ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 137 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 2721 - 2740 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2721 | โครงการบรรพชาอุปสมบทหมู่เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จำนวน 80 รูป น้อมถวายเป็นพระราชกุศลเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ | กค | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้พนักงานของรัฐและพนักงานรัฐวิสาหกิจที่เข้าร่วมอุปสมบทในโครงการบรรพชาอุปสมบทหมู่เฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา จำนวน ๘๐ รูป น้อมถวายเป็นพระราชกุศลเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ไม่ถือเป็นวันลา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
2722 | รายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม - ธันวาคม 2554) ธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม - ธันวาคม ๒๕๕๔) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยรายงานดังกล่าวประกอบด้วย
๑. ส่วนที่ ๑ ภาวะเศรษฐกิจ ๒. ส่วนที่ ๒ การดำเนินงานของ ธปท. ประกอบด้วย ๒.๑ แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายการเงิน ๒.๒ แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายสถาบันการเงิน ได้แก่ ๒.๒.๑ ภาพรวมการดำเนินนโยบายด้านสถาบันการเงินในช่วงหลังของปี ๒๕๕๔ ๒.๒.๒ การดำเนินนโยบายเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงให้กับระบบสถาบันการเงิน ๒.๒.๓ การเตรียมความพร้อมสถาบันการเงินเพื่อรองรับการปฏิบัติตามมาตรฐานสากล ๒.๒.๔ การดำเนินนโยบายเพื่อแก้ไขและบรรเทาปัญหาเร่งด่วนเพื่อบรรเทาภาระของธนาคารพาณิชย์ ผู้ประกอบธุรกิจ และประชาชน จากเหตุอุทกภัย ๒.๒.๕ การดำเนินนโยบายการพัฒนาระบบสถาบันการเงินเพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพในระบบการเงิน ๒.๒.๖ การดำเนินนโยบายสถาบันการเงินในเวทีระหว่างประเทศ ๒.๒.๗ การกำกับตรวจสอบสถาบันการเงินในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๔ ๒.๒.๘ การทำหน้าที่เป็นนายธนาคารของสถาบันการเงินของ ธปท. ๒.๓ แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายระบบการชำระเงินที่สำคัญ ได้แก่ ๒.๓.๑ การดำเนินนโยบายด้านระบบการชำระเงิน ๒.๓.๒ การพัฒนาระบบการหักบัญชีเช็คด้วยภาพเช็ค ๒.๓.๓ การกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
|
||||||||||||||||||||||||
2723 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 | กค | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ภายใต้โครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๕ รุ่น วงเงินรวม ๗๑,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ได้แก่ ๑.๑ พันธบัตรรัฐบาลประเภทอัตราดอกเบี้ยแปรผันตามการเปลี่ยนแปลงของเงินเฟ้อในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๒ (ILB217A) จำนวน ๓๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๒ พันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ พ.ศ. ๒๕๕๒) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๒ (LB326A) จำนวน ๗,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๓ พันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ พ.ศ. ๒๕๕๒) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๓ (LB176A) จำนวน ๑๖,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๔ พันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ พ.ศ. ๒๕๕๒) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๔ (LB193A) จำนวน ๑๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๕ พันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ ประเภทอัตราดอกเบี้ยลอยตัว (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ พ.ศ. ๒๕๕๒) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๑ (LB165A) จำนวน ๘,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ๒. พันธบัตรรัฐบาลฯ ทั้ง ๕ รุ่น เริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๕ สิ้นสุดวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ โดยมีพันธบัตรรัฐบาลฯ จำนวน ๒ รุ่นที่จำหน่ายได้ไม่ครบตามวงเงินที่ประกาศ ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ประเภทอัตราดอกเบี้ยลอยตัว (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ พ.ศ. ๒๕๕๒) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๑ (LB165A) ได้รับจัดสรรวงเงิน จำนวน ๔,๔๐๐.๐๐ ล้านบาท จากวงเงินที่ประกาศจำหน่าย จำนวน ๘,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท และพันธบัตรรัฐบาลประเภทอัตราดอกเบี้ยแปรผันตามการเปลี่ยนแปลงของเงินเฟ้อในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๒ (ILB217A) ได้รับจัดสรรวงเงิน จำนวน ๒๒,๑๘๐.๐๐ ล้านบาท จากวงเงินที่ประกาศจำหน่าย จำนวน ๓๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ทำให้วงเงินจำหน่ายปรับลดจากจำนวน ๗๑,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท เป็นจำนวน ๕๙,๕๘๐.๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ การจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลทั้ง ๕ รุ่น และประกาศปรับลดวงเงินการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลฯ จำนวน ๒ รุ่น ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ๓. ภายหลังการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลฯ ในแต่ละครั้ง กระทรวงการคลังได้นำเงินที่ได้จากการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลฯ ไปชำระคืนเงินกู้สำหรับโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง จำนวน ๕๙,๕๘๐.๐๐ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
2724 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นายธวัช นิ่มนวลศรี) | กค | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายธวัช นิ่มนวลศรี ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (นักวิชาการคอมพิวเตอร์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
2725 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป. ลาว สำหรับโครงการพัฒนาถนนจากเมืองหงสา - บ้านเชียงแมน (เมืองจอมเพชร แขวงหลวงพระบาง) สปป.ลาว | กค | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินโครงการพัฒนาถนนจากเมืองหงสา - บ้านเชียงแมน (เมืองจอมเพชร แขวงหลวงพระบาง) สปป.ลาว ทั้งนี้ เพื่อให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการศึกษา สำรวจออกแบบรายละเอียดการก่อสร้างให้เสร็จเรียบร้อย แล้วนำผลศึกษาประมาณราคาค่าใช้จ่ายเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติรูปแบบ วิธีการ และเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือทางการเงินที่เหมาะสมแก่โครงการดังกล่าวต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดย สพพ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรหารือกับ สปป.ลาว กำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์เส้นทางคมนาคมอย่างยั่งยืน อาทิ การวางระบบและจัดหาเครื่องมือกำกับดูแลน้ำหนักของรถบรรทุก การพัฒนาศักยภาพการบำรุงรักษาเส้นทาง การจัดตั้งสถานีบริการน้ำมัน และจุดแวะพักริมทาง โดยอาจพิจารณากำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขในสัญญาเงินกู้ เพื่อให้การใช้ประโยชน์จากเส้นทางที่ได้รับการพัฒนาจากความช่วยเหลือของประเทศไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2726 | การแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร | กค | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร โดยมีอธิบดีกรมสรรพสามิต เป็นประธานกรรมการ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานหรือผู้แทน และที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต กรมสรรพสามิต เป็นรองประธานกรรมการ กรรมการอื่นอีก ๑๓ คน โดยมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการตรวจสอบสรรพสามิต กรมสรรพสามิต เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่กำกับ ดูแล ให้การปฏิบัติตามโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง เกิดความรัดกุม และมีประสิทธิภาพ ประสานงานกับหน่วยงานและบุคคลต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมการดำเนินงานและเพื่อแก้ไขปัญหาที่อาจมีขึ้นจากการดำเนินโครงการ ประเมินผลโครงการ และรายงานผลของโครงการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติทราบ และมีอำนาจขอข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการเชิญมาประชุมชี้แจงเมื่อมีความจำเป็น ตลอดจนมีอำนาจแต่งตั้งคณะที่ปรึกษา คณะอนุกรรมการ คณะทำงาน หรือบุคคล เพื่อให้ดำเนินการเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้เพิ่มผู้แทนจากศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลเป็นกรรมการในคณะกรรมการดังกล่าวด้วย เพื่อประโยขน์ต่อการประสานงานในภาพรวมระหว่างคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักรกับหน่วยงานในศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ตามความเห็นของกระทรวงกลาโหม โดยกระทรวงการคลังไม่ต้องออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าวอีก |
||||||||||||||||||||||||
2727 | รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 3 ปีงบประมาณ 2555 | กค | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๓ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ (เมษายน - มิถุนายน ๒๕๕๕) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า มีมูลค่านำเข้ารวม ๖๗๑.๘๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (เมษายน - มิถุนายน ๒๕๕๔) จำนวน ๑๑๕.๒๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๒๐.๗๐ ๒. มูลค่าการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า เปรียบเทียบกับมูลค่านำเข้ารวมของสินค้าทุกชนิดในไตรมาสที่ ๓ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ (๖๒,๗๗๖.๕๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ) มูลค่านำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ ๑.๐๗ ของมูลค่านำเข้ารวม ๓. มูลค่านำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยในช่วงไตรมาสที่ ๓ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีมูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้น ๑๑ กลุ่มสินค้า ตั้งแต่ร้อยละ ๓.๑๒ ถึง ๔๓.๔๐ ๔. สินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ น้ำหอมและเครื่องสำอาง มูลค่านำเข้า ๑๑๕.๓๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๒๒.๔๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๒๔.๑๗ เลนส์ มูลค่านำเข้า ๘๙.๙๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๒๐.๕๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๒๙.๖๓ กระเป๋าหนังและเข็มขัดหนัง มูลค่านำเข้า ๘๔.๙๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๒๒.๑๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๓๕.๓๕ ๕. สินค้าฟุ่มเฟือยในไตรมาสที่ ๓ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้น ๑๑ กลุ่มสินค้า เมื่อเปรียบเทียบ (ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ) กับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และ ๕ อันดับแรก ที่มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ ไฟแช็คและอุปกรณ์ ผลไม้ กล้องถ่ายรูปและอุปกรณ์ สูท เสื้อ กระโปรง กางเกงสำหรับบุรุษ สตรี เด็กชาย เด็กหญิง และเนคไท กระเป๋าหนังและเข็มขัดหนัง มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๔๓.๔๐, ๓๙.๔๒, ๓๙.๓๕, ๓๕.๓๖ และ ๓๕.๓๕ ตามลำดับ
|
||||||||||||||||||||||||
2728 | การรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2555 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2555 | กค | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานะหนี้สาธารณะของประเทศ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ มีหนี้สาธารณะคงค้าง จำนวน ๔,๔๗๓,๒๐๖.๘๘ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๑.๔๓ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) แบ่งเป็นหนี้ของรัฐบาลกู้โดยตรง จำนวน ๓,๒๖๘,๓๙๙.๘๑ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน จำนวน ๑,๐๓๖,๐๘๒.๒๗ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) จำนวน ๑๖๒,๕๔๔.๘๐ ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ จำนวน ๖,๑๘๐.๐๐ ล้านบาท ส่วนหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินไม่มีหนี้คงค้าง ๒. คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะได้จัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และปรับปรุงแผนฯ ในระหว่างปี เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการใช้เงินกู้และบริหารหนี้ โดยหลังการปรับปรุงแผนในครั้งที่ ๒ ทำให้วงเงินรวมในแผนฯ ที่จะบริหารจัดการมีจำนวนทั้งสิ้น ๒,๒๔๒,๐๓๙.๔๘ ล้านบาท และในช่วงระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการกู้เงินและบริหารหนี้แล้ว เป็นวงเงินทั้งสิ้น ๔๘๐,๗๓๔.๓๕ ล้านบาท ๓. การดำเนินงานในช่วง ๖ เดือนแรกของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ (ตุลาคม ๒๕๕๔ - มีนาคม ๒๕๕๕) ประกอบด้วย แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงินรวม ๑๗๑,๐๖๖.๒๒ ล้านบาท การก่อหนี้ใหม่ของรัฐวิสาหกิจ วงเงินรวม ๖๓,๑๕๓.๑๖ ล้านบาท แผนการปรับโครงสร้างหนี้ วงเงินรวม ๒๘๗,๐๙๖.๓๘ ล้านบาท แผนการบริหารความเสี่ยง วงเงินรวม ๒,๔๕๒.๐๐ ล้านบาท แผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ วงเงินรวม ๑๐,๑๑๙.๗๕ ล้านบาท และแผนการก่อหนี้ใหม่ของหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ : สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) กู้เงินจำนวน ๑๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ๔. สรุปผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ในช่วง ๖ เดือนแรกของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการบริหารและจัดการหนี้สาธารณะตามกรอบแผนฯ เป็นจำนวน ๔๖๐,๖๑๔.๖๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒๑.๙๕ ของแผนฯ โดยผลการกู้เงินและบริหารจัดการหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ รวมทั้งสิ้น ๑๐,๑๑๙.๗๕ ล้านบาท และผลการกู้เงินของหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ เป็นจำนวนทั้งสิ้น ๑๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ การกู้เงินและการบริหารหนี้ตามแผนฯ แบ่งเป็นหนี้ของรัฐบาล จำนวน ๓๓๙,๙๔๑.๕๔ ล้านบาท หนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน จำนวน ๑๐๓,๐๔๐.๐๐ ล้านบาท หนี้ที่กระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน จำนวน ๒๓,๔๔๙.๗๕ ล้านบาท และการกู้ต่อจากกระทรวงการคลัง จำนวน ๑๔,๓๐๓.๐๖ ล้านบาท ผลของการบริหารหนี้ที่ได้ดำเนินการทั้งในส่วนของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๒๙๑,๗๑๘.๓๘ ล้านบาท สามารถลดยอดหนี้ได้ทั้งสิ้น ๓๑,๙๒๒.๘๕ ล้านบาท ประหยัดดอกเบี้ยได้ จำนวน ๙๕๓.๑๖ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
2729 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. .... | กค | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงแก้ไขระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้ส่วนราชการและจังหวัดต่าง ๆ สามารถดำเนินการในการแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินและสามารถตรวจสอบติดตามการใช้จ่ายเงินทดรองราชการได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้รับข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรีไปประกอบการพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ การประกาศให้ท้องที่ใดที่เกิดภัยพิบัติเป็นเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน โดยให้อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยหรือผู้ว่าราชการจังหวัดร่วมกับคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัด (ก.ช.ภ.จ.) เป็นผู้ใช้ดุลยพินิจ รวมทั้งให้อำนาจใช้จ่ายเงินทดรองราชการ ภายในวงเงินไม่เกิน ๑๐ ล้านบาท ในเชิงป้องกันหรือยับยั้งภัยพิบัติที่คาดหมายว่าจะเกิดภัยพิบัติขึ้นในเวลาอันใกล้และจำเป็นต้องรีบแก้ไขโดยฉับพลันได้ โดยไม่ต้องประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือ นั้น เห็นควรพิจารณาความเหมาะสมของระดับภัยพิบัติและความเชื่อมโยงกับข้อมูลของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ด้วย ๒.๒ ควรเพิ่มผู้แทนหน่วยงานที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติโดยตรง เช่น ผู้แทนของกระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง กรมเจ้าท่า และการรถไฟแห่งประเทศไทย) ร่วมเป็นกรรมการใน ก.ช.ภ.จ. ด้วย ๒.๓ ให้พิจารณาถึงความเหมาะสมในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพและการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยที่กำหนดให้จ่ายในลักษณะเหมาจ่าย โดยให้คำนึงถึงวงเงินและต้องทำความเข้าใจกับประชาชนเป็นสำคัญ
|
||||||||||||||||||||||||
2730 | การเร่งรัดการก่อหนี้รายจ่ายลงทุน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | กค | 11/09/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และภาพรวมการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๑ ผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑,๘๕๔,๓๔๖ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗๗.๙๑ ของวงเงินงบประมาณ จำนวน ๒,๓๘๐,๐๐๐ ล้านบาท และประมาณการว่าสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จะมีการเบิกจ่ายได้ประมาณร้อยละ ๘๙.๔๐ ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายตามมติคณะรัฐมนตรี (ร้อยละ ๙๓.๐๐) อยู่ร้อยละ ๓.๖๐ โดยมีการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำ จำนวน ๑,๖๓๖,๗๖๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๘๓.๑๗ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๑,๙๖๗,๙๐๕ ล้านบาท และเบิกจ่ายในส่วนของรายจ่ายลงทุน จำนวน ๒๑๗,๕๗๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๒.๘๐ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๔๑๒,๐๙๕ ล้านบาท และประมาณการว่าสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จะมีการเบิกจ่ายได้ประมาณร้อยละ ๖๓.๕๑ ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายตามมติคณะรัฐมนตรี (ร้อยละ ๗๒.๐๐) อยู่ร้อยละ ๘.๔๙ ๑.๒ ภาพรวมการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ สิ้นสุด ณ กรกฎาคม ๒๕๕๕ รัฐวิสาหกิจ จำนวน ๔๘ แห่ง มีการเบิกจ่าย จำนวน ๙๖,๘๒๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒๖.๔๙ ของวงเงินเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจทั้งหมด และจากการประมาณผลการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ คาดว่ารัฐวิสาหกิจที่ใช้ปีงบประมาณ (สิ้นสุด ณ กันยายน ๒๕๕๕) และรัฐวิสาหกิจที่ใช้ปีปฏิทิน (สิ้นสุด ณ ธันวาคม ๒๕๕๕) จะสามารถเบิกจ่ายงบลงทุนประมาณ ๒๘๓,๗๙๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗๗.๖๔ ๒. ปัญหาอุปสรรคและสถานะปัจจุบันของรายการภายใต้งบประมาณรายจ่ายลงทุน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ยังไม่ได้ก่อหนี้ และคาดว่าไม่สามารถดำเนินการได้ตามระยะเวลาที่กำหนด และขอผ่อนผันการก่อหนี้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ๒.๑ งบประมาณรายจ่ายลงทุนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ส่วนราชการได้รับจัดสรรตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ แต่ปัจจุบันยังไม่ก่อหนี้และเบิกจ่าย จำนวนทั้งสิ้นประมาณ ๑๒๕,๑๓๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๓๑.๓๙ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุน จำนวน ๓๙๘,๖๖๘ ล้านบาท (ไม่รวมรัฐวิสาหกิจ กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา) โดยมีปัญหาอุปสรรคที่ทำให้ส่วนราชการยังไม่สามารถก่อหนี้รายจ่ายลงทุนได้ คือ ความไม่พร้อมของส่วนราชการ มีการยกเลิกการประกวดราคาเนื่องจากผู้ประกอบการขาดแคลนวัสดุก่อสร้างขึ้นราคา ทำให้เสนอราคาสูงกว่างบประมาณที่ได้รับ และความซ้ำซ้อนของงานโครงการที่ดำเนินการในพื้นที่เดียวกัน ๒.๒ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ได้รับจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๓๒๐ หน่วยงาน มีส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจแจ้งขอผ่อนผันการก่อหนี้ เนื่องจากปัจจุบันมีโครงการและรายการที่ยังไม่ได้ก่อหนี้และคาดว่าไม่สามารถดำเนินการได้ทันภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ จำนวนทั้งสิ้น ๒๑๕ หน่วยงาน จำนวน ๒,๐๔๔ รายการ จำนวนเงิน ๗๕,๒๒๐ ล้านบาท ๓. หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการเตรียมการจัดหาพัสดุก่อนพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประกาศใช้ที่คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ และคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ได้ซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการเตรียมการจัดหาพัสดุ
|
||||||||||||||||||||||||
2731 | การดำเนินการรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลก โครงการ Capacity Support for the Design and Operation of the Independent Budget Research Office within the King Prajadhipok's Institute | กค | 11/09/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
๑. รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ขออนุมัติใช้วิธีการอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทในหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลกโครงการ Capacity Support for the Design and Operation of the Independent Budget Research Office within the King Prajadhipok''s Institute) สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงการคลังมีหนังสือถึงธนาคารโลกเพื่อขอให้พิจารณาปรับปรุงข้อกำหนดในสัญญาเกี่ยวกับวิธีการอนุญาโตตุลาการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ซึ่งธนาคารโลกได้มีหนังสือชี้แจงว่า ไม่สามารถปฏิบัติตามความเห็นของกระทรวงยุติธรรมที่ให้กำหนดในหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือฯ เนื่องจากข้อตกลงดังกล่าวบังคับใช้กับทุกประเทศสมาชิก จึงไม่สามารถใช้กฎหมายของประเทศใดประเทศหนึ่งในกระบวนการอนุญาโตตุลาการได้ ทั้งนี้ ตามกระบวนการของธนาคารโลกกรณีหากเกิดข้อพิพาทจะดำเนินการเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อให้ได้ข้อตกลงเห็นชอบร่วมกัน โดยข้อกำหนดของธนาคารโลกเป็นหลักเกณฑ์มาตรฐานเดียวกับที่ใช้กับประเทศสมาชิกอื่น ๆ ซึ่งที่ผ่านมากรณีความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลกที่ไม่ก่อให้เกิดภาระทางการคลังของรัฐบาลยังไม่เคยเกิดกรณีพิพาทและต้องใช้วิธีอนุญาโตตุลาการระหว่างหน่วยงานดำเนินโครงการและธนาคารโลก ๑.๒ กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เป็นผู้ลงนามในหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือฯ ในนามประเทศไทยร่วมกับหน่วยงานดำเนินโครงการ ซึ่ง สบน. ได้ประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานดำเนินโครงการและธนาคารโลก เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปตามระเบียบและหลักเกณฑ์ของทั้ง ๒ ฝ่าย และบรรลุผลตามวัตถุประสงค์โครงการ ทั้งนี้ ธนาคารโลกจะติดตามประเมินผลความก้าวหน้าของโครงการ และจะรายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการมายัง สบน. เป็นระยะ ๆ จนสิ้นสุดการดำเนินโครงการ ๑.๓ กระทรวงการคลังจะรับความเห็นของกระทรวงยุติธรรมเกี่ยวกับการคัดเลือกบุคคลเพื่อทำหน้าที่อนุญาโตตุลาการไปดำเนินการในกรณีเกิดข้อพิพาท ทั้งนี้ หากมีการแต่งตั้งบุคคลเพื่อเป็นคณะอนุญาโตตุลาการในกรณีเกิดข้อพิพาทขึ้น กระทรวงการคลังจะขอความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงกระทรวงยุติธรรม และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติก่อน ๒. อนุมัติให้กระทวงการคลัง โดย สบน. ลงนามในหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลกโครงการ Capacity Support for the Design and Operation of the Independent Budget Research Office within the King Prajadhipok’s Institute ในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และเพื่อให้สถาบันพระปกเกล้าซึ่งเป็นหน่วยดำเนินโครงการสามารถรับดำเนินโครงการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2732 | การแต่งตั้งองค์ประกอบคณะผู้แทนรัฐบาลไทยและการแต่งตั้งคณะผู้แทนฯ สำหรับการเจรจาจัดทำอนุสัญญาหรือความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนระหว่างไทยกับต่างประเทศ | กค | 11/09/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติองค์ประกอบของคณะผู้แทนรัฐบาลไทยสำหรับการเจรจาจัดทำอนุสัญญาหรือความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนระหว่างไทยกับต่างประเทศ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งคณะผู้แทนรัฐบาลไทยสำหรับการเจรจาจัดทำอนุสัญญาหรือความตกลงฯ ทั้งภายในและภายนอกประเทศในแต่ละครั้งได้ โดยให้เป็นไปตามองค์ประกอบคณะผู้แทนรัฐบาลไทยฯ ดังนี้ ๑.๑ การเจรจาภายในประเทศ ได้แก่ อธิบดีหรือรองอธิบดีกรมสรรพากร หรือที่ปรึกษาฯ กรมสรรพากร หัวหน้าคณะ ผู้อำนวยการสำนักวิชาการแผนภาษี กรมสรรพากร หรือผู้แทน จำนวน ๑ คน ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย กรมสรรพากร หรือผู้แทน จำนวน ๑ คน เจ้าหน้าที่สำนักวิชาการแผนภาษี กรมสรรพากร จำนวนไม่เกิน ๔ คน ผู้แทนสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง จำนวน ๑ คน ผู้แทนกรมสนธิสัญญาและกฎหมายกระทรวงการต่างประเทศ จำนวน ๑ คน และผู้แทนกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ จำนวน ๑ คน ๑.๒ การเจรจาภายนอกประเทศ ได้แก่ อธิบดีหรือรองอธิบดีกรมสรรพากร หรือที่ปรึกษาฯ กรมสรรพากร หัวหน้าคณะ ผู้อำนวยการสำนักวิชาการแผนภาษี กรมสรรพากร หรือผู้แทน จำนวน ๑ คน ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย กรมสรรพากร หรือผู้แทน จำนวน ๑ คน เจ้าหน้าที่สำนักวิชาการแผนภาษี กรมสรรพากร จำนวนไม่เกิน ๒ คน ผู้แทนสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง จำนวน ๑ คน ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศจากสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำ (หรือมีเขตรับผิดชอบถึง) ประเทศที่จะเจรจาด้วยจำนวน ๑ คน ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดขอบเขตและอำนาจหน้าที่ของคณะผู้แทนฯ ให้ชัดเจน และควรประสานกับกระทรวงการต่างประเทศในการเร่งรัดการดำเนินการทางการทูต เพื่อให้อนุสัญญาภาษีซ้อนที่ลงนามไปแล้วกับประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะกับประเทศในอาเซียนให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว ไปพิจารณาด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2733 | แนวทางการดำเนินการตามโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 4 และโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการใหม่ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2555 | กค | 04/09/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางในการดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๔ (โครงการ PGS ระยะที่ ๔) และโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการใหม่ (โครงการ PGS New/Start-up SMEs) ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ภายใต้กรอบงบประมาณที่ได้รับจัดสรรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ (เรื่อง มาตรการเพิ่มขีดความสามารถ SMEs) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จากกรอบงบประมาณที่ได้รับจัดสรรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ ในการดำเนินโครงการ PGS ระยะที่ ๔ และโครงการ PGS New/Start-up SMEs ซึ่งไม่ครบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ หาก บสย. ต้องดำเนินการโครงการทั้งสองก็จะส่งผลกระทบทางการเงินของ บสย. ดังนี้ ๑.๑ โครงการ PGS ระยะที่ ๔ บสย. จะจ่ายค่าประกันชดเชยให้กับสถาบันการเงินสูงสุดไม่เกินร้อยละ ๑๘ ของภาระค้ำประกันเฉลี่ยตลอดระยะเวลาโครงการ โดยแหล่งที่มาของเงินค่าประกันชดเชย ประกอบด้วย ร้อยละ ๑๕ มาจากรายได้จากการดำเนินโครงการ แบ่งเป็น ร้อยละ ๘.๗๕ เป็นส่วนที่มาจากรายได้ค่าธรรมเนียมค้ำประกันตามระยะเวลาโครงการ ๕ ปี (ร้อยละ ๑.๗๕*๕ ปี) และร้อยละ ๖.๒๕ (๑๕ - ๘.๗๕) เป็นส่วนที่รัฐบาลจะสนับสนุนส่วนต่างค่าประกันชดเชยให้ ส่วนอีกร้อยละ ๓ ที่เหลือ (๑๘ - ๑๕) เป็นส่วนที่ บสย. ต้องรับผิดชอบเอง ซึ่งในกรณีที่ บสย. ต้องชดเชยความเสียหายสูงสุด บสย. จะขาดทุนจากการดำเนินโครงการ จำนวน ๗๒๐ ล้านบาท ๑.๒ โครงการ PGS New/Start-up SMEs บสย. จะจ่ายค่าประกันชดเชยให้กับสถาบันการเงินสูงสุดไม่เกินร้อยละ ๔๘ ของภาระค้ำประกันเฉลี่ยตลอดระยะเวลาโครงการ โดยแหล่งที่มาของเงินค่าประกันชดเชย ประกอบด้วย ร้อยละ ๓๐ มาจากรายได้จากการดำเนินโครงการ แบ่งเป็น ร้อยละ ๑๒.๒๕ เป็นส่วนที่มาจากรายได้ค่าธรรมเนียมค้ำประกันตามระยะเวลาโครงการ ๗ ปี (ร้อยละ ๑.๗๕*๗ ปี) และร้อยละ ๑๗.๗๕ (๓๐ - ๑๒.๒๕) เป็นส่วนที่รัฐบาลจะสนับสนุนส่วนต่างค่าประกันชดเชยให้ ส่วนอีกร้อยละ ๑๘ ที่เหลือ (๔๘ - ๓๐) เป็นส่วนที่ บสย. ต้องรับผิดชอบเอง ซึ่งในกรณีที่ บสย. ต้องชดเชยความเสียหายสูงสุด บสย. จะขาดทุนจากการดำเนินโครงการ จำนวน ๑,๘๐๐ ล้านบาท ๒. บสย. ได้ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขโครงการ PGS ระยะที่ ๔ และโครงการ PGS New/Start-up SMEs โดยปรับลดอัตราการจ่ายค่าประกันชดเชยของโครงการทั้งสอง ดังนี้ โครงการ PGS ระยะที่ ๔ จากเดิมไม่เกินร้อยละ ๑๘ เป็นไม่เกินร้อยละ ๑๕ และโครงการ PGS New/Start-up SMEs จากไม่เกินร้อยละ ๔๘ เป็นไม่เกินร้อยละ ๓๐ ซึ่งการดำเนินการตามแนวทางนี้ยังคงถือว่าเป็นการปฏิบัติภายใต้กรอบมติคณะรัฐมนตรี เนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบอัตราการจ่ายค่าประกันชดเชยไว้สูงสุดไม่เกินร้อยละ ๑๘ และร้อยละ ๔๘
|
||||||||||||||||||||||||
2734 | รายงานผลการลงนามในสัญญาเงินกู้โครงการปรับปรุงถนนในนครหลวง เวียงจันทน์ เพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย - ยุโรป (ASEM Summit) ครั้งที่ 9 | กค | 04/09/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการลงนามในสัญญาเงินกู้ระหว่างสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) กับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) สำหรับโครงการปรับปรุงถนนในนครหลวงเวียงจันทน์ เพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย - ยุโรป (ASEM Summit) ครั้งที่ ๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สพพ. ได้ดำเนินการลงนามในสัญญากู้เงินกับธนาคารออมสิน เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เพื่อนำไปให้กู้ต่อแก่ สปป.ลาว โดยมีเงื่อนไขทางการเงิน ๑.๑ วงเงินกู้ จำนวน ๑๙๐.๗๐ ล้านบาท ๑.๒ อัตราดอกเบี้ยลอยตัวเท่ากับอัตราต่ำสุดของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน บวกส่วนต่างร้อยละ ๑.๖๕ ต่อปี (เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยทุก ๖ เดือน ปัจจุบันคิดเป็นดอกเบี้ยร้อยละ ๔.๐๒๕) ๑.๓ อายุเงินกู้ ๑๐ ปี (นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา) ๑.๔ ระยะเวลาการเบิกเงิน ๒ ปี (นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา) ๒. สพพ. ได้ลงนามในสัญญาเงินกู้กับรัฐบาล สปป.ลาว สำหรับโครงการฯ เมื่อวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๕ โดยมีเงื่อนไขทางการเงิน ๒.๑ วงเงินกู้ จำนวน ๑๙๐.๗๐ ล้านบาท ๒.๒ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑.๕ ต่อปี ๒.๓ อายุสัญญา ๒๐ ปี (รวมระยะเวลาปลอดหนี้ ๕ ปี) ๒.๔ กำหนดชำระดอกเบี้ย วันที่ ๒๐ พฤษภาคม และ ๒๐ พฤศจิกายน ของทุกปี ๒.๕ การชำระคืนเงินกู้ เริ่มชำระคืนวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐ และสิ้นสุดวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๗๔ ๒.๖ ระยะเวลาสิ้นสุดการเบิกจ่าย วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||||||||
2735 | ขออนุมัติให้เอกชนร่วมงานในโครงการพัฒนาที่ดินบริเวณพื้นที่สยามสแควร์บางส่วน (อาคารกลุ่ม L) ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 | กค | 04/09/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการให้เอกชนเข้าร่วมงานในโครงการพัฒนาที่ดินบริเวณพื้นที่สยามสแควร์บางส่วน (อาคารกลุ่ม L) ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้จัดสรรพื้นที่สยามสแควร์บางส่วน (อาคารกลุ่ม L) ไว้เป็นพื้นที่สำหรับประกอบกิจกรรมเชิงพาณิชย์ในรูปแบบอาคารสูงขนาด ๓๔ ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ ๘๐,๐๐๐ ตารางเมตร ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้รับข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลังไปพิจารณาดำเนินการด้วย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพิจารณาปรับปรุงหลักการคิดประเมินผลประโยชน์ตอบแทนนอกเหนือจากค่าเช่าที่ดินของโครงการ โดยกำหนดให้มีผลตอบแทนในลักษณะส่วนแบ่งรายได้จากกิจกรรมเชิงพาณิชย์ประเภทต่าง ๆ ของโครงการในกรณีที่โครงการมีรายได้สูงกว่าที่ประมาณการไว้เช่นเดียวกับโครงการพัฒนาบริเวณแยกปทุมวัน (MBK) และโครงการโรงแรมโนโวเทลสยามสแควร์ รวมทั้งกำหนดให้มีการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนการได้สิทธิ (Upfront) เพื่อสร้างความมั่นใจและเป็นหลักประกันการดำเนินโครงการของเอกชน ๑.๒ ที่ตั้งของโครงการอยู่ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจ หากมีการใช้ประโยชน์และเปิดบริการเชิงพาณิชย์เต็มพื้นที่จะมีผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมาก ส่งผลต่อปัญหาการจราจรในโครงข่ายถนนโดยรอบ จึงควรพิจารณาลดผลกระทบดังกล่าว โดยอาจประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการวางแผนการจัดการจราจรที่เหมาะสม และในขั้นตอนการออกแบบโครงการ ควรกำหนดเงื่อนไขให้เอกชนจัดทำแผนการลดผลกระทบการจราจรบริเวณโดยรอบโครงการดังกล่าว รวมทั้งจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ตามขั้นตอนของกฎหมาย และให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลการดำเนินการตามมาตรการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของโครงการอย่างเคร่งครัดด้วย ๒. ให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่เสนอไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด การเปิดโอกาสให้เอกชนเสนอรูปแบบการพัฒนาที่เหมาะสม การคัดเลือกเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ของโครงการ การให้ความสำคัญกับการจัดทำแผนการบริหารจัดการพื้นที่จอดรถและการสัญจรภายในโครงการ โดยมีการออกแบบทางเข้า - ออกโครงการ และจุดรับส่งรถบัสขนาดใหญ่อย่างเหมาะสม รวมทั้งจัดหาพื้นที่จอดรถอย่างพอเพียง การสรรหาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการบริหารจัดการโครงการเชิงพาณิชย์และสร้างความร่วมมือกับเอกชนในการถ่ายทอดองค์ความรู้ในการบริหารจัดการกิจการเชิงพาณิชย์รูปแบบต่าง ๆ การจัดพื้นที่สีเขียวและพื้นที่จัดกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ เช่น สวนสาธารณะ และศูนย์การเรียนรู้สำหรับประชาชน นอกจากนี้ ให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ พิจารณาหลักเกณฑ์ และแนวทางการจัดทำ Market Sounding ที่เหมาะสม เพื่อใช้เป็นคู่มือในการปฏิบัติงานของหน่วยงานต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2736 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นางจิตรมณี สุวรรณพูล) | กค | 04/09/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางจิตรมณี สุวรรณพูล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาฐานภาษี (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
2737 | การผ่อนผันการก่อหนี้รายจ่ายลงทุน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | กค | 04/09/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาการผ่อนผันการก่อหนี้รายจ่ายลงทุน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจส่งเรื่องขอผ่อนผันการก่อหนี้รายจ่ายลงทุน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ถึงกรมบัญชีกลาง จำนวน ๒๕๕ หน่วยงาน จำนวน ๒,๐๘๙ รายการ จำนวนเงิน ๘๙,๗๒๑.๓๙ ล้านบาท ผ่อนผันให้ทุกรายการสามารถดำเนินการต่อไปได้ โดยต้องเร่งรัดก่อหนี้ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ หากไม่แล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าวต้องขอผ่อนผันมาที่กรมบัญชีกลาง ซึ่งจะพิจารณาความเป็นไปได้ในการก่อหนี้ ถ้าไม่สามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ให้งบประมาณพับไป ๒. ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ไม่แจ้งขอผ่อนผันการก่อหนี้รายจ่ายลงทุน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๗๓ หน่วยงาน วงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุน จำนวน ๓๕,๔๑๕.๖๑ ล้านบาท ประธานกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐได้สั่งการให้กรมบัญชีกลางระงับการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนของหน่วยงานดังกล่าวแล้วตั้งแต่วันที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๕ หากหน่วยงานมีความประสงค์จะขอดำเนินการต่อไป ให้ขอผ่อนผันพร้อมชี้แจงเหตุผลความจำเป็นเสนอต่อประธานกรรมการติดตามเร่งรัดฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2738 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับตราสารศุกูกและ รองรับการออกตราสารศุกูกในรูปแบบใบทรัสต์) | กค | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. แก้ไขเพิ่มเติมในข้อ ๒ ของกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ เกี่ยวกับบทนิยามของคำว่า “ใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์แบบ ข” “ใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์แบบ ค” และ “ใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์แบบ ง” เพื่อขยายขอบเขตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ของใบอนุญาตประเภทที่กล่าวให้รวมถึงตราสารศุกูกและใบทรัสต์ ๒. กำหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์แบบ ข และผู้ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการค้าหลักทรัพย์ และการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์อันเป็นตราสารแห่งหนี้ ตามกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ที่ได้รับอยู่ก่อนวันที่ร่างกฎกระทรวงฉบับนี้มีผลใช้บังคับ สามารถประกอบธุรกิจหลักทรัพย์สำหรับหลักทรัพย์ที่เป็นตราสารศุกูกได้ ๓. กำหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์แบบ ค และ แบบ ง และผู้ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ การค้าหลักทรัพย์ หรือการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ที่เป็นหน่วยลงทุน ตามกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ที่ได้รับอยู่ก่อนวันที่ร่างกฎกระทรวงฉบับนี้มีผลใช้บังคับ สามารถประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ที่เป็นใบทรัสต์ที่มีลักษณะทำนองเดียวกับกองทุนรวมได้
|
||||||||||||||||||||||||
2739 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 [มาตรการภาษีและค่าธรรมเนียมของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund)] | กค | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๗ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕๑ (พ.ศ. ๒๕๔๙) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ดังนี้
๑. กำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์กรณีกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเป็นผู้รับโอนหรือเป็นผู้โอน ร้อยละ ๐.๐๑ แต่อย่างสูงไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ๒. กำหนดค่าจดทะเบียนการจำนอง กรณีกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเป็นผู้ขอจดทะเบียน ร้อยละ ๐.๐๑ แต่อย่างสูงไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ๓. กำหนดค่าจดทะเบียนการเช่า กรณีกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเป็นผู้เช่า ผู้เช่าช่วง ผู้ให้เช่า หรือผู้ให้เช่าช่วง ร้อยละ ๐.๐๑ แต่อย่างสูงไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
|
||||||||||||||||||||||||
2740 | รายงานผลการดำเนินการของกระทรวงการคลังในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย | กค | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ซึ่งกระทรวงการคลังได้กำหนดมาตรการด้านต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือฯ รวมทั้งมาตรการช่วยเหลือฯ ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๔ วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๔ และวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. มาตรการด้านการเงิน ประกอบด้วย ๑.๑ สินเชื่อเพื่อภาคการเกษตร ดำเนินการโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จำนวน ๑ โครงการ คือ สินเชื่อฟื้นฟูการประกอบอาชีพรายละไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท วงเงินสินเชื่อรวม ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ สินเชื่อเพื่อภาคเคหะ ดำเนินการโดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ร่วมกับธนาคารออมสิน จำนวน ๑ โครงการ คือ มาตรการสินเชื่อสำหรับการเคหะ วงเงินสินเชื่อรวม ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๓ สินเชื่อเพื่อธุรกิจ SMEs มีมาตรการที่ให้ความช่วยเหลือ จำนวน ๓ โครงการ วงเงินสินเชื่อรวม ๑๖๒,๐๐๐ ล้านบาท ได้แก่ มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำโดยความร่วมมือของธนาคารออมสินและธนาคารพาณิชย์ วงเงินสินเชื่อรวม ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ประสบภัยพิบัติปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย วงเงินสินเชื่อรวม ๒,๐๐๐ ล้านบาท และการค้ำประกันสินเชื่อของอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม โดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม วงเงินค้ำประกันรวม ๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท (คาดว่าจะให้สินเชื่อได้ ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ๑.๔ สินเชื่อเพื่อรายย่อย มีมาตรการที่ให้ความช่วยเหลือ จำนวน ๓ โครงการ วงเงินสินเชื่อรวม ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท ได้แก่ มาตรการสินเชื่อสำหรับกลุ่มรายย่อย โดยธนาคารออมสิน วงเงินสินเชื่อรวม ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท มาตรการสินเชื่อรายย่อยสำหรับผู้ประสบอุทกภัย โดยสำนักงานประกันสังคม วงเงินสินเชื่อรวม ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท และมาตรการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน โดยสำนักงานประกันสังคม วงเงินสินเชื่อรวม ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๕ สินเชื่อเพื่อการพัฒนาระบบป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรม ดำเนินการโดยธนาคารออมสิน จำนวน ๑ โครงการ คือ มาตรการสินเชื่อเพื่อพัฒนาระบบป้องกันอุทกภัย วงเงินสินเชื่อรวม ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๖ การให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท ๒. มาตรการด้านภาษี ประกอบด้วย ๒.๑ ภาษีเงินได้ ได้แก่ การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลสำหรับเงินชดเชยที่ผู้ประสบอุทกภัยได้รับจากภาครัฐ การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นจำนวนเงินเท่ากับจำนวนความเสียหายที่ได้รับสำหรับผู้ประสบอุทกภัยที่ลงทะเบียนไว้กับศูนย์หรือหน่วยงานให้ความช่วยเหลือของทางราชการ การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับค่าสินไหมทดแทนที่ผู้ประสบอุทกภัยได้รับจากการประกันภัยเพื่อชดเชยความเสียหายดังกล่าวเฉพาะส่วนที่เกินมูลค่าต้นทุนของทรัพย์สินที่เหลือจากการหักค่าสึกหรอหรือค่าเสื่อมราคาแล้ว การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลสำหรับเงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับจากการบริจาคหรือชดเชยที่มีมูลค่าไม่เกินความเสียหาย รวมทั้งยกเว้นภาษีในส่วนของการบริจาคให้กับผู้ประสบอุทกภัยผ่านหน่วยงานส่วนราชการ องค์การของรัฐบาล องค์การหรือสถานสาธารณกุศล หรือผ่านเอกชนที่เป็นตัวแทนรับบริจาค ที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมสรรพากร เพื่อนำไปบริจาคต่อให้กับผู้ประสบอุทกภัย ผู้บริจาคสามารถนำมาหักเป็นค่าลดหย่อน/ค่าใช้จ่ายได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด ๒.๒ ภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่นำสินค้าไปบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ๒.๓ ภาษีศุลกากร ได้แก่ การยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบเครื่องจักร รวมถึงเครื่องมือและเครื่องใช้ที่ใช้กับเครื่องจักรดังกล่าวที่นำเข้ามาเพื่อทดแทนหรือซ่อมแซมเครื่องจักรที่ได้รับความเสียหายอันเนื่องมาจากอุทกภัย การยกเว้นอากรขาเข้ารถยนต์นั่งสำเร็จรูปเพื่อทดแทนการผลิตในประเทศ และการยกเว้นอากรขาเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ที่นำเข้ามาเพื่อผลิตหรือประกอบเป็นส่วนประกอบหรืออุปกรณ์ประกอบเป็นรถยนต์สำเร็จรูปในประเทศ ๒.๔ การขยายเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษี ได้แก่ การขยายเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ อากรแสตมป์ สำหรับผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร โดยให้สามารถนำไปยื่นแบบได้ภายในวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ และการขยายเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษีสรรพสามิตแก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม และผู้ประกอบกิจการสถานบริการที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ตามประกาศกระทรวงการคลัง โดยให้สามารถนำไปยื่นแบบได้ภายในวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ๓. มาตรการด้านการคลัง ประกอบด้วย ๓.๑ การอนุมัติให้จังหวัดต่าง ๆ และส่วนราชการขยายวงเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน และอนุมัติให้สามารถปฏิบัตินอกเหนือระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และหลักเกณฑ์และวิธีการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๑ ๓.๒ การขยายระยะเวลาและผ่อนปรนหลักเกณฑ์การกันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ไว้เบิกเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ผูกพันได้อีก ๖ เดือน จนถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ เพื่อให้ส่วนราชการสามารถเบิกจ่ายเงินตามระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในรายการเพื่อช่วยเหลือ แก้ไขและฟื้นฟูภายหลังเกิดอุทกภัย ๓.๓ การยกเว้นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัดสุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ สำหรับหน่วยงานภายใต้ระเบียบที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่จังหวัดมีประกาศภัยพิบัติในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปจนกว่าภัยพิบัติจะสิ้นสุดลง และการผ่อนคลายการจัดซื้อจัดจ้างสำหรับเงินนอกงบประมาณ รวมทั้งการเพิ่มความคล่องตัวในการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ สำหรับหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในงาน/โครงการ ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากเหตุอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะส่งผลเป็นการลดขั้นตอนดำเนินการ e-Auction จากเดิมต้องใช้เวลา ๘๕ วัน เหลือ ๒๘ วัน ๓.๔ การแจ้งให้ทุนหมุนเวียนทบทวนบทบาท หน้าที่ กรอบภารกิจและวัตถุประสงค์ของทุนหมุนเวียน ซึ่งหากอยู่ในข่ายที่สามารถให้ความช่วยเหลือกลุ่มผู้รับบริการที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติได้ ให้ดำเนินการสำรวจกลุ่มผู้รับบริการของทุนหมุนเวียนที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาน้ำท่วมและกำหนดแนวทางหรือมาตรการเยียวยาให้ความช่วยเหลือ ๓.๕ การให้ความช่วยเหลือผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวที่อยู่ในพื้นที่อุทกภัยหรือได้รับความเดือดร้อนจากเหตุอุทกภัยสามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยในสถานพยาบาลของทางเอกชนได้ทุกโรค ส่วนการเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของทางราชการประเภทผู้ป่วยนอก ให้ผู้มีสิทธิและสถานพยาบาลของทางราชการถือปฏิบัติเกี่ยวกับกรณีการสมัครขอใช้สิทธิในระบบเบิกจ่ายตรงสามารถใช้สิทธิได้ทันที ซึ่งจากเดิมต้องรอ ๑๕ วัน ๓.๖ การผ่อนผันให้ขยายระยะเวลาการส่งรายงานการเงินของส่วนราชการระดับกรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ผ่อนผันการส่งผลการประเมินการปฏิบัติงานด้านบัญชีของส่วนราชการระดับกรม ไตรมาสที่ ๔ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ผ่อนผันการส่งรายงานประจำเดือนจากระบบ GFMIS ประจำไตรมาสที่ ๑ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และผ่อนผันการส่งรายงานผลการประเมินการปฏิบัติงานด้านบัญชีของส่วนราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ไตรมาสที่ ๑ ๓.๗ การเลื่อนกำหนดระยะเวลาการจ่ายเงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยหวัด และบำนาญของข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว รวมทั้งค่าตอบแทนของพนักงานราชการ ของส่วนราชการต่าง ๆ ประจำเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม ๒๕๕๔ จากเดิม ก่อนวันทำการสุดท้ายของเดือน ๓ วันทำการ เป็นประจำเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ ให้จ่ายในวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ และประจำเดือนธันวาคม ๒๕๕๔ ให้จ่ายก่อนวันทำการสุดท้ายของเดือน ๕ วันทำการ ๔. มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเพิ่มเติม โดยให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างในภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๔ - วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๔ ให้ได้รับการขยายระยะเวลาของสัญญาออกไปอีก จำนวน ๑๘๐ วัน และการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างและผู้ประกอบการอื่นที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔ - วันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๕ กรณีเป็นสัญญาจ้างก่อสร้างหรือสัญญาประเภทอื่นที่มิใช่สัญญาจ้างก่อสร้าง ให้ขยายระยะเวลาของสัญญาออกไปอีก จำนวน ๑๘๐ วัน สำหรับสัญญาซื้อขาย ให้ขยายระยะเวลาออกไปอีก จำนวน ๑๒๐ วัน
|
.....