ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 133 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 2641 - 2660 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2641 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรออมทรัพย์ และตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (R-bill) ที่ครบกำหนดในเดือนตุลาคม 2555 | กค | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรออมทรัพย์ และตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (R-bill) ที่ครบกำหนดในเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การชำระคืนต้นเงินพันธบัตรออมทรัพย์ และตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (R-bill) ที่ครบกำหนดในเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๓ รุ่น วงเงินรวม ๒๕,๒๔๕.๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย ๑.๑ พันธบัตรออมทรัพย์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙ ครั้งที่ ๑ ที่ครบกำหนดในวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๒,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ชำระจากเงินทดรองจ่ายจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลัง ทั้งจำนวน ๑.๒ ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (R-bill) งวดที่ F7/90/55 ที่ครบกำหนดในวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๑๑,๖๐๐.๐๐ ล้านบาท ชำระจากเงินทดรองจ่ายจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลัง จำนวน ๘,๒๔๕.๐๐ ล้านบาท และกู้เงินระยะสั้น จำนวน ๓,๓๕๕.๐๐ ล้านบาท ๑.๓ ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (R-bill) งวดที่ F8/91/55 ที่ครบกำหนดในวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๑๑,๖๔๕.๐๐ ล้านบาท ชำระจากการกู้เงินระยะสั้นทั้งจำนวน ๒. การชำระคืนเงินกู้ระยะสั้นตามข้อ ๑.๒ และ ๑.๓ รวมจำนวน ๑๕,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท (๓,๓๕๕.๐๐+๑๑,๖๔๕.๐๐) และการชำระคืนเงินทดรองจ่ายจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังตามข้อ ๑.๑ และ ๑.๒ รวมจำนวน ๑๐,๒๔๕.๐๐ ล้านบาท (๒,๐๐๐.๐๐+๘,๒๔๕.๐๐) ชำระโดยรายรับจากการออกพันธบัตรรัฐบาล จำนวน ๒ รุ่น วงเงินรวม ๒๕,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๑ (LB176A) อายุคงเหลือ ๔.๖๔ ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๓.๒๕ ต่อปี จำนวน ๑๑,๕๐๐.๐๐ ล้านบาท ประมูลเมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๕ และครั้งที่ ๒ (LB236A) อายุคงเหลือ ๑๐.๕๙ ปี อัตราดอกเบี้ย ๓.๖๒๕ ต่อปี จำนวน ๑๓,๕๐๐.๐๐ ล้านบาท ประมูลเมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ทั้งนี้ ยังคงค้างการชำระคืนเงินทดรองจ่ายจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลัง (บัญชี Premium FIDF 1&3) จำนวน ๒๔๕.๐๐ ล้านบาท (๒๕,๒๔๕.๐๐-๒๕,๐๐๐.๐๐) โดยมีแผนการชำระคืนในการปรับโครงสร้างหนี้ในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕
|
|||||||||||||||||||||||||||
2642 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์) | กค | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการเงินการคลัง) ในคณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๘ มกราคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
2643 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [การกำหนดรายชื่อบริษัทสำนักหักบัญชี (ประเทศไทย) จำกัด ให้เป็นผู้ยืมหรือผู้ให้ยืมหลักทรัพย์] | กค | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมคำนิยาม “ผู้ยืมหรือผู้ให้ยืม” ในมาตรา ๓ แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๓๓๑) พ.ศ. ๒๕๔๑ โดยเปลี่ยนผู้ยืมหรือผู้ให้ยืมจาก “ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์” เป็น “สำนักหักบัญชี” เพื่อให้การทำธุรกรรมการยืมหรือให้ยืมหลักทรัพย์กับสำนักหักบัญชีได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
2644 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะเพิ่มเติม) | กค | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับกิจการเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามมาตรา ๙๑/๒ (๕) แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับดอกเบี้ยที่ได้รับในกรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกันให้กู้ยืมเงินกันเอง กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนำเงินทุน เงินกู้ยืม เงินเพิ่มทุนหรือเงินอื่นที่เหลืออยู่ไปฝากธนาคารหรือซื้อตั๋วเงินของสถาบันการเงินอื่น และกรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้มีระเบียบเกี่ยวกับเงินกองทุนสะสมพนักงาน หรือทุนอื่นใดเพื่อพนักงาน และบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นได้นำเงินกองทุนนี้ออกให้พนักงานที่เป็นสมาชิกกู้ยืมเพื่อเป็นสวัสดิการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
2645 | รายงานการกู้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | กค | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบรายงานการกู้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ให้แก้ไขรายงานฯ หน้า ๑๒ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป โดยสาระสำคัญของรายงานการกู้เงินตามพระราชกำหนดฯ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ วัตถุประสงค์ของการกู้เงิน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ และการเพิ่มการลงทุนของภาครัฐ เพิ่มการจ้างงานผ่านโครงการลงทุนขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ กระจายการลงทุนด้านบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานไปยังส่วนภูมิภาคและชนบท และดำเนินโครงการลงทุนที่มีความสำคัญตามนโยบายของรัฐบาลที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ๑.๒ รายละเอียดการกู้เงิน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๔ กระทรวงการคลังได้ดำเนินการกู้เงินภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ จำนวน ๓๙๘,๙๔๐.๐๙ ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ในการดำเนินมาตรการเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงิน ๓๔๘,๙๔๐.๐๙ ล้านบาท จากเงินกู้ระยะสั้นในรูปแบบ Term Loan เป็นเงินกู้ระยะยาวในรูปแบบพันธบัตรออมทรัพย์ พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วสัญญาใช้เงิน และพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ ๑.๓ ผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่ได้รับ จะช่วยพื้นที่รับน้ำจากระบบชลประทานและเพิ่มพื้นที่การเกษตรให้แก่เกษตรกร ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระบบการขนส่งของประเทศ เพิ่มการจ้างงานและโครงสร้างพื้นฐานทั้งด้านการศึกษาและสาธารณสุข ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาศึกษา วิเคราะห์สาเหตุของความล่าช้าของการเบิกจ่ายเงินในการดำเนินโครงการภายใต้การกู้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และเสนอแนะมาตรการติดตามการใช้จ่ายเงินให้มีประสิทธิภาพและบรรลุวัตถุประสงค์ของการกู้เงิน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2646 | รายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปี 2554 | กค | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้มีการจัดทำบันทึกข้อตกลงประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ (Performance Agreement) ระหว่างภาครัฐกับหน่วยงานที่อยู่ในระบบประเมินผลฯ จำนวน ๕๕ รัฐวิสาหกิจ โดยนำระบบประเมินคุณภาพรัฐวิสาหกิจ (State Enterprise Performance Appraisal : SEPA) มาใช้เต็มรูปแบบกับรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๗ แห่ง และระบบประเมินผลเดิม จำนวน ๔๘ แห่ง แบ่งกลุ่มตามกระทรวงเจ้าสังกัด ๑๕ กระทรวง แบ่งกลุ่มตามประเภทกิจการ ๙ สาขา ได้แก่ สาขาสื่อสาร สาขาสาธารณูปการ สาขาอุตสาหกรรม สาขาพลังงาน สาขาขนส่ง (ขนส่งทางบก/ขนส่งทางน้ำ/ขนส่งทางอากาศ) สาขาสถาบันการเงิน สาขาพาณิชย์และบริการ สาขาเกษตรและทรัพยากรธรณี และสาขาสังคมและเทคโนโลยี แบ่งกลุ่มตามปีบัญชี ๓ กลุ่ม คือ ปีงบประมาณ (๑ ตุลาคม-๓๐ กันยายน) จำนวน ๓๕ แห่ง ปีปฏิทิน (๑ มกราคม-๓๑ ธันวาคม) จำนวน ๒๐ แห่ง และปีพิเศษ (๑ เมษายน-๓๑ มีนาคม) จำนวน ๑ แห่ง ๑.๒ ผลการประเมินผลการดำเนินงานตามบันทึกข้อตกลงฯ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๒.๑ ภาพรวมของการประเมินผลฯ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ของรัฐวิสาหกิจในระบบประเมินผลปัจจุบัน พบว่ารัฐวิสาหกิจที่มีผลการประเมินสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ ธนาคารออมสิน ๔.๘๑๘๑ คะแนน การประปานครหลวง ๔.๗๗๗๑ คะแนน และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ๔.๗๒๒๐ คะแนน สำหรับรัฐวิสาหกิจที่มีผลการประเมินต่ำสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ องค์การตลาด ๒.๑๓๒๒ คะแนน องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ๒.๔๕๔๖ คะแนน และสถาบันการบินพลเรือน ๒.๔๙๔๐ คะแนน ทั้งนี้ คะแนนเฉลี่ยของรัฐวิสาหกิจในภาพรวมอยู่ที่ ๓.๔๙๕๘ คะแนน ลดลงจากปี พ.ศ. ๒๕๕๓ เท่ากับ ๐.๐๘๖๑ คะแนน เนื่องจากผลการดำเนินงานด้านการเงิน และด้านที่ไม่ใช่การเงินของรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ๑.๒.๒ ภาพรวมของการประเมินผลฯ ของรัฐวิสาหกิจในระบบ SEPA ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ รัฐวิสาหกิจที่มีผลการประเมินสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ๔.๙๙๓๗ คะแนน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ๔.๙๓๕๙ คะแนน และธนาคารอาคารสงเคราะห์ ๔.๘๘๘๔ คะแนน สำหรับรัฐวิสาหกิจที่มีผลการประเมินต่ำสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ๓.๙๗๖๙ คะแนน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ๔.๒๑๑๘ คะแนน และการไฟฟ้านครหลวง ๔.๔๙๖๓ คะแนน ๒. ให้กระทรวงเจ้าสังกัดและรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของคณะกรรมการประเมินผลงานรัฐวิสาหกิจเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมขององค์กรเพื่อรองรับโอกาสและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยเร่งพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพและการดำเนินงานในด้านที่ยังด้อยและไม่สามารถแข่งขันได้ การทบทวนและริเริ่มแผนงาน/โครงการ ของการใช้ทรัพยากรและความร่วมมือระหว่างกันที่มีขนาดใหญ่ และ/หรือที่เป็นเชิงกลยุทธ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนเป็นการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์และการลงทุนของรัฐวิสาหกิจให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งทบทวนบทบาท ภารกิจ หน้าที่ และรูปแบบขององค์กรใหม่ เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันและเป็นประโยชน์กับผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
2647 | ความคืบหน้าการดำเนินการโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า 500,000 บาท | กค | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท (หนี้ที่มีปัญหาการชำระหนี้) ๑.๑ กระทรวงการคลังได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานฟื้นฟูศักยภาพลูกหนี้โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท โดยมีผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังเป็นประธาน มีอำนาจหน้าที่จัดทำแนวทางรูปแบบและหลักสูตรการอบรมฟื้นฟูและการจัดทำแผนการชำระหนี้ใหม่ที่เหมาะสมตามประเภทลูกหนี้เพื่อให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจนำไปปฏิบัติ และจัดทำเกณฑ์การคิดค่าใช้จ่ายและหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายงบประมาณในการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพในการประกอบอาชีพของลูกหนี้เพื่อประกอบการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ รวมทั้งออกแบบวิธีการประเมินผลการทำงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพด้านการอบรมฟื้นฟูศักยภาพลูกหนี้ เพื่อเสนอแนะแนวทางการปรับปรุงการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้งในระหว่างดำเนินโครงการและภายหลังสิ้นสุดโครงการได้อย่างต่อเนื่อง ๑.๒ กระทรวงการคลังได้จัดการประชุมคณะทำงานฯ เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ และวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๕ โดยที่ประชุมเห็นชอบแนวทางการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ ผลการดำเนินงานโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่มีการอบรมฟื้นฟูให้ลูกหนี้ ณ วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๕ กรอบการอบรมฟื้นฟูฯ หลักสูตรการอบรมฟื้นฟูฯ และแผนการทำงาน แนวทางการประเมินผลการทำงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจในเชิงปริมาณและคุณภาพด้านการอบรมฟื้นฟูศักยภาพของลูกหนี้ รวมทั้งเกณฑ์การเบิกจ่ายงบประมาณในการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพด้านการประกอบอาชีพของลูกหนี้ ๒. โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท (หนี้สถานะปกติ) ๒.๑ กระทรวงการคลังได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการด้านการแนะนำและติดตามการใช้จ่ายเงินที่ประหยัดได้ของลูกหนี้โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อย โดยมีรองปลัดกระทรวงการคลัง (นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์) เป็นประธาน มีอำนาจหน้าที่ติดตามการใช้จ่ายเงินของลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการฯ ในภาพรวมทั้งประเทศ แนะนำแนวทางในการนำเงินที่ประหยัดได้ไปใช้จ่ายให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิต การประกอบอาชีพ หรือดำเนินการที่ส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้แก่ผู้บริหารการคลังประจำจังหวัด หรือคณะทำงานที่เกี่ยวข้อง (ถ้ามี) เพื่อไปดำเนินการ รวมทั้งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานเพื่อดำเนินการตามที่คณะกรรมการมอบหมาย ๒.๒ คณะกรรมการฯ ได้มีการประชุมไปแล้ว ๓ ครั้ง และได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านฐานข้อมูล โดยมีหน้าที่จัดทำฐานข้อมูลโครงการพักหนี้ฯ ทั้งหนี้ที่มีปัญหาการชำระหนี้ และหนี้สถานะปกติ คณะอนุกรรมการฯ ได้จัดทำฐานข้อมูลหนี้สถานะปกติในเบื้องต้นแล้ว ส่วนหนี้ที่มีปัญหาการชำระหนี้จะจัดทำฐานข้อมูลต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
2648 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 ไตรมาสที่ 4 (ตุลาคม 2554 - กันยายน 2555) | กค | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอรายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ไตรมาสที่ ๓ (ตุลาคม ๒๕๕๔-กันยายน ๒๕๕๕) สรุปได้ดังนี้
๑. เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เบิกจ่ายจำนวน ๒,๑๔๘,๔๐๒.๐๑ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๐.๒๗ ของวงเงินงบประมาณ จำนวน ๒,๓๘๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายตามมติคณะรัฐมนตรี (ร้อยละ ๙๓.๐๐) คิดเป็นร้อยละ ๒.๗๓ โดยมีการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำ จำนวน ๑,๘๗๒,๙๙๔.๕๔ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๕.๓๕ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๑,๙๖๔,๔๓๘.๖๘ ล้านบาท และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๒๗๕,๔๐๗.๔๖ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๖.๒๗ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๔๑๕,๕๖๑.๓๒ ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย (ร้อยละ ๗๒.๐๐) คิดเป็นร้อยละ ๕.๗๓ สำหรับผลการเบิกจ่ายเงินงบกลางรายการที่ควรให้ความสำคัญ ได้แก่ รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ จำนวน ๑๒๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท มีการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๙๙,๗๕๘.๖๖ ล้านบาท หรือร้อยละ ๘๓.๑๓ ๒. เงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีและขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน ประกอบด้วย เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๗-๒๕๕๔ จำนวนเงินรวมทั้งสิ้น ๒๑๖,๗๑๐.๑๙ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๔๖,๘๕๑.๗๖ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๗.๗๖ ของวงเงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี ๓. เงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท มีการจัดสรร ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ จำนวนทั้งสิ้น ๓๔๑,๗๖๔.๓๖ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๓๒๐,๑๘๔.๙๕ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๓.๖๙ ๔. เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๕๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท มีการจัดสรรแล้ว ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ จำนวนทั้งสิ้น ๒๑,๓๔๑.๕๘ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑,๗๖๒.๙๔ ล้านบาท หรือร้อยละ ๘.๒๖
|
|||||||||||||||||||||||||||
2649 | การโอนเงินหรือสินทรัพย์ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ย FIDF 1 และ FIDF 3 | กค | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติให้โอนเงินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเข้าบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวนทั้งสิ้น ๕,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้กองทุนฯ ทยอยโอนเงินดังกล่าวเข้าบัญชีสะสมฯ ตามความต้องการใช้เงินในแต่ละช่วงเวลา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่ากระทรวงการคลังควรพิจารณาแนวทางในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินและบริหารจัดการสภาพคล่องให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับบทบาทหน้าที่และภารกิจของกองทุนฯ ไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2650 | การขยายระยะเวลามาตรการสำหรับเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ | กค | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา จำนวน ๑ ฉบับ และเห็นชอบในหลักการร่างประกาศ จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๑.๑ ลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับผู้มีเงินได้ที่มีสถานประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ในกรณีที่ได้รับเงินได้พึงประเมินจากการประกอบกิจการผลิตสินค้า การขายสินค้า หรือการให้บริการ ณ สถานประกอบกิจการนั้น ๑.๑.๒ ลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลที่มีเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ๑.๑.๓ ลดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และคงจัดเก็บในอัตราร้อยละ ๐.๑ ของเงินได้ซึ่งเป็นราคาขายอสังหาริมทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ๑.๑.๔ กำหนดให้ผู้มีเงินได้ที่ได้รับเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ซึ่งถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายแล้ว ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำเงินได้ดังกล่าวมาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา ๔๘(๑) (๒) และ (๔) แห่งประมวลรัษฎากร ๑.๑.๕ ลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะ และคงจัดเก็บในอัตราร้อยละ ๐.๑ สำหรับรายรับก่อนหักรายจ่ายใด ๆ จากการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางการค้าหรือหากำไร ทั้งนี้ เฉพาะการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจที่ได้กระทำในระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๒ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด กรณีการโอนและการจำนองห้องชุดตามมาตรการสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้เรียกเก็บค่าจดทะเบียนการโอนและค่าจดทะเบียนการจำนองห้องชุดร้อยละ ๐.๐๑ สำหรับการโอนห้องชุดโดยการขาย แลกเปลี่ยน ให้ และการโอนโดยทางมรดกให้แก่ทายาท หรือการจำนองห้องชุดที่ตั้งอยู่ในท้องที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดสงขลาเฉพาะในท้องที่อำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอนาทวี และอำเภอสะบ้าย้อย และจังหวัดสตูล โดยให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๓ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน กรณีการโอนและการจำนองอสังหาริมทรัพย์ตามมาตรการสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้เรียกเก็บค่าจดทะเบียนการโอนและค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์ร้อยละ ๐.๐๑ สำหรับการโอนอสังหาริมทรัพย์โดยการขาย แลกเปลี่ยน ให้ และการโอนโดยทางมรดกให้แก่ทายาท หรือการจำนองอสังหาริมทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในท้องที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดสงขลาเฉพาะในท้องที่อำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอนาทวี และอำเภอสะบ้าย้อย และจังหวัดสตูล โดยให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๒. เห็นชอบการขยายระยะเวลามาตรการชดเชยส่วนต่างเบี้ยประกันภัยออกไปอีก ๒ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๗) โดยให้คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยเพิ่มการประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้นเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของมาตรการ และปรับปรุงกระบวนการในการอนุมัติค่าชดเชยส่วนต่างเบี้ยประกันภัยแก่ผู้ประกอบการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นจากการขยายระยะเวลามาตรการชดเชยส่วนต่างเบี้ยประกันภัยภายในวงเงินงบประมาณปีละ ๒๐ ล้านบาท ให้กระทรวงการคลังเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยเพิ่มการประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้น เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของมาตรการ ๓. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓.๑ ผลการดำเนินการมาตรการสินเชื่อผ่อนปรนโดยธนาคารออมสิน ระยะเวลาการขอกู้จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ที่ผ่านมาปริมาณการใช้สินเชื่อโดยเฉลี่ยภายใต้โครงการดังกล่าวอยู่ที่ประมาณร้อยละ ๖๐-๗๐ ของวงเงินโครงการทั้งสิ้นจำนวน ๒๕,๐๐๐ ล้านบาท จึงเห็นควรให้สถาบันการเงินแต่ละแห่งใช้วงเงินที่ได้รับการจัดสรรจากธนาคารออมสินให้เต็มวงเงินก่อน โดยกระทรวงการคลังจะติดตามความคืบหน้าของโครงการกับธนาคารออมสินเป็นระยะ หากมีความจำเป็นที่จะต้องขอวงเงินโครงการเพิ่มเติมหรือขอขยายระยะเวลา กระทรวงการคลังจะพิจารณานำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ๓.๒ ผลการดำเนินการโครงการพักชำระหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่หนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท กำหนดระยะเวลา ๓ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ เปิดลงทะเบียนผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการ ตั้งแต่วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๕ ซึ่งลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นกลุ่มเป้าหมายของโครงการอยู่แล้ว ดังนั้น ลูกค้า ธ.ก.ส. ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เข้าร่วมโครงการเงินต้นไม่ถึง ๒๐๐,๐๐๐ บาท ที่ได้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (เรื่อง โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท) สามารถขยายระยะเวลาพักชำระหนี้ได้จนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ ทั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้นจำนวน ๓๕,๘๔๖ ราย มูลหนี้ทั้งสิ้น ๓,๗๔๗ ล้านบาท ๔. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงอุตสาหกรรมสำรวจปัญหาของธุรกิจ SMEs ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อกำหนดมาตรการช่วยเหลือต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2651 | การให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วนของรัฐบาลไทยในโครงการอาเซียนโปแตช (ประเทศไทย) | กค | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ผู้ถือหุ้นในสัดส่วนของรัฐบาลไทย ซึ่งถือเป็นรัฐบาลประเทศสมาชิกอาเซียน (A Government of the ASEAN Member States) ตาม Basic Agreement และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๓๓ (เรื่อง โครงการทำเหมืองแร่โปแตชอาเซียน) หมายความรวมถึงหน่วยงานรัฐวิสาหกิจของไทยด้วย โดยให้กระทรวงการคลังรับไปดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและข้อตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการคัดเลือกหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่เหมาะสมและพิจารณากำหนดสัดส่วนการถือหุ้นของกระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจที่จะเข้าร่วมโครงการอาเซียนโปแตช (ประเทศไทย) และรายงานผลการคัดเลือกต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นว่ากระทรวงการคลังอาจพิจารณาให้รัฐภาคีของ Basic Agreement ทราบเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการของรัฐบาลไทยที่จะให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจของไทยสามารถถือหุ้นในสัดส่วนของรัฐบาลไทยตาม Basic Agreement ไปพิจารณาดำเนินการด้วย และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้บริษัทเหมืองแร่โปแตชอาเซียน จำกัด (มหาชน) จัดทำแผนธุรกิจที่ชัดเจนเพื่อแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการเพิ่มทุนความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจการลงทุน และความเหมาะสมทางการเงินของโครงการอาเซียนโปแตชฯ ไปดำเนินการต่อไป รวมทั้งให้มีแผนธุรกิจที่ชัดเจนเพื่อการบริหารจัดการเกลือ ซึ่งเป็นผลพลอยได้ของโครงการซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณมากถึง ๑ ล้านตันต่อปี เพื่อป้องกันปัญหาสิ่งแวดล้อมและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2652 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔ ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร ออกไปอีก ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
2653 | มาตรการปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพื่อส่งเสริมความเป็นธรรมและให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ | กค | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพื่อส่งเสริมความเป็นธรรมและให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ โดย ๑.๑ ปรับปรุงบัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับการคำนวณเงินได้สุทธิจากเดิม ๕ ขั้นอัตรา เป็น ๗ ขั้นอัตรา และลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากอัตราสูงสุดร้อยละ ๓๗ คงเหลือร้อยละ ๓๕ ๑.๒ กำหนดคำนิยามของ “คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล” ให้หมายความว่า บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการร่วมกันโดยไม่มีวัตถุประสงค์จะแบ่งปันกำไรอันพึงได้แต่กิจการที่ทำนั้น ทั้งนี้ ให้เสียภาษีจากเงินได้พึงประเมินก่อนหักรายจ่ายในอัตราร้อยละ ๒๐ ๑.๓ กำหนดคำนิยามของ “ห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล” ให้หมายความว่า ห้างหุ้นส่วนสามัญที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย หรือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ และให้หมายความรวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญที่อธิบดีกำหนด โดยอนุมัติรัฐมนตรี และประกาศในราชกิจจานุเบกษา ทั้งนี้ ให้เสียภาษีจากเงินได้สุทธิในอัตราร้อยละ ๒๐ ๑.๔ ให้ใช้บังคับสำหรับเงินได้พึงประเมินในปีภาษี ๒๕๕๖ ที่จะต้องยื่นรายการในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นต้นไป ๒. สำหรับเงินได้สุทธิตั้งแต่ ๐-๓๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งกำหนดอัตราภาษีไว้ในอัตราร้อยละ ๕ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตราพระราชกฤษฎีกายกเว้นภาษีสำหรับเงินได้สุทธิ ๑๕๐,๐๐๐ บาทแรกต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
2654 | มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมความเสมอภาคในการใช้สิทธิยื่นรายการและเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา | กค | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกำหนดฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์และวิธีการจัดเก็บภาษีเงินได้จากสามีและภริยา ดังนี้
๑. ให้สิทธิผู้เสียภาษีเลือกยื่นรายการและเสียภาษี โดยจะยื่นรายการและเสียภาษีรวมกันหรือแยกต่างหากจากคู่สมรสก็ได้ ๒. ในกรณีใช้สิทธิยื่นรายการรวมกัน จะยื่นรายการและเสียภาษีในนามของสามีหรือภริยาก็ได้ ๓. กรณีการใช้สิทธิยื่นรายการแยกต่างหากจากกัน ๓.๑ หากสามีหรือภริยามีเงินได้พึงประเมินที่ไม่สามารถแยกได้อย่างชัดเจนว่าเป็นของสามีหรือภริยา ให้สามีและภริยาสามารถเลือกได้ว่าจะให้เงินได้พึงประเมินดังกล่าวเป็นของสามีและภริยาฝ่ายละกึ่งหนึ่ง ๓.๒ หากเงินได้พึงประเมินที่ไม่สามารถแยกได้อย่างชัดแจ้งตาม ๓.๑ เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา ๔๐ (๘) นอกจากให้สิทธิตาม ๓.๑ แล้ว สามีและภริยาจะแบ่งเงินได้พึงประเมินดังกล่าวเป็นของแต่ละฝ่ายตามส่วนที่ตกลงกันก็ได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
2655 | การปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ | กค | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราและยกเว้นภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างประกาศฯ มีสาระสำคัญคือ ปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ โดยพิจารณาจากอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ กำหนดให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ ๑ มกราคม ๒๕๕๙ เป็นต้นไป แบ่งตามประเภทรถยนต์ ได้แก่ ๑.๑ รถยนต์นั่ง และรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน ๑๐ คน ที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน ๓,๐๐๐ ซีซี ปล่อยก๊าซไม่เกิน ๑๕๐ กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษีร้อยละ ๓๐ ปล่อยก๊าซเกิน ๑๕๐ กรัมต่อกิโลเมตร แต่ไม่เกิน ๒๐๐ กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษีร้อยละ ๓๕ และปล่อยก๊าซเกิน ๒๐๐ กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษีร้อยละ ๔๐ ๑.๒ รถยนต์นั่ง E85 และรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงประเภทก๊าซธรรมชาติที่ติดตั้งในโรงอุตสาหกรรม (NGV-OEM) ที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน ๓,๐๐๐ ซีซี ปล่อยก๊าซไม่เกิน ๑๕๐ กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษีร้อยละ ๒๕ ปล่อยก๊าซเกิน ๑๕๐ กรัมต่อกิโลเมตร แต่ไม่เกิน ๒๐๐ กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษีร้อยละ ๓๐ และปล่อยก๊าซเกิน ๒๐๐ กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษีร้อยละ ๓๕ ๑.๓ รถยนต์แบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้า (Hybrid Electric Vehicle) ที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน ๓,๐๐๐ ซีซี ปล่อยก๊าซไม่เกิน ๑๐๐ กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษีร้อยละ ๑๐ ปล่อยก๊าซเกิน ๑๐๐ กรัมต่อกิโลเมตร แต่ไม่เกิน ๑๕๐ กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษีร้อยละ ๒๐ ปล่อยก๊าซเกิน ๑๕๐ กรัมต่อกิโลเมตร แต่ไม่เกิน ๒๐๐ กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บอัตราภาษีร้อยละ ๒๕ และปล่อยก๊าซเกิน ๒๐๐ กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษีร้อยละ ๓๐ ๑.๔ รถยนต์กระบะที่ไม่มีพื้นที่ใส่สัมภาระด้านหลังที่นั่งคนขับ (No Cab) ที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน ๓,๒๕๐ ซีซี ปล่อยก๊าซไม่เกิน ๒๐๐ กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษีร้อยละ ๓ และปล่อยก๊าซเกิน ๒๐๐ กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษีร้อยละ ๕ ๑.๕ รถยนต์กระบะที่มีพื้นที่ใส่สัมภาระด้านหลังที่นั่งคนขับ (Space Cab) ที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน ๓,๒๕๐ ซีซี ปล่อยก๊าซไม่เกิน ๒๐๐ กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษีร้อยละ ๕ ปล่อยก๊าซเกิน ๒๐๐ กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษีร้อยละ ๗ ๑.๖ รถยนต์นั่งที่มีกระบะ (Double Cab) ที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน ๓,๒๕๐ ซีซี ปล่อยก๊าซไม่เกิน ๒๐๐ กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษีร้อยละ ๑๒ และปล่อยก๊าซเกิน ๒๐๐ กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษีร้อยละ ๑๕ ๑.๗ รถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก (Pick-up Passenger Vehicle : PPV) ที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน ๓,๒๕๐ ซีซี ปล่อยก๊าซไม่เกิน ๒๐๐ กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษีร้อยละ ๒๕ และปล่อยก๊าซเกิน ๒๐๐ กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษีร้อยละ ๓๐ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดแนวทางให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมรถยนต์และผู้นำเข้าจะต้องติดป้ายแสดงการประหยัดพลังงานและปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ๓. ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาแนวทางการปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ประจำปีเพื่อให้สอดคล้องกับภาษีสรรพสามิตรถยนต์ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
2656 | การให้สิทธิพิเศษแก่เจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) | กค | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่เลขาธิการคณะกรรรมการกฤษฎีกาเสนอว่า โดยหลักการทั่วไปของการทำหนังสือสัญญา ผู้ลงนามหนังสือสัญญาในนามรัฐบาลไทยหรือราชอาณาจักรไทยจะต้องมีหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ที่ออกโดยกระทรวงการต่างประเทศประกอบการลงนามด้วย ซึ่งในเรื่องการให้สิทธิพิเศษแก่เจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (Japan Bank for International Cooperation : JBIC) ประจำสำนักงานในประเทศไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนตอบหนังสือของรัฐบาลญี่ปุ่นในนามรัฐบาลไทยโดยมิได้มีหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) มาโดยตลอด และรัฐบาลญี่ปุ่นได้ยอมรับการลงนามดังกล่าว จึงถือเป็นกรณียกเว้นที่ไม่ต้องมีหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ๒. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบในหลักการหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น และการให้สิทธิพิเศษแก่เจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (Japan Bank for International Cooperation : JBIC) ประจำสำนักงานในประเทศไทย ตามนัยหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น โดยสาระสำคัญของร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่เจ้าหน้าที่ JBIC ประจำสำนักงานในประเทศไทยให้สามารถปฏิบัติภารกิจในประเทศไทยได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายและปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งในการติดต่อประสานงาน สนับสนุนการส่งออกการนำเข้า และการลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือทางการเงินและสนับสนุนความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนในประเทศไทย ประเทศญี่ปุ่นและประเทศในภูมิภาค ๒.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามในนามรัฐบาลไทยในหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่นดังกล่าว |
|||||||||||||||||||||||||||
2657 | เป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี 2556 | กค | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติเป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี ๒๕๕๖ ที่คณะกรรมการนโยบายการเงินได้ทำความตกลงร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี ๒๕๕๖ กำหนดไว้ที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยรายไตรมาสระหว่างร้อยละ ๐.๕-๓.๐ ต่อปี เช่นเดียวกับเป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี ๒๕๕๕ ๑.๒ การติดตามความเคลื่อนไหวของเป้าหมายของนโยบายการเงิน เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายของนโยบายการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจะจัดให้มีการหารือร่วมกันเป็นประจำทุกไตรมาส และเมื่อมีเหตุจำเป็นอื่นใดตามที่ทั้งสองหน่วยงานจะเห็นสมควร ๑.๓ การเคลื่อนไหวของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานออกนอกเป้าหมาย กรณีอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเคลื่อนไหวออกนอกช่วงเป้าหมายตามที่ได้ตกลงร่วมกันไว้ ให้คณะกรรมการนโยบายการเงินชี้แจงสาเหตุ แนวทางแก้ไข และระยะเวลาที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะกลับเข้าสู่ช่วงที่กำหนดไว้โดยเร็ว รวมทั้งให้รายงานความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาเป็นระยะตามสมควร ๑.๔ การแก้ไขเป้าหมายของนโยบายการเงิน ในกรณีที่มีเหตุอันสมควรหรือจำเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและคณะกรรมการนโยบายการเงินอาจตกลงร่วมกันเพื่อแก้ไขเป้าหมายของนโยบายการเงินได้ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา ๒. ให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาการนำอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยรายปีเป็นเป้าหมายของนโยบายการเงินในระยะต่อไป เมื่อความเสี่ยงจากสภาพคล่องส่วนเกินในระบบการเงินโลกลดลง และระบบเศรษฐกิจสามารถรองรับโครงสร้างราคาพลังงานใหม่ในประเทศได้แล้ว ไปพิจารณาต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปจัดทำสรุปรายงานสภาวะเศรษฐกิจของประเทศในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และแนวโน้มในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๕ ต่อไป ๔. เพื่อให้คณะรัฐมนตรีได้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศในภาพรวมที่เป็นปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป จึงเห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำรายงานสภาวะเศรษฐกิจเสนอคณะรัฐมนตรีเดือนละหนึ่งครั้งในทุกสัปดาห์แรกของเดือน เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๕๖ เป็นต้นไป โดยให้กระทรวงการคลังเชิญผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมชี้แจงต่อคณะรัฐมนตรีด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2658 | ขอขยายทุนเรือนหุ้นของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร | กค | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติขยายทุนเรือนหุ้นของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จากเดิม จำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท เป็น จำนวน ๖๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อรองรับการดำเนินการตามแผนการดำเนินงานของ ธ.ก.ส. และโครงการตามนโยบายและมาตรการของรัฐบาล รวมทั้งสนับสนุนการจ่ายปันผลของ ธ.ก.ส. ให้กระทรวงการคลังในลักษณะการซื้อหุ้นเพิ่มทุน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเสนอขอเพิ่มทุนในแต่ละครั้ง ให้ ธ.ก.ส. จัดส่งรายละเอียดแผนงาน/โครงการ และกลุ่มเป้าหมายของโครงการที่จะมีการดำเนินการภายหลังการเพิ่มทุนให้กระทรวงการคลังพิจารณาทุกครั้ง และให้กระทรวงการคลังพิจารณาทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๓๕ (เรื่อง หลักเกณฑ์การจ่ายปันผลแก่ผู้ถือหุ้นธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) ในการจ่ายปันผลเป็นหุ้นแก่กระทรวงการคลัง ให้จ่ายปันผลในลักษณะเงินนำส่งคลังเช่นเดียวกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจอื่นโดยเร็วภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยมิต้องรอให้ทุนของ ธ.ก.ส. ถึงระดับ ๖๐,๐๐๐ ล้านบาท รวมทั้งให้มีการติดตามประเมินผลแผนการเพิ่มประสิทธิภาพให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2659 | ขออนุมัติใช้เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (กรมสรรพสามิต) | กค | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพสามิตจ่ายค่าถอนคืนรายได้แผ่นดินให้ผู้ประกอบการ จำนวน ๙๖ ราย เป็นเงิน ๒๗๑,๗๘๒,๒๙๒.๑๔ บาท โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว และให้กรมสรรพสามิตขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. คณะรัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติมว่า เพื่อเป็นการอำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้ประกอบการสามารถนำเงินคืนภาษีสรรพสามิตไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้โดยเร็ว รวมทั้งเพื่อมิให้เป็นภาระต่อการใช้จ่ายงบกลาง จึงขอให้กระทรวงการคลัง (กรมสรรพสามิตและกรมบัญชีกลาง) เร่งรัดการพิจารณาการขอคืนภาษีสรรพสามิตของผู้ประกอบการให้แล้วเสร็จรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมทั้งวางแผนใช้จ่ายงบประมาณเพื่อคืนเงินรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและทันการเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามที่กำหนดในปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณของสำนักงบประมาณในแต่ละปีด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
2660 | รายงานผลการดำเนินการตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | กค | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้นำเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้บริหารและจัดการหนี้สาธารณะตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นจำนวน ๑,๔๓๙,๑๗๑.๗๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖๘.๐๖ ของแผนฯ และเมื่อรวมกับการกู้เงินและบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องอยู่ภายใต้กรอบวงเงินของแผนฯ จำนวน ๔๘,๓๙๖.๗๕ ล้านบาท ทำให้กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจสามารถกู้เงินและบริหารหนี้ได้ รวม ๑,๔๘๗,๕๖๘.๕๑ ล้านบาท แบ่งเป็นการก่อหนี้ใหม่ จำนวน ๗๑๒,๐๖๔.๒๐ ล้านบาท และการบริหารหนี้ จำนวน ๗๗๕,๕๐๔.๓๑ ล้านบาท ทั้งนี้ ในส่วนของการกู้เงินต่อจากรัฐบาล การก่อหนี้ใหม่และบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจภายใต้แผนฯ จำนวน ๔๐๑,๒๘๘.๘๗ ล้านบาท แบ่งเป็นการกู้เงินและบริหารหนี้ที่กระทรวงการคลังให้กู้ต่อและค้ำประกัน จำนวน ๓๗๔,๐๑๒.๖๓ ล้านบาท และไม่ค้ำประกัน จำนวน ๒๗,๒๗๖.๒๔ ล้านบาท ๒. การกู้เงิน การค้ำประกันและการให้กู้ต่อของรัฐบาลในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นไปตามกรอบการดำเนินงานที่พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติมกำหนด ๓. การบริหารหนี้ในประเทศและต่างประเทศของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจสามารถลดยอดหนี้คงค้างได้ ๖๔,๑๐๕.๒๔ ล้านบาท รวมทั้งลดภาระและประหยัดดอกเบี้ยได้ ๓,๒๕๕.๑๑ ล้านบาท ๔. การจัดหาเงินกู้ของภาครัฐทำให้รัฐบาลมีเงินเพียงพอต่อการใช้จ่ายในการบริหารประเทศและการฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ รวมทั้งรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินโครงการและแผนงานลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง ๕. การระดมทุนของรัฐบาลด้วยวิธีการออกพันธบัตรทำให้มีปริมาณการออกพันธบัตรอย่างสม่ำเสมอและเพียงพอในการสร้างอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง (Benchmark) เพื่อพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ ๖. หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๕ มีจำนวน ๔,๙๓๗,๒๓๙.๖๒ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๓.๙๑ ของ GDP แบ่งเป็นหนี้ของรัฐบาล จำนวน ๓,๕๑๕,๐๑๐.๙๕ ล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน จำนวน ๑,๐๖๔,๒๘๙.๑๑ ล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกัน จำนวน ๓๕๒,๒๐๗.๓๕ ล้านบาท และหนี้ของหน่วยงานอื่นของรัฐ จำนวน ๕,๗๓๒.๒๑ ล้านบาท
|
.....