ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 827 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 16521 - 16540 จากข้อมูลทั้งหมด 124222 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
16521 | การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับสภารัฐมนตรีแห่งบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตหรือราชการ/หนังสือเดินทางพิเศษ | กต | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับสภารัฐมนตรีแห่งบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตหรือราชการ/หนังสือเดินทางพิเศษ มีสาระสำคัญเป็นการอำนวยความสะดวกให้ผู้ถือหนังสือเดินทางทูตหรือราชการ/หนังสือเดินทางพิเศษของไทยกับบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาที่จะเดินทางระหว่างกัน เพื่อกระชับความสัมพันธ์และส่งเสริมการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างบุคลากรภาครัฐของทั้งสองประเทศ รวมถึงส่งเสริมความร่วมมือในทุกมิติ โดยความตกลงฯ จะเริ่มมีผลใช้บังคับ ๓๐ วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งสุดท้ายผ่านช่องทางการทูต เพื่อยืนยันว่าคู่ภาคีทั้งสองฝ่ายได้ดำเนินการตามกระบวนกฎหมายภายในที่จำเป็นสำหรับการมีผลใช้บังคับเสร็จสิ้นแล้ว ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามความตกลงฯ ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ในกรณีที่ผู้ลงนามเป็นผู้ได้รับมอบหมาย ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16522 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง - ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ 9 (9th Mekong - Japan Economic Ministers Meeting) | นร11 | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๙ (9th Mekong-Japan Economic Ministers Meeting) เมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๖๐ ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยที่ประชุมฯ ได้มีการหารือและร่วมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับทิศทางและการดำเนินงานในอนาคต ภายใต้วิสัยทัศน์การพัฒนาอุตสาหกรรมในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Mekong Industrial Development Vision : MIDV) ในด้านต่าง ๆ เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาอุตสาหกรรม การพัฒนากฎระเบียบ และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้ปรับปรุงเนื้อความของแถลงข่าวร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๙ (Joint Media Statement) รวมทั้งกำหนดการประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๑๐ ในปี ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยจะเป็นการประชุมต่อเนื่องกับการประชุมระดับรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ ๕๐ (50th ASEAN Economic Ministers’ Meeting) ๒. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขับเคลื่อนแผนการดำเนินงานระยะเร่งด่วนเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานกรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่นด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม (Mekong-Japan Economic and Industrial Cooperation Initiative : MJ-CI) เช่น การผลักดันการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ การเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ และการพัฒนาศักยภาพแรงงาน ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16523 | ผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 2/2560 | นร11 | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๖ สิงหาคม ๒๕๖๐ ณ นครโฮจิมินห์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยผลการประชุมฯ เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนและพัฒนางานด้านเศรษฐกิจของประเทศไทย เช่น การใช้เทคโนโลยีในการช่วยยกระดับการบริการของภาครัฐซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปภาครัฐสู่การใช้ดิจิทัล และการที่ประเทศไทยเป็นผู้ประสานงานหลักของกลุ่มธรรมาภิบาลภาครัฐ (Public Sector Governance : PSG) จะช่วยส่งเสริมบทบาทและภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเรื่องการปฏิรูปเพื่อเพิ่มธรรมาภิบาลและความโปร่งใสในการดำเนินงานภาครัฐ และมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปคใน ๓ ด้านหลัก คือ (๑) การดำเนินงานด้านการปฏิรูปโครงสร้างภายใต้ Renewed APEC Agenda for Structural Reform : RAASR (๒) การดำเนินงานต่าง ๆ ภายใต้กลุ่มเพื่อนประธาน และ (๓) การดำเนินโครงการที่ได้รับเงินสนับสนุนจากคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค และการจัดทำรายงานนโยบายเศรษฐกิจเอเปคปี ๒๕๖๑ โดยมีหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการดังกล่าว เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ เป็นต้น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงหน่วยงานรับผิดชอบของงานนโยบายการแข่งขันและกฎหมาย จากกรมการค้าภายในเป็นสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า จึงขอแก้ไขชื่อหน่วยงาน จากกระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าภายใน) เป็นสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16524 | เงินกู้จากธนาคารพัฒนาเอเชียสำหรับโครงการก่อสร้างทางสายหลักเป็น 4 ช่องจราจร (ระยะที่ 2) ทางหลวงหมายเลข 22 ช่วงอำเภอหนองหาน - อำเภอพังโคน ทางหลวงหมายเลข 22 ช่วงสกลนคร - นครพนม (กิโลเมตรที่ 180 - 213) และทางหลวงหมายเลข 23 ช่วงร้อยเอ็ด - ยโสธร | กค | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างสัญญาเงินกู้โครงการก่อสร้างทางสายหลักเป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ทางหลวงหมายเลข ๒๒ ช่วงอำเภอหนองหาน-อำเภอพังโคน ทางหลวงหมายเลข ๒๒ ช่วงสกลนคร-นครพนม (กิโลเมตรที่ ๑๘๐-๒๑๓) และทางหลวงหมายเลข ๒๓ ช่วงร้อยเอ็ด-ยโสธร กรอบวงเงิน ๙๙.๔๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ อายุเงินกู้ ๑๓ ปี รวมระยะเวลาปลอดหนี้ (Grace Period) ๓ ปี อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ ๐.๐๕ ต่อปี ค่าธรรมเนียมผูกพันเงินกู้ ร้อยละ ๐.๑๕ ต่อปี ๒. เห็นชอบในการใช้อนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทตามเงื่อนไขที่กำหนดใน Asian Development Bank Ordinary Operations Loan Regulations ลงวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๐ ของธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) ๓. อนุมัติให้กระทรวงการคลังดำเนินการกู้เงินในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยจาก ADB สำหรับโครงการฯ กรอบวงเงิน ๙๙.๔๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ๔. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามในรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยในสัญญาเงินกู้โครงการฯ ๕. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจัดเตรียมทำคำรับรองทางกฎหมาย (Legal Opinion) สำหรับสัญญาเงินกู้โครงการฯ ภายหลังจากที่ได้มีการลงนามในสัญญาเงินกู้โครงการฯ แล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16525 | ร่างพระราชบัญญัติความรับผิดต่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า พ.ศ. .... | นร | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติความรับผิดต่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดความรับผิดชอบของผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับความชำรุดบกพร่องของสินค้า อันเป็นมาตรการสำคัญทางกฎหมายที่จะคุ้มครองผู้บริโภค โดยกำหนดให้ผู้บริโภคมีสิทธิเรียกร้องให้ผู้ประกอบธุรกิจรับผิดชอบต่อความชำรุดบกพร่องของสินค้าเพิ่มเติมจากหลักทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานศาลยุติธรรม และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่า การที่ไม่ได้นิยามความหมายของคำว่า “ความชำรุดบกพร่องเพียงเล็กน้อย” ไว้อย่างชัดเจน อาจทำให้เกิดปัญหาในการตีความ และเป็นเหตุให้ผู้บริโภคไม่ได้รับการเยียวยาในความชำรุดบกพร่องของสินค้า หากผู้ประกอบธุรกิจพิจารณาว่าความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นเป็นความชำรุดบกพร่องเพียงเล็กน้อย และร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ไม่ได้กำหนดบทเฉพาะกาลให้ชัดเจนว่าจะใช้บังคับหรือไม่ใช้บังคับกับสินค้าที่ได้ขายแก่ผู้บริโภคก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ซึ่งจะทำให้เกิดการโต้แย้งสิทธิและหน้าที่ระหว่างผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจ รวมทั้งควรพิจารณาความเหมาะสมของบทนิยามคำว่า “สินค้า” ในร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ว่าควรจะครอบคลุมถึงสินค้าประเภทใดบ้าง เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคในการพัฒนาธุรกิจของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16526 | ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกระบวนการและขั้นตอน การจัดทำ การเสนอ และการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้มีความโปร่งใส สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว และสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม เพื่อให้มีมาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับและได้รับความเชื่อมั่นจากทุกภาคส่วน และเพื่อให้เป็นไปตามมาตรา ๕๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16527 | ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติการส่งเสริมและคุ้มครองประชาชนในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. .... พร้อมเสนอร่างพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร09 | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๑) เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติการส่งเสริมและคุ้มครองประชาชนในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. .... ของสำนักงาน ป.ป.ท. ซึ่งเห็นว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นกฎหมายที่จัดทำขึ้นเพื่อให้เป็นไปตามมาตรา ๖๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มีหลักการซ้ำซ้อนกับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. .... ที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญจัดทำขึ้น และอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ จึงไม่มีความจำเป็นต้องดำเนินการตราร่างพระราชบัญญัติการส่งเสริมและคุ้มครองประชาชนในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. .... ขึ้น อีกฉบับหนึ่ง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ แล้วแจ้งความเห็นดังกล่าวไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติภายในระยะเวลาที่กำหนด (วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๐) ต่อไป ๒. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๑) จัดทำขึ้นและตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอำนาจหน้าที่ของสำนักงาน ป.ป.ท. ในการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนรวมตัวกัน เพื่อมีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ รวมตลอดทั้งรณรงค์ให้ความรู้ ต่อต้าน หรือชี้เบาะแส รวมทั้งเสริมสร้างทัศนคติและค่านิยมเกี่ยวกับความซื่อสัตย์สุจริตทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน โดยให้คณะกรรมการ ป.ป.ท. มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลสำนักงาน ป.ป.ท. ในการดำเนินการดังกล่าว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพร้อมกับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๑) เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติการส่งเสริมและคุ้มครองประชาชนในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. .... ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16528 | เอกสารที่จะมีการรับรองในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ครั้งที่ 17 | ดศ | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบ (๑) ร่างปฏิญญาเสียมราฐ มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความเชื่อมโยงและความพร้อมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม และทักษะทางดิจิทัล เพื่อนำไปสู่การเป็นเศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่และการเปลี่ยนผ่านไปสู่การรวมตัวของประชาคมดิจิทัล และ (๒) ร่างกรอบการดำเนินงานของอาเซียนว่าด้วยเรื่องบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ข้ามแดนอัตโนมัติ มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ข้ามแดนอัตโนมัติสำหรับบริการประเภทข้อมูลในภาคอาเซียนให้เป็นไปอย่างโปร่งใสและเข้าถึงได้ โดยจะมีการรับรองร่างปฏิญญาฯ และร่างกรอบการดำเนินงานฯ ในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (ASEAN Telecommunications and Information Technology Ministers Meeting : TELMN) ครั้งที่ ๑๗ ระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน-๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ณ เมืองเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างปฏิญญาฯ และร่างกรอบการดำเนินงานฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ และร่างกรอบการดำเนินงานฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16529 | ขอความเห็นชอบการจัดทำโครงการอาคารเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย ปี 2559 ระยะที่ 2 | พม | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการโครงการอาคารเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย ปี ๒๕๕๙ ระยะที่ ๒ จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ โครงการอาคารเช่าฯ สมุทรสาคร (กระทุ่มแบน ๓) ระยะที่ ๑ โครงการอาคารเช่าฯ จังหวัดเชียงใหม่ (หนองหอย) และโครงการอาคารเช่าฯ นครสวรรค์ ๒ ระยะที่ ๒ รวม ๔๙๔ หน่วย วงเงินงบประมาณรวม ๒๔๘.๗๔๘ ล้านบาท แหล่งที่มาของเงินลงทุนประกอบด้วยเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ๑๙๗.๐๕๔ ล้านบาท และเงินกู้ภายในประเทศ ๕๑.๖๙๔ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการอาคารเช่าฯ ในส่วนที่เป็นเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ให้การเคหะแห่งชาติ (กคช.) ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ สำหรับเงินกู้ภายในประเทศ ให้ กคช. ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้ กคช. เริ่มดำเนินโครงการอาคารเช่าฯ ได้เมื่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแล้ว ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และ กคช. ดำเนินการต่าง ๆ เพิ่มเติมด้วย ดังนี้ ๒.๑ ในการกำหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้เช่า ให้ กคช. นำฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐของกระทรวงการคลังที่เป็นปัจจุบันมาพิจารณาประกอบการดำเนินการ โดยให้ความสำคัญกับผู้มีรายได้น้อยตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นลำดับแรก และในการกำหนดหลักเกณฑ์การเช่า การบริหารโครงการ และการทำสัญญาเช่า ให้ กคช. ดำเนินการด้วยความรอบคอบเพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้อย่างแท้จริงและป้องกันการขายสิทธิ์ต่อหรือการเก็งกำไรของผู้ที่ต้องการแสวงประโยชน์ ๒.๒ ให้ คกช. คำนึงถึงความต้องการที่อยู่อาศัยของกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริงและเหมาะสม เช่น ขนาด รูปแบบที่อยู่อาศัย สภาพแวดล้อม และเส้นทางคมนาคม รวมทั้งความคุ้มค่าในการดำเนินการและการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน ๒.๓ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กำกับดูแลให้ กคช. ดำเนินโครงการอาคารเช่าฯ ให้เป็นไปตามแผนและกรอบระยะเวลาที่กำหนด โดยให้จัดทำลำดับความสำคัญและดำเนินการในส่วนที่มีความพร้อมก่อน และให้มีการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานด้วย ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และ กคช. ดำเนินการตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ เช่น การกำหนดหลักเกณฑ์การบริหารโครงการอาคารเช่าฯ โดยเฉพาะการกำกับสัญญาและการเช่าที่ชัดเจน การปรับอัตราค่าเช่าโดยกำหนดแนวทางที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย และพิจารณาเพิ่มพื้นที่เชิงพาณิชย์เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการอาคารเช่าฯ การศึกษาความเป็นไปได้ในการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public Private Partnership : PPP) และให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงของโครงการอาคารเช่าฯ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16530 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณดำเนินโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่การปลูกพืชให้เหมาะสมภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี 2560/61 (ด้านการผลิต) | กษ | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่การปลูกพืชให้เหมาะสม ภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี ๒๕๖๐/๖๑ (ด้านการผลิต) จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ (กรมส่งเสริมการเกษตร) และ (๒) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ (กรมพัฒนาที่ดิน) ๑.๒ อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว กรอบวงเงิน ๔๘๘.๑๕ ล้านบาท แยกเป็น (๑) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ วงเงิน ๓๐๐ ล้านบาท และ (๒) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ วงเงิน ๑๘๘.๑๕ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็น ข้อสังเกต และข้อเสนอแนะของสำนักงบประมาณ รวมทั้งความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ส่งเสริมความรู้ทางวิชาการด้านการเกษตรผ่านศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร เครือข่ายหมอดินอาสา ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการพัฒนาที่ดิน และศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร กำหนดให้มีคู่มือ หลักเกณฑ์ ขั้นตอนในการขอรับการจัดสรรงบประมาณและเบิกจ่ายเงิน มีการติดตามผลการดำเนินโครงการฯ ให้เกษตรกรสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการผลิตได้อย่างแท้จริง และดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ และส่งเสริมองค์ความรู้เพื่อจูงใจให้เกษตรกรหันมาปรับเปลี่ยนพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปรัง ปี ๒๕๖๑ ให้บรรลุตามเป้าหมายภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจรอย่างมีประสิทธิภาพและมีความเหมาะสมสอดคล้องกับปริมาณความต้องการของตลาด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการฯ และรายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16531 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณ | สผ | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๐ [เรื่อง ขออนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณ (สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร)] อย่างเคร่งครัด โดยหากสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเห็นว่ามีความจำเป็นต้องดำเนินการจ้างที่ปรึกษาออกแบบและพัฒนาระบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย จำนวนเงิน ๑๐,๔๗๕,๐๐๐ บาท ก็เห็นควรให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ มาดำเนินการในโอกาสแรก หรือเสนอคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน อย่างโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16532 | วาระแห่งชาติ : สิทธิมนุษยชนร่วมขับเคลื่อน Thailand 4.0 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน | ยธ | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและประกาศใช้วาระแห่งชาติ : สิทธิมนุษยชนร่วมขับเคลื่อน Thailand 4.0 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยการประกาศวาระแห่งชาติฯ ครั้งนี้ มีเป้าหมายให้สังคมไทยเป็นสังคมที่ส่งเสริมสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมกัน โดยคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เพื่อนำไปสู่สังคมสันติสุข และมีกรอบระยะเวลาในการดำเนินการ ๒ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒) โดยมีกลยุทธ์ที่สำคัญภายใต้รหัสชื่อว่า “๔ สร้าง + ๓ ปรับปรุง + ๒ ขับเคลื่อน + ๑ ลด = Goal สังคม สันติสุข สงบสุข” และให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องนำวาระแห่งชาติฯ ไปสู่การปฏิบัติเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งให้รายงานผลการดำเนินงานตามวาระแห่งชาติฯ ภายในเดือนพฤศจิกายนของปี พ.ศ. ๒๕๖๑ และปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ๒. สำหรับงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ให้กระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่แต่ละหน่วยงานได้รับจัดสรร โดยดำเนินการในภารกิจของหน่วยงาน และนำมิติด้านสิทธิมนุษยชนมาเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ดียิ่งขึ้นด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับแนวทางการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติฯ ในชั้นต้น อาจเน้นเรื่องช่องว่างระหว่างกฎหมายหรือพันธกรณีระหว่างประเทศที่มีกับการปฏิบัติ ส่งเสริมความเข้าใจบุคลากรต่อประเด็นและหลักการสิทธิมนุษยชนและพันธกรณีระหว่างประเทศของไทยในด้านสิทธิมนุษยชน ส่งเสริมศักยภาพของหน่วยงานภาครัฐด้านสถิติและการมีสถิติข้อมูลที่แยกตามเพศ อายุ การศึกษา สถานภาพ รายได้ ภูมิลำเนา ฯลฯ และควรสร้างกลไกและเวทีรับฟังข้อคิดเห็นจากภาคประชาสังคมและชุมชน รวมทั้งควรให้มีการถอดบทเรียนและพัฒนาเครื่องมือในการจัดทำฐานข้อมูลการดำเนินงานและการประเมินถึงความตระหนักของผู้เกี่ยวข้องในแต่ละระยะที่ดำเนินการ และควรมีการจัดทำหลักสูตรสิทธิมนุษยชนเข้าไปในหลักสูตรหรือหัวข้อวิชาต่าง ๆ และมีการสร้างวิทยากรตัวคูณ รวมถึงควรปรับปรุงตัวชี้วัดให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงยุติธรรมนำประเด็นที่ยังไม่สามารถดำเนินการให้บรรลุได้ตามแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) และข้อเสนอแนะด้านสิทธิมนุษยชนจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศมากำหนดเป็นตัวชี้วัดด้วย และมอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การขับเคลื่อนวาระแห่งชาติฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผลต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16533 | การขอใช้และเชื่อมโยงฐานข้อมูลประชาชนในความครอบครองของหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ | นร06 | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการเข้าใช้และเชื่อมโยงฐานข้อมูลประชาชนในความครอบครองของหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ตามที่สำนักข่าวกรองแห่งชาติเสนอ และให้สำนักข่าวกรองแห่งชาติ หน่วยงานเจ้าของข้อมูล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเกี่ยวกับการใช้และเชื่อมโยงฐานข้อมูลประชาชนให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักข่าวกรองแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรมีมาตรการ และ/หรือระบบที่ชัดเจน เพื่อตรวจสอบข้อมูลตามภารกิจและป้องกันการนำข้อมูลไปใช้นอกเหนือภารกิจหรือกระทำการใด ๆ และเมื่อสำนักข่าวกรองแห่งชาติได้เชื่อมโยงข้อมูลแล้ว การนำข้อมูลไปใช้ในการประมวลผล วิเคราะห์ เผยแพร่ และแลกเปลี่ยนข้อมูล โดยเฉพาะข้อมูลส่วนบุคคลควรระวังและกำหนดมาตรการบริหารจัดการที่ชัดเจนเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. เมื่อมีการเชื่อมโยงฐานข้อมูลประชาชนดังกล่าวแล้ว ให้สำนักข่าวกรองแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันกำหนดมาตรการคุ้มครองและรักษาความปลอดภัยในการเข้าถึงข้อมูล รวมทั้งระบบการตรวจสอบหรือการป้องกันการนำข้อมูลไปใช้นอกเหนือภารกิจหรือการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลให้ชัดเจนด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาดำเนินการปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องให้สามารถรองรับการดำเนินการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลในการบูรณาการฐานข้อมูลประชาชนและบริการภาครัฐตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง แนวทางการดำเนินการบูรณาการฐานข้อมูลประชาชนและบริการภาครัฐ) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งพิจารณาวิธีการหรือแนวทางในการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลต่าง ๆ เช่น ข้อมูลในการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจแบบครบวงจร (Doing Business Portal) เพื่อเป็นการส่งเสริมประสิทธิภาพการดำเนินงานของภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16534 | การยกระดับจุดผ่อนปรนการค้าบ้านเขาดิน อำเภอคลองหาด จังหวัดสระแก้ว เป็นจุดผ่านแดนถาวร | นร08 | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบดำเนินการยกระดับจุดผ่อนปรนการค้าบ้านเขาดิน อำเภอคลองหาด จังหวัดสระแก้ว เป็นจุดผ่านแดนถาวร โดยให้กระทรวงมหาดไทยออกประกาศกระทรวงมหาดไทยที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ กรณีมีความจำเป็นต้องก่อสร้างหรือดำเนินกิจกรรมใด ๆ บริเวณชายแดน ให้ประสานกรมแผนที่ทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย และกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจนก่อนการดำเนินการ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๔๒ (เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการก่อสร้างถนนหรือกระทำกิจการใด ๆ ตามบริเวณชายแดน) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๘ (เรื่อง การระงับการก่อสร้างถนนบริเวณจุดผ่านแดนถาวรช่องจอม จังหวัดสุรินทร์) อย่างเคร่งครัดด้วย ๒. ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการรองรับปัญหาต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น ปัญหาการบุกรุกพื้นที่ ปัญหาการลักลอบการขนส่งสินค้าผิดกฎหมาย ปัญหาการลักลอบการเข้าเมืองผิดกฎหมาย ปัญหาแรงงานต่างด้าว รวมทั้งให้พิจารณากำหนดมาตรการบริหารจัดการพื้นที่โดยรอบเพื่อรองรับการขยายตัวของชุมชนด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16535 | ร่างพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติเงินคงคลัง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ จำนวน ๒ ฉบับ ของกระทรวงการคลัง ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป ดังนี้
๑. ร่างพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมให้อำนาจกระทรวงการคลังในการกู้เงินเพื่อบริหารสภาพคล่องของเงินคงคลัง และกำหนดให้อำนาจแก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในการขยายระยะเวลาการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณหรือเมื่อมีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ออกไปภายหลังวันสิ้นปีงบประมาณ สำหรับกรณีที่มีการอนุมัติให้เบิกจ่ายเงินงบประมาณได้ภายหลังวันสิ้นปีงบประมาณ ๒. ร่างพระราชบัญญัติเงินคงคลัง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังในการสั่งจ่ายเงินจากบัญชีเงินคงคลังบัญชีที่ ๒ เพื่อชำระคืนต้นเงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อบริหารสภาพคล่องของเงินคงคลังตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16536 | ร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ. .... | ศธ | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มี “กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา” เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการศึกษา และเพื่อเสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพครู ตามที่คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนดเป้าหมาย การลดหย่อน ซึ่งการมุ่งสู่เป้าหมายของรัฐบาล คือ เด็กปฐมวัย ทุนการศึกษา ผู้เข้าไม่ถึงระบบการศึกษา การออกจากการศึกษากลางคัน การศึกษาดิจิทัล ให้สอดคล้องกับระดับรายได้ โดยไม่ซ้ำซ้อน เป็นการเสริมช่องว่างการทำงาน มีการบูรณาการ สนับสนุนเกื้อกูลกับกระทรวงศึกษาธิการ และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณ เช่น ควรนิยามของรูปแบบการให้ความช่วยเหลือเงินทุนให้ชัดเจนว่าจะให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าหรือแบบกู้ยืม และนิยามกลุ่มเป้าหมายที่จะช่วยเหลือมีระดับความยากจนอย่างไร ควรขยายเครือข่ายความร่วมมือการดำเนินงานให้ครอบคลุมทุกภาคส่วนของสังคม ไม่ควรระบุแหล่งที่มาของเงินทุนจากการจัดสรรจากรัฐเป็นรายปีให้เป็นจำนวนตัวเลขตายตัวไว้ในร่างกฎหมาย และไม่ควรมีข้อกำหนดให้ผู้เสียภาษีประจำปีที่เป็นบุคคลธรรมดาสามารถแสดงเจตนานำภาษีที่ตนชำระไปอุดหนุนกองทุนได้ รวมถึงไม่ควรกำหนดรายละเอียดจำนวนเงินที่ผู้บริจาคให้กองทุนสามารถนำไปหักเป็นค่าลดหย่อนภาษีประจำปี ควรกำหนดเพียงหลักการส่วนรายละเอียดให้ไปกำหนดในประมวลรัษฎากรแทน เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ทันกำหนดเวลาตามมาตรา ๒๕๘ จ. ของรัฐธรรมนูญต่อไป ๒. มอบหมายให้คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาเสนอเรื่อง การจัดตั้งกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาต่อคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน แล้วแจ้งผลการพิจารณาเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. มอบหมายให้คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษารับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16537 | แผนปฏิบัติการงาช้างแห่งประเทศไทย ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | ทส | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งประเทศไทย ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นการดำเนินการต่อเนื่องจากแผนปฏิบัติการฯ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อควบคุมการค้างาช้างที่ผิดกฎหมายของประเทศไทย และเพื่อให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากการเป็นประเทศที่เกี่ยวข้องกับการค้างาช้างผิดกฎหมาย ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก ได้แก่ (๑) การออกระเบียบและกฎหมาย (๒) การบังคับใช้กฎหมายและความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภายในประเทศ (๓) ความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศและภูมิภาค (๔) การประชาสัมพันธ์และการสร้างความตระหนักแก่สาธารณชน และ (๕) การรายงาน ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขแผนปฏิบัติการฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง และให้จัดส่งแผนปฏิบัติการฯ และรายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ ให้สำนักเลขาธิการไซเตส (The CITES Secretariat International Environment House) ทราบตามระยะเวลาที่กำหนด (ภายในวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๐) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณากำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดภาพรวมของร่างแผนปฏิบัติการฯ ในระดับผลลัพธ์ตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นตามร่างแผนปฏิบัติการฯ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับการจัดสรรไว้แล้ว เพื่อดำเนินการควบคุมการค้างาช้างที่ผิดกฎหมายของประเทศไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาแนวทางการประเมินผลตามเกณฑ์ตัวชี้วัดโดยกำหนดเป็นช่วง ๆ ทั้งระยะสั้น (๓ เดือน) ระยะกลาง (๖ เดือน) และระยะยาว (๑๒ เดือน) เพื่อให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถปรับทิศทางการดำเนินงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดจริงได้ รวมทั้งพิจารณากำหนดให้ตัวชี้วัดของแผนปฏิบัติการฯ เป็นส่วนหนึ่งของตัวชี้วัดในการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย เพื่อให้การดำเนินงานเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16538 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นายอรรถพล ชีพสัตยากร) | สธ | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายอรรถพล ชีพสัตยากร ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน สาขาโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม) สำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16539 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... | พณ | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังมาในราชอาณาจักร โดยเพิ่มเติมให้ผู้นำเข้ามันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังต้องแจ้งข้อมูลการนำเข้าต่อกรมการค้าต่างประเทศก่อนนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร และต้องพร้อมให้พนักงานเจ้าหน้าที่เข้าไปในสถานที่เก็บ หรือยานพาหนะที่บรรทุกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เพื่อตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานของสินค้า ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาโดยด่วน โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรให้ตัดร่างข้อ ๗ (๔) ออก เนื่องจากการกำหนดการใช้อำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการเข้าไปในสถานที่ทำการ สถานที่ผลิต หรือสถานที่เก็บสินค้า หรือยานพาหนะเพื่อตรวจค้นสินค้าหรือตรวจสอบเป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยให้ความคุ้มครองไว้ให้จำกัดได้เฉพาะเมื่อมีเหตุตามที่กฎหมายบัญญัติเท่านั้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรคำนึงถึงผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศและการปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่ รวมทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ การทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทราบถึงรายละเอียดของแนวทางการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในประกาศ ตลอดจนเตรียมความพร้อมด้านเครื่องมือสำหรับการตรวจสอบปริมาณมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่นำเข้ามาในประเทศที่แจ้งให้กับกรมการค้าต่างประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16540 | การจัดทำความตกลงระหว่างไทยกับสหประชาชาติสำหรับการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อสนับสนุนกระบวนการรายงานและประเมินผลสำหรับสิ่งแวดล้อมทางทะเลทั่วโลก รวมทั้งประเด็นด้านเศรษฐกิจสังคม (Regional Workshop to Support the Regular Process for the Global Reporting and Assessment of the Marine Environment, Including Socioeconomic Aspects) | กต | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้จัดทำความตกลงระหว่างไทยกับสหประชาชาติในรูปแบบของหนังสือแลกเปลี่ยนสำหรับการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อสนับสนุนกระบวนการรายงานและประเมินผลสำหรับสิ่งแวดล้อมทางทะเลทั่วโลก รวมทั้งประเด็นด้านเศรษฐกิจสังคม (Regional Workshop to Support the Regular Process for the Global Reporting and Assessment of the Marine Environment, Including Socioeconomic Aspects) ซึ่งร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ มีสาระสำคัญในประเด็นต่าง ๆ เช่น สหประชาชาติจะเป็นเจ้าภาพจัดการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการระดับภูมิภาคในประเทศไทย ระหว่างวันที่ ๒๙-๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ที่สำนักงาน UNESCO กรุงเทพมหานคร โดยการฝึกอบรมมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจให้กับผู้แทนจากประเทศต่าง ๆ ในการจัดทำรายงานการประเมินสภาพมหาสมุทรทั่วโลกอย่างบูรณาการ (Global Integrated Marine Assessment) ตลอดจนเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมการฝึกอบรมได้เสนอความเห็นและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดแนวทางการดำเนินงานของกระบวนการประเมินสถานะของสิ่งแวดล้อมทางทะเลทั่วโลก โดยจะมีการลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ในวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ๑.๒ ให้นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ของฝ่ายไทย พร้อมทั้งอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
.....