ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 825 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 16481 - 16500 จากข้อมูลทั้งหมด 124222 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
16481 | แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน | รง | 04/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการมอบหมายผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในกรณีที่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามความในมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ตามลำดับ และให้ครอบคลุมถึงกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานด้วย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๐) เป็นต้นไป จำนวน ๒ ราย ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์) ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16482 | หลักในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี | นร | 04/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่ทรงมีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งรัฐมนตรีใหม่ ตามประกาศลงวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ จึงกำหนดหลักการในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี ดังนี้
๑. น้อมนำพระราชดำรัสของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ที่พระราชทานในโอกาสที่รัฐมนตรีดังกล่าวเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายสัตย์ปฏิญญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ และแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่ ๒. ยึดหลักความซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใส และตรวจสอบได้ ๓. สร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารงานของรัฐบาลที่ถูกต้องให้แก่ประชาชนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประชาชนกับรัฐบาล โดยให้ชี้แจงในเรื่องต่าง ๆ ที่ประชาชนมีข้อสงสัยหรือไม่เข้าใจ รวมทั้งชี้แจงความคืบหน้าในการดำเนินงานและเผยแพร่ผลงานในความรับผิดชอบอย่างต่อเนื่อง ๔. ให้ความสำคัญกับการปฏิรูปการดำเนินงานในเชิงบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอกกระทรวงภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และลงพื้นที่เพื่อติดตามและขับเคลื่อนการดำเนินการต่าง ๆ ในความรับผิดชอบ โดยยึดประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16483 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวม รวม 3 ฉบับ [ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดระยอง (ฉบับ ที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับเมืองรวมจังหวัดระยอง พ.ศ. 2560)] | มท | 04/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวม รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการเพิ่มประเภทโรงงานในร่างกฎกระทรวงฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดสุรินทร์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดสุรินทร์ พ.ศ. ๒๕๕๖) ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดระยอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดระยอง พ.ศ. ๒๕๖๐) ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมและชุมชนแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมและชุมชนแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๕๕) ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดลักษณะการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินและสัญลักษณ์สีแสดงการใช้ประโยชน์ที่ดิน และควรพิจารณาการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรมควบคู่กับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างมีดุลยภาพ รวมทั้งพิจารณาการใช้ที่ดินเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก โดยดำเนินการควบคู่กับการวางผังการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างมีดุลยภาพ เช่น มีสัดส่วนของที่ว่างและพื้นที่สีเขียวที่เหมาะสม และควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นกำกับดูแลและอนุมัติการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของผังเมืองอย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16484 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 04/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงานพิจารณากำหนดมาตรการการส่งเสริมการลงทุนให้แก่ภาคเอกชนในการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยสำหรับแรงงานต่างด้าวในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น พื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทั้งนี้ ในการจัดหาพื้นที่เพื่อการดังกล่าว ให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้คำนึงถึงประเด็นด้านความมั่นคงด้วย ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการจัดหาพันธุ์สัตว์หรือน้ำเชื้อปศุสัตว์ เช่น โค กระบือ ที่มีคุณภาพให้แก่เกษตรกร เพื่อเร่งการผลิตปศุสัตว์ให้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ให้กำหนดเป้าหมายของการดำเนินการในแต่ละปีให้ชัดเจนด้วย ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการลงทุนแก่นักลงทุนและประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับการลงทุนในเงินสกุลดิจิทัลต่าง ๆ เช่น บิตคอยน์ (Bitcoin) ให้ถูกต้อง ทั่วถึง โดยจะต้องชี้แจง เน้นย้ำให้ทราบถึงข้อควรระวังและปัจจัยเสี่ยงในการลงทุนเงินสกุลดังกล่าวให้ชัดเจนด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้นักลงทุนและประชาชนมีความรู้ความเข้าใจและมีการพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน ๒. ด้านสังคม ๒.๑ ให้กระทรวงแรงงาน (กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน) พิจารณาจัดตั้งศูนย์ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานชั่วคราวในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกับนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดต่าง ๆ หรือศูนย์ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานเคลื่อนที่ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้แรงงานหรือผู้ที่อาศัยอยู่ในย่านนิคมอุตสาหกรรม และมีความสนใจเข้ารับการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ ๒.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงศึกษาธิการกำกับให้สถาบันอาชีวศึกษาทุกจังหวัดทั่วประเทศจัดหลักสูตรการฝึกอบรมวิชาชีพและช่างฝีมือในสาขาต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับความต้องการแรงงานในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งให้จัดทำบัญชีรายชื่อผู้ที่เข้ารับการฝึกอบรมเพื่อสร้างเครือข่ายและต่อยอดการพัฒนาฝีมือในอนาคตต่อไปด้วย นั้น ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการให้ครอบคลุมถึงการกำหนดหลักสูตรการศึกษาอบรมของสถาบันอุดมศึกษาต่าง ๆ ด้วย ๓. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมของกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารและการขออนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมตามกฎหมายโรงแรมและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันเพื่อกำกับดูแลให้การประกอบธุรกิจโรงแรมหรือเกสต์เฮาส์เป็นไปอย่างถูกต้อง คล่องตัวและสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ดังกล่าวประการใด ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงภาระทางภาษีที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมด้วย ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้ทุกส่วนราชการประสานงานกับคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศแต่ละด้านก่อนที่จะดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับคณะกรรมการดังกล่าว เพื่อให้การดำเนินการมีความสอดคล้อง เชื่อมโยง และเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับแนวทางการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ และพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. ๒๕๖๐ นั้น ให้ทุกกระทรวงแต่งตั้งคณะทำงานพิเศษขึ้นภายในสำนักงานปลัดกระทรวงเพื่อทำหน้าที่ประสานงานเชื่อมโยงกับคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศแต่ละด้าน ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรวบรวมข้อมูลดังกล่าวทั้งหมดแล้วนำเสนอนายกรัฐมนตรีภายใน ๑๕ วัน ๔.๒ ตามที่รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการสร้างการรับรู้แก่ประชาชนในเรื่องต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการจัดทำภาพหรือกราฟิกเพื่อการสื่อสาร (Infographics) เพื่อให้เข้าใจง่าย ตามนัยข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี และได้มีการแต่งตั้งโฆษกกระทรวงเพื่อทำหน้าที่สร้างการรับรู้ภารกิจและผลการดำเนินการของแต่ละกระทรวง รวมทั้งได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติเพื่อทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์งานของรัฐบาล นั้น เพื่อให้ประชาชนรับรู้และเข้าใจผลงานของรัฐบาลที่มีข้อมูลจำนวนมากได้อย่างถูกต้องและเข้าใจง่าย จึงให้ดำเนินการดังนี้ ๔.๒.๑ ให้โฆษกกระทรวง โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี บูรณาการการจัดทำข้อมูลเพื่อการประชาสัมพันธ์ดังกล่าว โดยให้นำเสนอ (๑) ข้อมูลในภาพรวมที่มีเนื้อหาสั้น กระชับ เข้าใจได้ง่าย โดยจัดทำในลักษณะเป็นภาพหรือกราฟิกเพื่อการสื่อสาร (Infographics) ที่มีรูปแบบทันสมัยและดึงดูดความสนใจ (๒) ข้อมูลที่เป็นรายละเอียดแต่ละเรื่อง ให้นำเผยแพร่ต่อสาธารณชนในสถานที่ที่มีประชาชนเป็นจำนวนมาก เช่น ศูนย์การค้า สถานีรถไฟฟ้า ทั้งนี้ ให้รายงานผลการดำเนินการดังกล่าวให้คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติทราบด้วย ๔.๒.๒ ให้คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติทบทวนการนำเสนอรายงานผลการดำเนินงานและแผนการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๘ โดยให้นำผลการดำเนินงานของโฆษกกระทรวงและโฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรีตามข้อ ๔.๒.๑ มาประมวลด้วย ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงการรับรู้ของประชาชนเกี่ยวกับผลงานของรัฐบาล และให้คณะรัฐมนตรีได้รับทราบการดำเนินงานด้านประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลในภาพรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๕. ให้ทุกส่วนราชการพิจารณากำหนดการดำเนินการ/กิจกรรม ตามความเหมาะสมเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่มอบให้แก่ประชาชน เช่น การอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ การลดภาระรายจ่ายในเรื่องต่าง ๆ ของประชาชน โดยอาจพิจารณานำแนวทางการดำเนินการในปีที่ผ่านมามาเป็นข้อมูลประกอบการดำเนินการเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย ๖. ให้กระทรวงวัฒนธรรมพิจารณาคัดเลือกบทเพลงที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ไทย เพื่อให้ส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ ใช้เป็นเพลงในการนำเสนอในเวทีหรือการจัดนิทรรศการระดับนานาชาติ ทั้งที่จัดในประเทศไทยและต่างประเทศเพื่อแสดงความเป็นไทย ๗. ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการโดยมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) กำกับให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการรายงานความคืบหน้าในการจัดทำแผนก่อสร้างสถานที่จอดรถใต้ดินและการพิจารณาความเป็นไปได้ในการให้เอกชนร่วมลงทุน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน นั้น ให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) เร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าวแล้วรายงานความคืบหน้าต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วนภายใน ๑ เดือน ๘. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบปัญหาจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ตามแผนเผชิญเหตุที่ได้กำหนดไว้ โดยให้ระดมกำลังเครื่องจักรกล รถผลิตน้ำดื่ม รถไฟฟ้า รถสุขา และเรือท้องแบนเพื่อให้บริการประชาชนในการสัญจร ตลอดจนเร่งระบายน้ำที่ท่วมขังลงสู่ทะเลโดยเร็ว รวมทั้งให้พิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการเพื่อลดพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยในระยะต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยจัดเตรียมแผนการตรวจเยี่ยมประชาชนในพื้นที่ที่ประสบปัญหาจากอุทกภัยดังกล่าวและเสนอนายกรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16485 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวม รวม 3 ฉบับ [ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมและชุมชนแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี (ฉบับ ที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมและชุมชนแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี พ.ศ. 2555)] | มท | 04/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวม รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการเพิ่มประเภทโรงงานในร่างกฎกระทรวงฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดสุรินทร์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดสุรินทร์ พ.ศ. ๒๕๕๖) ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดระยอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดระยอง พ.ศ. ๒๕๖๐) ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมและชุมชนแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมและชุมชนแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๕๕) ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดลักษณะการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินและสัญลักษณ์สีแสดงการใช้ประโยชน์ที่ดิน และควรพิจารณาการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรมควบคู่กับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างมีดุลยภาพ รวมทั้งพิจารณาการใช้ที่ดินเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก โดยดำเนินการควบคู่กับการวางผังการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างมีดุลยภาพ เช่น มีสัดส่วนของที่ว่างและพื้นที่สีเขียวที่เหมาะสม และควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นกำกับดูแลและอนุมัติการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของผังเมืองอย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16486 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าเกาะพะงัน ในท้องที่ตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... (อุทยานแห่งชาติธารเสด็จ - หมู่เกาะพะงัน) | ทส | 28/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าเกาะพะงัน ในท้องที่ตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... (อุทยานแห่งชาติธารเสด็จ - หมู่เกาะพะงัน) มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองรักษาทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญและมีค่า เช่น พันธุ์ไม้ ของป่า สัตว์ป่า ตลอดจนทิวทัศน์ที่สวยงามบริเวณที่ดินป่าเกาะพะงัน ในท้องที่ตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เนื้อที่ประมาณ ๔๓.๐๓๒๐ ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ ๒๖,๘๙๕ ไร่ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16487 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 51/2560 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร | สลธ.คสช. | 28/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๕๑/๒๕๖๐ เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16488 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 52/2560 เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่ง | สลธ.คสช. | 28/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๕๒/๒๕๖๐ เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่ง ลงวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ให้นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ พ้นจากตำแหน่งอธิบดีกรมชลประทาน และให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ โดยให้เป็นหัวหน้าส่วนราชการที่มีฐานะเป็นกรมในสำนักนายกรัฐมนตรี และอยู่ในบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี ๒. ให้นายทองเปลว กองจันทร์ พ้นจากตำแหน่งรองอธิบดีกรมชลประทาน และให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมชลประทาน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16489 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2560) | อื่นๆ | 28/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ซึ่งระเบียบวาระการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ ๖๘/๒๕๖๐ ในวันพฤหัสบดีที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ และครั้งที่ ๖๙/๒๕๖๐ ในวันศุกร์ที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16490 | แนวทางการใช้จ่ายเงินสะสมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ | มท | 28/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีเงินสะสม ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ จำนวน ๓๑๘,๓๔๒.๖๘ ล้านบาท เมื่อกันเงินสำรองจ่ายกรณีเกิดสาธารณภัย สำรองงบบุคลากร และเงินที่จะต้องทดรองจ่ายให้แก่ประชาชนก่อนได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล เช่น เบี้ยยังชีพ ฯลฯ และรายการที่ก่อหนี้ผูกพันไว้แต่ยังไม่ได้จ่าย จำนวน ๑๖๗,๓๘๘.๓๔ ล้านบาท แล้ว คงเหลือเงินสะสมที่สามารถนำมาใช้จ่ายได้ จำนวน ๑๕๐,๙๕๔.๓๔ ล้านบาท ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้กำหนดแนวทางการใช้จ่ายเงินสะสมของ อปท. เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนี้ ๑.๑ โครงการที่ดำเนินการจะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง ไม่เป็นการใช้จ่ายในกิจกรรมที่ไม่เกิดประโยชน์หรือฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น ๑.๒ อปท. จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข การใช้จ่ายเงินสะสม ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงิน และการตรวจเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยจะต้องคำนึงถึงสถานะทางการคลัง เสถียรภาพทางการเงินการคลังในระยะยาว ๑.๓ อปท. จะต้องสำรองเงินสะสมจำนวนหนึ่งไว้ก่อนโดยเฉพาะเงินสำรองจ่ายกรณีเกิดสาธารณภัย เงินสำรองไว้สำหรับรายจ่ายประจำ เช่น ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร เงินที่ต้องสำรองจ่ายก่อนที่จะได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล (ค่าเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ/ผู้พิการ ฯลฯ) เงินสะสมที่มีภาระผูกพันแล้ว เป็นต้น หลังจากนั้นจึงจะนำเงินสะสมที่เหลือไปใช้จ่ายได้ ๑.๔ โครงการหรือกิจการที่จะดำเนินการต้องอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ อปท. ในด้านการบริการชุมชนและสังคม กิจการที่เป็นการเพิ่มพูนรายได้ของ อปท. หรือกิจการที่จัดทำขึ้นเพื่อบำบัดความเดือดร้อนของประชาชนโดยถือปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยฯ ข้อ ๘๙ ๑.๕ ให้ อปท. นำเงินสะสมไปใช้จ่ายตามอำนาจหน้าที่เพื่อสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่นและการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน โดยให้ความสำคัญกับโครงการ เช่น ด้านโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้านโครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค และน้ำเพื่อการเกษตร การจัดการขยะมูลฝอย การรักษาความสะอาดในท้องถิ่น เป็นต้น ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยประสานงานกับกระทรวงการคลังกรณีขอยกเว้นการดำเนินการด้านการพัสดุที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ อปท. ดำเนินการให้ถูกต้องเหมาะสมต่อไป โดยควรกำหนดให้ อปท. สามารถเร่งรัดก่อหนี้ผูกพันและเบิกจ่ายเงินได้ภายในระยะเวลา ๔ เดือน นับแต่ได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณากำหนดแนวทางการใช้จ่ายเงินสะสมของ อปท. ตามกรอบวงเงินสะสมที่สามารถใช้จ่ายได้โดยไม่รวมเงินสำรองต่าง ๆ ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงิน และการตรวจเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยให้ความสำคัญกับโครงการที่สามารถพัฒนาท้องถิ่นให้มีความเข้มแข็ง รวมทั้งสามารถตอบสนองต่อการแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่และการดำเนินนโยบายสำคัญเร่งด่วนของรัฐบาล เช่น การก่อสร้างและซ่อมแซมถนนโดยใช้ยางพาราเป็นส่วนประกอบ เป็นต้น ๔. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ในฐานะประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรับไปหารือร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาแนวทางการจัดสรรงบประมาณเพื่อการดำเนินภารกิจต่าง ๆ ของ อปท. โดยคำนึงถึงสัดส่วนการจัดสรรรายได้ให้แก่ อปท. อย่างเหมาะสม รวมทั้งพิจารณากำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายเงินสะสมของ อปท. เช่น การลงทุนร่วมระหว่างรัฐบาลและ อปท. (Matching Fund) ตามมาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจและสังคมภายในท้องถิ่น การจัดสรรงบประมาณสำหรับการซ่อมบำรุงถนนในท้องถิ่นและสำหรับการสร้างถนนในพื้นที่ของ อปท. และระหว่าง อปท. ด้วยกันเอง ภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการถ่ายโอนภารกิจ เช่น ภาระค่าไฟฟ้าที่ติดตั้งบริเวณถนนที่รับโอนมาจากกรมทางหลวงชนบท เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16491 | ขออนุมัติกรอบอัตรากำลังพนักงานมหาวิทยาลัยเพิ่มเติมของสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปีงบประมาณ 2561 - 2564 | ศธ | 28/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติกรอบอัตรากำลังพนักงานมหาวิทยาลัยเพิ่มเติมของสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔ สายวิชาการ จำนวน ๒๗๑ อัตรา สายสนับสนุน จำนวน ๑๐๓ อัตรา รวม ๓๗๔ อัตรา ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของสถาบันอุดมศึกษาดังกล่าวมาดำเนินการ สำหรับในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา และสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการกำหนดเงื่อนไขให้สถาบันอุดมศึกษาที่ขอรับการจัดสรรอัตรากำลังเพิ่มเติมจะต้องไม่มีอัตรากำลังว่างที่ไม่มีคนครองเกินหนึ่งปีเหลืออยู่ และกำหนดระยะเวลาการปฏิบัติงานในพื้นที่สำหรับการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุแต่งตั้งในอัตราที่ได้รับการจัดสรรเพิ่มเติม เพื่อป้องกันการบรรจุแล้วขอย้ายออกจากพื้นที่ในภายหลัง รวมทั้งให้นำข้อสังเกตของคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๖๐ เกี่ยวกับการกำหนดเงื่อนไขในการคัดเลือกบรรจุบุคลากรสายวิชาการ ไปดำเนินการเพื่อให้เกิดความเสมอภาคและได้บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริงไปปฏิบัติงานในสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ป้องกันปัญหาการร้องเรียนเกี่ยวกับความโปร่งใสและความเป็นธรรมในการคัดเลือกในภายหลัง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดสวัสดิการที่เหมาะสม รวมทั้งกำหนดมาตรการดูแลเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของบุคลากรของสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างเคร่งครัด เพื่อให้มีผู้มาปฏิบัติงานในพื้นที่เต็มตามอัตราที่กำหนด โดยเฉพาะในสาขาที่ขาดแคลนและมีความต้องการที่สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศในระยะยาว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16492 | โครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนใต้ | ศธ | 28/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนใต้ ระยะที่ ๓ เป็นการต่อยอดให้นักเรียนซึ่งได้รับทุนการศึกษาในโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนใต้ ระยะที่ ๑ และ ๒ ที่สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ แผนการเรียนวิทยาศาสตร์-กีฬา และแผนการเรียนศิลป์ภาษา-กีฬา ของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จำนวน ๑๒ โรงเรียน นักเรียนจำนวน ๒,๕๑๙ คน ให้ได้รับทุนการศึกษาเพื่อเข้าศึกษาต่อจนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ของสถาบันอุดมศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) และอาชีวศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) แผนการดำเนินงานใน ๕ ปีการศึกษา (ปีการศึกษา ๒๕๖๑-๒๕๖๕) โดยเริ่มต้นและสิ้นสุดโครงการฯ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๙ งบประมาณดำเนินโครงการฯ ๕๕๑,๖๗๗,๕๐๐ บาท โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เห็นควรให้ สกอ. ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเป็นทุนการศึกษา จำนวน ๖๔ ทุน วงเงิน ๑,๗๖๐,๐๐๐ บาท และ สอศ. ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเป็นทุนการศึกษา จำนวน ๒๗ ทุน วงเงิน ๗๔๒,๕๐๐ บาท รวมจำนวน ๙๑ ทุน วงเงินทั้งสิ้น ๒,๕๐๒,๕๐๐ บาท ส่วนทุนการศึกษาที่เหลืออยู่อีก จำนวน ๒,๔๒๘ ทุน ให้ทั้งสองหน่วยงานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป สำหรับค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการฯ จำนวน ๑๙,๒๑๓,๐๐๐ บาท จะพิจารณาตามความจำเป็นและเหมาะสมในแต่ละปีงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำแผนการรับนักเรียนใน ๑๒ โรงเรียน ตั้งแต่ปีการศึกษา ๒๕๖๑-๒๕๖๕ ของ สพฐ. ให้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการดำเนินงานตามโครงการฯ และกำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกเป้าหมายนักเรียนที่จะได้รับทุนต่อไปด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุม กำกับดูแล โครงการฯ ให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด และควรเตรียมมาตรการรองรับกรณีผู้สำเร็จการศึกษาไม่สามารถสอบผ่านการคัดเลือกศึกษาต่อระดับปริญญาตรี การลาออกกลางคัน และควรคำนึงถึงการให้ผู้รับทุนการศึกษากลับไปพัฒนาภูมิลำเนาของตนเอง รวมทั้งมีการจัดทำฐานข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการฯ นอกจากนี้ ควรพิจารณาดำเนินโครงการฯ ให้สอดคล้องกับข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๖๐ โดยเฉพาะในเรื่องการสร้างการรับรู้และขับเคลื่อนโครงการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และควรจัดระบบติดตามประเมินผลและรายงานคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการส่งเสริมให้นักเรียน นักศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้ารับการศึกษาในสายสามัญหรือสายอาชีพเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในสาขาวิชาที่เป็นความต้องการของพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้และสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติและแนวทางการปฏิรูปประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16493 | ขอความเห็นชอบตามมาตรการในประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและขอผ่อนผันการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2535 เรื่อง แผนแม่บทการจัดการปะการังของประเทศ โครงการก่อสร้างระบบท่อส่งประปาลอดใต้ทะเลไปยังเกาะสมุย | มท | 28/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ชี้แจงเพิ่มเติมว่า โครงการก่อสร้างระบบท่อส่งน้ำประปาลอดใต้ทะเลไปยังเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้รับการอนุมัติให้ดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคสาขาเกาะสมุย ระยะที่ ๑ แบ่งออกเป็น ๓ ส่วน และมีการดำเนินการไปแล้ว ๒ ส่วน คือ ส่วนที่ ๑ : การวางท่อจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี-อำเภอดอนสัก และส่วนที่ ๓ : การวางท่อส่งจ่ายน้ำบนเกาะสมุย ดำเนินการก่อสร้างมาแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ สำหรับส่วนที่ ๒ : การวางท่อจากอำเภอดอนสัก-ลอดทะเล-อำเภอเกาะสมุย ยังมิได้ดำเนินการ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ให้ใช้มาตรการสิ่งแวดล้อมที่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ ตำบลหน้าเมือง ตำบลอ่างทอง ตำบลลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. ๒๕๕๗ รวมทั้งมีบางส่วนที่จะต้องวางท่อลอดใต้ท้องทะเลใกล้แนวปะการังในระยะ ๑ กิโลเมตร ซึ่งจะต้องขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๓๕ (เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง แผนแม่บทการจัดการปะการังของประเทศ) ด้วย หากไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้จะทำให้ไม่สามารถเชื่อมต่อโครงการฯ ได้ทั้งระบบและใช้ประโยชน์ได้ ๒. เห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบตามมาตรการข้อ ๓ (๑)(ค) ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ ตำบลหน้าเมือง ตำบลอ่างทอง ตำบลลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. ๒๕๕๗ ในการดำเนินการโครงการก่อสร้างระบบท่อส่งน้ำประปาลอดใต้ทะเลไปยังเกาะสมุย (โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคสาขาเกาะสมุย อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ระยะที่ ๑ ส่วนที่ ๒ ปีงบประมาณ ๒๕๕๘) ๒.๒ ผ่อนผันการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๓๕ ในการดำเนินการโครงการก่อสร้างระบบท่อส่งน้ำประปาลอดใต้ทะเลไปยังเกาะสมุย (โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคสาขาเกาะสมุย อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ระยะที่ ๑ ส่วนที่ ๒ ปีงบประมาณ ๒๕๕๘) ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย โดยการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ดำเนินการตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๐ และคณะกรรมการกำกับดูแลและติดตามผลการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๙ ที่ให้ กปภ. สร้างปะการังเทียม หรือปลูกปะการังจริงในพื้นที่ใกล้เคียงทดแทน รณรงค์การลดการใช้น้ำ การบำบัดน้ำเสีย และการนำน้ำเสียที่บำบัดแล้วกลับมาใช้ประโยชน์ การสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการฯ ให้สื่อมวลชนและประชาชนได้รับทราบ และดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ครอบคลุม ครบถ้วน และถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ กปภ. แจ้งรายละเอียดการดำเนินการให้กรมเจ้าท่าทราบ เพื่อออกประกาศให้เรือที่แล่นสัญจรผ่านไป-มา ระมัดระวังการเดินเรือในพื้นที่ก่อสร้างโครงการฯ และควรพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง อาทิ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูแนวปะการัง โดยอาจขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการขนาดใหญ่บนเกาะสมุยร่วมด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ในการจัดให้มีน้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภคของประชาชนในบริเวณพื้นที่ที่เป็นเกาะต่าง ๆ ในโอกาสต่อไป ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการจัดตั้งโรงงานผลิตน้ำประปาในพื้นที่ควบคุมไปกับการดำเนินการบำบัดน้ำเสีย แทนการจัดทำท่อส่งน้ำประปาลอดใต้ทะเล โดยให้กระทรวงการคลังพิจารณามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุน/การส่งเสริมให้ดำเนินการดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16494 | รายงานผลการดำเนินงานการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ที่เกิดขึ้นระหว่างเดือนธันวาคม 2559 - มกราคม 2560 ของกระทรวงคมนาคม | คค | 28/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ที่เกิดขึ้นระหว่างเดือนธันวาคม ๒๕๕๙-มกราคม ๒๕๖๐ โดยกระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท กรมท่าอากาศยาน และการรถไฟแห่งประเทศไทย) ได้ดำเนินการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ รวมทั้งสิ้น ๕๖๙ แห่ง วงเงินรวม ๖,๐๕๕.๙๖ ล้านบาท ประกอบด้วย ฟื้นฟูสายทางและสะพาน ฟื้นฟูท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช และฟื้นฟูเส้นทางรถไฟ ดำเนินการแล้วเสร็จ จำนวน ๒๖๓ แห่ง (คิดเป็นร้อยละ ๔๖.๒๒) และอยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน ๓๐๖ แห่ง (คิดเป็นร้อยละ ๕๓.๗๘) นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาสิ่งกีดขวางทางน้ำในภาคใต้ตามข้อมูลของกรมชลประทาน โดยการก่อสร้างทางลอดทางรถไฟ การแก้ไขสะพาน และการก่อสร้างกำแพงกันดิน รวมทั้งสิ้น ๕๒ แห่ง วงเงิน ๗๙๔.๓๗ ล้านบาท ดำเนินการแล้วเสร็จ จำนวน ๑๔ แห่ง (คิดเป็นร้อยละ ๒๖.๙๒) และอยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน ๓๐ แห่ง (คิดเป็นร้อยละ ๕๗.๖๙) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการเพื่อปรับปรุงและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางถนนให้สามารถอำนวยความสะดวกและสร้างความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชน ดังนี้ ๒.๑ ให้บูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเร่งรัดแก้ไขปัญหาน้ำท่วมผิวการจราจรในสายทางต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เช่น ถนนสุขุมวิทช่วงผ่านเมืองพัทยา เป็นต้น โดยอาจพิจารณาสร้างทางระบายน้ำหรือเสริมพื้นถนนเดิมให้สูงขึ้นตามความจำเป็นและเหมาะสม ๒.๒ ให้พิจารณาความเป็นไปได้ในการใช้ประโยชน์จากพื้นที่เกาะกลางถนนของสายทางต่าง ๆ เพื่อจัดทำเป็นทางยกระดับเพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรและ/หรือใช้เป็นทางระบายน้ำ ตามแต่กรณี ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงความปลอดภัยและความคุ้มค่าเป็นหลักด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16495 | มาตรการด้านการเงินสำหรับเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ | กค | 28/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบในหลักการมาตรการด้านการเงินสำหรับเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ขยายระยะเวลาโครงการรวมถึงปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ และอนุมัติงบประมาณชดเชยไม่เกิน ๒,๘๓๗.๕๐ ล้านบาท โดยให้ธนาคารออมสินทำความตกลงในการเบิกจ่ายงบประมาณดังกล่าวตามภาระที่เกิดขึ้นจริงกับสำนักงบประมาณต่อไป ทั้งนี้ ให้สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการมีความเข้มงวดในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ โดยต้องเป็นผู้ประกอบการที่มีสถานประกอบการและมีการดำเนินธุรกิจอยู่ในพื้นที่อย่างแท้จริง รวมถึงขอความร่วมมือให้สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการเร่งดำเนินการอนุมัติคำขอสินเชื่อที่ยังค้างอยู่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๑.๒ ขยายเวลามาตรการพักชำระหนี้ลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และอนุมัติงบประมาณชดเชยไม่เกิน ๖๗๓.๒ ล้านบาท ซึ่งเป็นการชดเชยตามหลักการเดิม โดยให้ ธ.ก.ส. ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณตามความความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๑.๓ ขยายระยะเวลาและปรับปรุงหลักเกณฑ์โครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากภัยก่อการร้ายในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ และอนุมัติงบประมาณชดเชยไม่เกิน ๙๐ ล้านบาท โดยให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เป็นหน่วยงานจัดสรรงบประมาณและทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๑.๔ เห็นชอบโครงการสินเชื่อฉุกเฉินเพื่อมุสลิม และอนุมัติงบประมาณชดเชยไม่เกิน ๒๐๐ ล้านบาท โดยให้ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) ทำความตกลงในการเบิกจ่ายงบประมาณดังกล่าวตามภาระที่เกิดขึ้นจริงกับสำนักงบประมาณต่อไป ๑.๕ รับทราบโครงการสินเชื่อบ้านมุสลิมชายแดนใต้ของ ธอท. และโครงการสินเชื่อสำหรับจังหวัดชายแดนภาคใต้ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เกี่ยวกับการขยายระยะเวลา หลักเกณฑ์และเงื่อนไข และวงเงินงบประมาณชดเชยสำหรับโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ มาตรการพักชำระหนี้ลูกค้า ธ.ก.ส. และโครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยก่อการร้ายในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามภาระที่เกิดขึ้นจริงตามความจำเป็นและความเหมาะสมต่อไป สำหรับโครงการสินเชื่อฉุกเฉินเพื่อมุสลิม ให้ ธอท. กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการพิจารณาสินเชื่อด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง ส่วนโครงการสินเชื่อบ้านมุสลิมชายแดนใต้ของ ธอท. และโครงการสินเชื่อสำหรับจังหวัดชายแดนภาคใต้ของ ธอส. ที่ไม่ขอรับการชดเชยจากรัฐบาล ให้ธนาคารตรวจสอบความซ้ำซ้อนของโครงการในลักษณะเดียวกันกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจอื่น ๆ ที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน และมีการติดตามประเมินผลอย่างเข้มงวด เพื่อนำมาปรับปรุงและแก้ไขการดำเนินการในระยะต่อไปให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับ ศอ.บต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการประเมินผลสัมฤทธิ์ของมาตรการและรายงานผลต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ทราบเป็นระยะ ๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาปรับปรุงแนวทาง/มาตรการในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงมหาดไทย หน่วยงานฝ่ายความมั่นคง เช่น ศอ.บต. กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางในการส่งเสริมและสนับสนุนการประกอบกิจการขนาดเล็กต่าง ๆ ที่มีผู้ประกอบการในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเจ้าของกิจการและมีการจ้างแรงงานในพื้นที่ และให้เร่งดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16496 | ภาพรวมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งภาคใต้ของกระทรวงคมนาคม | คค | 28/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบกรอบการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งภาคใต้ ๔ ด้านหลัก ซึ่งแต่ละด้านมีโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ และจะดำเนินการต่อไปในอนาคต ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. การพัฒนา/ปรับปรุง โครงสร้างพื้นฐานทางถนน อำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนให้เกิดความปลอดภัย มีประสิทธิภาพพร้อมรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจ ๑.๑ โครงการสำคัญในพื้นที่ภาคใต้ ได้แก่ โครงการทางหลวงเชื่อมโยงประเทศมาเลเซีย (ช่วงจังหวัดสงขลา) และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการคมนาคมถนนเพชรเกษมเชื่อมโยงจังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ และตรัง ๑.๒ โครงการสำคัญในพื้นที่ภาคใต้ชายแดน ได้แก่ สะพานข้ามแม่น้ำโกลก ๒ แห่ง (ที่อำเภอตากใบ และอำเภอสุไหงโก-ลก) และโครงการถนนสายบือเล็งใต้-โกตาบารู (รวมสะพานข้ามแม่น้ำสายบุรี) ๒. การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมสนับสนุนแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำ ๒.๑ โครงการสำคัญในพื้นที่ภาคใต้ ได้แก่ โครงการถนนเพื่อการท่องเที่ยวเลียบชายฝั่งทะเลตะวันตกในพื้นที่จังหวัดระยองและจังหวัดชุมพร โครงการศึกษาความเหมาะสมและสำรวจออกแบบท่าเทียบเรือสำราญขนาดใหญ่ (Cruise) ที่จังหวัดกระบี่และเกาะสมุย และโครงการปรับปรุงและพัฒนาท่าอากาศยานหาดใหญ่ ภูเก็ต กระบี่ สุราษฎร์ธานี ตรัง และนครศรีธรรมราช ๒.๒ โครงการสำคัญในพื้นที่ภาคใต้ชายแดน ได้แก่ โครงการปรับปรุงและพัฒนาท่าอากาศยานนราธิวาส และเบตง ๓. การพัฒนาโครงข่ายการคมนาคมขนส่งทางน้ำเพื่อเป็นประตูการค้า การลงทุน ๓.๑ โครงการสำคัญในพื้นที่ภาคใต้ ได้แก่ โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือน้ำลึกสงขลา แห่งที่ ๒ ๓.๒ โครงการสำคัญในพื้นที่ภาคใต้ชายแดน ได้แก่ โครงการขุดลอกและบำรุงรักษาร่องน้ำชายฝั่งทะเลอ่าวปัตตานี โครงการปรับปรุงท่าเทียบเรือชายฝั่งปัตตานี และศึกษาความเหมาะสมเพื่อปรับปรุงขยายท่าเทียบเรือปัตตานีให้รองรับได้ขนาดมากกว่า ๕,๐๐๐ ตันกรอส ๔. การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งทางรถไฟ เพื่อความสะดวกในการเดินทางของประชาชนอย่างยั่งยืน ๔.๑ โครงการสำคัญในพื้นที่ภาคใต้ ได้แก่ โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ จำนวน ๖ เส้นทาง เช่น ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี ช่วงสุราษฎร์ธานี-หาดใหญ่-สงขลา และช่วงสุราษฎร์ธานี-พังงา-ภูเก็ต และโครงการระบบขนส่งมวลชนภูเก็ต ๔.๒ โครงการสำคัญในพื้นที่ภาคใต้ชายแดน ได้แก่ โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16497 | ทิศทางการพัฒนาภาคใต้และภาคใต้ชายแดน ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) | นร11 | 28/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบทิศทางการพัฒนาภาคใต้และภาคใต้ชายแดน ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ซึ่งมีแนวทางการพัฒนา ๓ แนวทาง ได้แก่ (๑) พัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรเพื่อความมั่นคงให้กับภาคการผลิต (๒) พัฒนาเมืองสุไหงโก-ลก และเมืองเบตงให้เป็นเมืองการค้าและเมืองท่องเที่ยวชายแดน และ (๓) เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน โดยพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ให้การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมมีความสอดคล้องเชื่อมโยงกับมิติด้านความมั่นคง รวมทั้งเป็นไปในทิศทางเดียวกับยุทธศาสตร์ชาติด้วย ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16498 | สรุปผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่ภาคใต้และภาคใต้ชายแดน | นร11 | 28/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีในการปฏิบัติราชการในพื้นที่ภาคใต้และภาคใต้ชายแดน และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และเห็นชอบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอขอให้เพิ่มเติมโครงการภายใต้การพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายถนน จำนวน ๑ โครงการ ได้แก่ โครงการปรับปรุงถนนสายบ้านศาลาด่าน-บ้านสังกาอู้ อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดลำดับความสำคัญของโครงการต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่การพิจารณาปรับปรุงและจัดทำแผนปฏิบัติการของแต่ละโครงการต่อไป โดยให้กำหนดระยะเวลาการดำเนินงานและผลสัมฤทธิ์ของโครงการที่คาดว่าจะได้รับในแต่ละช่วงเวลาให้ชัดเจน เช่น แผนงาน/โครงการ ที่จะดำเนินการและผลสัมฤทธิ์ที่คาดว่าจะได้รับในระยะเวลา ๑ ปี และในระยะเวลา ๓ ปี เป็นต้น เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อการแก้ไขปัญหาตามความจำเป็นเร่งด่วน และสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16499 | ร่างพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 28/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เกี่ยวกับการพิจารณาแก้ไขในรายละเอียดของหลักการและเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามมติคณะกรรมการประสานงานกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16500 | ร่างพระราชบัญญัติโอนที่ราชพัสดุที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะในท้องที่ตำบลกมลาไสย อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ ให้แก่นางบุญมี ดอนเมือง และนางสวาท ดอนกระสินธุ์ พ.ศ. .... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | กค | 28/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติโอนที่ราชพัสดุที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ ในท้องที่ตำบลกมลาไสย อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ ให้แก่นางบุญมี ดอนเมือง และนางสวาท ดอนกระสินธุ์ พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
.....