ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1342 จากทั้งหมด 6214 หน้า แสดงรายการที่ 26821 - 26840 จากข้อมูลทั้งหมด 124262 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
26821 | ผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐชิลี | นร04 | 25/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเยือนราชอาณาจักรไทยอย่างเป็นทางการของนายเซบัสเตียน ปิเญรา เอเชนีเก ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐชิลี ระหว่างวันที่ ๔-๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามตารางประมวลประเด็นที่ต้องติดตามที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ดังนี้
๑. ให้กระทรวงพาณิชย์ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับความตกลงการค้าเสรี ไทย-ชิลี ให้ทราบโดยทั่วกัน เพื่อให้ภาคเอกชนไทยได้ใช้ประโยชน์จากความตกลงอย่างเต็มที่ โดยกระทรวงการต่างประเทศจะมอบหมายให้สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงซันดิอาโก ดำเนินการในสาธารณรัฐชิลีอีกทางหนึ่งด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศพิจารณาเรื่องการจัดทำความตกลงด้านการลงทุนกับสาธารณรัฐชิลี ๓. ให้กระทรวงคมนาคมติดตามและเร่งรัดการเจรจาจัดทำความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศกับสาธารณรัฐชิลี ๔. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีติดตามและเร่งรัดการจัดทำหนังสือแสดงเจตจำนงระหว่างสถาบันดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) กับคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสาธารณรัฐชิลี (CONICYT) ๕. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ พิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำความตกลง Work and Holiday กับสาธารณรัฐชิลี
|
|||||||||||||||||||||
26822 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 25/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ผู้ได้รับหรือมีสิทธิได้รับเบี้ยหวัดตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหม ผู้ได้รับหรือมีสิทธิได้รับบำนาญปกติ บำนาญพิเศษเพราะเหตุทุพพลภาพ บำนาญพิเศษ หรือบำนาญตกทอดในฐานะทายาทหรือผู้อุปการะหรือผู้อยู่ในอุปการะ ตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ซึ่งได้รับเบี้ยหวัดหรือบำนาญรวมกันทุกประเภทและรวมกับเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ช.ค.บ.) แล้ว ต่ำกว่าเดือนละ ๙,๐๐๐ บาท ให้ได้รับเงิน ช.ค.บ. เพิ่มขึ้นจนครบเดือนละ ๙,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
26823 | ร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย พ.ศ. .... | นร10 | 25/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๖ ที่มีมติเห็นชอบร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาการดำเนินการทางวินัยตามมาตรา ๙๔ มาตรา ๙๕ มาตรา ๙๖ มาตรา ๙๗ มาตรา ๑๐๑ และมาตรา ๑๐๕ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ
|
|||||||||||||||||||||
26824 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานที่ให้นายจ้างจ่าย พ.ศ. .... | รง | 25/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานที่ให้นายจ้างจ่าย พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานที่ให้นายจ้างจ่ายตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ ดังนี้
๑. กำหนดแยกค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานด้านอาชีพและค่าใช้จ่ายในกระบวนการเวชศาสตร์ฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานด้านการแพทย์ จากเดิมกำหนดใช้จ่ายรวมกันได้ไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท เป็นแต่ละประเภทใช้จ่ายได้ไม่เกิน ๒๔,๐๐๐ บาท ๒. เพิ่มค่าใช้จ่ายในกระบวนการบำบัดรักษาและการผ่าตัดเพื่อประโยชน์ในการฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงาน จาก “ไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท” เป็น “ไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท” และในกรณีที่ลูกจ้างมีความจำเป็นต้องบำบัดรักษาและผ่าตัดเพื่อประโยชน์ในการฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานเกินกว่า ๔๐,๐๐๐ บาท ให้จ่ายเพิ่มอีกรวมกันแล้วไม่เกิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท ๓. เพิ่มค่าอวัยวะเทียม ค่าอุปกรณ์เสริมไม่เกินอัตราที่กระทรวงการคลังกำหนดรวมแล้วไม่เกิน ๑๖๐,๐๐๐ บาท ซึ่งจากเดิมใช้จ่ายรวมกับการฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานด้านอาชีพไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท |
|||||||||||||||||||||
26825 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่เทศบาล ตำบลธัญบุรี อำเภอธัญบุรี และตำบลบึงคำพร้อย เทศบาลตำบลลำลูกกา อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี พ.ศ. .... | คค | 25/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่เทศบาล ตำบลธัญบุรี อำเภอธัญบุรี และตำบลบึงคำพร้อย เทศบาลตำบลลำลูกกา อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่เทศบาลตำบลธัญบุรี อำเภอธัญบุรี และตำบลบึงคำพร้อย เทศบาลตำบลลำลูกกา อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี เพื่อขยายทางหลวงชนบท ปท.๓๐๐๔ เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
26826 | การบริจาคเงินในการเพิ่มทุนของสมาคมพัฒนาการระหว่างประเทศ ครั้งที่ 17 ของธนาคารโลก | กค | 25/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) เพื่อเป็นผู้บริจาคในการเพิ่มทุนของสมาคมพัฒนาการระหว่างประเทศ (International Development Association : IDA) ครั้งที่ ๑๗ (IDA17) ให้แก่ธนาคารโลก ก่อนการประชุมเพิ่มทุนรอบที่ ๔ ในวันที่ ๑๖-๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงมอสโก สหพันธรัฐรัสเซีย ๑.๒ ให้ผู้แทนกระทรวงการคลังแสดงเจตจำนง (Pledge) ด้วยวาจาและแจ้งจำนวนเงินบริจาคเป็นสกุลเงินบาท จำนวน ๑๕๐ ล้านบาท ในการประชุมเพิ่มทุนรอบที่ ๔ ระหว่างวันที่ ๑๖-๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงมอสโก สหพันธรัฐรัสเซีย ๑.๓ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังลงนามใน Instrument of Commitment (IOC) ภายในวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังลงนามในตั๋วสัญญาใช้เงินคลัง (Promissory Notes) ประเภทจ่ายเงินเมื่อทวงถามและไม่มีดอกเบี้ย จำนวน ๓ ฉบับ ภายในวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๘ ๒. ให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง) เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามแผนการชำระเงินบริจาคเป็นรายปีตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||
26827 | ขอรับจัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยเหลือคนไทยออกจากประเทศอียิปต์ | กต | 25/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้กระทรวงการต่างประเทศใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี ภายในกรอบวงเงิน ๑๔๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับอพยพและช่วยเหลือคนไทยออกจากประเทศอียิปต์ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||
26828 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ะดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นายกิตติ พิทักษ์นิตินันท์) | สธ | 25/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายกิตติ พิทักษ์นิตินันท์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งนักวิชาการอาหารและยาทรงคุณวุฒิ (ด้านอาหารและยา) กลุ่มที่ปรึกษาระดับกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
26829 | ขออนุมัติจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งเติร์กเมนิสถานว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูต | กต | 25/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งเติร์กเมนิสถานว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูต (Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of Turkmenistan on the Exemption of Visa Requirements for Holders of Diplomatic Passports) โดยสาระสำคัญของความตกลงฯ เป็นการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับการเดินทางเข้า-ออก เดินทางผ่าน และพำนักอาศัย สำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตของประเทศคู่ภาคี โดยผู้ถือหนังสือเดินทางดังกล่าวสามารถพำนักในประเทศผู้รับได้ไม่เกิน ๓๐ วัน นับจากวันที่เดินทางเข้ามา อย่างไรก็ตาม ประเทศคู่ภาคีสามารถสงวนสิทธิ์ที่จะปฏิเสธการยกเว้นการตรวจลงตราได้ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ ผลประโยชน์แห่งชาติ ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน และสาธารณสุข ๒. อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามความตกลงฯ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของร่างความตกลงฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของราชอาณาจักรไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง |
|||||||||||||||||||||
26830 | การพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานอันเนื่องมาจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท | กค | 25/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงาน อันเนื่องมาจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท ที่คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุได้พิจารณาแล้วในการประชุมครั้งที่ ๑๙/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ และครั้งที่ ๒๐/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ดังนี้ ๑.๑ เป็นการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างเท่านั้น ๑.๒ การขยายระยะเวลา ๑.๒.๑ ผู้ประกอบการก่อสร้างที่มีสิทธิได้รับการพิจารณาขยายระยะเวลาก่อสร้าง ต้องเป็นคู่สัญญาที่ได้ลงนามทำสัญญาจ้างก่อสร้างกับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ โดยบังคับใช้กับสัญญาจ้างก่อสร้างที่ได้ลงนามไว้กับหน่วยงานก่อนวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ซึ่งสัญญาดังกล่าว ณ วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๖ ยังมีนิติสัมพันธ์อยู่และยังมิได้มีการส่งมอบงานงวดสุดท้ายหรือสัญญาดังกล่าวยังมีนิติสัมพันธ์อยู่ แต่ได้มีการส่งมอบงานงวดสุดท้ายในช่วงระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาที่ให้ความช่วยเหลือฯ ยกเว้นสัญญาที่หน่วยงานได้พิจารณาก่อนวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ แล้วว่า จะบอกเลิกสัญญาเนื่องจากคู่สัญญาปฏิบัติผิดสัญญา กรณีสัญญาดังกล่าวไม่เข้าเกณฑ์ที่จะได้รับความช่วยเหลือตามมติคณะรัฐมนตรีนี้ ๑.๒.๒ สัญญาจ้างก่อสร้างที่อยู่ในหลักเกณฑ์ตามข้อ ๑.๒.๑ ให้หน่วยงานขยายระยะเวลาออกไปอีก จำนวน ๑๕๐ วัน ในกรณีอายุสัญญาจ้างก่อสร้างน้อยกว่า ๑๕๐ วัน ก็ให้ขยายระยะเวลาได้เท่ากับอายุสัญญาเดิม ๑.๒.๓ สัญญาจ้างก่อสร้างที่ได้รับการขยายระยะเวลาออกไปตามข้อ ๑.๒.๒ โดยกรณีสัญญาจ้างก่อสร้างได้ดำเนินการล่วงเลยกำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จตามสัญญา และได้ถูกปรับไว้ในช่วงก่อนหน้าวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ยังคงเป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการที่ต้องรับผิดชอบในส่วนของค่าปรับในช่วงก่อนหน้าที่จะได้รับการช่วยเหลือฯ แต่จะได้รับการลดหรืองดค่าปรับเฉพาะในช่วงระยะเวลาที่ได้รับการช่วยเหลือตามมาตรการนี้เท่านั้น และกรณีสัญญาจ้างก่อสร้างที่ยังอยู่ภายในระยะเวลาตามสัญญา ให้ขยายระยะเวลา โดยนับถัดจากวันสิ้นสุดระยะเวลาตามสัญญาเดิม ๑.๒.๔ กรณีสัญญาจ้างก่อสร้างที่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะได้รับความช่วยเหลือฯ หากการขยายระยะเวลาออกไป มีผลทำให้ผู้รับจ้างไม่ถูกปรับ ก็ให้งดลดค่าปรับ หรือคืนเงินค่าปรับ ตามความเป็นจริง แล้วแต่กรณี ๑.๒.๕ กรณีสัญญาจ้างก่อสร้างที่ได้รับความช่วยเหลือ หากสัญญาจ้างก่อสร้างดังกล่าวมีการจ้างเอกชนควบคุมงาน ค่าจ้างควบคุมงาน และหรือค่าจ้างที่ปรึกษา ให้ผู้รับจ้างเป็นผู้รับภาระค่าจ้างควบคุมงาน และหรือค่าจ้างที่ปรึกษาสำหรับระยะเวลาที่ได้ขยายออกไป เนื่องจากผู้รับจ้างได้รับประโยชน์จากการได้รับการขยายระยะเวลาดังกล่าวแล้ว ๑.๒.๖ ผู้ประกอบการก่อสร้างที่ประสงค์จะขอรับความช่วยเหลือจะต้องยื่นคำร้องขอต่อหน่วยงานคู่สัญญาภายใน ๖๐ วัน นับถัดจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.๒.๗ กรณีคู่สัญญาใดเห็นว่า การได้รับความช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวยังไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้และมีเหตุผลอันสมควร ให้หน่วยงานพิจารณา และหากเห็นสมควรขยายระยะเวลา ก็ให้เสนอต่อคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุเพื่อพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป ๑.๓ การพิจารณาไม่ลงโทษเป็นผู้ทิ้งงาน หากในกรณีที่หน่วยงานได้มีการบอกเลิกสัญญาจ้างก่อสร้างไปแล้ว สืบเนื่องจากผู้รับจ้างได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงาน อันเนื่องมาจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท ซึ่งได้บอกเลิกสัญญาในช่วงระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๖ ให้ถือว่าไม่เป็นผู้ทิ้งงาน ๑.๔ ให้คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาตีความและวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือฯ ดังกล่าว ๑.๕ เพื่อความเป็นธรรมในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการก่อสร้างของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวม เห็นควรนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา และมีมติแจ้งเวียนให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐถือปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน ๑.๖ ให้กระทรวงมหาดไทยนำมาตรการนี้ไปใช้บังคับในการจัดจ้างก่อสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย โดยอนุโลม ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐนำหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานอันเนื่องมาจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท ที่คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุได้พิจารณาแล้ว ไปถือปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยนำหลักเกณฑ์และเงื่อนไขดังกล่าวไปใช้บังคับในการจัดจ้างก่อสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย โดยอนุโลม |
|||||||||||||||||||||
26831 | การรับรองร่างปฏิญญาลิมาว่าด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนและครอบคลุม | อก | 25/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาลิมาว่าด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนและครอบคลุม (Lima Declaration for Inclusive and Sustainable Industrial Development) ๑.๒ อนุมัติให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยหรือผู้แทนที่เข้าร่วมการประชุมสมัยสามัญ (General Conference : GC) ครั้งที่ ๑๕ ขององค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Industrial Development Organization : UNIDO ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒-๖ ธันวาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู ให้การรับรองร่างปฏิญญาฯ ดังกล่าว ทั้งนี้ การรับรองปฏิญญาฯ จะทำให้ UNIDO ต้องปรับบทบาทการดำเนินงานให้เพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีภารกิจที่สำคัญคือ การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศที่ยากจน ผ่านการเผยแพร่ความรู้ ทักษะ ข้อมูล และเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นการจ้างงาน สนับสนุนเศรษฐกิจที่มีการแข่งขันอย่างเสรี และสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวย ไปสู่การเป็นองค์กรให้ความช่วยเหลือทางเทคนิค การฝึกอบรม การเสนอแนะนโยบายและข้อแนะนำ ตลอดจนการแลกเปลี่ยนความรู้และการปฏิบัติการที่เป็นเลิศให้แก่ประเทศสมาชิก เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนและครอบคลุม ๑.๓ หากมีการปรับเปลี่ยนถ้อยคำของร่างปฏิญญาฯ ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญหรือที่ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศ ก่อนที่จะมีการรับรองเอกสารดังกล่าว ให้คณะผู้แทนไทยสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับประเด็นร่างปฏิญญาฯ จะเข้าข่ายการพิจารณาตาม ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ หรือไม่ เห็นควรให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และเห็นควรจัดทำแผนงาน/กิจกรรมที่จะใช้ประโยชน์จากร่างปฏิญญาฯ อย่างเป็นระบบ และประชาสัมพันธ์การดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ตามแผนงานที่หน่วยงานต่าง ๆ จะขอรับการสนับสนุนตามเงื่อนไขของปฏิญญาฯ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีรับทราบเป็นระยะ ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
26832 | การให้ความช่วยเหลือฟิลิปปินส์กรณีภัยพิบัติที่เกิดจากพายุไต้ฝุ่น Haiyan | นร04 | 25/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรายงานข้อมูลความต้องการความช่วยเหลือที่รัฐบาลฟิลิปปินส์ประสงค์ขอรับบริจาคสำหรับผู้ประสบภัยจากพายุไต้ฝุ่น Haiyan เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ โดยรัฐบาลฟิลิปปินส์ประสงค์ขอรับบริจาค ดังนี้
๑. ข้าวและอาหารพร้อมรับประทาน อาหารกระป๋องที่เปิดได้โดยใช้มือเปล่า เต็นท์และที่พักพิงชั่วคราว ผ้าห่ม หมอน ผ้าเช็ดตัว อุปกรณ์ทำอาหารและเครื่องครัว เครื่องกำเนิดไฟฟ้า ชุดสุขอนามัย ยาสามัญประจำบ้าน น้ำดื่ม ภาชนะบรรจุน้ำ เครื่องกรองน้ำ และเม็ดทำน้ำบริสุทธิ์ ๒. แพทย์โรคทั่วไป (general practitioners)
|
|||||||||||||||||||||
26833 | ขอบริจาคข้าวเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจากพายุไต้ฝุ่นไห่เยี่ยน (Haiyan) ในประเทศฟิลิปปินส์ผ่านองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม (ASEAN Plus Three Emergency Rice Reserve : APTERR) | กษ | 25/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบบริจาคข้าวขาว ๕ เปอร์เซ็นต์ จำนวน ๕,๐๐๐ ตัน เพื่อช่วยเหลือประเทศฟิลิปปินส์ผ่านองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม (ASEAN Plus Three Emergency Rice Reserve : APTERR) หรือเรียกโดยย่อว่าแอปเทอร์ รวมค่าข้าวและค่าดำเนินการ เป็นเงินทั้งสิ้น ๗๓.๖ ล้านบาท (คิดจากราคา CIF ข้าวขาว ๕ เปอร์เซ็นต์ ตันละ ๔๖๐ ดอลลาร์สหรัฐ รวมเป็นเงิน ๒.๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยคิดที่อัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ๓๒ บาท ณ วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๖) ๑.๒ ให้องค์การตลาดเพื่อเกษตรกรเป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อข้าวขาว ๕ เปอร์เซ็นต์ พร้อมบรรจุถุง และส่งมอบข้าวไปถึงท่าเรือประเทศฟิลิปปินส์ ๑.๓ ให้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งเป็นผู้แทนประเทศไทยในคณะมนตรีแอปเทอร์ ประสานงานกับสำนักเลขานุการแอปเทอร์ นำข้าวที่บริจาคนี้ไปดำเนินการงานตามขั้นตอนการช่วยเหลือของแอปเทอร์ และเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการให้รายงานผลการดำเนินงานต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. งบประมาณสำหรับเป็นค่าข้าวและค่าดำเนินการ วงเงินรวม ๗๓.๖ ล้านบาท ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีแล้ว โดยให้ตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
26834 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งเติร์กเมนิสถานและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงาน | พน | 25/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งเติร์กเมนิสถานและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงาน (Memorandum of Understanding between the Government of Turkmenistan and the Government of the Kingdom of Thailand on Energy Cooperation) โดยสาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ระบุถึงความร่วมมือด้านพลังงานในสาขาต่าง ๆ ได้แก่ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ไฟฟ้า การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และความร่วมมืออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางด้านนโยบาย ด้านโอกาสการลงทุน ตลอดจนการพัฒนาบุคลากรด้านพลังงานของทั้งสองประเทศ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน) เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็มให้แก่ผู้ลงนาม ๔. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของราชอาณาจักรไทย ให้กระทรวงพลังงานหารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง
|
|||||||||||||||||||||
26835 | การขยายเวลาการประกาศพื้นที่ปรากฎเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร | นร | 25/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ ในพื้นที่อำเภอจะนะ อำเภอนาทวี อำเภอเทพา และอำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา ระหว่างวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๑๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ และพื้นที่อำเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี ระหว่างวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ถึง ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศและร่างข้อกำหนด จำนวน ๘ ฉบับ บังคับใช้ระหว่างวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ตามที่ กอ.รมน. เสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ได้แก่ ๒.๑ ร่างประกาศ เรื่อง พื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ในเขตพื้นที่อำเภอจะนะ อำเภอนาทวี อำเภอเทพา และอำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา และในเขตพื้นที่อำเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี) จำนวน ๒ ฉบับ ๒.๒ ร่างประกาศ เรื่อง การให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นเจ้าพนักงานหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย จำนวน ๒ ฉบับ ๒.๓ ร่างประกาศ เรื่อง กำหนดลักษณะความผิดอันมีผลกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ตามมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ จำนวน ๒ ฉบับ ๒.๔ ร่างข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ จำนวน ๒ ฉบับ ๓. เมื่อเหตุการณ์สิ้นสุดลงแล้ว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายงานผลส่งให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรเพื่อรวบรวมเสนอนายกรัฐมนตรี เพื่อรายงานต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบโดยเร็ว ตามมาตรา ๑๕ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
26836 | การกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิต ปี 2556/2557 | อก | 25/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ ในอัตรา ๙๐๐ บาทต่อตันอ้อย ณ ระดับความหวานที่ ๑๐ ซี.ซี.เอส. หรือเท่ากับร้อยละ ๙๖.๒๑ ของประมาณการราคาอ้อยเฉลี่ยทั่วประเทศ ๙๓๕.๔๘ บาทต่อตันอ้อย และกำหนดอัตราขึ้น/ลงของราคาอ้อยเท่ากับ ๕๔ บาท ต่อ ๑ หน่วย ซี.ซี.เอส. ต่อเมตริกตัน ๑.๒ ผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ เท่ากับ ๓๘๕.๗๑ บาทต่อตันอ้อย ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งทบทวนโครงสร้างการคำนวณต้นทุนการผลิตอ้อยให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เพื่อนำมาใช้ในการกำหนดราคาอ้อยที่เหมาะสมต่อไป รวมทั้งควรเร่งหาข้อยุติเรื่องการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย โดยเฉพาะเรื่องการกำหนดอัตราการแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลให้เกิดความเป็นธรรม และเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย โดยมีการหารือร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกระทรวงพลังงาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้การปรับโครงสร้างของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายครอบคลุมตลอดห่วงโซ่อุปทาน และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็ว เพื่อให้สามารถดำเนินการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||
26837 | บทเพิ่มเติมของความตกลงให้ความช่วยเหลือด้านการเงินโครงการกลไกการหารือระดับภูมิภาคระหว่างสหภาพยุโรป - อาเซียน | กต | 25/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบต่อบทเพิ่มเติมของความตกลงให้ความช่วยเหลือด้านการเงินโครงการกลไกการหารือระดับภูมิภาคระหว่างสหภาพยุโรป-อาเซียน (Regional EU-ASEAN Dialogue Instrument : READI) โดยสาระสำคัญของบทเพิ่มเติมของความตกลงฯ ได้แก่ เพิ่มจำนวนเงินความช่วยเหลือจากสหภาพยุโรปอีก ๓.๓ ล้านยูโร จากเดิม ๔ ล้านยูโร รวมเป็นเงิน ๗.๓ ล้านยูโร โดยอาเซียนจะให้การสนับสนุนในส่วนที่มิใช่เงินมูลค่า ๒๕๐,๐๐๐ ยูโร รวมทั้งขยายระยะเวลาดำเนินโครงการ READI จาก ๘๔ เดือน เป็น ๑๐๘ เดือน ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของราชอาณาจักรไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๒. อนุมัติให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในบทเพิ่มเติมของความตกลงฯ และให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งเรื่องการเห็นชอบให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนลงนามในเอกสารดังกล่าวผ่านคณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย |
|||||||||||||||||||||
26838 | รายงานผลการดำเนินการตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ประจำปีงบประมาณ 2556 | กค | 25/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายงานผลการดำเนินการตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประกอบด้วย ส่วนที่ ๑ ผลการดำเนินการตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และส่วนที่ ๒ รายงานผลสำเร็จของโครงการเงินกู้ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ โครงการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรมในเขตปฏิรูปที่ดินด้วยการพัฒนาการเกษตรแบบผสมผสานของสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม และโครงการปรับปรุงกิจการประปาแผนหลัก ครั้งที่ ๖ ของการประปานครหลวง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
26839 | มาตรการเร่งด่วนรองรับสถานการณ์พายุและฝนตกหนักในพื้นที่ภาคใต้ | นร04 | 25/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการเร่งด่วนรองรับสถานการณ์พายุและฝนตกหนักในพื้นที่ภาคใต้ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) เสนอ ดังนี้
๑. ให้กรมอุตุนิยมวิทยาขยายการประกาศเตือนภัยล่วงหน้าเป็น ๗-๑๐ วัน (แทน ๓ วัน) ๒. ให้ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติเพิ่มประเภทการเตือนภัยขึ้นอีกหนึ่งระดับ คือ ประกาศเตือนเพื่อเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ โดยเน้นให้สื่อสารมวลชนทุกแขนงทราบ ๓. ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเพิ่มประกาศเตือนขึ้นอีกหนึ่งระดับ คือ ประกาศเตือนประชาชนเพื่อรับทราบข้อมูลข่าวสารและสถานการณ์เพื่อเตรียมความพร้อม ๔. ให้หน่วยงานภาคปฏิบัติในการเผชิญเหตุสามารถตัดสินใจออกปฏิบัติงานในพื้นที่ทันทีโดยไม่ต้องรอการสั่งการ ๕. ให้จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอพยพประชาชนล่วงหน้า ในกรณีที่มั่นใจว่าจะเกิดเหตุซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง ๖. ให้จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส รวมทั้งหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องจัดส่งเจ้าหน้าที่เข้าประจำพื้นที่เสี่ยงภัยดินโคลนถล่ม ๗. มอบหมายสื่อของรัฐทุกแขนง เช่น กรมประชาสัมพันธ์ ให้ข่าวสารการเตือนภัยอย่างต่อเนื่อง และให้แถลงในโอกาสแรกก่อนข่าวประเภทอื่น ๆ (ยกเว้นข่าวในพระราชสำนักฯ) ๘. ให้กระทรวงกลาโหมสั่งการเตรียมความพร้อม (Stand by) กำลังพลในช่วงระหว่าง ๒ เดือนนี้ (พฤศจิกายน-ธันวาคม ๒๕๕๖) ๙. ให้จัดตั้งศูนย์บัญชาการส่วนหน้าระดับภาค (Forward Command) ในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง ณ จังหวัดสงขลา โดยให้ผู้ตรวจราชการ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าและให้มีเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เข้าประจำการ
|
|||||||||||||||||||||
26840 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (แทนกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากอายุครบ 65 ปีบริบูรณ์และขอลาออก) (จำนวน 3 ราย 1. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ จักรกฤษณ์ ศุทธากรณ์ ฯลฯ) | มท | 25/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค แทนผู้ที่พ้นจากตำแหน่งด้วยอายุครบ ๖๕ ปี และขอลาออก รวม ๓ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
๑. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ จักรกฤษณ์ ศุทธากรณ์ เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค แทนนายชัยฤกษ์ ดิษฐอำนาจ ๒. นายวัลลภ พริ้งพงษ์ เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค แทนนายบัณฑิต โสตถิพลาฤทธิ์ (เป็นบุคคลในบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจตามประกาศกระทรวงการคลัง) ๓. นายดนุชา พิชยนันท์ เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค แทนนายชัยธวัช เสาวพนธ์ (เป็นบุคคลในบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจตามประกาศกระทรวงการคลัง)
|
.....