้นที่เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งแจ้งเตือนประชาชนให้เฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์และเก็บของขึ้นที่ปลอดภัย สำหรับจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เกิดน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมชุมชนบริเวณหมู่บ้านรอยัลโฮมวิลเลจ ซอย ๑๐๒ เขตเทศบาลหัวหิน และอำเภอหัวหิน สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต ๔ ประจวบคีรีขันธ์ สนับสนุนเครื่องสูบน้ำ รถเครน รถไฟฟ้าส่องสว่าง เรือท้องแบน เข้าช่วยเหลือ โดยมีชลประทานเพชรบุรีสนับสนุนเครื่องสูบน้ำ ศูนย์การทหารราบสนับสนุนรถบรรทุก พร้อมกำลังพล เตรียมช่วยเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัย ๓.๒ ดินถล่มและน้ำป่าไหลหลาก กรมทรัพยากรธรณีแจ้งเตือนภัย ให้อาสาสมัครเครือข่ายกรมทรัพยากรธรณีเฝ้าระวังภัยดินถล่มและน้ำป่าไหลหลากในระหว่างวันที่ ๖-๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงภัยในจังหวัดเชียงใหม่ ลำปาง จันทบุรี ตราด เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง และพังงา เนื่องจากมีฝนตกหนักและตกต่อเนื่อง และมีน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมในบางพื้นที่แล้ว
|
||||||||||||||||||||||||
26946 | สรุปสถานการณ์สาธารณภัย และการช่วยเหลือ | มท | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสถานการณ์สาธารณภัย และการช่วยเหลือ (ระหว่างวันที่ ๑-๗ ตุลาคม ๒๕๕๖) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การคาดหมายลักษณะอากาศ การสั่งการเพื่อเตรียมความพร้อม และการให้ความช่วยเหลือ ๑.๑ สภาพอากาศ ในช่วงวันที่ ๗-๙ ตุลาคม ๒๕๕๖ ภาคกลางตอนล่าง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน มีฝนตกชุกหนาแน่น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบน และอ่าวไทยมีกำลังแรง คลื่นสูง ๒-๓ เมตร และในช่วงวันที่ ๑๐-๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๖ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ยังคงมีฝนตกหนาแน่น และมีฝนตกหนักบางแห่ง คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามัน และอ่าวไทย มีกำลังอ่อนลง ๑.๒ การสั่งการเพื่อเตรียมความพร้อม กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้สั่งการเพื่อเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม อันเกิดจากฝนตกหนัก และคลื่นลมแรง โดยให้ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต ๕ ศูนย์เขต และสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ๑๓ จังหวัด ในพื้นที่ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบนเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม อันเกิดจากฝนตกหนัก และคลื่นลมแรง ซึ่งอาจสร้างความเสียหายให้แก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ๒. สรุปสถานการณ์อุทกภัย ข้อมูล ณ วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ เกิดอุทกภัย น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมขังระบายไม่ทัน และน้ำล้นตลิ่ง ตั้งแต่วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๖ จนถึงวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ รวมทั้งสิ้น ๓๘ จังหวัด ๒๗๖ อำเภอ ๑,๗๑๖ ตำบล ๑๓,๗๗๙ หมู่บ้าน ๙๓๘,๔๓๕ ครัวเรือน ๓,๐๙๖,๒๐๒ คน พื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหาย ๓,๑๕๒,๐๘๓ ไร่ ถนน ๕,๓๙๗ สาย สะพาน ๒๙๙ แห่ง ท่อระบายน้ำ ๔๒๖ แห่ง ฝาย/ทำนบ ๕๑๙ แห่ง บ้านเรือนถูกน้ำท่วม ๑๕,๖๑๐ หลัง โรงเรียน ๒๒๕ แห่ง วัด ๓๙๙ แห่ง และสถานที่ราชการ ๕๗ แห่ง ๓. สรุปสถานการณ์วาตภัย ระหว่างวันที่ ๑-๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ จังหวัดนราธิวาสเกิดเหตุวาตภัยในพื้นที่อำเภอเมืองนราธิวาส รวม ๔ ตำบล ๙ หมู่บ้าน บ้านเรือนเสียหาย ๑๖๙ หลัง ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ๘๔๕ คน โรงเรียนปอเนาะ ๑ แห่ง และเสาไฟฟ้า ๓๐ ต้น สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนราธิวาสร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เข้าสำรวจความเสียหายและให้การช่วยเหลือแล้ว ๔. สรุปสถานการณ์ภัยแล้ง/ฝนทิ้งช่วง ข้อมูล ณ วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ จังหวัดที่ยังคงมีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) ได้แก่ จังหวัดตาก บุรีรัมย์ และนครราชสีมา รวม ๑๔ อำเภอ ๑๑๒ ตำบล ๑,๒๔๑ หมู่บ้าน และจังหวัดที่ยังคงมีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ฝนทิ้งช่วง) ได้แก่ จังหวัดแพร่ ๑ อำเภอ รวม ๒ ตำบล ๑๘ หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ๑,๓๖๕ ครัวเรือน และพื้นที่การเกษตร ๑๑,๔๔๐ ไร่ ๕. สรุปสถานการณ์แผ่นดินไหว ระหว่างวันที่ ๑-๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ โดยเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๖ เวลา ๐๕.๒๘ น. เกิดแผ่นดินไหวบนบก ขนาด ๒.๕ ริกเตอร์ บริเวณตำบลเวียง อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๖ เวลา ๒๑.๓๗ น. เกิดแผ่นดินไหวบนบก ขนาด ๒.๙ ริกเตอร์ บริเวณสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ห่างจากอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ประมาณ ๒๘ กม. และวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ เวลา ๑๐.๓๘ น. เกิดแผ่นดินไหวในทะเล ขนาด ๖.๖ ริกเตอร์ บริเวณทะเลโอคอตสค์ ประเทศสหพันธรัฐรัสเซีย ๖. สรุปสถานการณ์อุบัติภัย และเหตุการณ์สำคัญ ระหว่างวันที่ ๑-๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ จังหวัดบุรีรัมย์ เกิดเหตุรถยนต์กระบะบรรทุกคนงานเสียหลักชนต้นไม้ บริเวณถนนสาย ๒๑๙ มหาสารคาม-บุรีรัมย์ กม.ที่ ๒๑๕-๒๑๖ บ้านโนนสวรรค์ ตำบลบ้านด่าน อำเภอบ้านด่าน มีผู้เสียชีวิต ๑๖ ราย และได้รับบาดเจ็บสาหัส ๘ คน จังหวัดสมุทรสาคร เกิดเหตุเพลิงไหม้อาคารโรงงานผลิตเครื่องสุขภัณฑ์เซรามิกและกระเบื้องบุผนัง ของบริษัทไทยอุตสาหกรรมเครื่องปั้นดินเผา จำกัด และห้างหุ้นส่วนจำกัดกระเบื้องไทย ตั้งอยู่เลขที่ ๗๕ หมู่ที่ ๓ ถนนเศรษฐกิจ ๑ ตำบลอ้อมน้อย อำเภอกระทุ่มแบน และจังหวัดตราด เกิดเหตุหินถล่มลงมาทับเส้นทางสัญจรไป-มา บริเวณทางโค้งก่อนถึงหาดทรายขาว ตำบลเกาะช้าง อำเภอเกาะช้าง ซึ่งทางสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดตราด อำเภอ ตำรวจท่องเที่ยว เทศบาลตำบลเกาะช้าง ดำเนินการนำหินที่ถล่มลงมาออกจากเส้นทางเรียบร้อยแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||
26947 | สถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนสิงหาคม และแนวโน้มปี 2556 | นร11 | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนสิงหาคม และแนวโน้มปี ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ ๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า เครื่องชี้เศรษฐกิจที่สำคัญ (หลังปรับปัจจัยฤดูกาล) ในเดือนสิงหาคมแสดงถึงภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นทั้งด้านการใช้จ่ายและการผลิต โดยเฉพาะดัชนีการบริโภคภาคเอกชน การส่งออก การผลิตภาคเกษตร การผลิตภาคอุตสาหกรรม และภาคการท่องเที่ยวซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้น ๑.๒ ภาวะเศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ เครื่องชี้ด้านอุปสงค์เริ่มปรับตัวดีขึ้นทั้งด้านการบริโภคภาคเอกชนและการส่งออก ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนยังปรับตัวลดลง เนื่องจากฐานที่สูง (รถยนต์และการนำเข้าสินค้าทุน) และการเบิกจ่ายงบประมาณยังปรับตัวลดลง ในด้านการผลิต จำนวนนักท่องเที่ยวขยายตัวเร่งขึ้น ในขณะที่ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมหดตัวช้าลง การส่งออกเริ่มขยายตัว อย่างไรก็ตาม ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรยังคงปรับตัวลดลงตามการลดลงของผลผลิตข้าวนาปรัง ข้าวโพด และประมง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ภาวะฝนทิ้งช่วง และโรคตายด่วนในกุ้ง ตามลำดับ ๑.๓ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ อัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวต่อเนื่อง อัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำและดุลบัญชีเดินสะพัดเริ่มกลับมาเกินดุล ๑.๔ สถานการณ์ด้านการคลัง การเบิกจ่ายงบประมาณ และการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในเดือนสิงหาคมต่ำกว่าเดือนเดียวกันของปีก่อน ขณะที่หนี้สาธารณะลดลงจากเดือนก่อนหน้า ๑.๕ สถานการณ์ด้านการเงิน ในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ขยายตัวใกล้เคียงกับเดือนก่อนหน้าตามการขยายตัวของสินเชื่อภาคธุรกิจ ส่วนสินเชื่อภาคครัวเรือนชะลอตัวลง ในขณะที่เงินฝากขยายตัวในอัตราชะลอตัวลง ส่งผลให้สัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากเพิ่มสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ทรงตัวตามทิศทางของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เงินบาทอ่อนค่าลง สอดคล้องกับการไหลออกสุทธิของเงินทุนเคลื่อนย้าย ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๖ มีแนวโน้มขยายตัวในช่วงร้อยละ ๓.๘-๔.๓ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีในช่วงร้อยละ ๒.๓-๒.๘ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๐.๓ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ อย่างไรก็ตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปียังมีข้อจำกัดเพิ่มเติมจากผลกระทบจากปัญหาอุทกภัย ในขณะที่การแก้ไขปัญหาเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐอเมริกายังคงเป็นสถานการณ์ที่ต้องติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
|
||||||||||||||||||||||||
26948 | การติดตามสถานการณ์อุทกภัยในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์ | นร04 | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสันติ พร้อมพัฒน์) รายงานสรุปสถานการณ์อุทกภัยในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์ เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๖ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ๑.๑ สถานการณ์อุทกภัย ระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ กันยายน ๒๕๕๖ สาเหตุเนื่องจากร่องมรสุมกำลังแรงพาดผ่านภาคเหนือ ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกชุกหนาแน่น และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณจังหวัดตาก กำแพงเพชร สุโขทัย พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลากและแม่น้ำป่าสักเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ ๓ อำเภอ ได้แก่ อำเภอหล่มเก่า อำเภอหล่มสัก และอำเภอเมืองเพชรบูรณ์ รวม ๒๔ ตำบล ๑๐๓ หมู่บ้าน ๑.๒ สถานการณ์อุทกภัยครั้งที่ ๒ ระหว่างวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๖ จนถึงปัจจุบัน สาเหตุจากพายุดีเปรสชั่นบริเวณทะเลจีนใต้ได้เคลื่อนตัวขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนกลาง ผ่านประเทศลาว และเข้าสู่ประเทศไทย หลังจากนั้นได้อ่อนกำลังเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ ทำให้จังหวัดเพชรบูรณ์เกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ โดยในวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๖ วัดปริมาณน้ำฝนได้ ๕๒๐.๗ มิลลิเมตร ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลากและแม่น้ำป่าสักเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ ๖ อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ อำเภอหนองไผ่ อำเภอชนแดน อำเภอวิเชียรบุรี อำเภอศรีเทพ และอำเภอวังโป่ง รวม ๓๗ ตำบล ๒๒๖ หมู่บ้าน ๑.๓ สถานการณ์อุทกภัย ณ วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๖ ยังคงมีพื้นที่ประสบอุทกภัยอยู่จำนวน ๕ อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ อำเภอหนองไผ่ อำเภอบึงสามพัน อำเภอวิเชียรบุรี และอำเภอศรีเทพ รวม ๒๒ ตำบล ๙๒ หมู่บ้าน ๒. สรุปผลกระทบและความเสียหายจากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ระหว่างวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๖ จนถึงปัจจุบัน จำนวนราษฎรที่ได้รับผลกระทบ ๗๓ ตำบล ๕๐๘ หมู่บ้าน ๑๔,๐๗๗ ครัวเรือน ๕๑,๓๙๔ คน มีผู้เสียชีวิต จำนวน ๓ ราย ถนนได้รับความเสียหาย ๑๑๗ สาย สะพาน ๘ แห่ง ท่อระบายน้ำ ๘ แห่ง พื้นที่การเกษตรเสียหาย ๒๓,๖๔๘ ไร่ และบ่อปลา ๑,๐๙๗.๒๕ ไร่ ๓. แนวโน้มสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ มีแนวโน้มว่าจะคลี่คลายเข้าสู่ภาวะปกติในไม่ช้า หากไม่มีสถานการณ์ฝนตกหนักในพื้นที่ขึ้นอีก สืบเนื่องจากพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์มีความลาดชันสูงทำให้น้ำสามารถไหลผ่านได้อย่างรวดเร็ว โดยสังเกตได้จากระดับน้ำในแม่น้ำป่าสักมีระดับน้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง และระดับน้ำท่วมพื้นที่ทางการเกษตรและบ้านเรือนของราษฎรก็มีระดับน้ำลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
|
||||||||||||||||||||||||
26949 | แต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดระบบบริหารยา เวชภัณฑ์ การเบิกจ่ายค่าตรวจวินิจฉัย และค่าบริการทางการแพทย์ (เพิ่มเติม) (จำนวน 3 ราย 1. พลเอก สหชาติ พิพิธกุล ฯลฯ) | สธ | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการกำหนดระบบบริหารยา เวชภัณฑ์ การเบิกจ่ายค่าตรวจวินิจฉัย และค่าบริการทางการแพทย์ (เพิ่มเติม) จำนวน ๓ ราย ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๘ ตุลาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. พลเอก สหชาติ พิพิธกุล ๒. นายแพทย์สัมฤทธิ์ ศรีธำรงสวัสดิ์ ๓. ศาสตราจารย์วิษณุ ธรรมลิขิตกุล
|
||||||||||||||||||||||||
26950 | ท่าทีประเทศไทยต่อระบบติดตามสถานการณ์หมอกควันของอนุภูมิภาคอาเซียนตอนล่าง (ASEAN Sub-Regional Haze Monitoring System : HMS) | ทส | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการกับการใช้ระบบติดตามสถานการณ์หมอกควันของอนุภูมิภาคอาเซียนตอนล่าง (ASEAN Sub-Regional Haze Monitoring System : HMS) เป็นระบบร่วมในการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์หมอกควันของประเทศอาเซียนตอนล่าง ๒. เห็นชอบให้ประเทศไทยเสนอต่อที่ประชุมสุดยอดอาเซียนให้นำประเด็นการแบ่งปันข้อมูลแผนที่พิกัดการใช้ประโยชน์ที่ดินและแผนที่สัมปทานเข้าระบบ HMS กลับมาพิจารณาในรายละเอียดให้รอบคอบ โดยผ่านกลไกภายใต้ข้อตกลงอาเซียนเรื่องมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ทั้งนี้ หากประเทศไทยมีความจำเป็นต้องแบ่งปันข้อมูลใด ๆ เข้าระบบ HMS ต้องนำกลับมาหารือหน่วยงานในประเทศก่อน และจะต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย/ข้อบังคับของประเทศไทย ๓. หากในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๓ (23rd ASEAN Summit) ระหว่างวันที่ ๙-๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงบันดาร์เสรีเบกาวัน ประเทศบรูไนดารุสซาลาม มีประเด็นเพิ่มเติมที่ไม่ใช่สาระสำคัญต่อการดำเนินงาน และไม่ขัดต่อกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ และผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง |
||||||||||||||||||||||||
26951 | ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารที่จะมีการรับรองหรือลงนามระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 23 | พม | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
๑. เห็นชอบต่อร่างเอกสาร จำนวน ๔ ฉบับ ซึ่งจะมีการรับรองหรือลงนามและเพื่อทราบระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๓ (23rd ASEAN Summit) และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงบันดาร์เสรีเบกาวัน ประเทศบรูไนดารุสซาลาม ระหว่างวันที่ ๙-๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๖ และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ดังนี้ ๑.๑ เอกสารซึ่งจะมีการรับรองหรือลงนาม จำนวน ๓ ฉบับ ได้แก่ ๑.๑.๑ ร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยเรื่องการขจัดความรุนแรงต่อสตรีและการขจัดความรุนแรงต่อเด็ก (Declaration on the Elimination of Violence Against Women and Elimination of Violence Against Children in ASEAN) ๑.๑.๒ ร่างปฏิญญาบันดาร์เสรีเบกาวัน ว่าด้วยการประกอบการและการจ้างงานของเยาวชนในอาเซียน (Bandar Seri Begawan Declaration on Youth Entrepreneurship and Employment) ๑.๑.๓ รายงานการประเมินผลครึ่งแผนของแผนงานการจัดตั้งประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (Mid-Term Review of the ASEAN Socio-Cultural Community Blueprint: Consolidated Report) ๑.๒ เอกสารซึ่งจะเสนอผู้นำอาเซียนเพื่อรับทราบ ได้แก่ แถลงการณ์ร่วมของคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ ๑๐ ๒. ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||
26952 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ (นักบริหารสูง) ทดแทนข้าราชการที่เกษียณอายุ (จำนวน 3 ราย 1. นายชนรรค์ พุทธมิลินประทีป ฯลฯ) | นร | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. นายชนรรค์ พุทธมิลินประทีป ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ๒. นายธรรมศักดิ์ สัมพันธ์สันติกูล ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ๓. นางเยาวลักษณ์ มานะตระกูล ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
26953 | การติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดพิจิตร | นร | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายวราเทพ รัตนากร) รายงานสรุปผลการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคเพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดพิจิตร เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์อุทกภัย เนื่องจากร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และอิทธิพลจากพายุโซนร้อน “หวู่ติ๊บ” ส่งผลให้เกิดฝนตกหนัก ประกอบกับเกิดน้ำไหลหลากจากเทือกเขาเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ ไหลเข้าท่วม และระดับน้ำในแม่น้ำยม แม่น้ำน่าน สูงขึ้น ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขังในพื้นที่จังหวัดพิจิตร รวม ๑๒ อำเภอ ๕๘ ตำบล ๔๓๓ หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ๑๔,๗๘๔ ครัวเรือน ๔๒,๕๓๔ คน พื้นที่การเกษตรได้รับผลกระทบ จำนวน ๗๘,๑๕๗ ไร่ โรงเรียน ๑๒ แห่ง และวัด ๒ แห่ง สถานการณ์ปัจจุบัน ระดับน้ำเริ่มลดลง แต่ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่การเกษตร และที่อำเภอตะพานหิน และอำเภอบางมูลนาก ระดับน้ำเพิ่มขึ้น เนื่องจากระดับน้ำในแม่น้ำน่านเพิ่มสูงขึ้น ทำให้น้ำเอ่อล้นไหลเข้าท่วม ๒. การมอบนโยบายแก่หัวหน้าส่วนราชการและการแจ้งข้อห่วงใยของรัฐบาลแก่ประชาชนที่ประสบปัญหาอุทกภัย ๒.๑ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และให้จังหวัดเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์อุทกภัย เพราะจังหวัดพิจิตรเป็นพื้นที่ที่เกิดอุทกภัยทุกปี ซึ่งหัวหน้าส่วนราชการ องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล นายอำเภอมีความเอาใจใส่ในเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างดี ๒.๒ นายกรัฐมนตรีได้ผลักดันโครงการเพื่อออกแบบและก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน และระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศ วงเงินงบประมาณ ๓.๕ แสนล้านบาท เพื่อบริหารจัดการน้ำในเรื่องของการก่อสร้างต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างยั่งยืน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดเตรียมบุคลากร ข้อมูล และเอกสารต่าง ๆ เพื่อจัดทำการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ ๒.๓ การเยียวยาช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยจะมีการช่วยเหลือตามระเบียบต่อไป ซึ่งจะต้องเข้าไปสำรวจพื้นที่ความเสียหายทั้งอาคารบ้านเรือน พืชไร่ พืชสวน นาข้าว เป็นต้น และการช่วยเหลือเกษตรกรในการพักชำระหนี้ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรซึ่งต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์กระทรวงการคลังที่กำหนดไว้ สำหรับการบูรณะสาธารณูปโภคได้แจ้งให้จังหวัดสำรวจพื้นที่ความเสียหายเพื่อขอรับงบประมาณในการดำเนินการซ่อมแซมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
26954 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (จำนวน 4 ราย 1. นายจุมพล มนัสช่วง ฯลฯ) | กต | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (เอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศ) จำนวน ๔ ราย ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับแล้ว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้เกษียณอายุราชการและสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑.นายจุมพล มนัสช่วง ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งเอกอัครราชทูต (นักบริหารการทูต ระดับสูง) สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงตริโปลี รัฐลิเบีย สำนักงานปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต (นักบริหารการทูต ระดับสูง) สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเอเธนส์ สาธารณรัฐเฮลเลนิก สำนักงานปลัดกระทรวงการต่างประเทศ สืบแทนนายพฤทธิพงศ์ กุลทนันทน์ ซึ่งเกษียณอายุราชการ ๒. นายกิตติพงษ์ ณ ระนอง ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งเอกอัครราชทูต (นักบริหารการทูต ระดับสูง) สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี สำนักงานปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต (นักบริหารการทูต ระดับสูง) สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงตริโปลี รัฐลิเบีย สำนักงานปลัดกระทรวงการต่างประเทศ สืบแทนนายจุมพล มนัสช่วง ๓. นายกุลกุมุท สิงหรา ณ อยุธยา ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งเอกอัครราชทูต (นักบริหารการทูต ระดับสูง) สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมาดริด ราชอาณาจักรสเปน สำนักงานปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต (นักบริหารการทูต ระดับสูง) สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี สำนักงานปลัดกระทรวงการต่างประเทศ สืบแทนนายกิตติพงษ์ ณ ระนอง ๔. นางบุษยา มาทแล็ง ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งเอกอัครราชทูต (นักบริหารการทูต ระดับสูง) สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงดาการ์ สาธารณรัฐเซเนกัล สำนักงานปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต (นักบริหารการทูต ระดับสูง) สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมาดริด ราชอาณาจักรสเปน สำนักงานปลัดกระทรวงการต่างประเทศ สืบแทนนายกุลกุมุท สิงหรา ณ อยุธยา
|
||||||||||||||||||||||||
26955 | การจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 | นร07 | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ โดยกำหนดให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และสภากาชาดไทย จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ รวมทั้งแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำแนกตามยุทธศาสตร์ประเทศ (CS) และจัดส่งให้สำนักงบประมาณตามแนวทางปฏิบัติ ดังนี้
๑. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และสภากาชาดไทย จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตลอดทั้งปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เต็มจำนวนวงเงินงบประมาณรายจ่ายตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ๒. สำหรับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และสภากาชาดไทย ตลอดจนกองทุนและเงินทุนหมุนเวียนที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำแนกตามยุทธศาสตร์ประเทศ (CS) ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ จำแนกตามยุทธศาสตร์ประเทศ (CS) ตลอดทั้งปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เต็มจำนวนวงเงินงบประมาณรายจ่ายที่ได้รับจัดสรร ทั้งนี้ การจัดทำแผนตามข้อ ๑ และข้อ ๒ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้นำงบประมาณรายจ่ายที่ได้รับจัดสรรตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไปพลางก่อน มาเป็นส่วนหนึ่งของแผนที่จัดทำขึ้นด้วย ๓. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และสภากาชาดไทย จัดทำแผนตามข้อ ๑ และข้อ ๒ ส่งให้สำนักงบประมาณพิจารณาให้ความเห็นชอบภายในวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๖ เพื่อใช้ในการขอเบิกจ่ายและใช้จ่ายงบประมาณ เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ประกาศใช้บังคับแล้ว โดยให้บันทึกข้อมูลในระบบ e-Budgeting [EvMIS หรือ EvMIS (CS)]
|
||||||||||||||||||||||||
26956 | รายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ และรายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการคณะต่างๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร12 | 01/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (ค.ต.ป.) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๖ ตามที่ ค.ต.ป. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของ ค.ต.ป. ประจำกระทรวง คณะอนุกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (อ.ค.ต.ป.) กลุ่มกระทรวง และ อ.ค.ต.ป. กลุ่มจังหวัด ที่ได้ดำเนินการสอบทานผลการปฏิบัติงานของส่วนราชการและจังหวัด โดยมีสรุปภาพรวมจากรายงานข้อค้นพบของส่วนราชการและจังหวัดตามประเด็นการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการที่กำหนด พบว่า ส่วนราชการและจังหวัดมีการพัฒนาการดำเนินงานในประเด็นที่ได้สอบทานทั้ง ๕ ด้าน ได้แก่ การตรวจราชการ การตรวจสอบภายใน การควบคุมภายในและการบริหารความเสี่ยง การปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการ และรายงานการเงิน อย่างต่อเนื่อง ๑.๒ เห็นชอบข้อเสนอแนะตามความเห็นของ ค.ต.ป. และให้หน่วยงานที่พบปัญหาและผู้รับผิดชอบรายงานผลความก้าวหน้าในการดำเนินการทุก ๖ เดือน ต่อ ค.ต.ป. คณะต่าง ๆ ตามที่รับผิดชอบ ๑.๓ รับทราบรายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการคณะต่าง ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ซึ่งพบว่า คณะกรรมการฯ มีผลการประเมินตนเองในภาพรวมรายคณะอยู่ในเกณฑ์ระดับดีเยี่ยม ๒. ให้ ค.ต.ป. รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีที่เห็นควรปรับวิธีการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการเพิ่มขึ้นใน ๒ มิติ คือ มิติด้านการเงิน โดยมุ่งเน้นการตรวจสอบและประเมินผลด้านประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณ ความสามารถในการลดต้นทุนและลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินการ และความสามารถในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และมิติด้านการบริหารจัดการ โดยคำนึงถึงความโปร่งใส ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการบริหารจัดการ ซึ่งควรกำหนดตัวชี้วัดให้ชัดเจนและใช้เป็นกลไกในการบริหารจัดการ และในการตรวจสอบและประเมินผลควรพิจารณาขยายไปถึงราชการส่วนท้องถิ่น มีการวางมาตรการในการตรวจสอบที่กระชับมากขึ้น และให้ฝ่ายเลขานุการของ ค.ต.ป. ควรมีพื้นฐานความรู้ที่หลากหลายและสามารถตรวจสอบในเชิงลึกได้ รวมทั้งความเห็นของกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรเพิ่มอัตรากำลังผู้ตรวจสอบภายในจังหวัด จากเดิมจังหวัดละ ๓ คน เป็นจังหวัดละ ๕-๗ คน เพื่อให้เหมาะสมกับขอบเขตปริมาณงานของแต่ละจังหวัด นอกจากนี้ เห็นควรให้นำข้อค้นพบและแนวทางแก้ไขในรายงานดังกล่าวเชื่อมโยงเข้ากับระบบการติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งเป็นระบบที่เชื่อมโยงกับศูนย์ปฏิบัติการของนายกรัฐมนตรี (PMOC) เพื่อคณะรัฐมนตรีจะได้ใช้ประโยชน์ในการกำกับการบริหารราชการของส่วนราชการอย่างบูรณาการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
26957 | ขออนุมัติแผนการกู้เงินในประเทศเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยในช่วงระยะเวลา 5 ปี (ปีงบประมาณ 2557 - 2561) โดยการกู้ Roll-Over วงเงินรวม 18,800 ล้านบาท และอนุมัติให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยกู้เงินในปีงบประมาณ 2557 - 2561 วงเงินรวมไม่เกิน 18,800 ล้านบาท ตามแผนการกู้เงิน | คค | 01/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แผนการกู้เงินในประเทศเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ในช่วงระยะเวลา ๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) โดยการกู้เงิน Roll-Over วงเงินรวม ๑๘,๘๐๐ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติให้ กทพ. กู้เงินในปีงบประมาณ ๒๕๕๗-๒๕๖๑ วงเงินรวมไม่เกิน ๑๘,๘๐๐ ล้านบาท ตามแผนการกู้เงินฯ ทั้งนี้ ให้ กทพ. ไม่ต้องนำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติการกู้เงินเป็นรายปีอีก และให้ กทพ. บรรจุแผนการกู้เงินแต่ละปีที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติแล้วในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีของกระทรวงการคลัง โดยให้กระทรวงการคลังร่วมกับ กทพ. เป็นผู้พิจารณาแหล่งเงินกู้ วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินที่เหมาะสม ตลอดจนเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้สำหรับปีงบประมาณ ๒๕๕๗-๒๕๖๑ ๒. ให้ กทพ. รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการกู้เงินในแต่ละปีงบประมาณ ให้ กทพ. ดำเนินการขออนุมัติการกู้เงินจากคณะกรรมการ กทพ. และดำเนินการตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ โดยบรรจุแผนการกู้เงินดังกล่าวในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณเพื่อเสนอคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณก่อนที่จะดำเนินการกู้เงินต่อไป นอกจากนี้ กรณีที่มีการปรับแผนการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ของ กทพ. ในแต่ละปีหรือระหว่างปี เห็นควรให้ กทพ. เสนอปรับแผนการกู้เงินต่อกระทรวงการคลังเพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินการจริง และเพื่อให้กระทรวงการคลังสามารถปรับแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีได้อย่างเหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา ไปดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26958 | ข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ 9 ของไทย ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน | พณ | 01/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันชุดที่ ๙ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียนและข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ ๙ ของไทย ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน โดยสาระสำคัญของข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการฯ เป็นการเพิ่มสาขาบริการที่ไทยจะเปิดให้อาเซียนถือหุ้นได้ร้อยละ ๗๐ ตามเป้าหมายของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) โดยมีข้อจำกัดในการให้บริการในแต่ละสาขาบริการหรือกิจกรรมที่ไทยต้องการสงวนเพื่อการกำกับดูแลสาขาบริการหรือกิจกรรมดังกล่าว เช่น การกำหนดประเภทของนิติบุคคลที่สามารถจัดตั้งได้ และการสงวนสิทธิไม่ให้ต่างชาติถือครองที่ดิน เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้กระทรวงพาณิชย์แก้ไขเงื่อนไขทั่วไปในตารางข้อผูกพันบริการโทรคมนาคมตามความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ก่อนเสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามพิธีสาร ๓. เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบพิธีสารและข้อผูกพันดังกล่าวแล้ว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินกระบวนการภายในประเทศเพื่ออนุวัติการให้เป็นไปตามพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันชุดที่ ๙ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียนและข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ ๙ ของไทย ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน และให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งเลขาธิการอาเซียนว่าประเทศไทยได้ดำเนินการตามกระบวนการภายในเสร็จสิ้นแล้วเพื่อให้พิธีสารมีผลใช้บังคับ |
||||||||||||||||||||||||
26959 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 5 พ.ศ. 2555 เรื่อง การป้องกันและลดผลกระทบด้านสุขภาพจากโรงไฟฟ้าชีวมวล และแผนการขับเคลื่อนมติฯ | สช | 01/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ เห็นชอบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ ๕ พ.ศ. ๒๕๕๕ เรื่อง การป้องกันและลดผลกระทบด้านสุขภาพจากโรงไฟฟ้าชีวมวล พร้อมทั้งแผนการขับเคลื่อนมติฯ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติฯ ที่เกี่ยวข้องต่อไป ยกเว้นประเด็นการห้ามใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในโรงโรงไฟฟ้าชีวมวล [ตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติฯ ข้อ ๑.๔ (๘)] และประเด็นการให้กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศให้โรงไฟฟ้าชีวมวลเป็นกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ [ตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติฯ ข้อ ๑.๖ (๒)] ให้ดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ การห้ามใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าชีวมวล [ตามมติฯ ข้อ ๑.๔ (๘)] ให้กระทรวงพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดมาตรการในการลดและเลิกการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ในโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลให้ชัดเจน โดยเฉพาะในโรงไฟฟ้าชีวมวลที่มีขนาดกำลังผลิตกระแสไฟฟ้ารวมต่ำกว่า ๑๐ เมกะวัตต์ ๑.๒ การให้กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศให้โรงไฟฟ้าชีวมวลเป็นกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ [ตามมติฯ ข้อ ๑.๖ (๒)] ให้กระทรวงสาธารณสุข (กรมอนามัย) ร่วมกับกระทรวงพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานดำเนินการปรับปรุงการจัดทำประมวลหลักการปฏิบัติงาน (COP) โดยให้มีมาตรการควบคุมและป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพอย่างครอบคลุมด้วย และให้กรมอนามัยในฐานะเลขานุการคณะกรรมการสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเหมาะสมในการออกประกาศตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ ให้การประกอบกิจการโรงไฟฟ้าชีวมวลเป็นกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพต่อไป ๒. ยกเว้นประเด็นการห้ามใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าชีวมวล [ตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติฯ ข้อ ๑.๔ (๘)] และประเด็นการให้กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศให้โรงไฟฟ้าชีวมวลเป็นกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ [ตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติฯ ข้อ ๑.๖ (๒)] ให้กระทรวงพลังงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาในประเด็นดังกล่าวว่าจะสามารถดำเนินการได้หรือไม่เพียงใด หรือมีแนวทางใดที่เหมาะสม และนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
26960 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - ฟิลิปปินส์ | คค | 01/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding) ระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับผลการเจรจาการบินร่วมกัน โดยมีการปรับปรุงเส้นทางการบิน สิทธิความจุความถี่ และเพิ่มเติมข้อบทว่าด้วยการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน ซึ่งจะทำให้สายการบินของทั้งสองฝ่ายมีความยืดหยุ่นในการวางแผนการให้บริการ และเปิดโอกาสให้สามารถเพิ่มบริการระหว่างกันได้มากขึ้น รวมทั้งจะทำให้การขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศทั้งสองขยายตัวเพิ่มมากขึ้น อันจะเป็นประโยชน์ต่อผู้โดยสาร ธุรกิจการขนส่งสินค้า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การค้า และการบริการระหว่างทั้งสองประเทศให้เจริญเติบโตอย่างมีศักยภาพ อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ทั้งในระดับรัฐบาลและระดับสายการบินของทั้งสองประเทศต่อไป ๒. ให้นำเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนมอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจฯ ต่อไป โดยในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ |
.....