ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 136 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 2701 - 2720 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2701 | ขอชดเชยส่วนต่างระหว่างต้นทุนเงินกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารออมสินกรณีการกู้เงินเพื่อก่อสร้างระบบป้องกันอุทกภัยในนิคมอุตสาหกรรมที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยดำเนินการเอง | กค | 15/10/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ชดเชยส่วนต่างระหว่างต้นทุนเงินกับอัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บกับผู้กู้ให้กับธนาคารออมสิน จำนวน ๑,๔๔๓.๐๕๔ ล้านบาท โดยมีหลักเกณฑ์ในการคำนวณการชดเชยต้นทุนเงินของธนาคารออมสิน ดังนี้ ต้นทุนเงินของธนาคารออมสินคำนวณจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๑๒ เดือน สำหรับผู้ฝากทั่วไปสูงสุดของธนาคารออมสิน บวกต้นทุนการดำเนินงาน ร้อยละ ๐.๙๘ ต่อปี หักผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยรับ ร้อยละ ๐.๐๑ ต่อปี (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๑๒ เดือนสำหรับผู้ฝากเงินทั่วไปของธนาคารออมสินอยู่ที่ร้อยละ ๓.๐๐ ต่อปี) ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยชดเชยโดยประมาณเท่ากับร้อยละ ๓.๙๗ ต่อปี เป็นระยะเวลา ๑๕ ปี วงเงินประมาณ ๑,๔๔๓.๐๕๔ ล้านบาท โดยให้เบิกจ่ายตามที่เกิดขึ้นจริง ทั้งนี้ ให้ธนาคารออมสินประสานงานกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดต่อไป ๑.๒ เห็นชอบให้โครงการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ดำเนินการเองเป็นโครงการแยกบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ ๒. ให้ กนอ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกรณีที่ กนอ. ลงนามในสัญญาเงินกู้กับธนาคารออมสินแล้ว ควรมีการประสานงานจัดส่งรายละเอียดพร้อมทั้งดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อแผนการก่อสร้างและแผนเบิกจ่ายเงิน รวมทั้งพิจารณาดำเนินการตามมติที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ ๗/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เพื่อให้การดำเนินการมีความรัดกุม ถูกต้อง และสอดคล้องตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด อันเป็นการป้องกันผลกระทบจากการก่อสร้างระบบป้องกันอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2702 | ขออนุมัติใช้เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | กค | 15/10/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการกรณีกระทรวงการคลังขออนุมัติค่าใช้จ่ายค่าถอนคืนรายได้แผ่นดิน เพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกา รายบริษัท ไทยลู้บเบส จำกัด (มหาชน) ซึ่งยื่นฟ้องกรมสรรพสามิต จำเลยที่ ๑ กรมศุลกากร จำเลยที่ ๒ และกรมสรรพากร จำเลยที่ ๓ ต่อศาลภาษีอากรกลาง ขอให้มีคำพิพากษาเพิกถอนการประเมินภาษีกรณีการนำเข้าน้ำมันเตาแต่สำแดงว่าเป็นน้ำมันรีดิวซ์ครูด และศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้กรมสรรพสามิตคืนเงินค่าประกันภาษีพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปีของต้นเงินจำนวน ๗๙,๘๓๓,๓๙๒.๐๔ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จนถึงวันที่กรมสรรพสามิตอนุมัติให้คืนเงินแก่โจทก์ โดยกรมสรรพสามิตได้คำนวณดอกเบี้ยถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ คิดเป็นเงินจำนวน ๖๕,๐๖๔,๐๑๗.๘๖ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๔๔,๘๙๗,๔๐๙.๙๐ บาท แต่โดยที่กรมสรรพสามิตมีแหล่งเงินรายได้จากการดำเนินงาน จึงเห็นสมควรให้กรมสรรพสามิตพิจารณาใช้จ่ายจากแหล่งเงินนอกงบประมาณในโอกาสแรกก่อน หากไม่สามารถดำเนินการได้ตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ก็เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับวงเงินและรายละเอียดค่าใช้จ่าย ให้กรมสรรพสามิตทำความตกลงกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเพื่อดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบในการละเมิด ตามนัยพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ โดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||
2703 | แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2556 | กค | 09/10/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ซึ่งประกอบด้วย ๓ แผนย่อย ได้แก่ แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงินในประเทศ ๙๔๓,๙๓๖.๑๐ ล้านบาท วงเงินต่างประเทศ ๑๕,๔๕๕.๗๗ ล้านบาท รวม ๙๕๙,๓๙๑.๘๗ ล้านบาท แผนการปรับโครงสร้างหนี้ วงเงินในประเทศ ๗๐๓,๓๙๔.๕๐ ล้านบาท วงเงินต่างประเทศ ๓๔,๒๐๘.๔๐ ล้านบาท รวม ๗๓๗,๖๐๒.๙๐ ล้านบาท และแผนการบริหารความเสี่ยง วงเงินในประเทศ ๔๗,๑๐๐.๐๐ ล้านบาท วงเงินต่างประเทศ ๑๗๖,๐๓๘.๓๘ ล้านบาท รวม ๒๒๓,๑๓๘.๓๘ ล้านบาท และรับทราบแผนการบริหารจัดการหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติภายใต้กรอบแผนฯ วงเงิน ๑๒๗,๘๘๕.๒๑ ล้านบาท ๑.๒ การกู้เงินของรัฐบาล การกู้มาเพื่อให้กู้ต่อ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ แต่หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะรายงานผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรรายงานผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ การกำกับดูแลส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจให้ดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าว เพื่อให้การใช้เงินกู้ตามแผนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และการให้หน่วยงานที่มีความประสงค์ในการกู้เงินให้ความสำคัญกับการกู้เงินในประเทศมากกว่าการกู้เงินจากต่างประเทศ เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของสกุลเงินตราต่างประเทศและปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับแผนการก่อหนี้ใหม่ของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่กระทรวงการคลังจะค้ำประกันและให้กู้ต่อ โดยเป็นเงินกู้เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินโครงการที่มีวัตถุประสงค์ในการแก้ไขปัญหาราคาผลิตผลทางการเกษตรตามนโยบายรัฐบาลและเงินกู้เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในการปล่อยสินเชื่อ วงเงิน ๑๖๐,๐๐๐ ล้านบาท อาจจะต้องมีการปรับปรุงวงเงินดังกล่าวให้สอดคล้องกับการดำเนินโครงการรับจำนำผลผลิตการเกษตร ที่จำเป็นต้องดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ อีกครั้งหนึ่ง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2704 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | กค | 09/10/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และเห็นชอบข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการจัดทำบัญชีและรายงานการเงินรวมภาครัฐ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยในส่วนของข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ให้ผู้บริหารที่กำกับดูแลหน่วยงานทุกกลุ่มพิจารณาให้ความสำคัญการจัดทำบัญชีและรายงานการเงินให้ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน โดยเฉพาะในส่วนของรายงานการเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และกองทุนและเงินทุนหมุนเวียน ทั้งนี้ หากเป็นหน่วยงานที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงที่อาจประสบอุทกภัย ให้กำหนดมาตรการเพื่อเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุปสรรคของการจัดทำบัญชีและรายงานการเงินที่อาจล่าช้าให้เป็นปัจจุบันโดยเร็ว ๑.๒ การพิจารณาตั้งหน่วยงานรับงบประมาณระดับกรมเพิ่มขึ้น จำเป็นต้องให้ความสำคัญในการบริหาร งาน เงิน และบุคลากรให้เหมาะสม โดยสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนควรพิจารณาจัดสรรอัตรากำลังเพิ่มเติมให้สำนักงานจังหวัดที่ต้องปฏิบัติงานด้านการเงินและบัญชีของหน่วยงานตนเองของจังหวัด และของกลุ่มจังหวัดในฐานะเป็นหน่วยรับงบประมาณ ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นส่วนราชการระดับกรมให้สอดคล้องกับภารกิจและงบประมาณที่ได้รับ ๑.๓ ให้ผู้บริหารหน่วยพิจารณากำหนดนโยบายการบริหารจัดการเกี่ยวกับรายได้และค่าใช้จ่ายให้เหมาะสม และพิจารณาทบทวนการใช้จ่ายเงินให้เป็นไปอย่างประหยัดและคุ้มค่า เพื่อให้ผลการดำเนินงานของหน่วยงานเกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ๑.๔ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นควรกำกับดูแลเร่งรัดให้ อปท. ใช้จ่ายเงินในการดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการ และนโยบายของรัฐบาลให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างรวดเร็วและทั่วถึง เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายเงินของ อปท. และควรมีนโยบายให้ อปท. ใช้จ่ายเงินของท้องถิ่นสมทบกับรัฐบาลกลางในการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติต่าง ๆ ในท้องถิ่นเพื่อลดภาระทางด้านงบประมาณของแผ่นดิน ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเร่งเผยแพร่ข้อเสนอแนะเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ เพื่อให้การจัดทำบัญชีและรายงานการเงินของกลุ่มต่าง ๆ ถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ และน่าเชื่อถือ สามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบการบริหารจัดการสินทรัพย์ หนี้สิน รายได้ และค่าใช้จ่ายของแผ่นดิน รวมทั้งการวิเคราะห์ วางแผน และตัดสินใจเชิงนโยบายด้านการเงินการคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ และความเห็นของสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับกรณีรายงานการเงินรวมของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ในส่วนของค่าใช้จ่ายบุคลากร ควรนำค่าใช้จ่ายที่จ่ายให้แก่บุคลากรที่แทรกอยู่ในค่าใช้จ่ายอื่น มาเป็นค่าใช้จ่ายบุคลากรเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายบุคลากรทั้งหมด และมีผลต่อการคำนวณต้นทุนการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ส่วนกรณีเสนอแนะให้สำนักงาน ก.พ. พิจารณาจัดสรรอัตรากำลังเพิ่มเติมให้สำนักงานจังหวัด เห็นควรให้ อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทยพิจารณาปรับเกลี่ยอัตรากำลังให้สอดคล้องกับภารกิจหรือปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งที่มีอยู่ให้เป็นตำแหน่งนักวิชาการการเงินและบัญชีหรือเจ้าพนักงานการเงินและบัญชีเพื่อปฏิบัติงานดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) ประสานงานกับคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อพิจารณาแนวทางส่งเสริมสนับสนุนให้ อปท. ต่าง ๆ จัดหาและพัฒนาบุคลากรของ อปท. แต่ละแห่งให้มีความรู้ความสามารถด้านการเงินและบัญชีมากยิ่งขึ้น และสามารถจัดทำข้อมูลและรายงานการเงินที่เกี่ยวข้องของ อปท. ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยให้รายงานการเงินรวมภาครัฐมีความสมบูรณ์ครบถ้วนต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2705 | การรับประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2555 โดยกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติและการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ | กค | 09/10/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ พิจารณาทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ (เรื่อง โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๕) ที่เห็นชอบและอนุมัติโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ยกเว้นหลักการให้กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติจะเป็นผู้รับประกันภัยต่อ นั้น เนื่องจากคณะรัฐมนตรีมีเจตนารมณ์ที่ต้องการให้กองทุนฯ เป็นผู้รับประกันภัย แต่ยังมีข้อความที่เกี่ยวกับการรับประกันภัยต่อปรากฏอยู่ในข้อ ๔ ตามหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค ๑๐๐๘/๑๐๘๘๙ ลงวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ ที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้วด้วย จึงเห็นควรพิจารณาทบทวนมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยตัดข้อความที่เกี่ยวกับการรับประกันภัยต่อออกทั้งหมด ๑.๒ รับทราบความคืบหน้าการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปี ๒๕๕๕ ๑.๒.๑ คณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เห็นชอบรูปแบบการประกันภัยตามโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๕ ที่เหมาะสม โดยให้ภาคเอกชนผู้รับประกันภัยเข้ามามีส่วนในการรับประกันภัยในโครงการฯ ในสัดส่วนร้อยละ ๐.๒๕ ซึ่งรูปแบบการรับประกันภัยร่วม (co-insurance) จะช่วยให้การจัดการข้อมูลการรับประกันภัยและการจ่ายค่าสินไหมทดแทนของโครงการฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างรากฐานกลไกการประกันภัยพืชผลให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาว และลดความเสี่ยงกับการขัดกับกฎระเบียบขององค์การการค้าโลกในประเด็นการอุดหนุนสินค้าเกษตร ทั้งนี้ คณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ได้จัดทำประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกำหนดภัยพิบัติอื่นตามพระราชกำหนดกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ พ.ศ. ๒๕๕๕ ไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อให้คำจำกัดความคำว่า “ภัยพิบัติ” ครอบคลุมถึงภัยพิบัติต่อพืชผลทางการเกษตร ๑.๒.๒ คณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ได้ประชุมเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ และวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เพื่อพิจารณาพื้นฐานข้อเท็จจริงอัตราเบี้ยประกันภัยและอัตราความเสียหาย โดยเห็นว่า การลดความเสี่ยงการรับประกันภัยของกองทุนฯ ขึ้นอยู่กับความสามารถในการกระจายความเสี่ยงของพื้นที่เพาะปลูกที่เข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในฐานะที่เป็นผู้บริหารโครงการจะต้องมีการบริหารจัดการที่ดี นอกจากกำหนดเป้าหมายรวมทั้งประเทศตามที่ ธ.ก.ส. คาดว่ามีความเป็นไปได้ประมาณ ๔ ล้านไร่แล้ว ยังต้องมีการกระจายพื้นที่เพาะปลูกที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้มีความหลากหลาย ทั้งในส่วนที่มีความเสี่ยงสูง ความเสี่ยงปานกลาง ความเสี่ยงต่ำ และไม่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีสัดส่วนพื้นที่เพาะปลูกข้าวสูงที่สุดถึงร้อยละ ๕๗.๘ ของพื้นที่เพาะปลูกทั้งประเทศ ทั้งนี้ ในกรณีที่มีการจัดการความเสี่ยงดีที่สุดจะทำให้กองทุนฯ ไม่เกิดความเสียหายจากการรับประกันภัย ส่วนในกรณีเลวร้ายที่สุด กล่าวคือ พื้นที่เพาะปลูก จำนวน ๔ ล้านไร่ ที่เข้าร่วมโครงการฯ เป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงทั้งหมด กองทุนฯ อาจมีภาระการจ่ายค่าสินไหมทดแทน จำนวน ๔,๔๔๔ ล้านบาท ๑.๓ ธ.ก.ส. ดำเนินการขายประกันภัยในทุกพื้นที่ทั่วประเทศและมีการบริหารจัดการที่ดีให้มีการกระจายความเสี่ยง โดยทุกภาคยกเว้นภาคใต้เริ่มต้นการขายตั้งแต่วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ และภาคใต้จะเริ่มต้นการขายในวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ ๑.๔ พิจารณาแต่งตั้งนายมานพ นาคทัต ประธานคณะอนุกรรมการด้านกฎหมายของกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ แทนนายเสรี จินตนเสรี ที่ได้ลาออกไป ตั้งแต่วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๕ ๒. ให้กระทรวงการคลัง และ ธ.ก.ส. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ภาคเอกชนผู้รับประกันภัยเข้าร่วมโครงการฯ ในสัดส่วนร้อยละ ๐.๒๕ และกองทุนฯ รับประกันสัดส่วนร้อยละ ๙๙.๗๕ ซึ่งกองทุนฯ จะมีความเสี่ยงค่อนข้างมาก เนื่องจากปีที่ผ่านมาเก็บเบี้ยประกันได้ ๑๓๐ ล้านบาท แต่ต้องจ่ายค่าชดเชยสินไหม จำนวน ๗๐๐ ล้านบาท จึงเห็นควรให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการขายประกันภัยในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง ความเสี่ยงปานกลาง ความเสี่ยงต่ำ และพื้นที่ที่ไม่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะพื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ปลูกข้าวมากที่สุด เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในการบริหารจัดการกองทุนฯ และกระจายความเสี่ยงให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ รวมทั้งกระทรวงการคลังร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการเร่งประชาสัมพันธ์โครงการฯ ให้เกษตรกรรับทราบรายละเอียดและให้เห็นถึงประโยชน์ของการประกันภัย เพื่อรองรับภัยพิบัติที่นับวันจะรุนแรงมากขึ้น และตัดสินใจเข้าร่วมโครงการฯ มากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2706 | ร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการภาษีเพื่อยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินค่าตอบแทนพิเศษที่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้รับจากหน่วยงานของรัฐ) | กค | 02/10/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้เงินค่าตอบแทนพิเศษที่ผู้มีเงินได้ได้รับจากหน่วยงานของรัฐเนื่องจากเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยบำเหน็จความชอบสำหรับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ๒. กำหนดให้ใช้บังคับสำหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับตั้งแต่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป |
||||||||||||||||||||||||
2707 | มาตรการภาษีและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการพัฒนาตลาดทุนไทย (กรณีสนับสนุนการลงทุนในตราสารการเงินที่ออกเพื่อระดมทุนตามหลักศาสนาอิสลาม) | กค | 02/10/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ ให้แก่ผู้ถือศุกูก ทรัสตี และผู้ระดมทุน สำหรับเงินได้ มูลค่าของฐานภาษี รายรับ และการกระทำตราสารที่เกิดขึ้นหรือเนื่องมาจากธุรกรรมที่เกิดขึ้นตามสัญญาก่อตั้งทรัสต์ที่เกี่ยวกับการออกศุกูกตามกฎหมายว่าด้วยทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุนและกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ บางกรณี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
2708 | ขออนุมัติรับโอนข้าราชการตุลาการมาเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ และแต่งตั้งข้าราชการประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นายประภาศ คงเอียด) | กค | 02/10/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับโอน นายประภาศ คงเอียด ข้าราชการตุลาการ ตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอาญา สำนักงานศาลยุติธรรม มาบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากฎหมาย (นิติกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
2709 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 02/10/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔ ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร ออกไปอีก ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และกระทรวงพาณิชย์หารือร่วมกันเพื่อกำหนดมาตรการภาพรวมเกี่ยวกับการขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2710 | ขออนุมัติการกู้เงินเพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา - คลองสิบเก้า - แก่งคอย พร้อมทางคู่เลี่ยงเมือง (Chord Line) จำนวน 3 แห่ง ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) | กค | 02/10/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงการคลังกู้เงินในประเทศ วงเงิน ๑๑,๓๔๘.๓๕ ล้านบาท และให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้เงินต่อจากกระทรวงการคลังเพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย พร้อมทางคู่เลี่ยงเมือง (Chord Line) จำนวน ๓ แห่ง ทั้งนี้ วงเงินที่ รฟท. กู้ต่อจากกระทรวงการคลังจะนำไปใช้จ่ายในส่วนของค่าเวนคืนและรื้อย้ายสิ่งปลูกสร้าง จำนวน ๑๒๘.๘๒ ล้านบาท ดำเนินการประกวดราคา จำนวน ๘ ล้านบาท ค่าก่อสร้าง จำนวน ๑๐,๘๐๕.๒๙ ล้านบาท และค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง จำนวน ๔๐๖.๒๔ ล้านบาท ๑.๒ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นงบชำระหนี้ให้แก่ รฟท. เพื่อใช้ชำระหนี้คืนแก่แหล่งเงินกู้โดยตรงทั้งในส่วนเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังจะได้ตกลงกับ รฟท. ต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปหารือร่วมกันในเรื่องการพิจารณาความเหมาะสมของการจัดเตรียมงบประมาณเพื่อชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยตามแผนการชำระหนี้ดังกล่าวเพื่อรักษาวินัยการคลังและลดผลกระทบต่อภาพลักษณ์ทางการเงินของ รฟท. โดยเฉพาะอัตราส่วนความสามารถในการก่อหนี้และความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งจะทำให้มีผลกระทบต่อต้นทุนทางการเงินของ รฟท. |
||||||||||||||||||||||||
2711 | รายงานการเงินแผ่นดินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 | กค | 02/10/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการเงินแผ่นดินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบรับรองแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้เสนอรัฐสภาทราบต่อไป โดยรายงานการเงินแผ่นดินฯ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน งบรายได้และค่าใช้จ่าย และหมายเหตุประกอบงบการเงิน ซึ่งจัดทำขึ้นตามหลักเกณฑ์คงค้างแบบผสม (Modified Accrual Basis) โดยใช้ข้อมูลบัญชีจากชุดรัฐบาลที่แสดงการรับจ่ายเงินคงคลังของรัฐบาลเป็นหลัก และรวบรวมข้อมูลที่มีสาระสำคัญในส่วนสินทรัพย์และหนี้สินของรัฐบาลจากส่วนราชการที่ทำหน้าที่บริหารจัดการแทนรัฐบาล มาปรับปรุงในบัญชีชุดรัฐบาล สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ งบรายได้และค่าใช้จ่าย ประกอบด้วย รายได้สุทธิ รวม ๑,๕๑๓,๒๒๕.๑๓ ล้านบาท และค่าใช้จ่าย รวม ๑,๔๘๖,๓๘๒.๗๑ ล้านบาท ๑.๒ งบแสดงฐานะการเงิน ประกอบด้วย สินทรัพย์ รวม ๔,๑๐๖,๘๓๒.๘๒ ล้านบาท หนี้สิน รวม ๒,๑๙๒,๓๓๓.๙๔ ล้านบาท และสินทรัพย์สุทธิหรือส่วนทุน ๑,๙๑๔,๔๙๘.๘๘ ล้านบาท ๒. เห็นชอบข้อเสนอแนะ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และกรมธนารักษ์ กำชับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบในการส่งข้อมูลให้กรมบัญชีกลาง ตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องและจัดส่งข้อมูลภายในระยะเวลาที่กรมบัญชีกลางกำหนด ๒.๒ ให้ผู้บริหารของกรมธนารักษ์กำชับให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบบันทึกที่ดินราชพัสดุให้ครบถ้วนเป็นปัจจุบัน เพื่อให้ข้อมูลที่ดินราชพัสดุแสดงมูลค่าที่ถูกต้อง ๒.๓ ให้ผู้บริหารของหน่วยงานภาครัฐทุกแห่งกำชับให้หน่วยงานในสังกัดและเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบการเงินและบัญชีตรวจสอบและบันทึกข้อมูลในระบบ GFMIS ให้ถูกต้องเป็นปัจจุบัน โดยเฉพาะข้อมูลเงินนอกงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
2712 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง (ระยะที่ 11 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2555 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2556) | กค | 02/10/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางต่อไป เป็นระยะที่ ๑๑ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางรถโดยสารประจำทาง ดำเนินการผ่านองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถโดยสารประจำทางธรรมดา จำนวน ๘๐๐ คันต่อวัน ใน ๗๓ เส้นทาง ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงิน จำนวน ๑,๕๑๒ ล้านบาท ๑.๒ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟชั้น ๓ ดำเนินการผ่านการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถไฟชั้น ๓ เชิงสังคม จำนวน ๑๖๔ ขบวนต่อวัน และรถไฟชั้น ๓ ระยะทางไกลในขบวนรถเชิงพาณิชย์ จำนวน ๘ ขบวนต่อวัน ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงิน จำนวน ๕๕๕ ล้านบาท ทั้งนี้ การดำเนินการขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายตามมาตรการดังกล่าวยังคงยึดหลักการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง) ๒. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง (ระยะที่ ๑๐)] โดยศึกษาแนวทางการสนับสนุนมาตรการลดค่าครองชีพด้านการเดินทางที่มีความเหมาะสม มีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง ตลอดจนตรวจสอบและติดตามการกำหนดเส้นทางและช่วงเวลาการปล่อยขบวนรถของ รฟท. และ ขสมก. ตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางให้สอดคล้องกับจำนวนผู้โดยสารและเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ใช้บริการ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งศึกษาแนวทางการสนับสนุนมาตรการลดค่าครองชีพด้านการเดินทางอย่างเป็นระบบให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยอาจนำประเด็นการปรับเพิ่มค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำมาประกอบการพิจารณา เพื่อให้ภาครัฐสามารถลดภาระค่าครองชีพด้านการเดินทางของประชาชนได้อย่างสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น และมีกลไกการชดเชยการดำเนินงานให้แก่รัฐวิสาหกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดผลกระทบต่อฐานะการเงินและสภาพคล่องของรัฐวิสาหกิจที่ดำเนินนโยบายดังกล่าวในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๔. ส่วนค่าใช้จ่ายเพื่อชดเชยการดำเนินการตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางต่อไป เป็นระยะที่ ๑๑ อนุมัติให้ ขสมก. กู้เงินในวงเงิน ๑,๕๑๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามนัยมาตรา ๗ (๗) แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ พ.ศ. ๒๕๑๙ และเห็นชอบให้ รฟท. กู้เงินในวงเงิน ๕๕๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามนัยมาตรา ๓๙ (๔) แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อชดเชยการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้และให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดเชยเงินต้น ดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายทางการเงินที่เกิดขึ้นให้กับ ขสมก. และ รฟท. ต่อไป ซึ่งในเบื้องต้นจะเกิดภาระงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๒,๑๐๘.๓๔๐๐ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
2713 | การบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 และเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 02/10/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๕ ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง พ.ศ. ๒๕๕๕ หลังจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินประมาณ ๑๒,๕๗๕.๗๘๕๓ ล้านบาท สำหรับโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยสามารถเบิกจ่ายเงินกู้ DPL ได้จนบรรลุวัตถุประสงค์ แต่ไม่ควรเกินเดือนกันยายน ๒๕๕๖ ส่วนโครงการเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข วงเงิน ๓,๔๒๖.๓๔๙๑ ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการทบทวนเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ต่อไป ๑.๒ รับทราบและอนุมัติการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายเพื่อแก้ไขปัญหาทุนการศึกษาต่อระดับปริญญาโทของครูและบุคลากรอาชีวศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กระทรวงศึกษาธิการ โดย ๑.๒.๑ รับทราบวงเงินเหลือจ่ายของ สอศ. วงเงิน ๑๔.๑๐ ล้านบาท ๑.๒.๒ อนุมัติการดำเนินโครงการและอนุมัติการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายตามพระราชกำหนดกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับโครงการยกระดับคุณภาพอาชีวศึกษาสู่ความทันสมัย รายการอุดหนุนทุนการศึกษาต่อระดับปริญญาโท หลักสูตรต่อเนื่อง ๒ ปี เพื่อแก้ไขปัญหาทุนการศึกษาต่อระดับปริญญาโทของครูและบุคลากรอาชีวศึกษา จำนวน ๔๖ ทุน (ทุนละ ๓๐๐,๐๐๐ บาท) ของ สอศ. วงเงิน ๑๓.๘๐ ล้านบาท รวมทั้งอนุมัติให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การบริหารโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ และโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน) ๑.๒.๓ อนุมัติให้ สอศ. ก่อหนี้ผูกพันหรือดำเนินโครงการก่อนการจัดสรรเงินกู้สำหรับโครงการยกระดับคุณภาพอาชีวศึกษาสู่ความทันสมัย รายการอุดหนุนทุนการศึกษาต่อระดับปริญญาโท หลักสูตรต่อเนื่อง ๒ ปี จำนวน ๔๖ ทุน (ทุนละ ๓๐๐,๐๐๐ บาท) วงเงิน ๑๓.๘๐ ล้านบาท ๑.๓ รับทราบและอนุมัติการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๕ และเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดย ๑.๓.๑ รับทราบวงเงินเหลือจ่ายของ สอศ. วงเงิน ๕๑๒.๕๓๘ ล้านบาท และอนุมัติการดำเนินโครงการและอนุมัติการจัดสรรวงเงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับโครงการก่อสร้างอาคารศูนย์วิทยบริการ ของ สอศ. กระทรวงศึกษาธิการ จำนวน ๕๖ หลัง วงเงิน ๕๐๙.๖๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ สอศ. จะต้องเร่งรัดการดำเนินโครงการ โดยลงนามในสัญญาก่อสร้างภายในสิ้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ และเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๖ ๑.๓.๒ รับทราบวงเงินเหลือจ่ายของมหาวิทยาลัยมหิดล วงเงิน ๓๘๙,๓๒๘,๑๗๑.๕๑ บาท อนุมัติดำเนินโครงการและอนุมัติจัดสรรเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เหลือจ่ายให้แก่มหาวิทยาลัยมหิดลสำหรับสาขาสาธารณสุขค่าครุภัณฑ์ทางการแพทย์ จำนวน ๒๘ รายการ วงเงิน ๓๘๑,๓๖๙,๓๐๐ บาท และสาขาศึกษาสำหรับครุภัณฑ์ประจำอาคารเสริมสร้างอุตสาหกรรมชีวภาพจากนวัตกรรม จำนวน ๕ รายการ วงเงิน ๗,๘๓๘,๐๐๐ บาท รวมทั้งสิ้น ๓๓ รายการ วงเงิน ๓๘๙,๒๐๗,๓๐๐ บาท ๑.๓.๓ รับทราบวงเงินเหลือจ่ายของสภากาชาดไทย จำนวน ๑๒๐,๕๔๓,๑๐๐ บาท อนุมัติดำเนินโครงการและอนุมัติจัดสรรเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เหลือจ่ายให้แก่สภากาชาดไทยสำหรับค่าครุภัณฑ์เครื่องตรวจด้วยคลื่นสะท้อนในสนามแม่เหล็ก (Magnetic Resonance Imaging) วงเงิน ๘๙,๘๘๐,๐๐๐ บาท และครุภัณฑ์เครื่องเอ็กซเรย์เคลื่อนที่ระบบดิจิตอล (Mobile Digital Radiography) วงเงิน ๒๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท และให้สภากาชาดไทยเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายของภาษีมูลค่าเพิ่มวงเงิน ๗,๗๗๗,๑๙๖ บาท โดยใช้เงินรายได้หรือแหล่งเงินอื่นของสภากาชาดไทยตามความเหมาะสม ๑.๔ อนุมัติจัดสรรเงินสำรองจ่ายสำหรับสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข วงเงิน ๒,๖๕๗,๔๙๐.๐๐ บาท กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข วงเงิน ๑๘๑,๑๕๑.๓๔ บาท กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน ๑๓,๒๖๘,๙๗๘.๑๔ บาท กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม วงเงิน ๑,๖๕๖,๙๒๙.๐๐ บาท มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กระทรวงศึกษาธิการ วงเงิน ๕๒,๔๗๕,๗๑๘.๐๐ บาท และกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน ๒๔,๖๔๑,๕๐๐.๐๐ บาท ๑.๕ อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยหน่วยงานจะต้องส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ ๑.๖ อนุมัติการยกเลิกการจัดสรรวงเงินกู้สำหรับค่าก่อสร้างโครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต ของกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง วงเงิน ๒,๔๒๘ ล้านบาท และนำวงเงินกู้ดังกล่าวมารวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายในสาขาเศรษฐกิจต่อไป ๒. ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยเฉพาะหน่วยงานที่ได้รับอนุมัติการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายฯ เร่งดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รวมทั้งให้คณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เร่งพิจารณาจัดสรรวงเงินกู้ที่เหลือของโครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต ซึ่งกระทรวงการคลังได้เสนอขอยกเลิกโครงการดังกล่าว โดยอาจพิจารณาการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานทางรางที่มีความพร้อมในการดำเนินงานเป็นลำดับแรก เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการขนส่งจากถนนสู่ระบบรางให้เป็นไปตามเป้าหมาย ตามความเห็นสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2714 | การกู้เงินเพื่อใช้ในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2555 ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร | กค | 02/10/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ใช้เงินกู้โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ วงเงิน ๑๐๕,๙๑๐ ล้านบาทเดิม เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปีการผลิต ๒๕๕๕ เพิ่มเติม จากเดิมวงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๘ ล้านตัน เป็นวงเงิน ๑๖๑,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๑๑.๑๑ ล้านตัน ๑.๒ ให้ ธ.ก.ส. กู้เงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปีการผลิต ๒๕๕๕ เพิ่มเติม จากเดิมวงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๘ ล้านตัน เป็นวงเงิน ๑๖๑,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๑๑.๑๑ ล้านตัน จากสถาบันการเงินต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งให้ ธ.ก.ส. กู้เงินเพื่อบริหารจัดการหนี้เงินกู้ด้วยการ Refinance หรือ Roll over หรือ Prepayment โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินกู้และดอกเบี้ย รัฐบาลรับภาระชำระคืนต้นเงินและดอกเบี้ยจากการกู้เงิน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริงจากการดำเนินโครงการทั้งหมด ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันเงินกู้ของ ธ.ก.ส. ที่เกิดจากการกู้เงินและการบริหารจัดการหนี้ของ ธ.ก.ส. โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ในแต่ละครั้งตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ วงเงินกู้ไม่เกิน ๑๖๑,๐๐๐ ล้านบาท ได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น รวมทั้งการบริหารจัดการหนี้ร่วมกับ ธ.ก.ส. ด้วยการ Refinance หรือ Roll over หรือ Prepayment โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันจนกว่าจะมีการชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้น รัฐบาลรับภาระชำระคืนต้นเงินและดอกเบี้ยจากการกู้เงินและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริง รวมทั้งผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจากโครงการทั้งหมด ๑.๔ การชดเชยต้นทุนเงินให้ ธ.ก.ส. ในส่วนที่ ธ.ก.ส. สำรองจ่ายให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีที่ได้อนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (เรื่อง การจัดหาเงินทุนเพื่อดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) และวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง มาตรการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕) สำหรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ ๑.๕ ให้ ธ.ก.ส. กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติเมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การกู้เงินเพื่อใช้ในโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) สำหรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ เกี่ยวกับการแยกบัญชีดำเนินงาน การนำส่งเงินที่ได้จากการชำระค่าสินค้า การดูแลสินค้า (Stock) การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการปิดบัญชี การกำกับ ติดตาม ควบคุม รวมทั้งการรายงานความก้าวหน้า ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวที่เกษตรกรนำมาจำนำ เพื่อป้องกันการทุจริตในการรับจำนำข้าว การติดตามและตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวเก่าที่เก็บรักษาไว้ในคลังสินค้าอย่างเข้มงวด โดยรายงานให้กระทรวงการคลังลำนักงบประมาณทราบทุกรายไตรมาส การจัดทำแผนบริหารจัดการระบายข้าวในสต็อกและช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสมให้ชัดเจน มีอัตราการขาดทุนที่ยอมรับได้ และร่วมมือกับเอกชนเพื่อสร้างทีมในการพัฒนาตลาดส่งออกข้าว การจัดให้มีการประมูลข้าวจากสต็อคของรัฐโดยกระบวนการที่โปร่งใส และมีแผนการบริหารเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินโครงการ โดยไม่ต้องขอรับสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม การสนับสนุนการพัฒนากลไกตลาดกลางสินค้าเกษตรในแหล่งผลิตสำคัญเพื่อใช้เป็นแหล่งอ้างอิงราคาสินค้า การจัดเกรดและมาตรฐาน และสร้างอำนาจต่อรองให้แก่เกษตรกร นอกจากนี้ ในระยะยาว ควรสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคเกษตรและความสามารถในการแข่งขันสินค้าเกษตร เพื่อเตรียมรับการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยสร้างทางเลือกให้เกษตรกรและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มผลิตภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตรอย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2715 | การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินราชพัสดุคืนให้แก่ผู้ยกให้ ราย นางสาวกองแก้ว รัตนาภิบาล | กค | 02/10/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ ฉช.๕๙๔ โฉนดเลขที่ ๔๐๓๖๗ ตำบลบึงน้ำรักษ์ อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา เนื้อที่ ๒๕-๐-๐๐ ไร่ คืนให้แก่นางสาวกองแก้ว รัตนาภิบาล ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
2716 | การโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุคืนให้แก่ผู้ยกให้ ราย นายรณชัย จิตรวิเศษ | กค | 02/10/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ อน.๕๔๐ โฉนดที่ดินเลขที่ ๒๑๔๘๔ ตำบลดอนขวาง อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี เนื้อที่ประมาณ ๓ ไร่ คืนให้แก่นายรณชัย จิตรวิเศษ ผู้ยกให้กระทรวงการคลังเพื่อใช้ประโยชน์ในราชการของสำนักงานบังคับคดีและวางทรัพย์จังหวัดอุทัยธานี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
2717 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 60 ปี กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. .... | กค | 25/09/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก ๖๐ ปี กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดชนิด ราคา โลหะ อัตราเนื้อโลหะ น้ำหนัก ขนาด อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด ลวดลาย และลักษณะอื่น ๆ ของเหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ราคายี่สิบบาทหนึ่งชนิด ออกใช้เพื่อเป็นที่ระลึกเนื่องในโอกาสครบ ๖๐ ปี กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ในวันที่ ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
2718 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 25/09/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้ง และกำหนดองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ไว้โดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ประกาศพระบรมราชโองการ หรือระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งออกตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน หรือโดยประธานรัฐสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา คณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาล หรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัดซึ่งได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ๑.๒ กำหนดให้กรรมการได้รับเบี้ยประชุมรายเดือน สำหรับกรรมการในคณะกรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งและกำหนดองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ไว้โดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ประกาศพระบรมราชโองการ หรือระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งออกตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งมีภาระหน้าที่และความรับผิดชอบสูง ปฏิบัติงานในด้านการกำหนดนโยบายอันมีผลกระทบต่อการบริหาร เศรษฐกิจ หรือสังคมในภาพรวมของประเทศ ทั้งนี้ ตามรายชื่อคณะกรรมการและอัตราเบี้ยประชุมที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ไปพิจารณาดำเนินการด้วยว่า การเบิกจ่ายเบี้ยประชุมกรรมการตามพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการ พ.ศ. ๒๕๔๗ ที่ผ่านมา ส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ ยังมีความเข้าใจที่ไม่สอดคล้องกัน โดยเฉพาะกรณีของคณะกรรมการที่จะได้รับเบี้ยประชุมตามพระราชกฤษฎีกาฯ สมควรที่จะได้จัดทำคำอธิบายสาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ให้แก่ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2719 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ กระทรวงการคลัง) (นางสาวจำรัส แหยมสร้อยทอง) | กค | 25/09/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวจำรัส แหยมสร้อยทอง ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านประสิทธิภาพ (นักวิเคราะห์นโยบายแผนทรงคุณวุฒิ) กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
2720 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 530) พ.ศ. 2554] | กค | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้ลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลและคงจัดเก็บในอัตรา ดังต่อไปนี้ ๑.๑ ร้อยละ ๒๓ ของกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕ แต่ไม่เกินวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๒ ร้อยละ ๒๐ ของกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๖ แต่ไม่เกินวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ๒. กำหนดให้ลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน ๕ ล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการในรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน ๓๐ ล้านบาท สำหรับกำไรสุทธิในส่วนที่เกิน ๑ ล้านบาท ดังต่อไปนี้ ๒.๑ ร้อยละ ๒๓ ของกำไรสุทธิ สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕ แต่ไม่เกิน ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒.๒ ร้อยละ ๒๐ ของกำไรสุทธิ สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ทั้งนี้ ให้ใช้บังคับสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้นไป |
.....