ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 41 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 801 - 820 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
801 | แต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติเพื่อศึกษาทบทวนความเหมาะสมของค่าตอบแทนของผู้บริหาร และบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมทั้งหมด | นร12 | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ ๑๐๗/๒๕๕๖ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติเพื่อศึกษาทบทวนความเหมาะสมของค่าตอบแทนของผู้บริหารและบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมทั้งหมด ลงวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ โดยมีองค์ประกอบของคณะกรรมการฯ และอำนาจหน้าที่ ดังนี้
๑. องค์ประกอบของคณะกรรมการฯ ประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เป็นรองประธานกรรมการ คนที่ ๑ และคนที่ ๒ ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐและภาคเอกชน ผู้แทนจากหน่วยงานกลาง เป็นกรรมการ โดยมีเลขาธิการ ก.พ. เป็นกรรมการและเลขานุการ และอธิบดีกรมบัญชีกลาง เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ ๒. ให้คณะกรรมการฯ มีอำนาจหน้าที่ศึกษาและวิเคราะห์เปรียบเทียบเกี่ยวกับอัตราค่าตอบแทนของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวม จัดทำข้อเสนอการปรับปรุงอัตราค่าตอบแทนขั้นสูงและขั้นต่ำของผู้บริหารและบุคลากรของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวม รวมทั้งศึกษาวิเคราะห์อัตราค่าตอบแทนของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมทั้งระบบในเชิงเปรียบเทียบกับภาวะการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและภาคเอกชน โดยให้ดำเนินการครอบคลุมส่วนราชการในราชการบริหารส่วนกลาง ส่วนราชการในราชการบริหารส่วนภูมิภาค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ หน่วยงานอื่นของรัฐในสังกัดฝ่ายบริหาร หน่วยงานอื่นของรัฐในสังกัดฝ่ายนิติบัญญัติ หน่วยงานอื่นของรัฐในสังกัดฝ่ายตุลาการ และองค์กรตามรัฐธรรมนูญ
|
|||||||||||||||||||||
802 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการกิจการองค์กรตามรัฐธรรมนูญและติดตามการบริหารงบประมาณ วุฒิสภา เรื่อง การพิจารณาศึกษา ตรวจสอบ และติดตามการบริหารงบประมาณของกระทรวงกลาโหม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | สว | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการกิจการองค์กรตามรัฐธรรมนูญและติดตามการบริหารงบประมาณ วุฒิสภา เรื่อง การพิจารณาศึกษา ตรวจสอบ และติดตามการบริหารงบประมาณของกระทรวงกลาโหม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ พร้อมข้อสังเกตและข้อเสนอแนะกับผลการดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะตามรายงานดังกล่าวที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยในส่วนข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาด้านการบริหารจัดการงบประมาณในด้านต่าง ๆ ของหน่วยราชการที่ขึ้นตรงกับกระทรวงกลาโหม สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐบาลควรจัดทำยุทธศาสตร์ให้ชัดเจนว่าในบริบทด้านต่าง ๆ ที่เป็นเป้าประสงค์ที่ต้องการนั้นควรจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความมั่นคง ประกอบด้วย เป้าหมายด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันกับด้านอื่น ๆ เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องได้เห็นภาพชัดเจนและนำไปกำหนดแนวทางปฏิบัติได้อย่างถูกต้องสอดคล้องร่วมกัน ๒. ควรพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้เป็นไปตามกรอบของภารกิจและบทบาทอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๗๘ และพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งเป็นภารกิจหลักของกระทรวงกลาโหมโดยตรง มากกว่าการมุ่งจัดทำคำของบประมาณในภารกิจของส่วนราชการอื่นซึ่งถือว่าเป็นภารกิจรอง ๓. ควรจัดทำยุทธศาสตร์ทหารตามภารกิจที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และควรสอดคล้องกับความต้องการของรัฐบาลด้วย เพื่อให้เกิดผลในแนวทางปฏิบัติต่อการจัดทำคำของบประมาณได้ชัดเจนร่วมกัน ๔. รัฐบาลควรกำหนดวงเงินที่แน่นอนให้เหล่าทัพเพื่อใช้ในการวางแผนการจัดหายุทโธปกรณ์ในระยะยาว โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ๕. รัฐบาลควรจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอแก่การดำรงสภาพยุทโธปกรณ์เดิมให้คงสภาพพร้อมรบอยู่ตลอดเวลา ซึ่งนอกจากจะเป็นการสร้างหลักประกันความพร้อมรบตามขีดความสามารถตามยุทธศาสตร์ทหารแล้ว ยังสร้างความคุ้มค่าให้กับรัฐบาลและส่วนราชการอื่น ๆ ในภาวะวิกฤตหรือกรณีเกิดภัยพิบัติหรือสาธารณภัยต่าง ๆ ได้อีกด้วย ๖. รัฐบาลควรจัดสรรงบประมาณเพื่อการลงทุนในการพัฒนาองค์กรของกระทรวงกลาโหม โดยเฉพาะอุปกรณ์ เครื่องมือ ที่ใช้สำหรับการช่วยเหลือ บรรเทาสาธารณภัยและภัยพิบัติอย่างเหมาะสมไว้ล่วงหน้าและเพียงพอ เพื่อเป็นการเสริมให้กับส่วนราชการอื่นที่มีหน้าที่โดยตรง
|
|||||||||||||||||||||
803 | สถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนเมษายนและแนวโน้มปี 2556 | นร11 | 10/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนเมษายน ๒๕๕๖ และแนวโน้มปี ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยเดือนเมษายน ๒๕๕๖ ๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ ดัชนีการบริโภคภาคเอกชน ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม หดตัวร้อยละ ๐.๕ ร้อยละ ๑.๘ และร้อยละ ๕.๑ ตามลำดับ โดยการหดตัวของดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ และการรณรงค์ประหยัดพลังงาน อย่างไรก็ตามมูลค่าการส่งออกและดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๘ และร้อยละ ๐.๒ ตามลำดับ ๑.๒ ภาวะเศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับเดือนเมษายน ๒๕๕๕ เศรษฐกิจในไตรมาสที่สองมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าในไตรมาสแรก โดยเฉพาะดัชนีการบริโภคภาคเอกชนที่ชะลอตัว รวมทั้งการหดตัวของดัชนีการลงทุนภาคเอกชน ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ในขณะที่การส่งออกยังขยายตัวในเกณฑ์ต่ำ อย่างไรก็ตามเสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ทั้งด้านเงินเฟ้อที่ชะลอตัวต่อเนื่อง การว่างงานที่อยู่ในระดับต่ำ แม้ว่าดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดจะขาดดุลก็ตาม ๑.๓ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจในประเทศ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ อยู่ที่ร้อยละ ๒.๔ ชะลอตัวลงจากร้อยละ ๒.๗ ในเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ ตามการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก รวมทั้งฐานที่สูงเนื่องจากการกลับมาทยอยจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในเดือนมกราคม ๒๕๕๕ โดยราคาสินค้าในหมวดพลังงานในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๑ ชะลอตัวลงจากร้อยละ ๖.๒ ในเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ นอกจากนี้ ในเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ มีจำนวนผู้ว่างงาน ๒.๗ แสนคน คิดเป็นร้อยละ ๐.๗ ของกำลังแรงงานและการจ้างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๕ ตามการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นทั้งในภาคเกษตรและนอกภาคเกษตร เฉลี่ยในไตรมาสแรกมีผู้ว่างงาน ๒.๘ แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ ๐.๗ ๑.๔ สถานการณ์ด้านการคลัง การจัดเก็บรายได้สุทธิของรัฐบาลต่ำกว่าเดือนเมษายน ๒๕๕๕ ในขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีเบิกจ่ายได้มากขึ้น หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนมกราคม ๒๕๕๖ อยู่ที่ร้อยละ ๔๔.๒ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ๑.๕ สถานการณ์ด้านการเงิน ในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ชะลอตัวลงต่อเนื่อง ในขณะที่เงินฝากเร่งตัวขึ้น ส่งผลให้สัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากปรับตัวลดลง อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังทรงตัวอย่างต่อเนื่อง เงินบาทแข็งค่าก่อนที่จะอ่อนค่าลงในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๖ มีแนวโน้มขยายตัวในช่วงร้อยละ ๔.๒-๕.๒ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี ในช่วงร้อยละ ๒.๓-๓.๓ และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๐.๙ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
|
|||||||||||||||||||||
804 | สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนมีนาคม พ.ศ. 2556 | ทก | 10/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๙.๓๕ ล้านคน ประกอบด้วย ผู้มีงานทำ ๓๘.๗๕ ล้านคน ผู้ว่างงาน ๒.๗๐ แสนคน และผู้ที่รอฤดูกาล ๓.๓๓ แสนคน โดยผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ จำนวน ๓.๙ แสนคน (จาก ๓๘.๙๖ ล้านคน เป็น ๓๙.๓๕ ล้านคน) ๒. ผู้มีงานทำ มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๘.๗๕ ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ จำนวน ๕.๖ แสนคน (จาก ๓๘.๑๙ ล้านคน เป็น ๓๘.๗๕ ล้านคน) โดยผู้ทำงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผู้ทำงานภาคเกษตรกรรม สาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ และรถจักรยานยนต์ สาขาการผลิต สาขาที่พักแรมและการบริการด้านอาหาร สาขาการศึกษา และสาขาการก่อสร้าง ส่วนผู้ทำงานลดลง ได้แก่ ผู้ทำงานสาขากิจกรรมการบริการอื่น ๆ เช่น กิจกรรมบริการเพื่อสุขภาพร่างกาย การดูแลสัตว์เลี้ยง การบริการซักรีดซักแห้ง และสาขากิจกรรมด้านสุขภาพและงานสังคมสงเคราะห์ ๓. ผู้ว่างงานทั่วประเทศ มีจำนวนทั้งสิ้น ๒.๗๐ แสนคน ลดลง ๑.๕ หมื่นคน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ ประกอบด้วย ผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๑.๐๑ แสนคน และผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๑.๖๙ แสนคน โดยเป็นผู้ว่างงานที่มาจากภาคการผลิต ภาคการบริการและการค้า และภาคเกษตรกรรม ผู้ว่างงานเป็นผู้มีการศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษา ๙.๒ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ๖.๓ หมื่นคน ระดับประถมศึกษา ๕.๓ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ๔.๒ หมื่นคน และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา ๒.๐ หมื่นคน ผู้ว่างงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๙.๗ หมื่นคน ภาคกลาง ๖.๕ หมื่นคน ภาคเหนือ ๓.๘ หมื่นคน กรุงเทพมหานคร ๓.๖ หมื่นคน และภาคใต้ ๓.๔ หมื่นคน
|
|||||||||||||||||||||
805 | สรุปรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่ง ปี 2556 | นร11 | 10/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่ง ปี ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจ้างงานและรายได้ ๑.๑ การจ้างงาน เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๓ อัตราการว่างงานเท่ากับร้อยละ ๐.๗๑ ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว การปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ๓๐๐ บาททั่วประเทศยังไม่สะท้อนผลกระทบในภาพรวมของการจ้างงาน แต่มีสัญญาณการปรับสภาพการจ้างงาน ได้แก่ ชั่วโมงการทำงานของแรงงานภาคเอกชนเฉลี่ย ๔๖.๒ ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ลดลงร้อยละ ๑.๓ จากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว แรงงานภาคเอกชนที่ทำงาน ๕๐ ชั่วโมงต่อสัปดาห์ขึ้นไป มีจำนวนลดลงร้อยละ ๘.๒ และผู้ทำงานต่ำระดับเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๒.๑ หรือเป็นจำนวน ๐.๓๘ ล้านคน ตลาดแรงงานยังตึงตัวในระดับ ปวช.-ปวส. ๑.๒ การปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็น ๓๐๐ บาท ทำให้ช่องว่างของค่าจ้างแรงงานภาคเอกชนมีแนวโน้มลดลงชัดเจนมากขึ้น โดยลดลงจาก ๗.๐ เท่าในปี ๒๕๕๓ เป็น ๖.๗ ๖.๙ และ ๖.๑ เท่าในปี ๒๕๕๔ ปี ๒๕๕๕ และไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๖ ตามลำดับ ๒. ด้านการศึกษา เด็กไทยยังไม่ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานครบทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มเด็กยากจนและกลุ่มเด็กที่มีความเสี่ยงที่จะจน การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานให้แก่เด็กกลุ่มดังกล่าวอย่างฟรีเต็มรูปแบบจึงมีลำดับความสำคัญสูงมาก รวมทั้งการดำเนินนโยบายและมาตรการการศึกษานอกระบบในเชิงรุกเพื่อเก็บตกเด็กทุกคนให้ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานให้ครบถ้วน ๓. ด้านสุขภาพ ในปี ๒๕๕๕ หลักประกันสุขภาพครอบคลุมร้อยละ ๙๙.๙๐ ของประชากรทั้งหมด โดยรัฐได้เร่งพัฒนาเครือข่ายสุขภาพไทยเพื่อให้ประชาชนทุกคนได้รับการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพและอยู่ใกล้บ้านที่สุดในมาตรฐานเดียวกัน มีการปรับการบริหารจัดการและการวางแผนพัฒนาประสิทธิภาพการดูแลรักษาผู้เจ็บป่วยตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงเจ็บป่วยรุนแรงหรือมีความยุ่งยากเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายบริการรวม ๑๒ เครือข่ายทั่วประเทศ พร้อมทั้งการยกระดับสถานีอนามัยเดิม ๙,๘๑๐ แห่งเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ๔. ด้านพฤติกรรมและความเป็นอยู่ของคนในสังคมไทย มีประเด็นเฝ้าระวังหลายด้าน ได้แก่ ๔.๑ คนยากจนใช้จ่ายค่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ค่อนข้างสูง โดยในปี ๒๕๕๓ กลุ่มคนที่ยากจนที่สุดใช้จ่ายไปกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสัดส่วนร้อยละ ๖.๗ ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด ส่วนกลุ่มที่รวยที่สุดใช้จ่ายไปกับเรื่องดังกล่าวเพียงร้อยละ ๓.๖ และในปี ๒๕๕๔ กลุ่มคนที่จนที่สุดมีค่าใช้จ่ายในการซื้อบุหรี่คิดเป็นร้อยละ ๒๗.๔ ของรายได้ส่วนบุคคล ส่วนกลุ่มคนที่รวยที่สุดมีค่าใช้จ่ายในการซื้อบุหรี่เพียงร้อยละ ๓.๕ ของรายได้ส่วนบุคคล ๔.๒ ครัวเรือนผู้มีรายได้น้อยใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมากขึ้นและเสี่ยงต่อการเป็นหนี้ โดยในปี ๒๕๕๔ พบว่า ครัวเรือนรายได้น้อยมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๕.๑ เร็วกว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ ๑๐.๔ ต่างกับครัวเรือนร่ำรวยมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๒ แต่มีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ ๘.๕ นอกจากนี้ ครัวเรือนรายได้น้อยมีรายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๕.๘๕ หรือร้อยละ ๔๓.๓๔ ของรายจ่ายสินค้าที่ไม่ใช่อาหารทั้งหมด เทียบกับสัดส่วนร้อยละ ๑๑.๕๗ ในปี ๒๕๔๕ สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมการบริโภคของผู้มีรายได้น้อยที่เปลี่ยนแปลงไป ๕. ด้านความมั่นคงทางสังคม ผู้สูงอายุยากจนได้รับเบี้ยยังชีพเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากร้อยละ ๓๕.๑ ในปี ๒๕๕๐ เป็นร้อยละ ๘๙.๒ ในปี ๒๕๕๔ จากการที่รัฐปรับให้ประชาชนอายุหกสิบปีขึ้นไปได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานเรื่องเบี้ยยังชีพ โดยในปีงบประมาณ ๒๕๕๗ คาดว่ารัฐจะต้องใช้งบประมาณสวัสดิการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุทุกคนเป็นวงเงิน ๗๘,๖๖๘ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๕ จากเงินงบประมาณ ๕๘,๓๔๗ ล้านบาท ในปี ๒๕๕๖ และจะเพิ่มขึ้นเป็น ๙๙,๘๖๗ ล้านบาท ในปี ๒๕๖๓
|
|||||||||||||||||||||
806 | การพิจารณาทบทวนมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2556 | พณ | 04/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการกำหนดมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๕๖ ตามมติคณะกรรมการนโยบายอาหาร เมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประธานกรรมการนโยบายอาหารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ขยายระยะเวลาการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๕๖ ของผู้นำเข้าทั่วไป ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) และโครงการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน (Contract Farming) ภายใต้ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) ออกไปอีก ๑ เดือน จากเดือนมีนาคม-กรกฎาคม ๒๕๕๖ เป็นเดือนมีนาคม-สิงหาคม ๒๕๕๖ อัตราภาษีร้อยละ ๐ กำหนดมาตรการบริหารการนำเข้า โดยให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) นำเข้าได้ตลอดทั้งปี โดยให้จัดทำแผนการจัดซื้อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านการผลิต การตลาด ภาวะราคา และความต้องการใช้ เพื่อไม่ให้กระทบต่อผลผลิตในประเทศ สำหรับผู้นำเข้าทั่วไปนำเข้าได้ช่วงเดือนมีนาคม-สิงหาคม ๒๕๕๖ และต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดมาตรฐานควบคุมการนำเข้าตามพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. ๒๕๒๕ ๑.๒ ให้คงมาตรการบริหารการนำเข้าภายใต้ความตกลงการค้าอื่น ๆ ได้แก่ การนำเข้าตามความตกลงองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ไทย-นิวซีแลนด์ (Thailand-New Zealand Closer Economic Partnership : TNZCEP) ความตกลงการค้าเสรี ไทย-ออสเตรเลีย (Thailand-Australia Free Trade Agreement : TAFTA) ความตกลงการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่น (Japan-Thailand Economic Partnership Agreement : JTEPA) ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ญี่ปุ่น (ASEAN-Japan Comprehensive Economic Partnership : AJCEP) ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-เกาหลี (ASEAN-Korea Free Trade Agreement : AKFTA) และการนำเข้าทั่วไป (ประเทศนอกข้อตกลง) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง นโยบายและมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี ๒๕๕๖) ซึ่งเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายอาหาร เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๕ ๑.๓ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ทั้งทางด้านมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (The Application of Sanitary and Phytosantary Measures : SPS) และเอกสารที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้กรมปศุสัตว์ กรมการค้าต่างประเทศประสานข้อมูลรายชื่อผู้ขออนุญาตนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ระหว่างกัน เพื่อติดตามกำกับดูแล การนำเข้าได้อย่างทั่วถึงและสร้างความมั่นใจแก่อุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบและระมัดระวัง เนื่องจากในเดือนสิงหาคม ผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จะออกสู่ตลาดมาก การดำเนินงานควรเน้นให้มีการประชาสัมพันธ์ให้ครอบคลุมทุกภาคส่วนทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศ โดยเฉพาะราชอาณาจักรกัมพูชา เพื่อให้การดำเนินการไม่เกิดการร้องเรียนในภายหลัง การจัดทำแผนการจัดซื้อและการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของ อคส. ให้พิจารณาดำเนินการอย่างรอบคอบ โดยรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้ครบถ้วนเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาดำเนินการ และให้เข้มงวดกับกระบวนการตรวจสอบคุณภาพการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รวมทั้งการติดตามสถานการณ์ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศอย่างใกล้ชิด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างเคร่งครัดในการบริหารจัดการปริมาณและช่วงเวลาการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เหมาะสม โดยไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณและราคาของสินค้าเกษตรภายในประเทศของไทย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๖ [เรื่อง แผนการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน (Contract Farming) ภายใต้ยุทธศาสตร์อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS) ประจำปี ๒๕๕๖] |
|||||||||||||||||||||
807 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพลังงาน พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | นร09 | 04/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอร่างกฎกระทรวง รวม ๒ ฉบับ ที่ตรวจพิจารณาแล้ว และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะได้เสนอร่างกฎกระทรวงดังกล่าวให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานพิจารณาลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพลังงาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ ยกเลิกกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ๑.๒ กำหนดให้สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพลังงาน มีภารกิจเกี่ยวกับการพัฒนายุทธศาสตร์และแปลงนโยบายของกระทรวงเป็นแผนการปฏิบัติราชการ จัดสรรทรัพยากร และบริหารราชการประจำทั่วไปของกระทรวง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายและเกิดผลสัมฤทธิ์ตามภารกิจของกระทรวง และให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๓ กำหนดให้แบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพลังงาน ออกเป็นราชการบริหารส่วนกลาง ประกอบด้วย ๓ สำนัก ๒ กอง ๑ ศูนย์ และราชการบริหารส่วนภูมิภาค คือ สำนักงานพลังงานจังหวัด โดยให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๔ กำหนดให้มีกลุ่มตรวจสอบภายใน กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร และศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต รับผิดชอบงานขึ้นตรงต่อปลัดกระทรวง และให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๒. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๒.๑ ยกเลิกกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ๒.๒ กำหนดให้กรมธุรกิจพลังงาน มีภารกิจเกี่ยวกับการกำกับดูแลกิจการพลังงานในด้านคุณภาพ ความปลอดภัย ความมั่นคง และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ให้เป็นไปตามกฎหมาย รวมทั้งส่งเสริมและพัฒนามาตรฐานเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคและประชาชน ตลอดจนการรองรับภาวะวิกฤติและภัยพิบัติที่ส่งผลต่อธุรกิจพลังงาน และให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๒.๓ กำหนดให้แบ่งส่วนราชการกรมธุรกิจพลังงาน ประกอบด้วย ๖ สำนัก ๑ สถาบัน ๑ กอง ๑ ศูนย์ โดยให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๒.๔ กำหนดให้มีกลุ่มตรวจสอบภายใน และกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร รับผิดชอบงานขึ้นตรงต่ออธิบดี และให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด
|
|||||||||||||||||||||
808 | ขออนุมัติและประกาศนโยบาย "ชุมชนจัดการระบบสุขภาพเข้มแข็ง เมืองไทยแข็งแรง" (พ.ศ. 2556 - 2558) เป็นวาระแห่งชาติ | สธ | 04/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการนโยบาย “ชุมชนจัดการระบบสุขภาพเข้มแข็ง เมืองไทยแข็งแรง” (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๘) โดยการประกาศให้นโยบายฯ เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อผลักดันให้เกิดการเชื่อมโยงและบูรณาการการเสริมพลัง โดยใช้ศักยภาพทุนทางสังคม ใช้ทักษะความสามารถและทรัพยากรที่ชุมชนมีอยู่กับระบบสนับสนุนของหน่วยงาน/องค์กรต่าง ๆ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และปรับปรุงวิถีการดำเนินชีวิตไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดผลผลิตและผลลัพธ์ในทางบวกทั้งทางด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องของชุมชน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขประสานงานกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับแผนงานต่าง ๆ และโครงสร้างการบริหารที่มีการกำหนดหน้าที่ของหน่วยงานที่รับผิดชอบที่เป็นรูปธรรมชัดเจนในลักษณะบูรณาการ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในการประกาศเป็นวาระแห่งชาติต่อไป ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำแผนปฏิบัติการ กรอบเวลาในการดำเนินการ และแผนงบประมาณให้มีความชัดเจนและมีการบูรณาการในการจัดทำงบประมาณเพื่อผลักดันให้นโยบายฯ สามารถนำไปสู่ภาคปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และกระทรวงสาธารณสุขควรหาแนวทางในการเชิญชวนให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทในการดำเนินการตามนโยบายฯ มากขึ้น การให้ความสำคัญกับการประสานความร่วมมือเพื่อบูรณาการแผนงานและกิจกรรมให้หนุนเสริมกันเพื่อลดความซ้ำซ้อนและทำให้การใช้งบประมาณเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด รวมทั้งความชัดเจนของยุทธศาสตร์ที่ตอบเป้าหมายการพัฒนาตามที่กำหนดในการที่จะแก้ไขปัญหาความเจ็บป่วย เรื่องการสร้างระบบสุขภาพชุมชนและคุณภาพชีวิตที่ดี และแก้ไขปัญหาความยากจนในเรื่องการสร้างรายได้จากการพึ่งพาตนเองและการออมในชุมชน นอกจากนี้ เห็นควรให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของประเทศที่กำลังก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ โดยการส่งเสริมให้ประชาชนในชุมชนได้รับการศึกษา การพัฒนาขีดความสามารถของอาสาสมัครสาธารณสุขให้เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ตลอดจนการศึกษาวิถีชุมชนและทุนทางสังคมของแต่ละชุมชนอย่างถ่องแท้ เพื่อให้มีรูปแบบการดำเนินงานและกระบวนการพัฒนาสู่ชุมชนสุขภาวะดีที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
809 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ ระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สผ | 04/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร และผลการดำเนินการตามข้อสังเกตดังกล่าวที่กระทรวงกลาโหมเสนอ แล้วแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป โดยในส่วนข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ เห็นควรให้แก้ไขอัตราเงินประจำตำแหน่งที่กำหนดขึ้นโดยพระราชบัญญัติเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง พ.ศ. ๒๕๓๘ ให้เหมาะสมกับสภาวะทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากข้าราชการประเภทต่าง ๆ อาทิ ข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ หรือแม้แต่ข้าราชการพลเรือนที่แม้จะแยกบัญชีอัตราเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งมาบัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการแต่ละประเภทแล้วก็ตาม แต่ยังคงต้องยึดโยงกับอัตราเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งเดิมตามพระราชบัญญัติเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง พ.ศ. ๒๕๓๘ ซึ่งเป็นอัตราเงินประจำตำแหน่งที่น่าจะไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน หากมีการดำเนินการในภาพรวมแก่ข้าราชการดังกล่าวก็จะเป็นขวัญและกำลังใจ รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการด้วย
|
|||||||||||||||||||||
810 | สรุปผลการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ 16 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | กก | 04/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ ๑๖ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ที่จัดขึ้นเมื่อเดือนมกราคม ๒๕๕๖ ณ กรุงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ ๑๖ ๑.๑ รัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนยินดีกับความคืบหน้าของการดำเนินการตามแผนแม่บทว่าด้วยการเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน การจัดตั้งตลาดการบินร่วมอาเซียน การจัดทำความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งผู้โดยสารทางบกข้ามพรมแดน และการศึกษาเกี่ยวกับการจัดทำการตรวจลงตราเดียวอาเซียนสำหรับบุคคลที่มิใช่สัญชาติอาเซียน ๑.๒ รัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนร่วมยินดีกับการลงนามในข้อตกลงร่วมว่าด้วยการยอมรับคุณสมบัติวิชาชีพด้านการท่องเที่ยวอาเซียน (Mutual Recognition Arrangement for ASEAN Tourism Professionals) ของไทย เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ กรุงเทพฯ เป็นผลให้ประเทศอาเซียนลงนามครบสิบประเทศ ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือภายในอาเซียนและการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี ๒๕๕๘ ๑.๓ รัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ร่วมรับรองแผนการดำเนินงานความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวอาเซียน+๓ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ ซึ่งเน้นการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ การพัฒนาบุคลากร การส่งเสริมการตลาดร่วมกัน การท่องเที่ยวทางเรือสำราญ และการสื่อสารในสภาวะวิกฤติ รวมทั้งการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยผ่านศูนย์อาเซียน-จีน ศูนย์อาเซียน-ญี่ปุ่น และศูนย์อาเซียน-เกาหลีใต้ ในการนี้ รัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ร่วมแสดงความยินดีกับความสำเร็จของการเฉลิมฉลองให้ปี ๒๕๕๕ เป็นปี “Visit ASEAN Plus Three Year” ๒. ผลการหารือระดับทวิภาคี ประกอบด้วย การหารือทวิภาคีระหว่างไทยและกัมพูชา ทั้งสองฝ่ายร่วมยินดีกับการจัดทำ Single Visa ระหว่างไทยกับกัมพูชาภายใต้กรอบความร่วมมือยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS) ซึ่งเริ่มใช้เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๕ ทั้งนี้ หากประสบปัญหาในการดำเนินงานในระยะเริ่มต้น และอาจจำเป็นต้องมีการปรับแก้ไขเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง รัฐมนตรีท่องเที่ยวกัมพูชาในฐานะประธานคณะทำงานด่านชายแดนจะเชิญผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของไทยเดินทางไปสำรวจด่านชายแดนร่วมกัน และการหารือทวิภาคีระหว่างไทยกับมาเลเซีย รัฐมนตรีท่องเที่ยวมาเลเซียแสดงความเสียใจต่อการอสัญกรรมของนายชุมพล ศิลปอาชา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของไทยเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากไทยและมาเลเซียมีการส่งเสริมความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวมาโดยตลอด และเห็นควรกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี
|
|||||||||||||||||||||
811 | การติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจประจำเดือนเมษายน 2556 | นร | 04/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) รายงานผลการติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนเมษายน ๒๕๕๖ ประกอบด้วย การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ การสร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค การปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน (กองทุนหมู่บ้าน SML) การยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน การปฏิรูปการจัดการที่ดิน (นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) และให้หน่วยงานที่รับผิดชอบในแต่ละด้านรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง โดยที่ขณะนี้ยังมีการตรึงราคา LPG ภาคครัวเรือน จึงทำให้อาจมีการลักลอบนำแก๊สหุงต้มมาจำหน่ายให้กับภาคอุตสาหกรรมและภาคขนส่ง ซึ่งจะทำให้เกิดผลเสียต่อภาคเศรษฐกิจ จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาตรวจสอบ และรายงานสภาพปัญหาและผลกระทบ รวมถึงการกำหนดมาตรการในการป้องกันแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วย ๒. การดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลในเรื่อง แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ในส่วนของราคาสินค้ามีหลายโครงการที่สิ้นสุดระยะเวลาในการดำเนินการแล้ว จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาศึกษาหามาตรการ/โครงการที่จะช่วยป้องกันและบรรเทาผลกระทบเพื่อรองรับปัญหาราคาสินค้าที่มีการขยับตัวสูงขึ้น ๓. นโยบายยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน ในส่วนของการเยียวยาและการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรจากภัยพิบัติ ซึ่งการดำเนินการให้ความช่วยเหลือค่อนข้างล่าช้า ดังนั้น เพื่อให้เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติได้รับความช่วยเหลือเยียวยาอย่างรวดเร็ว จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการหารือและบูรณาการการทำงานในเรื่องดังกล่าวร่วมกัน ๔. การรับซื้อยางพารา ตามโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางนั้น เกิดปัญหาสวมสิทธิ์การขายยางพาราให้กับโครงการ เนื่องจากแหล่งที่มาของยางพาราซึ่งมาขายให้กับโครงการไม่สามารถตรวจสอบได้ จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาตรวจสอบ และรายงานสภาพปัญหาและผลกระทบ รวมถึงการกำหนดมาตรการในการป้องกันแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วย ๕. การแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตร ผักและผลไม้ ตามที่กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการขอความร่วมมือให้ภาคเอกชนช่วยรับซื้อผักและผลไม้เพื่อนำไปจำหน่าย พร้อมทั้งผลักดันให้มีการส่งออกเพิ่มขึ้น รวมถึงการเชื่อมโยงการจำหน่ายผักและผลไม้จากกลุ่มเกษตรกรและผู้ค้าในแหล่งผลิตมาจำหน่ายผลผลิตให้กับผู้บริโภคโดยตรงนั้น เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงมหาดไทย ได้มีการหารือและบูรณาการการทำงานในเรื่องดังกล่าวร่วมกัน เพื่อนำแนวทางดังกล่าวไปปรับใช้ในการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรอื่น ๆ ด้วย
|
|||||||||||||||||||||
812 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนเมษายน 2556 | พณ | 28/05/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนเมษายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนเมษายน ๒๕๕๖ เทียบกับเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๖ จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ ๑.๑๒ สาเหตุจากการสูงขึ้นของราคาหมวดผักและผลไม้ ร้อยละ ๖.๓๐ โดยเฉพาะหมวดผักสด ดัชนีสูงขึ้นร้อยละ ๑๐.๙๔ หมวดผลไม้สด สูงขึ้นร้อยละ ๓.๓๓ และสินค้าอื่น ๆ ที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ หมวดเนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ ดัชนีสูงขึ้นร้อยละ ๑.๒๓ หมวดอาหารสำเร็จรูป ได้แก่ อาหารบริโภค-ในบ้าน สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๖ อาหารบริโภค-นอกบ้าน สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๔ หมวดข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๖ หมวดเครื่องประกอบอาหาร ได้แก่ เครื่องปรุงอาหาร สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๔ เครื่องปรุงรส สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๗ หมวดนมและผลิตภัณฑ์นม สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๘ สำหรับดัชนีราคาหมวดอื่นๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลงร้อยละ ๐.๓๓ จากการลดลงของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงขายปลีกโดยเฉลี่ยในประเทศ ร้อยละ ๒.๘๔ ตามภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลก สินค้าและบริการอื่น ๆ ที่มีราคาลดลง ได้แก่ ค่าอุปกรณ์การบันเทิง ลดลงร้อยละ ๐.๐๙ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางโอกาสพิเศษและท่องเที่ยว ร้อยละ ๐.๐๖ และเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ลดลงร้อยละ ๐.๐๑ ๒. พิจารณาเทียบกับดัชนีราคาเดือนเมษายน ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๒.๔๒ จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๔.๑๕ โดยดัชนีหมวดข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง สูงขึ้นร้อยละ ๐.๗๔ เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ สูงขึ้นร้อยละ ๖.๑๕ ไข่และผลิตภัณฑ์นม สูงขึ้นร้อยละ ๓.๑๑ ผักและผลไม้ สูงขึ้นร้อยละ ๑๓.๑๔ เครื่องประกอบอาหาร สูงขึ้นร้อยละ ๐.๕๒ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ ๑.๕๗ และอาหารสำเร็จรูป สูงขึ้นร้อยละ ๑.๗๐ สำหรับดัชนีราคาหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๑.๔๒ จากการสูงขึ้นของหมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า สูงขึ้นร้อยละ ๐.๖๘ หมวดเคหสถาน สูงขึ้นร้อยละ ๓.๑๒ หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล สูงขึ้นร้อยละ ๐.๙๖ หมวดการบันเทิงการอ่าน การศึกษา และการศาสนา สูงขึ้นร้อยละ ๐.๖๑ หมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ ๗.๔๖ ขณะที่หมวดพาหนะ การขนส่ง และการสื่อสาร ลดลงร้อยละ ๐.๐๘ ๓. พิจารณาดัชนีเฉลี่ย ๔ เดือนของปี ๒๕๕๖ เทียบกับระยะเดียวกันของปี ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๒.๙๒ จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๔.๐๔ และดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๒.๒๐ ตามการสูงขึ้นของหมวดข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง ร้อยละ ๐.๖๑ เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ ร้อยละ ๔.๕๘ ไข่และผลิตภัณฑ์นม สูงขึ้นร้อยละ ๒.๖๗ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๑๒.๒๙ เครื่องประกอบอาหาร ร้อยละ ๐.๔๙ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๑.๙๘ อาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๒.๑๘ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ร้อยละ ๐.๘๐ หมวดเคหสถาน ร้อยละ ๓.๒๒ หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล ร้อยละ ๐.๑๔ หมวดพาหนะ การขนส่ง และการสื่อสาร ร้อยละ ๑.๗๑ หมวดการบังเทิง การอ่าน การศึกษา และการศาสนา ร้อยละ ๐.๕๙ และหมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๗.๕๕ ๔. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนเมษายน ๒๕๕๖ เท่ากับ ๑๐๒.๙๓ เทียบกับเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๖ จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าและบริการ ได้แก่ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า หมวดค่าที่พักอาศัย หมวดค่าบริภัณฑ์อื่น ๆ สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด หมวดค่าตรวจรักษาและค่ายา สำหรับสินค้าและบริการที่ราคาลดลง ได้แก่ หมวดการบันเทิง การอ่าน การศึกษา และการศาสนา และหมวดเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์
|
|||||||||||||||||||||
813 | การติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนมีนาคม 2556 | นร | 28/05/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ๑.๑ ด้านราคาสินค้า ได้แก่ การดำเนินโครงการกำกับดูแลการชั่งตวงวัดและสินค้าหีบห่อเพื่อสร้างความเป็นธรรมในการซื้อขายพลังงานเชื้อเพลิง ผลผลิตทางการเกษตร และสินค้าต่าง ๆ โดยดำเนินการตรวจสอบรวมทั้งสิ้น ๓,๐๑๔,๓๘๔ เครื่อง/หีบห่อ พบผิดจำนวน ๑๐,๘๓๕ เครื่อง/หีบห่อ และการดำเนินโครงการลดค่าครองชีพไทยช่วยไทย โครงการโชห่วยช่วยชาติ “ร้านถูกใจ” โดย ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ มีร้านถูกใจที่มีศักยภาพเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน ๖,๘๘๗ ราย ๑.๒ ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง ได้แก่ การรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน ๓๐ บาท/ลิตร การส่งเสริมให้มีการใช้แก๊สโซฮอลเพิ่มขึ้น การตรึงราคาขายปลีก LPG โดยภาคครัวเรือน อยู่ที่ ๑๘.๑๓ บาท/กก. ภาคอุตสาหกรรม อยู่ที่ ๓๐.๑๓ บาท/กก. และภาคขนส่ง ปรับราคาขายปลีก LPG เป็น ๒๑.๓๘ บาท/กก. การคงราคาขายปลีก NGV ที่ ๑๐.๕๐ บาท/กก. (สำหรับประชาชน) ส่วนกลุ่มรถโดยสารสาธารณะที่ลงทะเบียนโครงการบัตรเครดิตพลังงาน ยังคงเติมก๊าซ NGV ในราคา ๘.๕๐ บาท/กก. สำหรับโครงการบัตรเครดิตพลังงาน รถรับจ้างสาธารณะ ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๕-มีนาคม ๒๕๕๖ มีผู้สมัครจำนวนทั้งสิ้น ๖๖,๕๙๒ ราย มีผู้ใช้บัตร จำนวน ๗,๐๐๐ ราย ๒. ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ สร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค ได้แก่ การพักหนี้หรือลดภาระหนี้ให้แก่สมาชิกสหกรณ์การเกษตรหรือสถาบันเกษตรกร เป็นระยะเวลา ๓ ปี (ตุลาคม ๒๕๕๕-๓๐ กันยายน ๒๕๕๘) มีผู้ยื่นสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ๒,๒๖๕ แห่ง สมาชิก ๘๐๘,๗๙๙ ราย มูลหนี้ ๖๓,๘๖๔.๗๓๓ ล้านบาท การจัดตั้งศูนย์สนับสนุนผู้ประกอบการให้พร้อมจ่ายอัตราค่าจ้างขั้นต่ำทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค การจ่ายเบี้ยยังชีพให้แก่ผู้สูงอายุที่มีสิทธิได้รับเบี้ยยังชีพ จำนวน ๗,๓๑๖,๓๐๕ คน เป็นเงิน ๕๓,๘๘๒,๘๖๐,๒๐๐ บาท การดำเนินโครงการบ้านธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เพื่อที่อยู่อาศัยแห่งแรก (ร้อยละ ๐ ระยะเวลา ๓ ปี) มีผู้ยื่นกู้ ๑๔,๒๕๓ บัญชี อนุมัติแล้ว ๑๓,๕๒๐ บัญชี คิดเป็นเงิน ๘,๘๒๖.๑๔ ล้านบาท และการดำเนินมาตรการภาษีสำหรับการซื้อรถยนต์คันแรก มียอดอนุมัติการจ่ายเงินคืนตั้งแต่เดือนกันยายน ๒๕๕๕-มีนาคม ๒๕๕๖ (ยอดจ่ายจริง) จำนวน ๙๙,๒๖๘ คัน เป็นเงิน ๖,๘๘๙ ล้านบาท ๓. ปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ได้แก่ การออกพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๕๓๐) พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละยี่สิบของกำไรสุทธิ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ๔. ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน (กองทุนหมู่บ้าน SML) ได้แก่ การดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพกองทุนหมู่บ้านและชุมชน (SML) โดย ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ได้โอนเงินให้กับหมู่บ้านและชุมชนตามโครงการฯ รวม ๑๑ ครั้ง จำนวน ๗๑,๕๓๗ หมู่บ้าน/ชุมชน และการดำเนินโครงการเพิ่มทุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ระยะที่ ๓ โดยโอนเงินให้กับกองทุนฯ แล้ว จำนวน ๓๖,๖๔๑ กองทุน จากเป้าหมาย ๗๙,๒๕๕ กองทุน คงเหลือยังไม่ได้โอน จำนวน ๔๒,๖๑๔ กองทุน ๕. ยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน ได้แก่ บัตรเครดิตสำหรับเกษตรกร ได้มีการอนุมัติบัตรสินเชื่อให้เกษตรกร จำนวน ๒,๗๗๕,๕๑๗ ราย บัตรส่งมอบแล้ว จำนวน ๑,๓๘๓,๑๙๖ ราย วงเงินรวม ๔๓,๖๖๗.๔๘ ล้านบาท การขึ้นทะเบียนเกษตรกรในพืชสำคัญ ๓ ชนิด คือ ข้าว มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ การดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๕/๒๕๕๖ มีโรงสีสมัครเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน ๘๙๒ โรง เกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน ๑,๙๙๐,๑๑๓ ราย ปริมาณรับจำนำรวมทั้งสิ้น ๑๒,๐๙๙,๕๕๐ ตัน การดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๕๕/๕๖ มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน ๗๑๙ ราย เปิดจุดรับฝากแล้ว ๖๗๒ จุด ปริมาณรับจำนำรวมทั้งสิ้น ๙,๘๕๗,๗๐๙ ตัน การเยียวยาและการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรจากภัยพิบัติด้านการเกษตร ในกรณีฝนทิ้งช่วง/ภัยแล้ง อุทกภัย และวาตภัย รวมทั้งการแก้ไขราคาสินค้าเกษตร ๖. ปฏิรูปการจัดการที่ดิน (นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ได้แก่ การจัดที่ดิน โดยการมอบเอกสารสิทธิ ส.ป.ก. ๔-๐๑ แก่เกษตรกร แบ่งเป็นที่ดินทำกิน ๒๐,๘๘๓ ราย พื้นที่ ๒๕๐,๒๖๖ ไร่ และที่ดินชุมชน ๖๒๓ ชุมชน เกษตรกร ๒๐,๕๐๓ ราย พื้นที่ ๑๒,๗๗๒ ไร่ การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินของนิคมสหกรณ์ โดยออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดิน (กสน.๓) ให้แก่สมาชิกนิคมสหกรณ์ ๕๐๑ ราย ๔,๖๑๘ ไร่ และการออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์ (กสน.๕) ให้แก่สมาชิกนิคมสหกรณ์ ๘๖๒ ราย ๙,๑๒๓ ไร่ รวมทั้งการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ โดยมีจำนวนราษฎรที่ได้รับการรับรองสิทธิทำกินแล้ว ๒๓,๖๗๖ ราย (ณ วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๕-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖) และดำเนินการรังวัดแปลงที่ดินของราษฎรในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ รวม ๑๖๕ พื้นที่ ซึ่งผลการพิสูจน์การครอบครองที่ดินของราษฎรพบว่า อยู่ก่อนประกาศเขตป่าไม้ จำนวน ๖๓,๑๑๖ ราย เนื้อที่ ๔๖๙,๗๙๒-๐-๒๑ ไร่ และอยู่หลังประกาศเขตป่าไม้ จำนวน ๘๒,๑๗๐ ราย เนื้อที่ ๘๖๔,๐๙๕-๒-๗๑ ไร่
|
|||||||||||||||||||||
814 | กรอบการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยปี 2556 | นร11 | 28/05/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสถานการณ์ความเสี่ยงในเศรษฐกิจโลกและภาวะเศรษฐกิจไทย ซึ่งจะมีผลกระทบต่อแนวโน้มเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในช่วงต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ ๒. เห็นชอบกรอบการรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจปี ๒๕๕๖ โดยการสร้างความเชื่อมั่นและเสถียรภาพระยะสั้น และการรักษาศักยภาพการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจให้สามารถขยายตัวได้ร้อยละ ๕ อย่างต่อเนื่อง และมาตรการรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ ประกอบด้วย มาตรการด้านการเงิน มาตรการด้านการคลัง และมาตรการเฉพาะด้าน ซึ่ง สศช. ได้ดำเนินการร่วมกับกระทรวงการคลัง ตามที่ สศช. เสนอ โดยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังได้พิจารณาแล้วเห็นว่า มีความชัดเจน เหมาะสม ครอบคลุมครบถ้วน ทั้งนี้ ในส่วนที่เกี่ยวกับมาตรการทางการเงิน ซึ่งประกอบด้วย ๗ มาตรการ ได้แก่ (๑) ซื้อขายเงินตราต่างประเทศเพื่อดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพและไม่แข็งค่ามากกว่าความสามารถในการปรับตัวของภาคการผลิตและบริการ (๒) ดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยอย่างเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและการรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ (๓) ดำเนินมาตรการกำกับดูแลสถาบันการเงิน (Macro Prudential Measures) เพื่อดูแลเสถียรภาพของสถาบันการเงินและเศรษฐกิจโดยรวม (๔) พิจารณาใช้มาตรการจำกัดเงินทุนไหลเข้าอย่างระมัดระวังเมื่อมีความจำเป็น โดยมีการประเมินผลผลกระทบอย่างรอบคอบก่อนการดำเนินการ และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด (๕) บริหารจัดการเงินทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ เพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์โดยเพิ่มประเภทสินทรัพย์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถลงทุนได้ (๖) ช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้สามารถบรรเทาผลกระทบของค่าเงินบาท และ (๗) สร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาคเพื่อดูแลอัตราแลกเปลี่ยนให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน นั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยพร้อมที่จะดำเนินการและจะประสานงานกับกระทรวงการคลังอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกและเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจและความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างมีเสถียรภาพต่อไป ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตเพิ่มเติม ได้แก่ ๒.๑ มาตรการส่งเสริมการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ให้ปรับเป็นการดำเนินการภายในระยะเวลา ๖ เดือน ๒.๒ ให้เพิ่มมาตรการส่งเสริมการออมของประชาชน โดยให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานเจ้าภาพในการดำเนินการ เพื่อให้มีการวางแผนการใช้จ่ายในปัจจุบันและในอนาคตซึ่งจะช่วยสร้างรากฐานชีวิตของประชาชนและครอบครัวให้มีความมั่นคงเพื่อนำไปสู่การสร้างฐานชุมชนที่เข้มแข็ง ๒.๓ มาตรการการค้าชายแดน ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งรัดการผลักดันการใช้เงินบาทเป็นสกุลหลัก (settlement currency) สำหรับการค้าชายแดนเพื่อลดความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนในการทำการค้า รวมทั้งให้กำหนดมูลค่าเป้าหมายของการค้าชายแดนให้ชัดเจนเหมาะสมด้วย ๒.๔ มาตรการเฉพาะด้านเพื่อสนับสนุนการผลิตสินค้าและบริการ การส่งออก การลงทุน และรายได้ของประชาชน ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการกำหนดมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) และเกษตรกรผู้มีรายได้น้อย ๓. ให้หน่วยงานเจ้าภาพหลักรับมาตรการรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ (มาตรการด้านการเงิน การคลัง และมาตรการเฉพาะด้าน) ตามที่ สศช. เสนอ รวมทั้งที่เพิ่มเติมตามข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปจัดทำแผนปฏิบัติการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๔. ให้ สศช. ติดตามผลการดำเนินการตามมาตรการรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจดังกล่าวเพื่อเสนอต่อคณะทำงานกำกับการบริหารนโยบายเศรษฐกิจที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานทุกสัปดาห์และรวบรวมผลการดำเนินการดังกล่าวเสนอให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกเดือนต่อไป ๕. ให้ สศช. นำกรอบการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมตามข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีให้ชัดเจนครบถ้วนแล้วเผยแพร่ให้สาธารณชนทราบต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||
815 | การติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านสังคมและคุณภาพชีวิตในส่วนของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์) ประจำเดือนมีนาคม 2556 | นร | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านสังคมและคุณภาพชีวิต ประจำเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน ๑.๑ กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี กรมการพัฒนาชุมชนได้มีหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเรื่องการจัดสรรเงินกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีจังหวัด โดยแจ้งว่ากรมการพัฒนาชุมชนได้โอนให้สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดดำเนินการตามจำนวนที่ได้รับการจัดสรรจากคณะกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีแห่งชาติ ซึ่งพิจารณาจากข้อมูลประชากรจังหวัดตามฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ กรมการปกครอง ณ สิ้นปี ๒๕๕๓ แบ่งเป็น ๓ ขนาด ได้แก่ ขนาดเล็กไม่เกิน ๖๐๐,๐๐๐ คน จำนวน ๓๕ จังหวัด ๆ ละ ๗๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ขนาดกลางตั้งแต่ ๖๐๐,๐๐๑ คน-๑,๐๐๐,๐๐๐ คน จำนวน ๒๒ จังหวัด ๆ ละ ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และขนาดใหญ่ตั้งแต่ ๑,๐๐๐,๐๐๑ คน ขึ้นไป จำนวน ๑๙ จังหวัด ๆ ละ ๑๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๒. กองทุนตั้งตัวได้ กระทรวงศึกษาธิการเห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาสถาบันการศึกษาที่สามารถขอจัดตั้งเป็น ABI (Authorized Business Incubator) และให้ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนตั้งตัวได้จัดทำ TOR การจัดตั้ง ABI เพื่อประกาศใช้ต่อไป ส่วนกระทรวงอุตสาหกรรมได้มอบงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการบ่มเพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้มีศักยภาพในการประกอบธุรกิจ (กองทุนตั้งตัวได้) วงเงิน ๑,๓๐๐ ล้านบาท โดยมอบงบประมาณดังกล่าวให้กระทรวงศึกษาธิการไปดำเนินการทั้งหมด ๒. พัฒนาระบบประกันสุขภาพ ๒.๑ การสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อเห็นชอบให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติปฏิบัติหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางจัดการธุรกรรมการเบิกจ่ายและระบบข้อมูลด้านบริการสาธารณสุข (National Clearing House) ในการบริการเรียกเก็บ (Claim center) ค่าบริการสาธารณสุขของสถานพยาบาลต่าง ๆ ๒.๒ การคุ้มครองสิทธิ ได้มีการปรับปรุงข้อบังคับว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นกรณีผู้ให้บริการได้รับความเสียหายจากการให้บริการสาธารณสุข กรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพ สูญเสียอวัยวะหรือพิการ บาดเจ็บหรือเจ็บป่วยต่อเนื่อง เพิ่มขึ้นจากอัตราเดิม ๒.๓ การบริการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้มีการพัฒนาระบบการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง และเสนอขอเพิ่มเติมรายการ “งบเพิ่มเติมด้านค่าแรงของหน่วยบริการสังกัดกระทรวงสาธารณสุข” ในข้อเสนองบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ๒.๔ การสร้างความมั่นคงทางการเงินการคลังของหน่วยบริการ ได้แก่ การติดตาม กำกับ และตรวจสอบหน่วยบริการที่มีภาวะวิกฤติทางการเงิน การอบรมการจัดทำต้นทุนบริการให้กับกลุ่มโรงพยาบาลที่มีภาวะวิกฤติทางการเงินเรื้อรัง การพัฒนาเกณฑ์การประเมินประสิทธิภาพการบริหารการเงินการคลัง การเสริมสร้างประสิทธิภาพการบริหารการเงินการคลังระดับเขตและระดับจังหวัด และการสนับสนุนการจัดทำข้อเสนอการบริหารงานสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคระดับเขต ๓. จัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตให้แก่โรงเรียน ๓.๑ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้จัดประชุมหน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพื่อจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) เพื่อจัดทำข้อมูลจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ของโรงเรียนในแต่ละหน่วยงาน และการจัดซื้อในแต่ละโซน โดยให้แต่ละหน่วยงานที่เป็นเจ้าของงบประมาณแยกทำสัญญาตามผลการประกวดราคา และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติการจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยแต่ละหน่วยงานต้องมีหนังสือมอบอำนาจให้ สพฐ. ดำเนินการเฉพาะขั้นตอนการจัดหาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ขณะนี้อยู่ระหว่างการนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อเห็นชอบและอนุมัติ ๓.๒ สพฐ. ได้แต่งตั้งคณะกรรมการประกวดราคาการจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ซึ่งได้มีการพิจารณาร่าง TOR จัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ให้กับ ๙ หน่วยงาน ขณะนี้ ร่าง TOR เสร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างดำเนินการขออนุมัติ TOR เพื่อจัดซื้อ
|
|||||||||||||||||||||
816 | ร่างกรอบการเจรจาเพื่อการยกระดับสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+3 (ASEAN+3 Macroeconomic Research Office : AMRO) เป็นองค์การระหว่างประเทศ | กค | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างกรอบการเจรจาเพื่อการยกระดับสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+๓ (ASEAN+3 Macroeconomic Research Office : AMRO) เป็นองค์การระหว่างประเทศ และเสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยร่างกรอบเจรจาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ยกระดับ AMRO เป็นองค์การระหว่างประเทศเพื่อการพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานของ AMRO ให้มีความเป็นอิสระในการประเมินภาวะเศรษฐกิจและการเงินของประเทศสมาชิกอาเซียน+๓ รายประเทศและของทั้งภูมิภาค ๑.๒ การบริหารจัดการ AMRO อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอาเซียน+๓ ๑.๓ การให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันแก่ AMRO และบุคลากรของ AMRO ควรเป็นไปตามหลักความจำเป็นแก่การปฏิบัติหน้าที่ (Functional Necessity) ซึ่งจะต้องพิจารณาโครงสร้าง วัตถุประสงค์และภารกิจของ AMRO เป็นสำคัญ เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่เป็นไปตามวัตถุประสงค์และภารกิจของ AMRO และพิจารณาเปรียบเทียบกับเอกสิทธิ์และความคุ้มกันที่ให้กับองค์การระหว่างประเทศอื่น ทั้งนี้ ขอบเขตของเอกสิทธิ์และความคุ้มกันนั้น ไม่ควรจะให้มากกว่าองค์การระหว่างประเทศอื่นที่มีโครงสร้างและภารกิจที่คล้ายกัน เช่น ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) โดยคำนึงถึงข้อจำกัดของกฎหมายภายในของแต่ละประเทศสมาชิกเป็นสำคัญ ๑.๔ กรณีที่มีข้อพิพาทระหว่างประเทศสมาชิกกับ AMRO ให้สามารถใช้กลไกระงับข้อพิพาทในทางสากลได้ อาทิ วิธีอนุญาโตตุลาการหรือการจัดตั้งองค์คณะไต่สวน (Tribunal) ทั้งนี้ กลไกดังกล่าวต้องมีความเป็นกลาง มีขั้นตอนที่ชัดเจน โปร่งใส และเป็นธรรมแก่ประเทศสมาชิกทุกประเทศ ๑.๕ ให้เจรจาเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องและประเด็นดังกล่าวต้องเป็นประโยชน์ต่อประเทศในภาพรวม ๒. สำหรับผู้แทนในคณะกรรมการ AMRO Board มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาว่าควรเป็นหน่วยงานที่ทำงานด้านเศรษฐกิจมหภาคเป็นผู้แทน |
|||||||||||||||||||||
817 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี 2556 และแนวโน้มปี 2556 | นร11 | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๖ และแนวโน้มปี ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๖ ขยายตัวร้อยละ ๕.๓ เทียบกับร้อยละ ๑๙.๑ ในไตรมาสที่ ๔ ของปี ๒๕๕๕ การขยายตัวในด้านการผลิตมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากสาขาการโรงแรมและภัตตาคาร การก่อสร้าง และอุตสาหกรรมซึ่งขยายตัวจากฐานที่ต่ำ ด้านการใช้จ่ายมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของการใช้จ่ายภาคครัวเรือน และการลงทุนภาคเอกชน ในขณะที่การส่งออกขยายตัวช้ากว่าคาดการณ์ การขยายตัวของเศรษฐกิจเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ ๔ ของปี ๒๕๕๕ และปรับผลของฤดูกาลออก หดตัวร้อยละ ๒.๒ โดยการใช้จ่ายภาคครัวเรือน ขยายตัวร้อยละ ๔.๒ การลงทุนรวม ขยายตัวร้อยละ ๖.๐ การส่งออก ขยายตัวร้อยละ ๔.๕ ภาคอุตสาหกรรม ขยายตัวจากฐานที่ต่ำร้อยละ ๔.๘ ภาคเกษตรกรรม ขยายตัวร้อยละ ๐.๕ สาขาโรงแรมและภัตตาคาร ขยายตัวร้อยละ ๑๔.๘ และภาคการก่อสร้าง ขยายตัวร้อยละ ๑๐.๕ ๑.๒ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี ๒๕๕๖ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๔.๒-๕.๒ ปรับลดจากร้อยละ ๔.๕-๕.๕ ในการประมาณการครั้งก่อนหน้า เนื่องจากเศรษฐกิจในไตรมาสแรกขยายตัวในเกณฑ์ต่ำ รวมทั้งการปรับสมมติฐานด้านอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก และราคาสินค้าส่งออก รวมทั้งความเสี่ยงในครึ่งปีหลังยังอยู่ในเกณฑ์สูง โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัวร้อยละ ๗.๖ การบริโภคของครัวเรือนและการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๓.๓ และ ๗.๙ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ ๒.๓-๓.๓ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๐.๙ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ทั้งนี้ มีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ การปรับตัวดีขึ้นของภาวะการค้าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดโลก การลงทุนภาคเอกชนยังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวต่อเนื่อง รวมทั้งการเบิกจ่ายงบประมาณและการดำเนินการตามแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๓.๕ แสนล้านบาท และการดำเนินการตามแผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า ๒ ล้านล้านบาท คาดว่าจะมีความคืบหน้าและสามารถเริ่มเบิกจ่ายเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ควรระมัดระวัง ได้แก่ ความล่าช้าในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในครึ่งปีแรกและการฟื้นตัวในครึ่งปีหลังที่นำโดยสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่นที่ค่าเงินอ่อนลงเมื่อเทียบกับเงินบาท ความล่าช้าในการฟื้นตัวของราคาสินค้าในตลาดโลก การแข็งค่าของเงินบาทซึ่งส่งผลกระทบต่อรายรับในรูปเงินบาทของผู้ประกอบการและกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของภาคการส่งออก และฐานการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เริ่มสูงขึ้นและการลดลงของแรงส่งจากมาตรการคืนภาษีให้กับผู้ซื้อรถยนต์คันแรก ๒. ในส่วนของปัจจัยเสี่ยงที่ควรระมัดระวัง โดยเฉพาะการแข็งค่าของเงินบาทซึ่งส่งผลกระทบต่อรายรับในรูปของเงินบาทของผู้ประกอบการและกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของภาคการส่งออก ขอให้ส่วนราชการต่าง ๆ เร่งรัดจัดทำรายงานความเสียหายและผลกระทบของการแข็งค่าของเงินบาท และส่งไปยังสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อรวบรวมเสนอให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) นำไปพิจารณากำหนดแนวทางและมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการแข็งค่าของค่าเงินบาทดังกล่าว และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
818 | รายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม - ธันวาคม 2555) ธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 14/05/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๕๕) ธนาคารแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๕ ขยายตัวได้ดีจากอุปสงค์ในประเทศภาคเอกชน โดยการบริโภคเพิ่มขึ้นตามภาวะการจ้างงาน รายได้ และความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อยู่ในเกณฑ์ดี ประกอบกับได้รับแรงกระตุ้นจากมาตรการภาครัฐ ขณะที่การลงทุนของภาคธุรกิจมีต่อเนื่อง ทั้งเพื่อซ่อมแซมความเสียหายจากอุทกภัยและเพื่อขยายกำลังการผลิตรองรับความต้องการในประเทศ ส่วนการผลิตภาคอุตสาหกรรมเพื่อจำหน่ายในประเทศขยายตัวดี ขณะที่การผลิตที่เน้นเพื่อการส่งออกได้รับผลกระทบจากความอ่อนแอของเศรษฐกิจโลก ทำให้การส่งออกสินค้าและการส่งออกในตลาดคู่ค้าหลักชะลอตัว สำหรับภาคการท่องเที่ยวขยายตัวสูงจากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชีย ๒. เสถียรภาพเศรษฐกิจการเงิน อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่ไม่สร้างความกังวล ฐานะการเงินของภาคธุรกิจและภาคสถาบันการเงินเข้มข้นขึ้นตามเศรษฐกิจในประเทศที่ขยายตัว และมีผลสนับสนุนให้สินเชื่อภาคธุรกิจเติบโตจากทั้งความต้องการที่มีต่อเนื่องและความสามารถในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ขณะเดียวกันสินเชื่อภาคครัวเรือนขยายตัวสูงตามความต้องการใช้จ่ายของประชาชน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากนโยบายคืนเงินภาษีรถยนต์คันแรกที่ทำให้การซื้อรถยนต์สูงกว่าปกติ ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่เอื้อต่อการกู้ยืม เสถียรภาพด้านต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์มั่นคงต่อเนื่อง และฐานะการคลังยังอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ภาระผูกพันที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอาจก่อให้เกิดแรงกดดันต่อเสถียรภาพด้านการคลังในระยะต่อไป ๓. แนวโน้มเศรษฐกิจในปี ๒๕๕๖ คาดว่าจะขยายตัวได้ดีต่อเนื่องจากปี ๒๕๕๕ โดยในช่วงครึ่งแรกของปียังมีอุปสงค์ในประเทศเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก ขณะที่ภาคการส่งออกคาดว่าจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปสอดคล้องกับเศรษฐกิจโลกที่ปรับดีขึ้นอย่างช้า ๆ โดยจะกลับมามีบทบาทเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจมากขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๖ แรงกดดันเงินเฟ้อมีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงปัจจุบัน ประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ ความผันผวนของเงินทุนไหลเข้าจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ การขยายตัวของสินเชื่อภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง และผลกระทบของการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น ๓๐๐ บาททั่วประเทศ
|
|||||||||||||||||||||
819 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงินประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2555 | กค | 14/05/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เป้าหมายนโยบายการเงิน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ มีมติอนุมัติให้ใช้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยรายไตรมาสที่ร้อยละ ๐.๕-๓.๐ ต่อปี เป็นเป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี ๒๕๕๖ สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๕ ยังเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบเป้าหมาย โดยเฉพาะไตรมาสที่ ๓ และ ๔ อยู่ที่ร้อยละ ๑.๘๔ และ ๑.๘๒ ตามลำดับ ชะลอลงจากช่วงครึ่งแรกของปี ตามการส่งผ่านต้นทุนไปยังราคาสินค้าและบริการที่ชะลอลงสู่ระดับปกติ หลังจากที่เร่งขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี ตามการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศภายหลังปัญหาอุทกภัยในปี ๒๕๕๔ คลี่คลายลง ๒. เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๕ ขยายตัวต่อเนื่อง โดยผลกระทบของเศรษฐกิจโลกจำกัดอยู่เฉพาะต่อการส่งออกและการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่เน้นผลิตเพื่อการส่งออก ขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศขยายตัวได้ดี โดยการบริโภคภาคเอกชนได้รับแรงส่งจากมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ประกอบกับภาวะการเงินที่ผ่อนปรน รวมทั้งตลาดแรงงานที่ตึงตัวต่อเนื่องส่งผลให้รายได้และความเชื่อมั่นของครัวเรือนอยู่ในเกณฑ์ดี ส่วนการลงทุนภาคเอกชนเติบโตต่อเนื่อง โดยเป็นการลงทุนเพื่อทดแทนความเสียหายจากอุทกภัยและเพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจ ๓. แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในปี ๒๕๕๖ กนง. ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวในเกณฑ์ดีที่ร้อยละ ๔.๙ โดยอาศัยอุปสงค์ในประเทศเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ขณะที่ภาคการส่งออกคาดว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว สำหรับแรงกดดันเงินเฟ้อในภาพรวมมีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงปัจจุบัน ทั้งนี้ ในระยะข้างหน้าความเสี่ยงต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะยังมีสูงกว่าความเสี่ยงต่อเงินเฟ้อ ๔. ในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๕ ในการประชุม กนง. เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๕ มีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ๑ ครั้ง ร้อยละ ๐.๒๕ ต่อปี เพื่อรองรับความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกและรักษาแรงส่งของอุปสงค์ในประเทศที่อาจจะอ่อนแรงลงในระยะต่อไป ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ ๒.๗๕ ต่อปี ณ สิ้นปี ๒๕๕๕ ทั้งนี้ กนง. ประเมินว่าภาวะการเงินในปัจจุบันยังอยู่ในระดับผ่อนคลายเพียงพอต่อความจำเป็นของเศรษฐกิจ ๕. ค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในช่วงครึ่งหลังของปีมีแนวโน้มแข็งขึ้น จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อสถานการณ์เศรษฐกิจการเงินโลกที่ปรับดีขึ้น สอดคล้องกับสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาค โดยการแข็งค่าของเงินบาทอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ค่าความผันผวนของเงินบาทมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา และลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ ๓ ปี ทั้งนี้ นโยบายผ่อนคลายกฎเกณฑ์เกี่ยวกับเงินทุนเคลื่อนย้ายโดยเฉพาะการสนับสนุนการลงทุนในต่างประเทศมีส่วนช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้เกิดความสมดุลของเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ และเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนโดยรวม
|
|||||||||||||||||||||
820 | ขอความเห็นชอบร่างปฏิญญาเชียงใหม่ (Chiang Mai Declaration) สำหรับการประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก ครั้งที่ 2 (The 2nd Asia - Pacific Water Summit : 2nd APWS) | นร | 14/05/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการระดับชาติเพื่อเตรียมการจัดการประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ ๒ เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบเอกสารร่างปฏิญญาเชียงใหม่ (Chiang Mai Declaration) สำหรับการประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ ๒ (The 2nd Asia-Pacific Water Summit : 2nd APWS) ระหว่างวันที่ ๑๔-๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ณ ศูนย์การประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ โดยสาระสำคัญของร่างปฏิญญาฯ ผู้นำประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ร่วมแสดงเจตนารมณ์และแสดงออกร่วมกันว่าผู้นำของประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยเล็งเห็นความสำคัญเรื่องน้ำ รวมทั้งแสดงให้เห็นถึงความพยายามร่วมกันในการบริหารจัดการน้ำ ทั้งในภาวะปกติเพื่อให้การใช้น้ำเกิดประโยชน์สูงสุด และในภาวะเผชิญเหตุภัยพิบัติ เพื่อให้ทุกประเทศอยู่รอดในภาวะที่คาดเดาได้ยากอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และทุกประเทศแสดงออกถึงความเต็มใจที่จะช่วยเหลือกันในยามเกิดภัยพิบัติ ทั้งนี้ ร่างปฏิญญาฯ ไม่ถือเป็นหนังสือสัญญาที่เป็นข้อผูกพันทางกฎหมายต่อประเทศใด ๆ และให้แถลงร่างปฏิญญาฯ ประกอบการประชุมระดับผู้นำ (Leader Forum) ในวันจันทร์ที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ๑.๒ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อกฎหมายและผลประโยชน์ของไทย มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการระดับชาติเพื่อเตรียมการจัดประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ ๒ ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรปรับแก้ถ้อยคำในร่างปฏิญญาฯ โดยย่อหน้าแรก บรรทัดที่ ๔ ตัดข้อความ “and do hereby agree to” และเพิ่มข้อความ “Do hereby declare to” ไปดำเนินการด้วย |
.....