ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1346 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 26901 - 26920 จากข้อมูลทั้งหมด 123978 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
26901 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการและเพิ่มวงเงินงบประมาณของกรมทางหลวง | คค | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวงเปลี่ยนแปลงรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณเพื่อดำเนินการจ้างที่ปรึกษาศึกษาและวิเคราะห์ความเหมาะสม และให้คำปรึกษาในการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ในวงเงิน ๓๕.๐๐๐ ล้านบาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ซึ่งกันไว้เบิกเหลื่อมปี จำนวน ๓.๑๕๐ ล้านบาท งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑๓.๓๖๗ ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีกจำนวน ๑๘.๔๘๓ ล้านบาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยให้กรมทางหลวงขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามระเบียบและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. กรณีการขอให้กรมทางหลวงกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ผูกพันได้ภายหลังสิ้นสุดปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ นั้น ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ถือปฏิบัติตามหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๔๐๖.๖/ว ๑๐๔ ลงวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๕ เรื่อง การกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีและ/หรือการขยายเวลาเบิกจ่ายเงินผ่านระบบ GFMIS ตามความเห็นของกระทรวงการคลังต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
26902 | ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ พ.ศ. .... | วธ | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นควรพิจารณาการยกร่างกฎหมายดังกล่าวให้ครอบคลุมในประเด็นต่าง ๆ โดยคำนึงถึงบริบทการพัฒนาของประเทศ ภัยคุกคามและความเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดการเสื่อมสลายหรือการสูญหายของมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของประเทศ ตลอดจนสอดคล้องกับผลประโยชน์ของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาค และความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับมาตรา ๘ (๔) และมาตรา ๑๑ ก (๓) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ประเด็นคำว่า “สุขภาพ” ควรกำหนดให้ชัดเจนและเกี่ยวข้องกับร่างพระราชบัญญัติฯ โดยแก้เป็น “การแพทย์แผนไทย” รวมทั้งเพิ่มองค์ประกอบ อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเป็นคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ และนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเป็นคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ประจำจังหวัด ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ๒. ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติฯ ควรสอดคล้องกับแผนการจัดตั้งประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนว่าด้วยการสร้างอัตลักษณ์อาเซียน โดยเฉพาะการส่งเสริมการสงวนและอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมอาเซียน โดยการพัฒนาและปรับปรุงกฎระเบียบภายในประเทศและกลไกระดับภูมิภาคเพื่อปกป้องรักษาและส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรมของอาเซียน นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์และสร้างความตระหนักรู้ให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชนเกี่ยวกับเรื่องมรดกทางวัฒนธรรมทั้งที่จับต้องได้และไม่ได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องดังกล่าว รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการรักษา สืบทอด และพัฒนา ผ่านแผนงานและโครงการที่บูรณาการร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
26903 | การขอความเห็นชอบการเปลี่ยนแปลง การจัดการแข่งขันกีฬาแห่งชาติจากเดิมแข่งขันเป็นประจำทุกปี เป็นแข่งขัน 2 ปี ต่อครั้ง | กก | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงการจัดการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ จากเดิมแข่งขันเป็นประจำทุกปี เป็นแข่งขัน ๒ ปี ต่อครั้ง ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ ๒.๑ โดยปกติจะมีการจัดการแข่งขันกีฬาคนพิการควบคู่ไปกับการจัดการแข่งขันกีฬาแห่งชาติด้วย เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการจัดการแข่งขันกีฬาแห่งชาติเป็นแข่งขัน ๒ ปี ต่อครั้ง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องให้การส่งเสริมและดูแลให้มีการจัดการแข่งขันกีฬาคนพิการให้เหมาะสมและให้มีมาตรฐานที่สามารถแข่งขันได้ในระดับนานาชาติต่อไปด้วย ๒.๒ การแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ควรพิจารณากำหนดช่วงเวลาให้เหมาะสมสอดคล้องกับกำหนดการแข่งขันกีฬาในระดับภูมิภาคและระดับโลก เช่น การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก เป็นต้น) ตามลำดับ เพื่อช่วยให้สามารถคัดเลือกนักกีฬาไทยเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันในระดับนานาชาติและระดับโลกได้อย่างเหมาะสม ทั้งนี้ ควรให้มีการกระจายการจัดการแข่งขันกีฬาออกไปในภูมิภาคเพิ่มมากยิ่งขึ้น รวมทั้งกำหนดชนิดกีฬาให้เหมาะสมด้วย ๒.๓ การแข่งขันกีฬาในระดับโลกได้อนุญาตให้นักกีฬาอาชีพเข้าร่วมการแข่งขันได้เพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ในการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจะพิจารณาว่าจะกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขประการใดหรือไม่ สำหรับนักกีฬาอาชีพได้เข้าร่วมการแข่งขันด้วย และเพื่อเป็นการส่งเสริมให้นักกีฬาไทยที่มีศักยภาพและสมรรถนะสูงในแต่ละประเภทได้เข้าร่วมการแข่งขันและก้าวไปสู่การเป็นนักกีฬาอาชีพต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
26904 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองสตูล พ.ศ. .... | มท | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองสตูล พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลพิมาน บางส่วนของตำบลคลองขุด และบางส่วนของตำบลควนขัน อำเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะและสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
26905 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลนากระตาม อำเภอท่าแซะ และตำบลหาดพันไกร ตำบลบางลึก อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | คค | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลนากระตาม อำเภอท่าแซะ และตำบลหาดพันไกร ตำบลบางลึก อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลนากระตาม อำเภอท่าแซะ และตำบลหาดพันไกร ตำบลบางลึก อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลนากระตาม อำเภอท่าแซะ และตำบลหาดพันไกร ตำบลบางลึก อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์นั้นตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
26906 | รายงานปัญหาอาชญากรรม (ในรอบเดือนสิงหาคม 2556) | ตช | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานข้อมูลปัญหาอาชญากรรม ในรอบเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านการป้องกันอาชญากรรม ๑.๑ คดีกลุ่มที่ ๑ คดีอุกฉกรรจ์ สะเทือนขวัญ มีการรับแจ้งคดีทั้งสิ้น ๓๔๒ คดี ๑.๒ คดีกลุ่มที่ ๒ คดีประทุษร้ายต่อชีวิต ร่างกาย และเพศ มีการรับแจ้งคดีทั้งสิ้น ๑,๘๒๙ คดี ๑.๓ คดีกลุ่มที่ ๓ คดีประทุษร้ายต่อทรัพย์ มีการรับแจ้งคดีทั้งสิ้น ๔,๒๐๖ คดี ๒. ด้านการปราบปรามอาชญากรรม ๒.๑ คดีกลุ่มที่ ๑ จับกุมได้ ๑๘๒ คดี คิดเป็นร้อยละ ๕๓.๒๒ ของการรับแจ้ง (๓๔๒ คดี) ๒.๒ คดีกลุ่มที่ ๒ จับกุมได้ ๘๔๘ คดี คิดเป็นร้อยละ ๔๖.๓๖ ของการรับแจ้ง (๑,๘๒๙ คดี) ๒.๓ คดีกลุ่มที่ ๓ จับกุมได้ ๑,๕๘๒ คดี คิดเป็นร้อยละ ๓๗.๖๑ ของการรับแจ้ง (๔,๒๐๖ คดี) ๓. ด้านการประชาสัมพันธ์ ได้เร่งรณรงค์ประชาสัมพันธ์ทางสื่อต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ให้ประชาชนมีความระมัดระวังในการรักษาความปลอดภัยในทรัพย์สินของตนเองให้มากยิ่งขึ้น โดยไม่เปิดโอกาสให้คนร้ายเข้ามาประทุษร้ายต่อทรัพย์ของตนเองได้ง่าย รวมทั้งการให้ความร่วมมือในการแจ้งเบาะแสการกระทำผิดของคนร้าย สำหรับกรณีที่มีการจับกุมผู้กระทำผิดในคดีที่ก่อให้เกิดความเสียหายในภาพรวมหรือกระทบต่อความสงบสุขในการดำรงชีวิตประจำวันของประชาชน ให้พิจารณาจัดแถลงข่าวทางสื่อมวลชนให้ประชาชนได้รับทราบ ๔. จากผลการดำเนินการในรอบเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ พบว่าในด้านการป้องกันอาชญากรรมในภาพรวม สำนักงานตำรวจแห่งชาติสามารถควบคุมอาชญากรรมให้อยู่ในระดับเกณฑ์เป้าหมายที่กำหนดไว้ได้ เนื่องจากได้มีคำสั่งให้ทุกหน่วยงานในสังกัด เข้มงวดกวดขันในการตั้งจุดตรวจ จุดสกัดในพื้นที่ล่อแหลมหรือเสี่ยงต่อการเกิดอาชญากรรม ส่งผลให้สถิติคดีอาญาลดน้อยลง ส่วนด้านการปราบปรามอาชญากรรม ทุกกลุ่มคดีมีผลการปฏิบัติไม่ผ่านเกณฑ์เป้าหมายที่กำหนดไว้ จึงได้สั่งการให้ผู้บังคับบัญชาแต่ละระดับเร่งรัดมาตรการด้านสายตรวจให้มีความถี่เพิ่มมากขึ้น เพื่อลดแรงจูงใจในการกระทำผิดตามห้วงเวลาที่เกิดเหตุมากของแต่ละพื้นที่ ให้หน่วยปฏิบัติพิจารณาระดมกวาดล้างอาชญากรรมในห้วงเวลาที่เหมาะสมเป็นประจำทุกเดือน ๆ ละไม่น้อยกว่า ๑๐ วัน เร่งรัดจับกุมผู้กระทำผิดตามหมายจับคดีค้างเก่าอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการระดมกวาดล้างยาเสพติดตามนโยบายของรัฐบาล
|
||||||||||||||||||||||||
26907 | นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมพิธีเปิดงานแสดงสินค้าจีน - อาเซียน ครั้งที่ 10 ที่นครหนานหนิง | นร04 | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอรายงานผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้นำสาธารณรัฐประชาชนจีน และการเข้าร่วมพิธีเปิดงานแสดงสินค้าจีน-อาเซียน (China-ASEAN Expo : CAEXPO) ครั้งที่ ๑๐ ของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๒-๓ กันยายน ๒๕๕๖ ณ นครหนานหนิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ของกระทรวงการต่างประเทศ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป โดยในส่วนของผลการหารือสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การหารือกับนายกรัฐมนตรีจีน ๑.๑.๑ นายกรัฐมนตรีจีนรับจะเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรีในช่วงเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ และเชิญนายกรัฐมนตรีเดินทางเยือนจีนอีกครั้งในโอกาสที่สะดวก ๑.๑.๒ นายกรัฐมนตรีจะผลักดันมูลค่าการค้าไทย-จีน ให้บรรลุเป้าหมาย ๑๐๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ๒๕๕๘ และขอให้จีนเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากไทย ซึ่งฝ่ายจีนรับที่จะซื้อข้าว ๑ ล้านตันในระยะเวลา ๕ ปี และแสดงความสนใจที่จะนำเข้ายางพาราเป็นจำนวนมาก โดยนายกรัฐมนตรีเสนอให้จีนเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมแปรรูปยางพาราเพื่อจัดตั้ง Rubber City และเสนอให้ทั้งสองฝ่ายจัดตั้งคณะทำงานย่อยว่าด้วยความร่วมมือทางการค้าสินคาเกษตร ภายใต้คณะกรรมการร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน และเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีน (JC เศรษฐกิจไทย-จีน) โดยจีนรับจะจัดการประชุม JC เศรษฐกิจไทย-จีน ครั้งที่ ๓ โดยเร็ว ๑.๑.๓ นายกรัฐมนตรีเสนอให้จีนเข้ามาลงทุนในระบบรถไฟความเร็วสูง โดยเสนอว่าไทยอาจชำระค่าใช้จ่ายบางส่วนเป็นสินค้าเกษตร ซึ่งนายกรัฐมนตรีจีนขอให้ทั้งสองฝ่ายหารือกันต่อไปในการประชุมคณะกรรมการร่วมด้านรถไฟไทย-จีน ครั้งที่ ๓ ๑.๑.๔ นายกรัฐมนตรีจะผลักดันความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนสิทธิจราจรระหว่างไทย-จีน เพื่อให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบให้ทันกับการเปิดใช้สะพานมิตรภาพแห่งที่ ๔ (เชียงของ-ห้วยทราย) รวมทั้งผลักดันให้เส้นทาง R8 และ R12 ซึ่งผ่านลาว เวียดนาม และจีน ผนวกอยู่ในความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในกรอบแผนงานการพัฒนาความร่วมมือในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (Greater Mekong Subregion : GMS) ๑.๑.๕ นายกรัฐมนตรีเสนอที่จะจัดการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนุภูมิภาคแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง ในช่วงต้นปี ๒๕๕๗ เพื่อหารือเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำในลุ่มแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง ซึ่งฝ่ายจีนพร้อมจะร่วมมือ ๑.๑.๖ นายกรัฐมนตรีได้เชิญจีนเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย-แปซิฟิก ด้านโทรคมนาคมที่ประเทศไทยในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๖ และเชิญชวนจีนเข้าร่วมโครงการของภาคเอกชนที่จะจัดตั้งศูนย์การค้าและวัฒนธรรมจีน-ไทย/อาเซียนในประเทศไทย และขอความร่วมมือจากจีนในโครงการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมไทยในจีน ส่วนฝ่ายจีนจะพิจารณาข้อเสนอของไทยเรื่องการจัดทำความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา และเห็นพ้องที่จะหารือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ได้ข้อยุติเรื่องวงโคจรดาวเทียม ๑.๑.๗ นายกรัฐมนตรีเสนอว่าไทยจะทำหน้าที่ประเทศผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน-จีน อย่างดีที่สุด โดยยึดหลักความไว้เนื้อเชื่อใจและความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน ๑.๒ การหารือกับเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง จีนมีแผนการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมจีน-ไทย ที่เมืองฉงจั่ว เพื่อส่งเสริมการลงทุนไทยในกว่างซี และสนใจจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมที่ไทยในอนาคต ซึ่งนายกรัฐมนตรีขอให้การนิคมอุตสาหกรรมทั้งสองฝ่ายหารือกันต่อไป และทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้จัดตั้งคณะทำงานไทย-กว่างซี ระหว่างสถานกงสุลใหญ่ ณ นครหนานหนิง กับสำนักงานการต่างประเทศเขตฯ กว่างซีจ้วง เพื่อขยายความร่วมมือด้านการค้าสินค้าเกษตรและอาหารจากไทยมายังกว่างซี รวมทั้งหาช่องทางส่งเสริมสินค้าเกษตร และขยายความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ระหว่างกัน ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการจัดส่งข้าวคุณภาพเกรดเอพร้อมหม้อหุงข้าวเพื่อมอบแก่นายกรัฐมนตรีจีนโดยประสานกับกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการตามความเหมาะสม
|
||||||||||||||||||||||||
26908 | การแต่งตั้งข้าราชการ (กระทรวงมหาดไทย) (นางสาวปราณี นันทเสนามาตร์) | มท | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางสาวปราณี นันทเสนามาตร์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการผังเมือง (นักผังเมืองทรงคุณวุฒิ) กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
26909 | การบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) | กค | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ดำเนินโครงและอนุมัติจัดสรรเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ให้กับกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง สำหรับโครงการพัฒนาระบบยื่นรายงานประกอบแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (Summary Table) วงเงิน ๙๘๘,๕๗๐,๐๐๐ บาท (วงเงินรวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) โดยให้กรมสรรพากรดำเนินการตามหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐที่มีงบประมาณเกินกว่า ๑๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ ในกรณีโครงการใดต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบใด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดด้วย ๑.๒ อนุมัติให้ดำเนินโครงการและอนุมัติจัดสรรเงินกู้ DPL ให้กับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง สำหรับโครงการจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาและจัดทำกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวกับพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ วงเงิน ๑๐,๗๐๐,๐๐๐ บาท (วงเงินรวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) ๑.๓ อนุมัติให้ดำเนินโครงการและอนุมัติจัดสรรเงินกู้ DPL ให้กับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง สำหรับโครงการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public Private Partnerships : PPPs) วงเงิน ๒๖,๗๕๐,๐๐๐ บาท (วงเงินรวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) ๑.๔ อนุมัติให้ดำเนินโครงการและอนุมัติจัดสรรเงินกู้ DPL ให้กับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง สำหรับโครงการวิเคราะห์ความเป็นไปได้และรูปแบบทางธุรกิจที่เหมาะสมในการให้เอกชนร่วมลงทุน (PPPs Model) สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูง วงเงิน ๒๖,๗๕๐,๐๐๐ บาท (วงเงินรวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะจะพิจารณารายละเอียดค่าใช้จ่ายโครงการอีกครั้งในขั้นตอนการอนุมัติจัดสรรเงินกู้เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy : DPL) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสม ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาความเหมาะสมของกรอบระยะเวลาโครงการศึกษาจัดทำแผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public Private Partnerships : PPPs) และโครงการศึกษาและจัดทำกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวกับพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อให้มีกรอบระยะเวลาที่สอดคล้องกับกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ และประสานกระทรวงคมนาคม (สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร และการรถไฟแห่งประเทศไทย) เพื่อให้การดำเนินโครงการวิเคราะห์ความเป็นไปได้และรูปแบบทางธุรกิจที่เหมาะสมในการให้เอกชนร่วมลงทุน เป็นการศึกษาต่อยอดจากผลการศึกษาความเหมาะสมของโครงการรถไฟความเร็วสูง ๔ เส้นทาง ได้แก่ กรุงเทพฯ-พิษณุโลก-เชียงใหม่ กรุงเทพฯ-นครราชสีมา กรุงเทพฯ-หัวหิน และกรุงเทพฯ-ระยอง และมีความสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบรางของกระทรวงคมนาคม และข้อสังเกตของคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐที่เห็นควรพิจารณาความเหมาะสมในการใช้งานระบบร่วมกับระบบงานอื่นที่มีอยู่ ควรมีรายละเอียดการคำนวณและวิเคราะห์ปริมาณงานที่ให้บริการเพื่อให้ทราบถึงความเหมาะสมในการออกแบบระบบและขนาดของฮาร์ดแวร์ที่เลือกใช้ ควรมีการบูรณาการฐานข้อมูลของระบบให้เข้ากับฐานข้อมูลส่วนอื่น ๆ ของกรมสรรพากร รวมทั้งกำหนดอัตราค่า Man month ของที่ปรึกษาและบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบและพัฒนาระบบให้เป็นไปตามที่กระทรวงการคลังประกาศ นอกจากนี้ ควรแจกแจงรายละเอียดของการพัฒนาระบบงานประยุกต์ที่จะดำเนินการให้ชัดเจนตามมาตรฐานราคากลางการพัฒนาซอฟต์แวร์ และวางแผนขั้นตอนการดำเนินงานแต่ละขั้นตอนให้ชัดเจนโดยมุ่งผลสัมฤทธิ์ของโปรแกรมประยุกต์ก่อนการจัดหาระบบฮาร์ดแวร์ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26910 | ร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะของที่ราชพัสดุ ในท้องที่ตำบลห้วยยาง อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร พ.ศ. .... | กค | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะของที่ราชพัสดุ ในท้องที่ตำบลห้วยยาง อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะของที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ สน.๑๑๔๘ เนื้อที่ทั้งหมดประมาณ ๒๙๖ ไร่ ๑ งาน ๐๐ ตารางวา โดยมีเนื้อที่ถอนสภาพประมาณ ๑๙๑ ไร่ ๓ งาน ๕๕.๘ ตารางวา ในท้องที่ตำบลห้วยยาง อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
26911 | รายงานผลการเบิกจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปี 2556 ไตรมาส 3 (เมษายน - มิถุนายน 2556) | นร11 | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเบิกจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปี ๒๕๕๖ ไตรมาส ๓ (เมษายน-มิถุนายน ๒๕๕๖) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จากการประมวลผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ ๓ ของรัฐวิสาหกิจที่ใช้รอบปีบัญชีทั้งปีงบประมาณและปีปฏิทิน จำนวน ๕๔ แห่ง ปรากฏว่ารัฐวิสาหกิจในภาพรวมสามารถเบิกจ่ายลงทุนในช่วงดังกล่าวได้จำนวน ๗๐,๒๕๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๔.๙ ของเป้าหมายไตรมาส ๓ (จำนวน ๑๐๘,๒๗๔ ล้านบาท) ซึ่งต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่เบิกจ่ายลงทุนได้ร้อยละ ๖๙.๘ และสามารถเบิกจ่ายลงทุนสะสมตั้งแต่ตุลาคม ๒๕๕๕-มิถุนายน ๒๕๕๖ ได้จำนวน ๑๕๔,๐๐๔ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๔.๗ ของเป้าหมายสะสม (จำนวน ๒๓๘,๐๖๑ ล้านบาท) ๒. เมื่อพิจารณาผลการเบิกจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจในไตรมาสที่ ๓ (เมษายน-มิถุนายน ๒๕๕๖) ปรากฏว่ามีรัฐวิสาหกิจที่มีผลการเบิกจ่ายลงทุนต่ำกว่าเป้าหมายหลายแห่ง โดยพิจารณาสัดส่วน (ร้อยละ) การเบิกจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่เบิกจ่ายได้ต่ำกว่าเป้าหมายมาก ส่วนใหญ่เป็นรัฐวิสาหกิจที่มีวงเงินลงทุนจำนวนไม่สูง อาทิ บริษัท ไทย-อะมาดิอุส เซาท์อีสต์เอเชีย จำกัด องค์การสะพานปลา และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และเมื่อพิจารณาจากมูลค่าการลงทุน พบว่ารัฐวิสาหกิจที่มีวงเงินลงทุนสูงซึ่งอาจมีผลต่อระบบเศรษฐกิจ และมีผลการเบิกจ่ายลงทุนต่ำกว่าเป้าหมายที่สำคัญ ได้แก่ การรถไฟแห่งประเทศไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดยสาเหตุที่เบิกจ่ายได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่สำคัญเนื่องจากปัญหาความล่าช้าในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภายใน การทบทวนแผนการลงทุน การส่งมอบงานล่าช้า รวมทั้งความไม่พร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ดำเนินการ ส่งผลให้ไม่สามารถดำเนินการลงทุนได้ตามแผน
|
||||||||||||||||||||||||
26912 | รายงานผลการจัดงานเสวนา "กระทรวงอุตสาหกรรมพบนักลงทุน - หนุนการสร้างงาน" พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ | อก | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานผลการจัดงานเสวนา “กระทรวงอุตสาหกรรมพบนักลงทุน-หนุนการสร้างงาน” ของพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๖ ณ โรงแรม ซี เอส จังหวัดปัตตานี โดยมีผู้เข้าร่วมทั้งผู้ประกอบการในพื้นที่ ๓ จังหวัด (จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส) และนอกพื้นที่ (จังหวัดสงขลาและสตูล) ประมาณ ๕๐๐ คน รวมทั้งกงสุลมาเลเซียประจำจังหวัดสงขลาได้เข้าร่วมการเสวนาในครั้งนี้ด้วย สรุปผลการจัดงานเสวนาฯ ดังนี้
๑. ผู้บริหารระดับสูงทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมได้ร่วมกันให้ข้อมูลประเภทอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงสำหรับนักลงทุน นำเสนอสิทธิประโยชน์พิเศษ และโครงการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันต่าง ๆ สำหรับผู้ประกอบการที่จะลงทุนในพื้นที่ให้ได้รับทราบและเข้าใจ ๒. กระทรวงอุตสาหกรรมรับทราบปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะจากสภาอุตสาหกรรมจังหวัดปัตตานีและสตูล หอการค้าจังหวัดปัตตานี ตลอดจนผู้ประกอบการจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมการลงทุนและการประกอบการอุตสาหกรรมในทุกมิติ โดยมีประเด็นที่สำคัญ ได้แก่ ๒.๑ มาตรการส่งเสริมการลงทุนใหม่สำหรับ ๔ จังหวัดภาคใต้ (จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล) และ ๔ อำเภอในจังหวัดสงขลา (อำเภอจะนะ นาทวี สะบ้าย้อย และเทพา) ซึ่งให้สิทธิประโยชน์เท่าเทียมกัน จึงทำให้ผู้ประกอบการหันมาลงทุนในจังหวัดสตูลและ ๔ อำเภอของจังหวัดสงขลาแทนที่จะลงทุนในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ๒.๒ ขอรับการสนับสนุนจากรัฐให้สร้างโรงงานแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรเป็นโรงงานต้นแบบ (เนื่องจากไม่มีเอกชนลงทุน) เช่น โรงหีบน้ำมันปาล์มในจังหวัดนราธิวาส ๒.๓ โครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนเมื่อครบกำหนดการยกเว้นภาษีเงินได้แล้ว ขอให้สามารถนำเงินภาษีที่ต้องชำระ (เช่น ปีที่ ๙ หลังจากครบกำหนด ๘ ปี) มาลงทุนเพิ่มได้ ๒.๔ การช่วยเหลือผู้ประกอบการเดิมซึ่งได้รับผลกระทบจากการปรับค่าแรงขั้นต่ำในสภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวให้อยู่รอดได้ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมมีโครงการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันแล้วหลายโครงการ เช่น สนับสนุนการพัฒนาการแปรรูปอาหาร-บรรจุภัณฑ์/ออกแบบแฟชั่นมุสลิม/อุดหนุนดอกเบี้ยเงินกู้ในการเปลี่ยนเครื่องจักร/ผู้ประกอบการสามารถรวมกลุ่มขอรับเงินอุดหนุนจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นต้น ๓. ประเด็นที่ผู้ประกอบการร้องขอ ได้แก่ การจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่แบบครบวงจร (One stop service) การเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นไปอย่างยากลำบาก โครงการในพื้นที่มักไม่ได้รับการอนุมัติ การขออนุญาตตั้งโรงงานในกรณีขัดผังเมืองรวม การสนับสนุนการตลาด การแสดงสินค้า โดยเฉพาะตลาดเพื่อส่งออกต่างประเทศและการค้าชายแดน รวมทั้งการขอปะการังเทียมเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มปริมาณสัตว์น้ำเป็นวัตถุดิบสำหรับโรงงานแปรรูปอาหาร ๔. กงสุลใหญ่มาเลเซียประจำจังหวัดสงขลาได้เสนอให้เพิ่มการประชาสัมพันธ์รายละเอียดเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้และความร่วมมือระหว่างไทยและมาเลเซียเผยแพร่ให้นักธุรกิจมาเลเซียได้รับทราบ
|
||||||||||||||||||||||||
26913 | สรุปสถานการณ์นักท่องเที่ยวระหว่างเดือนมกราคม - สิงหาคม 2556 | กก | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสถานการณ์นักท่องเที่ยว ระหว่างเดือนมกราคม-สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เดือนมกราคม-สิงหาคม ๒๕๕๖ มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาประเทศไทย จำนวน ๑๗,๔๓๗,๒๑๙ คน เพิ่มขึ้น ๓,๐๗๕,๒๓๓ คน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๑.๔๑ จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ภูมิภาคที่มีอัตราการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ เอเชียตะวันออก ยุโรป และอเมริกา ตามลำดับ สำหรับประเทศที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากที่สุด ๑๐ อันดับ ได้แก่ จีน มาเลเซีย รัสเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย ลาว ออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร และอเมริกา ตามลำดับ ๒. ปัจจัยที่ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากแหล่งท่องเที่ยวในประเทศไทยได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว สินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวของไทยมีความหลากหลาย ประเทศไทยมีความคุ้มค่าทางการท่องเที่ยว ประชาชนมีความเป็นมิตรสร้างความอุ่นใจและประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยว และผลการดำเนินงานตามแผนงานส่งเสริมและสนับสนุนด้านการท่องเที่ยวของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬามีส่วนสำคัญในการช่วยลดอุปสรรคด้านการเดินทางท่องเที่ยว ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ กระตุ้นและดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาประเทศไทยเพิ่มขึ้น ๓. แนวโน้มจำนวนนักท่องเที่ยว ปี ๒๕๕๖ องค์การการท่องเที่ยวโลก (United Nations World Tourism Organization : UNWTO) คาดว่าแนวโน้มการเดินทางท่องเที่ยวโลกในปี ๒๕๕๖ จะขยายตัวต่อเนื่องประมาณร้อยละ ๓-๔ จากปีที่ผ่านมา สำหรับประเทศไทย คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวของไทยในปี ๒๕๕๖ จะขยายตัวไม่ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ ๔. ผู้เดินทางชาวไทยเดินทางออกไปต่างประเทศ ระหว่างเดือนมกราคม-สิงหาคม ๒๕๕๖ มีจำนวน ๕,๒๔๕,๖๖๖ คน เพิ่มขึ้น ๒๗๘,๘๖๔ คน คิดเป็นร้อยละ ๕.๖๑ จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยผู้เดินทางชาวไทยนิยมเดินทางไปท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเป็นหลัก และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||||||||
26914 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม รวม 4 ฉบับ | ยธ | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม รวม ๔ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๕ เพื่อแก้ไขชื่อ “คณะกรรมการการยุติธรรมแห่งชาติ” เป็น “คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ” กำหนดให้มีกลุ่มตรวจสอบภายในและกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร ในสำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม และปรับปรุงอำนาจหน้าที่ของสำนักงานเลขานุการกรม ๒. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการกรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม ๓. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ๔. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๕ เพื่อจัดตั้งกองบริหารทรัพยากรบุคคลและกำหนดให้มีกลุ่มตรวจสอบภายในและกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของสำนักงานเลขานุการกรมในกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม |
||||||||||||||||||||||||
26915 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาบางเลน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาบางเลน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไป ดังนี้
๑. ทางน้ำชลประทานคลองซอย ๑๑ ซ้าย ของคลองส่งน้ำสายใหญ่ ๒ ซ้าย จากกิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลสระพัฒนา อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ถึงกิโลเมตรที่ ๑๗.๓๐๔ ในท้องที่ตำบลเนินพระปรางค์ อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ๒. ทางน้ำชลประทานคลองแยกซอย ๔ ขวา ของคลองซอย ๑๑ ซ้าย ของคลองส่งน้ำสายใหญ่ ๒ ซ้าย จากกิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลดอนมะนาว อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ถึงกิโลเมตรที่ ๘.๑๘๓ ในท้องที่ตำบลบางเลน อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี
|
||||||||||||||||||||||||
26916 | แนวทางการเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในภาคอุตสาหกรรม | อก | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางการเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในภาคอุตสาหกรรม ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้เชิญผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ยางในภาคอุตสาหกรรมในกลุ่มอุตสาหกรรมยางล้อ ถุงมือยาง ยางยืด ยางที่ใช้งานวิศวกรรม และยางแปรรูปขั้นต้น มาประชุมเพื่อหารือร่วมกันถึงแนวทางในการเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในภาคอุตสาหกรรมและการส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางในประเทศไทย เมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๖ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงอุตสาหกรรมได้วางเป้าหมายการเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในภาคอุตสาหกรรมในปี ๒๕๕๗ โดยประมาณการจากการขยายตัวของปริมาณการใช้ยางพารา ปี ๒๕๕๖ รวมกับปริมาณการใช้ยางพาราจากโรงงานที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนที่จะเปิดดำเนินการในปี ๒๕๕๗ จำนวนทั้งสิ้น ๗๕๐,๐๐๐ ตัน เพิ่มขึ้นจากการประมาณการในปี ๒๕๕๖ ที่ ๕๒๗,๐๐๐ ตัน คิดเป็นร้อยละ ๔๒.๓๒ ๑.๒ ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมได้ร่วมกันพิจารณาแนวทางการขยายปริมาณการใช้ยางพาราในประเทศในภาคอุตสาหกรรมในปี ๒๕๕๗ และพร้อมให้ความร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรมในการเร่งการใช้ยางในประเทศตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมได้ตั้งเป้าหมายไว้ อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการในแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์ยังต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐ โดยได้เสนอแนวทางการเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งมาตรการที่ต้องการให้หน่วยงานภาครัฐช่วยเหลือในแต่ละด้าน ประกอบด้วย ๑.๒.๑ ด้านการส่งเสริมการลงทุน ได้แก่ เร่งพิจารณาคำขอส่งเสริมการลงทุนและการชักจูงการลงทุน และพิจารณาปรับเงื่อนไขให้โอกาสผู้ลงทุนเดิมสามารถรับสิทธิประโยชน์ได้โดยไม่ต้องลงทุนซื้อเครื่องจักรใหม่ทั้งหมด กลั่นกรองการให้การส่งเสริมการลงทุนกับบริษัทข้ามชาติ และคงการให้การส่งเสริมกิจการเกี่ยวกับยางแปรรูปขั้นต้นในยุทธศาสตร์การลงทุนใหม่ ๑.๒.๒ ด้านมาตรฐาน ได้แก่ เร่งกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ยางล้อ มาตรฐานอาเซียน (ASEAN Standard : UNECE Regulation No. 30, 54 และ R 75) ให้เป็นมาตรฐานบังคับ วาง Road Map ในการดำเนินการด้านมาตรฐานและยุทธศาสตร์การเจรจาในกรอบมาตรฐานอาเซียน จัดตั้งห้องทดสอบ สนามทดสอบ และการรับรองมาตรฐานสากลให้ครอบคลุมถึงมาตรฐานใหม่ของยุโรป (UNECE Regulation No. 117) จัดตั้งองค์กรที่ดูแลอุตสาหกรรมถุงมือยางครบวงจร สนับสนุนงบประมาณให้ผู้ประกอบการเดินทางไปเข้าร่วมร่างมาตรฐาน International Organization for Standardization’s Technical Committee (ISO/TC 45) (Rubber and Rubber Products) กับองค์กรมาตรฐานระหว่างประเทศ ๑.๒.๓ ด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ได้แก่ จัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสนับสนุนในด้านการวิจัยขั้นพื้นฐานและการวิจัยที่มีลักษณะเป็นการแก้ปัญหาการผลิตในอุตสาหกรรม ลดต้นทุน และสร้างสินค้าให้มีมาตรฐานสูง จัดตั้งคณะทำงานพิจารณาแนวทางการดำเนินงานเพื่อใช้งบประมาณในการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร เทคโนโลยี และขยายกำลังการผลิต ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท ให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้านการแปรรูปยาง ๑.๒.๔ ด้านสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจ ได้แก่ ส่งเสริมให้ความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ เช่น การอำนวยความสะดวกในการตั้ง/ขยายโรงงาน การขออนุญาตนำเข้าสินค้า เครื่องจักร และการออกใบอนุญาตต่าง ๆ ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเจรจากับประเทศตุรกีที่ใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping) กับสินค้ายางยืดจากไทย ส่งเสริมการส่งออกผ่านระบบแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างประเทศ หน่วยงานของรัฐช่วยจับคู่ธุรกิจโดยให้มีข้อมูลด้านผู้ผลิตเครื่องจักรหรือจัดให้มีการพบกันระหว่างโรงงานผลิตยางพารากับผู้ผลิตเครื่องจักร สนับสนุนระบบประกันภัยโรงงาน ให้การยางแห่งประเทศไทยอำนวยความสะดวกในการดำเนินการต่าง ๆ เช่น การขออนุญาตของผู้ประกอบการให้เป็นแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) และส่งเสริมให้เกิดการรวมกลุ่มในรูปแบบคลัสเตอร์ (Cluster) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ๑.๒.๕ ด้านนโยบาย ได้แก่ ส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์ยางที่ผลิตในประเทศโดยผ่านการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐหรือสร้างแรงจูงใจในการใช้สินค้า “Made in Thailand” การบูรณาการนโยบายอุตสาหกรรมยางระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราทั้งระบบ ๑.๒.๖ ด้านอื่น ๆ ได้แก่ ทบทวนร่างพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... โดยให้ยกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียมการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางขั้นปลาย (CESS) ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการวางแผนทั้งระยะสั้น กลาง และยาว ที่จะต้องพิจารณาให้ครอบคลุมการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ตลอดห่วงโซ่อุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมต่อเนื่องเพื่อเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ยางไทยอย่างมีประสิทธิภาพ และมีมาตรการที่ชัดเจนถึงแนวทางการเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในภาคอุตสาหกรรม การพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางควรมีการแบ่งประเภทให้ชัดเจนเพื่อการดำเนินงานก่อนหลังโดยพิจารณาจากปัจจัยที่ประเทศไทยมีเทคโนโลยีและผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพตามประเภทของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาง และส่งเสริมการนำนวัตกรรมไปสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมยางให้เกิดอุตสาหกรรมคลื่นลูกใหม่ที่สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันที่มีศักยภาพ นอกจากนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมนำข้อเสนอของภาคเอกชนและแนวทางการดำเนินการของภาครัฐที่เกี่ยวข้องมาจัดทำเป็นแผนปฏิบัติการที่มีความชัดเจนในการส่งเสริมการเพิ่มปริมาณการใช้ยางในภาคอุตสาหกรรมได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งการศึกษาวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมยางให้สามารถใช้ประโยชน์จากยางธรรมชาติได้อย่างคุ้มค่า และร่วมกับภาคเอกชนในการขับเคลื่อนมาตรการแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26917 | สรุปผลการเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมด้านการศึกษาปฐมวัย ณ สาธารณรัฐเกาหลี | ศธ | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการรายงานสรุปผลการเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมด้านการศึกษาปฐมวัย (Asia-Pacific Regional Policy Forum on Early Childhood Care and Education) และศึกษาดูงานด้านเทคโนโลยีทางการศึกษา ณ สาธารณรัฐเกาหลี ระหว่างวันที่ ๘-๑๒ กันยายน ๒๕๕๖ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมด้านการศึกษาปฐมวัย จัดขึ้นเพื่อทบทวนสถานภาพของการศึกษาและการดูแลเด็กปฐมวัยในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก แลกเปลี่ยนนวัตกรรมและประสบการณ์ในการจัดการศึกษาและดูแลเด็กปฐมวัยของประเทศต่าง ๆ การกำหนดยุทธศาสตร์ในการจัดการศึกษา และการดูแลเด็กปฐมวัย โดยเฉพาะเด็กกลุ่มด้อยโอกาส เพื่อให้เด็กทุกคนได้มีโอกาสได้รับการดูแลที่เหมาะสมอย่างทั่วถึง และการกำหนดยุทธศาสตร์ในการจัดการปฐมวัยที่เหมาะสมสำหรับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก โดยได้มีการกำหนดหัวข้อต่าง ๆ ที่จะอภิปราย ๓ หัวข้อ คือ การลงทุนในการจัดการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยให้มีความคุ้มค่าต่อการพัฒนามนุษย์ และเศรษฐกิจ การขยายโอกาสการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยอย่างเท่าเทียม และการส่งต่อเด็กปฐมวัยเข้าสู่การศึกษาอย่างประสบผลสำเร็จ รวมทั้งการประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีเพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ดีเกี่ยวกับความพร้อมของเด็กปฐมวัยที่จะเข้าเรียน และโรงเรียนมีความพร้อมเพียงใดที่จะรับเด็กปฐมวัยเข้าเรียน ๒. การได้รับเชิญให้เป็นผู้นำเสนอในหัวข้อที่ ๒ เรื่อง การจัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพและเท่าเทียมกันสำหรับการศึกษาเด็กปฐมวัย ในหัวข้อย่อยที่ ๓ ได้แก่ การกำหนดมาตรฐานและติดตามการพัฒนาและผลการเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัย โดยกล่าวถึงการที่รัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญต่อการจัดการศึกษาและพัฒนาเด็กปฐมวัย ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการจัดการศึกษาปฐมวัย โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และได้มีการประกาศนโยบายที่จะให้มีการพัฒนาเด็กตั้งแต่วัยแรกเกิดจนถึงอายุ ๕ ปี อย่างเหมาะสมตามช่วงอายุ พร้อมกับได้มีการประกาศแผนยุทธศาสตร์ชาติเพื่อการพัฒนาเด็กปฐมวัย ระหว่างปี ๒๕๕๕-๒๕๕๙ เพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาเด็กปฐมวัยในระดับชาติ นอกจากนี้ ยังได้กำหนดนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัยโดยใช้แนวทางการพัฒนาแบบ Life Cycle ด้วยการพัฒนาเด็กอย่างผสมผสานทั้งทางด้านสุขภาพและการเรียนรู้เพื่อให้เด็กทุกคนได้รับการพัฒนาทั้งทางด้านสุขภาพ และการเตรียมความพร้อมในทุกด้านตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาจนสามารถเติบโตขึ้นอย่างมีศักยภาพ และสุขภาพที่แข็งแรง ๓. การพบปะหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของเกาหลีใต้ โดยได้มีการหารือในประเด็นสำคัญ ๓ เรื่อง คือ แนวทางการใช้ ICT เพื่อนำมาประยุกต์ใช้เพื่อการศึกษา ความร่วมมือในการวิจัยและการพัฒนาการศึกษาในระดับอุดมศึกษา และการส่งเสริมการสอนภาษาเกาหลีในประเทศไทย ๔. การดำเนินงานของสถาบันการศึกษา และหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการพัฒนาการศึกษาของสาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงนโยบายและแผนงานของรัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลีที่ให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีทางการศึกษา และภาคเอกชนได้มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมและผลิตสื่อที่นำ ICT มาใช้ในการศึกษา ซึ่งช่วยส่งเสริมให้การจัดการศึกษาในประเทศมีคุณภาพสูงขึ้น สามารถส่งเสริมให้เด็กสามารถคิดวิเคราะห์ และมีผลการเรียนที่สูงขึ้น รวมถึงกิจกรรมพัฒนาทักษะชีวิตอื่น เช่น กีฬา ศิลปะ ดนตรี เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
26918 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ และ United Nations Conference on Trade and Development (UNCTAD) ว่าด้วยความร่วมมือด้านนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาประเทศ | วท | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) และ United Nations Conference on Trade and Development (UNCTAD) ว่าด้วยความร่วมมือด้านนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาประเทศ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการสนับสนุนนโยบายด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาในประเทศไทยผ่านกิจกรรมที่เป็นความร่วมมือของ สวทน. และ UNCTAD ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำที่มิใช่สารัตถะสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ให้ สวทน. หารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการแทนคณะรัฐมนตรีโดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๑.๒ เห็นชอบให้เลขาธิการ สวทน. เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ระหว่าง สวทน. และ UNCTAD ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย สวทน. รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานอัยการสูงสุดเกี่ยวกับข้อ ๔ วรรค ๒ ของบันทึกความเข้าใจฯ ที่ระบุให้คู่ภาคีจัดทำความตกลงแยกต่างหากในการปฏิบัติตามกิจกรรมพิเศษภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ โดยระบุถึงความรับผิดชอบของคู่ภาคีและค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดังกล่าว ดังนั้น หากมีการจัดทำความตกลงเช่นว่าต่อไปในอนาคต เห็นควรส่งให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาด้วย และก่อนการลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ควรมีการตรวจสอบเกี่ยวกับกิจกรรม (specific activities) ในการดำเนินโครงการที่จะจัดทำขึ้นตาม Article 4 ที่ สวทน. และ UNCTAD ให้ความเห็นชอบและอาจจะต้องจัดทำข้อตกลงที่เกี่ยวข้องในภายหลัง ตลอดจนภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26919 | การรับรองอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยการจัดการสารปรอท | ทส | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับรอง (adoption) อนุสัญญามินามาตะว่าด้วยการจัดการสารปรอท และเอกสารข้อมติ (resolutions) และกรรมสารสุดท้าย (the final act of the conference) ในการประชุม Conference of Plenipotentiaries on the Minamata Convention on Mercury ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ เมือง Kumamoto/Minamata ประเทศญี่ปุ่น โดยจะยังไม่ลงนามในอนุสัญญาฯ ๑.๒ หากมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ขอให้การรับรองเอกสารข้อมติและกรรมสารสุดท้ายอยู่ในดุลพินิจของหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงสาธารณสุขที่เห็นควรตรวจสอบเนื้อหาสาระของอนุสัญญาฯ ว่าเป็นไปตามกรอบการเจรจาของประเทศไทยสำหรับประชุมคณะเจรจาระหว่างรัฐบาลในการพัฒนามาตรการทางกฎหมายระหว่างประเทศด้านการจัดการสารปรอท เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ ที่รัฐสภาเห็นชอบด้วย เนื่องจากการรับรองอนุสัญญาฯ ดังกล่าวจะนำไปสู่การลงนามและการแสดงเจตนาเข้าผูกพันกับประเทศไทยซึ่งจะต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาต่อไปด้วย หากประเทศไทยมีนโยบายที่จะเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ ดังกล่าว นอกจากนี้ การดำเนินการด้านการจัดการสารปรอททั้งวัฏจักรชีวิตตั้งแต่การผลิต การนำเข้า การส่งออก การใช้การบำบัด และการจัดการสารปรอท ยังมีความจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากอีกหลายภาคส่วน และควรหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน รวมทั้งควรมีการศึกษาความเป็นไปได้ในการปฏิบัติตามพันธกรณีฯ เพื่อจัดเตรียมความพร้อมในการรองรับอนุสัญญาฯ ก่อนพิจารณาลงนามในอนุสัญญาฯ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26920 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 2/2556 | นร11 | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ ระหว่างวันที่ ๒๖ มิถุนายน-๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ณ เมืองเมดาน สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยประเด็นสำคัญของการประชุมฯ ได้แก่ แผนการดำเนินงานในแต่ละกลุ่มเพื่อนประธาน การจัดทำรายงานเศรษฐกิจเอเปคประจำปี การจัดทำรายงานความก้าวหน้าในช่วงกลางของแผนงาน APEC New Strategy for Structural Reform (ANSSR) การหารือระดับนโยบายเรื่องที่ ๑ : การปฏิรูประบบราชการ (Bureaucratic Reform) การหารือระดับนโยบายเรื่องที่ ๒ : มาตรฐานการบัญชีภาครัฐ และ International Public Sector Accounting Standards (IPSAS) การหารือระดับนโยบายเรื่องที่ ๓ : การอภิปรายเรื่องภาวะเศรษฐกิจภูมิภาค สรุปผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่องบทเรียนจากวิกฤติทางการเงินสำหรับกฎหมายหุ้นส่วนบริษัทและบรรษัทภิบาล (Corporate Law and Governance) และสรุปผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่องการลดขั้นตอนการรับรองเอกสารตามอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการยกเลิกความจำเป็นในการรับรองเอกสารทางการของต่างประเทศ ค.ศ. ๑๙๖๑ (Hague Convention of 5 October 1961 Abolishing the Requirement of Legalisation for Foreign Public Documents) รวมทั้งความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๑.๑ ฝ่ายไทยได้หารือกับญี่ปุ่นในฐานะผู้ประสานงานหลักของกลุ่มเพื่อนประธานในเรื่องการปฏิรูปกฎระเบียบ โดยเสนอขอให้ญี่ปุ่นพิจารณาประเทศไทยเป็นกรณีศึกษาในโครงการที่จะจัดทำในอนาคต คือ การส่งเสริมนวัตกรรม และการพัฒนาบรรยากาศทางธุรกิจของ SMEs ๑.๒ ข้อตกลงตามอนุสัญญากรุงเฮก ค.ศ. ๑๙๖๑ เป็นผลให้การรับรองเอกสารทางการของต่างประเทศมีความสะดวกรวดเร็ว ประหยัดค่าใช้จ่าย ช่วยป้องกันการสูญหาย และสามารถตรวจสอบได้ง่ายจากการบริการแบบ One-Stop Service ซึ่งเป็นประโยชน์กับภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เป็นการอำนวยความสะดวกด้านการค้าการลงทุนระหว่างรัฐภาคี ทั้งด้านการค้าข้ามพรมแดนและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ซึ่งอ้างอิงได้จากการประเมินในฐานข้อมูลของธนาคารโลกเรื่อง Investing Across Borders ที่ให้ความสำคัญกับการอำนวยความสะดวกตามอนุสัญญากรุงเฮก ตลอดจนช่วยพัฒนาตัวชี้วัด EoDB ของประเทศให้อยู่ในอันดับที่ดีขึ้น ๑.๓ หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงมหาดไทย ควรมีการศึกษาข้อตกลงตามอนุสัญญากรุงเฮก ค.ศ. ๑๙๖๑ ในรายละเอียด และพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่ไทยจะเข้าร่วมเป็นรัฐภาคี (Contracting State) ของอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการยกเลิกความจำเป็นในการรับรองเอกสารทางการของต่างประเทศ ค.ศ. ๑๙๖๑ (Hague Convention of 5 October 1961 Abolishing the Requirement of Legalisation for Foreign Public Documents) โดยไม่ต้องสมัครเป็นสมาชิก (Member State) ขององค์กรกฎหมายระหว่างประเทศ Hague Conference on Private International Law (HCCH) ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาข้อตกลงตามอนุสัญญากรุงเฮก ค.ศ. ๑๙๖๑ ในรายละเอียดและพิจารณากำหนดท่าทีของไทย และนำเสนอผลการพิจารณาแก่คณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป |
.....