ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 132 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 2621 - 2640 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2621 | ผลกระทบของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 19 เรื่อง ผลประโยชน์ของพนักงานต่อธนาคารออมสิน | กค | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้ธนาคารออมสินนำค่าใช้จ่ายในอดีตที่ต้องตั้งทยอยรับรู้ตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ ๑๙ เรื่อง ผลประโยชน์ของพนักงานธนาคารออมสิน มาบวกกลับในกำไรสุทธิเพื่อคำนวณโบนัส สำหรับใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินนำส่งรายได้แผ่นดิน และการจัดสรรโบนัสพนักงาน และโบนัสคณะกรรมการธนาคารออมสิน ทั้งนี้ ในการดำเนินการตามหลักการดังกล่าว ธนาคารออมสินจะต้องมีกำไรสุทธิหน้างบการเงินที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบและรับรองเพียงพอในการจ่ายเงินนำส่งรายได้แผ่นดิน โบนัสพนักงาน และโบนัสกรรมการธนาคารออมสิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารออมสิน) รับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินการต้องไม่ก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันระหว่างรัฐวิสาหกิจที่เหลืออีก ๕๖ แห่ง และไม่ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจในภาพรวม รวมทั้งไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่ออัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงและภาระงบประมาณ และเมื่อธนาคารออมสินดำเนินการเรื่องนี้ครบระยะเวลา ๕ ปี แล้ว ธนาคารออมสินควรต้องพิจารณาทบทวนแนวทางการดำเนินการของธนาคารออมสินในระยะต่อไปให้เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2622 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการงดเว้นไม่เรียกเก็บภาษีสุราสำหรับสุรากลั่นชนิดสุราสามทับที่นำไปทำการแปลงสภาพเพื่อส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. .... | กค | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการงดเว้นไม่เรียกเก็บภาษีสุราสำหรับสุรากลั่นชนิดสุราสามทับที่นำไปทำการแปลงสภาพเพื่อส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้งดเว้นไม่เรียกเก็บภาษีสุราสำหรับสุรากลั่นชนิดสุราสามทับที่นำไปทำการแปลงสภาพเพื่อส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ตามวิธีการที่อธิบดีกำหนด ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2623 | รายงานการเงินแผ่นดินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 | กค | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอรายงานการเงินแผ่นดินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๐ ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบและรับรองแล้ว และให้นำเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน และงบรายได้และค่าใช้จ่าย สรุปได้ ดังนี้
๑. งบแสดงฐานะการเงิน ณ สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้แก่ ๑.๑ สินทรัพย์ จำนวน ๔,๗๐๔,๔๓๓.๑๖ ล้านบาท ประกอบด้วย สินทรัพย์หมุนเวียน จำนวน ๑๖๒,๙๓๙.๕๔ ล้านบาท และสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน จำนวน ๔,๕๔๑,๔๙๓.๖๒ ล้านบาท ๑.๒ หนี้สิน จำนวน ๒,๒๔๘,๐๕๔.๓๐ ล้านบาท ๑.๓ สินทรัพย์สุทธิ หรือส่วนทุน จำนวน ๒,๔๕๖,๓๗๘.๘๖ ล้านบาท ๒. งบรายได้และค่าใช้จ่าย ณ สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้แก่ ๒.๑ รายได้ จำนวน ๑,๖๑๗,๗๙๔.๑๙ ล้านบาท ๒.๒ ค่าใช้จ่าย จำนวน ๑,๕๓๒,๕๒๑.๑๗ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2624 | การค้ำประกันเงินกู้โครงการรับซื้อลำไยสดเพื่อแปรรูปและการตลาดลำไยอบแห้ง ปี 2547 | กค | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการค้ำประกันเงินกู้โครงการรับซื้อลำไยสดเพื่อแปรรูปและการตลาดลำไยอบแห้ง ปี ๒๕๔๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบและจัดทำข้อมูลโครงการที่เกี่ยวกับสินค้าเกษตรชนิดต่าง ๆ ที่คาดว่าอาจจะเป็นหนี้สูญ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป สำหรับผลการดำเนินการค้ำประกันเงินกู้โครงการฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ได้ประชุมร่วมกับผู้แทนสำนักงบประมาณ และผู้แทนองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ เพื่อพิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ของโครงการรับซื้อลำไยสดเพื่อแปรรูปและการตลาดลำไยอบแห้งปี ๒๕๔๗ ที่ประชุมมีมติ ๑.๑ เห็นชอบแนวทางการบริหารและจัดการการปรับโครงสร้างหนี้โครงการฯ เพื่อชำระหนี้สินให้แล้วเสร็จภายใน ๔ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ สิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ๑.๒ เห็นชอบให้ อ.ต.ก. ขยายระยะเวลาการกู้เงินกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในอัตราต่ำสุดของเงินฝากประจำ ๖ เดือน ประเภทบุคคลธรรมดาของ ๔ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (FDR) เฉลี่ย บวกร้อยละ ๑.๓๕ ต่อปี หรือต่ำกว่า ๑.๓ เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการค้ำประกัน เป็นระยะเวลา ๔ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ สิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ตามประมาณการการชำระหนี้ที่สำนักงบประมาณจะจัดสรรเงินงบประมาณให้สำหรับโครงการฯ จนเสร็จสิ้น ๑.๔ ให้กระทรวงการคลังเจรจาเงื่อนไขการกู้เงินกับธนาคารกรุงไทยฯ เพื่อนำเสนอกระทรวงการคลังลงนามแก้ไขสัญญากู้เงินต่อไป ๒. กระทรวงการคลังได้เจรจาต่อรองเงื่อนไขการขยายระยะเวลาการชำระหนี้และการค้ำประกันเงินกู้สำหรับโครงการฯ กับธนาคารกรุงไทยฯ และได้พิจารณาเห็นชอบการขยายระยะเวลาการค้ำประกันโครงการฯ แล้ว ๓. อ.ต.ก. ได้ลงนามในสัญญาเงินกู้กับธนาคารกรุงไทยฯ เพื่อขยายระยะเวลาการชำระหนี้และปรับอัตราดอกเบี้ย ตามเงื่อนไขดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้ ในส่วนของการค้ำประกัน กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการดำเนินการเสนอลงนามในสัญญาค้ำประกัน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2625 | การประเมินผลโครงการความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้านของ สพพ. | กค | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ผลการร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยการให้ความช่วยเหลือทางการเงินและทางวิชาการแก่ประเทศเพื่อนบ้านของสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) โดย ณ สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ สพพ. ได้ให้ความช่วยเหลือทางการเงินและทางวิชาการแก่ประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน คิดเป็นเงินรวมทั้งสิ้น ๑๐,๖๘๓.๗๐ ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน รวม ๑๘ โครงการ วงเงิน ๑๐,๕๔๗.๘๐ ล้านบาท และโครงการให้ความช่วยเหลือทางวิชาการ รวม ๒๐ โครงการ วงเงิน ๑๓๕.๙๐ ล้านบาท โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีโครงการที่แล้วเสร็จและครบกำหนดเวลาที่สามารถประเมินผลโครงการได้ จำนวน ๔ โครงการ คือ ๑.๑.๑ โครงการเชื่อมโยงคมนาคมระหว่างไทย-เมียนมาร์ จากเมียวดี-เชิงเขาตะนาวศรี (โครงการถนนเมียวดี) สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ๑.๑.๒ โครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟเชื่อมต่อระหว่างจังหวัดหนองคาย-ท่านาแล้ง (โครงการรถไฟท่านาแล้ง) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ๑.๑.๓ โครงการปรับปรุงสนามบินระหว่างประเทศวัดไต (โครงการสนามบินวัดไต) สปป.ลาว ๑.๑.๔ โครงการก่อสร้างร่องระบายน้ำฮ่องวัดไต (โครงการร่องระบายน้ำฮ่องวัดไต) สปป.ลาว ๑.๒ ผลการประเมินโครงการความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้านที่แล้วเสร็จทั้ง ๔ โครงการ พบว่า อยู่ในระดับดี-ดีมาก โดยทุกโครงการสอดคล้องกับความต้องการของประเทศเพื่อนบ้าน และนโยบายของไทยในการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งสนับสนุนการดำเนินงานภายใต้กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาค นอกจากนี้ ทุกโครงการก่อให้เกิดผลประโยชน์ทางตรงและทางอ้อมแก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่และผู้ใช้ประโยชน์จากโครงการ ๑.๓ ข้อเสนอแนวทางเชิงนโยบายในการร่วมมือเพื่อพัฒนากับประเทศเพื่อนบ้านของ สพพ. ในอนาคต เพื่อใช้เป็นแนวทางการดำเนินงานต่อไป ๑.๓.๑ ยุทธศาสตร์การร่วมมือเพื่อการพัฒนากับประเทศเพื่อนบ้านของ สพพ. ยังคงให้ความสำคัญกับ ๓ ด้านหลัก คือ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในการเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน และภูมิภาค (Connectivity) การสนับสนุนและส่งเสริมให้มีการขยายตัวทางด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว และการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน (Relationship) ๑.๓.๒ การร่วมมือเพื่อการพัฒนากับประเทศเพื่อนบ้านบริเวณชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน จะนำรูปแบบการพัฒนาโครงการเชื่อมโยงคมนาคมระหว่างไทย-เมียนมาร์ จากเมียวดี-เชิงเขาตะนาวศรี ซึ่งพัฒนาโครงข่ายถนน เพื่อเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งระหว่างกัน (Connectivity) มาเป็นแนวทางในการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อพัฒนาเป็นประตูการค้า (Gateway) สนับสนุนและส่งเสริมให้มีการขยายตัวทางด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว วัฒนธรรม และประเพณีระหว่างกัน ๑.๓.๓ การร่วมมือเพื่อการพัฒนาโดยการให้ความช่วยเหลือทางการเงินและทางวิชาการแก่ประเทศเพื่อนบ้านของประเทศไทย โดย สพพ. เป็นโอกาสหนึ่งที่สินค้าและบริการจากประเทศไทยสามารถกระจายไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน และเป็นการขยายกำลังการผลิตของประเทศไทยอีกทางหนึ่ง จึงสมควรให้หน่วยงานต่างๆ ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการไทยได้รับความสะดวกและรวดเร็วในพิธีการทางด้านการค้าระหว่างประเทศและการขนส่งสินค้าข้ามแดน ๒. ให้ สพพ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการพิจารณาให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่ประเทศเพื่อนบ้าน ควรให้ความสำคัญกับแผนงาน/โครงการซึ่งจะดำเนินการตามแนวระเบียงเศรษฐกิจต่าง ๆ และตามแนวชายแดนของประเทศเพื่อนบ้าน (Regional Investment Forum : RIF) ภายใต้กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Subregion : GMS) เป็นลำดับแรก และดำเนินการสำรวจและออกแบบรายละเอียดการก่อสร้าง พร้อมทั้งประมาณการวงเงินค่าใช้จ่ายและแหล่งเงินของโครงการแล้วเสร็จ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2626 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔ ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร ออกไปอีก ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2627 | การแต่งตั้งรองประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (จำนวน 13 คน 1. นายชวลิต ชูขจร ฯลฯ) | กค | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งรองประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จำนวน ๑๓ คน แทนกรรมการเดิมที่จะครบวาระในวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ดังนี้
๑. นายชวลิต ชูขจร รองประธานกรรมการ ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๒. นายมนัส แจ่มเวหา กรรมการ ผู้แทนกระทรวงการคลัง ๓. นายสมชาย ชาญณรงค์กุล กรรมการ ผู้แทนกรมส่งเสริมสหกรณ์ ๔. นายวีระชัย นาควิบูลย์วงศ์ กรรมการ ผู้แทนสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ๕. นางฤชุกร สิริโยธิน กรรมการ ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย ๖. นายประยูร รัตนเมธางกูร กรรมการ ผู้แทนสหกรณ์การเกษตรผู้ถือหุ้น ๗. นายสมหมาย กู้ทรัพย์ กรรมการ ๘. นายธนรัชต์ วิเชียรรัตน์ กรรมการ ๙. นายวีรพล ปานะบุตร กรรมการ ๑๐. นายวศิน ธีรเวชญาณ กรรมการ ๑๑. นายวิรัติ ศักดิ์จิรพาพงษ์ กรรมการ ๑๒. นายทวีป ตันพิพัฒนกุล กรรมการ ๑๓. นายยรรยง พวงราช กรรมการ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เป็นต้นไป สำหรับนายวีรพล ปานะบุตร อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีปกครอง สำนักงานอัยการสูงสุด ให้มีผลตั้งแต่วันที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการอัยการ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2628 | การปรับปรุงหลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีปฏิบัติในการเปิดเผยราคากลางของทางราชการ | กค | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีปฏิบัติในการเปิดเผยราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการ) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) พร้อมด้วยปลัดกระทรวงการคลัง รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน อธิบดีกรมบัญชีกลาง ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ และเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เข้าหารือร่วมกันกับประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ มาตรา ๑๐๓/๗ วรรคหนึ่ง เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ โดยที่ประชุมมีความเห็นร่วมกันว่า การเปิดเผยราคากลางตามพระราชบัญญัติฯ มีเจตนารมณ์มุ่งเน้นให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลราคากลางและตรวจสอบได้เป็นสำคัญ หากเกิดกรณีการจัดหาพัสดุชนิดเดียวกันแต่ราคากลางที่เปิดเผยแตกต่างกันจะต้องพิจารณาจากเจตนาและพฤติการณ์แวดล้อมของการได้มาของราคากลางนั้น ซึ่งกระทรวงการคลังได้แจ้งเวียนให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติในการเปิดเผยราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการแล้ว สำหรับการเปิดเผยราคากลางของการจัดซื้อจัดจ้างประเภทอื่นที่มิใช่งานก่อสร้าง เห็นควรให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาตามแนวทางการดำเนินการประกวดราคากลางและรายละเอียดการคำนวณราคากลางไว้ในระบบข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติกำหนด และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นของรัฐ รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นถือปฏิบัติตามแนวทางการเปิดเผยราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการ ตามที่กระทรวงการคลังกำหนด และแนวทางการเปิดเผยราคากลางเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างประเภทอื่นที่มิใช่งานก่อสร้าง ตามมติที่ประชุมหารือระหว่างกระทรวงการคลังและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ หากหน่วยงานใดมีความพร้อมให้ดำเนินการได้ทันที ส่วนหน่วยงานใดที่ยังไม่มีความพร้อมให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๑๘๐ วันนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐๓/๘ วรรคหนึ่ง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ ๓. ให้หน่วยงานที่ได้รับมอบหมายในการจัดทำหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางร่วมกับกระทรวงการคลังเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางยานอกบัญชียาหลักและเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางการจ้างที่ปรึกษา และสำนักงบประมาณดำเนินการกำหนดราคามาตรฐานโดยให้ครอบคลุมรายการครุภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ ทั้งนี้ ให้แจ้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีในเรื่องนี้ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2629 | การปรับโครงสร้างหนี้ต่างประเทศที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน | กค | 05/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบแนวทางการดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ต่างประเทศของรัฐวิสาหกิจ โดยให้กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อชำระหนี้แทนรัฐวิสาหกิจ ที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน โดยกระทรวงการคลังจะเป็นผู้พิจารณากู้เงินจากแหล่งเงินกู้และใช้เครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสมในการปรับโครงสร้างหนี้และชำระหนี้แทนรัฐวิสาหกิจ รวมถึงเจรจากับรัฐวิสาหกิจและแหล่งเงินกู้เพื่อกำหนดวันชำระหนี้ก่อนกำหนด โดยภายหลังจากที่ทราบกำหนดวันที่แน่นอนแล้ว กระทรวงการคลังจะประสานงานกับธนาคารแห่งประเทศไทยหรือธนาคารพาณิชย์เพื่อติดต่อขอซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าและเตรียมการกู้เงินเพื่อชำระคืนหนี้แทนรัฐวิสาหกิจเฉพาะในส่วนของเงินต้น ซึ่งรัฐวิสาหกิจจะต้องจัดหาเงินเพื่อชำระค่าดอกเบี้ยและเงินต้นบางส่วนที่กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อชำระหนี้แทนรัฐวิสาหกิจได้ไม่ครบตามจำนวน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ๒. เห็นชอบให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจัดหาเงินเพื่อชำระหนี้ในส่วนที่กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อชำระหนี้แทนได้ไม่ครบตามจำนวน รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ๓. เห็นชอบให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้แก่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเพื่อชำระหนี้คืนแก่แหล่งเงินกู้โดยตรงสำหรับเงินต้นและดอกเบี้ย รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยจัดหาเงินเองและส่วนที่กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้และชำระหนี้แทนสำหรับโครงการรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล โดยจัดสรรงบประมาณให้เป็นรายปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามกฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของกระทรวงการคลังที่จะได้ตกลงกับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2630 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นางสาวกรรณิการ์ เอกเผ่าพันธุ์) | กค | 05/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางสาวกรรณิการ์ เอกเผ่าพันธุ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง (เศรษฐกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2631 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรออมทรัพย์ และตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (R-bill) ที่ครบกำหนดในเดือนธันวาคม 2555 | กค | 05/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรออมทรัพย์ และตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (R-bill) ที่ครบกำหนดในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๓ รุ่น วงเงินรวม ๓๕,๓๕๐.๐๐ ล้านบาท และดำเนินการกู้เงินเพื่อชำระคืนเงินทดรองจ่ายจากการปรับโครงสร้างหนี้ในเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๒๔๕.๐๐ ล้านบาท รวมเป็นวงเงินการปรับโครงสร้างหนี้ในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ทั้งสิ้น ๓๕,๕๙๕.๐๐ ล้านบาท (๓๕,๓๕๐.๐๐+๒๔๕.๐๐) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
๑. ทดรองจ่ายเงินจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลัง (บัญชี Premium FIDF 1&3) จำนวน ๑๐,๕๐๐.๐๐ ล้านบาท และกู้เงินระยะสั้น จำนวน ๘,๕๐๐.๐๐ ล้านบาท เพื่อนำไปชำระหนี้ที่ครบกำหนด จำนวน ๓ รายการ จำนวนรวม ๑๙,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ได้แก่ ๑.๑ ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๑ งวดที่ F1/183/55 ที่ครบกำหนดในวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๘,๕๐๐.๐๐ ล้านบาท ชำระจากเงินทดรองจ่ายจากบัญชีเงินฝากทั้งจำนวน ๑.๒ พันธบัตรออมทรัพย์ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙ ครั้งที่ ๓ ที่ครบกำหนดในวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๒,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ชำระจากเงินทดรองจ่ายจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังทั้งจำนวน ๑.๓ ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดฯ ) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๑ งวดที่ F3/182/55 ที่ครบกำหนดในวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๘,๕๐๐.๐๐ ล้านบาท ชำระจากการกู้เงินระยะสั้นทั้งจำนวน ๒. กู้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ โดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) วงเงินรวม ๑๖,๕๙๕.๐๐ ล้านบาท อายุเงินกู้ไม่เกิน ๒ ปี อัตราดอกเบี้ยอ้างอิง [อัตราต่ำสุดของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน ประเภทบุคคลธรรมดาเฉลี่ย ๗ วัน ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ๔ แห่ง (FDR) ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย] บวกร้อยละ ๑.๐๐ ต่อปี และปรับอัตราดอกเบี้ยทุกงวด ๖ เดือน (ในวันที่ ๑๒ มิถุนายน และวันที่ ๑๒ ธันวาคม ของทุกปี) โดยนำไปชำระหนี้ที่ครบกำหนด จำนวน ๒ รายการ วงเงินรวม ๑๖,๓๕๐.๐๐ ล้านบาท รวมกับชำระคืนเงินทดรองจ่ายคงค้างจากการปรับโครงสร้างหนี้ในเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๒๔๕.๐๐ ล้านบาท รวมเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น ๑๖,๕๙๕.๐๐ ล้านบาท ซึ่งการชำระหนี้ที่ครบกำหนด จำนวน ๒ รายการ ได้แก่ ๒.๑ ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดฯ) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๑ งวดที่ F2/182/55 ที่ครบกำหนดในวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๗,๘๕๐.๐๐ ล้านบาท ๒.๒ ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดฯ) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๑ งวดที่ F4/182/55 ที่ครบกำหนดในวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๘,๕๐๐.๐๐ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2632 | ข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2556 | กค | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการเสนอขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑,๓๓๖.๐๖๓ ล้านบาท โดยมีประมาณการรายได้และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการสาธารณะ จำนวน ๒,๓๘๐.๓๓๒ ล้านบาท และจำนวน ๓,๗๑๖.๓๙๕ ล้านบาท ตามลำดับ ตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ เพื่อให้เป็นไปตามนัยข้อ ๗ (๓) ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. เร่งดำเนินการเกี่ยวกับแผนฟื้นฟูกิจการของ ขสมก. ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕) ที่ให้มีการวิเคราะห์เปรียบเทียบความเหมาะสม คุ้มค่าของทางเลือกในการลงทุนทั้งในระยะสั้นและระยะยาวครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด และมีการแยกต้นทุนและรายได้ของการให้บริการแต่ละประเภท โดยแสดงหนี้เดิมและหนี้ใหม่ที่เกิดจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐ และรายละเอียดที่เกี่ยวข้องอื่นให้ชัดเจน เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป ๓. ให้ ขสมก. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเร่งดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการที่ได้กำหนดยุทธศาสตร์ในการดำเนินการปรับปรุงการบริหารจัดการและการบริการเพื่อลดค่าใช้จ่าย เพิ่มรายได้ และเพิ่มคุณภาพในการให้บริการ รวมทั้งเร่งหาแนวทางปรับลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยควบคุมค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นเพื่อให้สอดคล้องกับเงินอุดหนุนที่ได้รับจริงและไม่ให้เกิดผลกระทบต่อฐานะการเงินและการลงทุนในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2633 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔ ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร ออกไปอีก ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2634 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2555 เรื่อง การจัดตั้งสำนักงานให้ความช่วยเหลือทางวิชาการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศในประเทศไทย | กค | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การจัดตั้งสำนักงานให้ความช่วยเหลือทางวิชาการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ) โดยให้เพิ่มเติมข้อความว่า คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้ยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๒๘ (เรื่อง การยกเลิกเอกสิทธิทางภาษีอากรสำหรับคนไทยในองค์การหรือสถาบันระหว่างประเทศ) ๑.๒ อนุมัติการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่พนักงาน เจ้าหน้าที่คนไทยที่ปฏิบัติหน้าที่ในสำนักงานของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) ในประเทศไทย ๒. ให้ถือเป็นการกำหนดข้อผูกพันเฉพาะสำหรับสำนักงานให้ความช่วยเหลือทางวิชาการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศในประเทศไทยเท่านั้น ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำและเป็นแนวปฏิบัติเดียวกันกับกรณีสำนักงานในประเทศไทยขององค์การสหประชาชาติและสถาบันการเงินระหว่างประเทศอื่นๆ รวมทั้งกรณีที่กระทรวงการคลังเสนอนี้ไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการสูญเสียรายได้จากภาษีเงินได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2635 | มาตรการทางภาษีและค่าธรรมเนียมจากการควบรวมกิจการตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ 2 | กค | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบมาตรการทางภาษีและค่าธรรมเนียมจากการควบรวมกิจการตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ ๒ โดยขยายระยะเวลาของมาตรการทางภาษีและค่าธรรมเนียมจากการควบรวมกิจการดังกล่าวต่อไปจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา จำนวน ๑ ฉบับ และเห็นชอบในหลักการร่างประกาศ จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ให้แก่ผู้ถือหุ้นของสถาบันการเงิน และยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ ให้แก่สถาบันการเงินเฉพาะการควบเข้ากันหรือโอนกิจการให้แก่กัน ที่ได้กระทำภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ ๒ ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ๒.๒ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน กรณีการควบรวมกิจการตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ ๒ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้เรียกเก็บค่าจดทะเบียนการโอนและค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์ กรณีที่มีทุนทรัพย์ ในอัตราร้อยละ ๐.๐๑ สำหรับสถาบันการเงินที่ควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนให้แก่กันตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ ๒ ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ตั้งแต่วันที่ประกาศมีผลใช้บังคับ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๒.๓ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด กรณีการควบรวมกิจการตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ ๒ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้เรียกเก็บค่าจดทะเบียนการโอนและค่าจดทะเบียนการจำนองห้องชุด กรณีที่มีทุนทรัพย์ ในอัตราร้อยละ ๐.๐๑ สำหรับสถาบันการเงินที่ควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนให้แก่กันตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ ๒ ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ตั้งแต่วันที่ประกาศมีผลใช้บังคับ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงคมนาคมดำเนินการยกร่างกฎหมายเพื่อลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ เครื่องจักร และรถที่อยู่ระหว่างการให้ลูกหนี้เช่าซื้อ และให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนการดำเนินการ และเร่งรัดการตรากฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการควบรวมกิจการและนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา เพื่อให้สามารถดำเนินการควบรวมกิจการได้โดยเร็ว รวมทั้งรวบรวมมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการลดหย่อน การให้สิทธิประโยชน์และค่าธรรมเนียม และวิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดจากการดำเนินมาตรการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2636 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ สำหรับการให้สวัสดิการการให้กู้ยืมแก่ข้าราชการตำรวจและลูกจ้าง) | กค | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้กิจการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เฉพาะการจัดสวัสดิการจากเงินกองกลางให้ข้าราชการตำรวจและลูกจ้างกู้ยืมหรือการสงเคราะห์ด้านที่อยู่อาศัยตามระเบียบที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกำหนดเป็นกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๕ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังสำรวจกิจการของส่วนราชการต่างๆ ที่ดำเนินการในลักษณะเดียวกันกับของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเข้าข่ายที่จะขอรับการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ รวมทั้งศึกษาถึงผลกระทบต่อรายได้ของรัฐบาลที่อาจเกิดขึ้นจากการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ เพื่อเป็นการสร้างความเป็นธรรมแก่ส่วนราชการอื่น ๆ และเพื่อให้การยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะจากดอกเบี้ยรับมีความครอบคลุมครบถ้วนและมีผลใช้บังคับในคราวเดียวกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2637 | ร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือผู้ถูกรอนสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ตามข้อกฎหมายว่าด้วยการจำกัดสิทธิในการใช้ที่ดิน) | กค | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้ค่าทดแทนเนื่องจากการรอนสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ เฉพาะในกรณีที่มีกฎหมายโดยเฉพาะของประเทศไทยกำหนดให้รอนสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ได้ ให้มีผลใช้บังคับสำหรับเงินได้ที่ได้รับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้ผู้ที่ถูกรอนสิทธิในทุกกรณีได้รับสิทธิจากกฎกระทรวงฉบับนี้อย่างเท่าเทียมกัน และให้มีผลใช้บังคับสำหรับเงินได้ซึ่งเป็นค่าทดแทนที่ได้รับในปีภาษีที่กฎกระทรวงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. กรณีที่ได้มีการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ไว้เรียบร้อยแล้ว แต่หน่วยงานมิได้ใช้อสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวตามวัตถุประสงค์แห่งการเวนคืน และภายในระยะเวลาที่กำหนดให้หน่วยงานดังกล่าวดำเนินการตามระเบียบและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2638 | ขออนุมัติหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลกโครงการ Market Readiness Proposal Partnership for Market Readiness (PMR) Multi-Donor Trust Fund และขออนุมัติใช้วิธีการอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาท | กค | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ใช้วิธีการระงับข้อพิพาทด้วยวิธีอนุญาโตตุลาการที่กำหนดไว้ในหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลกสำหรับโครงการ Market Readiness Proposal Partnership for Market Readiness (PMR) Multi-Donor Trust Fund ซึ่งมีองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานดำเนินโครงการดังกล่าว โดยธนาคารโลกได้ส่งหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือฯ เพื่อกระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทยลงนามยืนยันรับความช่วยเหลือฯ สำหรับโครงการดังกล่าว ซึ่งเป็นไปตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ข้อ ๑๗ ที่กำหนดให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเป็นผู้ดำเนินการเจรจาและลงนามขอรับความช่วยเหลือทางการเงินและทางวิชาการที่ไม่มีดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมจากแหล่งเงินกู้ เช่น ธนาคารโลก และธนาคารพัฒนาเอเชีย ๑.๒ เห็นชอบหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือฯ และให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ออกหนังสือมอบอำนาจเต็มให้นางสาวจุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (Ms. Chularat Suteethorn Director-General, Public Debt Management Office)เป็นผู้ลงนามในหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือฯ จากธนาคารโลกในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ๒. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของกระทรวงยุติธรรมและสำนักงานอัยการสูงสุดที่เห็นควรจัดให้มีหน่วยงานหรือระบบการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อสัญญาเพื่อให้การปฏิบัติตามข้อสัญญามีความต่อเนื่องและถูกต้องตามสัญญา และเมื่อพบว่าไม่ปฏิบัติตามสัญญาหรือมีความล่าช้าในการดำเนินงานให้รีบแจ้งคู่สัญญาทราบเพื่อเป็นการดำเนินการแก้ไขปัญหาและระงับข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นต่อไป รวมทั้งการพิจารณาคัดเลือกบุคคลเพื่อทำหน้าที่อนุญาโตตุลาการจะต้องคัดเลือกอนุญาโตตุลาการที่มีความเป็นกลางและเป็นอิสระ มีความรอบรู้และเชี่ยวชาญในสัญญาภาครัฐ นอกจากนี้ โดยที่หนังสือข้อตกลงฯ เป็นสัญญาในระดับรัฐบาลระหว่างรัฐกับองค์การระหว่างประเทศ มิใช่เป็นสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชนซึ่งประกอบธุรกิจโดยทั่วไป อาจพิจารณากำหนดเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าสัญญาระหว่างรัฐกับธนาคารโลกหรือองค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ ควรอยู่ในขอบเขตและวัตถุประสงค์ของการบังคับตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การใช้วิธีอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทสำหรับสัญญาทุกประเภทที่หน่วยงานของรัฐทำกับเอกชน) ด้วยหรือไม่ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2639 | มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการควบรวมกิจการประเด็นเงินสำรองของสถาบันการเงินและกิจการประกันภัย | กค | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทเดิมอันได้ควบเข้ากันหรือเป็นผู้โอนกิจการที่ต้องจดทะเบียนเลิก สำหรับเงินได้ที่เป็นเงินสำรองซึ่งได้กันไว้ ตามมาตรา ๖๕ ตรี (๑) แห่งประมวลรัษฎากร และต้องนำมารวมเป็นรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กัน ตามมาตรา ๗๔ (๒) และ (๓) แห่งประมวลรัษฎากร ๒. ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยรายจ่ายที่ไม่ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้รายจ่ายของบริษัทใหม่ที่ควบเข้ากันหรือผู้รับโอนกิจการจากการโอนกิจการทั้งหมด เป็นจำนวนเท่ากับเงินสำรองที่ได้กันไว้ ตามมาตรา ๖๕ ตรี (๑) แห่งประมวลรัษฎากร ของบริษัทเดิมอันได้ควบเข้ากันหรือเป็นผู้โอนกิจการที่ต้องจดทะเบียนเลิกเป็นรายจ่ายที่ไม่ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ ตามมาตรา ๖๕ ตรี (๒๐)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2640 | รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 4 ปีงบประมาณ 2555 | กค | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมติรับทราบรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๕๕) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า มีมูลค่านำเข้าร่วม ๗๕๕.๐๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๕๔) จำนวน ๖๘.๒๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๙.๙๔ ๒. มูลค่าการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า เปรียบเทียบกับมูลค่านำเข้ารวมของสินค้าทุกชนิดในไตรมาสที่ ๔ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ (๖๑,๖๙๗.๓๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ) มูลค่านำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ ๑.๒๒ ของมูลค่านำเข้ารวม ๓. มูลค่านำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยในช่วงไตรมาสที่ ๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีมูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้น ๑๓ กลุ่มสินค้า ตั้งแต่ร้อยละ ๒.๘๓ ถึง ๙๑.๔๑ ๔. สินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ น้ำหอมและเครื่องสำอาง มูลค่านำเข้า ๑๒๖.๙๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๒๒.๖๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๒๑.๗๖ ผลไม้ มูลค่านำเข้า ๑๐๑.๕๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๑๓.๕๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๑๕.๔๓ นาฬิกาและอุปกรณ์ มูลค่านำเข้า ๙๕.๙๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง ๒.๐๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๒.๑๐ ๕. สินค้าฟุ่มเฟือยในไตรมาสที่ ๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้น ๑๓ กลุ่มสินค้า เมื่อเปรียบเทียบ (ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ) กับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และ ๕ อันดับแรก ที่มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ กล้องถ่ายรูปและอุปกรณ์ ผ้าทอทำด้วยขนสัตว์ แว่นตา ไวน์ ไฟแช็คและอุปกรณ์ มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๙๑.๔๑, ๖๔.๔๗, ๖๑.๕๔, ๓๑.๗๙ และ ๒๖.๖๒ ตามลำดับ
|
.....