ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 301 จากทั้งหมด 567 หน้า แสดงรายการที่ 6001 - 6020 จากข้อมูลทั้งหมด 11338 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
6001 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล โรคเขียวเตี้ย และโรคใบหงิก | กษ | 02/11/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะ
รัฐมนตรี เรื่อง โครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล โรคเขียว เตี้ย และโรคใบหงิก สรุปได้ดังนี้ ๑. การดำเนินงานตามแนวทางเร่งด่วนเพื่อยุติการระบาด ประกอบด้วย ๑.๑ ดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือเป็นเงินสดในอัตราไร่ละ ๒,๒๘๐ บาท มีเกษตรการเข้าร่วมโครง การจำนวน ๙,๓๖๘ ราย คิดเป็นเงินทั้งสิ้น ๓๖๐.๖๘๖ ล้านบาท ๑.๒ ดำเนินการไถกลบต้นข้าวในอัตราไร่ละ ๓๕๐ บาท มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการจำนวน ๙,๔๗๗ ราย พื้นที่ ๑๕๙,๖๔๐ ไร่ คิดเป็นเงินทั้งสิ้น ๕๕,๗๘๗ ล้านบาท ๑.๓ สนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวแก่เกษตรกรในพื้นที่ที่มีการระบาดในอัตราไร่ละ ๑๕ กิโลกรัม จำนวน ๙๙,๑๕๓ ราย โดยใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวจำนวน ๘,๙๐๓.๖๑ ตัน คิดเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๖๐.๒๖๕ ล้านบาท ๒. การดำเนินงานต่อเนื่องเพื่อแก้ไขปัญหาการระบาด ประกอบด้วย ๒.๑ การดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการถ่ายทอดเทคโนโลยีการป้องกันกำจัดเพลี้ยกระโดด สีน้ำตาล โดยประชุมชี้แจงและฝึกอบรมเจ้าหน้าที่เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ให้เกษตรกรในพื้นที่ที่มีการระบาด จัด ทำแปลงสาธิต แปลงพยากรณ์การจัดตั้งศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชน เป็นต้น ซึ่งผลจากการดำเนินงานเกษตรกรมี ความรู้ความเข้าใจในการป้องกันกำจัดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลตามคำแนะนำของทางราชการเพิ่มขึ้น ๒.๒ การดำเนินโครงป้องกันการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลอย่างยั่งยืน โดยผลิตเมล็ดพันธุ์ ที่ต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลชั้นพันธุ์คัด พันธุ์หลัก จำนวน ๘ พันธุ์ รวมทั้งชั้นพันธุ์ขยายและชั้นพันธุ์จำหน่าย ซึ่งผลจากการดำเนินงานจะได้เมล็ดพันธุ์ที่ต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ชั้นพันธุ์คัด ๒๐ ตัน ชั้นพันธุ์หลัก ๒๐๐ ตัน ส่วนเมล็ดพันธุ์ชั้นพันธุ์ขยายและพันธุ์จำหน่ายคาดว่าจะได้เมล็ดพันธุ์ต่ำกว่าเป้าหมายเนื่องจากประสบปัญหา อุทกภัย นอกจากนี้ เกษตรกรมีความรู้เพิ่มขึ้นจากการเข้าร่วมโครงการบริหารจัดการระบบนิเวศในนาข้าว
|
|||||||||||||||||||||
6002 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 26/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยว อย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มี สาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่าง ยั่งยืน (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๖ ดังนี้ ๑.๑ แก้ไของค์ประกอบของกรรมการโดยตำแหน่งให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ๑.๒ แก้ไขคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ โดยตัดคำว่า “อนุกรรมการ” ออก เพื่อให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสามารถปฏิบัติภารกิจตามที่คณะกรรมการมอบหมายได้ ๑.๓ แก้ไขการกำหนดอายุของผู้อำนวยการเป็น “ไม่เกินหกสิบเอ็ดปีบริบูรณ์ในวันที่ได้รับการแต่ง ตั้ง” และให้พ้นจากตำแหน่งเมื่อมีอายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์ ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการกำหนด อายุของกรรมการองค์การมหาชน ตามกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชน ๒. ให้องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เร่งรัดการดำเนินการตาม มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๒ ในการกำหนดแนวทางการบริหารและพัฒนาองค์การบริหาร การพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) ให้สามารถดำเนินงานตามอำนาจหน้าที่ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||
6003 | การประชุมคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย | นร | 26/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ประธานกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย รายงานสรุปผลการประชุมคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ครั้งที่ ๑/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๓ ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ต่าง ๆ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผลการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาอุทกภัย ทั้งนี้ ในส่วนของแนวทางและมาตรการในการดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในระยะเร่งด่วน นอกเหนือจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๓ ซึ่งผู้แทนกองทัพบกได้นำเสนอประเด็นเกี่ยวกับการเบิกจ่ายงบประมาณในการประกอบอาหารจัดเลี้ยงผู้ประสบภัย นั้น ให้ผู้แทนกระทรวงกลาโหมรับเรื่องนี้ไปพิจารณาด้วย สำหรับการแก้ไขระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการฯ พ.ศ. ๒๕๔๖ การกำหนดวิธีการช่วยเหลือและการชดเชยด้านต่าง ๆ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย นอกจากนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอรูปแบบการดำเนินการ และการบริหารศูนย์ประสานการเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ซึ่งประกอบด้วยฝ่ายต่าง ๆ คือ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายประสานงาน ฝ่ายข้อมูล ฝ่ายรับเรื่องราวร้องทุกข์ ฝ่ายสื่อสารและประชาสัมพันธ์ มีระบบการบริหารงาน ๓ ระบบ ได้แก่ ระบบรายงานติดตามข้อมูลการแจ้งเตือนภัย ระบบวิเคราะห์และกำหนดลำดับความสำคัญ และระบบจัดสรรความช่วยเหลือและการฟื้นฟู โดยมีนโยบายการทำงานที่สำคัญคือ ติดตามจากรายงานสู่การประสานการปฏิบัติภายใน ๒๔ ชั่วโมง เปิดเผยข้อมูลให้เข้าถึงได้โดยเอกชน-ประชาชน (Open Data) ซึ่งกลไกการจัดการ ๓ ระบบให้ทำทั้งระบบส่วนกลาง กลุ่มพื้นที่ประสบภัย และในจังหวัด อำเภอ ตำบล (องค์การบริหารส่วนตำบล) หมู่บ้าน การสร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เสริมเอกชน-ประชาชนในด้านการจัดการข้อมูล และการติดตามตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเร่งพัฒนามาตรการฟื้นฟูอย่างเป็นระบบ และเชื่อมโยงฝ่ายนโยบาย ๒. ให้เพิ่มผู้แทนกรมบัญชีกลางและสำนักงบประมาณร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยด้วย
|
|||||||||||||||||||||
6004 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บีเอ็ม และพื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์ เพื่อทำเหมืองแร่ ของนายรังสรรค์ ตันตระกูล ที่จังหวัดชัยนาท | อก | 19/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. อนุมัติผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บีเอ็ม และพื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์ เพื่อทำเหมืองแร่หินอ่อนและหินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของนายรังสรรค์ ตันตระกูล ตามคำขอที่ ๒/๒๕๔๘ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ วันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๓๕ และวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่เห็นควรปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด รวมทั้งวางแนวทางการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเพื่อประกอบการให้สัมปทานบัตรในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ไปดำเนินการ รวมทั้งให้รับข้อสังเกตของรองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) ที่ว่า ถ้าไม่มีเหตุผลความจำเป็นพิเศษก็ไม่ควรให้มีการดำเนินการใด ๆ ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
6005 | การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจชายแดนไทย - พม่า อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก | พณ | 19/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติในหลักการแนวทางการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด โดยการก่อสร้างสะพานมิตร ภาพไทย-พม่า แห่งที่สอง จุดก่อสร้างที่บริเวณบ้านวังตะเคียน ฝั่งไทย และบ้านเยปู ฝั่งพม่า ระยะทางประมาณ ๒๒ กิโลเมตร อยู่ในฝั่งไทย ๑๖ กิโลเมตร และอยู่ในฝั่งพม่า ๖ กิโลเมตร ความยาวสะพานที่ข้ามแม่น้ำเมย ๔๐๐ เมตร และการดำเนินโครงการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษโดยจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด ระหว่างตำบลแม่ปะ -ตำบลท่าสายลวด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก พื้นที่จำนวน ๕,๖๐๓ ไร่ ๕๖ งาน อยู่ติดริมแม่น้ำเมย ทั้งนี้ เพื่อ เป็นการส่งเสริมการขยายตัวของภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมชายแดนและเพื่อเป็นการรองรับการเชื่อมโยง ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor) ในอนาคต ตามความเห็นชอบของ คณะกรรมการพัฒนาธุรกิจการค้าชายแดนไทย-พม่า ๑.๒ เห็นชอบการจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด โดยมีหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย เพื่อขับเคลื่อนการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอดให้เป็นไปอย่างบูรณาการ และมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนัก งบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควร กำหนดเป้าหมาย แนวทางการพัฒนาพื้นที่และรูปแบบการบริหารจัดการเขตเศรษฐกิจพิเศษให้ชัดเจนเป็นรูป ธรรม การกำหนดกิจรรมให้สอดคล้องกับเขตเศรษฐกิจเมียวดีในฝั่งพม่า การกำหนดมาตรการในการอำนวย ความสะดวกและบริหารจัดการแรงงานพม่า และให้ความสำคัญกับการกำหนดแผนแม่บทการใช้ที่ดินและแผน พัฒนาเมืองที่มีประสิทธิภาพและมีการบังคับใช้อย่างจริงจังบนพื้นฐานแนวคิด Green-city/Eco-city เพื่อสร้าง ความสมดุลในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจสังคมและทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น นอกจากนี้ ควร จัดระบบการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในลักษณะเป็นทีมบูรณาการของประเทศไทย และให้ หน่วยงานในระดับท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทในการกำกับดูแลและช่วยแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น จากการขับเคลื่อนเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ในส่วนของการให้เร่งรัดคณะกรรมการพัฒนาที่ดินดำเนินการในเรื่องการใช้พื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับ ป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี สำหรับเป็นพื้นที่ใช้ประโยชน์ในการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-พม่า แห่ง ที่ ๒ และจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด นั้น ให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วย งานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางการใช้พื้นที่ รวมทั้งจำนวนพื้นที่ที่จำเป็นต้องใช้ให้ชัดเจน เหมาะสม โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมซึ่งไม่เห็นด้วยกับการเพิกถอนพื้นที่ป่าไม้ ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี และให้กระทรวงพาณิชย์ยื่นเรื่องคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าไม้ ให้เป็นไปตามระเบียบและกฎหมายว่าด้วยการป่าไม้ ตลอดจนมติคณะรัฐมนตรีและนโยบายที่เกี่ยวข้องต่อไป ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่ง ประเทศไทยหารือในรายละเอียดในเรื่องนี้กับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมคู่ขนานกันไปด้วย เพื่อเสนอประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในคราวเดียวกันต่อไป |
|||||||||||||||||||||
6006 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง การพิจารณาโครงการย้ายองค์การสะพานปลาฯ | กษ | 19/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (องค์การสะพานปลา) รับเรื่อง ขอทบทวน
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๓๔ เรื่อง การพิจารณาโครงการย้ายองค์การสะพานปลาองค์การอุตสาห กรรมห้องเย็น และกองพัฒนาอุตสาหกรรมสัตว์น้ำ กองประมงทะเล กรมประมง เพื่อให้องค์การสะพานปลาสามารถ พัฒนาสะพานปลากรุงเทพตามแผนงานที่วางไว้ เสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อ พิจารณาความเหมาะสมและเป็นไปได้ตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี รวมทั้งหากมีเอก ชนเข้าร่วมลงทุนด้วยองค์การสะพานปลาจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วม งานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ด้วย |
|||||||||||||||||||||
6007 | การจัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนโครงการ Clean Air for Smaller Cities in the ASEAN Region ภายใต้ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย | กต | 19/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนโครงการ Clean Air for Smaller Cities in the ASEAN Region และการ ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนดังกล่าว และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศให้ความเห็นชอบการลง นามแทนคณะรัฐมนตรีตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๔๖ โดยให้ผู้อำนวยการสำนักงานความ ร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ เป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนตอบรัฐบาลสหพันธ์สาธารณรัฐเยอร มนีในนามของรัฐบาลไทย ๑.๒ หากมีการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่มีผลกระทบต่อเนื้อหาสาระสำคัญของ หนังสือแลกเปลี่ยนฯ ให้ผู้อำนวยการสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสามารถเปลี่ยนแปลง ในเรื่องนั้น ๆ ได้ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการขอยกเว้นอากรนำเข้า และภาษีอื่น ๆ สำหรับวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในโครงการฯ หากคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบร่างข้อตกลงฯ แล้ว การขอยกเว้นอากรนำเข้าสามารถกระทำได้ ตามภาค ๔ ประเภท ๑๐ แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ โดยสินค้าที่ได้รับการยกเว้นอากรตามภาค ๔ ดังกล่าวจะได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา ๘๑ แห่งกฎหมายประมวลรัษฎากร และภาษีสรรพสามิต ตามมาตรา ๙๙ แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. ๒๕๒๗ ด้วย ไปพิจารณาด้วย
|
|||||||||||||||||||||
6008 | ขอถอนเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี [จำนวน 3 เรื่อง 1. เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการในการเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันฟุตซอลซิงแชมป์โลกพุทธศักราช 2555 (FIFA FUTSAL WORLD CUP 2012) ฯลฯ] | กก | 19/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๓ [เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการในการเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันฟุตซอล ชิงแชมป์โลก พุทธศักราช ๒๕๕๕ (FIFA FUTSAL WORLD CUP 2010) จำนวน ๒ คณะ คือ คณะกรรมการอำนวยการการจัดการแข่งขันฟุตซอลชิงแชมป์โลก พุทธศักราช ๒๕๕๕ (FIFA FUTSAL WORLD CUP 2010) และคณะกรรมการบริหารการจัดการแข่งขันฟุตซอลชิงแชมป์โลก พุทธศักราช ๒๕๕๕ (FIFA FUTSAL WORLD CUP 2010)] และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการการดำเนินการเสนอขอรับเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันมหกรรมกีฬาระดับนานาชาติ ชิงแชมป์โลกและการจัดการประชุมองค์กรกีฬาระดับนานาชาติ) ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอขอถอนเรื่องดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||
6009 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหาไก่ไข่ | กษ | 19/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๓ เกี่ยวกับ มาตรการแก้ไขปัญหาไก่ไข่ โดยผลการดำเนินมาตรการด้านราคา ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ปรับตัวลดลง ฟองละ ๒๐ สตางค์ ปริมาณไข่ไก่เพื่อบริโภคภายในประเทศช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน ๒๕๕๓ เพิ่มขึ้น เดือนละประมาณ ๖.๕ ล้านฟอง จำนวนแม่พันธุ์ไก่ไข่ ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ ๔๖๘,๐๐๐ ตัว สามารถผลิตไก่ไข่ได้ประมาณ๔๒ ล้านตัว ไข่ไก่ประมาณ ๑๒,๔๓๒ ล้านฟอง ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. ให้ขยายเวลาการรายงานผลการศึกษาปรับปรุงโครงสร้างคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่ และผลิตภัณฑ์ ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ซึ่งเดิม กำหนดไว้ ๖๐ วัน คือภายในวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๓ ออกไปอีก ๓๐ วัน
|
|||||||||||||||||||||
6010 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรี ในการแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง กระทรวงมหาดไทย (จำนวน 2 ราย 1. นายมงคล สุระสัจจะ ฯลฯ) | มท | 19/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. อนุมัติให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทย) และวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ดังนี้ ๑.๑ ให้นายมงคล สุระสัจจะ ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ตามเดิม ๑.๒ แต่งตั้งนายวิเชียร ชวลิต ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย กระทรวงมหาดไทย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับไปพิจารณาทบทวนหรือยืนยันการแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง) ที่เหลืออีก ๘ ราย และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ (เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง กระทรวงมหาดไทย) จำนวน ๔๘ ราย แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
|
|||||||||||||||||||||
6011 | วาระแห่งชาติการส่งเสริมคุณธรรมความซื่อสัตย์สุจริตและต่อต้านการทุจริตของคนไทยและโครงการป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของทางราชการ | นร | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. เห็นชอบผลการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาวาระแห่งชาติการส่งเสริมคุณธรรมความ ซื่อสัตย์และต่อต้านการทุจริตของคนไทย ที่เสนอโดยกระทรวงวัฒนธรรม และโครงการป้องกันการทุจริตประพฤติ มิชอบในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของทางราชการ ที่เสนอโดยสำนักงาน ก.พ.ร. ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๓ โดยให้บูรณาการแผนตามวาระแห่งชาติฯ ซึ่งเป็นแผนในภาพรวมควบคู่กับการบูรณาการแผน ตามโครงการความร่วมมือส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม เพื่อประเทศไทยใสสะอาด ซึ่งเป็นแผนเฉพาะและจำเป็นเร่ง ด่วน ๓ เรื่อง ได้แก่ การจัดซื้อจัดจ้างและราคากลาง การแต่งตั้งข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ และการรณรงค์ค่า นิยมความซื่อสัตย์สุจริต ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ. รับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงวัฒนธรรมเกี่ยวกับแผนงาน/โครง การตามวาระแห่งชาติ ซึ่งประกอบด้วย ๓ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ ปลูกจิตสำนึกคุณธรรมความซื่อสัตย์ สุจริตและการต่อต้านการทุจริต ยุทธศาสตร์ที่ ๒ ผนึกกำลังทุกภาคส่วนส่งเสริมคุณธรรมความซื่อสัตย์และต่อต้าน การทุจริต และยุทธศาสตร์ที่ ๓ เสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่บุคลากรและองค์กรที่ส่งเสริมคุณธรรมความซื่อสัตย์ สุจริตและป้องกันปราบปรามการทุจริต นั้น เห็นควรเพิ่มเติมรายละเอียดเกี่ยวกับตัวชี้วัด ผู้รับผิดชอบหลัก ผู้รับ ผิดชอบร่วมและระยะเวลาให้ครอบคลุมกลยุทธ์ทุกกลยุทธ์ในทั้ง ๓ ยุทธศาสตร์ รวมทั้งเห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมยุทธ ศาสตร์ที่ ๓ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกรมบัญชีกลาง เพื่อให้สอดคล้องตามมติที่ประชุมกำหนดกรอบแนวทางและกล ยุทธ์ในเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๓ และเมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๕๓ ไปพิจารณา ดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างและราคากลาง โดยเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๑ เดือน แล้วนำเสนอคณะ รัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ดังนี้ ๓.๑ การจัดหาพัสดุตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ ควรพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจัดหาพัสดุให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น โดยให้ความ สำคัญกับพัสดุที่จะจัดมากกว่าวงเงินสำหรับการจัดหา (ตามระเบียบฯ กำหนดวงเงินไว้ตั้งแต่ ๒ ล้านบาทขึ้นไป) ๓.๒ การกำหนดราคากลาง ควรพิจารณาให้สอดคล้องเชื่อมโยงกับราคาตลาด และให้สามารถปรับ เปลี่ยนได้ตามเป็นจริงด้วย ๓.๓ การจัดจ้างที่ปรึกษา ควรพิจารณาให้มีระบบหลักเกณฑ์การจ้างที่ปรึกษาที่โปร่งใสเป็นธรรมและ สามารถตรวจสอบได้ โดยมิให้ที่ปรึกษาเข้ามามีบทบาทที่ไม่เหมาะสมและไม่เป็นธรรมต่อการดำเนินโครงการ โดย เฉพาะอย่างยิ่งโครงการขนาดใหญ่ที่มีวงเงินลงทุนสูง |
|||||||||||||||||||||
6012 | เครื่องมือวัดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ของส่วนราชการ | นร | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติ ก.พ. ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ที่เห็นชอบเครื่อง มือวัดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ของส่วนราชการเพื่อให้ส่วนราชการต่าง ๆ ได้มีการปฏิบัติงานอย่างโปร่งใส ลด ความเสี่ยง และตระหนักว่าเครื่องมือวัดความโปร่งใสฯ เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีแนว ทางในการทำงานอย่างโปร่งใส รวมถึงเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐในการลดความ เสี่ยงต่อการทุจริตประพฤติมิชอบ โดยให้องค์กรกลางบริหารงานบุคคลอื่นนำไปปรับใช้ตามความเหมาะสม ตามที่ สำนักงาน ก.พ. เสนอ ทั้งนี้ การนำเครื่องมือวัดความโปร่งใสฯ ไปใช้ให้เป็นไปด้วยความสมัครใจของส่วนราชการ ๒. มอบหมายให้คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการรับเรื่องนี้ ไปประกอบการพิจารณา เพื่อจัดทำตัวชี้วัดการประเมินความคุ้มค่าการปฏิบัติภารกิจของภาครัฐและใช้เป็นตัวชี้วัดในคำรับรองการปฏิบัติราช การของแต่ละหน่วยงาน ซึ่งกรณีนี้จะทำให้มีจำนวนตัวชี้วัดเพิ่มมากขึ้น จึงเห็นควรให้พิจารณาดำเนินการยกเลิกตัว ชี้วัดเดิมที่ไม่จำเป็น ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๓ (เรื่อง การประเมินความคุ้มค่าการ ปฏิบัติภารกิจของภาครัฐ) ให้เป็นรูปธรรมต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
6013 | ขอความอนุเคราะห์แก้ไขพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือผู้ซึ่งออกจากราชการตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม | สผ | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้มีการแก้ไขพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือผู้ซึ่งออกจากราช
การตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ พ.ศ. ๒๕๕๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้มีผลครอบคลุมถึง ข้าราชการรัฐสภาสามัญ โดยให้สอดคล้องกับมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการตามข้อสังเกตของ กระทรวงการคลัง และเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันกับข้าราชการพลเรือน โดยมอบให้กระทรวงการคลังรับ ไปดำเนินการยกร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ให้เป็นไปตามหลักการดังกล่าว และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการ กฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้ สำหรับประเด็นข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง มีดังนี้ ๑. ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ให้ปรับคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมมาตรการ ปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ จากเดิมที่กำหนดให้มีเวลาราชการเหลือตั้งแต่ ๑ ปีขึ้นไป เป็นตั้งแต่ ๒ ปี ขึ้นไปแต่มาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการสังกัดรัฐสภากำหนดให้ผู้เข้าร่วมมาตรการดังกล่าวของ ส่วนราชการสังกัดรัฐสภามีเวลาราชการเหลือตั้งแต่ ๑ ปีขึ้นไป ๒. พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือผู้ ซึ่งออกจากราชการตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วน ราชการ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๓ บัญญัติให้ผู้เข้าร่วมมาตรการจะต้องไม่เป็นจำเลยในคดีอาญาซึ่งมิใช่ความผิด ลหุโทษ หรือความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท แต่มาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ไม่ได้กำหนดเรื่องดังกล่าวไว้ ๓. มาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการสังกัดรัฐสภากำหนดเงื่อนไขไว้ว่าผู้ซึ่งออกจากราช การตามมาตรการดังกล่าวห้ามบรรจุกลับเป็นข้าราชการประจำ พนักงานราชการ และลูกจ้างของส่วนราชการ สังกัดรัฐสภา แต่มาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการกำหนดเงื่อนไขไว้ว่า ผู้ซึ่งออกจากราชการตาม มาตรการดังกล่าวห้ามบรรจุกลับเข้ารับราชการประจำในฝ่ายบริหารอีก ทั้งนี้ ไม่ว่าจะบรรจุกลับเป็นข้าราช การ พนักงานและลูกจ้างของส่วนราชการสังกัดใดในฝ่ายบริหารก็ตาม
|
|||||||||||||||||||||
6014 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ธนบดีศิลา ที่จังหวัดยะลา | อก | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. อนุมัติผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ธนบดีศิลา ตามคำขอที่ ๓/๒๕๔๗ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ และวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่เห็นว่า พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี จัดเป็นป่าต้นน้ำในการดำเนินการจึงต้องระมัดระวังในเรื่องผลกระทบคุณภาพน้ำ โดยต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ส่วนขั้นตอนในการอนุมัติประทานบัตร เห็นควรให้นำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้างของห้างหุ้นส่วนจำกัด พีรพลศิลา คำขอต่ออายุประทานบัตรที่ ๑/๒๕๔๗ (ประทานบัตรที่ ๑๒๓๓๗/๑๕๒๗๒) ร่วมแผนผังโครงการทำเหมืองเดียวกันกับคำขอต่ออายุประทานบัตรที่ ๓/๒๕๔๗ (ประทานบัตรที่ ๓๑๕๓๐/๑๕๒๓๖) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ธนบดีศิลา ตั้งอยู่ที่ตำบลลิดล อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขแนบท้ายประทานบัตรเหมืองแร่ด้วย และเห็นควรวางแนวทางการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเพื่อประกอบในการให้สัมปทานบัตรในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต่อไป ไปดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
6015 | รายงานผลการดำเนินโครงการควบคุมและรับรองการจับสัตว์น้ำเพื่อป้องกัน ยับยั้งและขจัดการทำประมง IUU ตามมติคณะรัฐมนตรี (เมษายน - มิถุนายน 2553) | กษ | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินโครงการควบคุมและ
รับรองการจับสัตว์น้ำเพื่อป้องกัน ยับยั้งและขจัดการทำประมง IUU ครั้งที่ ๒ ในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน ๒๕๕๓ โดยเป็นข้อมูลผลการดำเนินงาน ณ วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๓ สรุปได้ดังนี้ ๑. สถานการณ์การส่งออกสินค้าประมงไปยังสหภาพยุโรปและการนำเข้าวัตถุดิบสัตว์น้ำโดยเฉพาะปลาทู น่าจากต่างประเทศเพื่อแปรรูปส่งออกสหภาพยุโรป ในช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายน ๒๕๕๓ เทียบกับช่วงเดียวกัน ของปี พ.ศ. ๒๕๕๑ และ ๒๕๕๒ มีปริมาณการส่งออกคงที่ปกติ (ปริมาณการส่งออก จำนวน ๑๒๑,๔๖๑ ตัน มูล ค่า ๑๖,๑๒๗.๗๔ ล้านบาท) ส่วนการนำเข้าปลาทูน่าในภาพรวมจากต่างประเทศมีการนำเข้าเพิ่มขึ้น โดยสรุปกฎ ระเบียบ IUU ยังไม่มีผลกระทบต่อการนำเข้า-ส่งออกสินค้าประมงของไทยไปยังสหภาพยุโรป ๒. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการฯ มีดังนี้ ๒.๑ สัตว์น้ำจากเรือประมงหลายลำไม่สามารถส่งออกไปยังสหภาพยุโรปได้เนื่องจากเรือประมงเหล่า นั้นยังไม่จดทะเบียนเรือและอาชญาบัตรทำการประมงให้ถูกต้อง ๒.๒ ผู้ประกอบการแพปลา ชาวประมงบางส่วนยังกรอกเอกสารสมุดบันทึกการทำประมงและหนังสือ กำกับการซื้อขายสัตว์น้ำไม่ถูกต้อง และส่วนใหญ่เกรงเรื่องภาษีทำให้ข้อมูลที่หน่วยงานบริการออกใบรับรองการจับ สัตว์น้ำได้รับไม่ครบถ้วน ๒.๓ ปัญหาผู้ส่งออกวัตถุดิบให้ไทยบางประเทศยังไม่มีความพร้อมในการออกใบรับรองการจับสัตว์น้ำ ให้ผู้นำเข้าของไทย และผู้ส่งออกบางประเทศกำหนดแนวทางปฏิบัติตามที่ตนต้องการ เช่น ไม่ให้ต้นฉบับใบรับรอง การจับสัตว์น้ำแก่ผู้นำเข้าและไม่รับรองสำเนาให้ด้วย ๒.๔ ประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่ส่งออกวัตถุดิบปลาทูน่าให้แก่ผู้ประกอบการของไทยบางประเทศไม่มีหน่วย งาน Competent Authority จึงไม่สามารถออกใบรับรองการจับสัตว์น้ำให้ไทยได้
|
|||||||||||||||||||||
6016 | ขออนุมัติจัดหารถยนต์ประจำตำแหน่ง (เลขาธิการคณะรัฐมนตรี) | กค | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเพื่อเป็นค่าเช่ารถยนต์และค่าจ้างพนักงานขับรถยนต์สำหรับรถยนต์ประจำตำแหน่งเลขาธิการคณะรัฐมนตรี โดยทำสัญญาเช่าเป็นเวลา ๓ ปี วงเงินรวมทั้งสิ้น ๒,๔๕๑,๖๐๐ บาท ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า การอนุมัติให้ทำสัญญาเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่งเลขาธิการคณะรัฐมนตรี พร้อมพนักงานขับรถยนต์ เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ส่วนการขออนุมัติผูกพันข้ามปีงบประมาณเพื่อเป็นค่าเช่ารถยนต์และค่าจ้างพนักงานขับรถยนต์ นั้น เป็นกรณีที่ส่วนราชการก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าหรือนอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีซึ่งต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติก่อน ตามนัยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๒๓ วรรคสี่ จึงเห็นควรให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตามที่เสนอ โดยเมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีผลใช้บังคับแล้ว ให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๘๑๗,๒๐๐ บาท และผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕-พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑,๖๓๔,๔๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้เบิกจ่ายในงบดำเนินงาน ลักษณะค่าตอบแทน ใช้สอยและวัสดุ
|
|||||||||||||||||||||
6017 | รายงานการดำเนินงานกิจการฮัจย์ประจำปี 2553 (ฮ.ศ.1431) | วธ | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมรายงานเกี่ยวกับการดำเนินงานกิจการฮัจย์ ณ นครเมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ประจำปี ๒๕๕๓ (ฮ.ศ. ๑๔๓๑) ดังนี้ ๑. ห้วงเวลาการเดินทางไปและการประกอบพิธีฮัจย์ จะเดินทางเที่ยวไป ระหว่างวันที่ ๗ ตุลาคม-๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ช่วงพิธีการฮัจย์ ระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ (อาจคลาดเคลื่อน ๑ วัน ขึ้นกับผลการดูดวงจันทร์) และเดินทางเที่ยวกลับ ระหว่างวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน-๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ๒. จำนวนผู้ไปประกอบพิธีฮัจย์ มีผู้แจ้งความประสงค์จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ จำนวน ๑๒,๘๓๘ คน ๓. การจัดเที่ยวบินขนส่งผู้ไปประกอบพิธีฮัจย์ มีการเดินทางใน ๒ รูปแบบ คือ ๓.๑ รูปแบบที่ ๑ เดินทางโดยเที่ยวบินปกติ จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีสายการบินที่ให้บริการขนส่งผู้ไปประกอบพิธีฮัจย์ รวม ๙ สายการบิน ผู้แสวงบุญ ๕,๖๐๐ คน ๓.๒ รูปแบบที่ ๒ เดินทางโดยเที่ยวบินพิเศษ (เหมาลำ) ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๔๘ ที่ให้กระทรวงคมนาคมรับไปประสานและเจรจากับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อขอความร่วมมือในการจัดเที่ยวบินประเภทเหมาลำขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์จากหาดใหญ่และและภูเก็ตไปยังประเทศซาอุดีอาระเบีย และรับผิดชอบในการกำหนดราคาค่าบัตรโดยสาร กำหนดเที่ยวบิน และตารางการบินที่สอดคล้องกับระบบที่พักของผู้แสวงบุญ รวมทั้งจัดหาสายการบินพันธมิตรมาร่วมทำการบินด้วย ๔. การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๔๘ ที่ให้กระทรวงคมนาคมรับไปประสานและเจรจากับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ดังกล่าวนั้น ขณะนี้ได้มีการดำเนินการที่น่าจะไม่สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยได้มีการอนุญาตให้สายการบินมาร์ฮานแอร์ และอิหร่านแอร์ เข้ามาดำเนินการขนส่งผู้แสวงบุญจากหาดใหญ่เพื่อเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ด้วย ในขณะที่ประเทศอินเดียและสหภาพพม่ายังไม่อนุญาตให้ทั้งสองสายการบินบินผ่านน่านฟ้า และต้องรอการอนุญาตก่อนที่จะขึ้นบิน ส่งผลให้การขนส่งผู้แสวงบุญเกิดความล่าช้าไม่เป็นไปตามกำหนด ประกอบกับประเทศซาอุดีอาระเบีย ก็ยังไม่ได้อนุญาตให้ทั้งสองสายการบินดังกล่าวบินเข้าประเทศเช่นกัน กระทรวงวัฒนธรรมกำลังดำเนินการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าต่าง ๆ เป็นรายวันไปเท่านั้น
|
|||||||||||||||||||||
6018 | ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พม | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์เสนอ โดยให้ยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ (เรื่อง การขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่หรือขยายหน่วยงาน) รวมทั้งมติคณะรัฐมนตรีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหลักการและขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ และให้ส่งสำนักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างพระราชบัญญัติทั้ง ๒ ฉบับ ประกอบด้วย ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ คือ ปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ ดังต่อไปนี้ ๑.๑.๑ ปรับปรุงอำนาจหน้าที่ของสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ให้เป็นหน่วยปฏิบัติการในการส่งเสริมและดูแลคนพิการ รวมทั้งตรวจสอบการปฏิบัติการให้เป็นไปตามพระราช บัญญัตินี้ ๑.๑.๒ ปรับปรุงอำนาจการออกบัตรประจำตัวคนพิการให้นายทะเบียนกลางและนายทะเบียน จังหวัดสามารถมอบอำนาจให้ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นในส่วนราชการเดียวกันหรือหน่วยงานของรัฐอื่นดำเนินการออก บัตรประจำตัวคนพิการแทนได้ ๑.๑.๓ เพิ่มบทบัญญัติในการกำหนดสิทธิคนพิการในการเข้าถึงและใช้สิทธิประโยชน์ตามที่กฎ หมายกำหนด ๑.๑.๔ เพิ่มบทบาทขององค์กรคนพิการในการช่วยเหลือคนพิการ ๑.๑.๕ ปรับปรุงการบริหารจัดการกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้มีประสิทธิ ภาพและคล่องตัวมากขึ้น ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไข เพิ่มเติมพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ เพื่อยกฐานะสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณ ภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติในกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ขึ้นเป็นกรมในกระทรวงการ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนัก งาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการกำหนดให้สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติอาจมอบหมายให้ หน่วยงานของรัฐ องค์กรคนพิการ หรือองค์กรเอกชน เป็นผู้จัดตั้งและดำเนินการศูนย์บริการคนพิการได้ รวมทั้ง อาจได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากงบประมาณแผ่นดินหรือกองทุนได้ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด นั้น ควรกำหนดสถานะของศูนย์บริการคนพิการให้ชัดเจน เพื่อมิให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติทั้งเรื่องความซ้ำซ้อน ในการทำงาน การบริหารจัดการในภาพรวมที่จะส่งผลกระทบต่อภาระงบประมาณและวิธีการในการได้รับการจัด สรรค่าใช้จ่ายจากรัฐ และการยกฐานะสำนักงานฯ ขึ้นเป็นกรม ไม่สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ และวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๓ ที่เห็นชอบให้ส่วนราชการต่าง ๆ ระงับการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ หรือขยายหน่วยงาน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||
6019 | ขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการดำเนินงานของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินนอกระบบ | กค | 05/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้แก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๔๒ (เรื่อง มาตรการสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ (ในส่วนที่เกี่ยวกับการปรับปรุงระบบและเพิ่มศักยภาพการค้ำประกันสินเชื่อสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) รวม ๒ ข้อ ดังนี้
๑. การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน จากเดิม “ให้ลดอัตราค่าธรรมเนียมค้ำประกันลงจากร้อยละ ๒.๐๐-๒.๗๕ ลงเหลือประมาณร้อยละ ๑.๗๕ ของวงเงินค้ำประกันในระยะแรก และจะมีการปรับปรุงค่าธรรมเนียมที่เหมาะสมในระยะต่อไป โดยจะคำนึงถึงคุณภาพของลูกค้าและคุณภาพการคัดเลือกลูกค้าของสถาบันการเงินที่ใช้บริการ” เป็น “ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมตามความเหมาะสม โดยคำนึงถึงคุณภาพของลูกค้า และคุณภาพการคัดเลือกลูกค้าของสถาบันการเงิน” ๒. เกณฑ์การจ่ายค่าประกันชดเชย จากเดิม “ปรับปรุงเกณฑ์การชดเชยความเสียหายให้รวดเร็วขึ้นจากที่จะต้องจ่ายเมื่อคดีถึงที่สุด และมีการบังคับคดียึดทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันครบถ้วนแล้ว เป็นจ่ายเมื่อมีการฟ้องร้องดำเนินคดีระหว่างสถาบันการเงินกับผู้กู้” เป็น “จ่ายเมื่อลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้เฉพาะการค้ำประกันให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ภายใต้การค้ำประกันสินเชื่อโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินนอกระบบ โดยให้ ธ.ก.ส. และ บสย. ตกลงในรายละเอียดเกี่ยวกับแนวทางและขั้นตอนของการจ่ายค่าประกันชดเชยต่อไป”
|
|||||||||||||||||||||
6020 | ขออนุมัติเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการและก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 - 2556 | มท | 28/09/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงมหาดไทยทำสัญญาเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการของกรมการพัฒนา
ชุมชน กรมที่ดิน และกรมการปกครอง เฉพาะกรณีการจัดหารถคันใหม่ทดแทนคันเก่าที่มีอายุ 7 ปีขึ้นไป จำนวน 276 คัน โดยมีกรอบวงเงินผูกพันทั้งสิ้น 186,814,800 บาท ส่วนรายละเอียดในการดำเนินการให้กระทรวงมหาด ไทยดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ใช้จ่ายจากเงินกันเหลื่อมปีหรืองบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ที่มีเหลือจ่าย เพื่อจ่ายเป็นค่าเช่ารถยนต์ดังกล่าวในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ทั้ง จำนวนโดยต้องได้รับอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายหรือได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีจากกระทรวงการคลัง ก่อน และให้ส่วนราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทยทั้ง 3 หน่วยงานดังกล่าว เสนอขอรับจัดสรรงบประมาณราย จ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 และ พ.ศ. 2556 ทั้งนี้ จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2550 เรื่อง แนวทางปฏิบัติในการเช่ารถยนต์มาใช้ในราชกา ร และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วย การพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 157 ด้วย |