ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 30 จากทั้งหมด 109 หน้า แสดงรายการที่ 581 - 600 จากข้อมูลทั้งหมด 2165 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
581 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ (จำนวน 6 คน 1. นายประทีป เจริญพร ฯลฯ) | ทส | 05/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ จำนวน ๖ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๕ มิถุนายน ๒๕๖๑) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นายประทีป เจริญพร ด้านการบริหารจัดการที่ดิน ๒. นายอิทธิพล ศรีเสาวลักษณ์ ด้านกฎหมายและนโยบายเกี่ยวกับที่ดิน ๓. นายมานัส ฉั่วสวัสดิ์ ด้านการจัดการที่ดินของรัฐ ๔. นายมณฑล สุดประเสริฐ ด้านการผังเมือง ๕. นายประยุทธ หล่อสุวรรณศิริ ด้านการจัดการที่ดินป่าไม้ ๖. นายสิริวิชญ กลิ่นภักดี ด้านการจัดรูปที่ดินและจัดระบบน้ำเพื่อเกษตรกรรม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
582 | รายงานการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการประสานงานการให้ความเห็นขององค์การอิสระในโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง พ.ศ. 2553 และอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ พ.ศ. .... | ทส | 22/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการดำเนินการภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ ที่เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการประสานงานการให้ความเห็นขององค์การอิสระในโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง พ.ศ. ๒๕๕๓ และอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ พ.ศ. .... [ยุบเลิกองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (กอสส.)] และเห็นชอบการจ่ายค่าชดเชยบุคลากรสนับสนุนการปฏิบัติงาน กอสส. จำนวน ๒๐ คน โดยเทียบเคียงการจ่ายค่าชดเชยตามมาตรา ๑๑๘ ของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ เป็นเงิน ๒,๓๖๙,๘๐๐ บาท โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพัสดุที่สำนักงาน กอสส. ได้ยืมจากกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และแต่งตั้งคณะกรรมการรับมอบพัสดุ ซึ่งคณะกรรมการรับมอบพัสดุได้รับคืนพัสดุ รวมทั้งสิ้น ๗๓๕ รายการ โดยได้ตรวจสอบความครบถ้วน ถูกต้อง และเป็นไปตามระเบียบทางราชการเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ ได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาการจ่ายค่าชดเชยบุคลากรสนับสนุนการปฏิบัติงาน กอสส. โดยจ่ายค่าชดเชยให้แก่บุคลากรดังกล่าว จำนวน ๑๘ คน เป็นเงินทั้งสิ้น ๒,๓๙๙,๘๐๐ บาท เกินกว่าวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ จำนวน ๓๐,๐๐๐ บาท เนื่องจากมีการคาดการณ์ระยะเวลาในการยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประสานงานการให้ความเห็นขององค์การอิสระในโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง พ.ศ. ๒๕๕๓ เพื่อยุบเลิกองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพคลาดเคลื่อน (เดิมคาดว่าจะเสร็จสิ้นก่อนวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ แต่ระเบียบฯ มีผลใช้บังคับวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๐) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
583 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือสำหรับโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง ระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับสถานเอกอัครราชทูตจีน ประจำประเทศไทย และร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับสถาบันความร่วมมือ เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง | ทส | 15/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือสำหรับโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง ระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับสถานเอกอัครราชทูตจีน ประจำประเทศไทย และร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับสถาบันความร่วมมือเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง เพื่อดำเนินการขอรับทุนสำหรับดำเนินโครงการกลไกความร่วมมือข้ามพรมแดนเพื่อการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังน้ำจากกองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง จำนวน ๓๘๙,๕๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ให้แก่กรมทรัพยากรน้ำ โดยมีสถาบันความร่วมมือเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขงเป็นหน่วยงานดำเนินโครงการฯ ซึ่งร่างบันทึกความเข้าใจฯ ทั้ง ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดแนวทางในการบริหารจัดการงบประมาณของโครงการที่ได้รับการอนุมัติจากฝ่ายจีนให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง อย่างสูงสุด และเพื่อดำเนินความร่วมมือในการสนับสนุนการบริหารจัดการลุ่มน้ำโขง-ล้านช้าง การพัฒนาศักยภาพขององค์กรและบุคลากรที่เกี่ยวข้องในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ๑.๒ อนุมัติให้ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจทั้งสองฉบับ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงพลังงานที่เห็นควรให้ความสำคัญและบูรณาการความร่วมมือในด้านสาขาพลังงานกับกลุ่มประเทศในกรอบยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS) ก่อนเป็นลำดับแรก ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
584 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านสิ่งแวดล้อมของกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ 5 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | ทส | 08/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านสิ่งแวดล้อมของกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ ๕ (Fifth Greater Mekong Subregion Environment Ministers’ meeting : GMS EMM-5) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๓๐ มกราคม-๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ณ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย การประชุมประกอบด้วย ๓ ส่วนสำคัญ ได้แก่ (๑) การประชุมเชิงวิชาการ (๒) การประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส และ (๓) การประชุมระดับรัฐมนตรี ซี่งให้การรับรองกรอบยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการของแผนงานหลักด้านสิ่งแวดล้อม (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๕) ที่จัดทำขึ้นเพื่อเป็นกรอบแผนงานสำหรับการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงภายในระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๕) รวมทั้งให้การรับรองแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านสิ่งแวดล้อมของกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ ๕ มีสาระสำคัญในการให้คำมั่นร่วมกันเพื่อสร้างเศรษฐกิจสีเขียวที่ครอบคลุมและยั่งยืนตามแนวทางของแผนงานหลักด้านสิ่งแวดล้อมที่มุ่งเน้นหลักการลงทุนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมด้วยการเสริมสร้างนโยบายที่เชื่อมต่อการลงทุน ปรับปรุงกระบวนการวางแผนทางยุทธศาสตร์ และให้การสนับสนุนเพื่อสร้างความพร้อมด้านการลงทุน โดยโครงการที่มีศักยภาพภายใต้แผนงานหลักด้านสิ่งแวดล้อมจะถูกรวบรวมอยู่ในกรอบการลงทุนระดับภูมิภาค ปี ๒๕๕๖-๒๕๖๕ และแผนปฏิบัติการฮานอย ปี ๒๕๖๑-๒๕๖๕ ซึ่งได้มีการนำเสนอในที่ประชุมสุดยอดผู้นำของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ ๖ ที่จัดขึ้นในเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
585 | ร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศญี่ปุ่น ว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม | ทส | 08/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศญี่ปุ่น ว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความร่วมมือฯ ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่นระหว่างวันที่ ๑๖-๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑ โดยร่างบันทึกความร่วมมือฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างอำนวยความสะดวกและพัฒนาความร่วมมือซึ่งกันและกันในสาขาสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า หากจะมีการจัดทำความตกลงเกี่ยวกับการถ่ายโอนเทคโนโลยี รายละเอียดด้านเทคนิค รวมถึงเรื่องการจัดสรรงบประมาณสำหรับกิจกรรมภายใต้ร่างบันทึกความร่วมมือฯ การคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา และการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่มีชั้นความลับตามที่ระบุไว้ในร่างบันทึกความร่วมมือฯ ในอนาคต ควรส่งร่างความตกลงดังกล่าวให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาต่อไปด้วย และควรให้ความสำคัญกับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญาที่เป็นผลมาจากการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ภายใต้บันทึกความร่วมมือฯ ที่ต้องใช้สิทธิให้สอดคล้องกับกฎหมายและกฎข้อบังคับของแต่ละประเทศที่จะต้องทำข้อตกลงแยกออกไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการตามบันทึกความร่วมมือฯ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงาน และแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็น และเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
586 | รายงานสถานการณ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทย พ.ศ. 2559 | ทส | 01/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๙ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับ (๑) สถานการณ์การขับเคลื่อนการพัฒนา นโยบาย และยุทธศาสตร์ที่สำคัญของประเทศ (๒) สถานการณ์ด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่ง (๓) สถานการณ์การกัดเซาะชายฝั่ง (๔) สถานการณ์ด้านทรัพยากรทางทะเลและสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่ง และการกัดเซาะชายฝั่งรายจังหวัด (๕) สถานการณ์การใช้ประโยชน์พื้นที่ชายฝั่งและทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (๖) การวิเคราะห์สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศ โดยใช้กรอบแนวคิด DPSIR (๗) การใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ในการประเมินแนวโน้มของสถานการณ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศ และ (๘) ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อสถานการณ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
587 | อุทยานธรณีสตูลได้รับการรับรองจากยูเนสโกเป็นอุทยานธรณีโลก (UNESCO Global Geoparks) | ทส | 01/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบเรื่อง อุทยานธรณีสตูลได้รับการรับรองจากยูเนสโกเป็นอุทยานธรณีโลก (UNESCO Global Geoparks) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. อุทยานธรณีสตูลได้รับการพิจารณารับรองการเป็นสมาชิกอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก (UNESCO Global Geoparks) แล้ว ในการประชุมคณะกรรมการบริหารของยูเนสโก ครั้งที่ ๒๐๔ (204th Session of the Executive Board) เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๑ ณ องค์การยูเนสโก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ทั้งนี้ อุทยานธรณีโลกเมื่อได้รับการจัดตั้งแล้วจะมีสถานะเป็นอุทยานธรณีโลก ภายในระยะเวลา ๔ ปี หลังจากนั้นจะต้องได้รับการประเมินอุทยานธรณีโลกใหม่อีกครั้ง (Revalidation) เพื่อให้รักษาคุณสมบัติและคุณภาพของอุทยานธรณีโลก หากผลการประเมินผ่านเกณฑ์จะได้รับการต่ออายุเป็นอุทยานธรณีโลกอีก ๔ ปี แต่หากไม่ผ่านการประเมิน หน่วยงานผู้รับผิดชอบในการบริหารอุทยานธรณีโลกต้องดำเนินการปรับปรุงแก้ไขตามขั้นตอนและข้อเสนอแนะของยูเนสโกให้แล้วเสร็จภายใน ๒ ปี หากไม่สามารถดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้แล้วเสร็จภายในกำหนดได้ จะถูกถอดถอนจากการเป็นอุทยานธรณีโลก ๒. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมทรัพยากรธรณี) จะประสานหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จังหวัดสตูล และอุทยานธรณีโลกยูเนสโกสตูล พิจารณาดำเนินการตามข้อสังเกตของสมาชิกสภาอุทยานธรณีโลกต่อการพัฒนาอุทยานธรณี เช่น การดำเนินการอนุรักษ์แหล่งธรณีวิทยาที่สำคัญอย่างต่อเนื่อง การเร่งรัดการป้องกันพื้นที่ชายฝั่งทะเลและสิ่งก่อสร้างบริเวณแนวชายฝั่งที่ได้รับการกัดเซาะโดยธรรมชาติอย่างรวดเร็ว และการจัดทำแผนการดำเนินงาน ๔ ปี ของอุทยานธรณีสตูล เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานเพื่อพัฒนามาตรฐานของอุทยานธรณีสตูลและเตรียมรองรับการประเมินใน ๔ ปีข้างหน้า เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
588 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2560 (เพิ่มเติม) | ทส | 24/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ (เพิ่มเติม) จำนวน ๑ เรื่อง คือ โครงการนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดสงขลา ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และให้ กนอ. รับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการเพิ่มเติมในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ (๑) การจัดการด้านมลพิษที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมในนิคมอุตสาหกรรม เห็นควรให้เพิ่มเติมมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมในเรื่องการกำจัดกากอุตสาหกรรม การจัดการน้ำเสียส่วนกลางหรือน้ำทิ้ง และการจัดการคุณภาพอากาศ (๒) การกำหนดกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายและกลุ่มอุตสาหกรรมห้ามตั้ง เห็นควรระบุประเภทของกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายให้ชัดเจน รวมทั้งพิจารณาและประกาศกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและศักยภาพของพื้นที่ภาคใต้ให้ชัดเจน และให้ความสำคัญกับการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ (๓) พิจารณาเพิ่มพื้นที่สีเขียวเป็นแนวกันชน ในบริเวณทิศเหนือของพื้นที่ตั้งสำนักงานขนส่งและกระจายสินค้าและเขตประกอบการเสรี เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อชุมชนโดยรอบ และเป็นการปรับภูมิทัศน์ให้สวยงาม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
589 | การเข้าร่วมเป็นสมาชิก The United Nations Collaborative Programme on Reducing Emissions From Deforestation and Forest Degradation in Developing Countries (UN-REDD Programme) ของประเทศไทย | ทส | 24/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิก The United Nations Collaborative Programme on Reducing Emissions From Deforestation and Forest Degradation in Developing Countries (UN-REDD Programme) ซึ่งโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมประเทศกำลังพัฒนาที่เป็นสมาชิกให้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการดำเนินการตามกรอบงานเรดด์พลัส (REDD+) หรือที่เกี่ยวกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งเกิดจากการทำลายป่าและการทำให้ป่าเสื่อมโทรม รวมถึงการอนุรักษ์ป่า การจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน และการเพิ่มการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ป่า โดยโครงการจะสนับสนุนในด้านต่าง ๆ ทั้งในเชิงเทคนิค วิชาการ และการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานที่เป็นข้อตัดสินใจของการประชุมประเทศภาคีสมาชิกอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ๑.๒ ให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นหน่วยงานดำเนินงาน UN-REDD Programme ๑.๓ ให้ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้ลงนามในเอกสารแสดงความประสงค์เข้าร่วมโครงการอย่างเป็นทางการ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อเป็นแนวทางดำเนินงานตามกรอบงาน REDD+ อย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและทิศทางการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้ส่วนของงบประมาณในการดำเนินงานเข้าร่วมเป็นสมาชิก UN-REDD Programme ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ที่ได้รับจัดสรรไว้แล้ว และ/หรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณมาดำเนินการ สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
590 | แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ (เพิ่มเติม) (นายธัญญา เนติธรรมกุล ผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนางสาวนงพงา บุญเปี่ยม (ผู้แทนกระทรวงการคลัง) | ทส | 24/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ แทนตำแหน่งที่ว่าง จำนวน ๒ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๔ เมษายน ๒๕๖๑) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นายธัญญา เนติธรรมกุล ผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๒. นางสาวนงพงา บุญเปี่ยม ผู้แทนกระทรวงการคลัง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
591 | ร่างหนังสือการบริหารจัดการระหว่างเครือข่ายการติดตามตรวจสอบการตกสะสมของกรดในภูมิภาคเอเชียตะวันออก (EANET) และโครงการเฝ้าระวังบรรยากาศโลก ภายใต้องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO/GAW) เกี่ยวกับการตกลงยอมรับให้ EANET เป็นเครือข่ายสนับสนุนของ WMO/GAW | ทส | 03/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างหนังสือการบริหารจัดการระหว่างเครือข่ายการติดตามตรวจสอบการตกสะสมของกรดในภูมิภาคเอเชียตะวันออก (Acid Deposition Monitoring Network in East Asia : EANET) และโครงการเฝ้าระวังบรรยากาศโลก ภายใต้องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organization : WMO/Global Atmospheric Watch Programme : GAW) เกี่ยวกับการตกลงยอมรับให้ EANET เป็นเครือข่ายสนับสนุนของ WMO/GAW ซึ่งเป็นเอกสารกำหนดกรอบความร่วมมือระหว่างเครือข่าย EANET กับ WMO/GAW ในการเพิ่มพูนความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์เพิ่มเติม รวมทั้งเพื่อกำหนดความรับผิดชอบของแต่ละฝ่าย โดยมีการกำหนดกิจกรรมร่วมกัน เช่น ให้ข้อมูลสำหรับทุกสถานีของ EANET แก่ WMO/GAW จัดเตรียมข้อมูลรายละเอียดที่เกี่ยวข้องให้แก่ระบบสารสนเทศข้อมูลสถานีของ GAW อนุญาตให้ WMO/GAW และ EANET ใช้ข้อมูลของซึ่งกันและกันได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เป็นต้น ๑.๒ เห็นชอบให้ผู้ประสานงานหลักของประเทศไทย (National Focal Point) ภายใต้เครือข่าย EANET (ผู้อำนวยการสำนักจัดการคุณภาพอากาศและเสียง กรมควบคุมมลพิษ) เห็นชอบต่อร่างหนังสือฯ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรมีการพิจารณาใช้ประโยชน์จากข้อมูลและผลิตผลจากการปฏิบัติงานภายใต้เครือข่ายความร่วมมือดังกล่าวสำหรับการจัดการมลพิษอากาศและสิ่งแวดล้อมภายในประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างหนังสือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสามารถดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
592 | ร่างปฏิญญาเสียมราฐ ค.ศ. 2018 | ทส | 03/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาเสียมราฐ ค.ศ. ๒๐๑๘ ที่จะมีการรับรองในระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๓ ระหว่างวันที่ ๔-๕ เมษายน ๒๕๖๑ ณ เมืองเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชาโดยร่างปฏิญญาฯ เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์เชิงนโยบายของประเทศสมาชิกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงในการมุ่งเน้นการดำเนินงานตามพันธกรณีของความตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน พ.ศ. ๒๕๓๘ โดยมีแนวคิดหลักคือ การเพิ่มพูนความพยายามและความเป็นหุ้นส่วนของประเทศสมาชิกในการพัฒนาและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและทรัพยากรที่เกี่ยวข้อง เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของลุ่มแม่น้ำโขง ๑.๒ อนุมัติให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศไทยในการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๓ เป็นผู้รับรองร่างปฏิญญาฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
593 | การประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 24 (The 24th Meeting of Mekong River Commission Council) | ทส | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๒๔ (The 24th Meeting of Mekong River Commission Council) ระหว่างวันที่ ๒๘-๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ณ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบกำหนดการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๓ ที่กำหนดจะจัดขึ้นในวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๑ ณ เมืองเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา และมีมติอนุมัติ (๑) แผนดำเนินงานประจำปี ๒๕๖๑ (๒) แผนยุทธศาสตร์การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในลุ่มแม่น้ำโขงและแผนปฏิบัติการ (๓) แผนกลยุทธการบริหารจัดการและการพัฒนาการประมงในระดับลุ่มน้ำ และ (๔) การจ่ายเงินอุดหนุนคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๗๓ รวมทั้งอนุมัติหลักการจ่ายเงินอุดหนุนแก่คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๗๓ โดยในปี ๒๕๖๒ เป็นต้นไป ไทยจะจ่ายเงินอุดหนุนลดลงร้อยละ ๑ ในทุก ๆ ๓ ปี (ปัจจุบันไทยจ่ายเงินอุดหนุนร้อยละ ๓๐) และในปี ๒๕๗๓ ไทยและประเทศสมาชิกจะมีสัดส่วนการจ่ายเงินอุดหนุนเท่ากันที่ร้อยละ ๒๕ ซึ่งเงินอุดหนุนรวมของประเทศสมาชิกจะมีการปรับฐานเพิ่มขึ้นทุกปีในอัตราร้อยละ ๑๐ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินอุดหนุนของไทยให้แก่คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมทรัพยากรน้ำ) จัดทำรายละเอียดแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเงินอุดหนุน และขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๗๓ ตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
594 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมป่าไม้และศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์การเกษตรนานาชาติแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan International Research Center for Agricultural Science : JIRCAS) ร่างแผนปฏิบัติงาน 2559-2564 วนวัฒนวิธีที่มีศักยภาพเพื่อส่งเสริมการปลูกสวนป่าสักและร่างข้อตกลงการใช้ตัวอย่างชีวภาพ | ทส | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมถอนเรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมป่าไม้และศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์การเกษตรนานาชาติแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan International Research Center for Agricultural Science : JIRCAS) ร่างแผนปฏิบัติงาน ๒๕๕๙-๒๕๖๔ วนวัฒนวิธีที่มีศักยภาพเพื่อส่งเสริมการปลูกสวนป่าสักและร่างข้อตกลงการใช้ตัวอย่างชีวภาพ คืนไปได้ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติที่เห็นว่า ร่างบันทึกความเข้าใจฯ ร่างแผนปฏิบัติการฯ และร่างข้อตกลงฯ ดังกล่าวไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย รวมทั้งมีความเห็นเพิ่มเติมในส่วนของร่างข้อตกลงฯ เช่น ควรพิจารณากำหนดเงื่อนไข (ปริมาณวัสดุที่ต้องส่งในแต่ละครั้ง จำนวนครั้งสูงสุดที่ต้องจัดส่ง) ซึ่งอาจเกิดการร้องขอเกินความจำเป็นและจะมีผลต่อเนื่องในข้อตกลงเรื่องการขนส่งที่กรมป่าไม้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดส่งแต่ฝ่ายเดียว เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
595 | รายงานผลการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการต่างๆ ภายใต้กลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism: JCM) | ทส | 13/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้กลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism : JCM) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การให้ทุนสนับสนุนการพัฒนาโครงการ JCM Model Project กระทรวงสิ่งแวดล้อม ประเทศญี่ปุ่น ได้ให้ทุนสนับสนุนการพัฒนาโครงการ JCM Model Project จำนวน ๒๓ โครงการ มูลค่ามากกว่า ๑.๕ พันล้านบาท ก่อให้เกิดการลงทุนมากกว่า ๔ พันล้านบาท โดยปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลดลงจากโครงการทั้งหมด เท่ากับ ๙๙,๘๗๐ ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ทั้งนี้ กิจกรรมที่ได้รับทุนสนับสนุนการพัฒนาโครงการ JCM Model Project ก่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีประเภทต่าง ๆ แบ่งเป็น ๒ ประเภท ได้แก่ (๑) การผลิตพลังงาน และ (๒) การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ๒. การประชุมคณะกรรมการร่วมระหว่างฝ่ายไทยและฝ่ายญี่ปุ่น จำนวน ๓ ครั้ง โดยที่ประชุมมีมติรับรองกฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์ และแบบฟอร์มต่าง ๆ ที่ใช้ในการดำเนินงานรับรองระเบียบวิธีการคำนวณปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจก จำนวน ๖ วิธี พร้อมทั้งรับรองผู้ตรวจประเมินโครงการ จำนวน ๔ ราย และขึ้นทะเบียนโครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน ๑ โครงการ ๓. การจัดการอบรม/สัมมนาร่วมกับหน่วยงานของประเทศญี่ปุ่น จำนวน ๑๑ ครั้ง มีผู้เข้าร่วมทั้งหมด ๗๒๘ คน และได้เข้าร่วมการประชุมรับฟังความคิดเห็นโครงการที่จะขอขึ้นทะเบียนเป็นโครงการ JCM จำนวน ๕ โครงการ รวมทั้งเยี่ยมชมโครงการ จำนวน ๔ โครงการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
596 | ผลการประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก ครั้งที่ 3 (3rd Asia-Pacific Water Summit) | ทส | 13/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ ๓ (3rd Asia-Pacific Water Summit) ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงย่างกุ้ง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมการประชุมฯ ซึ่งที่ประชุมฯ ได้รับรองปฏิญญาย่างกุ้ง (Yangon Declaration) โดยได้แสดงเจนารมณ์ที่จะทำให้ความมั่นคงของน้ำเกิดผลสัมฤทธิ์เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และประกาศว่าจะดำเนินการในเรื่องน้ำ เช่น จัดหาน้ำดื่มที่ปลอดภัยและการสุขาภิบาลขั้นมูลฐานสำหรับทุกคนในภูมิภาคภายในปี ค.ศ. ๒๐๒๕ เพิ่มการลงทุนในระดับภูมิภาคทั้งโครงสร้างพื้นฐานและการดำเนินการระดับชุมชนเพื่อแก้ปัญหาภัยพิบัติด้านน้ำ เพิ่มการวิจัยและพัฒนา รวมถึงการศึกษาและการฝึกอบรมเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านประสิทธิภาพการใช้น้ำและผลผลิตการนำกลับมาใช้ใหม่ เป็นต้น นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้เห็นพ้องกับหนทางที่จะเดินหน้าต่อไปสู่การยกระดับนวัตกรรมและการปฏิบัติต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความมั่นคงของน้ำในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เช่น การจัดการวัฏจักรน้ำที่ดี ธรรมาภิบาลและการพัฒนาอย่างมีส่วนร่วม การเงินสำหรับการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านน้ำ เป็นต้น ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
597 | สรุปผลการเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 3 | ทส | 13/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ ๓ (The Third session of the United Nations Environment Assembly : UNEA 3) ระหว่างวันที่ ๔-๖ ธันวาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงไนโรบี สาธารณรัฐเคนยา โดยมีนายเชิดเกียรติ อัตถากร เอกอัครราชทูตประจำกรุงไนโรบีและผู้แทนถาวรแห่งประเทศไทยประจำโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ ทำหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม UNEA 3 ซึ่งในที่ประชุม UNEA 3 ประเทศสมาชิกได้ร่วมกันรับรองข้อมติและข้อตัดสินใจเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับทุกประเทศ รวมถึงได้ร่วมกันรับรองปฏิญญาระดับรัฐมนตรีซึ่งเป็นแนวทางการดำเนินงานเพื่อป้องกัน บรรเทา และจัดการมลพิษในทุกรูปแบบ และมีการระบุถึงประเด็นสิ่งแวดล้อมที่สำคัญและจำเป็นต้องมีการดำเนินงานแก้ไขอย่างเร่งด่วน ตลอดจนเป็นแนวทางสำคัญเพื่อการบรรลุตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งนี้ มอบหมายส่วนราชการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนการดำเนินงานในประเด็นต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในแต่ละเป้าหมาย เช่น กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินการเพื่อเพิ่มการศึกษาวิจัยและส่งเสริมการพัฒนาข้อมูลวิทยาศาสตร์และเผยแพร่ข้อมูล กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการให้มีมาตรฐานคุณภาพอากาศที่อ้างอิงตามเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการพัฒนามาตรการและกฎหมายที่เหมาะสมในระดับประเทศในการลดความเสี่ยงที่เกิดจากสารเคมี และจัดการแบตเตอรี่ตะกั่วที่ใช้แล้วอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนดำเนินการให้มีมาตรการส่งเสริมและลงทุนด้านนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
598 | การขอความเห็นชอบร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรี (Ministerial Declaration) ซึ่งเป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมน้ำโลก ครั้งที่ 8 (The 8th World Water Forum) | ทส | 13/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรี (Ministerial Declaration) ซึ่งเป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมน้ำโลก ครั้งที่ ๘ (The 8th World Water Forum) กำหนดจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๘-๒๓ มีนาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงบราซิเลีย สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล โดยร่างปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดข้อเรียกร้องเร่งด่วนให้มีการดำเนินการด้านน้ำอย่างเด็ดขาด เช่น (๑) ให้รัฐบาลก่อตั้งหรือเสริมสร้างนโยบายและแผนการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการในระดับชาติและระดับต่ำกว่าโดยใช้ลุ่มน้ำเป็นหน่วยงานในการวางแผน (๒) สนับสนุนการจัดการองค์กรด้านน้ำระดับชาติและระดับต่ำกว่าตามที่เหมาะสม (๓) ระดมทุนและจัดสรรทรัพยากรทางการเงินจากแหล่งเงินทุนต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการลงทุนในการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศกำลังพัฒนา เป็นต้น ๑.๒ อนุมัติให้เอกอัครราชทูต ณ กรุงบราซิเลีย สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิลร่วมรับรองในปฏิญญาฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
599 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2560 | ทส | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นเรื่องเชิงนโยบายที่สำคัญและได้ข้อยุติแล้ว จำนวน ๔ เรื่อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. รายงานการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบก นครราชสีมา ระยะที่ ๒ (เพื่อขยายโอกาสใช้พลังงานสะอาดและลดมลภาวะในภาคขนส่งและอุตสาหกรรมเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง) ครั้งที่ ๒ ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตั้งอยู่ที่อำเภอสูงเนิน อำเภอปักธงชัย อำเภอโชคชัย และอำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ๒. โครงการรถไฟความเร็วสูง สายกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา (ช่วงชุมทางบ้านภาชี-นครราชสีมา) (ภายใต้โครงการศึกษาและออกแบบรถไฟความเร็วสูง สายกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา) ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ๓. แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ๔. การเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์โครงการภายใต้แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๙-๒๕๔๐ (กรณีจัดซื้อที่ดินเพื่อใช้เป็นพื้นที่ก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสีย เทศบาลเมืองเลย จังหวัดเลย) เนื่องจากเทศบาลเมืองเลยยังไม่ได้ก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสีย ประกอบกับสภาพพื้นที่ตามแนวเขตท่อ และจุดพักน้ำเสียจากการศึกษาออกแบบ ได้เปลี่ยนแปลงไปสำหรับการจัดการน้ำเสียในเขตเทศบาลเมืองเลย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
600 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2552 เพื่อปรับปรุงมาตรการป้องกัน ควบคุม และกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่น | ทส | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๒ (เรื่อง ร่างมาตรการป้องกัน ควบคุม และกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่น) เพื่อปรับปรุงมาตรการป้องกัน ควบคุม และกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่น ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ปรับปรุงมาตรการและแนวทางปฏิบัติในการป้องกัน ควบคุม และกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่น จากเดิม ๔ มาตรการ ๑๕ แนวทางปฏิบัติ เป็น ๕ มาตรการ ๒๒ แนวทางปฏิบัติ และได้กำหนดให้มีแนวทางปฏิบัติในการควบคุมหรือกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่น (ชนิดพันธุ์พืชต่างถิ่นและชนิดพันธุ์สัตว์ต่างถิ่น) ที่มีลำดับความสำคัญสูงของประเทศไทยแยกออกเป็นการเฉพาะ ๑.๒ ปรับปรุงทะเบียนรายการชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่ควรควบคุม ป้องกัน และกำจัด จากทะเบียนรายการเดิมในปี ๒๕๕๒ ที่มีจำนวน ๒๗๓ ชนิด ปรับปรุงเป็นจำนวน ๓๒๓ ชนิด ซี่งได้เพิ่มการจำแนกชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่มีการส่งเสริมการใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจออกมาให้ชัดเจนว่าสามารถขยายพันธุ์ ขยายถิ่นที่เพาะเลี้ยง และแจกจ่ายพันธุ์ได้แต่ต้องมีมาตรการป้องกันเฉพาะที่รัดกุม เพื่อมิให้เกิดการแพร่กระจายเข้าไปในเขตพื้นที่อนุรักษ์ ๒. สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานมาตรการป้องกัน ควบคุม และกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่น ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในลักษณะบูรณาการ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ เช่น ควรสนับสนุนการสร้างเครือข่ายวิจัยกับสถาบันวิจัยที่อยู่ในประเทศที่มีชนิดพันธุ์ต่างถิ่นทั้งที่เป็นประเทศต้นกำเนิดและประเทศที่พบการระบาด ควรให้ความสำคัญกับการจัดเก็บและรวบรวมข้อมูลชนิดพันธุ์ต่างถิ่นอย่างเป็นระบบ และมีการเผยแพร่ความรู้ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นต่อสาธารณะอย่างถูกต้อง ทั่วถึง และต่อเนื่อง รวมทั้งการสร้างเครือข่ายความร่วมมือในกลุ่มประเทศภูมิภาคอาเซียนเพื่อการเฝ้าระวังและการแจ้งเตือนการรุกรานของชนิดพันธุ์ต่างถิ่น รวมถึงสนับสนุนการวิจัยร่วมกับนักวิจัยในภูมิภาคอาเซียน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับมาตรการป้องกัน ควบคุม และกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่น ให้แก่สาธารณชนทราบอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะการระบุให้ชัดเจนเกี่ยวกับชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่มีผลกระทบต่อระบบนิเวศของไทย หรือที่เป็นพาหะของโรค ก่อให้เกิดอันตราย และมีผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนด้วย ทั้งนี้ ในการสร้างการรับรู้ดังกล่าวให้ดำเนินการในรูปแบบและการใช้ถ้อยคำที่ประชาชนทั่วไปเข้าใจได้ง่ายด้วย
|
.....