ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 134 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 2661 - 2680 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2661 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ สำหรับงวดครึ่งปีแรกของปี พ.ศ. 2555 | กค | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำหรับงวดครึ่งปีแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ สรุปได้ ดังนี้
๑. การรวบรวมและพัฒนาข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ และข้อมูลประกอบด้านอื่น ๆ ที่สำคัญต่อเศรษฐกิจ โดยรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ๗ ประเภท (ที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม-รีสอร์ท นิคมอุตสาหกรรม สนามกอล์ฟ และที่ดินเปล่า) โดยนำข้อมูลที่ได้มาประมวลผล ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านอุปทาน ด้านอุปสงค์ ด้านราคา และด้านการเงิน ซึ่งสามารถเผยแพร่ข้อมูลได้ครอบคลุมทั้ง ๗ ประเภท และมีการเผยแพร่ข้อมูลล่าสุด ณ สิ้นไตรมาสแรก ปี ๒๕๕๕ ๒. งานวิชาการ โดยจัดทำวารสารศูนย์ข้อมูล ฯ REIC Journal ประจำไตรมาสที่ ๑ และไตรมาสที่ ๒ ปี ๒๕๕๕ พร้อมทั้งรายงานสถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ รวมไปถึงนำเสนอบทวิเคราะห์สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์และบทความพิเศษที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ จัดสัมมนาเผยแพร่ข้อมูลผลสำรวจโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย ประจำปี ๒๕๕๕ เพื่อนำเสนอผลการจัดทำดัชนีราคาบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ จัดทำดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย และดัชนีค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐาน โดยมีการเผยแพร่ผลการสำรวจในไตรมาสที่ ๑ และไตรมาสที่ ๒ ปี ๒๕๕๕ และจัดทำ REIC Research Report เพื่อเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชน และเว็บไซต์ www.reic.or.th พร้อมทั้งจัดทำการสรุปและวิเคราะห์สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ประจำสัปดาห์เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ www.reic.or.th อย่างต่อเนื่อง ๓. การส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร โดยมีกิจกรรมการจัดสัมมนาทางวิชาการ การประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อมวลชน การให้บริการทางวิชาการ และการร่วมออกบูธในงานมหกรรมต่าง ๆ ด้านอสังหาริมทรัพย์ เพื่อเป็นการเผยแพร่ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง
|
|||||||||||||||||||||
2662 | รายงานผลการลงนามในสัญญาเงินกู้โครงการปรับปรุงระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์ | กค | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการลงนามในสัญญาเงินกู้โครงการปรับปรุงระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ผลการลงนามในสัญญาเงินกู้ระหว่างสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) กับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) สำหรับโครงการปรับปรุงระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์ โดยมีวงเงินกู้ ๙๕.๔๐ ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ ๑.๕ ต่อปี อายุสัญญา ๒๐ ปี (รวมระยะเวลาปลอดหนี้ ๕ ปี) กำหนดชำระดอกเบี้ย ๒๐ กุมภาพันธ์ และ ๒๐ สิงหาคมของทุกปี การชำระคืนเงินกู้ เริ่มชำระคืนวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ และสิ้นสุดวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๗๕ ระยะเวลาสิ้นสุดการเบิกจ่าย ๒๔ กันยายน ๒๕๕๘ ๑.๒ การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว ดังกล่าว จะเป็นประโยชน์ต่อ สปป.ลาว และประเทศไทย โดยโครงการปรับปรุงระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์จะทำให้โครงข่ายการระบายน้ำจากนครหลวงเวียงจันทน์ไปยังแม่น้ำโขงมีความสมบูรณ์และมีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ทำให้ประชาชนในบริเวณพื้นที่โครงการฯ คือ เมืองจันทบุรีและเมืองศรีโคตรบอง ประมาณ ๓ แสนคน ได้รับประโยชน์ ไม่ต้องประสบปัญหาน้ำท่วมขังและน้ำเน่าเสียในช่วงฤดูฝนอันมีสาเหตุจากระบบระบายน้ำที่ไม่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งเป็นการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นการสนับสนุนนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลได้โดยตรง และเป็นการสนับสนุนการใช้สินค้าไทย เนื่องจากเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว ดังกล่าวกำหนดให้ใช้สินค้าจากประเทศไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๐ ของมูลค่าโครงการฯ ๒. ให้ สพพ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญในการคัดเลือกบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่มีศักยภาพและคุณภาพ ไม่มีประวัติการทำงานที่ล่าช้าและไม่มีคุณภาพ ก่อให้เกิดการชำรุดและซ่อมแซมที่เร็วกว่ากำหนดเวลาอันสมควร และกำกับการดำเนินงานก่อสร้างให้ได้มาตรฐานและเป็นไปตามกำหนดเวลา ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||
2663 | ผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 4/2555 | กค | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ (กนร.) ครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธาน กนร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการกู้เงิน จำนวน ๔๒๐ ล้านบาท ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เพื่อให้ รฟท. นำเงินกู้ดังกล่าวมาให้บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด (รฟฟท.) กู้ต่อเพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนสำหรับโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและสถานีรับส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมือง (Airport Rail Link : ARL) (โครงการ ARL) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๔ (เรื่อง ขออนุมัติการกู้เงินให้ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนสำหรับโครงการ Airport Rail Link) และให้กระทรวงคมนาคมศึกษาการปรับโครงสร้างทางการเงินและการจัดการองค์กรของ รฟฟท. ทั้งระบบ พร้อมทั้งจัดทำแผนธุรกิจของ รฟฟท. และแผนงานการถ่ายโอนทรัพย์สินระหว่าง รฟท. และ รฟฟท. เพื่อให้ รฟฟท. สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนำเสนอ กนร. พิจารณาภายใน ๖ เดือน ทั้งนี้ ให้ศึกษาถึงความเหมาะสมในการถือหุ้นใน รฟฟท. ๒ กรณี คือ กรณีที่ ๑ รฟท. เป็นผู้ถือหุ้นเช่นเดิม และกรณีที่ ๒ กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น และกระทรวงคมนาคมเป็นผู้กำกับดูแลโดยตรง ซึ่งในกรณีที่ ๒ อาจพิจารณาให้ รฟท. มีสิทธิซื้อหุ้น รฟฟท. คืนจากกระทรวงการคลังได้ เมื่อ รฟท. มีความพร้อมทางการเงินและการบริหารจัดการ ๑.๒ รับทราบกรอบแนวคิดในการจัดทำแผนการพัฒนาและขยายโครงข่ายเพื่อผลักดันนโยบาย Smart Thailand ที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ โดยให้รับข้อสังเกตของ กนร. ในการจัดทำแผนธุรกิจของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) (บมจ. ทีโอที) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (บมจ. กสท โทรคมนาคม) ที่ปัจจุบันมีผู้ให้บริการหลายรายอยู่แล้ว ทั้งนี้ ในระยะเวลาอันใกล้ บมจ. ทีโอที และ บมจ. กสท โทรคมนาคม จะได้รับผลกระทบจากสัญญาสัมปทานสิ้นสุดลง และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้มอบหมายภารกิจใหม่ตามนโยบาย Smart Thailand จึงเห็นควรให้เชื่อมโยงแนวทางการแก้ไขผลกระทบจากการสิ้นสุดสัญญาสัมปทานให้สอดคล้องกับแผนธุรกิจตามนโยบาย Smart Thailand ที่ บมจ. ทีโอที และ บมจ. กสท โทรคมนาคม อาจจะต้องลงทุนจำนวนมาก เนื่องจากเมื่อขาดรายได้จากสัมปทาน ความสามารถในการระดมทุนของ ๒ องค์กร จะลดลงและจะกระทบเรื่องแหล่งเงินลงทุน ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงคมนาคม รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ บมจ. ทีโอที และ บมจ. กสท โทรคมนาคม ดำเนินการตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๘๔ ที่กำหนดว่าภายใน ๓ ปี หลังจากประกาศใช้พระราชบัญญัติฯ ดังกล่าวแล้ว ให้รัฐวิสาหกิจนำรายได้ภายหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้วตามสัญญาสัมปทาน หรือสัญญาที่รัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ นำส่งคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และให้คณะกรรมการฯ นำส่งเงินจำนวนดังกล่าวเป็นรายได้แผ่นดินต่อไป สำหรับ รฟท. เห็นควรจัดทำแผนการประชาสัมพันธ์ระยะเร่งด่วนเพื่อจูงใจให้ประชาชนมาใช้บริการมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ใช้บริการที่มีสัมภาระในการเดินทางปรับพฤติกรรมการใช้บริการจากระบบรถไฟฟ้าธรรมดา (City Line) มาใช้บริการระบบรถไฟด่วน (Express Line) นอกจากนี้ ให้กระทรวงเจ้าสังกัดกำกับดูแลและติดตามการบริหารจัดการของรัฐวิสาหกิจในการแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการ โดยให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าและผลตอบแทนในการลงทุน เพื่อมิให้เป็นภาระงบประมาณในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
2664 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 72 ปี แห่งการสถาปนามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ. .... | กค | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก ๗๒ ปี แห่งการสถาปนามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดชนิด ราคา โลหะ อัตราเนื้อโลหะ น้ำหนัก ขนาด อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด ลวดลาย และลักษณะอื่น ๆ ของเหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ราคายี่สิบบาท หนึ่งชนิด ออกใช้เพื่อเป็นที่ระลึกเนื่องในโอกาสครบ ๗๒ ปี แห่งการสถาปนามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
2665 | การรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2555 ณ วันที่ 30 กันยายน 2555 | กค | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานะหนี้สาธารณะของประเทศ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ มียอดหนี้สาธารณะคงค้าง จำนวน ๔,๙๓๗,๒๓๙.๖๒ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๓.๙๑ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) โดยเป็นหนี้ของรัฐบาลกู้โดยตรง จำนวน ๓,๕๑๕,๐๑๐.๙๕ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน จำนวน ๑,๐๖๔,๒๘๙.๑๑ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) จำนวน ๓๕๒,๒๐๗.๓๕ ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ จำนวน ๕,๗๓๒.๒๑ ล้านบาท ส่วนหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินไม่มีหนี้คงค้าง โดยหนี้สาธารณะจำนวนดังกล่าวจำแนกตามอายุของหนี้เป็นหนี้ระยะยาว ๔,๖๕๘,๖๔๒.๒๒ ล้านบาท และหนี้ระยะสั้น ๒๗๘,๕๙๗.๔๐ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๙๔.๓๖ และร้อยละ ๕.๖๔ ตามลำดับ และจำแนกตามแหล่งที่มาเป็นหนี้ต่างประเทศ ๓๔๐,๖๗๑.๗๖ ล้านบาท และหนี้ในประเทศ ๔,๕๙๖,๕๖๗.๘๖ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๖.๙๐ และร้อยละ ๙๓.๑๐ ตามลำดับ ๒. ภาพรวมผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะได้จัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่อใช้เป็นกรอบในการดำเนินการบริหารและจัดการหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ ประกอบด้วย ๕ แผนงานย่อย และได้ปรับปรุงแผนฯ ในระหว่างปี เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการใช้เงินกู้และบริหารหนี้ ซึ่งหลังการปรับปรุงแผนฯ ครั้งที่ ๔ ทำให้วงเงินรวมในแผนฯ ที่จะบริหารจัดการมีจำนวนทั้งสิ้น ๒,๒๗๘,๔๗๘.๗๒ ล้านบาท โดยในช่วงระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนกันยายน ๒๕๕๕ กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการกู้เงินและบริหารหนี้ เป็นวงเงินทั้งสิ้น ๑,๐๘๗,๒๘๔.๑๙ ล้านบาท ๓. ผลการดำเนินงานในช่วง ๖ เดือนหลังของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประกอบด้วย แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงินรวม ๔๙๖,๔๒๐.๒๓ ล้านบาท แผนการปรับโครงสร้างหนี้ วงเงินรวม ๕๒๔,๘๒๕.๘๐ ล้านบาท แผนการบริหารความเสี่ยง วงเงินรวม ๓๗,๗๖๑.๑๖ ล้านบาท และแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ วงเงินรวม ๑๐,๑๑๙.๗๕ ล้านบาท ส่วนแผนการก่อหนี้ใหม่ของหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ ไม่มีการก่อหนี้ใหม่ในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนกันยายน ๒๕๕๕ ๔. สรุปผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ในช่วง ๖ เดือนหลังของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ (เมษายน-กันยายน ๒๕๕๕) กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการบริหารและจัดการหนี้สาธารณะตามกรอบแผนฯ เป็นจำนวนทั้งสิ้น ๑,๐๕๙,๐๐๗.๑๙ ล้านบาท โดยมีความก้าวหน้าคิดเป็นร้อยละ ๕๐.๐๘ ของแผนการบริหารหนี้สาธารณะทั้งปี สำหรับผลการกู้เงินและบริหารจัดการหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ ในช่วง ๖ เดือนหลัง ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ รัฐวิสาหกิจได้กู้เงินและบริหารหนี้ รวมทั้งสิ้น ๒๘,๒๗๗.๐๐ ล้านบาท และจากการดำเนินการดังกล่าว กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้กู้เงินและบริหารหนี้ รวมทั้งสิ้น ๑,๐๘๗,๒๘๔.๑๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๗.๗๒ ของแผนการบริหารหนี้สาธารณะทั้งปี ทั้งนี้ การกู้เงินและการบริหารหนี้ตามแผนฯ แบ่งเป็นหนี้ของรัฐบาล จำนวน ๗๕๙,๙๖๗.๔๕ ล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน จำนวน ๒๕๙,๑๒๑.๕๙ ล้านบาท และหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน จำนวน ๖๘,๑๙๕.๑๕ ล้านบาท |
|||||||||||||||||||||
2666 | ร่างข้อบังคับกระทรวงการคลังว่าด้วยการนำทุนหรือผลกำไรของทุนหมุนเวียนส่งเข้าบัญชีเงินคงคลังบัญชีที่ 1 พ.ศ. .... | กค | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการร่างข้อบังคับกระทรวงการคลังว่าด้วยการนำทุนหรือผลกำไรของทุนหมุนเวียนส่งเข้าบัญชีเงินคงคลังบัญชีที่ ๑ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างข้อบังคับฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดนิยามคำว่า “ทุนหมุนเวียน” และ “ผลกำไร” ๑.๒ กำหนดให้ทุนหมุนเวียน นำทุนหรือผลกำไรของทุนหมุนเวียนส่งเข้าบัญชีเงินคงคลังบัญชีที่ ๑ เป็นรายได้แผ่นดิน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนด ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาปรับแก้ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับทุนหมุนเวียนตามพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. ๒๔๙๑ บางลักษณะเป็นทุนหมุนเวียนที่ได้จัดตั้งขึ้นโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะ เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ซึ่งจัดตั้งตามพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ หรือกองทุนประกันสังคม ซึ่งจัดตั้งตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ และมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการบริหารจัดการทุนหมุนเวียนหรือกองทุนไว้เป็นการเฉพาะแล้ว การบริหารจัดการทุนหมุนเวียนหรือกองทุนดังกล่าวจึงย่อมต้องเป็นไปตามที่กฎหมายเฉพาะกำหนดไว้ ดังนั้น การกำหนดให้ทุนหมุนเวียนหรือเงินทุนหมุนเวียนตามพระราชบัญญัติเงินคงคลังฯ ทั้งหมดอยู่ภายใต้ข้อบังคับกระทรวงการคลังฉบับนี้ อาจก่อให้เกิดปัญหาทางปฏิบัติและขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะได้ แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||
2667 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 | กค | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ภายใต้โครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยในไตรมาสที่ ๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้มีการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๓ รุ่น วงเงินรวม ๓๙,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย พันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ พ.ศ. ๒๕๕๒) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๕ (LB193A) จำนวน ๑๒,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท พันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ พ.ศ. ๒๕๕๒) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๖ (LB326A) จำนวน ๑๒,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท และพันธบัตรรัฐบาลประเภทอัตราดอกเบี้ยแปรผันตามการเปลี่ยนแปลงของเงินเฟ้อ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๓ (ILB217A) จำนวน ๑๕,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ๒. การจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลทั้ง ๓ รุ่น เริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ ๖ กรกฎาคม ถึงวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๕ โดยพันธบัตรรัฐบาลประเภทอัตราดอกเบี้ยแปรผันตามการเปลี่ยนแปลงของเงินเฟ้อ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๒ (ILB217A) วงเงินประกาศจำหน่าย ๑๕,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท จำหน่ายได้ จำนวน ๑๓,๖๙๒.๐๐ ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าวงเงินที่ประกาศจำหน่าย จำนวน ๑,๓๐๘.๐๐ ล้านบาท (๑๕,๐๐๐.๐๐-๑๓,๖๙๒.๐๐ ล้านบาท) ทำให้วงเงินจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาล ๓ รุ่น ปรับลดจาก จำนวน ๓๙,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท เป็นจำนวน ๓๗,๖๙๒.๐๐ ล้านบาท (๓๙,๐๐๐.๐๐-๑,๓๐๘.๐๐ ล้านบาท) ๓. กระทรวงการคลังได้นำเงินจากการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาล จำนวน ๓๗,๖๙๒.๐๐ ล้านบาท และเงินเหลือจ่ายจากงบชำระหนี้ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๓๖๗.๘๐ ล้านบาท ไปชำระคืนเงินกู้สำหรับโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ จำนวนรวม ๓๘,๐๕๙.๘๐ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||
2668 | รายงานการกู้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | กค | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการกู้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้นำเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังได้ลงนามในสัญญากู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท กับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ระยะเวลาการกู้เงิน ๔ ปี ระยะเวลาในการเบิกจ่ายเงินกู้ ๖ เดือน นับจากวันที่ลงนามในสัญญาเงินกู้ ซึ่งเป็นการกู้ในรูปแบบ Term Loan อัตราดอกเบี้ยร้อยละ Bibor+๐.๔๐ และ Bibor+๐.๔๓ คิดเป็นอัตราเฉลี่ย ร้อยละ ๓.๖๓ และ ๓.๖๖ ต่อปี ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ ได้มีการเบิกจ่ายเงินกู้สำหรับดำเนินโครงการตามพระราชกำหนดดังกล่าวเป็นวงเงินรวม ๑,๘๐๐ ล้านบาท ๒. หน่วยงานเจ้าของโครงการได้นำวงเงินกู้ดังกล่าวไปดำเนินการตามแผนงานการฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่า และระบบนิเวศ ซึ่งเป็นโครงการอนุรักษ์ป่าและดิน การทำฝาย เพื่อทำหน้าที่ปรับอัตราการไหลของน้ำหลากสูงสุด (peak discharge) อีกทั้งการดำเนินการในแผนงานฟื้นฟูและปรับปรุงประสิทธิภาพสิ่งก่อสร้าง ซึ่งแบ่งออกเป็นการป้องกันปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วนในพื้นที่ฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา และการป้องกันปัญหาอุทกภัยในระยะยาว ทั้งในส่วนของโครงการก่อสร้างและพัฒนาประสิทธิภาพประตูระบายน้ำและสถานีสูบน้ำ และโครงการปรับปรุงระบบเขื่อนป้องกันอุทกภัยในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อป้องกันหรือลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากเหตุอุทกภัยในพื้นที่แหล่งชุมชนและพื้นที่เศรษฐกิจ รวมถึงการดำเนินการตามแผนงานที่มีการกำหนดพื้นที่รับน้ำนองและมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการใช้พื้นที่ในการรับน้ำ โดย ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ โครงการดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จและอยู่ระหว่างดำเนินโครงการ ทั้งนี้ ผลที่ได้รับจากการกู้เงินภายใต้พระราชกำหนดนี้ ทำให้รัฐบาลสามารถดำเนินการตามความจำเป็นเร่งด่วนในการบูรณะและฟื้นฟูประเทศ ตลอดจนเยียวยาความเสียหายให้แก่ประชาชน รวมทั้งดำเนินการวางระบบการบริหารจัดการน้ำ โดยคาดว่าจะสามารถป้องกันการเกิดภัยพิบัติในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการประกอบอาชีพของประชาชนและผู้ลงทุน เพื่อการพัฒนา และรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
2669 | รายงานการกู้เงินโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการบริหารหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 ครั้งที่ 1 | กค | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการกู้เงินโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการบริหารหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๑ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ ตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๑ โดยวิธีการตกลงราคา จำนวนรวม ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท อายุ ๖ เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ ๓.๒๕ ต่อปี แบ่งเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกให้กับธนาคารออมสิน จำนวน ๒๕,๐๐๐ ล้านบาท และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน ๒๕,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวครบกำหนดชำระคืนต้นเงินในไตรมาสที่ ๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๕ แต่เนื่องจากเงินงบประมาณเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้ดังกล่าวไม่เพียงพอ จึงต้องดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้ขอบเขตพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ๒. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๑ จำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท ที่ครบกำหนดชำระคืนต้นเงินเมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๕ โดยใช้งบชำระหนี้ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑๘,๐๐๐ ล้านบาท สมทบกับการกู้เงินโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการบริหารหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๑ อีกจำนวน ๓๒,๐๐๐ ล้านบาท แบ่งเป็นตั๋วสัญญาที่ออกให้บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จำนวน ๒,๐๐๐ ล้านบาท บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จำนวน ๕๐๐ ล้านบาท บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด จำนวน ๑,๐๐๐ ล้านบาท บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จำนวน ๓,๐๐๐ ล้านบาท บริษัท อเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนลแอลชัวรันส์ จำกัด จำนวน ๒๒,๕๐๐ ล้านบาท บริษัท ไอเอ็นจี ประกันชีวิต จำกัด จำนวน ๘๐๐ ล้านบาท และสำนักงานประกันสังคม จำนวน ๒,๒๐๐ ล้านบาท ๓. ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการบริหารหนี้ที่ออกให้กับบริษัทประกันชีวิต และสำนักงานประกันสังคม มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ แบ่งเป็น รุ่นอายุ ๑๘ ปี อัตราดอกเบี้ยถัวเฉลี่ยเท่ากับร้อยละ ๓.๘๓๔ ต่อปี รุ่นอายุ ๒๕ ปี อัตราดอกเบี้ยถัวเฉลี่ยเท่ากับร้อยละ ๓.๙๕๕ ต่อปี และรุ่นอายุ ๓๕ ปี อัตราดอกเบี้ยถัวเฉลี่ยเท่ากับร้อยละ ๔.๒๗๑ ต่อปี ซึ่งกระทรวงการคลังได้ออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการบริหารหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๑ และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับประกาศและงานทั่วไป เล่ม ๑๒๙ ตอนพิเศษ ๑๕๒ ง ลงวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ แล้ว
|
|||||||||||||||||||||
2670 | การปรับปรุงหลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีปฏิบัติในการเปิดเผยราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการ | กค | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการปรับปรุงหลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีปฏิบัติในการเปิดเผยราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการ ตามมติคณะกรรมการกำกับหลักเกณฑ์และตรวจสอบราคากลางงานก่อสร้าง ในการประชุมเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕ และการกำหนดเงื่อนไขรายละเอียดราคากลางงานก่อสร้างในเอกสารสอบราคา เอกสารประกวดราคา หรือเอกสารประกวดราคาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ตามมติคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ หลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีปฏิบัติในการเปิดเผยราคากลางก่อสร้างของทางราชการ ให้นำรายละเอียดการคำนวณราคากลางตาม BOQ. (Bill of Quantities) ซึ่งเป็นรายงานการคำนวณราคากลางที่ผู้มีหน้าที่คำนวณราคากลางได้จัดทำขึ้นตามข้อกำหนดตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างและที่หัวหน้าส่วนราชการได้ให้ความเห็นชอบแล้วไปประกาศเปิดเผย โดยปรับปรุงแนวทางและวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้าง ในส่วนของการเปิดเผยราคากลาง (ข้อ ๒๐) จากที่กำหนดไว้เดิมเป็น “๒๐. ในการจ้างก่อสร้างทุกครั้ง ให้หน่วยงานที่จะมีการจ้างก่อสร้างประกาศเปิดเผยข้อมูลราคากลาง ทางเว็บไซต์ของหน่วยงาน และเว็บไซต์ของกรมบัญชีกลาง (www.gprocurement.go.th) โดยแนบรายละเอียดการคำนวณราคากลางตาม BOQ. (Bill of Quantities) ซึ่งผู้มีหน้าที่คำนวณราคากลางได้จัดทำขึ้นตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างและหัวหน้าส่วนราชการได้ให้ความเห็นชอบแล้วเป็นเอกสารหรือเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ (CD-ROM) เพื่อให้ผู้สนใจสามารถตรวจดูและหรือดาวน์โหลดไปตรวจดูได้พร้อมกับการประกาศสอบราคา ประกาศประกวดราคา หรือตามที่กำหนดสำหรับการจัดจ้างก่อสร้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือการจัดจ้างก่อสร้างด้วยวิธีการอื่น ทั้งนี้ รายละเอียดการคำนวณราคากลางตาม BOQ. (Bill of Quantities) ที่ต้องประกาศเปิดเผยดังกล่าว ให้หมายถึงรายละเอียดการคำนวณราคากลางตามแบบฟอร์ม ได้แก่ กรณีงานก่อสร้างอาคาร หมายถึง แบบฟอร์ม ปร. ๔, ปร. ๔ (พ), ปร. ๕ (ก). ปร. ๕ (ข) และ ปร. ๖ กรณีงานก่อสร้างทาง สะพาน และท่อเหลี่ยม หมายถึง แบบฟอร์มสรุปราคากลางงานก่อสร้างทาง สะพาน และท่อเหลี่ยม และกรณีงานก่อสร้างชลประทาน หมายถึง แบบฟอร์มสรุปราคากลางงานก่อสร้างชลประทาน” ๑.๒ การกำหนดเงื่อนไขรายละเอียดราคากลางงานก่อสร้างในเอกสารสอบราคา เอกสารประกวดราคา หรือเอกสารประกวดราคาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ๑.๒.๑ การจ้างก่อสร้างตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้นำรายละเอียดการคำนวณราคากลางตาม BOQ. (Bill of Quantities) ตามแบบฟอร์มข้างต้น กำหนดไว้ในตัวอย่างเอกสารประกวดราคาจ้างในส่วนของเอกสารแนบท้ายเอกสารประกวดราคา โดยกำหนดเพิ่มเติมเป็น “ข้อ ๑.๘ รายละเอียดการคำนวณราคากลางงานก่อสร้างตาม BOQ. (Bill of Quantities) (รายละเอียดการคำนวณราคากลางงานก่อสร้างเป็นการเปิดเผยเพื่อให้ผู้ประสงค์จะเสนอราคาได้รู้ข้อมูลได้เท่าเทียมกันและเพื่อให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้) ข้อ ๑.๙ ...” ทั้งนี้ ให้นำหลักเกณฑ์ดังกล่าวไปกำหนดไว้ในเอกสารสอบราคาจ้างด้วย ๑.๒.๒ การจ้างก่อสร้างตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ ให้นำรายละเอียดการคำนวณราคากลางตาม BOQ. (Bill of Quantities) ตามแบบฟอร์มข้างต้นกำหนดไว้ในตัวอย่างเอกสารประกวดราคาจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ในส่วนของเอกสารแนบท้ายเอกสารประกวดราคาจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์โดยกำหนดเพิ่มเติมเป็น “ข้อ ๑.๑๐ รายละเอียดการคำนวณราคากลางงานก่อสร้างตาม BOQ. (Bill of Quantities) (รายละเอียดการคำนวณราคากลางงานก่อสร้างเป็นการเปิดเผยเพื่อให้ผู้ประสงค์จะเสนอราคาได้รู้ข้อมูลได้เท่าเทียมกัน และเพื่อให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้) ข้อ ๑.๑๑ ...ฯลฯ...” โดยให้กำหนดรายละเอียดการคำนวณราคากลางงานก่อสร้างดังกล่าวในขั้นตอนของการจัดทำเอกสารประกาศเชิญชวน ๑.๒.๓ สำหรับการเปิดเผยข้อมูลราคากลางงานก่อสร้างที่เว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (www.gprocurement.go.th) ให้ปฏิบัติตามคู่มือการเปิดเผยข้อมูลราคากลางงานก่อสร้างในระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP) ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ www.gprocurement.go.th หัวข้อข่าวจัดซื้อจัดจ้างและหัวข้อดาวน์โหลดแนะนำ ๒. รับทราบความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินการปรับปรุงหลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีปฏิบัติในการเปิดเผยราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการ ตามที่ปลัดกระทรวงการคลัง และรองปลัดกระทรวงการคลัง (นางสาวสุภา ปิยะจิตติ) รายงาน ๓. คณะรัฐมนตรียืนยันการดำเนินนโยบายป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐอย่างจริงจังเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการและให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง การทบทวนมติคณะรัฐมนตรี (เรื่อง การให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการจัดทำข้อมูลรายละเอียดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างโดยเฉพาะราคากลางและการคำนวณราคากลางไว้ในระบบข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าตรวจดูได้และการกำหนดมาตรการที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม)] และให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) พร้อมด้วยปลัดกระทรวงการคลัง ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ และเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเข้าหารือกับประธานกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการที่รัฐบาลได้ดำเนินการไปแล้ว รวมทั้งปัญหาอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้น และพิจารณาแนวทางที่จะร่วมกันดำเนินการต่อไป เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ และให้รายงานผลการหารือต่อคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน |
|||||||||||||||||||||
2671 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (นายวิรุณ เกตุประกอบ) | กค | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายวิรุณ เกตุประกอบ เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย แทนนายเฉลิมชัย จีนะวิจารณะ ที่ขอลาออก เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างลง ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๔ ธันวาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป โดยให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
2672 | การแต่งตั้งรองประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (นายชวลิต ชูขจร และนางฤชุกร สิริโยธิน) | กค | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งรองประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร แทนกรรมการเดิมที่เกษียณอายุ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๔ ธันวาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป โดยให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายชวิลต ชูขจร รองประธานกรรมการ ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แทนนางสาวสุพัตรา ธนเสนีวัฒน์ ๒. นางฤชุกร สิริโยธิน กรรมการ ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย แทนนางสาวดวงมณี วงศ์ประทีป
|
|||||||||||||||||||||
2673 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารออมสิน (จำนวน 14 ราย 1. นางชูจิรา กองแก้ว ฯลฯ) | กค | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการออมสิน จำนวน ๑๔ คน แทนประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารออมสินเดิมที่จะครบวาระในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ (๔ ธันวาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป สำหรับกรณีนายวุฒิพงศ์ วิบูลย์วงศ์ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการอัยการเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นางชูจิรา กองแก้ว ประธานกรรมการ ๒. นายสุธรรม ศิริทิพย์สาคร กรรมการ ๓. นายวัชรา ตันตริยานนท์ กรรมการ (ต่ออีกวาระหนึ่ง) ๔. นายอำนวย ปรีมนวงศ์ กรรมการ (ต่ออีกวาระหนึ่ง) ๕. นางสาวจุฬารัตน์ สุธีธร กรรมการ ๖. นางสาวนงลักษณ์ พินัยนิติศาสตร์ กรรมการ ๗. นายวุฒิพงศ์ วิบูลย์วงศ์ กรรมการ ๘. ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ กรรมการ ๙. นายศรกวี ปูรณโชติ กรรมการ ๑๐. นายประเสริฐ หลุยเจริญ กรรมการ ๑๑. นายขวัญชัย วงศ์นิติกร กรรมการ ๑๒. นายประภาศ คงเอียด กรรมการ ๑๓. นายชัยธวัช เสาวพนธ์ กรรมการ ๑๔. นายสุรชัย โฆษิตเสรีวงค์ กรรมการ
|
|||||||||||||||||||||
2674 | ร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | กค | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ปรับปรุงโครงสร้างผู้ถือหุ้นและกรรมการของบริษัทเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ธุรกิจประกันภัย ๑.๒ กำหนดให้กองทุนชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ซึ่งมีสิทธิได้รับชำระหนี้ที่เกิดจากการเอาประกันภัยแทนบริษัทที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์และการใช้จ่ายเงินของกองทุนให้เหมาะสมขึ้น ๑.๓ กำหนดให้กองทุนมีอำนาจในการกู้ยืมเงิน หรือออกตราสารทางการเงินอื่นตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการบริหารกองทุนกำหนด และเป็นผู้ชำระบัญชีตามที่คณะกรรมการแต่งตั้ง รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมที่มาของกองทุนให้เหมาะสมด้วย ๑.๔ เพิ่มบทกำหนดโทษคณะกรรมการบริษัทที่ไม่ส่งมอบบัญชีและเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ทั้งหมดของบริษัทให้แก่ผู้ชำระบัญชีภายในเจ็ดวัน ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแก้ไขถ้อยคำในร่างมาตรา ๓ (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๙ วรรคสาม) แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างมาตรา ๓ (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๑๐ วรรคสาม) แห่งพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... จาก “... รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ...” เป็น “... รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการ ...” ตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||
2675 | การกู้เงินของธนาคารอาคารสงเคราะห์ ปีงบประมาณ 2556 | กค | 20/11/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กู้เงินในประเทศในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๔,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อทดแทนพันธบัตรเดิมที่ครบกำหนด โดยกระทรวงการคลังค้ำประกัน ๑.๒ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน และการค้ำประกันในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ๒. ให้กระทรวงการคลัง และ ธอส. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำแผนงานและแนวทางในการบริหารจัดการความไม่สอดคล้องของระยะเวลาระหว่างสินทรัพย์และหนี้สินเพื่อลดความเสี่ยงทางด้านสภาพคล่องของธนาคาร ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินรูปแบบใหม่ที่เน้นการขยายระยะเวลาของหนี้สินจากระยะสั้นเป็นระยะกลางถึงยาวให้มากขึ้น รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์ที่มีอยู่ให้สามารถรองรับการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและตามภารกิจหลักของธนาคาร ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
2676 | ร่างพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 48 (1) แห่งพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551) | กค | 20/11/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดห้ามมิให้สถาบันการเงินไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้สินเชื่อทำธุรกรรมที่มีลักษณะคล้ายการให้ สินเชื่อ หรือประกันหนี้แก่กรรมการ ผู้จัดการ รองผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการ หรือผู้ซึ่งมีตำแหน่งเทียบเท่าที่เรียกชื่ออย่างอื่น ผู้มีอำนาจในการจัดการของสถาบันการเงิน หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลดังกล่าว เว้นแต่เป็นการให้สินเชื่อในรูปของบัตรเครดิตตามอัตราขั้นสูงที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนด หรือการให้สินเชื่อเพื่อเป็นสวัสดิการแก่บุคคลดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ที่ ธปท. ประกาศกำหนด เมื่อเห็นว่าการให้สินเชื่อนั้นไม่ได้เป็นการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินออกจากสถาบันการเงินโดยมิชอบ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในประเด็นการขัดกันของผลประโยชน์ระหว่างกรรมการหรือผู้บริหารระดับสูงของสถาบันการเงินกับสถาบันการเงิน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาในรายละเอียดสาระสำคัญของกฎหมาย และหลักเกณฑ์ที่ ธปท. จะประกาศกำหนด รวมทั้งระเบียบปฏิบัติอื่นที่ใช้บังคับกับสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. ๒๕๕๑ ที่จะได้รับผลกระทบภายหลังการแก้ไขเพิ่มเติมในครั้งนี้ โดยรักษามาตรฐานการกำกับดูแลให้อยู่ในระดับสากล โดยเฉพาะการกำกับดูแลธุรกรรมที่เกิดขึ้นระหว่างสถาบันการเงินประเภทต่าง ๆ เช่น ธนาคารพาณิชย์ บริษัทหลักทรัพย์ และบริษัทประกันภัย เป็นต้น เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของสถาบันการเงินและระบบการเงินโดยรวม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
2677 | การกู้เงินเพื่อการบริหารหนี้เงินกู้ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ปีงบประมาณ 2556 | กค | 20/11/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กู้เงินในประเทศในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ วงเงินไม่เกิน ๑๑๓,๗๙๘ ล้านบาท เพื่อ Roll Over เงินกู้โครงการรับจำนำผลิตผลทางการเกษตร ปีการผลิต ๒๕๕๑/๕๒ ที่จะครบกำหนดชำระคืน โดยมีกระทรวงการคลังค้ำประกัน รัฐบาลรับภาระชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยจากการกู้เงินและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริงจากการดำเนินการ Roll Over ทั้งหมด ๑.๒ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันเงินกู้ในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำแผนบริหารจัดการระบายผลผลิตทางการเกษตรและแผนการบริหารเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินโครงการรับจำนำผลิตผลทางการเกษตร เพื่อให้โครงการรับจำนำฯ มีเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งลดภาระงบประมาณในการชดใช้ดอกเบี้ยและภาระการค้ำประกันเงินกู้ของรัฐบาล และให้กระทรวงการคลังบริหารจัดการการค้ำประกันเงินกู้ของภาครัฐ โดยให้ความสำคัญกับโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน เนื่องจากภายใต้กรอบวงเงินค้ำประกันเงินกู้ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่ ๔๘๐,๐๐๐ ล้านบาท มีวงเงินคงเหลือที่รัฐบาลสามารถค้ำประกันเงินกู้ได้อีกเพียงจำนวน ๗๙,๑๓๐ ล้านบาท ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
2678 | การกำหนดค่าตอบแทนกรรมการบริษัท สินเชื่อไปรษณีย์ไทย จำกัด | กค | 20/11/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการกำหนดค่าตอบแทนกรรมการให้บริษัท สินเชื่อไปรษณีย์ไทย จำกัด (สปณ.) อยู่ในรัฐวิสาหกิจกลุ่มที่ ๓ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๗ (เรื่อง การปรับปรุงอัตราเบี้ยกรรมการรัฐวิสาหกิจ) โดยให้กรรมการได้รับเบี้ยประชุมในอัตราไม่เกินคนละ ๖,๐๐๐ บาทต่อเดือน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินการตามข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๔ เรื่อง ขอยกเลิกโครงการไปรษณีย์เพื่อสินเชื่อรายย่อย เพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ และใช้เป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจตามภารกิจใหม่ได้โดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
2679 | ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | กค | 20/11/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๑.๑ กำหนดหลักเกณฑ์การนำของเข้าเพื่อการผ่านแดนการถ่ายลำออกนอกราชอาณาจักร และอำนาจของพนักงานศุลกากรในการตรวจสอบ ตรวจค้นของผ่านแดนหรือของถ่ายลำ ๑.๑.๒ กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการร้องขอให้อธิบดีกรมศุลกากรพิจารณากำหนดราคาของของนำเข้า กำหนดถิ่นกำเนิดของของที่จะนำเข้ามาในราชอาณาจักร และตีความพิกัดอัตราศุลกากรเพื่อจำแนกของของในพิกัดอัตราศุลกากรเป็นการล่วงหน้า ๑.๑.๓ กำหนดอำนาจของอธิบดีกรมศุลกากรในการจำกัดการใช้อำนาจทางศุลกากรเพื่อตรวจของและป้องกันการลักลอบหนีศุลกากร ๑.๑.๔ กำหนดหลักเกณฑ์การใช้ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ในการศุลกากร ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๒.๑ กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศกำหนดอัตราอากรตามราคาหรือตามสภาพ เพื่อปฏิบัติตามข้อผูกพันตามสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศที่เป็นประโยชน์แก่การเศรษฐกิจของประเทศ ๑.๒.๒ กำหนดอำนาจของอธิบดีกรมศุลกากรในการพิจารณากำหนดถิ่นกำเนิดของของที่จะนำเข้ามาในราชอาณาจักรตามที่ระบุไว้ในสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศเป็นการล่วงหน้า ก่อนการนำของเข้ามาในราชอาณาจักร ๑.๒.๓ กำหนดอำนาจของอธิบดีกรมศุลกากรในการพิจารณาตีความพิกัดอัตราศุลกากรเพื่อจำแนกประเภทของของที่จะนำเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการล่วงหน้า ก่อนการนำของเข้ามาในราชอาณาจักร ๑.๒.๔ กำหนดประเภทของของที่ได้รับยกเว้นอากรเพิ่มขึ้น ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายศุลกากรในประเด็นอื่น ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าการลงทุน เช่น กำหนดบทลงโทษทางศุลกากรให้เหมาะสม โดยแยกฐานความผิดตามเจตนาการหลีกเลี่ยงภาษีอากร รวมถึงการทบทวนมาตรการการให้เงินสินบนและรางวัลนำจับ เป็นต้น รวมทั้งควรประชาสัมพันธ์และสร้างความรู้ความเข้าใจการปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชบัญญัติฯ ทั้ง ๒ ฉบับ ให้กับผู้ประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบโดยทั่วถึง เพื่อให้สามารถใช้สิทธิประโยชน์ที่พึงได้รับและปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
2680 | รายงานการสอบบัญชีและงบการเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการและบริษัทย่อย ปี 2554 และข้อเสนอแนะจากการประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิก ปี 2555 | กค | 20/11/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการสอบบัญชีและงบการเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการและบริษัทย่อย ปี ๒๕๕๔ และข้อเสนอแนะจากการประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิก ปี ๒๕๕๕ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา ๘๒ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบงบการเงินของ กบข. ซึ่งประกอบด้วย งบดุล ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ งบรายได้ ค่าใช้จ่าย งบแสดงการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์สุทธิและงบกระแสเงินสด สำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันของปี ๒๕๕๔ โดยมีความเห็นว่า งบการเงินดังกล่าวแสดงฐานะการเงิน ผลการดำเนินงาน การเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์สุทธิ และกระแสเงินสดของ กบข. โดยถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป ทั้งนี้ กบข. มีฐานะการเงินสรุปได้ว่า มีสินทรัพย์รวม ๕๒๖,๕๑๕,๔๙๙,๓๔๙ บาท หนี้สินรวม ๓,๔๖๐,๑๒๐,๘๙๕ บาท และสินทรัพย์สุทธิ ๕๒๓,๐๕๕,๓๗๘,๔๕๔ บาท ๒. เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ กบข. ได้จัดให้มีการประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิกประจำปี ๒๕๕๕ ซึ่งที่ประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิกฯ ได้พิจารณารายงานผลการดำเนินงานฐานะการเงิน และการรับจ่ายเงินของกองทุนและได้แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ สอบถามเกี่ยวกับการนำเงินไปลงทุนและรายการรายจ่ายเกี่ยวกับการบริหารงาน ซึ่งคณะกรรมการและผู้บริหารได้ตอบคำถามให้สมาชิกทราบ และจะได้นำคำถามและคำตอบเผยแพร่ให้สมาชิกได้ทราบผ่านช่องทางสื่อสารต่าง ๆ ของ กบข. ต่อไป และติดตามความคืบหน้าในการแก้ไขสูตรการคำนวณบำนาญสำหรับสมาชิก กบข. อยากให้ดำเนินการให้เร็วและให้ กบข. ช่วยผลักดัน รวมทั้งเสนอแนะเรื่องการจัดการประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิก โดยขอให้ทบทวนระยะเวลาในการประชุม การกำหนดคุณสมบัติและบทบาทของผู้แทนสมาชิก และเสนอให้มีการประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้น
|
.....