ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 101 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 2001 - 2020 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2001 | การเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 | นร.07 | 18/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ จำนวนทั้งสิ้น ๑๕๖,๒๒๕.๔๙๘๘ ล้านบาท และการพิจารณาการเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยเห็นสมควรเปลี่ยนแปลงชื่อหน่วยรับงบประมาณ จาก องค์การสวนสัตว์ จำนวน
๘๒๙.๙๔๔๙ ล้านบาท เป็น องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย จำนวน ๘๒๙.๙๔๔๙ ล้านบาท
เพื่อให้เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๓ ที่มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๓ ๑.๒ มอบหมายให้สำนักงบประมาณนำเรื่องการเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ ตามที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบแล้ว เสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๒.
ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน
๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2002 | ขออนุมัติดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ 1/2563 | กษ. | 18/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติเพิ่มเติมวงเงินงบประมาณโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง
ระยะที่ ๑ ในส่วนของค่าประกันรายได้ จำนวน ๒,๓๔๗,๙๐๐,๓๒๙.๓๒ บาท
และเงินชดเชยดอกเบี้ยในอัตราเงินฝากประจำ ๑๒ เดือน บวก ๑ ในอัตราร้อยละ ๒.๔๐ จำนวน
๕๖,๓๔๙,๖๐๗.๙๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๒,๔๐๔,๒๔๙,๙๓๗.๒๒ บาท โดยใช้เงินทุนสำรองธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
(ธ.ก.ส.) สำรองจ่ายไปก่อน และให้ ธ.ก.ส. เสนอตั้งงบประมาณตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับมาตรการต้นทางเพื่อปรับเปลี่ยนระบบการผลิตในสวนยางให้เกิดความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งในการควบคุมและส่งเสริมการลดพื้นที่การทำสวนยาง
การส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจอื่นที่มีศักยภาพทดแทนสวนยาง และการลดจำนวนต้นยางเพื่อปลูกพืชแซมยาง
พืชร่วมยาง และทำอาชีพเสริมในสวนยาง รวมทั้งมาตรการกลางและปลายทาง
เพื่อส่งเสริมการใช้ยางภายในประเทศและการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ยางให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและเป็นไปตามเป้าหมายของแผนยุทธศาสตร์ยางระยะ
๒๐ ปี ซึ่งจะช่วยยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมยางและการพัฒนาอาชีพและรายได้ของเกษตรกรให้มีความมั่นคงและยั่งยืน
โดยไม่สร้างภาระด้านงบประมาณให้กับประเทศในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
ในส่วนของโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการไม้ยางและผลิตภัณฑ์
โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ ๒
การขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง
และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง
การปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ยาง
และการเพิ่มกิจกรรมช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการยาง (ยางแห้ง)
ในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ภายใต้โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง
(ยางแห้ง) ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ เช่น (๑) ควรให้มีการพิจารณาแนวทางกำหนดราคาประกันรายได้เท่าที่จำเป็นอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม
(๒) ควรศึกษามาตรการหรือแนวทางเพิ่มเติมเพื่อดูดซับยางในระบบให้มากยิ่งขึ้นโดยไม่เป็นภาระต่องบประมาณแผ่นดิน
(๓) ควรมีระบบหรือกลไกในการตรวจสอบที่มีมาตรฐานเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนอย่างชัดเจน
อาทิเช่น การลงทะเบียนจำนวนเกษตรกร ผลผลิต การจัดทำประมาณการต้นทุนทางการเงิน
ความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ ตลอดจนจัดให้มีระบบการประเมินผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่จะได้รับจากการดำเนินการต่าง
ๆ อันจะนำไปสู่การกำหนดนโยบายเกี่ยวกับการประกันรายได้ที่เหมาะสมและยั่งยืนต่อไป และ
(๔) ต้องเร่งดำเนินการให้ทันต่อสถานการณ์
และสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องครบถ้วนให้กับทุกภาคส่วน และประโยชน์ที่จะได้รับจากการดำเนินโครงการดังกล่าวในโอกาสแรก
เป็นต้น ไปพิจารณา และหากมีความจำเป็นต้องเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2003 | รายงานผลการดำเนินงานการบริหารจัดการหน้ากากอนามัยของคณะกรรมการเฉพาะกิจเกี่ยวกับการบริหารจัดการพัสดุสำหรับการป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) | นร.01 | 18/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินการเกี่ยวกับหน้ากากอนามัย
ระหว่างวันที่ ๑ พฤษภาคม-๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓
ตามที่คณะกรรมการเฉพาะกิจเกี่ยวกับการบริหารจัดการพัสดุสำหรับการป้องกัน ควบคุม
หรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.
การจัดสรรหน้ากากอนามัยให้กระทรวงสาธารณสุข จำนวนไม่เกินวันละ ๑,๘๐๐,๐๐๐ ชิ้น
และจัดสรรหน้ากากอนามัยให้กระทรวงมหาดไทย จำนวนไม่เกินวันละ ๑,๒๐๐,๐๐๐ ชิ้น ๒.
การกระจายหน้ากากอนามัย โดยบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ให้ ๓ หน่วยงาน ได้แก่
จัดส่งให้กระทรวงสาธารณสุข จำนวนสะสมรวม ๑๘๕,๔๐๙,๗๐๐ ชิ้น
เพื่อกระจายต่อให้กับสถานพยาบาลต่าง ๆ และบุคลากรทางการแพทย์ จัดส่งให้กระทรวงมหาดไทย
จำนวนสะสมรวม ๙๒,๙๓๓,๘๐๐ ชิ้น
เพื่อส่งให้กรุงเทพมหานครและจังหวัดกระจายลงไปยังกลุ่มเสี่ยง เช่น
อาสาสมัครประจำหมู่บ้าน พนักงานทำความสะอาดและเก็บขยะ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทหาร
ตำรวจ ในพื้นที่เสี่ยงติดเชื้อโควิด-๑๙ และจัดส่งให้ฝ่ายความมั่นคง โดยกองทัพไทย
จำนวนสะสมรวม ๒,๘๑๘,๐๐๐ ชิ้น เพื่อใช้สำหรับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน ณ
จุดตรวจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงาน ๓ เหล่าทัพ ๓. การนำเข้าหน้ากากอนามัย
กรมศุลกากรรายงานการนำเข้าตั้งแต่เดือนมกราคม-๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ จำนวน ๔ ประเภท
ได้แก่ หน้ากากชนิดที่ใช้ในห้องผ่าตัด หน้ากากกรองฝุ่น หมอกควัน หรือสารพิษ
อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย หน้ากากทางการแพทย์ นอกจากหน้ากากชนิดที่ใช้ในห้องผ่าตัด
และอื่น ๆ (หน้ากากผ้า) มีจำนวนทั้งสิ้น ๑๖๙,๒๐๘,๕๕๑ ชิ้น ๔.
การส่งออกหน้ากากอนามัยไปนอกราชอาณาจักร
กรมศุลกากรรายงานการส่งออกตั้งแต่เดือนมกราคม-๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ จำนวน ๔ ประเภท
ได้แก่ หน้ากากชนิดที่ใช้ในห้องผ่าตัด หน้ากากกรองฝุ่น หมอกควัน หรือสารพิษ
อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย หน้ากากทางการแพทย์ นอกจากหน้ากากชนิดที่ใช้ในห้องผ่าตัด
และอื่น ๆ (หน้ากากผ้าลิขสิทธิ์) มีจำนวนทั้งสิ้น ๑๑๐,๘๕๔,๑๐๑ ชิ้น ๕.
การบริหารจัดการหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่ผลิตในประเทศ คณะกรรมการเฉพาะกิจฯ
มีมติรับทราบสถานการณ์เกี่ยวกับหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่ผลิตในประเทศ เช่น
ด้านการผลิต มีผู้ผลิตหน้ากากอนามัยเพิ่มขึ้นจาก ๙ ราย เป็น ๒๙ ราย (๓๐ โรงงาน)
ทำให้กำลังการผลิตหน้ากากอนามัยเพิ่มขึ้นเป็น ๔,๕๐๐,๐๐๐ ชิ้นต่อวัน
และการกำหนดราคากลางในการจัดซื้อหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่ ๔.๑๒ บาท/ชิ้น (เดิม
๔.๒๘ บาท/ชิ้น) ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๓ เป็นต้นไป
และเห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ในระยะต่อไป เช่น
การบริหารจัดการกลุ่มเสี่ยง ๓ กลุ่ม คือ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานที่เป็นกลุ่มเสี่ยงอื่น มีความต้องการประมาณ ๓,๐๐๐,๐๐๐ ชิ้นต่อวัน
และการบริหารจัดการและการกระจายหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่ผลิตในประเทศในระยะต่อไป
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ตามกฎหมายว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ
มติคณะอนุกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการพัสดุสำหรับการป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) มติคณะกรรมการเฉพาะกิจฯ หรือมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2004 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ 1/2563 | นร.52 | 18/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้
(กพต.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ซึ่งที่ประชุม กพต.
ได้มีมติในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ (๑)
แผนปฏิบัติการการใช้ประโยชน์ที่ดินและการดำเนินการป่าชุมชนฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
เพื่อการพึ่งพาตนเองสู่ความยั่งยืน พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๗๐ (๒) แผนปฏิบัติการด้านการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าแบบครบวงจรในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อความมั่นคง
มั่งคั่ง ยั่งยืน (๓) การขอความเห็นชอบกรอบโครงการ/กิจกรรม
เร่งด่วนตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๖๓ (๒ โครงการ/กิจกรรม)
(๔)
ผลการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนต่อการขับเคลื่อนโครงการในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจอำเภอจะนะ
จังหวัดสงขลา และ (๕)
การให้ความช่วยเหลือเยียวยากรณีราษฎรเสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ๓ ศพ
บนเทือกเขาตะเว ตำบลบองอ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส
ตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2005 | การกำหนดหลักเกณฑ์การได้รับเบี้ยประชุมของประธานกรรมการ กรรมการ ประธานอนุกรรมการ และอนุกรรมการ และค่าตอบแทนอื่น ตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 | ดศ. | 13/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์การได้รับเบี้ยประชุมและค่าตอบแทนอื่นของประธานกรรมการ
กรรมการ ประธานอนุกรรมการและอนุกรรมการ
ตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. ๒๕๖๒
ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ทั้งนี้
ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๓) เป็นต้นไป
รวมทั้งให้ตัดตำแหน่ง “กรรมการและเลขานุการ”
จากบัญชีค่าเบี้ยประชุมของประธานกรรมการ กรรมการ ประธานอนุกรรมการและอนุกรรมการ
และค่าตอบแทนอื่น ตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ พ.ศ. ๒๕๖๒
ที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
๒.
สำหรับภาระค่าใช้จ่ายค่าเบี้ยประชุมและค่าตอบแทนอื่นที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการตามข้อเสนอดังกล่าว
ให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ของสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ซึ่งได้ตั้งงบประมาณรองรับรายการค่าใช้จ่ายดังกล่าวไว้แล้ว ส่วนในปีงบประมาณต่อ ๆ
ไป
ให้พิจารณาจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเท่าที่จำเป็น
ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องครบถ้วน
และให้ดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
อย่างเคร่งครัด ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2006 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีและรายงานผลการดำเนินงานโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค. | 13/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
รับทราบผลการดำเนินงานและเห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม
๒๕๖๑ (เรื่อง ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ
ของการรถไฟแห่งประเทศไทย) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ยกเลิกมติข้อ ๑
เฉพาะในส่วนที่อนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอเพิ่มเติมว่า “ขอให้โครงการก่อสร้างทางรถไฟ
สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้าง
ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๑/๒๕๖๐ (เรื่อง
การกำกับการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐ)
เพื่อให้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างของโครงการฯ มีความโปร่งใสและเป็นธรรมตามหลักธรรมาภิบาล” ๑.๒ ให้ยกเลิกมติข้อ ๖ ที่กำหนดว่า
“ในส่วนของการประกวดราคาค่าจ้างก่อสร้างเพื่อดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย
(รฟท.) เสนอคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้าง ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ที่ ๑๑/๒๕๖๐ (เรื่อง การกำกับการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐ)
เพื่อพิจารณาวิธีการประกวดราคาโครงการฯ ที่เหมาะสม ทั้งนี้
ให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปอย่างเคร่งครัด” และเห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทยดำเนินการประกวดราคาจ้างก่อสร้างตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๐ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟ
สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
การดำเนินโครงการดังกล่าวจะต้องดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส
และตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน พิจารณาถึงกรอบวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรี ความคุ้มค่า
ต้นทุน และประโยชน์ที่ทางราชการและประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
รวมถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ นอกจากนี้
ควรให้ความสำคัญกับการกำกับและติดตามให้ รฟท.
เร่งดำเนินโครงการลงทุนที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบให้เป็นไปตามแผนดำเนินการที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติแล้ว
พร้อมทั้งเร่งดำเนินการปรับปรุงและจัดหารถจักรและล้อเลื่อนให้มีความพร้อมและสามารถรองรับปริมาณความต้องการเดินทางและขนส่งสินค้าทางรางที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในอนาคตภายหลังจากที่ได้ดำเนินการก่อสร้างรถไฟทางคู่
ระยะที่ ๑ และรถไฟสายใหม่ จำนวน ๒ เส้นทาง แล้วเสร็จ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓.
ในการเสนอขออนุมัติโครงการต่อคณะรัฐมนตรีในครั้งต่อ ๆ ไป
ให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแล รฟท. ให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐
พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ที่กำหนดให้ในขั้นตอนการริเริ่มแผนงานหรือโครงการ
ให้ส่วนราชการพิจารณาความจำเป็น เหมาะสม คุ้มค่า จัดเตรียมความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงานหรือโครงการนั้น
ๆ อย่างละเอียด รอบคอบ ให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกมิติก่อนอย่างเคร่งครัดด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2007 | ขออนุมัติเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการบรรเทาปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม ในพื้นที่ 76 จังหวัดทั่วประเทศ | นร.14 | 13/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๑,๘๙๒.๘๗๑๑
ล้านบาท เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการบรรเทาปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วมในพื้นที่ ๗๖ จังหวัดทั่วประเทศ ของ ๕ หน่วยงาน ได้แก่ กรมชลประทาน
กระทรวงมหาดไทย กองทัพบก กรมทรัพยากรน้ำบาดาล และกรมเจ้าท่า โดยรายละเอียดของแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ
และให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ดังนี้ ๑.๑ ให้หน่วยรับงบประมาณ ได้แก่ จังหวัด ๗๖ แห่ง
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และกรมโยธาธิการและผังเมือง
ซึ่งมีฐานะเป็นหน่วยรับงบประมาณตามกฎหมายวิธีการงบประมาณ
และเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินโครงการของกระทรวงมหาดไทย รวมถึงกรมชลประทาน
กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กองทัพบก และกรมเจ้าท่า เป็นผู้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
ตามขั้นตอนของระเบียบและแนวทางที่เคยปฏิบัติต่อไป ๑.๒ ให้หน่วยรับงบประมาณที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการอย่างเคร่งครัด
จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และเร่งรัดดำเนินการก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน
๒๕๖๓ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ
เพื่อทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
และเห็นควรให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขากองอำนวยการน้ำแห่งชาติ
ติดตาม ประเมินผลการดำเนินโครงการ รวมถึงสรุปผลสัมฤทธิ์ที่ได้รับจากการดำเนินโครงการ
และรายงานผลการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไปด้วย
๒.
ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2008 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โครงการส่งเสริมและสนับสนุนการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในชุมชน | สธ. | 13/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๓ โครงการส่งเสริมและสนับสนุนการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการเฝ้าระวัง
ป้องกัน และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในชุมชน วงเงินจำนวน ๓,๖๒๒,๓๑๙,๕๐๐
บาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒.
ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2009 | การจัดทำร่างข้อตกลงว่าด้วยการรับรองประกาศนียบัตรคนประจำเรือระหว่างประเทศไทยกับเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โอมาน กาตาร์ รัฐเซีย เยอรมนี ยูเครน อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และเนเธอร์แลนด์ รวม 12 ประเทศ | คค. | 13/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบการจัดทำร่างข้อตกลงว่าด้วยการรับรองประกาศนียบัตรคนประจำเรือระหว่างประเทศไทยกับเกาหลีใต้
ญี่ปุ่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โอมาน กาตาร์ รัสเซีย เยอรมนี ยูเครน อังกฤษ
ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และเนเธอร์แลนด์ รวม ๑๒ ประเทศ ซึ่งเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงด้านการเดินเรือพาณิชย์ระหว่างประเทศหลังจากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ทั่วโลกได้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญ เช่น
หน่วยงานที่มีอำนาจต้องรับรองว่าการฝึกอบรมและการประเมินความรู้ความสามารถของคนประจำเรือ
และผู้ที่รับผิดชอบในการฝึกอบรมและการประเมินความรู้ความสามารถของคนประจำเรือ
ดำเนินการโดยผู้ที่มีคุณวุฒิที่เหมาะสม และเป็นไปตามบทบัญญัติของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรฐานการฝึกอบรม
การออกประกาศนียบัตร และการเข้าเวรยามของคนประจำเรือ ค.ศ. ๑๙๗๘ (International
Convention on Standards of Training, Certification and
Watchkeeping for Seafarers, 1978) ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคี เป็นต้น ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างข้อตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับคนประจำเรือที่มีคุณภาพและมีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการว่าด้วยความปลอดภัยทางทะเลขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ
(International Maritime Organization : IMO) มีอยู่จำกัด
กระทรวงคมนาคมควรหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ
กระทรวงแรงงาน เป็นต้น รวมถึงภาคเอกชนในการเตรียมความพร้อมของบุคลากรในกิจการพาณิชยนาวี
โดยพิจารณาแนวโน้มความต้องการแรงงานในประเทศและต่างประเทศ
รวมถึงจัดทำฐานข้อมูลแรงงาน
มาตรการผลิตและพัฒนามาตรฐานฝีมือแรงงานให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลอย่างเป็นระบบ
เพื่อให้มีคนประจำเรือที่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดการจ้างงานไทยและสามารถขยายตลาดการจ้างงานในต่างประเทศได้อย่างต่อเนื่อง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2010 | ขอความเห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างปฏิญญาร่วมแสดงเจตจำนงระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยกับกระทรวงอาหารและเกษตรสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี | กษ. | 13/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างปฏิญญาร่วมแสดงเจตจำนงระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงอาหารและเกษตรแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
ว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีด้านการเกษตร
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้ลงนามในร่างปฏิญญาร่วมฯ
(ผู้ลงนามของทั้งสองฝ่ายลงนามในประเทศของตน โดยจัดส่งเอกสารต้นฉบับที่จะให้อีกฝ่ายลงนามผ่านทางไปรษณีย์)
โดยร่างปฏิญญาร่วมฯ
เป็นเอกสารที่กำหนดข้อตกลงในการให้ความร่วมมือระหว่างกันในกรอบกว้าง ๆ
เพื่อเพิ่มความรู้ ความชำนาญด้านเทคนิคและวิชาการ
ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะมีการดำเนินโครงการร่วมกันเป็นระยะเวลา ๓ ปี
เพื่อพัฒนาการเกษตรในพื้นที่เกษตรแปลงใหญ่และพัฒนาเกษตรกรรายย่อยของไทยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
รวมทั้งพัฒนาระบบส่งเสริมการเกษตรของไทยให้มีกลไกการขับเคลื่อนการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินงานในเดือนกันยายน ๒๕๖๓
สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการทั้งสองฝ่ายจะรับผิดชอบร่วมกัน
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
๒.
สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
โอนเงินจัดสรร หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๒ ในโอกาสแรก ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป
เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นอย่างเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2011 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 15/2563 | นร.11 | 13/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๕/๒๕๖๓
เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๓
ที่ได้มีการพิจารณาแผนงานหรือโครงการภายใต้แผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
(แผนงานหรือโครงการที่ ๓) ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ภายใต้แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดฯ
และพิจารณาแนวทางการจัดสรรงบประมาณให้กับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับข้อเสนอโครงการขององค์กรภาคประชาชน
ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
ทั้งนี้
กรณีแผนงานหรือโครงการที่คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้พิจารณาในครั้งนี้และในครั้งต่อ
ๆ ไป ที่สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันได้ทันภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๓
เห็นชอบให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหือจำเป็น
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ นอกจากนี้ ในส่วนของแนวทางการจัดสรรงบประมาณ
(เงินกู้) ให้กับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับข้อเสนอโครงการองค์กรภาคประชาชน
รวมทั้งแนวทางการใช้จ่ายเงินกู้ให้มีประสิทธิภาพ มีความคุ้มค่า
และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
ก็ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณด้วย ๒.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2012 | การกำหนดเบี้ยประชุมหรือประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานกรรมการ กรรมการ ที่ปรึกษากรรมการสรรหา กรรมการประเมินผล และอนุกรรมการตามพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พ.ศ. 2558 | พปส. | 13/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดเบี้ยประชุมหรือประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานกรรมการ
กรรมการ ที่ปรึกษา กรรมการสรรหา กรรมการประเมินผล
และอนุกรรมการตามพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พ.ศ. ๒๕๕๘
โดยนำหลักเกณฑ์การจ่ายเงินค่าเบี้ยประชุมฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน
๒๕๔๗ และวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๒ มาใช้เป็นแนวทางในการกำหนดเบี้ยประชุมดังกล่าว
ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม)
ประธานกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์เสนอ
และให้คณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.
เกี่ยวกับการกำหนดประโยชน์ตอบแทนอื่น (ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง)
ของกรรมการในคณะกรรมการกองทุนกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ซึ่งมิได้เป็นข้าราชการพลเรือน
เนื่องจากสิทธิในการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการเดินทางของผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูงแตกต่างกัน
จึงควรพิจารณากำหนดให้ชัดเจนว่า
จะพิจารณาให้กรรมการดังกล่าวเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการเดินทางในอัตราที่ทางราชการกำหนด
สำหรับผู้ดำรงตำแหน่งอธิบดีหรือปลัดกระทรวง นอกจากนี้
ขอให้คำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัดตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
๒. ให้สำนักงาน
ก.พ.ร. เร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๒ (เรื่อง
การขอปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๗ เรื่อง
การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้อำนวยการองค์การมหาชน
และหลักเกณฑ์การกำหนดเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานกรรมการ กรรมการ
ที่ปรึกษา และอนุกรรมการขององค์การมหาชน) ที่มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร.
เร่งดำเนินการรวบรวมหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับองค์การมหาชน
และแจ้งให้รัฐมนตรีที่กำกับดูแลองค์การมหาชนและองค์การมหาชนทุกแห่งทราบ
เพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานเดียวกันให้แล้วเสร็จโดยเร็ว |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2013 | รายงานผลการดำเนินการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิภัย ครัวเรือนละ 5,000 บาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2562 วันที่ 7 ตุลาคม 2562 วันที่ 3 ธันวาคม 2562 และวันที่ 31 มีนาคม 2563 | มท. | 13/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติ
ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๒ วันที่ ๗
ตุลาคม ๒๕๖๒ วันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๒ และวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓
ที่อนุมัติหลักการงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๒,๐๙๒,๔๐๐,๐๐๐ บาท
เพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยที่อยู่ในพื้นที่ที่ได้ประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย
หรือประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐
บาท โดยมีกำหนดสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการช่วยหลือเยียวยาฯ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน
๒๕๖๓ ซึ่งกระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)
ได้ส่งข้อมูลครัวเรือนให้ธนาคารออมสินดำเนินการโอนเงินผ่านระบบพร้อมเพย์เข้าบัญชีผู้ประสบอุทกภัย
๓๐ จังหวัด จำนวน ๖๘,๙๐๙ ครัวเรือน เป็นเงิน ๓๔๔,๕๔๕,๐๐๐ บาท
และการจ่ายเงินช่วยเหลือดังกล่าวได้เสร็จสิ้นเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๓
คงเหลืองบประมาณเหลือจ่ายจากการดำเนินงาน ณ วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๓ จำนวน
๑,๗๔๗,๘๕๕,๐๐๐ บาท ซึ่งได้ส่งคืนสำนักงบประมาณเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปแล้ว
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2014 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | ทส. | 04/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติการขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน
๔๓๕,๒๘๙,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและลดผลกระทบจากสัตว์ป่า
รวมถึงการแก้ไขปัญหาการดูแลสัตว์ป่าของกลางตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ จำนวน ๓ โครงการ
ได้แก่ โครงการแก้ไขปัญหาช้างป่าออกหากินนอกพื้นที่ป่าอนุรักษ์แบบบูรณาการ
โครงการแก้ไขปัญหาและลดผลกระทบของลิงในชุมชน
และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการรับสัตว์ป่าของกลางและสัตว์ป่ากรณีแก้ไขปัญหาตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ในกรงเลี้ยง
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2015 | โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ในการดำเนินงานศูนย์นวัตกรรมระดับภูมิภาค (Regional Innovation Center : RIC) ในประเทศไทย | นร.11 | 04/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้แทนรัฐบาลไทยในฐานะผู้ประสานงานศูนย์นวัตกรรมระดับภูมิภาค
(Regional Innovation Center : RIC) ประเทศไทย
โดยมีหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติในการดำเนินงานศูนย์
RIC ประเทศไทย และเห็นชอบร่างเอกสารโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติในการดำเนินงานศูนย์
RIC ในประเทศไทย
รวมทั้งอนุมัติให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างเอกสารโครงการฯ
ของฝ่ายไทย พร้อมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full
Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
สำหรับงบประมาณสนับสนุนโครงการฯ ซึ่งสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ จำนวน ๔๒.๖๒๕ ล้านบาท และได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ จำนวน ๓๐.๕๐๐ ล้านบาท ส่วนปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
เห็นควรพิจารณาจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
รวมทั้งให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เช่น การเปิดโอกาสการมีส่วนร่วมของประชาชนในการออกแบบและพัฒนานวัตกรรมเชิงนโยบาย
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารโครงการฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
๒.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการดำเนินงานของศูนย์
RIC ประเทศไทย
เพื่อติดตามและประเมินผลการดำเนินงานให้ชัดเจน
และให้รายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบเป็นระยะ ๆ ต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2016 | การกู้เงินจากธนาคารพัฒนาเอเชียภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 | กค. | 04/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างสัญญาเงินกู้
COVID-19 Active Response and Expenditure Support Program ของธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) โดยอนุมัติให้ใช้อนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทตามเงื่อนไขที่กำหนดใน Asian
Development Bank Ordinary Operations Loan Regulations ลงวันที่ ๑
มกราคม ๒๕๖๐ ของ ADB และอนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยจาก
ADB วงเงิน ๑,๕๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เพื่อนำไปใช้จ่ายในแผนงาน/โครงการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓
รวมทั้งอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามในสัญญาเงินกู้ฯ
ในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจัดเตรียมทำคำรับรองทางกฎหมาย
(Legal Opinion) สำหรับสัญญาเงินกู้ฯ ของ ADB ในโอกาสแรก ภายหลังจากที่ได้มีการลงนามในสัญญาเงินกู้ดังกล่าวแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายสันติ พร้อมพัฒน์) เสนอเพิ่มเติมว่า ขออนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม
(Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างสัญญาเงินกู้ฯ
ด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประมาณการความต้องการใช้วงเงินอย่างรอบคอบ
เพื่อให้กระทรวงการคลังสามารถวางแผนและบริหารจัดการการกู้เงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และให้กระทรวงการคลังมีการบริหารความเสี่ยงหนี้เงินกู้ต่างประเทศ
ทั้งด้านอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ยด้วยความระมัดระวัง
เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓.
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างสัญญาเงินกู้ฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการคลังดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2017 | แนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 | รง. | 04/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว
๓ สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา)
ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๒.
อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
การอนุญาตให้คนต่างด้าวเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ
สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา
ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
และร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
การอนุญาตให้คนต่างด้าวเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ
สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา และเมียนมา ซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานในราชอาณาจักรตามมาตรา
๖๔ แห่งพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๖๐
และที่แก้ไขเพิ่มเติม ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓.
เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง
การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 และร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง
การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา และเมียนมา ซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานในราชอาณาจักรตามมาตรา
๖๔ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รวม ๒ ฉบับ
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๔.
ให้กระทรวงแรงงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน
๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2018 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 13/2563 | นร.11 | 04/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๓/๒๕๖๓
เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ที่ได้มีการพิจารณากลั่นกรองข้อเสนอโครงการของจังหวัดที่มีหน่วยรับผิดชอบอยู่ในสังกัดกระทรวงมหาดไทย
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
และโครงการของส่วนราชการสังกัดกระทรวงคมนาคมและกระทรวงพลังงานเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ภายใต้แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ทั้งนี้
ในส่วนของโครงการภายใต้แผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนของจังหวัด รวมทั้งสิ้น
๕๗ จังหวัด ๑๕๗ โครงการ กรอบวงเงิน ๘๘๔,๖๒๕,๐๖๘ บาท ให้จังหวัดใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
โดยให้ดำเนินการตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามขั้นตอนต่อไป
สำหรับโครงการก่อสร้างกำแพงคอนกรีตหุ้มด้วยแผ่นยางธรรมชาติและโครงการติดตั้งหลักนำทางยางธรรมชาติเพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน
วงเงินรวม ๔๐,๑๗๙.๔๖ ล้านบาท
โดยหากมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓
ก็เห็นสมควรที่กระทรวงคมนาคมจะดำเนินการในพื้นที่เกาะกลางที่มีความเสี่ยงหรือมีอุบัติเหตุบ่อยครั้ง
ในลักษณะโครงการนำร่อง โดยการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี
พ.ศ. ๒๕๖๓ จากรายการที่ดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว และ/หรือมีเงินเหลือจ่ายจากการจัดซื้อจัดจ้าง
ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ มาดำเนินโครงการดังกล่าว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า หน่วยงานเจ้าของโครงการควรเร่งดำเนินการให้ทันต่อสถานการณ์
และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความชัดเจนของโครงการ/รายการ
ระยะเวลาดำเนินการ และความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในทุกมิติ
ซึ่งจะต้องเป็นไปตามเกณฑ์ อัตรา และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด
ไม่มีความซ้ำซ้อนกับโครงการอื่น ๆ ของภาครัฐ
มีความโปร่งใสที่แสดงถึงความรับผิดชอบของหน่วยงานและบุคคลที่เกี่ยวข้อง
สามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน โดยให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์
ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2019 | ร่างพระราชกฤษฎีกาขยายเวลาประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนี่ง พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. .... | นร.05 | 29/07/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณชี้แจงว่า
โดยที่สมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่งจะสิ้นกำหนดเวลาในวันที่ ๑๘ กันยายน
๒๕๖๓ ซึ่งตามปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ วุฒิสภาจะมีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ ในวันที่ ๒๑-๒๒ กันยายน ๒๕๖๓ ดังนั้น
เพื่อมิให้การดำเนินการตราพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
เกินกว่ากรอบระยะเวลาที่กำหนด และเพื่อให้รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐมีงบประมาณไปใช้จ่ายเพื่อการบริหารราชการแผ่นดินและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศและความเป็นอยู่ของประชาชน
จึงสมควรขยายระยะเวลาประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง
และปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง ตั้งแต่วันที่ ๒๕ กันยายน
๒๕๖๓ ๒.
ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ เรื่อง
ร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. ....
(ตั้งแต่วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๓) ๓.
เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาขยายเวลาประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง
พ.ศ. ....
และร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ.
.... รวม ๒ ฉบับ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
โดยให้ระบุวันปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง ตั้งแต่วันที่
๒๕ กันยายน ๒๕๖๓ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๔.
ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2020 | ร่างหนังสือความร่วมมือด้านการต่อต้านอาชญากรรมยาเสพติด ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) และสำนักข่าวกรองแห่งชาติ สาธารณรัฐเกาหลี | ยธ | 29/07/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างหนังสือความร่วมมือด้านการต่อต้านอาชญากรรมยาเสพติด ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดและสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ สาธารณรัฐเกาหลี (Note of Cooperation in Countering Drug Crimes between the Office of the Narcotics Control Board of Thailand and the National Intelligence Service Korea) และมอบหมายให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้แทนฝ่ายไทยในการลงนามหนังสือความร่วมมือฯ โดยร่างหนังสือความร่วมมือฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันและสกัดกั้นภัยคุกคามจากอาชญากรรมที่ก่อขึ้นโดยเครือข่ายการค้ายาเสพติดข้ามชาติและสมาชิก รวมถึงองค์กรอื่น ๆ และบุคคลที่เกี่ยวข้อง เพื่อปกป้องความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองของประเทศคู่ภาคี โดยมีขอบเขตความร่วมมือ เช่น การรวบรวมและการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมยาเสพติด การให้การสนับสนุนเพื่อต่อต้านอาชญากรรมยาเสพติด เป็นต้น ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการพิจารณากำหนดเป้าหมายของการดำเนินความร่วมมือด้านอาชญากรรมยาเสพติดกับต่างประเทศ โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์จากแนวปฏิบัติที่ดีจากความร่วมมือด้านอาชญากรรมยาเสพติดกับประเทศต่าง ๆ ที่ประสบความสำเร็จ เพื่อนำมาแก้ไขปัญหาและลดจำนวนการกระทำผิดในคดียาเสพติดของคนไทยในต่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและศักดิ์ศรีของไทยในสายตาของประชาคมโลกในฐานะประเทศที่ปลอดจากปัญหายาเสพติดในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|