ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 50 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 981 - 1000 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
981 | การเดินทางไปเยือนอินเดียและการเข้าร่วมประชุม World Economic Forum | นร | 31/01/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบสรุปผลการเดินทางไปเยือนอินเดียและการเข้าร่วมการประชุม World Economic Forum ระหว่างวันที่ ๒๔ - ๒๙ มกราคม ๒๕๕๕ ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเดินทางเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการ (State Visit) ตามคำเชิญของรัฐบาลอินเดีย เพื่อร่วมงานฉลองวันชาติ ระหว่างวันที่ ๒๔ - ๒๖ มกราคม ๒๕๕๕ ในฐานะแขกเกียรติยศ (Chief Guest) ของรัฐบาล ประสบผลสำเร็จมาก เพราะอินเดียเห็นว่าไทยเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ (Strategic Partner) ที่สำคัญ โดยในส่วนของความร่วมมือกันทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน ทั้งสองประเทศได้มีการจัดทำความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ร่วมกันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๖ และมีชนิดของสินค้าและบริการที่ทำความตกลงร่วมกันกว่า ๕,๐๐๐ รายการ โดยปัจจุบันมี ๘๒ รายการเท่านั้นที่เสร็จสมบูรณ์ และในครั้งนี้ได้ทำความตกลงเพิ่มอีก ๑ รายการ คือ สินค้าประเภทตู้เย็น รวมทั้งได้ทำข้อตกลงด้านการทหาร ความมั่นคง วัฒนธรรม และการศึกษา ซึ่งความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศจะช่วยให้มีการขยายการค้าและการลงทุน ตลอดจนการท่องเที่ยวระหว่างกันมากยิ่งขึ้น โดยให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) รับไปหารือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำกับ ติดตาม การดำเนินงานของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ณ สนามบินสุวรรณภูมิ ให้สามารถให้บริการแก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าออกได้อย่างคล่องตัวและมีความเสมอภาคกัน เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศ รวมทั้งให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับไปพิจารณาเกี่ยวกับการจัดทำร่างยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวของประเทศเพื่อรองรับการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการเป็นประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ด้วย ๒. การเข้าร่วมการประชุมเวทีเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum - WEF) ครั้งที่ ๔๒ ที่เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส ระหว่างวันที่ ๒๗ - ๒๙ มกราคม ๒๕๕๕ ได้เข้าร่วมการประชุมกลุ่มย่อยในวาระที่สำคัญ ได้แก่ การประชุมผู้นำเศรษฐกิจโลกอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งเป็นการเชิญเฉพาะนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับผู้นำประเทศอื่น ๆ และผู้บริหาร (CEO) ชั้นนำของโลก โดยใช้โอกาสนี้สร้างความเชื่อมั่นในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย รวมทั้งตอบข้อซักถามเกี่ยวกับแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจ และแนวทางการแก้ไขปัญหาอุทกภัยของไทยในอนาคต เวทีต่อมาคือ การกล่าว Opening Remarks และร่วมเป็นผู้อภิปราย (Panelist) ในเรื่อง Woman as the way forward ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อเสนอมุมมองของผู้หญิงต่อการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก โดยได้ชี้แจงถึงแนวคิดในการจัดตั้งกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีเพื่อช่วยยกระดับให้สตรีมีโอกาสเข้าถึงแหล่งทุน เพื่อให้ผู้หญิงสามารถมีรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัว ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่เป็นปัญหาระดับสากล และได้เป็นประธานงาน Thai Night โดยได้กล่าวชี้แจงถึงวิสัยทัศน์และแนวทางการดำเนินนโยบายของรัฐบาลเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวในประเทศไทย ตลอดจนประชาสัมพันธ์และเชิญชวนให้ผู้สนใจเข้าร่วมการประชุม World Economic Forum East Asia ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นในระหว่างวันที่ ๓๐ พฤษภาคม - ๑ มิถุนายน ๒๕๕๕ ที่กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในภูมิภาคยุโรป ทำให้แต่ละประเทศตื่นตัวและเน้นมาให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูและเสริมสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศให้เข้มแข็ง ซึ่งเป็นแนวทางเดียวที่ประเทศไทยกำลังดำเนินการอยู่ โดยในระยะยาวจำเป็นจะต้องมีแผนพัฒนาทรัพยากรบุคคลของประเทศตั้งแต่ในระดับเด็กและเยาวชนขึ้นมาเป็นลำดับอย่างชัดเจน และในส่วนของการกำหนดเป้าหมายความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ควรมีการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนรอบด้านทั้งในส่วนที่เป็นปัจจัยภายในประเทศและต่างประเทศ โดยให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปพิจารณาเกี่ยวกับการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||
982 | ร่างพระราชบัญญัติการส่งเสริมการควบรวมกิจการในตลาดทุน พ.ศ. .... | กค | 04/01/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการส่งเสริมการควบรวมกิจการในตลาดทุน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการควบรวมกิจการในตลาดทุน โดยมีบทบัญญัติยกเว้นหรือผ่อนผันข้อจำกัดทางกฎหมายบางประการให้มีความสะดวกและคล่องตัว เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการควบรวมกิจการในตลาดทุน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและกระทรวงพาณิชย์ ที่เห็นควรเพิ่มขอบเขตการบังคับใช้กฎหมายให้ครอบคลุมบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีความประสงค์จะควบรวมกิจการโดยไม่จำกัดว่าต้องนำหุ้นของบริษัทที่เกิดจากการควบรวมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือเสนอขายหลักทรัพย์นั้นต่อประชาชน เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมเป็นมาตรฐานเดียวกันและตรงตามวัตถุประสงค์ของแผนพัฒนาตลาดทุนไทย สำหรับกรณีบริษัทตั้งแต่สองบริษัทขึ้นไปควบรวมเข้ากันจนเป็นผลทำให้บริษัทที่ควบรวมเข้ากันนั้นหมดสภาพความเป็นนิติบุคคลและได้จัดตั้งบริษัทขึ้นใหม่ และหากบริษัทที่ควบรวมกิจการเข้ากันดังกล่าวเป็นนิติบุคคลจดทะเบียนในต่างประเทศ ยังขาดความชัดเจนและความเชื่อมโยงกันกับกฎหมายว่าด้วยห้างหุ้นส่วนบริษัทและกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการควบระหว่างนิติบุคคลไทยกับนิติบุคคลต่างประเทศ รวมทั้งร่างมาตรา ๑๒ ที่กำหนดให้นำความในวรรคสองและวรรคสามของมาตรา ๖๖/๑ แห่งกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัดมาใช้กับการควบรวมกิจการตามร่างพระราชบัญญัติฯ โดยอนุโลม ยังไม่ชัดเจนว่าให้นำมาใช้เพียงใด เนื่องจากมาตรา ๖๖/๑ วรรคสองและวรรคสามมีข้อกำหนดหลักเกณฑ์อื่นตามกฎกระทรวงให้บริษัทที่ซื้อหุ้นคืนต้องปฏิบัติด้วย เช่น การซื้อหุ้นคืน การจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน และการตัดหุ้นที่ซื้อคืนของบริษัท ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นจากการควบรวมกิจการ เช่น การผูกขาดตลาดจากการควบคุมกิจการในลักษณะต่าง ๆ การทำธุรกรรมไขว้ของบริษัทโดยเฉพาะบริษัทในภาคการเงิน มาตรการการกำกับดูแลบริษัทที่เกิดจากการควบรวมแบบผสม (Supervisory for Cross issues) และภาระของรัฐที่อาจเกิดจากการให้ความช่วยเหลือกิจการขนาดใหญ่ที่ประสบภาวะล้มละลาย (Too big to fail) เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||
983 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การป้องกันและแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการพัฒนาอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก กรณีศึกษาในจังหวัดระยอง | สสป | 04/01/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็น ตามที่เลขาธิการสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การป้องกัน และแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการพัฒนาอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก กรณีศึกษาในจังหวัดระยอง ดังนี้ ประเด็นที่ ๑ ชะลอการขยายและก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมใหม่ที่อาจส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและมลภาวะในจังหวัดระยอง จนกว่าจะแก้ไขปัญหามลพิษไม่ให้เกินมาตรฐานที่กำหนด ประเด็นที่ ๒ เร่งฟื้นฟู บูรณะสิ่งแวดล้อมในพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกอย่างจริงจัง โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมในทุกระดับ ประเด็นที่ ๓ จัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบพิเศษในพื้นที่อุตสาหกรรมมาบตาพุดและบริเวณโดยรอบ เพื่อให้มีเอกภาพในการบริหารจัดการ ประเด็นที่ ๔ ให้ปรับปรุงผังเมืองรวมจังหวัดระยอง ประเด็นที่ ๕ จัดตั้งศูนย์ข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนา การแก้ไขและป้องกันปัญหาอันเกิดจากการพัฒนาอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก ที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย ประเด็นที่ ๖ เพิ่มบริการสาธารณสุขและสถานศึกษาในจังหวัดระยองเพื่อให้ประชาชนได้รับบริการอย่างทั่วถึงและเพียงพอ ประเด็นที่ ๗ เร่งฟื้นฟูและบริหารจัดการน้ำในภาคตะวันออกให้สามารถรองรับการใช้น้ำของภาคอุตสาหกรรม ประเด็นที่ ๘ ให้มีองค์กรติดตามการแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก ๒. ความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข หน่วยงานภูมิภาคในพื้นที่และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ ดังนี้ ๒.๑ กลุ่มประเด็น : นโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดระยอง ประเด็นที่ ๑ ควรชะลอการขยายและก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมใหม่ในพื้นที่ที่อาจส่งผลกระทบต่อมลภาวะในจังหวัดระยอง ยกเว้นโรงงานที่จำเป็นต้องดำเนินการต่อเนื่อง ประเด็นที่ ๔ ให้กรมโยธาธิการและผังเมือง ดำเนินการจัดทำผังเมืองระยองให้แล้วเสร็จและประกาศใช้บังคับอย่างต่อเนื่อง และให้เทศบาลเมืองมาบตาพุดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องซึ่งรับการถ่ายโอนภารกิจปรังปรุงผังเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมหลักและชุมชน จังหวัดระยอง ประเด็นที่ ๗ มอบหมายให้กรมชลประทานเร่งรัดการดำเนินงานตามแผนงานให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งรัดการบูรณาการการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ๒.๒ กลุ่มประเด็น : การแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต ประเด็นที่ ๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งฟื้นฟูบูรณะสิ่งแวดล้อมในพื้นที่บริเวณภาคตะวันออกอย่างจริงจัง รวมทั้งบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและรัดกุม โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมทุกระดับ ประเด็นที่ ๕ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการที่มีอยู่ในปัจจุบันให้ดีขึ้นและใช้กลไกที่มีอยู่เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลเชิงรุกและให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการศูนย์เฝ้าระวัง และตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว พร้อมที่จะเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับทราบ ประเด็นที่ ๖ เห็นควรให้จังหวัดระยองดำเนินการสำรวจประชากรแฝงให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อจะได้ทำแผนในการดูแลคุณภาพชีวิตในทุกด้านอย่างมีประสิทธิภาพ ๒.๓ กลุ่มประเด็น : การบริหารจัดการเชิงพื้นที่ ประเด็นที่ ๓ ให้กระทรวงมหาดไทยทำการศึกษารูปแบบในการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษดังกล่าวให้แล้วเสร็จ และนำเสนอต่อคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณา ประเด็นที่ ๘ ในระดับชาติควรมอบให้คณะกรรมการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Seaboard) และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ รับไปดำเนินการ และในระดับพื้นที่ควรมอบหมายจังหวัดระยองรับไปดำเนินการ
|
||||||||||||||||||
984 | รายงานสรุปสภาวะอากาศในรอบสัปดาห์ฯ ของกรมอุตุนิยมวิทยา และรายงานการปฏิบัติงานของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ (วันที่ 19 - 25 ธันวาคม 2554 และ วันที่ 27 ธันวาคม 2554 - 2 มกราคม 2555) | ทก | 27/12/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปสภาวะอากาศในรอบสัปดาห์ฯ ของกรมอุตุนิยมวิทยา และรายงานการปฏิบัติงานของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปสภาวะอากาศทั่วไปในรอบสัปดาห์และการพยากรณ์อากาศใน ๗ วันข้างหน้า ของกรมอุตุนิยมวิทยา ๑.๑ ลักษณะอากาศในช่วง ๗ วันที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๔) บริเวณประเทศไทยตอนบนมีอากาศหนาวเย็น ส่วนบริเวณภาคใต้ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีลงไปมีฝนตกกระจายและมีฝนตกหนักบางแห่ง คลื่นลมบริเวณภาคใต้และอ่าวไทยมีกำลังแรง คลื่นสูง ๒ - ๕ เมตร ๑.๒ ลักษณะอากาศในช่วง ๗ วันข้างหน้า (ระหว่างวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ - ๒ มกราคม ๒๕๕๕) ช่วงต้นสัปดาห์ทั่วทุกภาคของประเทศไทยมีอากาศหนาวเย็น บริเวณภูเขาสูงในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง ๒ - ๔ เมตร หลังจากนั้นบริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมประเทศไทยมีกำลังอ่อนลง แต่โดยทั่วไปยังคงทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอากาศหนาวเย็นและมีหมอกในตอนเช้า สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงหนือที่พัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง ทำให้ภาคใต้มีฝนกระจาย และอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง ๒ - ๓ เมตร ๒. รายงานการปฏิบัติงานของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ และศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ๒.๑ การดำเนินงานของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ระหว่างวันที่ ๑๗ - ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ มีการแจ้งข่าวแผ่นดินไหว และการแจ้งเฝ้าระวังน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่ม ซึ่งศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติได้เฝ้าระวังสภาวะอากาศและติดตามประเมินผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเตรียมพร้อมเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงที่อาจทำให้เกิดภัยพิบัติได้ ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนระวังอันตรายที่อาจเกิดภาวะน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในบริเวณเชิงเขาและพื้นที่ต้นน้ำ และดินโคลนถล่ม ในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ด้วย ๒.๒ การดำเนินการของ ศปภ. ตั้งแต่วันที่ ๙ ตุลาคม - ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ได้รับแจ้งจากผู้ขอความช่วยเหลือโดยผ่านหมายเลข ๑๑๑๑ กด ๕ โดยมีจำนวนผู้โทรเข้าทั้งหมด ๙๕๘,๗๒๑ ราย แยกเป็นการโทรเพื่อขอความช่วยเหลือ ๑๕๙,๔๘๙ ราย สอบถาม ๔๕๕,๗๘๑ ราย ร้องเรียน ๙,๕๒๖ ราย ชมเชย ๗๓๓ ราย แจ้งบริจาค ๓,๔๖๔ ราย ติดตามงาน ๒,๖๓๐ ราย โทรระบายความเครียด ๓๒๔,๘๒๓ ราย และข้อเสนอแนะ ๒,๒๗๕ ราย
|
||||||||||||||||||
985 | รายงานสถานการณ์น้ำในรอบสัปดาห์ (วันที่ 13 - 19 ธันวาคม 2554) | ทส | 27/12/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์น้ำในรอบสัปดาห์ (วันที่ ๑๓ - ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๔) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์น้ำในภาพรวม ๑.๑ สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่มีปริมาณน้ำเก็บกักประมาณร้อยละ ๘๙ อยู่ในเกณฑ์ดีมาก โดยเขื่อนในภาคใต้ต้องพร่องน้ำเพื่อบริหารจัดการรับอุทกภัย ๑.๒ เขื่อนที่มีน้ำล้นอาคารระบายน้ำ มีจำนวน ๖ แห่ง ประกอบด้วย เขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล จังหวัดเชียงใหม่ เขื่อนกิ่วคอหมา จังหวัดลำปาง เขื่อนลำตะคอง เขื่อนลำแซะ จังหวัดนครราชสีมา เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จังหวัดลพบุรี และเขื่อนกระเสียว จังหวัดสุพรรณบุรี สำหรับเขื่อนที่มีน้ำมากกว่าร้อยละ ๘๐ อยู่ในเกณฑ์น้ำดีมาก มีจำนวน ๒๑ แห่ง เขื่อนที่มีน้ำระหว่างร้อยละ ๕๑ - ๘๐ อยู่ในเกณฑ์น้ำดี มีจำนวน ๕ แห่ง และเขื่อนที่มีน้ำระหว่างร้อยละ ๓๑ - ๕๐ อยู่ในเกณฑ์น้ำพอใช้ มีจำนวน ๑ แห่ง ส่วนสภาพน้ำในแม่น้ำสายสำคัญส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่มีแม่น้ำที่มีปริมาณน้ำล้นตลิ่ง ๒. สถานการณ์อุทกภัยในรอบสัปดาห์ มีพื้นที่ที่เกิดเหตุน้ำท่วม ๑๐ จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดลพบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพมหานคร นครปฐม สมุทรสาคร สุพรรณบุรี พัทลุง และปัตตานี ๓. การเตรียมรับสถานการณ์อุทกภัย ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๓.๑ สภาพภูมิอากาศในสัปดาห์หน้า คาดว่าวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๔ ความกดอากาศสูงกำลังแรงระลอกใหม่จากประเทศจีนจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมตอนบนของประเทศ ประกอบกับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้ตอนล่างตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป มีฝนตกกระจายและอาจจะมีฝนตกหนักบางแห่ง ๓.๒ สถานีเตือนภัยล่วงหน้าของกรมทรัพยากรน้ำมีการแจ้งเตือนภัยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา จำนวน ๔ สถานี ครอบคุลม ๑๕ หมู่บ้าน ใน ๒ จังหวัด โดยแบ่งออกเป็นการเตือนภัยในระดับเตรียมอพยพ ๒ สถานี ครอบคลุม ๗ หมู่บ้าน ใน ๒ จังหวัด คือ ที่อำเภอนบพิตำ จังหวัดนครศรีธรรมราช และอำเภอป่าบอน จังหวัดพัทลุง และการเตือนในระดับเฝ้าระวัง ๒ สถานี ครอบคลุม ๘ หมู่บ้าน ที่อำเภอพิปูน อำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช ๓.๓ ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา เขื่อนขนาดใหญ่ของกรมชลประทานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีปริมาณน้ำลดลงเล็กน้อย เนื่องจากปริมาณฝนลดลง สำหรับพื้นที่ภาคใต้ยังอยู่ในช่วงปลายฤดูฝน แต่เนื่องจาก กฟผ. ได้ควบคุมน้ำในเขื่อนบางลางไว้แล้ว ทำให้สามารถรองรบสถานการณ์น้ำหลากได้ ๓.๔ สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพมหานครคาดว่าจะเข้าสู่ภาวะปกติภายในสัปดาห์นี้ ส่วนพื้นที่ลุ่มการเกษตรจะยังคงมีน้ำท่วมขังบ้าง ๓.๕ กรมควบคุมมลพิษรายงานสถานการณ์คุณภาพน้ำในแม่น้ำสายหลักที่รองรับน้ำหลากลงสู่ทะเลอยู่ในเกณฑ์เสื่อมโทรมมาก โดยเฉพาะแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่จังหวัดปทุมธานีลงไป และแม่น้ำท่าจีนตั้งแต่จังหวัดนครปฐมลงไป ๓.๖ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ติดตามสถานการณ์น้ำและการประสานงานด้านการระบายน้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และสนับสนุนระบบประปาสนาม รถบรรทุกน้ำ รถบรรทุก และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ประสบภัย การซ่อมแซมบ่อบาดาล การประสานเครือข่ายแจ้งเตือนภัยน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่ม ๓.๗ ที่ประชุมคณะอนุกรรมการติดตามและแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำ ภายใต้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ ได้เสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ และ กฟผ. เร่งการพิจารณาปรับปรุงเกณฑ์ควบคุมระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ (Rule Curve) ให้สอดคล้องกับสภาพทางอุทกวิทยาในสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อเตรียมรับสถานการณ์น้ำหลากในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ รวมทั้งพิจารณาบริหารการระบายน้ำแบบองค์รวม เช่น ในลุ่มน้ำเจ้าพระยาใหญ่ต้องพิจารณาแยกเป็นพื้นที่ ประกอบด้วย ๔ พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่ด้านเหนือเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ พื้นที่ท้ายเขื่อนทั้งสองถึงเขื่อนเจ้าพระยา พื้นที่จากเขื่อนเจ้าพระยาถึงปากแม่น้ำ และระดับน้ำทะเลหนุนในช่วงเวลาต่าง ๆ
|
||||||||||||||||||
986 | การดำเนินการแก้ไขปัญหาสถานการณ์น้ำท่วมและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย | ทส | 27/12/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการแก้ไขปัญหาสถานการณ์น้ำท่วมและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินงานสนับสนุนเครื่องสูบน้ำ และระบายน้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ๑.๑ กรมทรัพยากรน้ำได้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์สนับสนุนการดำเนินงานติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อระบายน้ำลงสู่ทะเล โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ การดำเนินการระยะที่ ๑ เป็นการระบายน้ำลงทะเล ดำเนินการระหว่างวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ปัจจุบันการดำเนินการได้เสร็จสิ้นลงแล้วเนื่องจากสถานการณ์น้ำได้เข้าสู่ภาวะปกติสามารถไหลผ่านแม่น้ำและลำคลองได้ตามปกติ สูบน้ำได้ทั้งสิ้น ๒๔,๔๘๗,๙๕๓ ลูกบาศก์เมตร ๑.๒ ศูนย์สนับสนุนการดำเนินการติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อระบายน้ำลงสู่ทะเลได้รับการสนับสนุนเครื่องสูบน้ำปัจจุบัน จำนวนทั้งสิ้น ๓๓๓ เครื่อง ดำเนินการติดตั้งเครื่องสูบน้ำในพื้นที่เป้าหมายจังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรสาคร และกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณพุทธมณฑล ระบายน้ำจนแห้งแล้ว ๗๘ แห่ง เป็นปริมาณน้ำ ๒๑,๐๑๐,๕๓๔ ลูกบาศก์เมตร ปัจจุบันได้นำเครื่องสูบน้ำกลับแล้ว ๒๑๙ เครื่อง จำนวนเครื่องสูบน้ำที่มีการติดตั้งในจังหวัดนนทบุรีและนครปฐม จำนวน ๑๑๔ เครื่อง ได้เดินเครื่องเพื่อสูบน้ำ จำนวน ๖๘ เครื่อง ปริมาณการสูบน้ำได้ ๕๐๘,๐๔๐ ลูกบาศก์เมตร/วัน ๒. การประชุมคณะอนุกรรมการติดตามและแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำ ภายใต้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ ที่ประชุมมอบให้กรมอุตุนิยมวิทยาติดตามสถานการณ์ฝนและพายุอย่างต่อเนื่องเน้นการพยากรณ์ล่วงหน้า และให้กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยปรับปรุงเกณฑ์ควบคุมระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ (Rule Curve) ให้สอดคล้องกับสภาพทางอุทกวิทยาในสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อเตรียมรับสถานการณ์น้ำหลากในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้บริหารการระบายน้ำแบบองค์รวม ๓. การประชุมคณะกรรมการลุ่มน้ำชี เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ ที่ประชุมได้มีการนำเสนอปัญหาและแนวทางการบริหารจัดการลุ่มน้ำชี โดยเน้นการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำธรรมชาติ เป็นแก้มลิง ป้องกันน้ำท่วมและเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้ง และเสนอให้พิจารณาสร้างเขื่อนในพื้นที่ต้นน้ำชี เพื่อกักเก็บน้ำและป้องกันปัญหาน้ำท่วมในลุ่มน้ำชี เช่น เขื่อนโปร่งขุนเพชร เขื่อนชีบน เขื่อนยางนาดี เขื่อนผาคะเฮ้า ๔. การประชุมคณะกรรมการลุ่มน้ำเจ้าพระยา ป่าสักและสะแกกรัง และการสำรวจศักยภาพลำน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ที่ประชุมรับทราบรายงานสถานการณ์อุทกภัยและแนวทางการแก้ไขของจังหวัดนครสวรรค์ รายงานภาพรวมสถานการณ์น้ำและเสนอแนวทางการป้องกันปัญหาอุทกภัยพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา รายงานภาพรวมสถานการณ์น้ำและแนวทางการป้องกันภัยปัญหาอุทกภัยพื้นที่ลุ่มน้ำป่าสัก และรายงานภาพรวมสถานการณ์น้ำและแนวทางการแก้ไขป้องกันปัญหาอุทกภัยพื้นที่ลุ่มน้ำสะแกกรัง รวมทั้งการนำเสนอโครงการสำรวจศักยภาพลำน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา ๕. การตรวจติดตามปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเล เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมคณะได้เดินทางไปตรวจติดตามสภาพปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลจังหวัดสงขลา ซึ่งมีความเสียหายรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทรัพยากรชายฝั่งทะเล ทรัพย์สินของประชาชน และของราชการเสียหายเป็นจำนวนมาก ๖. การแก้ไขปัญหาลุ่มน้ำทะเลสาปสงขลา เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมคณะ ได้ประชุมร่วมกับคณะกรรมการลุ่มน้ำทะเลสาปสงขลา โดยที่ประชุมได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการแบบบูรณาการเพื่อแก้ไขปัญหาที่มีหลายมิติได้ควบคู่กันไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง โดยขอให้ขุดลอกปรับปรุงคลองระบายน้ำให้ระบายลงทะเลได้มากขึ้น เพิ่มแหล่งเก็บกักน้ำและพื้นที่รับน้ำในบริเวณต้นน้ำ และขอให้แก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำจากน้ำเสียชุมชน น้ำเสียอุตสาหกรรม และสารพิษปนเปื้อนลงสู่แหล่งน้ำด้วย
|
||||||||||||||||||
987 | การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม อันเนื่องมาจากเหตุการณ์อุทกภัย | กษ | 27/12/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินไม่เกิน ๒๐๕.๕๐ ล้านบาท โดยโอนงบประมาณดังกล่าวให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อจัดซื้อนมพาสเจอร์ไรส์ ให้เด็กนักเรียนชั้นก่อนวัยเรียนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ในเฉพาะโรงเรียนรัฐบาลในสังกัด อปท. ของกรุงเทพมหานคร จังหวัดปทุมธานี นนทบุรี และพระนครศรีอยุธยา จำนวนนักเรียนประมาณ ๕๓๒,๕๒๑ คน ได้ดื่มเพิ่มขึ้นเป็น ๒ ถุง/วัน จากเดิมที่ได้ดื่มวันละ ๑ ถุง ตามงบประมาณปกติ ในระยะเวลาเฉพาะวันเรียนจำนวน ๖๐ วันของภาคเรียนที่ ๒/๒๕๕๔ โดยให้ อปท. ดำเนินการจัดซื้อโดยวิธีกรณีพิเศษกับองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ค.ส.) เช่นเดียวกับแนวทางปฏิบัติโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การทบทวนระบบบริหารจัดการนมโรงเรียน) เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำนมโคของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมที่ได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากเหตุการณ์อุทกภัย ประมาณวันละ ๘๐ ตัน จนถึงกลางเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ ๑.๒ เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงศึกษาธิการขอความร่วมมือกับ อปท. และโรงเรียนเอกชนทั่วประเทศ ที่ได้รับงบประมาณจัดซื้ออาหารเสริม (นม) โรงเรียน ภาคเรียนที่ ๒/๒๕๕๔ จากงบปกติที่ได้รับไปแล้ว จัดซื้ออาหารเสริม (นม) ตามที่ได้รับจัดสรรงบประมาณ จำนวน ๑๓๐ วัน ของภาคเรียนนี้ให้ครบถ้วน โดยเฉพาะในจังหวัดที่เลื่อนการเปิดภาคเรียนเนื่องจากปัญหาภาวะภัยน้ำท่วม ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้กระทบต่อการบริหารจัดการนมทั้งระบบในภาพรวม เนื่องจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการได้มีข้อตกลงการรับซื้อน้ำนมดิบ หรือ MOU กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม เพื่อจัดจำหน่ายตามสิทธิที่ได้รับในโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ภาคเรียนที่ ๒/๒๕๕๔ ตลอดภาคเรียนไปแล้ว หากผู้ประกอบการไม่ได้จำหน่ายตามที่ได้รับจัดสรรอาจส่งผลให้เกิดปัญหาน้ำนมดิบล้นตลาดขึ้นอีก ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานงานกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการและกำกับดูแลการดำเนินการจัดซื้อและแจกจ่ายอาหารเสริมนมโรงเรียนให้แก่นักเรียนให้เป็นไปตามคุณภาพมาตรฐานและกลุ่มเป้าหมายที่กำหนด ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับติดตามให้ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ขออนุมัติเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนย ปี ๒๕๕๔ เพิ่มเติม) ที่ให้รับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกรในประเทศอย่างเคร่งครัดด้วย |
||||||||||||||||||
988 | การมอบหมายการดำเนินการ [เกี่ยวกับ 1) การจัดงาน OTOP 2) สถานการณ์อุทกภัย ในพื้นที่ภาคใต้ 3) การมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ และ 4) ปัญหาการนำชิ้นส่วนและโครงรถยนต์ที่ใช้แล้วเข้ามาประกอบในประเทศ] | นร | 27/12/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเรื่องเร่งด่วนที่ขอมอบหมายให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการ ดังต่อไปนี้
๑. งานหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองทองธานีประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่ได้ประสานงานและเร่งรัดติดตามการดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว สำหรับการจัดงาน OTOP ครั้งถัดไปในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเร่งรัดเตรียมการจัดงาน โดยประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเร็วต่อไป ๒. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๔ เกี่ยวกับการเตรียมการรองรับสถานการณ์อุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ภาคใต้ โดยมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นเจ้าภาพหลักรับไปพิจารณาร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจเอก โกวิท วัฒนะ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมการรองรับสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ที่ได้รับอิทธิพลจากพายุและอาจเกิดสถานการณ์อุทกภัยขึ้นได้ นั้น ให้รัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบดูแลพื้นที่ภาคใต้ทั้ง ๖ จังหวัด ลงพื้นที่เพื่อกำกับติดตามการให้ความช่วยเหลือดูแลผู้ประสบภัยในพื้นที่ที่รับผิดชอบด้วย และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนำปัญหาเกี่ยวกับสภาวะอากาศแปรปรวน มีพายุและคลื่นสูงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคใต้ไปดำเนินการศึกษาวิจัยรวมกับเรื่องการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นต่อไป ๓. เพื่อให้การดำเนินงานของคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ และคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ปฏิบัติหน้าที่เป็นประธานกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ประธานกรรมการนโยบายยางธรรมชาติและประธานกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ และมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายชุมพล ศิลปอาชา) ปฏิบัติหน้าที่เป็นประธานกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติ ทั้งนี้ ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรับไปแก้ไขปรับปรุงคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามที่มอบหมายต่อไปด้วย ๔. เนื่องจากได้มีการนำเข้าชิ้นส่วนและโครงรถยนต์ที่ใช้แล้วเข้ามาประกอบหรือดัดแปลงเป็นรถยนต์ใหม่ในประเทศ ซึ่งเป็นการใช้ช่องว่างของกฎหมายเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ต้องชำระภาษีอากรที่เกี่ยวข้อง มอบให้กระทรวงพาณิชย์เร่งดำเนินการห้ามนำเข้าชิ้นส่วนและโครงรถยนต์ที่ใช้แล้ว และให้กระทรวงคมนาคมระงับการจดทะเบียนรถยนต์ที่ใช้ชิ้นส่วนและโครงรถยนต์เข้ามาประกอบหรือดัดแปลงเป็นรถยนต์ใหม่โดยด่วน |
||||||||||||||||||
989 | รายงานสรุปสภาวะอากาศในรอบสัปดาห์ฯ ของกรมอุตุนิยมวิทยา และรายงานการปฏิบัติงานของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ (วันที่ 9 - 15 ธันวาคม 2554 และวันที่ 17 - 23 ธันวาคม 2554) | ทก | 19/12/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปสภาวะอากาศในรอบสัปดาห์ฯ ของกรมอุตุนิยมวิทยา และรายงานการปฏิบัติงานของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปสภาวะอากาศทั่วไปในรอบสัปดาห์และการพยากรณ์อากาศใน ๗ วันข้างหน้า ของกรมอุตุนิยมวิทยา ๑.๑ ลักษณะอากาศในช่วง ๗ วันที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ ๙ - ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๔) บริเวณประเทศไทยตอนบนมีอากาศหนาวเย็น สำหรับบริเวณภาคใต้ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีลงไป มีฝนตกเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง ๑.๒ ลักษณะอากาศใน ๗ วันข้างหน้า (ระหว่างวันที่ ๑๗ - ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๔) ช่วงต้นสัปดาห์ บริเวณความกดอากาศสูงกำลังแรงระลอกใหม่เข้าปกคลุมประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอากาศหนาวเย็นลง สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทย และภาคใต้ มีกำลังแรง ทำให้ภาคใต้มีฝนตกเพิ่มมากขึ้นและมีฝนตกหนักบางพื้นที่ คลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังแรง หลังจากนั้น บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนมีกำลังอ่อนลง แต่ยังคงทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก มีอากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า และมีหมอกหนาในบางพื้นที่ ส่วนพายุโซนร้อนวาชิบริเวณตอนใต้ของประเทศฟิลิปปินส์จะเคลื่อนตัวผ่านทะเลจีนใต้ตอนล่าง คาดว่าพายุนี้จะอ่อนกำลังก่อนเคลื่อนตัวขึ้นฝั่งบริเวณประเทศมาเลเซีย ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกหนักบางพื้นที่ คลื่นลมในอ่าวไทยตอนล่างมีกำลังแรงขึ้น โดยมีคลื่นสูง ๒ - ๔ เมตร ๒. รายงานการปฏิบัติงานของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ (ระหว่างวันที่ ๑๐ - ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๔) ได้มีการแจ้งเฝ้าระวังน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่ม รวม ๒ ครั้ง และมีการแจ้งข่าวแผ่นดินไหว รวม ๑๖ ครั้ง ซึ่งศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติได้เฝ้าระวังสภาวะอากาศและติดตามประเมินผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเตรียมพร้อมเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงที่อาจทำให้เกิดภัยพิบัติได้ นอกจากนี้ ขอให้ประชาชนระวังอันตรายที่เกิดจากภาวะน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในบริเวณเชิงเขาและพื้นที่ต้นน้ำ และดินโคลนถล่มในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ด้วย
|
||||||||||||||||||
990 | สรุปประเด็นผลการประชุม "World Economic Forum Annual Meeting of the New Champion in Asia 2011" (Summer Davos) ณ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน | นร | 19/12/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปประเด็นผลการประชุม “World Economic Forum Annual Meeting of the New Champion in Asia 2011” (Summer Davos) ระหว่างวันที่ ๑๔ - ๑๖ กันยายน ๒๕๕๔ ณ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยมีประเด็นสำคัญของการประชุม ดังนี้
๑. สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม : พบว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศกำลังพัฒนาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในทวีปแอฟริกาและเอเชีย ในขณะที่การส่งออกจากทวีปเอเชียยังคงสูงกว่าทุกทวีป ประชากรโลกจะสูงถึง ๙.๓ พันล้านคน ในปี ๒๐๕๐ ส่วนใหญ่อยู่ในจีน อินเดีย และแอฟริกา และชนชั้นกลางในประเทศตลาดเกิดใหม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ๒. ความสำเร็จของการพัฒนาแบบยั่งยืนจะเป็นชัยชนะในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันรูปแบบใหม่ (New Sustainability Champion) : สมาชิกเวทีการประชุมเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum : WEF) ร่วมกับ Boston Consulting Group (BCG) ได้ศึกษาวิธีปฏิบัติขององค์กรหรือบริษัทในประเทศตลาดเกิดใหม่ เพื่อหาแนวทางปฏิบัติรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืน ๓. การสร้างนวัตกรรมโดยคำนึงถึงข้อจำกัดของทรัพยากร (Insights from Emerging Markets : Frugal Innovation) : แม้ว่าวิกฤตเศรษฐกิจจะทำให้หลายประเทศต้องชะลอหรือยกเลิกโครงการลงทุนด้านการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม แต่ประเทศในทวีปเอเชีย มีการลงทุนด้านนี้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ มีความเข้มข้นของการลงทุนวิจัยและพัฒนาสูงกว่าอเมริกา ๔. ประโยชน์ของการศึกษาฟิสิกส์ดาราศาสตร์ต่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม : นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามสร้างกล้องโทรทรรศน์ (Telescopes) และแบบจำลองคอมพิวเตอร์เพื่อศึกษาจักรวาล ศึกษาอะตอม และมีการประยุกต์ใช้จริงในเรื่องพลังงานนิวเคลียร์ วัสดุตัวนำยิ่งยวด (Super conductors) และอื่นๆ ๕. การจัดตั้งชุมชนประชากรที่มีอายุระหว่าง ๒๐ - ๓๐ ปี ให้มีส่วนร่วมมากขึ้นในกระบวนการหรือเวทีในการกำหนดทิศทางการพัฒนา (Global Shapers Community) : เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มเยาวชนมีบทบาทในการกำหนดอนาคตทิศทางและประเด็นท้าทายของโลก และเพื่อพัฒนาภาวะผู้นำเยาวชนเพื่อรับใช้สังคม ๖. ภาวะผู้นำจะเป็นปัจจัยที่สำคัญของการบริหารจัดการองค์กรให้สำเร็จในอนาคตภายใต้สถานการณ์ที่มีความผันผวนสูง : โดยมีปัจจัยแห่งความสำเร็จ คือ ความสามารถในการใช้คนเท่าเดิมแต่ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น และการสร้างนวัตกรรมใหม่
|
||||||||||||||||||
991 | รายงานสรุปสภาวะอากาศในรอบสัปดาห์ฯ ของกรมอุตุนิยมวิทยา และรายงานการปฏิบัติงานของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ (วันที่ 2 - 8 ธันวาคม 2554 และ วันที่ 10 - 16 ธันวาคม 2554) | ทก | 13/12/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปสภาวะอากาศในรอบสัปดาห์ฯ ของกรมอุตุนิยมวิทยา และรายงานการปฏิบัติงานของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปสภาวะอากาศทั่วไปในรอบสัปดาห์และการพยากรณ์อากาศใน ๗ วันข้างหน้า ของกรมอุตุนิยมวิทยา ๑.๑ ลักษณะอากาศใน ๗ วันที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ ๒ - ๘ ธันวาคม ๒๕๕๔) บริเวณประเทศไทยตอนบนมีอากาศหนาวเย็น สำหรับบริเวณภาคใต้ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีลงไป มีฝนตกเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง ๑.๒ ลักษณะอากาศใน ๗ วันข้างหน้า (ระหว่างวันที่ ๑๐ - ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๔) ช่วงต้นสัปดาห์ บริเวณความกดอากาศสูงกำลังเข้าปกคลุมประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอากาศหนาวเย็นลง สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทย และภาคใต้ มีกำลังแรง ทำให้ภาคใต้มีฝนตกเพิ่มมากขึ้นและมีฝนตกหนักบางพื้นที่ ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังแรง หลังจากนั้นบริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนมีกำลังอ่อนลงแต่ยังคงทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก มีอากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาในบางพื้นที่ ๒. รายงานการปฏิบัติงานของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ระหว่างวันที่ ๓ - ๙ ธันวาคม ๒๕๕๔ มีการแจ้งเฝ้าระวังน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่ม รวมทั้งได้มีการแจ้งข่าวแผ่นดินไหว ซึ่งศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติได้เฝ้าระวังสภาวะอากาศและติดตามประเมินผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเตรียมพร้อมเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงที่อาจทำให้เกิดภัยพิบัติได้ ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนระวังอันตรายที่อาจเกิดภาวะน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในบริเวณเชิงเขาและพื้นที่ต้นน้ำ และดินโคลนถล่มในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ด้วย
|
||||||||||||||||||
992 | การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดปริมณฑลและจังหวัดใกล้เคียง | มท | 13/12/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดปริมณฑลและจังหวัดใกล้เคียง โดยกระทรวงมหาดไทยได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาหาทางแก้ไขปัญหาให้คลี่คลายก่อนสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ดังนี้
๑. การประชุมหารือเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในแต่ละพื้นที่ เมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ ณ ห้องประชุม ๒ กระทรวงมหาดไทย สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ พื้นที่จังหวัดนนทบุรีจะสามารถระบายน้ำของพื้นที่ท่วมขังได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๐ ของพื้นที่ ภายในวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ และหมู่บ้านพฤกษา ๓ ภายในวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ ๑.๒ พื้นที่จังหวัดปทุมธานีจะสามารถระบายน้ำของพื้นที่ท่วมขังและเส้นทางคมนาคมสำคัญสามารถสัญจรได้ ภายในวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ๑.๓ พื้นที่จังหวัดนครปฐมจะสามารถระบายน้ำของพื้นที่ท่วมขังในพื้นที่ส่วนใหญ่ได้ ภายในวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ ๑.๔ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ ที่เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ประธานคณะกรรมการเพื่อให้การช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) เสนอให้ ๒๕ จังหวัด ซึ่งกระทรวงมหาดไทยจัดเข้าสนับสนุนเขต ๒๒ เขตของกรุงเทพมหานคร (๑ จังหวัด ๑ เขต) และต่อมาเขตนั้น มีสถานการณ์คลี่คลายแล้ว ให้จังหวัดที่กระทรวงมหาดไทยมอบหมาย ๒๕ จังหวัด นั้น สามารถให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยได้เพิ่มเติมในพื้นที่ ๒๒ เขต และจังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี และจังหวัดนครปฐม ตามที่กระทรวงมหาดไทยมอบหมายเพิ่มเติม ๑.๕ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะจัดหาเครื่องสูบน้ำสนับสนุนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังให้กับจังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี และนครปฐม เพื่อให้การระบายน้ำในพื้นที่ท่วมขังบรรลุผลตามที่วางแผนไว้ ๒. การประชุมหารือเกี่ยวกับการบริหารจัดการพื้นที่น้ำท่วมขังในกรุงเทพมหานคร จังหวัดปริมณฑลและจังหวัดใกล้เคียง เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๔ ณ ห้องประชุม ๓๕๒ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ที่ประชุมรับทราบรายงานสถานการณ์และผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่ ของกรมชลประทาน กรุงเทพมหานคร จังหวัดปริมณฑล และจังหวัดใกล้เคียง สรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ ระดับน้ำในแม่น้ำสายหลักที่จะใช้ในการระบายน้ำท่วมขังออกจากพื้นที่ โดยแม่น้ำเจ้าพระยา ขณะนี้อยู่ในระดับต่ำ เอื้อต่อการเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่น้ำท่วมขังได้โดยเร็ว โดยจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ ส่วนแม่น้ำท่าจีน ระดับน้ำค่อนข้างสูง การระบายน้ำออกจากพื้นที่ท่วมขังให้ได้ทั้งหมดอาจใช้เวลาถึงต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๕ ๒.๒ พื้นที่น้ำท่วมในจังหวัดสมุทรปราการ สมุทรสาคร และฉะเชิงเทรา เขาสู่ภาวะปกติเกือบทั้งหมด พื้นที่น้ำท่วมในกรุงเทพมหานคร พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี และนนทบุรี ส่วนใหญ่เข้าสู่ภาวะปกติ บางส่วนอยู่ระหว่างเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ โดยจะระบายออกได้ทั้งหมดภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๔ พื้นที่น้ำท่วมในจังหวัดนครปฐม ส่วนใหญ่เข้าสู่ภาวะปกติ บางส่วนอยู่ระหว่างเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ โดยจะระบายออกได้ทั้งหมดภายในต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๕ ๒.๓ ประธานคณะทำงานขอให้ส่วนราชการอื่น ๆ ให้การสนับสนุนกรุงเทพมหานครและจังหวัดในการระบายน้ำออกจากพื้นที่น้ำท่วมขัง รวมถึงการทำความสะอาดพื้นที่ภายหลังการระบายน้ำ และให้กรุงเทพมหานครเร่งรัดในการจ่ายเงินทดแทนให้กับครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||
993 | สรุปรายงานภาวะสังคมไตรมาสสามปี 2554 | นร | 13/12/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานภาวะสังคมไตรมาสสาม ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจ้างงาน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ร้อยละ ๑.๖ โดยการจ้างงานในสาขาการก่อสร้างเพิ่มขึ้นมากที่สุดร้อยละ ๔.๔ อัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ ๐.๗ เป็นผู้ว่างงาน ๒๖๒,๔๔๐ คน ผลตอบแทนค่าจ้างแรงงานและเงินเดือนที่ยังไม่รวมผลประโยชน์ตอบแทนอื่นเพิ่มขึ้นร้อยละ ๗.๒ แต่อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเป็นร้อยละ ๔.๑ ส่งผลให้ค่าจ้างที่แท้จริงเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ ๓.๐ ชะลอตัวลงจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว ๒. ตลาดแรงงานไทย ยังอยู่ในสภาพตึงตัว แต่เริ่มผ่อนคลายลงบ้างเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ภาคเศรษฐกิจที่ใช้กำลังแรงงานเข้มข้นในปัจจุบันจำเป็นต้องปรับตัวไปสู่การพึ่งพาเทคโนโลยีที่เข้มข้นมากขึ้นควบคู่ไปกับการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนให้การศึกษาระดับอาชีวศึกษาที่มีทักษะวิชาชีพที่ตรงกับความต้องการของตลาดและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคธุรกิจเอกชนในการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานควบคู่ไปกับการลงทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนาที่จะนำไปสู่การพัฒนานวัตกรรมด้านกระบวนการผลิต ๓. ภาวะอุทกภัย ส่งผลกระทบสำคัญต่อตลาดแรงงานและคุณภาพชีวิตแรงงาน โดยระยะสั้น การว่างงานจะเพิ่มขึ้นเป็นภาวะชั่วคราว คาดว่าในไตรมาสสุดท้ายของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ อัตราการว่างงานจะเท่ากับร้อยละ ๑.๘ - ๒.๓ หรือมีผู้ว่างงานประมาณ ๗.๓ - ๙.๒ แสนคน รายได้ของแรงงานลดลงประมาณ ๑๕๗ ล้านบาท/วัน แต่รายจ่ายค่าครองชีพสูงขึ้น สำหรับระยะยาว ตลาดแรงงานมีแนวโน้มกลับมาดึงตัวตามโครงสร้างเดิม ภาคธุรกิจเอกชนมีการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์และเครื่องจักรในภาคอุตสาหกรรมและมีแนวโน้มปรับลดความเข้มข้นของการใช้แรงงานลง ๔. หนี้สินครัวเรือน มีแนวโน้มสูงขึ้นโดยเฉพาะในช่วงปลายปี ในช่วงครึ่งแรกปี พ.ศ. ๒๕๕๔ หนี้สินครัวเรือนเฉลี่ยสูงขึ้นเป็น ๑๓๖,๕๖๒ บาทต่อครัวเรือน จาก ๑๓๔,๖๙๙ บาทในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ แต่สัดส่วนจำนวนครัวเรือนที่มีหนี้สินลดลงเป็นร้อยละ ๕๖.๙ จากร้อยละ ๖๐.๙ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ และปี พ.ศ. ๒๕๕๓ และคาดว่าในช่วงที่เหลือของปีหนี้สินครัวเรือนจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในขณะที่การออมลดลง เนื่องจากรายได้ลดลงจากผลกระทบน้ำท่วม แต่ค่าครองชีพเพิ่มขึ้นทั้งในช่วงน้ำท่วมและในระยะการฟื้นฟูหลังน้ำลด ๕. สุขภาพกายและสุขภาพจิตของผู้ประสบภัยน้ำท่วมยังต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง พบว่าเป็นโรคน้ำกัดเท้าร้อยละ ๗๐ มีปัญหาสุขภาพจิตซึ่งมีสะสมสูงถึง ๑๒๑,๗๘๘ ราย ในช่วง ๒๕ กรกฎาคม - ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ขณะที่ดัชนีความสุขมวลรวมของคนไทยลดลงอยู่ที่ ๕.๙๘ ในเดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ซึ่งเป็นช่วงน้ำท่วมในหลายพื้นที่ ประชาชนเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังโดยรวมลดลง โรคที่ยังเป็นปัญหาสำคัญคือ โรคปอดอักเสบ และโรคมือเท้าปาก ๖. ในช่วงประเทศไทยกำลังประสบภาวะอุทกภัยและการฟื้นฟูหลังน้ำลด มีประเด็นที่ผู้บริโภคควรรู้สิทธิและสิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองต่าง ๆ ได้แก่ สิทธิในการระงับการใช้บริการโทรคมนาคม เช่น อินเทอร์เน็ต ค่าโทรศัพท์พื้นฐาน ฯลฯ โดยไม่ต้องจ่ายค่าบริการ สิทธิและความคุ้มครองของการประกันภัยทรัพย์สินของตน เช่น ในกรณีการประกันภัยรถยนต์บางประเภทให้ความคุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากภัยพิบัติ การเข้าถึงสินค้าและบริการที่จำเป็นซึ่งได้รับผลกระทบจากการกักตุนสินค้าและการขาดแคลนสินค้าในช่วงอุทกภัย ๗. คดีอาญา โดยรวมเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าของปีเดียวกันร้อยละ ๒๑.๕ และคาดว่าคดีประทุษร้ายต่อทรัพย์จะเพิ่มขึ้นในไตรมาสสุดท้าย โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดอุทกภัย ประชาชนส่วนใหญ่ต้องละทิ้งบ้านเรือน/ทรัพย์สิน ส่วนคดียาเสพติดมีสัดส่วนมากที่สุดถึงร้อยละ ๘๑.๔ ของคดีอาญา ส่วนอุบัติเหตุจราจรทางบกลดลงร้อยละ ๒๐.๘ แต่มีจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นจากลักษณะการเกิดอุบัติเหตุที่รุนแรงมากขึ้น ในด้านการคุ้มครองสุขภาพในช่วงวิกฤตการณ์น้ำท่วมมีความพร้อมของระบบบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขรองรับผู้ประสบภัย ๘. ความผันแปรของภูมิอากาศจากสภาวะโลกร้อน ทำให้ประเทศไทยประสบกับอุทกภัยครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ ๕๐ ปี เป็นสัญญาณเตือนที่ต้องเร่งวางระบบการบริหารจัดการภัยพิบัติที่เป็นรูปธรรม ตั้งแต่การวางแผนป้องกันระบบการเตือนภัย การเยียวยา/บรรเทาทุกข์ และการฟื้นฟู/การพัฒนาหลังเหตุการณ์ รวมทั้งมีการสร้างความตระหนักในการเตรียมรับมือกับภัยธรรมชาติในลักษณะเชิงรุกมากขึ้น
|
||||||||||||||||||
994 | การดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย | ทส | 13/12/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ในส่วนของการติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อระบายน้ำลงสู่ทะเล ของกรมทรัพยากรน้ำ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินการระยะที่ ๑ จากปฏิบัติการติดตั้งเครื่องสูบน้ำ จำนวน ๑๑๕ เครื่อง เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ สามารถสูบน้ำเพื่อเร่งการระบายน้ำลงสู่ทะเลได้ทั้งสิ้น ๒๓,๖๗๘,๕๔๓ ลูกบาศก์เมตร มีผลทำให้พื้นที่ดำเนินการเข้าสู่สภาพปกติแล้ว ประกอบด้วย พื้นที่คลอง ๑๒ และคลอง ๑๓ เขตหนองจอก โรงกษาปณ์รังสิต โครงการบางชัน (คลองหลอแหล) ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ และกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ปัจจุบันได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำและเดินเครื่องสูบน้ำในพื้นที่โรงผลิตน้ำประปามหาสวัสดิ์ คลองทวีวัฒนา โครงการชลประทานภาษีเจริญ ดอนเมือง และวัดศิริพงษ์ธรรมนิมิตร (บางเขน) รวมเครื่องสูบน้ำ จำนวน ๑๐๐ เครื่อง จากจำนวนเครื่องสูบน้ำที่ยังคงปฏิบัติการ จำนวน ๑๑๕ เครื่อง โดยได้เดินเครื่องเพื่อสูบน้ำ จำนวน ๕๗ เครื่อง มีปริมาณการสูบน้ำ จำนวน ๓๔๒,๓๗๒ ลูกบาศก์เมตร/วัน ๒. การดำเนินการระยะที่ ๒ ได้ดำเนินงานติดตั้งเครื่องสูบน้ำ จำนวน ๒๓๙ เครื่อง ในพื้นที่เป้าหมายจังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรสาคร พระนครศรีอยุธยา และกรุงเทพมหานคร เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ โดยได้เดินเครื่องเพื่อสูบน้ำ จำนวน ๑๖๒ เครื่อง ปริมาณการสูบน้ำ ๑,๐๓๔,๕๘๔ ลูกบาศก์เมตร/วัน ทั้งนี้ ปริมาณน้ำที่สูบได้ของการดำเนินการระยะที่ ๒ ตั้งแต่วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ สูบน้ำได้ทั้งสิ้น ๑๐,๐๑๖,๘๘๐ ลูกบาศก์เมตร มีพื้นที่เข้าสู่สภาวะปกติแล้ว จำนวน ๔๒ แห่ง ประกอบด้วย จังหวัดนนทบุรี จำนวน ๓๒ แห่ง ปทุมธานี จำนวน ๒ แห่ง และสมุทรสาคร จำนวน ๘ แห่ง
|
||||||||||||||||||
995 | รายงานสรุปสภาวะอากาศทั่วไปในรอบสัปดาห์ฯ ของกรมอุตุนิยมวิทยา และรายงานการปฏิบัติงานของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ (วันที่ 25 พฤศจิกายน - 1 ธันวาคม 2554 และวันที่ 3 - 9 ธันวาคม 2554) | ทก | 06/12/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปสภาวะอากาศในรอบสัปดาห์ฯ ของกรมอุตุนิยมวิทยา และรายงานการเฝ้าระวังเพื่อการเตือนภัย ของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปสภาวะอากาศทั่วไปในรอบสัปดาห์และการพยากรณ์อากาศใน ๗ วันข้างหน้า ของกรมอุตุนิยมวิทยา ๑.๑ ลักษณะอากาศในช่วง ๗ วันที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน - วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๔) บริเวณประเทศไทยตอนบนมีอากาศหนาวเย็น สำหรับบริเวณภาคใต้ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีลงไปมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากและน้ำล้นตลิ่ง ส่วนอ่าวไทยมีคลื่นลมแรงและเกิดคลื่นซัดเข้าฝั่งหลายพื้นที่ ๑.๒ ลักษณะอากาศใน ๗ วันข้างหน้า (ระหว่างวันที่ ๓ - ๙ ธันวาคม ๒๕๕๔) บริเวณความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงระลอกใหม่จากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอากาศหนาวเย็นลง สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนตกเพิ่มมากขึ้น ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้นในระยะนี้ หลังจากนั้นในช่วงกลางสัปดาห์ถึงปลายสัปดาห์ บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนมีกำลังอ่อนลง แต่ยังคงทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก มีอากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า และมีหมอกหนาในบางพื้นที่ สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทยมีกำลังอ่อนลง ๒. รายงานการปฏิบัติงานของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ในระหว่างวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน - วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ ได้มีการแจ้งเฝ้าระวังน้ำป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่ม รวมทั้งสิ้น ๑๒ ครั้ง และได้มีการแจ้งข่าวแผ่นดินไหว รวมทั้งสิ้น ๘ ครั้ง ซึ่งศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติได้เฝ้าระวังสภาวะอากาศและติดตามประเมินผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเตรียมความพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนระวังอันตรายที่อาจเกิดภาวะน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในบริเวณเชิงเขาและพื้นที่ต้นน้ำ และดินโคลนถล่ม เนื่องจากดินในพื้นที่ภาคใต้เริ่มชุ่มน้ำในหลายพื้นที่แล้ว
|
||||||||||||||||||
996 | แถลงการณ์ร่วมเกี่ยวกับการป้องกันและควบคุมการเกิดโรคระบาดจากภาวะอุทกภัยในประเทศไทย | สธ | 06/12/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแถลงการณ์ร่วมเกี่ยวกับการป้องกันและควบคุมการเกิดโรคระบาดจากภาวะอุทกภัยในประเทศไทย โดยกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับสำนักงานผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย และศูนย์ความร่วมมือไทย - สหรัฐ ด้านสาธารณสุข ออกแถลงการณ์ร่วมเกี่ยวกับการป้องกันและควบคุมการเกิดโรคระบาดจากภาวะอุทกภัยในประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ ซึ่งปรากฏว่า ไม่มีสถานการณ์โรคระบาดรุนแรงแต่ประการใด เนื่องจากการเกิดโรคและภัยสุขภาพเกี่ยวกับภาวะน้ำท่วมอยู่ในระดับที่ไม่แตกต่างจากสภาวะการเกิดโรคในปีก่อน ๆ และกระทรวงสาธารณสุขจะเร่งฟื้นฟูระบบบริการสุขภาพในพื้นที่ประสบอุทกภัยให้เข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||
997 | การค้าระหว่างประเทศของไทยในระยะ 10 เดือน ปี 2554 (มกราคม - ตุลาคม) | พณ | 06/12/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยในระยะ ๑๐ เดือน ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ (มกราคม - ตุลาคม ๒๕๕๔) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การส่งออกในระยะ ๑๐ เดือนของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มีมูลค่าการส่งออก ๑๙๖,๗๖๘.๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๒.๘ ในรูปเงินบาท การส่งออกมีมูลค่า ๕,๙๑๑,๗๗๓.๖ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๕.๑ สินค้าส่งออกยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกหมวดสินค้า โดยสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรม เพิ่มขึ้นร้อยละ ๔๕.๖ สินค้าที่ส่งออกเพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและมูลค่า ได้แก่ ข้าว ยางพารา น้ำตาล สินค้าอาหารประเภท อาหารทะเล ผักผลไม้ ไก่แช่แข็งและแปรรูป และสินค้าอุตสาหกรรมสำคัญ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๔.๕ สินค้าที่ส่งออกเพิ่มขึ้นสูงกว่าร้อยละ ๒๐ ได้แก่ สิ่งพิมพ์ นาฬิกาและส่วนประกอบ เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณีที่หักทองคำออกแล้วส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๐.๑ (การส่งออกอัญมณีรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๒.๓ ทองคำส่งออกลดลงร้อยละ ๑.๘) เป็นต้น สำหรับตลาดส่งออก เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในทุกกลุ่มตลาด โดยตลาดหลัก ส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๙.๒ ตลาดศักยภาพสูง ส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๙.๘ และตลาดศักยภาพระดับรอง ส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๑.๘ ๒. การนำเข้าในระยะ ๑๐ เดือนของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มีมูลค่าการนำเข้า ๑๙๒,๔๙๘.๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๙.๑ ในรูปเงินบาท การนำเข้ามีมูลค่า ๕,๘๕๔,๕๓๘.๓ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๑.๐ สินค้านำเข้าสำคัญเพิ่มขึ้นทุกหมวดสินค้า ได้แก่ สินค้าเชื้อเพลิง เพิ่มขึ้นร้อยละ ๔๕.๙ สินค้าทุน เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๓.๐ สินค้าวัตถุดิบกึ่งสำเร็จรูป เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๙.๕ สินค้าอุปโภคบริโภค เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๑.๙ และสินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๓.๕
|
||||||||||||||||||
998 | ร่างข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและแนวทางการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของรัฐโดยการหลอมรวม ยุบรวม สถาบันอุดมศึกษา | ศธ | 06/12/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและแนวทางการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของรัฐ โดยการหลอมรวม ยุบรวม สถาบันอุดมศึกษา ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สำหรับสาระสำคัญของร่างข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและแนวทางการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของรัฐฯ มีดังนี้ ๑.๑ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย โดยหลักการไม่ควรมีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของรัฐใหม่ แต่ควรใช้วิธีการยุบรวม หลอมรวม ยกฐานะสถาบันอุดมศึกษาในการจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ โดยรัฐควรสนับสนุนการสร้างความเข้มแข็งให้กับมหาวิทยาลัยที่มีอยู่แล้ว โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยใหม่ และวิทยาเขตต่าง ๆ เพื่อให้เป็นสถานศึกษาที่มีคุณภาพ มีความคล่องตัวในการบริหารจัดการทั้งการบริหารทั่วไปและการบริหารวิชาการโดยมีแผนการดำเนินงาน ทิศทางและงบประมาณในการพัฒนาด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องและใช้การจัดสรรงบประมาณอุดมศึกษาเป็นเครื่องมือในการกำหนดทิศทางการพัฒนาของมหาวิทยาลัย ๑.๒ นโยบาย และวิธีการในการหลอมรวม ยุบรวม ๑.๒.๑ สถานภาพของมหาวิทยาลัยที่เกิดจากการหลอมรวม ยุบรวม ควรเป็นมหาวิทยาลัยเฉพาะทาง (Specialized University) ที่เป็นประโยชน์ต่อท้องถิ่น มุ่งสนองการผลิตบัณฑิตในสาขาที่เป็นความต้องการของท้องถิ่น และเป็นมหาวิทยาลัยที่ได้รับความร่วมมือจากท้องถิ่นและทุกภาคส่วน ในรูปของการสนับสนุนด้านทรัพยากร เช่น งบประมาณในสัดส่วนที่เหมาะสม (ร้อยละ ๕๐ - ๗๐) ของบุคลากร ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง ตลอดจนการมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรและการพัฒนามหาวิทยาลัย เป็นต้น สำหรับกรณีเป็นมหาวิทยาลัยของกลุ่มจังหวัด จะต้องได้รับความเห็นร่วมจากกลุ่มจังหวัด เกี่ยวกับสถานที่จัดตั้งและสาขาวิชาที่จะเปิดสอนเพื่อให้เป็นมหาวิทยาลัยที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อกลุ่มจังหวัดอย่างแท้จริง ๑.๒.๒ การดำเนินงานประกอบด้วย (๑) ต้องมีการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) ในการหลอมรวม ยุบรวม เพื่อให้มีความมั่นใจว่าจะได้มหาวิทยาลัยใหม่ที่มีคุณภาพ และได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง (๒) ต้องมีการวางแผนแม่บท (Master Plan) อย่างเป็นระบบทั้งด้านบริหาร ด้านกายภาพ ด้านวิชาการ ด้านการเงินและด้านบุคลากร (๓) ระบบบริหารตามแผนแม่บทต้องเป็นระบบที่มีธรรมาภิบาล สามารถสรรหาผู้บริหารที่มีภาวะผู้นำสูงที่จะนำมหาวิทยาลัยให้มีความก้าวหน้าในทิศทางที่เป็นประโยชน์ต่อพื้นที่และต่อประเทศในภาพรวม (๔) ต้องมีระบบในการบริหารเป้าหมายในการรับนักศึกษาเพื่อให้จำนวนรับ สอดคล้องกับนโยบายของท้องถิ่นและของประเทศ และ (๕) อาจใช้การสร้างเป็นวิทยาเขตที่สามารถพัฒนาให้เกิดคุณภาพขึ้น ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย ประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. และฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ที่เห็นควรมีการศึกษาความเป็นไปได้และความต้องการจากทุกภาคส่วนในสังคมและในพื้นที่เพื่อให้การจัดตั้งมหาวิทยาลัยเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาคน ชุมชน ท้องถิ่นและประเทศชาติ การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินความพร้อมในการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) การประสานและส่งเสริม อปท. ให้สามารถจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับนโยบายและได้มาตรฐานการศึกษา การเสนอแนะการจัดสรรงบประมาณอุดหนุนในการจัดการศึกษาของ อปท. การมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพทางด้านการศึกษา ศักยภาพ ประสิทธิภาพ และไม่ก่อให้เกิดภาระงบประมาณเพิ่มขึ้นทั้งด้านบุคลากรและการลงทุนในระยะยาว การกำหนดแนวทางเพื่อไม่ให้สถาบันการศึกษาของรัฐไปจัดตั้งหรือขยายวิทยาเขตในพื้นที่ที่มีการหลอมรวม ยุบรวม สถาบันอุดมศึกษา การกำหนดเงื่อนไขให้มีการเสนอแผนบริหารจัดการทรัพยากรที่บูรณาการในมิติพื้นที่ทั้งด้านสถานศึกษา ด้านบุคลากร ด้านหลักสูตรการเรียนการสอน ด้านงบประมาณ ด้านการบริหารจัดการ ด้านความต้องการของตลาดแรงงาน ตลอดจนการติดตามประเมินผลการหลอมรวม ยุบรวมสถาบันอุดมศึกษาที่ผ่านมาเพื่อนำมาปรับปรุง พัฒนา แนวทางในการดำเนินการให้เกิดความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด และเห็นควรคำนึงถึงสถานที่ตั้งและการจัดการเรียนการสอนทางไกลของสถานศึกษาของรัฐ เอกชน และต่างประเทศในพื้นที่ประกอบด้วย นอกจากนี้ ในการหลอมรวมหรือยุบรวมต้องไม่ทำให้เกิดมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้นอีก ๑ แห่ง รวมทั้งจะต้องกำหนดให้ชัดเจนว่ามหาวิทยาลัยที่เกิดจากการหลอมรวมหรือยุบรวมจะมีความเฉพาะทางที่เป็นประโยชน์ต่อท้องถิ่นอย่างไร และกำหนดเงื่อนไขให้มีการเสนอแผนการพัฒนาคุณภาพการศึกษา แผนบูรณาการทรัพยากร และแผนการติดตามประเมินผล ก่อนการดำเนินการทุกครั้ง ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. การจัดตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นใหม่ ให้ใช้แนวทางการหลอมรวม ยุบรวม สถาบันอุดมศึกษา ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ |
||||||||||||||||||
999 | รายงานสรุปสภาวะอากาศในรอบสัปดาห์ฯ ของกรมอุตุนิยมวิทยา และรายงานการปฏิบัติงานของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ (วันที่ 21 - 27 พฤศจิกายน 2554 และวันที่ 29 พฤศจิกายน - 5 ธันวาคม 2554) | ทก | 29/11/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปสภาวะอกาศในรอบสัปดาห์ฯ ของกรมอุตุนิยมวิทยา และรายงานการเฝ้าระวังเพื่อการเตือนภัย ของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปสภาวะอากาศทั่วไปในรอบสัปดาห์และการพยากรณ์อากาศใน ๗ วันข้างหน้า ของกรมอุตุนิยมวิทยา ๑.๑ ลักษณะอากาศในช่วง ๗ วันที่ผ่านมา (ช่วงวันที่ ๒๑ - ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๔) โดยช่วงต้นสัปดาห์ถึงกลางสัปดาห์ บริเวณประเทศไทยตอนบนมีอากาศหนาวเย็น สำหรับบริเวณภาคใต้ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีลงไป มีฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง ส่วนอ่าวไทยมีคลื่นลมแรงและเกิดคลื่นซัดเข้าฝั่งหลายพื้นที่ หลังจากนั้นช่วงปลายสัปดาห์บริเวณประเทศไทยตอนบนมีอากาศอุ่นขึ้นและมีหมอกในตอนเช้า สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทยมีกำลังอ่อนลงทำให้บริเวณภาคใต้มีฝนลดน้อยลง ๑.๒ ลักษณะอากาศใน ๗ วันข้างหน้า (ช่วงวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน - ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔) โดยต้นช่วงสัปดาห์บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนมีกำลังอ่อนลง แต่ยังคงทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก มีอากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาในบางพื้นที่ ส่วนมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทยมีกำลังอ่อน หลังจากนั้นช่วงกลางสัปดาห์ถึงปลายสัปดาห์บริเวณความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงระลอกใหม่จากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอากาศหนาวเย็น สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ จะมีกำลังแรงขึ้นทำให้ภาคใต้มีฝนตกเพิ่มมากขึ้น คลื่นลมบริเวณอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ๒. รายงานการปฏิบัติงานของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ระหว่างวันที่ ๒๒ - ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ มีการแจ้งเฝ้าระวังน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่ม แจ้งข่าวแผ่นดินไหว และเฝ้าระวังสภาวะอากาศและติดตามประเมินผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเตรียมความพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งขอให้ประชาชนระวังอันตรายที่อาจเกิดจากภาวะน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในบริเวณเชิงเขาและพื้นที่ต้นน้ำ และดินโคลนถล่ม เนื่องจากดินในพื้นที่ภาคใต้เริ่มชุ่มน้ำหลายพื้นที่
|
||||||||||||||||||
1000 | ผลการเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นเกี่ยวกับการฟื้นฟูประเทศจากวิกฤตอุทกภัย | นร | 29/11/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรายงานสรุปผลการเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่น ของรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) พร้อมคณะผู้แทนไทย ระหว่างวันที่ ๒๗ - ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเข้าเยี่ยมคารวะและเข้าพบบุคคลสำคัญระดับสูงของรัฐบาลญี่ปุ่น เพื่อขอบคุณรัฐบาลและประชาชนญี่ปุ่นในการให้ความช่วยเหลือประเทศไทยอย่างทันท่วงทีตั้งแต่ช่วงต้นที่เกิดอุทกภัยและต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งชี้แจงทำความเข้าใจในมาตรการของไทยในการช่วยเหลือ ฟื้นฟู และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย และร่วมประชุมกับสมาพันธ์องค์กรเศรษฐกิจแห่งญี่ปุ่น (Keidanren) สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลจากการเข้าเยี่ยมคารวะและเข้าพบบุคคลสำคัญระดับสูงของญี่ปุ่น โดยรัฐบาลญี่ปุ่นได้ขอความร่วมมือรัฐบาลไทยในการพิจารณาเร่งรัดการดำเนินการยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัตถุดิบ เพื่อนำมาทดแทนส่วนที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย การอำนวยความสะดวกด้านการตรวจลงตราและใบอนุญาตทำงานแก่ผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ การจัดหาน้ำบริสุทธิ์ (purified water) และน้ำสะอาด (clean water) ที่เพียงพอสำหรับการทำความสะอาดเครื่องจักรและอุปกรณ์ในช่วงของการเข้าไปฟื้นฟูระบบการผลิต และการจัดหาระบบไฟฟ้าให้ทันเวลาในการเข้าไปฟื้นฟูระบบการผลิต พร้อมทั้งเสนอให้มีมาตรการป้องกันระยะสั้นในปีหน้าและดำเนินการลงทุนด้านระบบบริหารการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและอุตสาหกรรมที่อยู่พื้นที่เสี่ยงต่อการถูกน้ำท่วม นอกจากนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้ความสำคัญต่อการเพิ่มบทบาทของญี่ปุ่นในการเข้ามาเป็นหุ้นส่วนการพัฒนาที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะการเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิตในระดับอนุภูมิภาคตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก - ตะวันตก (East - West Economic Corridor : EWEC) และแนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ - ใต้ (North - South Economic Carridor : NSEC) ๑.๒ ผลการประชุมร่วมกับสมาพันธ์องค์กรเศรษฐกิจแห่งญี่ปุ่น (Keidanren) โดยสมาพันธ์องค์กรเศรษฐกิจแห่งญี่ปุ่นได้เสนอขอให้รัฐบาลไทยพิจารณาเร่งรัดการดำเนินการในเรื่องการยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัตถุดิบ ให้กับบริษัทที่ได้รับและไม่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ที่นำเข้ามาทดแทนส่วนที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย และการอำนวยความสะดวกด้านการตรวจลงตราและใบอนุญาตทำงานแก่ผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศทั้งของบริษัทที่ได้รับและไม่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนเพื่อเข้ามาแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูระบบการผลิตในบริษัทที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ๑.๓ ผลการหารือกับนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และภาคเอกชนของญี่ปุ่น ได้มีการชี้แจงสถานการณ์น้ำท่วมและความก้าวหน้าของการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลไทย ว่าขณะนี้การฟื้นฟูพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับความเสียหายมีความคืบหน้าเร็วกว่าที่กำหนดไว้ ส่วนหนึ่งจากการสนับสนุนทีมผู้เชี่ยวชาญและเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น พื้นที่ชุมชนหลายแห่งเริ่มกลับเข้ามาสู่ภาวะปกติ โดยรัฐบาลได้เข้าไปช่วยเหลือ ฟื้นฟู และเยียวยาทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และความเป็นอยู่ของประชาชน และด้านคุณภาพชีวิต รวมทั้งชี้แจงให้ฝ่ายญี่ปุ่นทราบถึงกลไกการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติและการฟื้นฟูประเทศทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาระยะสั้น คือ การสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนและนักลงทุนว่าก่อนฤดูฝนปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จะมีการบริหารจัดการน้ำเพื่อมิให้เกิดวิกฤตอุทกภัย ในขณะที่เป้าหมายระยะยาว จะครอบคลุมเรื่องการลงทุนด้านบริหารจัดการน้ำในระยะยาวอย่างยั่งยืน การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานใหม่ การวางแผนการใช้ที่ดิน การพิจารณาพื้นที่เศรษฐกิจแห่งใหม่เพื่อรองรับอุตสาหกรรม การจัดหาแหล่งเงินเพื่อการพัฒนา การพัฒนาธุรกิจประกันภัย การปรับระบบการผลิตเพื่อลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ รวมทั้งการปรับปรุงและบังคับใช้กฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดยกรมศุลกากร พิจารณาเร่งรัดการยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัตถุดิบ เพื่อนำมาทดแทนส่วนที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย และอำนวยความสะดวกพิธีการศุลกากรที่ง่าย สะดวก และรวดเร็ว เพื่อให้โรงงานที่ได้รับผลกระทบสามารถติดตั้งเครื่องจักรได้เร็วที่สุด ๓. ให้กระทรวงพลังงาน โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยการประปาส่วนภูมิภาค จัดหาน้ำบริสุทธิ์และน้ำสะอาดที่เพียงพอสำหรับการทำความสะอาดเครื่องจักรและอุปกรณ์ในช่วงของการเข้าไปฟื้นฟูระบบการผลิตในนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ๔. ให้กระทวงพลังงาน โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จัดเตรียมระบบไฟฟ้าให้พร้อมจ่ายให้กับโรงงานอุตสาหกรรมที่กลับเข้าสู่ระบบการผลิต ๕. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานผลการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีภายใน ๑ สัปดาห์
|
.....