ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 830 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 16581 - 16600 จากข้อมูลทั้งหมด 124222 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
16581 | รายงานตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 ประจำปี 2559 | พม | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ ประจำปี ๒๕๕๙ ประกอบด้วยรายงานข้อมูลสถานการณ์ความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัว รายงานความรุนแรงในครอบครัว และข้อเสนอแนะเชิงมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและต่อการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ ประจำปี ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16582 | รายงานเหตุผลที่ไม่อาจดำเนินการออกกฎกระทรวงที่ต้องออกตามความในพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 ให้แล้วเสร็จภายในเวลาเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลใช้บังคับ | ยธ | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานเหตุผลที่ไม่อาจดำเนินการออกกฎกระทรวงที่ต้องออกตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้แล้วเสร็จภายในเวลาเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัติฯ มีผลใช้บังคับ (ครบกำหนด ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๐) เนื่องจากกระบวนการในการตรากฎหมายลำดับรองที่ออกตามพระราชบัญญัติฯ มีหลายขั้นตอน อีกทั้งมีรายละเอียดสำคัญจำนวนมากที่ต้องรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินการอย่างละเอียดรอบคอบ โดยต้องคำนึงถึงสิทธิและผลประโยชน์ของผู้เสียหาย ญาติ ผู้ต้องขัง และสังคมโดยรวม ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ และต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเพื่อให้ครอบคลุมทุกประเด็นตามหลักการของพระราชบัญญัติฯ ซึ่งมีความจำเป็นที่กรมราชทัณฑ์จะต้องใช้ระยะเวลานานในการดำเนินการ เพื่อให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติฯอย่างถูกต้อง เหมาะสม มีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล จึงทำให้ไม่สามารถดำเนินการออกกฎกระทรวงได้ทันตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ๒ มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมเร่งรัดการเสนอกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ ต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16583 | การแต่งตั้งโฆษกกระทรวงและรองโฆษกกระทรวงมหาดไทย | มท | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแต่งตั้งโฆษกกระทรวงและรองโฆษกกระทรวงมหาดไทย ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ จำนวน ๓ ราย ดังนี้
๑. นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ เป็นโฆษกกระทรวง ๒. นายสมคิด จันทมฤก เป็นรองโฆษกกระทรวง ๓. นายสยาม ศิริมงคล เป็นรองโฆษกกระทรวง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16584 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนสิงหาคม 2560 | นร11 | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนสิงหาคม ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจไทยเดือนสิงหาคม ๒๕๖๐ ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในด้านการใช้จ่าย การส่งออกขยายตัวในเกณฑ์สูงและกระจายตัวมากขึ้น ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน และมูลค่าการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำขยายตัวในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนกลับมาขยายตัวอย่างช้า ๆ ติดต่อกันเป็นเดือนที่สอง ในขณะที่การเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจขยายตัวต่อเนื่อง ในด้านการผลิต ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรและรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศขยายตัวในเกณฑ์สูงต่อเนื่อง ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวในเกณฑ์ดีติดต่อกันเป็นเดือนที่สอง ในขณะที่ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวลดลงจากฐานที่สูงในช่วงภัยแล้ง ส่งผลให้ดัชนีรายได้เกษตรกรโดยรวมปรับตัวลดลง เสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี อัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำ ดุลการค้าและดุลบริการเกินดุล ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ๒. ภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในเดือนสิงหาคม ๒๕๖๐ ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องตามการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของเครื่องชี้ทางเศรษฐกิจในประเทศสำคัญ ๆ ทั้งสหรัฐอเมริกา ยูโรโซน ญี่ปุ่น และหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย ในขณะที่เครื่องชี้ทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ๆ ของจีนยังคงมีทิศทางชะลอตัวโดยเฉพาะการลงทุน สอดคล้องกับแนวโน้มการชะลอตัวทางเศรษฐกิจอย่างช้า ๆ ในช่วงครึ่งปีหลัง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16585 | ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 23 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | คค | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ ๒๓ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๐ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมทำหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ ๒๓ ที่ประชุมฯ ได้รับรองเอกสารด้านการขนส่งทางอากาศ จำนวน ๒ ฉบับ ได้แก่ แผนแม่บทว่าด้วยการบริหารการจราจรทางอากาศในอาเซียน และขอบเขต (TOR) การประเมินความปลอดภัยของผู้ประกอบการสายการบินต่างชาติในอาเซียน นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้ลงนามเอกสารด้านการขนส่งทางอากาศ จำนวน ๓ ฉบับ ได้แก่ พิธีสารเพื่ออนุวัติข้อผูกพันชุดที่ ๑๐ ของบริการขนส่งทางอากาศภายใต้กรอบความร่วมมือว่าด้วยบริการของอาเซียน พิธีสาร ๓ สิทธิการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกันสำหรับเส้นทางบินภายในประเทศ และข้อตกลงยอมรับร่วมใบอนุญาตผู้ปฏิบัติหน้าที่ประจำเที่ยวบิน รวมทั้งลงนามเอกสารด้านการอำนวยความสะดวกในการขนส่ง จำนวน ๑ ฉบับ คือ กรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งผู้โดยสารข้ามพรมแดนโดยยานพาหนะทางถนน ๒. การประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา ซึ่งที่ประชุมฯ รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินการตามแผนงานความร่วมมือด้านการขนส่งระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาต่าง ๆ และพิจารณาประเด็นความร่วมมือต่าง ๆ ทั้งการขนส่งทางอากาศ ทางบก และทางน้ำ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16586 | ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการขายที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. .... | ศธ | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการขายที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยขายที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๕๗๔๘ เล่มที่ ๕๘ หน้าที่ ๔๘ อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา เนื้อที่ ๒ ไร่ ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยที่มีผู้บริจาคให้ เพื่อนำรายได้มาสนับสนุนการบริหารตามพันธกิจของมหาวิทยาลัย ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16587 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการซื้อขายทองคำแท่งตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่มีการรับมอบส่งมอบทองคำแท่ง) | กค | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ (๑) ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้จากการขายทองคำแท่งที่มีความบริสุทธิ์ร้อยละ ๙๙.๙๙ ตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ตามกฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้าซึ่งกระทำในศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และสำหรับเงินชดเชยเลื่อนการรับมอบส่งมอบทองคำแท่งตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และ (๒) ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการประกอบกิจการซื้อขายทองคำแท่งที่มีความบริสุทธิ์ร้อยละ ๙๙.๙๙ ตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตามกฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้าซึ่งกระทำในศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา และให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ที่เสนอให้เพิ่มเติมบทนิยามคำว่า “ศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า” ไว้ในร่างพระราชกฤษฎีกาทั้ง ๒ ฉบับด้วย ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีฯ ให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมทั้งติดตามผลกระทบของมาตรการภาษีฯ และรายงานต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบในโอกาสต่อไปด้วย นอกจากนี้ ในการสนับสนุนให้เกิดการซื้อขายทองคำในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตามมาตรการภาษีฯ ที่กระทรวงการคลังเสนอนั้น อาจจะพิจารณาใช้มาตรการอื่นควบคู่ไปด้วย เช่น การปรับลดค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับการซื้อขายของศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เป็นต้น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีแนวทางเพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการพัฒนาต่อยอดให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางซื้อขายทองคำของภูมิภาคอาเซียน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16588 | ขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาโซล (Seoul Declaration) | ศธ | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างปฏิญญาโซล (Seoul Declaration) มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของไทยในการพัฒนาความร่วมมือด้านการศึกษาร่วมกับแต่ละประเทศสมาชิกอาเซม ซี่งการดำเนินการดังกล่าวจะเพิ่มโอกาสและคุณภาพทางการศึกษา รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาศักยภาพของนักศึกษาด้านอาชีวศึกษา โดยผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการจะเป็นผู้ให้การรับรองร่างปฏิญญาฯ รวมทั้งจะนำเสนอเอกสารในหัวข้อ “Collaboration for the Next Decade-Improving Youth Employability” ต่อที่ประชุมรัฐมนตรีด้านการศึกษาของอาเซม ครั้งที่ ๖ ซึ่งจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ ๒๑-๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับด้านการส่งเสริมการเคลื่อนย้ายระหว่างเอเชียและยุโรป ในข้อ ๖ ของร่างปฏิญญาฯ ควรพิจารณาเพิ่มการวิจัยและพัฒนาให้เป็นกลไกหนึ่งของการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนอาจารย์ นักศึกษา และนักวิจัย และในด้านการส่งเสริมสมรรถนะเพื่อการว่าจ้าง (Employability) ด้วยการปรับปรุงคุณภาพการศึกษา ในข้อ ๙ ของร่างปฏิญญาฯ ควรพิจารณาเรื่องสะเต็มศึกษา (STEM Education) ทั้งในสายสามัญ อุดมศึกษาและอาชีวศึกษาเป็นประเด็นหนึ่งที่ควรส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือด้วย รวมทั้งควรพิจารณาการเสนอเรื่อง การส่งเสริมเยาวชนให้เป็นนวัตกร (Innovator) และการสร้างระบบนวัตกรรมเปิด (Open Innovation) ให้เป็นกลไกหนึ่งที่สำคัญในการนำเสนอในหัวข้อ Collaboration for the Next Decade-Improving Youth Employability เพื่อให้ประเทศสมาชิกได้เห็นความสำคัญของการสร้างเยาวชนให้มีศักยภาพที่จะเป็นนวัตกร มีความคิดสร้างสรรค์ สร้างผลิตภัณฑ์ กระบวนการใหม่ ๆ ที่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและสังคม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16589 | รายงานสรุปผลการเดินทางไปราชการ ณ ประเทศญี่ปุ่น ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | วท | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการเดินทางไปราชการ ณ ประเทศญี่ปุ่น ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระหว่างวันที่ ๑-๓ ตุลาคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การพบปะหารือกับ Sir. Mark Walport (Chief Executive Designate of UK Research and Innovation : UKRI) ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ (๑) การร่วมมือกันในด้านการวิจัยและพัฒนาในสาขาที่ทั้งสองประเทศมีความเชี่ยวชาญ และ (๒) การผลักดันการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมระหว่างไทยกับสหราชอาณาจักร ๒. การพบปะหารือกับ Ms. Frederique Vidal (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา การวิจัยและนวัตกรรมของฝรั่งเศส) ฝ่ายไทยได้แสดงความสนใจต่อโครงการการแลกเปลี่ยนนักเรียนและนักวิจัยระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ซึ่งฝ่ายฝรั่งเศสได้ยื่นหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intention : LOI) มีเนื้อหาเกี่ยวกับความตกลงที่จะปฏิบัติตามข้อเสนอเรื่องความร่วมมือด้านเทคโนโลยีอวกาศ ซึ่งฝ่ายไทย โดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) จะพิจารณาและดำเนินการต่อไป ๓. การเข้าร่วมประชุมประจำปี STS forum ครั้งที่ ๑๔ [The 14th Meeting on Science and Technology in Society (STS) forum] นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้กล่าวถึงความเชื่อมั่นต่อการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ โดยเฉพาะการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ร่วมบรรยายและนำเสนอมุมมองในการประชุม “Concurrent Session : Bridging Science and Technology with Society and Politics” โดยกล่าวถึงการเชื่อมโยงระหว่างวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับสังคมและการเมือง และการให้วิสัยทัศน์ต่อนโยบายด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของนักการเมือง เป็นต้น ๔. การประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (S&T Minister’s Roundtable Meeting) โดยมีหัวข้อหลักการประชุม ได้แก่ “บทบาทของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสังคมแห่งอนาคต-สังคม ที่มนุษย์เป็นศูนย์กลาง” [The Role of Science, Technology and Innovation (STI) for Future Society-Human-Centered Society to be Reallzed through Society 5.0] ๕. การพบปะหารือกับผู้บริหารของธนาคาร Sumitomo Mitsui Banking Corp. (SMBC) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและคณะได้พบปะหารือกับบริษัทเอกชนด้านอาหารและยาขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น และได้เชิญชวนเข้ามาลงทุนในพื้นที่ Food Innopolis และเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of innovation : EECi) ของไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16590 | รายงานผลการดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการหรือแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนผลงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทั้งระบบ | วท | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ในการปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ที่ขอขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทยให้มีความรวดเร็วมากขึ้น และข้อเสนอเพื่อการกำหนดมาตรการหรือแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนผลงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทั้งระบบ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้
๑. หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการวิเคราะห์ทดสอบ และการตรวจสอบรับรองห้องปฏิบัติการ ควรเร่งพัฒนา ส่งเสริม และลงทุนให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานในการวิเคราะห์ทดสอบให้ครอบคลุมความต้องการของภาคเอกชน และอยู่ในระดับที่เชื่อถือได้ รวมทั้งเร่งรัดกระบวนการตรวจสอบรับรองห้องปฏิบัติการตาม ISO/IEC ๑๗๐๒๕ ให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น ๒. ควรให้หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลเกี่ยวกับข้อกำหนดและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์หรือบริการต่าง ๆ ปรับปรุงข้อกำหนดและกฎหมายให้ทันสมัย และเผยแพร่สื่อสารให้เกิดความรู้ความเข้าใจ รวมถึงกำหนดมาตรการเพื่อผ่อนปรนหรือยืดหยุ่นกฎระเบียบบางประการ ในลักษณะ Regulatory Sandbox เพื่อเอื้อให้ผู้ประกอบการสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์หรือให้บริการนวัตกรรมในเชิงพาณิชย์ในช่วงระยะเริ่มต้นได้ เพื่อให้เกิดธุรกิจได้ก่อน ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด อาทิ กำหนดปริมาณการผลิต วงเงินรวมที่จำหน่าย หรือระยะเวลาการจำหน่าย เป็นต้น เพื่อให้สามารถนำผลจากการใช้งานจริงมาพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการให้เข้าสู่กฎระเบียบ ข้อบังคับและกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามปกติต่อไป ๓. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดทำบัญชีนวัตกรรมไทย และการจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์หรือบริการในบัญชีนวัตกรรมไทย ประกอบด้วย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ควรสื่อสารและประชาสัมพันธ์มาตรการบัญชีนวัตกรรมไทยให้กับกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ เพื่อนำผลงานนวัตกรรมมาขอขึ้นทะเบียนให้เพิ่มมากขึ้น สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินซึ่งมีบทบาทในการกำหนดความต้องการภาครัฐ ตลอดจนการกำกับและตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ควรสร้างความรู้และความเข้าใจให้แก่ส่วนราชการ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์หรือบริการในบัญชีนวัตกรรมไทยให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ๔. ควรให้มีการบรรจุรายการผลิตภัณฑ์ที่ประกาศในบัญชีนวัตกรรมไทยไว้ในบัญชียาหลักแห่งชาติ หรือบัญชีรายการอุปกรณ์อวัยวะเทียมและข้อบ่งชี้ในการบำบัดรักษาโรค หรือบัญชีอื่น ๆ แล้วแต่ชนิดของรายการผลิตภัณฑ์ที่กองทุนสุขภาพต่าง ๆ เช่น กองทุนสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และกองทุนประกันสังคม เพื่ออนุมัติให้สามารถเบิกจ่ายได้ตามระยะเวลาและราคาที่ประกาศในบัญชีนวัตกรรมไทย โดยอาจมีการกำหนดรหัสพิเศษเพื่อง่ายต่อการจำแนก ทั้งนี้ ควรมีการเก็บข้อมูลปริมาณการใช้รายการผลิตภัณฑ์ในบัญชีนวัตกรรมไทยเพื่อประเมินความต้องการใช้งาน และเป็นข้อมูลอ้างอิงในการพิจารณาบรรจุรายการผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ในรายการที่กองทุนสุขภาพต่าง ๆ อนุมัติให้สามารถเบิกจ่ายได้ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16591 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการชลประทานขนาดใหญ่ จำนวน 3 โครงการ | กษ | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการชลประทานขนาดใหญ่ จำนวน ๓ โครงการ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการเขื่อนทดน้ำผาจุก จังหวัดอุตรดิตถ์ จากระยะเวลาเดิม ๘ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๖๑) เป็นระยะเวลา ๑๔ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๖๖) ภายใต้กรอบวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม จำนวน ๑๐,๕๐๐ ล้านบาท ๑.๒ โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำรีอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดอุตรดิตถ์ จากระยะเวลาเดิม ๘ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๖๑) เป็นระยะเวลา ๑๑ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๖๔) ภายใต้กรอบวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม จำนวน ๔,๘๐๐ ล้านบาท ๑.๓ โครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่ จากระยะเวลาเดิม ๖ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๐) เป็นระยะเวลา ๑๑ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๕) ภายใต้กรอบวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมติไว้เดิม จำนวน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการดำเนินโครงการชลประทานขนาดใหญ่ ทั้ง ๓ โครงการให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติในครั้งนี้ โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16592 | โครงการสำรวจข้อมูลผู้มีรายได้น้อย | ดศ | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลโครงการสำรวจข้อมูลผู้มีรายได้น้อย ซึ่งจากการจัดเก็บข้อมูลของผู้ลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย จำนวน ๑๓.๔๓ ล้านคน สามารถนำข้อมูลมาประมวลผลได้ จำนวน ๑๐.๖๔ ล้านคน โดยพบว่า ๕ อันดับแรกที่ผู้มีรายได้น้อยต้องการให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือ คือ (๑) ลดค่าสาธารณูปโภค ค่าไฟฟ้า ประปา (๒) ลดภาระค่าสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน (๓) ลดภาระค่ารักษาพยาบาล/ดูแลสุขภาพ (๔) เพิ่มเบี้ยยังชีพคนชรา และ (๕) ลดภาระค่าอุปกรณ์การศึกษาลูกหลาน ทั้งนี้ จากผลการสำรวจดังกล่าว สำนักงานสถิติแห่งชาติมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยมีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เช่น ควรมีการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับโครงการดังกล่าวเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับให้แก่ประชาชน รวมทั้งรัฐควรกำหนดนโยบาย/มาตรการลดค่าครองชีพหรือลดค่าใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย และรัฐควรส่งเสริมการพัฒนาด้านอาชีพเพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถดำรงชีพได้อย่างยั่งยืน เป็นต้น ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16593 | ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 35 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง [35th ASEAN Ministers on Energy Meeting (35th AMEM) and its Associated Meetings] ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ | พน | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ ๓๕ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง [35th ASEAN Ministers on Energy Meeting (35th AMEM) and its Associated Meetings] ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๙ กันยายน ๒๕๖๐ ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ ๓๕ (35th AMEM) ที่ประชุมฯ รับทราบความก้าวหน้าตามแผนปฏิบัติการเอเชียว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงาน ปี ๒๕๕๙-๒๕๖๘ ระยะที่ ๑ (ปี ๒๕๕๙-๒๕๖๓) เช่น อาเซียนได้บรรลุเป้าหมายส่วนแบ่งการใช้พลังงานหมุนเวียน ร้อยละ ๑๓.๖ ของการใช้พลังงานรวมอาเซียนในปี ๒๕๕๘ และประเทศสิงคโปร์ ไทย และมาเลเซียได้ดำเนินการจัดทำระบบสถานีก๊าซธรรมชาติเหลวแก่บุคคลที่ ๓ ได้สำเร็จ ตลอดจนได้มีการลงนามซื้อขายไฟฟ้า ระหว่างลาว ไทย และมาเลเซีย ซึ่งเป็นธุรกรรมไฟฟ้าอนุภูมิภาคเป็นครั้งแรกในอาเซียน ๒. การประชุมรัฐมนตรีอาเซียน+๓ ด้านพลังงาน ครั้งที่ ๑๔ (14th AMEM+3) ที่ประชุมฯ รับทราบความก้าวหน้าในด้านการทำงานของสายงานด้านประสิทธิภาพและการอนุรักษ์และพลังงาน (EE&C) ๓. การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงานกับทบวงการพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ ที่ประชุมฯ เห็นด้วยที่จะมีการปรับปรุงความร่วมมือเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านพลังงานไปสู่การลดการใช้คาร์บอน พลังงานสะอาด พลังงานที่ปลอดภัย การมีพลังงาน และความยั่งยืนทางพลังงานของอาเซียนในอนาคต ผ่านปฏิบัติการเชิงกลยุทธ์ในการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาแหล่งพลังงานหมุนเวียน ๔. การหารือทวิภาคี ไทยได้ทำการหารือทวิภาคีเพื่อความร่วมมือด้านพลังงานกับคู่ทวิภาคีจำนวน ๗ ฝ่าย ได้แก่ ทบวงการพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ (International Renewable Energy Agency : IRENA) สาธารณรัฐประชาชนจีน มาเลเซีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ญี่ปุ่น สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และราชอาณาจักรกัมพูชา โดยมีการหารือที่สำคัญ เช่น ฝ่ายจีนเสนอเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ๓ ฝ่าย (จีน ลาว ไทย) เพื่อติดตามเรื่องแผนการซื้อขายไฟฟ้า ๓ ประเทศ มาเลเซียกำลังเตรียมจัดตั้งศูนย์พลังงานทดแทนในรัฐซาบาร์ ซึ่งเป็นการลงทุนโดยบริษัทของไทย เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์ในระดับรัฐต่อรัฐ และบริษัท Mitsui ของญี่ปุ่นมีความสนใจที่จะลงทุนในโครงการสัมปทานในแหล่งเอราวัณของไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16594 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 50/2560 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 59/2559 (ขยายระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ) | สลธ.คสช. | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๕๐/๒๕๖๐ เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๕๙/๒๕๕๙ (ขยายระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ) ลงวันที่ ๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ ให้นายนที ขลิบทอง ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติต่อไป จนถึงวันที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16595 | แนวทางการส่งเสริมการออมทั้งระบบ | กค | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการส่งเสริมการออมทั้งระบบ ซึ่งแบ่งออกเป็น ๔ ด้าน คือ (๑) การจัดทำแผนการส่งเสริมความรู้ทางการเงินแห่งชาติ (๒) การสร้างความแข็งแกร่งให้สถาบันหรือองค์กรการออมที่ไม่ใช่สถาบันการเงินในระบบ (๓) การเพิ่มผลิตภัณฑ์การออมและมาตรการลดรายจ่ายฟุ่มเฟือย และ (๔) การเติมเต็มระบบการออมเพื่อการเกษียณอายุ ทั้งนี้ แนวทางการส่งเสริมการออมทั้งระบบจะส่งผลดี คือ ทำให้ประชาชนตระหนักรู้และเห็นถึงความสำคัญของการบริหารการเงิน รวมทั้งมีความสามารถในการบริหารจัดการเงินของตนเอง ทำให้สหกรณ์ สถาบัน และองค์กรการเงินในระดับชุมชนมีความแข็งแกร่ง ยั่งยืน และเป็นเสาหลักทางการเงินให้กับประชาชนในระดับฐานราก และทำให้ระบบการออมเพื่อการเกษียณอายุของประเทศไทยมีความครอบคลุมแรงงานทั้งในระบบและนอกระบบได้อย่างแท้จริง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16596 | ขอขยายเวลาก่อหนี้ผูกพันและเบิกจ่ายเงินโครงการตามมาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ และสังคมในท้องถิ่น (เพิ่มเติม) | มท | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. อนุมัติขยายเวลาก่อหนี้ผูกพันโครงการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ตามมาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ และสังคมในท้องถิ่น (เพิ่มเติม) ได้จนถึงวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๑ และเบิกจ่ายเงินตามงวดงาน จำนวน ๕๑๑ โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๙๗,๘๐๗,๑๐๐ บาท โดยแหล่งเงินจำแนกเป็นใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับการกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีจากกระทรวงการคลังแล้ว จำนวน ๑๗๖,๐๓๙,๕๐๐ บาท และเงินรายได้ของ อปท. จำนวน ๒๒๑,๗๖๗,๖๐๐ บาท ๒. อย่างไรก็ตาม จากรายงานแสดงการขยายระยะเวลาเงินกันไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปี โดยกรมบัญชีกลางพบว่ามีโครงการตามมาตรการดังกล่าวที่ไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ (รอบที่ ๑) อีกจำนวน ๒๒๕ โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๘๕,๙๒๔,๗๐๐ บาท แบ่งเป็นใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๖๖,๑๕๔,๙๐๐ บาท และเงินรายได้ของ อปท. จำนวน ๒๑๙,๗๖๗,๘๐๐ บาท หาก อปท. ยังไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันโครงการได้ภายในระยะเวลาที่กรมบัญชีกลางอนุมัติให้ขยายระยะเวลากันเงินไว้ ก็เห็นควรให้โครงการดังกล่าวพับไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16597 | การขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมของผู้นำอาเซียน - แคนาดา ในการประชุมสุดยอดอาเซียน - แคนาดา ในโอกาสครบรอบ 40 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน - แคนาดา (ASEAN-Canada Joint Leaders' Statement on the Occasion of the Commemorative Summit to Mark the 40th Anniversary of ASEAN-Canada Dialogue Relations) | กต | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมของผู้นำอาเซียน-แคนาดา ในการประชุมสุดยอดอาเซียน-แคนาดา ในโอกาสครบรอบ ๔๐ ปี ความสัมพันธ์อาเซียน-แคนาดา (ASEAN Canada Joint Leaders’ Statement on the Occasion of the Commemorative Summit to Mark the 40th Anniversary of ASEAN Canada Dialogue Relations) มีสาระสำคัญเป็นการเน้นย้ำถึงการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับแคนาดาในช่วง ๔๐ ปีที่ผ่านมา ในด้านการเมืองและความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม รวมทั้งด้านประชาชนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกมาโดยตลอด โดยให้ความสำคัญกับการยกระดับความเป็นหุ้นส่วนเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน และสนับสนุนสันติภาพ เสถียรภาพ ความเจริญรุ่งเรือง และการพัฒนาอย่างยั่งยืนในประชาคมโลก ๑.๒ ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองถ้อยแถลงร่วมฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16598 | การขอความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ประธานการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเอเชีย - ยุโรป ครั้งที่ 13 | กต | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแถลงการณ์ประธานการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ ๑๓ (13th ASEM Foreign Ministers’ Meeting : ASEM FMM13) ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๐-๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ณ กรุงเนปยีดอ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยร่างแถลงการณ์ฯ เป็นเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ ที่แสดงความมุ่งมั่นของสมาชิก ASEM ในการส่งเสริมความร่วมมือในสาขาที่สมาชิกให้ความสำคัญ อาทิ การพัฒนาอย่างยั่งยืน การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การบริหารจัดการภัยพิบัติ การเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค และพลังงานทดแทน รวมทั้งประเด็นระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศที่มีความสนใจร่วมกัน อาทิ ความร่วมมือทางทะเล การโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ การต่อต้านการก่อการร้าย และความมั่นคงทางไซเบอร์ ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมให้ความเห็นชอบร่างแถลงการณ์ฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16599 | ขอเสนออัตราค่าเบี้ยประชุมของคณะกรรมการราชทัณฑ์และคณะอนุกรรมการ | ยธ | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการกำหนดอัตราค่าเบี้ยประชุมคณะกรรมการราชทัณฑ์ และคณะอนุกรรมการ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้คณะกรรมการราชทัณฑ์ได้รับค่าเบี้ยประชุมเป็นรายครั้ง เฉพาะกรรมการที่มาประชุม ไม่เกิน ๑ ครั้งต่อเดือน ได้แก่ ประธาน ครั้งละ ๗,๕๐๐ บาท กรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ครั้งละ ๖,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ ในกรณีที่ประธานกรรมการไม่สามารถเข้าร่วมประชุมได้ ให้ผู้ซึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมได้รับเบี้ยประชุมในอัตราเดียวกับประธานกรรมการ ๑.๒ ให้คณะอนุกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งจากคณะกรรมการราชทัณฑ์ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้รับค่าเบี้ยประชุมเป็นรายครั้ง เฉพาะอนุกรรมการที่มาประชุม ไม่เกิน ๑ ครั้งต่อเดือน ได้แก่ ประธาน ครั้งละ ๓,๗๕๐ บาท อนุกรรมการ ครั้งละ ๓,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ ในกรณีที่ประธานอนุกรรมการไม่สามารถเข้าร่วมประชุมได้ ให้ผู้ซึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมได้รับเบี้ยประชุมในอัตราเดียวกับประธานอนุกรรมการ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของกรมราชทัณฑ์ ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป เห็นควรให้กรมราชทัณฑ์จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16600 | การร่วมรับรองร่างปฏิญญาบัวโนสไอเรส (Buenos Aires Declaration) ซึ่งเป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุม Global Conference on the Sustained Eradication of Child Labour ครั้งที่ 4 | รง | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาบัวโนสไอเรส (Buenos Aires Declaration) มีเนื้อหาเน้นความร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วนเพื่อขจัดแรงงานเด็กและการบังคับใช้แรงงานผ่านหลักสิทธิมนุษยชน และการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม เช่น การเก็บข้อมูลและสถิติที่มีประสิทธิภาพ การให้ความคุ้มครองที่เหมาะสมแก่เด็กกลุ่มต่าง ๆ การพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ของสังคม การกำหนดนโยบายและแนวปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพในการขจัดปัจจัยที่เอื้อต่อการใช้แรงงานเด็ก รวมถึงการลดความเสี่ยงที่เด็กจะตกเป็นเหยื่อการใช้แรงงานด้วย ๑.๒ เห็นชอบที่ไทยจะรับรองร่างปฏิญญาฯ ในที่ประชุม Global Conference on the Sustained Eradication of Child Labour ครั้งที่ ๔ ระหว่างวันที่ ๑๔-๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ณ กรุงบัวโนสไอเรส สาธารณรัฐอาร์เจนตินา โดยมีเอกอัครราชทูต ณ กรุงบัวโนสไอเรส เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมและเป็นผู้รับรองร่างปฏิญญาฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
.....