ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 28 จากทั้งหมด 108 หน้า แสดงรายการที่ 541 - 560 จากข้อมูลทั้งหมด 2153 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
541 | การเข้าร่วมการประชุมกรุงลอนดอนว่าด้วยการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมาย (London Conference on the Illegal Wildlife Trade) | ทส | 10/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบเอกสารที่จะมีการรับรองในการประชุมกรุงลอนดอนว่าด้วยการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมาย (London Conference on the Illegal Wildlife Trade) ครั้งที่ ๔ ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารดังกล่าว ได้แก่ (๑) ปฏิญญาลอนดอนว่าด้วยการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมาย (London Declaration on Illegal Wildlife Trade) พ.ศ. ๒๕๕๗ (๒) แถลงการณ์คาซาเนว่าด้วยการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมาย (Kasane Statement on Illegal Wildlife Trade) พ.ศ. ๒๕๕๘ (๓) แถลงการณ์ฮานอยว่าด้วยการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมาย (Hanoi Statement on Illegal Wildlife Trade) พ.ศ. ๒๕๕๙ และ (๔) ร่างแถลงการณ์ของการประชุมกรุงลอนดอนว่าด้วยการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมาย (Illegal Wildlife Trade Conference Statement) ครั้งที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๖๑ พร้อมร่างคำมั่นสัญญาของประเทศไทย (Thailand commitments) ในภาคผนวก ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ของการประชุมกรุงลอนดอนฯ พร้อมร่างคำมั่นสัญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้แก่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้รับทราบถึงการแถลงการณ์และปฏิญญาฯ ดังกล่าวอย่างทั่วถึง เพื่อให้ทราบถึงสิ่งที่รัฐบาลได้ร่วมรับรองไว้กับประเทศอื่น ๆ และร่วมกันปฏิบัติให้เป็นไปตามแนวทางที่ได้ร่วมแถลงการณ์และปฏิญญาฯ นั้น เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการทรัยากรโดยรวมของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
542 | รายงานผลการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้กลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism: JCM) | ทส | 02/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการติดตามผละประเมินผลการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้กลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism : JCM) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การให้ทุนสนับสนุนการพัฒนาโครงการ JCM Model Project โดยกระทรวงสิ่งแวดล้อม ประเทศญี่ปุ่น ได้ให้ทุนสนับสนุนการพัฒนาโครงการ JCM Model Project จำนวน ๒๖ โครงการ มูลค่ามากกว่า ๒ พันล้านบาท ก่อให้เกิดการลงทุนมากกว่า ๖ พันล้านบาท มีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลดได้จากโครงการทั้งหมดเท่ากับ ๑๒๙,๙๕๘ ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ๒. การประชุมคณะกรรมการร่วมกลไกเครดิตร่วม จำนวน ๔ ครั้ง โดยที่ประชุมมีมติรับรองกฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์ และแบบฟอร์มต่าง ๆ ที่ใช้ในการดำเนินงานภายใต้กลไกเครดิตร่วม รับรองระเบียบวิธีการคำนวณปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจก จำนวน ๗ วิธี สำหรับโครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ การใช้เครื่องอัดอากาศประสิทธิภาพสูง การใช้เครื่องทำน้ำเย็นประสิทธิภาพสูงแบบอินเวอร์เตอร์ เครื่องทำน้ำเย็นประสิทธิภาพสูงแบบนันอินเวอร์เตอร์ เครื่องทอผ้าประสิทธิภาพสูงที่ลดการใช้ลมในการทอผ้า ระบบระบายอากาศประสิทธิภาพสูง และระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากความร้อนทิ้งของหม้อเผาปูนซีเมนต์ พร้อมทั้งรับรองผู้ตรวจประเมินโครงการ จำนวน ๔ ราย ขึ้นทะเบียนโครงการ จำนวน ๔ โครงการ และรับรองคาร์บอนเครดิต ๓. การจัดงานอบรม/สัมมนาร่วมกับหน่วยงานของประเทศญี่ปุ่น จำนวน ๑๒ ครั้ง มีผู้เข้าร่วมทั้งหมด ๗๘๑ คน และมีการเข้าร่วมการประชุมรับฟังความคิดเห็นโครงการที่จะขอขึ้นทะเบียนเป็นโครงการ JCM จำนวน ๘ โครงการ รวมทั้งเยี่ยมชมโครงการ จำนวน ๑๑ โครงการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
543 | ร่าง Large Grant Agreement (LGA) สำหรับโครงการ Measurable Action for Haze-Free Sustainable Land Management in Southeast Asia (MAHFSA) | ทส | 02/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่าง Large Grant Agreement (LGA) สำหรับโครงการ Measurable Action for Haze-Free Sustainable Land Management in Southeast Asia (MAHFSA) และให้เลขาธิการอาเซียนเป็นผู้ลงนามร่าง LGA สำหรับโครงการ MAHFSA ดังกล่าว ในนามของอาเซียนร่วมกับกองทุนระหว่างประเทศเพื่อพัฒนาเกษตรกรรม (International Fund for Agricultural Development : IFAD) โดยร่าง LGA สำหรับโครงการ MAHFSA ดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อลดปัญหาหมอกควันในภูมิภาคอาเซียนผ่านการส่งเสริมขีดความสามารถในการเฝ้าระวัง คาดการณ์และดำเนินการเกี่ยวกับไฟและหมอกควัน ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการรับมือหมอกควันระหว่างประเทศสมาชิกและหุ้นส่วนภายนอก และสร้างเวทีการประสานงานด้านนโยบายและโครงการต่าง ๆ ด้านการแก้ไขปัญหาหมอกควัน โดยโครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก IFAD จำนวน ๓.๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อแก้ปัญหามลพิษหมอกควันอันเนื่องมาจากป่าพรุ โดยมีพื้นที่ดำเนินการในสาธารณรัฐอินโดนีเซียและประเทศมาเลเซีย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการจัดการปัญหามลพิษหมอกควันข้ามแดน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าว เห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
544 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2561 และครั้งที่ 3/2561 (มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2561) | ทส | 25/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ในการประชุม กก.วล. จำนวน ๒ ครั้ง ประกอบด้วย (๑) การประชุม กก.วล. ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นเรื่องเชิงนโยบายที่สำคัญและได้ข้อยุติแล้ว จำนวน ๑๐ เรื่อง ได้แก่ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๖ โครงการ ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. .... การกำหนดมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม จำนวน ๒ เรื่อง และการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติก และ (๒) การประชุม กก.วล. ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นเรื่องนโยบายที่สำคัญและได้ข้อยุติแล้วเช่นกัน จำนวน ๗ เรื่อง ได้แก่ การขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๓ โครงการ และการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๔ โครงการ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
545 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2561 และครั้งที่ 3/2561 (มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2561) | ทส | 25/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ในการประชุม กก.วล. จำนวน ๒ ครั้ง ประกอบด้วย (๑) การประชุม กก.วล. ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นเรื่องเชิงนโยบายที่สำคัญและได้ข้อยุติแล้ว จำนวน ๑๐ เรื่อง ได้แก่ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๖ โครงการ ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. .... การกำหนดมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม จำนวน ๒ เรื่อง และการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติก และ (๒) การประชุม กก.วล. ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นเรื่องนโยบายที่สำคัญและได้ข้อยุติแล้วเช่นกัน จำนวน ๗ เรื่อง ได้แก่ การขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๓ โครงการ และการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๔ โครงการ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
546 | ร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 24 และร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนว่าด้วยการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพสำหรับการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ 14 | ทส | 25/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการ (๑) ร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ ๒๔ (Draft ASEAN Joint Statement on Climate Change to the 24th Session of the Conference of the Parties to the United Nations Framework Convention on Climate Change : COP 24) เป็นเอกสารแสดงจุดยืนร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนในการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยคำนึงถึงขีดความสามารถของแต่ละภาคี เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การสนับสนุนกลไกทางการเงิน การให้ความช่วยเหลือทางด้านเทคโนโลยีเพื่อการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในประเด็นต่าง ๆ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ (๒) ร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนว่าด้วยการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ สำหรับการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ ๑๔ (Draft ASEAN Joint Statement to the 14th Meeting of the Conference of the Parties to the Convention on Biological Diversity : CBD COP 14) เป็นเอกสารแสดงจุดยืนร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ โดยให้ความสำคัญกับการเร่งส่งเสริมกิจกรรมการบูรณาการความหลากหลายทางชีวภาพเข้าสู่แผนระดับชาติและภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสนับสนุนการแก้ไขปัญหาขยะทะเลที่ส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลและชายฝั่ง ตลอดจนจัดเตรียมทรัพยากรทางการเงินและวิชาการเพื่อสนับสนุนความพยายามของประเทศกำลังพัฒนาในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนในภูมิภาค และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้ให้การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนฯ ทั้งสองฉบับ รวมทั้งเห็นชอบให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนฯ ทั้งสองฉบับในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๓ (The 33rd ASEAN Summit) ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนฯ ทั้งสองฉบับ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
547 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (จำนวน 3 ราย 1. นายประลอง ดำรงค์ไทย ฯลฯ) | ทส | 18/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมเป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นายประลอง ดำรงค์ไทย ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ๒. นายสุวัฒน์ เปี่ยมปัจจัย ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ ๓. นายอดิศร นุชดำรงค์ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
548 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าแม่แจ่ม และป่าขุนแม่ลาย ในท้องที่ตำบลปางหินฝน ตำบลช่างเคิ่ง ตำบลบ้านทับ ตำบลท่าผา ตำบลกองแขก อำเภอแม่แจ่ม และตำบลบ่อหลวง ตำบลบ่อสลี อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... (อุทยานแห่งชาติแม่โถ) | ทส | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าแม่แจ่ม และป่าขุนแม่ลาย ในท้องที่ตำบลปางหินฝน ตำบลช่างเคิ่ง ตำบลบ้านทับ ตำบลท่าผา ตำบลกองแขก อำเภอแม่แจ่ม และตำบลบ่อหลวง ตำบลบ่อสลี อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... (อุทยานแห่งชาติแม่โถ) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดบริเวณที่ดินให้เป็นอุทยานแห่งชาติ เพื่อคุ้มครองรักษาทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญและมีค่า ตลอดจนทิวทัศน์ที่สวยงามไว้ให้คงอยู่ในสภาพธรรมชาติเดิม มิให้ถูกทำลายหรือเปลี่ยนแปลงไป เพื่อประโยชน์แก่การศึกษาและรื่นรมย์ของประชาชน และอำนวยประโยชน์อื่นแก่รัฐและประชาชน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
549 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมของคณะกรรมการผู้ชำนาญการและค่าตอบแทนของบุคคลหรือสถาบันที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการ พ.ศ. .... | ทส | 04/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติเบี้ยประชุมของคณะกรรมการผู้ชำนาญการและค่าตอบแทนของบุคคลหรือสถาบันที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเบี้ยประชุมของคณะกรรมการผู้ชำนาญการและค่าตอบแทนของบุคคลหรือสถาบันที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการเป็นการเฉพาะ เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่า ร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ควรกำหนดให้ครอบคลุมหลักเกณฑ์การได้รับสิทธิ เงื่อนไขการจ่าย วิธีการจ่าย อัตราการจ่าย ตลอดจนหลักเกณฑ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน เหมาะสม และสอดคล้องกับบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมถึงกฎระเบียบของทางราชการที่เกี่ยวข้อง และควรกำหนดบทนิยาม “คณะกรรมการผู้ชำนาญการ” ให้ชัดเจน รวมทั้งควรกำหนดเบี้ยประชุมที่เหมาะสมสำหรับกรรมการซึ่งเป็นผู้ชำนาญการที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแต่งตั้งจากบุคคลภายนอก ส่วนฝ่ายเลขานุการ ควรกำหนดให้ได้รับเบี้ยประชุมตามพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการ พ.ศ. ๒๕๔๗ และควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานกับกระทรวงการคลังพิจารณาความเหมาะสมของหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจ่ายค่าตอบแทนของบุคคลหรือสถาบันซึ่งมีความเชี่ยวชาญที่มาช่วยปฏิบัติงานตามที่คณะกรรมการผู้ชำนาญการมอบหมาย นอกจากนี้ ร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวได้อ้างบทอาศัยอำนาจ “มาตรา ๕๑/๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๑” ซึ่งน่าจะไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริง จึงควรแก้ไขการอ้างบทอาศัยอำนาจเป็น “มาตรา ๕๑/๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๑” และควรกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการจ่ายเบี้ยประชุมและค่าตอบแทนโดยคำนึงถึงเหตุผลความจำเป็นของโครงการเป็นสำคัญ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
550 | สรุปผลการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ 3 (The 3rd Mekong River Commission Summit) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | ทส | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๓ (The 3rd Mekong River Commission Summit) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ณ เมืองเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา ระหว่างวันที่ ๔-๕ เมษายน ๒๕๖๑ โดยผลการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๓ ที่ประชุมฯ รับทราบผลการดำเนินงานตามปฏิญญานครโฮจิมินห์ ค.ศ. ๒๐๑๔ ซึ่งผู้นำประเทศสมาชิกได้ร่วมรับรองในการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๒ และผลการประชุมวิชาการนานาชาติ เรื่อง “การร่วมดำเนินความพยายามและความเป็นหุ้นส่วนเพื่อการบรรลุเป้าการพัฒนาที่ยั่งยืนในลุ่มน้ำโขง” รวมทั้งร่วมกันพิจารณาร่างปฏิญญาเสียมราฐ ค.ศ. ๒๐๑๘ และหารือการดำเนินความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจาและหุ้นส่วนการพัฒนา โดยฝ่ายไทยได้มีถ้อยแถลงถึงความสำคัญของการพัฒนาและการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพตามพันธกรณีของความตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน พ.ศ. ๒๕๓๘ และขอให้มุ่งเน้นพัฒนาคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงให้เป็นศูนย์ความรู้ด้านการบริหารจัดการลุ่มน้ำข้ามพรมแดนของภูมิภาค ซึ่งจำเป็นต้องมีการบูรณาการและกำหนดทิศทางการดำเนินงานที่ชัดเจน เชื่อมโยงกับกรอบความร่วมมือที่มีอยู่ในภูมิภาคเพื่อบรรลุเป้าหมายของการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและการพัฒนาที่ยั่งยืน สำหรับการประชุมที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การหารือทวิภาคีระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว การหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีของไทยและนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา การประชุมของนายกรัฐมนตรีประเทศสมาชิกอย่างไม่เป็นทางการ (Prime Ministers Retreat) และการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๓ (แบบเต็มคณะ) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
551 | การนำเสนอพื้นที่อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม-เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง จังหวัดตรัง และพื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ให้เป็นพื้นที่อุทยานมรดกแห่งอาเซียน | ทส | 21/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการนำเสนอพื้นที่อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม-เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง จังหวัดตรัง และพื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ให้เป็นพื้นที่อุทยานมรดกแห่งอาเซียน เพื่อให้ที่ประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม ในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ให้การรับรองการขึ้นทะเบียนอุทยานมรดกแห่งอาเซียนต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงบประมาณ เช่น ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดจากการดำเนินงานให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการ ใช้จ่ายงบประมาณในโอกาสแรก และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. กรณีเมื่อพื้นที่อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม-เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง จังหวัดตรัง และพื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้รับการรับรองให้เป็นพื้นที่อุทยานมรดกแห่งอาเซียนแล้ว ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงมหาดไทยจัดทำแผนการบริหารจัดการพื้นที่ การดูแลรักษาและการใช้ประโยชน์ของพื้นที่ดังกล่าวให้ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ และคงความเป็นมรดกอุทยานแห่งอาเซียนได้อย่างยั่งยืนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
552 | ขอความเห็นชอบโครงการ Combatting Illegal Wildlife Trade, focusing on lvory, Rhino Horn, Tiger and Pangolins in Thailand | ทส | 14/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการ Combatting Illegal Wildlife Trade, focusing on lvory, Rhino Horn, Tiger and Pangolins in Thailand มีวัตถุประสงค์เพื่อลดปัญหาการค้าสัตว์ป่าที่ผิดกฎหมายในประเทศไทย โดยเน้นที่ประเด็นของงาช้าง นอแรด เสือ และลิ่น โดยการเสริมสมรรถนะและสร้างความร่วมมือในการบังคับใช้กฎหมาย และการสร้างโครงการที่มุ่งการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่สาธิต ได้แก่ จังหวัดหนองคายและจังหวัดสงขลา ซึ่งกิจกรรมภายใต้โครงการดังกล่าวจะดำเนินการในขอบข่าย ๔ องค์ประกอบ คือ (๑) การพัฒนาความร่วมมือ การประสานงาน และการแลกเปลี่ยนข่าวสาร (๒) การเสริมสมรรถนะของผู้บังคับใช้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม (๓) การลดอุปสงค์ต่อสัตว์ป่าและผลิตภัณฑ์จากสัตว์ป่า และ (๔) การจัดการความรู้ ๑.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ลงนามร่วมกับผู้แทนสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations, Development Programme : UNDP) ประเทศไทย ในร่างเอกสารโครงการ (Project Document) และร่างข้อตกลงร่วม (Standard Letter of Agreement) ของโครงการดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น ส่วนราชการเจ้าของโครงการจะต้องพิจารณาว่าการสนับสนุนโครงการดังกล่าวมีข้อผูกพันทางการเงินที่เป็นตัวเงิน (In Cash) ด้วยหรือไม่ หากเป็นการสนับสนุนที่มีข้อผูกพันทางการเงินที่เป็นตัวเงิน ก็จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๔๙ ด้วย และหากภายหลังมีค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานดังกล่าว ให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อไปดำเนินการในโอกาสแรก และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
553 | ร่างพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส | 07/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขให้ไม้ทุกชนิดในที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน ไม่เป็นไม้หวงห้าม การทำไม้ไม่ต้องได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่อีกต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติฯ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้แก่ (๑) การมอบอำนาจให้สถาบัน/องค์กรอื่นเป็นผู้ออกหนังสือรับรองไม้ที่ขึ้นหรือปลูกขึ้นในที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน และการออกหนังสือรับรองไม้ เพื่อส่งออกไปนอกราชอาณาจักร แทนกรมป่าไม้ ควรจะต้องได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากลและเป็นที่ยอมรับของประเทศคู่ค้า (๒) การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการยื่นคำขอและออกหนังสือรับรองฯ ควรคำนึงถึงการออกหนังสือรับรองผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้เอกสาร (Paperless) เพื่อให้สอดรับกับระบบการขอรับใบอนุญาตหรือหนังสือรับรองการส่งออกสินค้าไม้ด้วยวิธี Paperless ของกระทรวงพาณิชย์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน (๓) ควรมีกระบวนการกำกับดูแลการทำไม้ที่เป็นไม้หวงห้ามซึ่งขึ้นในป่าแล้วแอบอ้างว่าเป็นการทำไม้จากที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ (๔) ควรเร่งกำหนดมาตรการและกลไกการตรวจสอบแหล่งที่มาของไม้หวงห้าม เพื่อให้สามารถระบุได้ชัดเจนระหว่างไม้หวงห้ามที่เกิดขึ้นอยู่ในที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดินกับไม้หวงห้ามในพื้นที่ป่าของรัฐ เพื่อป้องกันปัญหาการสวมตอในอนาคต และ (๕) การแก้ไขให้ไม้ทุกชนิดในที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน ไม่เป็นไม้หวงห้าม อาจก่อให้เกิดปัญหาในการลักลอบตัดไม้ในเขตที่ดินของรัฐ แล้วนำมาสวมเป็นไม้ในที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน จึงควรต้องมีมาตรการในการป้องกันปัญหาดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
554 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าคลองแม่รำพึง ป่ากลางอ่าว และเกาะทะลุ เกาะสิงข์ เกาะสังข์ และพื้นที่รอบเกาะ ในท้องที่ตำบลแม่รำพึง อำเภอบางสะพาน และตำบลทรายทอง อำเภอบางสะพานน้อย จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... (อุทยานแห่งชาติอ่าวสยาม) | ทส | 07/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าคลองแม่รำพึง ป่ากลางอ่าว และเกาะทะลุ เกาะสิงข์ เกาะสังข์ และพื้นที่รอบเกาะ ในท้องที่ตำบลแม่รำพึง อำเภอบางสะพาน และตำบลทรายทอง อำเภอบางสะพานน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดบริเวณที่ดินป่าคลองแม่รำพึง ป่ากลางอ่าว และเกาะทะลุ เกาะสิงข์ เกาะสังข์ และพื้นที่รอบเกาะ ในท้องตำบลแม่รำพึง อำเภอบางสะพาน และตำบลทรายทอง อำเภอบางสะพานน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ (อุทยานแห่งชาติอ่าวสยาม) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคมที่เห็นควรกำหนดบริเวณดังกล่าวให้เป็นอุทยานแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ เพื่อสงวนไว้ให้คงอยู่ในสภาพธรรมชาติเดิมมิให้ถูกทำลายหรือเปลี่ยนแปลงไป เพื่อประโยชน์แก่การศึกษาและรื่นรมย์ของประชาชน และเพื่ออำนวยประโยชน์อื่นแก่รัฐและประชาชน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เพื่อให้คำนึงถึงขอบเขตการซ้อนทับของพื้นที่ รวมถึงโครงการต่าง ๆ ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
555 | ขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า และกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า เมืองเก่าแม่ฮ่องสอน เมืองเก่ากาญจนบุรี เมืองเก่ายะลา และเมืองเก่านราธิวาส และแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองอู่ทองและเมืองสรรคบุรี | ทส | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าแม่ฮ่องสอน เมืองเก่ากาญจนบุรี เมืองเก่ายะลา และเมืองเก่านราธิวาส เพื่อประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่าตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า พ.ศ. ๒๕๔๖ พร้อมทั้งกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปพิจารณาและจัดทำรายละเอียดเพื่อดำเนินการต่อไป ๑.๒ แนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองอู่ทองและเมืองสรรคบุรี เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่นำไปปรับใช้ในการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและข้อเสนอแนะของกระทรวงวัฒนธรรม เช่น ควรมีการศึกษาวางแผนจัดระบบการจราจร จัดระเบียบที่จอดรถเพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงพื้นที่เมืองเก่าได้สะดวกมากขึ้น ส่งเสริมการใช้จักรยานในการเดินทางเข้าพื้นที่เมืองเก่าเพื่อลดผลกระทบด้านการจราจรและสิ่งแวดล้อม และควรพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการความเร็วในบริเวณพื้นที่เมืองเก่าเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพประสานกับกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่และชุมชนเพื่อนำแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าไปขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติ เพื่อให้การอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่ามีผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๔. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อมูลรายงานผลการดำเนินงานของเมืองเก่าไปประกอบการพิจารณาทบทวนกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาให้เหมาะสมกับสถานการณ์และสภาพทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งให้สอดคล้องกับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๐ ที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางในการบริหารจัดการพื้นที่ที่ได้มีการประกาศให้เป็นพื้นที่ที่ราษฎรไม่สามารถครอบครองได้ เช่น เขตพื้นที่โบราณสถานเพื่อให้ประชาชนที่เข้าครอบครองหรือทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ดังกล่าวอยู่ก่อนการประกาศฯ สามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันในบริเวณเขตพื้นที่ดังกล่าวได้โดยไม่ขัดกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องและสอดคล้องกับหลักการตามมาตรฐานสากล รวมถึงให้พิจารณากำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหากรณีการบุกรุกในเขตพื้นที่ดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
556 | ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ พ.ศ. 2560-2564 | ทส | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการของยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ฯ มีการกำหนดเป้าหมายในการพัฒนา คือ “การบริหารจัดการทรัพยากรแร่แบบองค์รวมเพื่อสนับสนุนวัตถุดิบให้เป็นฐานการผลิตเพื่อการพัฒนาประเทศ ยกระดับคุณภาพชีวิต เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน” โดยวางแนวนโยบายการบริหารจัดการแร่ในระยะ ๒๐ ปี ไว้ดังนี้ (๑) ประเทศมีความมั่นคงของฐานทรัพยากรแร่และวัตถุดิบเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรม และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน (๒) การนำแร่มาใช้ประโยชน์ต้องมีดุลยภาพทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชน (๓) การพัฒนากลไกในการอนุมัติอนุญาตให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ลดความซ้ำซ้อน การปรับปรุงระบบการจัดสรรผลประโยชน์ให้มีความเป็นธรรม และการเยียวยาปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตามหลักความรับผิดชอบ และ (๔) การเสริมสร้างและส่งเสริมการมีส่วนร่วมระหว่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกภาคส่วนเพื่อสร้างความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาอย่างเบ็ดเสร็จ ๑.๒ แผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ฯ มีการกำหนดประเด็นยุทธศาสตร์เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาให้มีความเชื่อมโยง สอดคล้อง สัมพันธ์ และส่งเสริมกับการปฏิรูปและขับเคลื่อนไปพร้อมกัน ประกอบด้วย ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การจำแนกเขตแหล่งแร่ เพื่อกำหนดพื้นที่แหล่งแร่อุดมสมบูรณ์และพื้นที่แหล่งแร่ เศรษฐกิจ เพื่อให้มีการรักษา ใช้ทรัพยากรแร่อย่างรอบคอบ ใช้ประโยชน์เท่าที่จำเป็นและคุ้มค่าสูงสุด ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การกำหนดนโยบายบริหารจัดการแร่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้เกิดความมั่นคงของฐานทรัพยากรแร่ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้มีความมั่นคั่งภายใต้ดุลยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชน ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การพัฒนากลไกระบบอนุญาตประทานบัตร ระบบหลักเกณฑ์และวิธีการจัดเก็บค่าภาคหลวงแร่ และระบบกำกับ ดูแล ติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผลการดำเนินงาน และยุทธศาสตร์ที่ ๔ การเสริมสร้างและส่งเสริมการมีส่วนร่วมระหว่างหน่วยงานของรัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนเกี่ยวกับการบริหารจัดการแร่ของประเทศ โดยทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมทุกขั้นตอน เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการแร่อย่างสมดุลและยั่งยืน ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงสาธารณสุข เช่น การกำหนดนโยบายบริหารจัดการแร่ ควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจการค้าและบริการในชุมชนอีกทางหนึ่งด้วย และก่อนยื่นคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนในกิจการสำรวจแร่หรือการทำเหมืองแร่ การพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการออกใบอนุญาตต่าง ๆ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการไปในทิศทางเดียวกันกับยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ฯ และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ฯ เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรแร่ของประเทศเป็นไปอย่างสอดคล้องและสนับสนุนให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรธรณี ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติเร่งรัดการดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติชุดใหม่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้นำความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับประเด็นการกำหนดพื้นที่เพื่อเป็นเขตอุตสาหกรรมสำหรับการทำเหมืองแร่และการจัดทำฐานข้อมูลทรัพยากรแร่ ควรนำประเด็นดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติเพื่อพิจารณาว่ามีความจำเป็นที่จะต้องปรับรายละเอียดของยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ฯ และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ฯ หรือไม่ก่อนที่จะนำไปสู่กระบวนการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้องต่อไป นอกจากนี้ แผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ฯ ที่เสนอในครั้งนี้ ยังไม่ได้มีการกำหนดอย่างชัดเจนว่า พื้นที่ใดสามารถใช้ดำเนินการทำเหมืองแร่ได้ พื้นที่ใดควรเป็นพื้นที่เพื่อการอนุรักษ์ หรือพื้นที่ใดที่เป็นพื้นที่เพื่อการสำรวจ ศึกษา วิจัยสำหรับการทำเหมืองแร่ในอนาคตได้ จึงควรนำประเด็นดังกล่าวเสนอคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ รวมทั้งความเห็นและข้อสังเกตของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติชุดใหม่เพื่อประกอบการพิจารณาความเหมาะสมในการปรับปรุงยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ฯ และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ฯ ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๖๐ และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐) ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
557 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561 | ทส | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (รายงาน EIA) จำนวน ๔ โครงการ ได้แก่ โครงการต่อขยายทางคู่ขนานลอยฟ้าถนนบรมราชชนนีและปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวงหมายเลข ๓๓๘ สายปิ่นเกล้า-นครชัยศรี ของกรมทางหลวง โครงการทางพิเศษสายกะทู้-ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย โครงการศูนย์บริการสุขภาพและบริการสาธารณสุขพร้อมที่จอดรถของคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และโครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน เพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ของบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) คำขอประทานบัตรที่ ๑๒/๒๕๕๖ ร่วมแผนผังโครงการทำเหมืองเดียวกันกับคำขอประทานบัตรที่ ๑๓/๒๕๕๖ คำขอประทานบัตรที่ ๑๔/๒๕๕๖ คำขอประทานบัตรที่ ๑๕/๒๕๕๖ คำขอประทานบัตรที่ ๑๖/๒๕๕๖ คำขอประทานบัตรที่ ๑๗/๒๕๕๖ ประทานบัตรที่ ๒๗๓๔๐/๑๔๓๙๐ ประทานบัตรที่ ๒๗๓๔๑/๑๔๓๙๑ และประทานบัตรที่ ๒๗๓๔๘/๑๔๓๙๒ ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ๕, ๖ ตำบลมิตรภาพ อำเภอมวกเหล็ก และหมู่ที่ ๕ ตำบลทับกวาง อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี โดยให้เจ้าของโครงการและหน่วยงานอนุญาตดำเนินการ (๑) ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่กำหนดไว้ในรายงาน EIA อย่างเคร่งครัด (๒) ให้ตั้งงบประมาณเพื่อดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่กำหนดไว้ และ (๓) นำความเห็นของ กก.วล. เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๒. เห็นชอบร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๐ และมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ปรับเพิ่มเติมประเด็นการเพิ่มขึ้นของประชากรและปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งในร่างรายงานฯ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ รวมทั้งให้รับความเห็นของ กก.วล. ในประเด็นทรัพยากรแร่และสถานการณ์สัตว์ป่าไปพิจารณาเพิ่มเติมในรายงานฯ ฉบับต่อไป ๓. เห็นชอบการขอขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และจังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๕๓ รวม ๒ ฉบับ ออกไปอีก ๒ ปี ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้ ให้ สผ. นำร่างประกาศฯ เสนอคณะรัฐมนตรีตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๔๕ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป ๔. เห็นชอบการกำหนดมาตรฐานค่าความทึบแสงของฝุ่นละอองฟุ้งกระจายจากเรือที่มีการขนถ่ายสินค้าระหว่างกัน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ เสนอ รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ นำร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดมาตรฐานค่าความทึบแสงของฝุ่นละอองฟุ้งกระจายจากเรือที่มีการขนถ่ายสินค้าระหว่างกันเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาลงนามในประกาศฯ ต่อไป และมอบให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมเจ้าท่า ในฐานะหน่วยงานอนุญาตซึ่งมีอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยการเดินเรือในน่านน้ำไทยพิจารณากำหนดให้เรือขนถ่ายสินค้าระหว่างกันต้องมีการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันการฟุ้งกระจายของฝุ่นละอองและมีมาตรการในการควบคุมฝุ่นละอองที่เข้มงวดกับผู้ประกอบการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
558 | การขอขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และจังหวัดชลบุรี พ.ศ. 2553 รวม 2 ฉบับ ออกไปอีก 2 ปี | ทส | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบางละมุง และอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๕๓ มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบางละมุง และอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๕๓ ออกไปอีก ๒ ปี นับแต่วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้ส่งร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบ้านแหลม อำเภอเมืองเพชรบุรี อำเภอท่ายาง และอำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี อำเภอหัวหิน และอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๓ คืนให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เนื่องจากไม่มีความจำเป็นต้องดำเนินการ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการโดยเร่งด่วนเพื่อป้องกันมิให้เกิดช่องว่างของการใช้บังคับกฎหมาย และควรให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำแผนงานและเร่งรัดดำเนินการปรับปรุงการกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมทั้งหมดที่รับผิดชอบให้แล้วเสร็จก่อนสิ้นสุดอายุการใช้บังคับ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
559 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ พ.ศ. 2559 พ.ศ. .... | ทส | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๙ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๙ เนื่องจากพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้บัญญัติให้มีคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ ซี่งมีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกันแทนแล้ว ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรกำหนดให้ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฉบับนี้มีผลใช้บังคับเมื่อมีการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติตามมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๖๐ แล้ว ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๖๐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
560 | โครงการ "ทำความดีด้วยหัวใจ ลดภัยสิ่งแวดล้อม" | ทส | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ดำเนินโครงการ “ทำความดีด้วยหัวใจ ลดภัยสิ่งแวดล้อม” มีวัตถุประสงค์เพื่อลดปริมาณขยะมูลฝอย ลดใช้ถุงพลาสติกหูหิ้ว และงดใช้โฟมบรรจุอาหาร โดยการดำเนินกิจกรรมร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน ๑.๒ มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมบูรณาการดำเนินกิจกรรมภายใต้โครงการฯ ได้แก่ ๑.๒.๑ กิจกรรม : มาตรการลด และคัดแยกขยะมูลฝอยในหน่วยงานภาครัฐ (๑) มอบหมายทุกหน่วยงานภาครัฐร่วมมือในการดำเนินงานพร้อมกันทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ (๒) ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการกำหนดให้ “ผลการลดและคัดแยกขยะมูลฝอย” เป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพของหน่วยงานภาครัฐ โดยเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๖๒ และ (๓) ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ ร่วมกันพิจารณากำหนดเกณฑ์ที่จะใช้สำหรับการประเมิน ๑.๒.๒ กิจกรรม : รณรงค์ ทำความดีด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก มอบหมายกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยดำเนินงานพร้อมกันทั่วประเทศ ๑.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษเป็นเจ้าภาพหลักในการติดตามผลและรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการดำเนินโครงการ “ทำความดีด้วยหัวใจ ลดภัยสิ่งแวดล้อม” ไปพิจารณาความเหมาะสมเพื่อกำหนดเป็นตัวชี้วัดเพิ่มเติมในการประเมินผลการปฏิบัติราชการประจำปีของหัวหน้าหน่วยงานภาครัฐด้วย เพื่อส่งเสริมให้การขับเคลื่อนโครงการฯ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๑ ที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วน รวมทั้งบริษัท ห้างร้าน หรือสถานประกอบการต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการลดการใช้วัสดุที่ผลิตขึ้นจากพลาสติก เช่น การใช้ถุงพลาสติกใส่สินค้าเท่าที่จำเป็นและกระตุ้นให้ผู้ซื้อสินค้านำถุงผ้ามาใส่สินค้าเอง การให้ส่วนลดราคาสินค้า หรือมาตรการอื่น ๆ กรณีที่ลูกค้าไม่ใช้ถุงพลาสติก เป็นต้น ๔. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางกำหนดมาตรการทางการเงินหรือการคลังในการสนับสนุนผู้ประกอบการหรือประชาชนที่สามารถลดปริมาณการใช้พลาสติกที่จะกลายเป็นขยะตกค้างที่ย่อยสลายได้ยาก เช่น การให้สิทธิพิเศษเพื่อลดหย่อนภาษีได้ เป็นต้น
|
.....