ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 42 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 821 - 840 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
821 | การประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก ครั้งที่ 2 | นร | 14/05/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ประเทศไทยได้เตรียมการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ ๒ (The 2nd Asia-Pacific Water Summit : 2nd APWS) ระหว่างวันที่ ๑๔-๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ โดยการประชุม 2nd APWS ประกอบด้วย การประชุมระดับผู้นำ (Leader’s Forum) เป็นการหารือของผู้นำรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและผู้นำองค์การระหว่างประเทศในหัวข้อภาวะผู้นำด้านน้ำ “Water Security and Water-Related Disaster Challenges : Leadership and Commitment” การประชุมผู้เชี่ยวชาญ (Focus Area Sessions) และกิจกรรมรณรงค์เสริมสร้างความตระหนักด้านน้ำ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ตระหนักถึงความสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการจัดการทรัพยากรน้ำในภูมิภาค เสริมสร้างการเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการและการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีที่จะช่วยลดความเสี่ยงและผลกระทบจากภัยพิบัติ โดยได้เชิญผู้นำจากประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ๔๙ ประเทศ รวมทั้งรัฐมนตรี ผู้บริหารองค์การระหว่างประเทศ และผู้บริหารภาคเอกชนเข้าร่วมประชุมในเวทีที่เกี่ยวข้อง ๒. ในช่วงเวลาเดียวกับการประชุม 2nd APWS จะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมอย่างไม่เป็นทางการไทย-ลาว ครั้งที่ ๒ ในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ จึงขอให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวเพิ่มเติมในคณะผู้แทนฝ่ายไทย และให้รัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายทั้งหมดเข้าร่วมพิธีการต้อนรับผู้นำจากประเทศต่าง ๆ การประชุม และงานเลี้ยงอาหารค่ำผู้เข้าร่วมการประชุม 2nd APWS รวมทั้งงานแสดงแสงสีเสียงเวียงกุมกาม และให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีประสานกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อจัดทำรายละเอียดกำหนดการและการมอบหมายรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีเกียรติยศและรัฐมนตรีประจำผู้นำในการประชุมดังกล่าวส่งให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย ๓. ให้กระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนา ฟื้นฟู และอนุรักษ์โบราณสถานเวียงกุมกามให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่คงความเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น ทั้งนี้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่บริหารจัดการพื้นที่ดังกล่าวให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||
822 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนมีนาคม 2556 | พณ | 07/05/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ เทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๗ จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๖ สาเหตุจากการสูงขึ้นของราคาผักและผลไม้ ร้อยละ ๒.๘๐ โดยเฉพาะหมวดผักสด ดัชนีสูงขึ้นร้อยละ ๔.๒๒ หมวดผลไม้สด สูงขึ้นร้อยละ ๒.๑๔ สินค้ากลุ่มข้าว สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๕ กลุ่มปลาและสัตว์น้ำ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๗๔ สำหรับดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลงร้อยละ ๐.๐๔ จากการลดลงของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงขายปลีกโดยเฉลี่ยในประเทศ ร้อยละ ๐.๔๐ ตามภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลก รวมทั้งสินค้าและบริการอื่นที่มีราคาลดลง ได้แก่ ค่าของใช้ส่วนบุคคล ร้อยละ ๐.๑๓ ๒. พิจารณาเทียบกับดัชนีราคาเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๒.๖๙ จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๓.๖๖ โดยดัชนีหมวดข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง สูงขึ้นร้อยละ ๐.๖๔ หมวดเนื้อสัตว์ เป็ดไก่ และสัตว์น้ำ สูงขึ้นร้อยละ ๖.๖๓ ผักและผลไม้ สูงขึ้นร้อยละ ๙.๐๑ เครื่องประกอบอาหาร สูงขึ้นร้อยละ ๐.๔๙ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ ๑.๘๘ และอาหารสำเร็จรูป สูงขึ้นร้อยละ ๑.๕๖ สำหรับดัชนีราคาหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๒.๐๑ จากการสูงขึ้นของหมวดเคหสถาน สูงขึ้นร้อยละ ๓.๑๔ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า สูงขึ้นร้อยละ ๐.๕๔ หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล สูงขึ้นร้อยละ ๑.๑๒ หมวดพาหนะ การขนส่ง และการสื่อสาร สูงขึ้นร้อยละ ๑.๓๘ หมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ ๗.๕๗ หมวดการบันเทิงการอ่าน การศึกษาและการศาสนา สูงขึ้นร้อยละ ๐.๖๗ ๓. พิจารณาดัชนีราคาเฉลี่ยไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๖ เทียบกับไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๓.๐๙ จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๔.๐๑ และดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๒.๔๖ ตามการสูงขึ้นของหมวดข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง ร้อยละ ๐.๕๕ เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ ร้อยละ ๔.๐๖ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๑๒.๐๐ เครื่องประกอบอาหาร ร้อยละ ๐.๔๙ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๒.๑๒ อาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๒.๓๔ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ร้อยละ ๐.๘๓ ค่าน้ำประปา ร้อยละ ๑๐.๙๘ ค่ากระแสไฟฟ้า ร้อยละ ๑๙.๐๒ ค่าเช่าบ้าน ร้อยละ ๐.๓๕ หมวดยานพาหนะ ร้อยละ ๑.๐๘ และน้ำมันเชื้อเพลิง ร้อยละ ๕.๕๗ ๔. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ เท่ากับ ๑๐๒.๘๗ เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ลดลงร้อยละ ๐.๐๑ (เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๙) จากการลดลงของราคาสินค้าและบริการ ได้แก่ สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด และค่าของใช้ส่วนบุคคล
|
||||||||||||||||||
823 | การตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี พ.ศ. 2556 ของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี | นร01 | 07/05/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ในพื้นที่ ๓๗ จังหวัด ระหว่างวันที่ ๑๒-๒๒ มีนาคม ๒๕๕๖ ประกอบด้วย การรายงานการเกิดวิกฤตภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ การแก้ไขปัญหาระยะเร่งด่วน และการแก้ไขปัญหาตามมาตรการระยะยาวในการวางแผนการใช้ประโยชน์จากน้ำอย่างทั่วถึงของหน่วยงานและจังหวัด การสำรวจความพึงพอใจของประชาชนในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งของหน่วยงานภาครัฐ รวมทั้งปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะระดับนโยบาย ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และข้อพิจารณาของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ดังนี้ ๒.๑ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบหลักและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อรับข้อเสนอแนะไปร่วมกันพิจารณาดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ ได้แก่ ๒.๑.๑ ควรมีการทำ VDO Conference จากส่วนกลางไปยังจังหวัดโดยตรงเพื่อให้การแก้ไขปัญหาภัยแล้งแบบบูรณาการสามารถดำเนินการได้สำเร็จในเวลาเร่งด่วน ๒.๑.๒ จังหวัดควรจัดทำโครงการเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำ และนำเสนอคณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ/คณะกรรมการบริหารงานกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ เพื่อบรรจุในแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด แผนปฏิบัติการราชการประจำปีจังหวัด/กลุ่มจังหวัด ๒.๑.๓ ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ มีข้อกำหนดที่ไม่เอื้อต่อการช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างรวดเร็ว จึงควรมีการกำหนดมาตรการที่ยืดหยุ่น ๒.๑.๔ กรณีกรมบัญชีกลางควรยกเว้นการจัดซื้อจัดจ้างกรณีโครงการขุดลอกเพื่อเปิดทางน้ำหลายสายในจังหวัด โดยให้เป็นการจัดซื้อจัดจ้างวิธีกรณีพิเศษ ๒.๒ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบหลักและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องบูรณาการการดำเนินงานร่วมกันตามแนวทางของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ ได้แก่ ๒.๒.๑ จัดทำแผนที่และจัดลำดับพื้นที่เสี่ยงภัยทั้งในระดับประเทศ ภูมิภาคและจังหวัด เพื่อกำหนดแนวทางการเฝ้าระวังและป้องกันผลกระทบที่ใช้ทั้งมาตรการด้านกายภาพโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งมาตรฐานความปลอดภัยของระบบสาธารณูปโภค ๒.๒.๒ พัฒนายกระดับการจัดการภัยแล้งให้มีประสิทธิภาพ กำหนดมาตรการให้ครอบคลุมทั้งด้านการเตรียมความพร้อม การป้องกัน การลดผลกระทบ การเตือนภัย การจัดการในภาวะฉุกเฉิน การช่วยเหลือบรรเทาทุกข์และฟื้นฟูบูรณะ โดยให้ความสำคัญกับการบูรณาการและสร้างเจตนารมณ์ในการบริหารจัดการ ๒.๒.๓ พัฒนาระบบฐานข้อมูลและระบบการสื่อสารโทรคมนาคม ส่งเสริมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านการจัดการภัยแล้ง โดยบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พัฒนาเครือข่ายการจัดการภัยพิบัติระดับภูมิภาค ให้มีการเชื่อมโยงข้อมูล การถ่ายทอดเทคโนโลยี การส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการ การสร้างองค์ความรู้ด้านการเตือนภัยและการจัดการในภาวะฉุกเฉิน ๒.๒.๔ วางระบบเพื่อส่งเสริมการดำเนินงานของภาคส่วนต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของชุมชนและผู้นำท้องถิ่น ผนึกกำลังของภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ กองทัพ ภาคประชาสังคมและสื่อมวลชน เพื่อระดมสรรพกำลังและบูรณาการระบบการจัดการภัยแล้งของประเทศให้มีประสิทธิภาพ ๒.๒.๕ สนับสนุนภาคเอกชน สถานประกอบการ โรงเรียนและท้องถิ่น ให้มีการเตรียมความพร้อมโดยจัดทำแผนปฏิบัติการรองรับภัยแล้ง วางระบบปฏิบัติการสำรองในระดับองค์กรและฝึกซ้อมรับมือกับภัยแล้งอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความตื่นตัวให้กับประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย |
||||||||||||||||||
824 | สถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนมีนาคม และแนวโน้มปี 2556 | นร11 | 07/05/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ และแนวโน้มปี ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ ๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนภาคเอกชน หดตัวร้อยละ ๑.๑ และร้อยละ ๐.๗ ตามลำดับ ในขณะที่มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๔.๙ ส่วนหนึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเร่งส่งออกช่วงวันหยุดเทศกาลตรุษจีนในประเทศผู้นำเข้า และการเร่งส่งออกก่อนวันหยุดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เช่นเดียวกับดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ ๔.๑ โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเร่งการผลิตในช่วงก่อนวันหยุดยาว และการลดกำลังการผลิตในช่วงการรณรงค์ประหยัดพลังงาน ในขณะที่ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรและจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๔ และ ๐.๔ ตามลำดับ ๑.๒ ภาวะเศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านอุปสงค์และการผลิต ส่งผลให้เศรษฐกิจรวมทั้งไตรมาสมีแนวโน้มที่จะขยายตัวในเกณฑ์ที่น่าพอใจ การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการส่งออกเกินร้อยละ ๖๐ หดตัวแม้ว่าจะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากฐานที่ต่ำก็ตาม เสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดีทั้งด้านอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวต่อเนื่อง ดุลบัญชีเดินสะพัด และดุลการชำระเงินทั้งไตรมาสเกินดุล แม้ว่าดุลการค้าจะขาดดุลก็ตาม เงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องทั้งไตรมาส แม้ว่าจะอ่อนค่าในช่วงปลายเดือนเมษายน ๒๕๕๕ ๑.๓ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจในประเทศ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ อยู่ที่ร้อยละ ๒.๗ ชะลอตัวลงจากร้อยละ ๓.๒ ในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศที่ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก รวมทั้งฐานที่สูงเนื่องจากการกลับมาทยอยจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในเดือนมกราคม ๒๕๕๕ อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ โดยในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ มีจำนวนผู้ว่างงาน ๒.๕ แสนคน คิดเป็นร้อยละ ๐.๖ ของกำลังแรงงาน และการจ้างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๐ ตามการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นทั้งภาคเกษตรและนอกภาคเกษตร ๑.๔ สถานการณ์ด้านการคลัง การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลเพิ่มขึ้น ในขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อนค่อนข้างมาก เนื่องจากฐานที่สูงในปีก่อน หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ อยู่ที่ร้อยละ ๔๔.๑ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ๑.๕ สถานการณ์ด้านการเงิน ในเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ชะลอตัวลดลง โดยเฉพาะสินเชื่อภาคธุรกิจ ในขณะที่เงินฝากขยายตัวสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ยยังทรงตัวต่อเนื่องตามทิศทางของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๖ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๔.๕-๕.๕ อัตราเงินเฟ้ออยู่ในช่วงร้อยละ ๒.๕-๓.๕ และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๐.๙ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
|
||||||||||||||||||
825 | ขออนุมัติต่ออายุสัญญาเงินกู้วงเงิน 800 ล้านบาท ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 30/04/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ต่ออายุสัญญาเงินกู้วงเงิน ๘๐๐ ล้านบาท ของ รฟท. จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ต่อไปอีก ๑ ปี ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ยกเว้นในส่วนของการคิดค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน เนื่องจากขณะนี้อยู่ในระหว่างการประเมินความเสี่ยงและการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐวิสาหกิจ และสถาบันการเงินภาครัฐ ในชั้นนี้ จึงเห็นควรสงวนสิทธิ์ในการคิดค่าธรรมเนียมการค้ำประกันไว้ก่อน ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. ให้ รฟท. รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรเร่งรัดดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานตามแผนลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๗ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของการให้บริการ เน้นการเพิ่มรายได้เชิงพาณิชย์ควบคู่ไปกับการควบคุมและลดค่าใช้จ่ายลง เพื่อบรรเทาภาวะการขาดสภาพคล่องทางการเงินในระยะยาว ไปดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
826 | สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 | ทก | 30/04/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๙.๓๔ ล้านคน ประกอบด้วย ผู้มีงานทำ ๓๘.๘๑ ล้านคน ผู้ว่างงาน ๒.๔๕ แสนคน และผู้ที่รอฤดูกาล ๒.๘๕ แสนคน โดยผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ จำนวน ๕.๔ แสนคน (จาก ๓๘.๘๐ ล้านคน เป็น ๓๙.๓๔ ล้านคน) ๒. ผู้มีงานทำ ๓๘.๘๑ ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ จำนวน ๗.๕ แสนคน (จาก ๓๘.๐๖ ล้านคน เป็น ๓๘.๘๑ ล้านคน) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๐ ซึ่งผู้ทำงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผู้ทำงานภาคเกษตรกรรม สาขาการก่อสร้าง สาขาที่พักแรมและการบริการด้านอาหาร สาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ และรถจักรยานยนต์ สาขาการผลิต สาขาการบริหารราชการ การป้องกันประเทศ และสาขากิจกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์ สำหรับผู้ทำงานลดลง ได้แก่ ผู้ทำงานสาขากิจกรรมการบริการอื่น ๆ เช่น กิจกรรมบริการเพื่อสุขภาพร่างกาย การดูแลสัตว์เลี้ยง การบริการซักรีดซักแห้ง เป็นต้น และสาขากิจกรรมทางการเงินและการประกันภัย ๓. ผู้ว่างงานทั่วประเทศ มีจำนวน ๒.๔๕ แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ ๐.๖ ของกำลังแรงงานรวม (ลดลง ๑.๑ หมื่นคน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕) ประกอบด้วย ผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๑.๐๒ แสนคน อีกส่วนหนึ่งเป็นผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๑.๔๓ แสนคน โดยเป็นผู้ว่างงานที่มาจากภาคการผลิต ๗.๖ หมื่นคน ภาคการบริการและการค้า ๔.๙ หมื่นคน และภาคเกษตรกรรม ๑.๘ หมื่นคน ผู้ว่างงานเป็นผู้มีการศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษา ๑.๑๓ แสนคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ๔.๕ หมื่นคน ระดับประถมศึกษา ๔.๕ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ๓.๖ หมื่นคน และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา ๖.๐ พันคน ผู้ว่างงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๙.๘ หมื่นคน ภาคกลาง ๖.๐ หมื่นคน ภาคใต้ ๔.๖ หมื่นคน กรุงเทพมหานคร ๒.๕ หมื่นคน และภาคเหนือ ๑.๖ หมื่นคน โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้มีอัตราการว่างงานสูงสุดร้อยละ ๐.๘ รองลงมาเป็นภาคกลางและกรุงเทพมหานครร้อยละ ๐.๖ และภาคเหนือร้อยละ ๐.๒
|
||||||||||||||||||
827 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน วุฒิสภา เรื่อง การพิจารณาศึกษาการดำเนินงานของสถาบันการเงินของรัฐ | สว | 23/04/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน วุฒิสภา เรื่อง การพิจารณาศึกษาการดำเนินงานของสถาบันการเงินของรัฐ พร้อมข้อสังเกตและข้อเสนอแนะกับผลการดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะตามรายงานดังกล่าวที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยในส่วนข้อเสนอแนะที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับด้านบทบาท ด้านการกำกับดูแล และด้านอื่น ๆ ที่สำคัญ กระทรวงการคลังมีความเห็น สรุปได้ ดังนี้
๑. สถาบันการเงินเฉพาะกิจเป็นสถาบันการเงินเพื่อพัฒนา มีบทบาทในการเติมเต็มช่องว่างทางการเงิน โดยให้บริการกับกลุ่มลูกค้าที่ไม่สามารถเข้าถึงธนาคารพาณิชย์ และช่วยเหลือภาคธุรกิจในภาวะเศรษฐกิจไม่ปกติ ซึ่งกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการปรับปรุงบทบาทของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อให้สามารถปิดช่องว่างทางการเงินในระบบสถาบันการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ๒. กระทรวงการคลังได้จัดทำแผนพัฒนาสถาบันการเงินเฉพาะกิจปี ๒๕๕๓-๒๕๕๖ โดยมีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมการปรับบทบาทของสถาบันการเงินเฉพาะกิจให้การพัฒนาระบบการกำกับดูแลและการพัฒนาศักยภาพของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ รวมทั้งการส่งเสริมให้มีการทำงานร่วมกันด้วย ๓. การประเมินผลการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจมีกรอบการพิจารณากำหนดตัวชี้วัด และค่าเป้าหมายจากวัตถุประสงค์การจัดตั้งสถาบันการเงินเฉพาะกิจ วิสัยทัศน์ พันธกิจ และแผนวิสาหกิจของสถาบันการเงินเฉพาะกิจเป็นสำคัญ โดยมีผู้แทนจากภาครัฐ และผู้ทรงคุณวุฒิร่วมกันพิจารณากำหนดตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายประจำปี ๔. การแต่งตั้งกรรมการรัฐวิสาหกิจต้องพิจารณาจากองค์ประกอบของคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจที่กำหนดไว้ตามกฎหมายจัดตั้งแต่ละแห่ง โดยต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามของการเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายจัดตั้งรัฐวิสาหกิจ และกฎหมายคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจอย่างครบถ้วน ๕. กระทรวงการคลังกำหนดแนวทางปฏิบัติของสถาบันการเงินเฉพาะกิจในการแยกบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ ซึ่งแยกบัญชีระหว่างการดำเนินงานปกติ และบัญชีการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล และรายงานให้กระทรวงการคลังทราบทุกไตรมาส ๖. กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการปรับปรุง และพัฒนาระบบการกำกับดูแลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิรูปสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ภายใต้ยุทธศาสตร์กระทรวงการคลังปี ๒๕๕๖ เพื่อให้สอดคล้องกับพัฒนาการของสถาบันการเงินเฉพาะกิจในช่วง ๕ ปีที่ผ่านมา ๗. หลังจากที่พระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝากมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๑ กระทรวงการคลัง สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ธนาคารแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ได้ร่วมกันจัดทำแผนการประชาสัมพันธ์และให้ความรู้ประชาชน รวมทั้งได้ลงพื้นที่ให้ความรู้ประชาชนทั่วประเทศ เพื่อช่วยเหลือผู้ฝากเงินกรณีที่สถาบันการเงินมีปัญหา ๘. กรณีที่สถาบันคุ้มครองเงินฝากขาดสภาพคล่อง และไม่เพียงพอต่อการจ่ายผู้ฝากเงินกรณีที่สถาบันการเงินมีปัญหา พระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ. ๒๕๕๑ กำหนดให้สถาบันคุ้มครองเงินฝากสามารถออกตั๋วเงิน พันธบัตร หรือตราสารทางการเงินอื่นได้ ๙. กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยอยู่ระหว่างการพิจารณาแก้ไขประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องกิจการที่ต้องขออนุญาตตามข้อ ๕ แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๕๘ (เรื่อง สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ) โดยจะพิจารณาอนุญาตให้ Non-bank สามารถให้สินเชื่อผู้ประกอบการรายย่อยได้เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรายย่อยเข้าถึงแหล่งเงินได้เพิ่มขึ้น โดยมีอัตราดอกเบี้ย และวงเงินกู้ที่เหมาะสม
|
||||||||||||||||||
828 | สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนมกราคม พ.ศ. 2556 | ทก | 23/04/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน จำนวน ๓๘.๗๕ ล้านคน ประกอบด้วย ผู้มีงานทำ ๓๘.๐๘ ล้านคน ผู้ว่างงาน ๓.๒๑ แสนคน และผู้ที่รอฤดูกาล ๓.๔๙ แสนคน ทั้งนี้ ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ จำนวน ๑.๓ แสนคน (จาก ๓๘.๖๒ ล้านคน เป็น ๓๘.๗๕ ล้านคน) ๒. ผู้มีงานทำ จำนวน ๓๘.๐๘ ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ จำนวน ๑.๖ แสนคน (จาก ๓๗.๙๒ ล้านคน เป็น ๓๘.๐๘ ล้านคน) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๔ ทั้งนี้ ผู้ทำงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผู้ทำงานสาขาการก่อสร้าง ๒.๖ แสนคน สาขาการขายส่งและการขยายปลีก การซ่อมยานยนต์ และรถจักรยานยนต์ ๒.๔ แสนคน สาขาที่พักแรมและการบริการด้านอาหาร ๑.๘ แสนคน สาขาการขนส่ง และสถานที่เก็บสินค้า ๑.๔ แสนคน สำหรับผู้ทำงานลดลง ได้แก่ ผู้ทำงานภาคเกษตรกรรม ๖.๐ หมื่นคน สาขาการบริหารราชการ การป้องกันประเทศ ๑.๓ แสนคน สาขากิจกรรมการบริการอื่น ๆ เช่นกิจกรรมบริการเพื่อสุขภาพร่างกาย การดูแลสัตว์เลี้ยง การบริการซักรีดซักแห้ง เป็นต้น ๑.๐ แสนคน สาขากิจกรรมด้านสุขภาพและงานสังคมสงเคราะห์ ๖.๐ หมื่นคน สาขาการศึกษา ๕.๐ หมื่นคน เป็นต้น ๓. ผู้ว่างงานทั่วประเทศ จำนวน ๓.๒๑ แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ ๐.๘ ของกำลังแรงงานรวม (เพิ่มขึ้น ๖.๐ พันคน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕) ประกอบด้วย ผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน ๙.๙ หมื่นคน อีกส่วนหนึ่งเป็นผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน ๒.๒๒ แสนคน โดยเป็นผู้ว่างงานที่มาจากภาคการผลิต ๘.๐ หมื่นคน ภาคการบริการและการค้า ๗.๑ หมื่นคน และภาคเกษตรกรรม ๗.๑ หมื่นคน เป็นผู้ว่างงานที่มีการศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ๙.๔ หมื่นคน ระดับอุดมศึกษา ๗.๗ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ๗.๓ หมื่นคน ระดับประถมศึกษา ๕.๕ หมื่นคน และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา ๒.๒ หมื่นคน ทั้งนี้ ผู้ว่างงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๑.๓๕ แสนคน ภาคกลาง ๖.๓ หมื่นคน ภาคใต้ ๕.๙ หมื่นคน ภาคเหนือ ๔.๐ หมื่นคน และกรุงเทพมหานคร ๒.๔ หมื่นคน
|
||||||||||||||||||
829 | โครงการจัดซื้อรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน 3,183 คัน เพื่อนำมาให้บริการทดแทนรถโดยสารเดิมที่ใช้น้ำมันดีเซล ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 09/04/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ดำเนินโครงการจัดซื้อรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน ๓,๑๘๓ คัน เพื่อนำมาให้บริการทดแทนรถโดยสารเดิมที่ใช้น้ำมันดีเซล ภายในวงเงินรวมทั้งสิ้น ๑๓,๑๖๒.๒๐ ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕ และให้ ขสมก. และกระทรวงคมนาคมรับข้อสังเกตของคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจเกี่ยวกับการดำเนินการต่าง ๆ ตามแผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. ไม่ว่าจะเป็นการซื้อรถโดยสารประจำทาง การพัฒนาอู่จอดรถ และโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด จะต้องมีการพิจารณาถึงแหล่งเงินในการดำเนินการดังกล่าว โดยคำนึงถึงกฎและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ความเหมาะสมต่อวินัยการเงินการคลัง และแนวทางปฏิบัติที่ผ่านมา นอกจากนี้ บทบาทของ ขสมก. ในปัจจุบันที่เป็นทั้งผู้กำกับดูแล (Regulator) และผู้ปฏิบัติ (Operator) ควรจะต้องมีการพิจารณากำหนดบทบาทของ ขสมก. ให้ชัดเจน ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการอย่างเคร่งครัดต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาจัดหาแหล่งเงินกู้ให้ ขสมก. กู้เงิน หรือให้กระทรวงการคลังจัดหาเงินกู้ให้ ขสมก. กู้ต่อตามพระราชบัญญัติจัดตั้งองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ พ.ศ. ๒๕๑๙ มาตรา ๗ (๗) และค้ำประกันเงินกู้ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๑.๓ ให้ ขสมก. และกระทรวงคมนาคมรับประเด็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจไปประกอบการพิจารณาดำเนินการ ได้แก่ การประสานกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อพิจารณาแนวทางการจัดซื้อจัดหารถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) ที่จะสามารถส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่อรถโดยสารในประเทศ รวมถึงผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนภายในประเทศทุกรายที่สนใจสามารถเข้าร่วมการประกวดราคาได้ การแต่งตั้งผู้แทนที่มีความเชี่ยวชาญในด้านเทคนิคและในภาคอุตสาหกรรมรถยนต์โดยสารเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการในการจัดหารถโดยสาร การประสานกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาแนวทางการดำเนินงานในรายละเอียดของแผนงานต่าง ๆ ภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาหนี้สินเพื่อให้องค์กรสามารถดำเนินการต่อไปได้ และพิจารณาปรับรูปแบบการให้บริการรถโดยสารสาธารณะโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายให้เหมาะสม โดยอาจกำหนดประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ควรได้รับบริการดังกล่าวที่ชัดเจน เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ เป็นต้น รวมทั้งการจัดทำตัวชี้วัดผลการดำเนินโครงการ โดยเฉพาะการประหยัดค่าใช้จ่ายจากการดำเนินโครงการ เช่น ค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิง ค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุง เป็นต้น และปริมาณผู้โดยสาร เพื่อใช้ในการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการดังกล่าว ๑.๔ รับทราบข้อมูลเพิ่มเติมโครงการจัดซื้อรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน ๓,๑๘๓ คัน เพื่อนำมาให้บริการทดแทนรถโดยสารเดิมที่ใช้น้ำมันดีเซลของ ขสมก. ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๑.๕ เห็นชอบในหลักการยกหนี้สินเดิมของ ขสมก. จำนวนไม่เกินร้อยละ ๒๕ ให้ ขสมก. และให้พักหนี้สินในส่วนที่เหลือไว้จนกว่า ขสมก. จะสามารถดำเนินการตามเงื่อนไขต่าง ๆ ได้ โดยให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมพิจารณาหนี้สินที่จะยกให้ ขสมก. ส่วนที่เหลือและกำหนดเงื่อนไขและระยะเวลาดำเนินการตามเงื่อนไขที่จะยกหนี้ให้ต่อไป และให้ ขสมก. จัดทำประมาณการทางการเงินตามแผนฟื้นฟูกิจการอีกครั้งหนึ่ง โดยให้แยกภาระหนี้เดิมออก ตามมติคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ๑.๖ ให้กระทรวงพลังงาน ขสมก. และกระทรวงคมนาคม ติดตามการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องยนต์เพื่อรองรับการใช้พลังงานทางเลือกอย่างใกล้ชิดเพื่อประกอบการกำหนดนโยบายหรือมาตรการที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๗ เพื่อให้การจัดหารถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน ๓,๑๘๓ คัน ของ ขสมก. มีความยืดหยุ่นในการพิจารณาเลือกใช้พลังงานเชื้อเพลิงให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าของการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องยนต์ในอนาคต ให้กระทรวงคมนาคม และ ขสมก. สามารถพิจารณาปรับเปลี่ยนหรือเลือกใช้รถโดยสารที่สามารถใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่เป็นพลังงานทางเลือกหรือพลังงานชีวภาพในขั้นการดำเนินงานได้ตามความเหมาะสมกับเทคโนโลยีที่อาจเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต และให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. อนุมัติให้ ขสมก. กู้เงินในวงเงิน ๑๓,๑๖๒.๒๐ ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้หรือจัดหาเงินกู้ให้ ขสมก. กู้ต่อ และให้ ขสมก. เป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายในการชำระคืนต้นเงินกู้ ค่าดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ในการกู้เงิน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาถึงความเหมาะสมคุ้มค่าในกรณีที่หากมีการปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มเติมการจัดซื้อรถโดยสารธรรมดาไปเป็นรถโดยสารปรับอากาศ รวมถึงการจัดระบบเส้นทางเดินรถ การปรับอัตราค่าโดยสาร การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีด้านพลังงานทางเลือกที่ใช้กับรถโดยสาร โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่อการให้บริการ การยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้โดยสารที่มีรายได้น้อย การจูงใจให้มีการใช้รถโดยสารสาธารณะมากยิ่งขึ้น การประหยัดพลังงาน รวมทั้งการลดปัญหาการจราจรและลดมลภาวะของสิ่งแวดล้อม และให้รายงานผลการศึกษาต่อคณะรัฐมนตรีด้วย โดยหากมีความจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงการจัดซื้อรถโดยสารตามโครงการดังกล่าวไปจากที่ได้อนุมัติไว้ตามข้อ ๑ ให้กระทรวงคมนาคมเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||
830 | รายงานผลการตรวจติดตามการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ และจังหวัดบุรีรัมย์ ระหว่างวันที่ 10 - 11 มีนาคม 2556 | พน | 09/04/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการตรวจติดตามการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิและจังหวัดบุรีรัมย์ ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จังหวัดชัยภูมิ ๑.๑ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของจังหวัดชัยภูมิตั้งอยู่ตอนบนสุดของที่ราบสูงโคราช ทำให้ลักษณะภูมิประเทศร้อยละห้าสิบเป็นที่ราบสูง อีกร้อยละห้าสิบประกอบด้วยป่าไม้และภูเขา เมื่อฝนตกลงมาจึงไหลลงสู่ที่ต่ำอย่างรวดเร็ว ประกอบกับการกักเก็บน้ำของแหล่งกักเก็บที่มียังไม่เต็มศักยภาพ ทำให้แหล่งกักเก็บน้ำแห้งขอดในฤดูแล้ง และนับตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นมาเกิดภาวะฝนทิ้งช่วง เป็นเหตุให้พืชผลทางเกษตรได้รับความเสียหายเป็นวงกว้าง จังหวัดจึงได้ประกาศภัยพิบัติทั้ง ๑๖ อำเภอ ๑.๒ การแก้ไขปัญหา ในเบื้องต้นจังหวัดได้อนุมัติงบประมาณให้ความช่วยเหลือไปแล้ว ๓๖,๕๘๓,๖๗๖ บาท โดยการจัดหาวัสดุทำฝายกระสอบทรายเพื่อชะลอน้ำ จำนวน ๒๖๔ แห่ง ซ่อมแซมฝายชะลอน้ำ ๑๓ แห่ง ขุดลอกเปิดทางน้ำเข้าพื้นที่การเกษตร ๓๗ แห่ง ฝึกอบรมอาชีพระยะสั้น ๘ แห่ง นอกจากนี้ จังหวัดยังมีความประสงค์ขอรับการสนับสนุนเพื่อช่วยเหลือความเดือดร้อนของราษฎรอีก คือ ระยะแรก เพื่อจัดทำโครงการขุดลอกแหล่งน้ำ ๑๔๑ โครงการ วงเงิน ๒๒๗ ล้านบาท โครงการบ่อน้ำบาดาล ๒๒๕ บ่อ วงเงิน ๒๒.๙๕ ล้านบาท จัดหาเครื่องสูบน้ำขนาด ๘ นิ้ว ๕๐ เครื่อง วงเงิน ๒๗ ล้านบาท จัดหารถบรรทุกน้ำ ๑๖ คัน วงเงิน ๒.๓ ล้านบาท และจัดหาถังน้ำกลาง ๒,๗๑๒ ถัง วงเงิน ๓๘ ล้านบาท สำหรับระยะกลางและระยะยาว จะดำเนินโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ ๑๑ โครงการ ๒. จังหวัดบุรีรัมย์ ๒.๑ จังหวัดบุรีรัมย์เป็นจังหวัดที่ประสบกับภาวะความแห้งแล้งเป็นประจำทุกปี เนื่องจากในพื้นที่ของจังหวัดจะมีปริมาณฝนตกค่อนข้างน้อย ทำให้แหล่งน้ำที่มีทั้งแหล่งน้ำหลักและแหล่งน้ำขนาดเล็กไม่สามารถเก็บกักน้ำไว้ใช้ได้ตลอดฤดูกาล เป็นเหตุให้ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ขาดแคลนน้ำในการอุปโภค บริโภค และทำให้พืชเศรษฐกิจหลักของจังหวัดได้ผลผลิตไม่เต็มที่ โดยเกิดภัยแล้งใน ๒๓ อำเภอ ๑๗๗ ตำบล ๒,๑๑๕ หมู่บ้าน ความเสียหายด้านเกษตร คิดเป็นพื้นที่จำนวน ๑๖๓,๕๒๘ ไร่ ๒.๒ การแก้ไขปัญหา จังหวัดได้ให้รถบรรทุกน้ำที่มีกระจายอยู่ตามองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และส่วนราชการต่าง ๆ บรรทุกน้ำไปแจกจ่ายให้ประชาชนตามหมู่บ้านต่าง ๆ และได้รับการสนับสนุนรถสูบส่งน้ำระยะไกลจากศูนย์ฯ เขต ๕ นครราชสีมา ดำเนินการสูบน้ำจากแหล่งน้ำไปยังสระน้ำประปาหมู่บ้านที่แห้งขอด และกำลังเร่งดำเนินการซ่อมเป่าล้างบ่อบาดาลและซ่อมประปาหมู่บ้านที่ชำรุดให้ใช้งานได้ โดยจังหวัดได้ใช้เงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยแล้งไปแล้ว เป็นเงิน ๑๐,๙๓๙,๕๕๒ บาท รวมทั้งประสงค์ขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติม คือ จัดหาถังน้ำกลางหมู่บ้าน ขนาด ๒,๐๐๐ ลิตร จำนวน ๓,๙๐๐ ถัง วงเงิน ๕๔.๖ ล้านบาท รถบรรทุกน้ำ ๒๐ คัน รวมค่าบริหารจัดการ วงเงิน ๒.๑๙๒ ล้านบาท รถส่งสูบน้ำระยะไกล ๒ คัน วงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท และดำเนินโครงการขุดลอกแหล่งน้ำ ๑๑๔ โครงการ วงเงิน ๓๑๓.๘ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||
831 | สถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนกุมภาพันธ์ และแนวโน้มปี 2556 | นร11 | 09/04/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ และแนวโน้มปี ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ๑.๑ การใช้จ่ายภาคครัวเรือน ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ ๓.๓ ชะลอตัวลงจากการขยายตัวร้อยละ ๖.๗ ในเดือนมกราคม ๒๕๕๖ โดยการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (ณ ราคาคงที่) และการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัวร้อยละ ๓.๓ และ ๒.๙ ชะลอตัวลงจากการขยายตัวร้อยละ ๑๗.๑ และ ๓๒.๒ ในเดือนมกราคม ๒๕๕๖ ตามลำดับ ในขณะที่ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งยังขยายตัวในเกณฑ์สูงร้อยละ ๙๒.๑ แม้จะชะลอตัวลงจากร้อยละ ๑๐๘.๖ ในเดือนก่อนหน้า ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ อยู่ที่ระดับร้อยละ ๗๔.๓ เพิ่มขึ้นจากระดับร้อยละ ๗๒.๑ ในเดือนมกราคม ๒๕๕๖ ๑.๒ การลงทุนภาคเอกชน ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวในเกณฑ์สูงร้อยละ ๙.๕ ชะลอตัวลงจากการขยายตัวร้อยละ ๒๒.๒ ในเดือนก่อนหน้า ตามฐานการขยายตัวที่สูงขึ้น โดยการลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักรชะลอตัวลงตามการหดตัวของการนำเข้าสินค้าทุนร้อยละ ๘.๙ ในขณะที่ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ขยายตัวร้อยละ ๑๔.๐ ชะลอตัวลงจากร้อยละ ๓๖.๕ ในเดือนมกราคม ๒๕๕๖ ส่วนการลงทุนในสิ่งก่อสร้างยังขยายตัวในเกณฑ์ดี โดยปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศขยายตัวต่อเนื่องร้อยละ ๑๔.๕ เช่นเดียวกับพื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างที่ขยายตัวร้อยละ ๒๓.๓ ๑.๓ การส่งออกสินค้า มีมูลค่า ๑๗,๗๖๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (๕๒๙,๕๓๐ ล้านบาท) หดตัวลงร้อยละ ๔.๖ เทียบกับการขยายตัวร้อยละ ๑๕.๖ ในเดือนมกราคม ๒๕๕๖ เมื่อหักทองคำที่ยังไม่ขึ้นรูปออกแล้ว มูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ ๐.๖ สินค้าส่งออกที่หดตัวลง ได้แก่ ข้าว ยางพารา สินค้าประมง สินค้าเกษตรแปรรูป และทองคำ ในขณะที่การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมชะลอตัวลง โดยเฉพาะการส่งออกยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น ตลาดส่งออกที่ขยายตัว ได้แก่ จีน และออสเตรเลีย ตลาดส่งออกที่หดตัว ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ๑.๔ การผลิตภาคอุตสาหกรรม ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมหดตัวร้อยละ ๑.๒ เทียบกับการขยายตัวร้อยละ ๑๐.๒ ในเดือนก่อนหน้าตามฐานการขยายตัวที่สูงขึ้น อัตราการใช้กำลังการผลิตที่ลดลงจากร้อยละ ๖๗.๐ ในเดือนก่อน เป็นร้อยละ ๖๒.๙ อุตสาหกรรมสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ยานยนต์ เครื่องปรับอากาศ และสิ่งทอ ส่วนอุตสาหกรรมสำคัญที่หดตัว ได้แก่ อุตสาหกรรมปิโตรเลียม การแปรรูปสัตว์น้ำ เครื่องนุ่งห่ม โทรทัศน์/วิทยุ และฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ๑.๕ การผลิตภาคเกษตรกรรม ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรหดตัวร้อยละ ๐.๒ เทียบกับการขยายตัวร้อยละ ๐.๗ ในเดือนก่อนหน้า เป็นการหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ ๑๙ เดือน เนื่องจากผลผลิตข้าวที่มีการเร่งเก็บเกี่ยวไปก่อนหน้า ในขณะที่ราคาสินค้าเกษตรยังลดลงอย่างต่อเนื่องร้อยละ ๔.๒ ส่งผลให้รายได้เกษตรกรลดลงร้อยละ ๔.๔ โดยราคาสินค้าเกษตรสำคัญที่ลดลง ได้แก่ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และไก่เนื้อ ส่วนราคาสินค้าเกษตรสำคัญที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ราคาข้าวเปลือก มันสำปะหลัง และสุกร ๑.๖ ภาคการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ มีจำนวน ๒.๓ ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๕.๖ เร่งตัวขึ้นเมื่อเทียบกับการขยายตัวร้อยละ ๑๒.๕ ในเดือนมกราคม ๒๕๕๖ โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีสัดส่วนสูงสุด คือ นักท่องเที่ยวจากจีน รองลงมา คือ มาเลเซีย รัสเซีย และญี่ปุ่น ๑.๗ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปชะลอตัว การว่างงานอยู่ในระดับต่ำ และดุลบัญชีเดินสะพัดปรับตัวจากการขาดดุลในเดือนมกราคม ๒๕๕๖ เป็นการเกินดุล ๑.๘ สถานการณ์ด้านการคลัง การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลเพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อนค่อนข้างมาก หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนมกราคม ๒๕๕๖ อยู่ที่ร้อยละ ๔๔.๑ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ๑.๙ สถานการณ์ด้านการเงิน สภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์ตึงตัวขึ้น จากการขยายตัวของสินเชื่อที่ยังคงอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เงินฝากมีการชะลอตัวลง อัตราดอกเบี้ยนโยบายทรงตัว เงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องตามทิศทางการไหลเข้าสุทธิของเงินทุนจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๖ คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวร้อยละ ๔.๕-๕.๕ โดยอุปสงค์ภายในประเทศยังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวในเกณฑ์ดีอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ภาคการส่งออกเริ่มฟื้นตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศได้มากขึ้น และคาดว่าเงินเฟ้อจะอยู่ในช่วงร้อยละ ๒.๕-๓.๕ และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๐.๙ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
|
||||||||||||||||||
832 | การติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านสังคมและคุณภาพชีวิต ในส่วนของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์) ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2556 | นร | 31/03/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านสังคมและคุณภาพชีวิต ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์) เสนอ โดยมีหน่วยงานเจ้าภาพหลักรายงานผลการดำเนินการตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ประจำเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ดังนี้
๑. ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน (ตั้งแต่วันที่ ๑-๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖) ๑.๑ กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ได้ดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องงานสนับสนุนการบริหารจัดการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี งานประชาสัมพันธ์กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี งานพัฒนาระบบสารสนเทศของกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี งานยุทธศาสตร์และพัฒนาศักยภาพกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ๑.๒ กองทุนตั้งตัวได้ กระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการแต่งตั้งผู้อำนวยการกองทุนตั้งตัวได้ ตั้งแต่วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ และอยู่ระหว่างการจัดทำประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์ที่สถาบันการศึกษาขอจัดตั้งเป็น ABI (Authorized Business Incubator) และประกาศคุณสมบัติของผู้มีสิทธิขอรับการสนับสนุนเงินประกอบธุรกิจเริ่มต้นจากกองทุนตั้งตัวได้ ๒. พัฒนาระบบประกันสุขภาพ โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข ๒.๑ การสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า มีการจัดทำข้อตกลงเพื่อให้บุคคลผู้มีสิทธิตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของพนักงานส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๕๑ ใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ๒.๒ การสร้างความมั่นคงทางการเงินการคลังของหน่วยบริการ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการติดตามกำกับและตรวจสอบหน่วยบริการที่มีภาวะวิกฤตทางการเงิน พัฒนาการจัดทำต้นทุนหน่วยบริการ และพัฒนาเกณฑ์การประเมินประสิทธิภาพการบริหารการเงินการคลัง ๓. จัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตให้แก่โรงเรียน ๓.๑ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร แจ้งว่าอยู่ระหว่างส่งเรื่องคืนให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาทบทวน TOR ใหม่ ๓.๒ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน แจ้งว่ามีหน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณในการจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) จำนวน ๑๐ หน่วยงาน รวม ๑,๘๐๓,๓๓๗ เครื่อง วงเงิน ๕,๐๙๒,๑๗๙,๐๐๐ บาท คาดว่าจะทำสัญญาได้ภายในวันที่ ๙-๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ๓.๓ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน แจ้งว่าขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการร่วมกับเขตพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาการส่งมอบแท็บเล็ตให้แก่โรงเรียนไม่เพียงพอ โดยนำเครื่องจากเขตพื้นที่ที่เหลือไปจัดสรรให้แก่นักเรียนที่มีเครื่องไม่เพียงพอและกำลังดำเนินการจัดทำหนังสือไปยังผู้อำนวยการเขตพื้นที่ที่มีเครื่องเหลือในภาคใต้ให้จัดส่งแท็บเล็ตที่เหลือไปยังเขตพื้นที่ใกล้เคียงทางไปรษณีย์
|
||||||||||||||||||
833 | สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนธันวาคม พ.ศ. 2555 | ทก | 31/03/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน จำนวน ๓๙.๘๒ ล้านคน ประกอบด้วย ผู้มีงานทำ ๓๙.๕๕ ล้านคน ผู้ว่างงาน ๑.๙๑ แสนคน และผู้ที่รอฤดูกาล ๘.๒ หมื่นคน ทั้งนี้ ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๔ จำนวน ๔.๐ หมื่นคน (จาก ๓๙.๗๘ ล้านคน เป็น ๓๙.๘๒ ล้านคน) ๒. ผู้มีงานทำ จำนวน ๓๙.๕๕ ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๔ จำนวน ๖.๐ หมื่นคน (จาก ๓๙.๔๙ ล้านคน เป็น ๓๙.๕๕ ล้านคน) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๒ ทั้งนี้ ผู้ทำงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผู้ทำงานสาขาการก่อสร้าง ๔.๓ แสนคน สาขาการผลิต ๓.๘ แสนคน สาขาการบริหารราชการการป้องกันประเทศ ๑.๗ แสนคน สาขาการขนส่ง และสถานที่เก็บสินค้า ๔.๐ หมื่นคน สาขากิจกรรมทางการเงินและการประกันภัย ๔.๐ หมื่นคน สาขากิจกรรมอสังหาริมทรัพย์ ๔.๐ หมื่นคน สำหรับผู้ทำงานลดลง ได้แก่ ผู้ทำงานภาคเกษตรกรรม ๔.๙ แสนคน รองลงมาเป็น ในสาขาที่พักแรมและการบริการด้านอาหาร ๓.๓ แสนคน สาขาการศึกษา ๑.๘ แสนคน สาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ และรถจักรยานยนต์ ๑.๐ แสนคน ๓. ผู้ว่างงานทั่วประเทศ จำนวน ๑.๙๑ แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ ๐.๕ ของกำลังแรงงานรวม (เพิ่มขึ้น ๑.๙ หมื่นคน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๔) ประกอบด้วย ผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน ๖.๖ หมื่นคน อีกส่วนหนึ่งเป็นผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน ๑.๒๕ แสนคน โดยเป็นผู้ว่างงานที่มาจากภาคการผลิต ๗.๑ หมื่นคน ภาคการบริการและการค้า ๓.๓ หมื่นคน และภาคเกษตรกรรม ๒.๑ หมื่นคน เป็นผู้ว่างงานที่มีการศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษา จำนวน ๖.๖ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ๕.๑ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ๔.๐ หมื่นคน ระดับประถมศึกษา ๒.๗ หมื่นคน และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา ๗.๐ พันคน ทั้งนี้ ผู้ว่างงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๘.๖ หมื่นคน ภาคกลาง ๔.๓ หมื่นคน ภาคใต้ ๒.๘ หมื่นคน ภาคเหนือ ๑.๗ หมื่นคน และกรุงเทพมหานคร ๑.๗ หมื่นคน
|
||||||||||||||||||
834 | โครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี 2555/56 | พณ | 26/03/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้า สถานการณ์ และแนวโน้มของการดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี ๒๕๕๕/๕๖ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประธานกรรมการนโยบายมันสำปะหลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี ๒๕๕๕/๕๖ (ณ วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖) ๑.๑ การเปิดจุดรับจำนำของลานมัน/โรงแป้ง มีผู้ประกอบการลานมันและโรงแป้งสมัครเข้าร่วมโครงการฯ และเปิดเป็นจุดรับจำนำ รวม ๖๐๓ ราย แยกเป็น ลานมัน ๕๕๑ ราย โรงแป้ง ๕๒ ราย ๑.๒ ปริมาณการรับจำนำ รวมทั้งสิ้น ๕,๔๑๖,๐๒๘ ตัน แยกเป็น ลานมัน ๓,๓๖๙,๘๙๖ ตัน และโรงแป้ง ๒,๐๔๖,๑๓๑ ตัน คิดเป็นร้อยละ ๖๒ และ ๓๘ ตามลำดับ ซึ่งองค์การคลังสินค้า (อคส.) ได้ออกใบประทวนให้เกษตรกร ๑๙๔,๓๒๕ ใบ แยกเป็น ลานมัน ๙๐,๒๑๗ ใบ โรงแป้ง ๑๐๔,๑๐๘ ใบ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้จ่ายเงินให้เกษตรกร ๕๕,๗๘๖ สัญญา จำนวนเงิน ๗,๖๑๖.๑๖๙ ล้านบาท ๑.๓ การอนุมัติโกดังกลางเก็บผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง รวมทั้งสิ้น ๑๐๔ แห่ง แบ่งเป็น โกดังกลางมันเส้น ๘๕ แห่ง ในพื้นที่ ๒๓ จังหวัด ความจุ ๒,๗๑๑,๗๕๐ ตัน และโกดังกลางแป้งมัน ๓๘ แห่ง ในพื้นที่ ๑๔ จังหวัด ความจุ ๕๙๔,๙๖๐ ตัน และได้อนุมัติผู้ประกอบการตรวจสอบคุณภาพมันสำปะหลังที่ขึ้นทะเบียนกับกรมการค้าต่างประเทศ จำนวน ๙ บริษัท ๑.๔ การเปิดจุดรับจำนำในส่วนเอทานอล มีโรงงานเอทานอลสมัครเข้าร่วมโครงการฯ รวม ๖ ราย ซึ่งโรงงานเอทานอลจะแจ้งแผนการรับมันสำปะหลังตามโครงการฯ และจัดทำสัญญาซื้อขายกับ อคส. เป็นรายไตรมาส โดยในไตรมาสที่ ๑ เป็นการรับมันสำปะหลังทั้งในรูปหัวมันสดและมันเส้น ส่วนไตรมาสที่ ๒-๔ เป็นการรับมันเส้นจากโครงการฯ สำหรับเป้าหมายการรับมันสำปะหลังจากโครงการฯ ในไตรมาสที่ ๑ มีปริมาณทั้งสิ้น ๔๑๕,๔๘๘.๕๔ ตันหัวมันสด แบ่งเป็น การรับหัวมันสด จำนวน ๒๑๐,๔๒๕.๐๐ ตัน และมันเส้น จำนวน ๘๔,๗๓๗.๐๐ ตัน (๒๐๕,๐๖๓.๕๔ ตันหัวมันสด) ทั้งนี้ ปริมาณการรับมันสำปะหลังจากโครงการฯ ในส่วนของเอทานอล ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ถึง ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เป็นเพียงการรับในรูปหัวมันสดเท่านั้น โดยมีปริมาณรวมทั้งสิ้น ๑๗,๒๖๑.๗๘ ตัน คิดเป็นเอทานอลประมาณ ๒,๗๕๗,๔๗๒.๘๔ ลิตร (อัตราแปรสภาพหัวมันสด : เอทานอล = ๖.๒๖ : ๑) ซึ่งกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงพลังงานจะกำกับดูแลให้เป็นไปตามแผนในการช่วยดูดซับมันสำปะหลังและลดภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ๒. สถานการณ์และแนวโน้ม ๒.๑ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์คาดการณ์ผลผลิตปี ๒๕๕๕/๕๖ ประมาณ ๒๗.๕๕ ล้านตัน ต้นทุนการผลิตกิโลกรัมละ ๑.๘๒ บาท เทียบกับปีที่ผ่านมามีผลผลิตประมาณ ๒๖.๖๐ ล้านตัน ต้นทุนการผลิตกิโลกรัมละ ๑.๗๗ บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๕๖ และ ๒.๘๒ ตามลำดับ ปัจจุบันผลผลิตออกสู่ตลาดแล้วร้อยละ ๖๒.๗๕ หรือประมาณ ๑๗.๒๙ ล้านตัน ๒.๒ ราคาหัวมันสดที่เกษตรกรจังหวัดนครราชสีมาขายได้ (เชื้อแป้งร้อยละ ๒๕) ณ วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ กิโลกรัมละ ๒.๐๕-๒.๒๕ บาท ส่วนจังหวัดอื่น ๆ เช่น จังหวัดกำแพงเพชร อุทัยธานี อุดรธานี อุบลราชธานี ระยอง สระแก้ว และชลบุรี อยู่ระหว่างกิโลกรัมละ ๑.๙๕-๒.๕๕ บาท สำหรับราคาส่งออก F.O.B. (Free on Board) มันเส้นตันละ ๒๒๘-๒๓๐ ดอลลาร์สหรัฐ (๖.๗๕-๖.๘๐ บาท/กิโลกรัม) ต่ำกว่าช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมา กิโลกรัมละ ๐.๕๘ บาท และแป้งมันตันละ ๔๕๐-๔๖๐ ดอลลาร์สหรัฐ (๑๓.๓๐-๑๓.๖๐ บาท/กิโลกรัม) ต่ำกว่าช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมา กิโลกรัมละ ๐.๑๓ บาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๖.๖๑ และ ๐.๙๖ ตามลำดับ ๒.๓ การส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในปี ๒๕๕๕ (เดือนมกราคม-ธันวาคม) มีปริมาณรวมทั้งสิ้น ๘.๓๕๐ ล้านตัน มูลค่า ๘๕,๖๓๕ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาคิดเป็นร้อยละ ๒๒.๖๗ และ ๙.๕๘ ตามลำดับ ตลาดส่งออกมันเส้น ร้อยละ ๙๙ ส่งออกไปยังประเทศจีน ส่วนตลาดส่งออกแป้งมัน ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน เกาหลี อินโดนีเซีย และไต้หวัน ๒.๔ การระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจากโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี ๒๕๕๕/๕๖ กระทรวงพาณิชย์ได้จัดทำยุทธศาสตร์การระบายมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง โดยระบายด้วยวิธี (๑) เจรจาขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) (๒) ขายเป็นการทั่วไป (๓) ขายในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) (๔) ขายให้แก่ผู้ผลิตเอทานอลที่นำไปผลิตเป็นพลังงานทดแทน ซึ่งอยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ ๒.๕ แนวโน้มตลาดมันสำปะหลัง คาดว่าราคาหัวมันสดที่เกษตรกรขายได้จะเคลื่อนไหวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดลดลง ประกอบกับผลกระทบจากภาวะภัยแล้งทำให้ปริมาณผลผลิตลดต่ำกว่าที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์คาดการณ์ไว้ โดยราคาส่งออกมันเส้นเมื่อสิ้นสุดระยะเวลารับจำนำในเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ คาดว่าจะมีปริมาณใกล้เคียงกับเป้าหมาย ๑๐ ล้านตัน |
||||||||||||||||||
835 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนมกราคม 2556 | พณ | 26/03/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนมกราคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนมกราคม ๒๕๕๖ ๑.๑ ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนมกราคม ๒๕๕๖ เท่ากับ ๑๐๔.๔๔ เทียบกับดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๐๔.๒๗ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๖ จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าหมวดอาหารสดและพลังงาน โดยดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๘ จากการสูงขึ้นของราคาเนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ ร้อยละ ๑.๐๓ สินค้าสำคัญที่ราคาสูงขึ้น ได้แก่ เนื้อสุกร ไก่สด ไก่ย่าง ปลาช่อนสด ปลาดุก ปลานิล ปลาตะเพียน ปลาทู กุ้งขาวและปลาหมึก นอกจากนี้ สินค้าประเภทข้าวสารเจ้า ไข่ไก่ อาหารสำเร็จรูป อาหารพร้อมปรุง และอาหารบริโภคนอกบ้าน มีราคาสูงขึ้นตามต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ส่วนดัชนีหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๐ จากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงขายปลีกโดยเฉลี่ยในประเทศ ร้อยละ ๐.๗๕ ตามภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลก สินค้าและบริการอื่นที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ หมวดเคหสถาน สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๖ (ค่าเช่าบ้าน อิฐ ค่าแรงช่างประปา) ค่ากระแสไฟฟ้า สูงขึ้นร้อยละ ๑.๐๘ จากการประกาศปรับขึ้นค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (ค่าเอฟที) งวดใหม่ (ประจำเดือนมกราคม-เมษายน ๒๕๕๖ ปรับสูงขึ้น ๔.๐๔ สตางค์ต่อหน่วย) ค่าน้ำประปา ร้อยละ ๑.๐๑ คนรับใช้/คนทำงานบ้าน ร้อยละ ๐.๘๖ สิ่งทอสำหรับใช้ในบ้าน ร้อยละ ๐.๒๕ (ผ้าม่าน ผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน มุ้ง) สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด ร้อยละ ๐.๐๘ (ก้อนดับกลิ่น สารกำจัดแมลง/ไล่แมลง น้ำยาปรับผ้านุ่ม) ค่ายาและเวชภัณฑ์ ร้อยละ ๐.๐๔ (ยาหอม ยาหม่อง ยาฆ่าเชื้อรา ยาลดกรดในกระเพาะ ถุงยางอนามัย) ค่าของใช้ส่วนบุคคล ร้อยละ ๐.๑๓ (น้ำยาระงับกลิ่นกาย ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว ใบมีดโกน แป้งทาผิวกาย ยาสีฟัน น้ำหอม) ๑.๒ ดัชนีผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนมกราคม ๒๕๕๖ เท่ากับ ๑๐๒.๗๙ เทียบกับเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๘ จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าและบริการ ได้แก่ ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำประปา สิ่งทอสำหรับใช้ในบ้าน (มุ้ง ผ้าม่าน ผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม) สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด (น้ำยาปรับผ้านุ่ม น้ำยารีดผ้า ผลิตภัณฑ์ซักผ้า ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้น สารกำจัดแมลง) คนรับใช้หรือคนทำงานบ้าน ค่าฝากเลี้ยงเด็กและยามดูแลความปลอดภัย และค่าของใช้ส่วนบุคคล (ยาสีฟัน แชมพูสระผม น้ำหอม ลิปสติก ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว แปรงสีฟัน กระดาษชำระ ครีมนวดผม น้ำยาระงับกลิ่นกาย ค่าแต่งผมชาย ค่าทำเล็บ) ๒. ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ยังคงขยายตัวได้ดี จากอุปสงค์ภายในประเทศที่เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ และอุปทานที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนโดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ที่มีการเร่งผลิตและส่งมอบรถยนต์ให้ผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่การแข็งค่าของเงินบาทจะมีผลกระทบต่ออุปทานที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก โดยเฉพาะกลุ่มผู้ส่งออกขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) จะประสบปัญหาการบริหารจัดการเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงการแข่งขันด้านราคา
|
||||||||||||||||||
836 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนกุมภาพันธ์ 2556 | พณ | 26/03/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ๑.๑ ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เท่ากับ ๑๐๔.๖๖ เทียบกับดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนมกราคม ๒๕๕๖ เท่ากับ ๑๐๔.๔๔ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๑ จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๐.๓๖ จากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงขายปลีก ค่าเช่าบ้าน ค่าวัสดุก่อสร้าง (ปูนซีเมนต์ กระเบื้องซีเมนต์ใยหินมุงหลังคา อิฐ) ค่าธรรมเนียมผ่านทางพิเศษ ค่ายาและเวชภัณฑ์ (ยาฆ่าเชื้อรา ยาหม่อง ยาบรรเทาปวดกล้ามเนื้อ ถุงยางอนามัย) และค่าของใช้ส่วนบุคคล (สบู่ถูตัว แชมพู แปรงสีฟัน ยาสีฟัน กระดาษชำระ ผ้าอนามัย) ขณะที่ดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ลดลงร้อยละ ๐.๐๘ สาเหตุจากการลดลงของราคาผักสด ได้แก่ ผักคะน้า ผักชี ขึ้นฉ่าย ต้นหอม มะเขือเทศ ผักกาดขาว ผักกาดหอม กะหล่ำปลี และผักบุ้ง สินค้าประเภทเครื่องประกอบอาหาร (น้ำมันพืช และกะทิสำเร็จรูป) ๑.๒ ดัชนีผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เท่ากับ ๑๐๒.๘๘ เทียบเดือนมกราคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๙ จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าและบริการ ได้แก่ ค่าเช่าบ้าน วัสดุก่อสร้าง (ปูนซีเมนต์ กระเบื้องซีเมนต์ใยหินมุงหลังค่า อิฐ) ค่าของใช้ส่วนบุคคล (สบู่ถูตัว แชมพูสระผม ยาสีฟัน น้ำหอม ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว แปรงสีฟัน กระดาษชำระ ครีมนวดผม น้ำยาระงับกลิ่นกาย ค่าแต่งผมชาย ค่าดัดผมสตรี ค่าทำเล็บ) ๒. ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในเดือนมกราคม ๒๕๕๖ ยังคงขยายตัวได้ดี จากการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และการลงทุนภาคเอกชนที่กลับสู่ภาวะปกติ ถึงแม้การผลิตภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมจะชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่เสถียรภาพเศรษฐกิจโดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ดี ขณะที่อุปทานด้านการส่งออกเริ่มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามเศรษฐกิจโลกที่มีเสถียรภาพมากขึ้น
|
||||||||||||||||||
837 | รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ 4 ปี 2555 และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนกุมภาพันธ์ 2556 | อก | 26/03/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ ๔ ปี ๒๕๕๕ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๕) และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๔ ปี ๒๕๕๕ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๕) ๑.๑ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ในไตรมาสที่ ๓ ของปี ๒๕๕๕ ขยายตัวร้อยละ ๓.๐ ชะลอตัวลงจากไตรมาสที่ ๒ ของปี ๒๕๕๕ ที่ขยายตัวร้อยละ ๔.๔ และชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ ๓ ของปี ๒๕๕๔ ที่ขยายตัวร้อยละ ๓.๗ โดยปัจจัยที่ทำให้อัตราการขยายตัวชะลอลงจากไตรมาสที่ ๒ ของปี ๒๕๕๕ คือ การหดตัวของอุปสงค์ระหว่างประเทศ ขณะที่อุปสงค์ในประเทศโดยรวมยังขยายตัว ประกอบด้วย การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของครัวเรือน เป็นการขยายตัวจากการบริโภคสินค้าคงทน โดยเฉพาะสินค้าหมวดยานยนต์ รวมทั้งหมวดสินค้าไม่คงทน เช่น อาหาร เครื่องดื่ม น้ำประปา ไฟฟ้า น้ำมันเชื้อเพลิง ยารักษาโรค การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง การลงทุนภาครัฐและการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลขยายตัวดีขึ้น ส่วนดุลการค้าและบริการเกินดุลเทียบกับที่ขาดดุลในไตรมาสที่แล้ว ๑.๒ GDP สาขาอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ ๓ ของปี ๒๕๕๕ หดตัวร้อยละ ๑.๑ หดตัวจากไตรมาสที่ ๒ ของปี ๒๕๕๕ ที่ขยายตัวร้อยละ ๒.๘ และหดตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ ๓ ของปี ๒๕๕๔ ที่ขยายตัวร้อยละ ๓.๑ เป็นผลจากอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ในขณะที่การผลิตเพื่อการบริโภคภายในประเทศยังขยายตัว ๑.๓ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๕ จะขยายตัวร้อยละ ๕.๕ สำหรับการประมาณการแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี ๒๕๕๖ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๔.๕-๕.๕ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศและการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจโลก ๑.๔ ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ ๔ ของปี ๒๕๕๕ พบว่า บางตัวมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๔ เช่น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิต โดยอุตสาหกรรมที่มีการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๔ ได้แก่ ยานยนต์ Hard Disk Drive ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เบียร์ เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น ส่วนมูลค่าการส่งออกในภาพรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๑๒ (มกราคม-ธันวาคม ๒๕๕๕) เมื่อเทียบกับปี ๒๕๕๔ โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น ๑.๕ การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๔ การลงทุนภาคเอกชนลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาแต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๔ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและความเชื่อมั่นทางธุรกิจปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๔ ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาแต่เพิ่มขึ้นไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๔ ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ๒.๑ อุตสาหกรรมยานยนต์ มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการที่ผู้ประกอบการผลิตรถยนต์นั่งประกาศแผนการลงทุนสร้างโรงงานผลิตรถยนต์แห่งใหม่ที่จังหวัดปราจีนบุรี มีมูลค่าการลงทุน ๑๗,๑๕๐ ล้านบาท กำลังการผลิต ๑๒๐,๐๐๐ คันต่อปี โดยเริ่มดำเนินการก่อสร้างในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ และจะเริ่มเดินสายการผลิตได้ในปี ๒๕๕๘ ในขณะเดียวกัน โรงงานผลิตรถยนต์ที่สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จะมีการเพิ่มกำลังการผลิตเป็น ๓๐๐,๐๐๐ คันต่อปี ภายในต้นปี ๒๕๕๗ ๒.๒ อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ประมาณการแนวโน้มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์โดยรวมจะปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๕ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอุตสาหกรรมไฟฟ้าจะปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๙ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๒ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
|
||||||||||||||||||
838 | รายงานการเตรียมพร้อมต่อการหยุดซ่อมบำรุงของแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติ ยาดานาในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ระหว่างวันที่ 5 - 14 เมษายน 2556 | พน | 26/03/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเตรียมพร้อมต่อการหยุดซ่อมบำรุงของแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติยาดานาในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ระหว่างวันที่ ๕-๑๔ เมษายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. การดำเนินการเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการหยุดส่งก๊าซธรรมชาติจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ และรักษาความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ๑.๑ การเตรียมเชื้อเพลิงสำรอง โดยเร่งรัดให้จัดส่งน้ำมันเตาให้เต็มคลังสำรองก่อนการหยุดจ่ายก๊าซที่โรงไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดใหญ่ พร้อมทั้งจัดทำแผนการจัดส่งน้ำมันเตาและดีเซลในระหว่างการหยุดซ่อมบำรุงเพื่อให้เพียงพอต่อการผลิตไฟฟ้า รวมถึงการบริหารปริมาณสำรองหลังสิ้นสุดการหยุดซ่อมบำรุงให้อยู่ในระดับมาตรฐานเพื่อเตรียมการรองรับในกรณีที่การหยุดซ่อมล่าช้ากว่ากำหนด ๑.๒ การเตรียมพร้อมของโรงไฟฟ้า โดยให้มีการทดสอบการปรับเปลี่ยนเชื้อเพลิงสำรองของโรงไฟฟ้าที่ต้องมีการใช้ดีเซลเป็นเชื้อเพลิง และให้ทุกโรงไฟฟ้างดเว้นการหยุดซ่อมบำรุงในช่วงการหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติ พร้อมกับได้ขอความร่วมมือไปยังผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก (Small Power Producer : SPP) เพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าอีก ๑๑๐ เมกะวัตต์ นอกจากนี้ ได้ประสานงานกับผู้ขออนุญาตผลิตพลังงานควบคุมตามพระราชบัญญัติการพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ ที่เป็นการผลิตไฟฟ้าสำรองฉุกเฉิน (Standby Generator) โดยกำหนดแนวทางการดำเนินงานร่วมกับผู้ขออนุญาตรายใหญ่ จำนวน ๒๗ ราย ที่มีกำลังการผลิตรวม ๑๘๐ เมกะวัตต์ ๑.๓ การประสานแจ้งไปยังผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมขอไม่ให้มีการหยุดซ่อมบำรุงเวลาดังกล่าว ๑.๔ การขอความร่วมมือกับภาคเอกชนลดใช้ไฟฟ้าในช่วงการหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติ โดยขอความร่วมมือสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยลดใช้ไฟฟ้า ซึ่งสมาชิกในกลุ่มของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจะลดการใช้ไฟฟ้าลงประมาณ ๔๐๘ เมกะวัตต์ และในกลุ่มของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจะลดใช้ไฟฟ้าลงประมาณ ๘๓ เมกะวัตต์ เมื่อรวมกับการลดใช้ไฟฟ้าจากผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่ใช้อัตราค่าไฟฟ้าแบบ Interruptible Rate รวม ๔ แห่ง คือ โรงงานไทยอาซาฮี โรงงานปูนซีเมนต์นครหลวง (๒ แห่ง) และโรงปูนซีเมนต์ทีพีไอ ที่มีกำลังการใช้ไฟฟ้ารวม ๕๖ เมกะวัตต์ จะทำให้สามารถลดใช้ไฟฟ้าลงได้ทั้งสิ้น ๕๔๗ เมกะวัตต์ ๑.๕ การรณรงค์สร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชนให้ประหยัดพลังงาน โดยจัดทำแผนการสร้างความเข้าใจกับประชาชน ๓ ช่วง คือ ช่วงก่อน ระหว่าง และหลังสถานการณ์ฉุกเฉิน และจัดทำแผนการสื่อสาร (Media Plan) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมรณรงค์เผยแพร่ข้อมูลสู่ประชาชน ๒. การซ้อมแผนรองรับสภาวะฉุกเฉินด้านพลังงาน โดยดำเนินการซ้อมแผนรองรับสภาวะฉุกเฉินด้านพลังงาน ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๖ มีหน่วยงานในกำกับและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมซ้อมแผนฯ ที่ใช้เหตุการณ์หยุดซ่อมบำรุงฯ ระหว่างวันที่ ๕-๑๔ เมษายน ๒๕๕๖ เป็นเหตุการณ์สมมติพื้นฐานและเพิ่มเหตุการณ์ซ้ำซ้อนเพื่อเป็นแนวทางการซ้อมแผนฯ ผลการซ้อมแผนฯ ทำให้เกิดความเข้าใจ แนวทางปฏิบัติ วิธีการแก้ไขปัญหา และการสื่อสารประชาสัมพันธ์กับประชาชน ๓. ผลจากการดำเนินงานเพื่อเตรียมพร้อมต่อการหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติดังกล่าวจะสามารถทำให้ปริมาณการผลิตไฟฟ้าสำรองเพิ่มขึ้นเป็น ๑,๔๒๔ เมกะวัตต์ ซึ่งทำให้ระบบไฟฟ้าของประเทศไทยมีกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
|
||||||||||||||||||
839 | ร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... | กค | 19/03/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ถอนความเห็นของกระทรวงคมนาคม ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. เห็นชอบและรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยการให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ มีมูลค่ารวมกันไม่เกิน ๒ ล้านล้านบาท และให้ส่งสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วแจ้งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป ๒.๒ รับทราบเอกสารประกอบการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... ประกอบด้วย ๓ ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ ยุทธศาสตร์ปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้าทางถนนสู่การขนส่งที่มีต้นทุนต่ำกว่า ยุทธศาสตร์พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทางและขนส่งไปสู่ศูนย์กลางของภูมิภาคทั่วประเทศและเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน และยุทธศาสตร์พัฒนาและปรับปรุงระบบขนส่งเพื่อยกระดับความคล่องตัว และส่งให้รัฐสภาเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ ต่อไป ๒.๓ เห็นชอบหลักเกณฑ์ในการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อชำระหนี้เงินกู้ตามพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... ให้เสร็จภายใน ๕๐ ปี โดยเริ่มจัดสรรภายในปีที่ ๑๑ นับแต่กฎหมายมีผลบังคับใช้ พร้อมทั้งกำหนดวงเงินขั้นต่ำในการชำระหนี้แบบขั้นบันได ๒.๓.๑ ปีที่ ๑๑-๒๐ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๑ ของ ๒ ล้านล้านบาท ต่อปี ๒.๓.๒ ปีที่ ๒๑-๓๐ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒ ของ ๒ ล้านล้านบาท ต่อปี ๒.๓.๓ ปีที่ ๓๑-๔๐ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๓ ของ ๒ ล้านล้านบาท ต่อปี ๒.๓.๔ ปีที่ ๔๑-๕๐ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๔ ของ ๒ ล้านล้านบาท ต่อปี หากในปีงบประมาณใดมีการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้เกินกว่าจำนวนที่กำหนดไว้ ให้สามารถนำงบประมาณรายจ่ายมาถัวเฉลี่ยในปีอื่นของแต่ละช่วงเวลาได้ โดยคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจ แต่เมื่อมีการถัวเฉลี่ยแล้วจะต้องไม่ต่ำกว่าจำนวนที่กำหนดไว้ของแต่ละช่วงเวลา และสำนักงบประมาณอาจพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้ก่อนปีที่ ๑๑ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ๓. รับทราบแนวทางการดำเนินโครงการภายใต้ร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... ได้แก่ ๓.๑ การเตรียมความพร้อมโครงการ สำหรับโครงการที่ยังไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดเตรียมความพร้อมของโครงการ อาทิ การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ (Feasibility Study) การออกแบบรายละเอียด (Detailed Design) การศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) หรือผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) โดยเสนอโครงการต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติจัดสรรวงเงินกู้สำหรับการดำเนินการเพื่อเตรียมความพร้อมของโครงการ ๓.๒ การอนุมัติโครงการและอนุมัติจัดสรรวงเงินกู้ สำหรับโครงการที่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติโครงการ และอนุมัติจัดสรรวงเงินกู้ โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และกระทรวงการคลังเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ๓.๓ การจัดสรรและการเบิกจ่ายเงินกู้ ให้สำนักงบประมาณและสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเป็นผู้พิจารณาอนุมัติแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินกู้ภายใต้วงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเบิกจ่ายเงินกู้ตามระเบียบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนด ๓.๔ การติดตามประเมินผลและการรายงานผล ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรายงานผลการดำเนินโครงการ และการเบิกจ่ายเงินกู้ผ่านระบบบริหารจัดการโครงการลงทุนด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ (Public Investment for Transport & Logistics : PITL) โดยให้กระทรวงเจ้าสังกัดรายงานผลการติดตามและการประเมินผลโครงการและแผนงานภายใต้ยุทธศาสตร์ที่กำหนด รวมทั้งการประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลของแผนงานในภาพรวมต่อกระทรวงการคลังตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนด โดยกระทรวงการคลังมีหน้าที่จัดทำรายงานการกู้เงิน รายละเอียดการใช้จ่ายเงินกู้ในแต่ละแผนงานของปีงบประมาณที่ผ่านมา ผลการดำเนินโครงการและการประเมินผลการดำเนินการตามแผนงานในแต่ละยุทธศาสตร์เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อรายงานต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเพื่อทราบภายใน ๑๒๐ วัน นับแต่วันสิ้นปีงบประมาณ ๔. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรร่วมกันศึกษาแนวทางการปฏิรูปโครงสร้างการบริหารจัดการระบบรางทั้งในด้านการกำหนดนโยบายการกำกับดูแลและการให้บริการ รวมทั้งแนวทางสนับสนุนทางการเงินของภาครัฐที่เหมาะสมและผลักดันให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมก่อนที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบรางจะแล้วเสร็จ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ของภาครัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์ในการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อชำระหนี้เงินกู้ตามพระราชบัญญัติฯ ให้แล้วเสร็จภายใน ๕๐ ปี พร้อมกำหนดวงเงินขั้นต่ำในการชำระหนี้แบบขั้นบันไดที่เฉพาะเจาะจงในแต่ละปีงบประมาณนั้น จะทำให้การจัดสรรงบประมาณขาดความยืดหยุ่นและความคล่องตัวโดยเฉพาะในกรณีที่เกิดภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจและสังคม จึงเห็นควรที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะพิจารณาความเห็นของสำนักงบประมาณอีกครั้ง และกำหนดเป็นสาระสำคัญในมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวว่า การจัดสรรงบประมาณเพื่อชำระหนี้เงินกู้ สมควรจัดสรรงบประมาณโดยคำนึงถึงกรอบความยั่งยืนทางการคลังที่กำหนดสัดส่วนภาระหนี้ต่องบประมาณไม่เกินร้อยละ ๑๕ เพื่อให้มีกรอบวงเงินและสัดส่วนของงบประมาณรายจ่ายที่เพียงพอในการจัดทำบริการสาธารณะตามนโยบายรัฐบาลและภารกิจของรัฐอย่างเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
840 | มาตรการรองรับภาวะวิกฤติด้านพลังงานไฟฟ้า | นร | 19/03/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานรายงานว่า ตามที่กระทรวงพลังงานได้กำหนดมาตรการและแนวทางการลดการใช้พลังงานสำหรับภาคประชาชนและภาคอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นั้น ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐได้ให้ความร่วมมือในการลดการใช้ไฟฟ้าและน้ำมันเป็นอย่างดี และเมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๖ กระทรวงพลังงานได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ “ซ้อมแผนรองรับสภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานของประเทศ ประจำปี ๒๕๕๖” ในการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์วิกฤติพลังงานภายใต้รูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้ทราบว่าแต่ละหน่วยงานมีการแก้ไขปัญหาอย่างไร รวมถึงเป็นการทดสอบโครงสร้างบริหารวิกฤติพลังงานของภาครัฐทำให้ทราบถึงจุดแข็งและจุดอ่อน ซึ่งปรากฏว่าจะมีปริมาณสำรองไฟฟ้าคงเหลือปัจจุบันอยู่ที่ ๑,๕๒๗.๘ เมกะวัตต์ เพียงพอต่อการที่แหล่งก๊าซในเมียนมาร์จะหยุดจ่ายก๊าซให้ไทย ระหว่างวันที่ ๕-๑๔ เมษายน ๒๕๕๖ นอกจากนี้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยแจ้งว่าจะสามารถหยุดการผลิตในภาคอุตสาหกรรมได้บางส่วน ทำให้สามารถสำรองไฟได้เพิ่มขึ้นอีก ๑๐๐ เมกะวัตต์ จึงไม่น่ากังวลว่าจะเกิดไฟฟ้าตกหรือดับในช่วงเวลาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม กระทรวงพลังงานได้สั่งการให้มีการสำรองน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาไว้ให้เพียงพอล่วงหน้าไปอีก ๗ วัน หากแหล่งก๊าซพม่าไม่สามารถจ่ายก๊าซได้ทันตามกำหนด
|
.....