ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 48 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 941 - 960 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
941 | ระบบการรายงานและเตือนภัยแผ่นดินไหวและสึนามิและรายงานการแก้ไขปัญหาระบบการสื่อสารขัดข้องในภาวะวิกฤต | ทก | 05/06/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการเกี่ยวกับระบบการรายงานและเตือนภัยแผ่นดินไหวและสึนามิ และรายงานการแก้ไขปัญหาระบบการสื่อสารขัดข้องในภาวะวิกฤต ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดทำกระบวนการและขั้นตอน (Flow Chart) การติดตามรายงานข้อมูลและการแจ้งเตือนภัยแผ่นดินไหว ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ มีกระบวนการและขั้นตอนที่ใช้เป็นคู่มือการปฏิบัติงาน (Standard Operation Procedure; SOP) อยู่แล้ว โดยมีกระบวนการและขั้นตอนทำงานหลัก ๓ ขั้นตอน คือ ขั้นตอนกระบวนการรับข้อมูล (Input) ขั้นตอนระบบการวิเคราะห์ข้อมูล (Analysis) การประเมินผลและตัดสินใจ และขั้นตอนระบบการกระจายข่าว (Output) ผ่านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยเผยแพร่ข่าวให้ประชาชนได้รับทราบด้วยวิธีการผ่านทางข้อความสั้น (SMS) สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ระบบวิทยุสื่อสารสมัครเล่น (VHF) ระบบวิทยุสื่อสารภาคประชาชน (เครื่องแดง) ระบบสื่อสารประยุกต์ (E-Radio) โทรสาร อีเมล์ อักษรวิ่งทางโทรทัศน์ ออกอากาศทางสถานีวิทยุและโทรทัศน์ ตลอดจนแจ้งเตือนภัยผ่านระบบสัญญาณเตือนภัยผ่านดาวเทียมไปยังหอเตือนภัยในพื้นที่เสี่ยงภัย รวมทั้งสอบถามแจ้งข้อมูลทางสายด่วนฉุกเฉิน Call Center 192 ซึ่งจากการเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว เมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๕ ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติได้ติดตามรายงานข้อมูลและการแจ้งเตือนภัยแผ่นดินไหวตามกระบวนการและขั้นตอนปฏิบัติงาน (Flow Chart) ดังกล่าว ๒. การแก้ไขปัญหาระบบการสื่อสารขัดข้องในภาวะวิกฤต ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติได้จัดประชุมร่วมหารือกับหน่วยงานของรัฐและผู้ให้บริการเครือข่ายทุกเครือข่าย เพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับมาตรการป้องกันการใช้โทรศัพท์ที่เกิดขัดข้องในช่วงเกิดเหตุภัยพิบัติ โดยที่ประชุมได้มอบนโยบายให้ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมทุกรายเพิ่มจำนวนสัญญาณให้มากขึ้นและให้เสนอแนวทางมาตรการในการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าวโดยเร่งด่วน และให้ผู้ประกอบกิจการทุกรายจัดทำแผนรองรับปัญหาระบบสื่อสารขัดข้องไว้ในระดับหนึ่ง โดยการเพิ่มช่องสัญญาณและเตรียมระบบสื่อสารสำรองไว้ เช่น จัดช่องสื่อสารผ่านดาวเทียม จัดรถสื่อสารผ่านดาวเทียมเคลื่อนที่ไปประจำพื้นที่ที่ใกล้จุดที่เคยเกิดภัยพิบัติ รวมทั้งให้มีการส่งเสริม/ชักชวนการใช้โทรศัพท์แบบประจำที่ (Fix Line) เมื่อเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติ และเพิ่มการประชาสัมพันธ์ทางสื่อวิทยุและโทรทัศน์ให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลให้มากขึ้น |
||||||||||||||||||
942 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา เรื่อง "ปัญหาและข้อเสนอแนะต่อการวางแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า พ.ศ. 2553 - 2573 (PDP 2010)" | สว | 05/06/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตเพิ่มเติมของวุฒิสภาเกี่ยวกับรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา เรื่อง “ปัญหาและข้อเสนอต่อการวางแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๗๓ (PDP 2010)” พร้อมผลการดำเนินการตามข้อสังเกตเพิ่มเติมของวุฒิสภา ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. การทบทวนแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างพิจารณาปรับปรุงแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจและสังคม โดยให้ความสำคัญกับความมั่นคงของระบบไฟฟ้าของประเทศควบคู่กับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม โดยส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพด้วยการเพิ่มปริมาณการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration สนับสนุนกรจัดการด้านการใช้ไฟฟ้าด้วยการพิจารณาผลประหยัดพลังงาน (Energy Efficiency : EE) ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๗๓) เพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนด้วยการปรับให้สอดคล้องกับแผนการพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (Alternative Energy Development Plan : AEDP) ๒๕% ใน ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๔) ๒. รายละเอียดการดำเนินการตามแผน EE ๒๐ ปี และแผน AEDP ได้มีการนำเป้าหมายผลการประหยัดพลังงานไฟฟ้าตามแผน EE มาใช้เป็นกรอบในการปรับปรุงค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าโดยคณะอนุกรรมการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า โดยการจัดทำค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าดังกล่าวได้ปรับปรุงตามค่า GDP ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งได้ประมาณการความต้องการไฟฟ้าใหม่ตามการกระตุ้นเศรษฐกิจของนโยบายรัฐบาล ผลกระทบจากอุทกภัยที่เกิดขึ้น และผลกระทบโครงการรถไฟฟ้า ๑๒ สายของรัฐบาลในการประมาณการเศรษฐกิจแล้ว สำหรับกรอบการปรับปรุงแผน PDP ตามแผน AED มีการพิจารณาปรับปรุงสัดส่วนปริมาณพลังงานหมุนเวียนให้เป็นไปตามแผน AEDP ซึ่งการกำหนดประเภทเชื้อเพิลงพลังงานหมุนเวียนที่เข้าระบบจะคำนึงถึงความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ความพร้อมของระบบส่งไฟฟ้า และผลกระทบราคาค่าไฟฟ้าที่ประชาชนต้องรับภาระ ๓. การให้ความสำคัญกับแผน PDP ที่มีความเชื่อมโยงกับภาคสังคม ๓.๑ สถานที่ตั้งโรงไฟฟ้า ๓.๑.๑ ในการจัดหาพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าเป็นหน้าที่ผู้พัฒนาโครงการในการจัดหาพื้นที่ที่มีศักยภาพเหมาะสมกับโครงการนั้น ๆ ทั้งทางด้านเทคนิคและการยอมรับของประชาชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยกระทรวงพลังงานจะเป็นผู้ติดตามการดำเนินการดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนได้รับการบริการด้านไฟฟ้าอย่างทั่วถึง เพียงพอต่อความต้องการไฟฟ้า ในราคาที่เป็นธรรม โดยคุณภาพไฟฟ้าอยู่ในเกณฑ์เชื่อถือได้ ๓.๑.๒ กระทรวงพลังงานได้กำหนดให้มีโรงไฟฟ้าใหม่ที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงตามแผน PDP โดยใช้เทคโนโลยีถ่านหินสะอาด เพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและเพิ่มประสิทธิภาพโรงฟ้า
|
||||||||||||||||||
943 | รายงานต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศไทยปี 2553 และ 2554 | นร | 05/06/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศไทย ปี ๒๕๕๓ และ ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศไทยปี ๒๕๕๓ มีมูลค่ารวมประมาณ ๑,๖๔๔.๐ พันล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนเท่ากับร้อยละ ๑๕.๒ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ณ ราคาประจำปี (GDP at Current Prices) ประกอบด้วย ต้นทุนค่าขนส่งสินค้า ๗๗๖.๔ พันล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๔๗.๒ ของต้นทุนทั้งหมด) ต้นทุนการเก็บรักษาสินค้าคงคลัง ๗๒๒.๕ พันล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๔๔.๐ ของต้นทุนทั้งหมด) และต้นทุนการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ ๑๔๕.๑ พันล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๘.๘ ของต้นทุนทั้งหมด) ทั้งนี้ สัดส่วนต้นทุนโลจิสติกส์ต่อ GDP ปี ๒๕๕๓ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากร้อยละ ๑๕.๑ ของ GDP ในปี ๒๕๕๒ เป็นร้อยละ ๑๕.๒ โดยมีมูลค่าต้นทุนโลจิสติกส์เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ ๑๓.๙ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศและการส่งออกเพิ่มขึ้น ประกอบกับค่าบริการด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ปรับตัวสูงขึ้น และปัจจัยด้านราคาน้ำมันโดยเฉลี่ยที่เพิ่มสูงขึ้นกว่าร้อยละ ๑๖.๘ จากปีก่อนหน้า ๒. ประมาณการต้นทุนโลจิสติกส์ต่อ GDP ปี ๒๕๕๔ คาดว่าจะลดลงเหลือร้อยละ ๑๔.๕ โดยมีสาเหตุสำคัญจากผลกระทบของอุทกภัยในช่วงไตรมาสที่ ๓ - ๔ ของปี ๒๕๕๔ ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงในพื้นที่ภาคกลางซึ่งเป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมและเป็นแหล่งการผลิตสินค้าต้นน้ำ (Upstream Industry) ที่สำคัญ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ส่งผลให้คลังสินค้าและสินค้าคงคลังในพื้นที่อุทกภัยได้รับความเสียหายทันที และส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงการหยุดชะงักของกระบวนการส่งผ่านสินค้าไปยังอุตสาหกรรมต่อเนื่องและผู้บริโภค (Supply Chain Disruption) ๓. ข้อเสนอแนะการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ในระยะต่อไป มีดังนี้ ๓.๑ การพัฒนาการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ โดยเร่งรัดการดำเนินงานตามแผนงานเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งระบบรางและระบบขนส่งสินค้าทางชายฝั่งเพื่อปรับโครงสร้างการขนส่งในเส้นทางหลักของประเทศ โดยมุ่งเน้นรูปแบบการขนส่งที่ประหยัดต้นทุนพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น พัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกและระบบบริหารจัดการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบเชิงบูรณาการทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ ๓.๒ การเพิ่มประสิทธิภาพระบบโลจิสติกส์ในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Optimization) โดยเฉพาะกิจกรรมโลจิสติกส์ภาคเกษตรซึ่งอยู่ในช่วงต้นน้ำ ด้วยการบริหารจัดการสินค้าเกษตรภายหลังการเก็บเกี่ยว (Post - harvest Management) และการพัฒนาระบบห่วงโซ่ความเย็น (Cool Chain System) เพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์และรักษาคุณภาพของสินค้าเกษตรทั้งประเภทเน่าเสียง่ายและสินค้าลักษณะเทกองที่มีศักยภาพสูงในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้ประเทศ รวมทั้งให้ความสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เพื่อจัดการระบบโลจิสติกส์ภายในสถานประกอบการและมีส่วนร่วมในโซ่อุปทานการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ ๓.๓ การผลักดันโครงการจัดตั้งระบบ National Single Window (NSW) ของประเทศ เร่งปรับปรุงกฎหมายและระเบียบปฏิบัติภายในของหน่วยงานรัฐ โดยเร่งรัดการเชื่อมต่อระบบข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐ และระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนให้เสร็จสมบูรณ์ เพื่อลดความซ้ำซ้อนของกระบวนการออกใบรับรอง/ใบอนุญาตสำหรับสินค้าส่งออก/นำเข้า และลดต้นทุนการบริหารจัดการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Paperless) ในขณะที่ภาคเอกชนควรวางแผนปรับปรุงระบบงานให้มีประสิทธิภาพและขยายระบบเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับภาครัฐ และระหว่างภาคเอกชนด้วยกัน ๓.๔ การพัฒนาคุณภาพและศักยภาพของบุคลากรด้านโลจิสติกส์อย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการแข่งขันระดับภูมิภาค โดยเฉพาะระดับปฏิบัติการ และระดับบริหารขั้นกลางของสถานประกอบการในภาคการผลิต การค้า และธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ด้วยการยกระดับทักษะฝีมือแรงงานไปสู่ระดับมืออาชีพและเป็นสากล (Internationalization) ควบคู่ไปกับการสร้างมาตรฐานแรงงานและมาตรฐานวิชาชีพสาขาโลจิสติกส์เพื่อลดต้นทุนค่าขนส่งและการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์
|
||||||||||||||||||
944 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนเมษายน 2555 | อก | 29/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนเมษายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม การผลิตคาดว่าจะชะลอตัวเล็กน้อย เนื่องจากวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประกอบกับโรงงานผลิตเครื่องนุ่งห่มรายใหญ่บางส่วนได้มีการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับค่าจ้างแรงงานที่สูงขึ้นในไทย และต้องการใช้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) ในประเทศเพื่อนบ้าน สำหรับการจำหน่ายในประเทศคาดว่าจะมีแนวโน้มชะลอตัวลง แต่เสื้อผ้าสำเร็จรูปสำหรับนักเรียน คาดว่าจะมีการจำหน่ายเพิ่มขึ้น ในส่วนของปัจจัยเสี่ยงของการส่งออกของอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มยังมีผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในตลาดส่งออกหลักอย่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปที่ยังไม่มีเสถียรภาพ ๒. อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ภาวะอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ในประเทศมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีขึ้นตามความต้องการใช้ในประเทศที่เพิ่มขึ้น และคาดว่าจะขยายตัวได้อีก ตลอดไตรมาสที่ ๒ ปี ๒๕๕๕ เนื่องจากเป็นช่วงฤดูกาลก่อสร้าง โครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เพื่อรับมือกับภัยธรรมชาติ รวมทั้งจะมีการก่อสร้างโครงข่ายระบบขนส่งสู่ชานเมือง สำหรับการส่งออกคาดว่ายังขยายตัวได้ดี เนื่องจากตลาดส่งออกหลักยังมีความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในกิจกรรมการก่อสร้าง เพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มอาเซียน และประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ
|
||||||||||||||||||
945 | รายงานผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโส COMMIT ครั้งที่ 8 และการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 3 | พม | 20/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโส COMMIT (Coordinated Mekong Ministerial Initiative against Trafficking) ครั้งที่ ๘ ระหว่างวันที่ ๑๔ - ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๓ เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส COMMIT ครั้งที่ ๘ ที่ประชุมได้หารือถึงหลักการขยายประเทศสมาชิกของกระบวนการ COMMIT และความยั่งยืนของกระบวนการ และเห็นชอบให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโส COMMIT ครั้งที่ ๙ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๒. การประชุมระดับรัฐมนตรี COMMIT ครั้งที่ ๓ รัฐมนตรีของประเทศสมาชิกได้ลงนามร่วมกันในปฏิญญาร่วมว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ ฉบับที่ ๒ (COMMIT Joint Declaration) เพื่อแสดงเจตนารมณ์ระหว่างประเทศสมาชิกว่าจะร่วมกันต่อต้านสภาวะการเป็นทาสในทุกรูปแบบ และยืนยันความมุ่งมั่นที่มีต่อบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๔๗ ณ กรุงย่างกุ้ง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ อีกทั้งเพื่อแสดงให้เห็นว่ากระบวนการ COMMIT เป็นกลไกความร่วมมือที่สำคัญในระดับอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงในการยุติการละเมิดสิทธิและการแสวงประโยชน์จากผู้ที่เสี่ยงต่อการเข้าสู่ขบวนการค้ามนุษย์และกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ตลอดจนเพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นของประเทศสมาชิกที่ต้องการเห็นความก้าวหน้าในโครงการสำคัญต่าง ๆ ภายใต้แผนปฏิบัติการอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ระยะที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๖)
|
||||||||||||||||||
946 | สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนมีนาคม พ.ศ. 2555 | ทก | 20/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (สำนักงานสถิติแห่งชาติ) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้ที่อยู่ในวัยกำลังแรงงาน มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๘.๙๖ ล้านคน ประกอบด้วย ผู้มีงานทำ ๓๘.๑๙ ล้านคน ผู้ว่างงาน ๒.๘๕ แสนคน และผู้ที่รอฤดูกาล ๔.๗๕ แสนคน ทั้งนี้ ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันกับปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๕.๓ แสนคน (จาก ๓๘.๔๓ ล้านคน เป็น ๓๘.๙๖ ล้านคน) ๒. ผู้มีงานทำ ๓๘.๑๙ ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันกับปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๓.๘ แสนคน (จาก ๓๗.๘๑ ล้านคน เป็น ๓๘.๑๙ ล้านคน) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๐ โดยผู้ทำงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผู้ทำงานในสาขาการเกษตร ๔.๔ แสนคน สาขาการผลิต ๓.๔ แสนคน สาขาการบริหารราชการ การป้องกันประเทศ และการประกันสังคมภาคบังคับ ๑.๙ แสนคน สาขากิจกรรมบริการด้านอื่น ๆ เช่น กิจกรรมบริการเพื่อสร้างเสริมสุขภาพร่างกาย การดูแลสัตว์เลี้ยง การบริการซักรีดและซักแห้ง เป็นต้น ๑.๐ แสนคน สาขาการก่อสร้าง ๘.๐ หมื่นคน สาขาการขนส่ง และสถานที่เก็บสินค้า ๕.๐ หมื่นคน สาขากิจกรรมอสังหาริมทรัพย์ ๒.๐ หมื่นคน สาขากิจกรรมทางการเงิน และการประกันภัย ๑.๐ หมื่นคน ตามลำดับ สำหรับผู้ทำงานลดลง ได้แก่ ผู้ทำงานในสาขาที่พักแรมและการบริการด้านอาหาร ๕.๐ แสนคน สาขาการศึกษา ๑.๕ แสนคน สาขาการขายส่ง การขายปลีก การซ่อมยานยนต์ และรถจักรยานยนต์ ๑.๓ แสนคน สาขากิจกรรมด้านสุขภาพและงานสังคมสงเคราะห์ ๒.๐ หมื่นคน ตามลำดับ ๓. ผู้ว่างงานทั่วประเทศมีจำนวน ๒.๘๕ แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ ๐.๗ ของกำลังแรงงานรวม (เพิ่มขึ้น ๙.๐ พันคน เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปี พ.ศ. ๒๕๕๔) ประกอบด้วยผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน ๘.๘ หมื่นคน และผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน ๑.๙๗ แสนคน โดยเป็นผู้ว่างงานที่มาจากภาคการบริการและการค้า ๙.๗ หมื่นคน ภาคการผลิต ๗.๒ หมื่นคน และภาคเกษตรกรรม ๒.๘ หมื่นคน ในส่วนของระดับการศึกษา ผู้ว่างงานที่มีการศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษา จำนวน ๘.๘ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ๖.๘ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ๔.๘ หมื่นคน ระดับประถมศึกษา ๒.๔ หมื่นคน และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา ๒.๑ หมื่นคน ตามลำดับ นอกจากนี้ ผู้ว่างงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๑.๒๗ แสนคน ภาคเหนือ ๕.๑ หมื่นคน ภาคกลาง ๔.๗ หมื่นคน ภาคใต้ ๓.๖ หมื่นคน และกรุงเทพมหานคร ๒.๔ หมื่นคน
|
||||||||||||||||||
947 | การแก้ไขปัญหาสินค้าราคาแพง | นร | 14/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รายงานว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับงานด้านเศรษฐกิจลงพื้นที่สำรวจราคาสินค้าตามตลาดต่าง ๆ ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สำรวจราคาสินค้าผักสด เนื้อหมู และเนื้อไก่ บริเวณตลาดรังสิตและตลาดสี่มุมเมือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมสำรวจราคาไข่ไก่ในเขตอำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) สำรวจราคาหมูหน้าฟาร์ม ณ ฟาร์มหมูในจังหวัดนครปฐม รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางนลินี ทวีสิน) สำรวจราคาเครื่องแบบนักเรียนบริเวณตลาดโบ๊เบ๊และตลาดบางลำพู รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสำรวจราคาน้ำมันปาล์มบรรจุขวด ณ โรงงานผลิตน้ำมันปาล์มในจังหวัดชลบุรี และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) สำรวจราคาพืชผักสดในเขตอำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี นั้น ผลการลงพื้นที่สำรวจราคาสินค้าของรัฐมนตรีดังกล่าวในภาพรวมสรุปได้ว่า ราคาสินค้าชนิดต่าง ๆ ในปัจจุบันมีทั้งที่ปรับราคาสูงขึ้นและปรับราคาลดลง แต่ก็ถือได้ว่าการปรับราคาดังกล่าวยังไม่มีนัยสำคัญ โดยเฉพาะพืชผักสดบางชนิดเป็นการปรับราคาสูงขึ้นตามฤดูกาลที่มีปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยกว่าปกติ ซึ่งหลังจากนี้ไปจะเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูฝน ภาวะราคาสินค้าที่เป็นพืชผักสดชนิดต่าง ๆ น่าจะปรับตัวลดลงตามกลไกตลาด
|
||||||||||||||||||
948 | (ร่าง) แผนพัฒนานันทนาการแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2555 - 2559) | กก | 08/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบ (ร่าง) แผนพัฒนานันทนาการแห่งชาติ ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) และให้กระทรวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใน (ร่าง) แผนพัฒนาฯ ใช้เป็นกรอบในการกำหนดแนวทางพัฒนานันทนาการของชาติให้ดำเนินการไปในทิศทางเดียวกันทั้งประเทศ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ โดย (ร่าง) แผนพัฒนาฯ จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นกรอบในการกำหนดแนวทางพัฒนานันทนาการของชาติให้ดำเนินไปในทิศทางเดียวกันทั้งประเทศ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด และเป็นแผนแม่บทระดับชาติที่มียุทธศาสตร์สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) ซึ่งมุ่งหวังให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขด้วยความเสมอภาคเป็นธรรมและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงยั่งยืน โดย (ร่าง) แผนพัฒนาฯ ประกอบด้วย วิสัยทัศน์ วัตถุประสงค์ เป้าหมาย และยุทธศาสตร์ ดังนี้ ๑.๑ วิสัยทัศน์ “นันทนาการสร้างคุณภาพชีวิต สังคมเป็นสุข สิ่งแวดล้อมงดงาม โดยมุ่งสู่มาตรฐานสากล” ๑.๒ วัตถุประสงค์ ๑.๒.๑ เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจและตระหนักถึงคุณค่าของนันทนาการและการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ๑.๒.๒ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนทุกกลุ่ม รวมทั้งบุคคลกลุ่มพิเศษ ผู้ด้อยโอกาส ได้แก่ ผู้พิการ และผู้สูงอายุ ประกอบกิจกรรมนันทนาการเป็นประจำจนเป็นวิถีชีวิตเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและพัฒนาสังคม ๑.๒.๓ เพื่อพัฒนาบุคลากรนันทนาการทั้งภาครัฐและภาคเอกชนให้มีความรู้ความสามารถสู่ระดับมาตรฐานสากล ๑.๒.๔ เพื่อพัฒนาอุปกรณ์ สถานที่ สิ่งอำนวยความสะดวกทางนันทนาการและสิ่งแวดล้อมให้มีมาตรฐานด้านความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพในการให้บริการ ๑.๒.๕ เพื่อพัฒนาการบริหารจัดการนันทนาการให้มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะนันทนาการเพื่อการพาณิชย์ ๑.๒.๖ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนประกอบกิจกรรมนันทนาการเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม ประเพณีอย่างยั่งยืน ๑.๓ เป้าหมาย ๑.๓.๑ ประชาชนทุกเพศทุกวัย รวมทั้งบุคคลกลุ่มพิเศษ ผู้ด้อยโอกาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชนกลุ่มเสี่ยง ผู้พิการและผู้สูงอายุ มีความรู้ ความเข้าใจ เห็นคุณค่าของการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ด้วยนันทนาการและประกอบกิจกรรมนันทนาการเป็นประจำจนเป็นวิถีชีวิต โดยมีเป้าหมาย ร้อยละ ๘๐ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ๑.๓.๒ เด็กและเยาวชน ร้อยละ ๘๐ มีความรู้ ความเข้าใจ และมีเจตคติที่ดีต่อนันทนาการ รวมทั้งประกอบกิจกรรมนันทนาการเป็นประจำ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ๑.๓.๓ สถานศึกษา ร้อยละ ๘๐ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร้อยละ ๘๐ จัดให้มีการจัดการเรียนรู้เรื่องการใช้เวลาว่างและนันทนาการ รวมทั้งจัดให้มีกิจกรรมนันทนาการในชีวิตประจำวันแก่เด็ก เยาวชน และประชาชน ๑.๓.๔ บุคลากรนันทนาการ ได้แก่ ผู้นำนันทนาการและนักนันทนาการอาชีพได้รับการพัฒนาความรู้อย่างต่อเนื่อง และมีการผลิตบัณฑิตสาขานันทนาการเพิ่มขึ้น ๑.๓.๕ มีการดำเนินกิจกรรมนันทนาการเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรมประเพณีอย่างต่อเนื่อง ๑.๓.๖ มีมาตรฐานและตัวชี้วัดด้านความปลอดภัยของอุปกรณ์ สถานที่ และสิ่งอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับนันทนาการและมีการตรวจสอบรับรองมาตรฐานอย่างเป็นระบบ ๑.๓.๗ มีการบริหารจัดการนันทนาการอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งให้มีองค์กรตรวจสอบติดตาม ๑.๔ ยุทธศาสตร์ ๑.๔.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การส่งเสริมเด็ก เยาวชน และประชาชนให้มีความรู้ความเข้าใจ ตระหนักถึงคุณค่าของการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์และประกอบกิจกรรมนันทนาการเป็นประจำจนเป็นวิถีชีวิต ๑.๔.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การผลิตและพัฒนาบุคลากรในการเป็นผู้นำและการจัดบริการนันทนาการ ๑.๔.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การพัฒนาการบริหารจัดการนันทนาการ ๑.๔.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การพัฒนาสภาวะแวดล้อมและการส่งเสริม อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรมอย่างยั่งยืนด้วยนันทนาการ ๒. ยกเว้นในส่วนของการบริหารจัดการนันทนาการโดยการจัดตั้งกองทุนพัฒนานันทนาการแห่งชาติ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาทบทวนความเหมาะสมและความจำเป็น เนื่องจากอาจมีความซ้ำซ้อนกับภารกิจของกรมพลศึกษา ซึ่งมีการดำเนินกิจกรรมนันทนาการอยู่แล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของกระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ. ที่เห็นว่า (ร่าง) แผนพัฒนาฯ มีขอบเขตของกิจกรรมนันทนาการที่กว้างและเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน หากสามารถระบุความเชื่อมโยงของกิจกรรมที่หน่วยงานต่าง ๆ ร่วมสนับสนุนแต่ละประเด็นยุทธศาสตร์จะช่วยให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติยิ่งขึ้น ส่วนสาระสำคัญในเป้าหมายของ (ร่าง) แผนพัฒนาฯ ควรแสดงให้เห็นว่า กิจกรรมนันทนาการได้ช่วยพัฒนาและเสริมสร้างคุณภาพทางจิตใจของประชาชนทุกกลุ่ม ทุกวัย รวมทั้งความรู้และทักษะที่จะพัฒนาบุคลากรนันทนาการ ควรครอบคลุมถึงความรู้และทักษะในเรื่องสุขภาพจิตด้วย และควรเพิ่มเติมการให้ความรู้ ความเข้าใจในการประกอบการอุตสาหกรรม ประโยชน์ของภาคอุตสาหกรรมที่มีต่อชุมชน และตระหนักถึงการป้องกันดูแลสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดจากการประกอบอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญเกี่ยวกับการสนับสนุนให้มีการใช้ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการพัฒนาและประยุกต์ใช้ในงานนันทนาการ รวมทั้งการพัฒนาบุคลากร ต่อยอดองค์ความรู้และสนับสนุนเครือข่ายที่มีอยู่ให้เข้ามาร่วมพัฒนาคุณภาพชีวิตโดยใช้นันทนาการเป็นสื่ออย่างเหมาะสม การสร้างระบบการบริหารจัดการที่ดี การบูรณาการและประสานแผนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ในระดับประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
949 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี การแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม | พณ | 08/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้แก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๕ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม) ในส่วนของข้อ ๒ จากเดิม “...และให้ประเมินสถานการณ์และผลกระทบต่าง ๆ แล้วรายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาความจำเป็นในการนำเข้าเพิ่มเติมตามแต่กรณีต่อไป” เป็น “...และมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ประเมินสถานการณ์และผลกระทบต่าง ๆ หากจำเป็นต้องนำเข้าเพิ่มเติมให้ดำเนินการนำเข้าครั้งละไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ ตัน และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบทันทีที่ได้ดำเนินการนำเข้า หากปรากฏว่าสถานการณ์ได้คลี่คลายลงก็ให้ยุติการนำเข้าทันที” ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เห็นควรมีการนำเข้าน้ำมันปาล์มจากต่างประเทศให้เสร็จสิ้นก่อนที่ผลผลิตของผลปาล์มในฤดูกาลใหม่ออก เพื่อไม่ให้กระทบต่อราคาผลปาล์มในช่วงเวลาดังกล่าว การจัดทำแนวทางการดำเนินงานร่วมกันในเรื่องการจัดสรรน้ำมันปาล์มที่จะต้องนำไปผสมกับน้ำมันดีเซลที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่จำเป็นจะต้องรองรับสถานการณ์เฉพาะหน้าของภาวะขาดแคลนน้ำมันปาล์มเพื่อใช้ในการบริโภค การพิจารณากำหนดแนวทางการบริหารปาล์มน้ำมันที่ใช้เพื่อบริโภคและพลังงานร่วมระยะยาว และให้มีโปรแกรมการวิจัยและพัฒนาเพื่อปรับปรุงพันธุ์ปาล์มน้ำมันด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ เพื่อให้ได้ปาล์มน้ำมันที่สามารถทนต่อสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไปในรูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้มีการติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์ราคาปาล์มน้ำมันและปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถมีการเตรียมการแก้ไขปัญหาได้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||
950 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนมีนาคม 2555 | อก | 01/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนมีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม การผลิตคาดว่าจะขยายตัวเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากโรงงานที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมสามารถฟื้นฟูและเริ่มกลับมาผลิตแล้ว ขณะที่อุตสาหกรรมผลิตเครื่องนุ่งห่มที่ได้รับผลกระทบจากค่าจ้างที่ปรับสูงขึ้นคาดว่าจะมีการย้ายฐานการผลิตไปยังกัมพูชา ลาว และพม่า ซึ่งมีต้นทุนค่าจ้างถูกกว่ามาก ในส่วนของการจำหน่ายในประเทศคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเสื้อผ้าสำเร็จรูปแนวแฟชั่น สำหรับปัจจัยเสี่ยงของอุตสาหกรรมการส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มยังมีผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในตลาดส่งออกหลักอย่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปที่ยังชะลอตัว รวมถึงตลาดส่งออกที่มีการแข่งขันมากขึ้น ๒. อุตสาหกรรมรถยนต์ โรงงานประกอบรถยนต์ของบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ที่ตั้งอยู่ในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จัดพิธีเปิดสายการผลิตอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ ทั้งนี้ โรงงานดังกล่าวเป็นฐานการผลิตรถยนต์ Honda ในภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย มีกำลังการผลิตรถยนต์รวม ๒๔๐,๐๐๐ คันต่อปี
|
||||||||||||||||||
951 | สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 | ทก | 01/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (สำนักงานสถิติแห่งชาติ) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้ที่อยู่ในวัยกำลังแรงงาน มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๘.๘๐ ล้านคน ประกอบด้วย ผู้มีงานทำ ๓๘.๐๖ ล้านคน ผู้ว่างงาน ๒.๕๖ แสนคน และผู้ที่รอฤดูกาล ๔.๘๔ แสนคน ทั้งนี้ ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันกับปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๗.๒ แสนคน (จาก ๓๘.๐๘ ล้านคน เป็น ๓๘.๘๐ ล้านคน) ๒. ผู้มีงานทำ ๓๘.๐๖ ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันกับปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๕.๑ แสนคน (จาก ๓๗.๕๕ ล้านคน เป็น ๓๘.๐๖ ล้านคน) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๔ โดยผู้ทำงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผู้ทำงานในสาขาการเกษตร เพิ่มขึ้น ๕.๒ แสนคน สาขาการผลิต เพิ่มขึ้น ๕.๖ แสนคน สาขาการบริหารราชการ การป้องกันประเทศ และการประกันสังคมภาคบังคับ เพิ่มขึ้น ๖.๐ หมื่นคน สาขากิจกรรมทางการเงิน และการประกันภัย เพิ่มขึ้น ๕.๐ หมื่นคน ตามลำดับ สำหรับผู้ทำงานลดลง ได้แก่ ผู้ทำงานในสาขาการก่อสร้าง ลดลง ๑.๘๐ แสนคน สาขาที่พักแรมและการบริการด้านอาหาร ๑.๕๐ แสนคน สาขาการศึกษา ๑.๑ แสนคน สาขาการขายส่ง การขายปลีก การซ่อมยานยนต์ และรถจักรยานยนต์ ๘.๐ หมื่นคน สาขากิจกรรมบริการด้านอื่น ๆ เช่น กิจกรรมบริการเพื่อสร้างเสริมสุขภาพร่างกาย การดูแลสัตว์เลี้ยง การบริการซักรีดและซักแห้ง เป็นต้น ๓.๐ หมื่นคน สาขากิจกรรมด้านสุขภาพและงานสังคมสงเคราะห์ ๒.๐ หมื่นคน และสาขากิจกรรมอสังหาริมทรัพย์ ๑.๐ หมื่นคน ตามลำดับ ๓. ผู้ว่างงานทั่วประเทศมีจำนวน ๒.๕๖ แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ ๐.๗ ของกำลังแรงงานรวม (ลดลง ๑.๒ หมื่นคน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปี พ.ศ. ๒๕๕๔) ประกอบด้วยผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๘.๓ หมื่นคน ผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๑.๗๓ แสนคน โดยเป็นผู้ว่างงานที่มาจากภาคการบริการและการค้า ๘.๐ หมื่นคน ภาคการผลิต ๖.๓ หมื่นคน และภาคเกษตรกรรม ๓.๐ หมื่นคน เป็นผู้ว่างงานที่มีการศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษา ๘.๘ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ๖.๘ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ๔.๘ หมื่นคน ระดับประถมศึกษา ๓.๑ หมื่นคน และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา ๒.๑ หมื่นคน ตามลำดับ และผู้ว่างงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลาง ๗.๒ หมื่นคน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๖.๘ หมื่นคน ภาคเหนือ ๕.๓ หมื่นคน กรุงเทพมหานคร ๓.๓ หมื่นคน และภาคใต้ ๓.๐ หมื่นคน
|
||||||||||||||||||
952 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การบริหารจัดการปัญหาลุ่มน้ำภาคกลางแบบบูรณาการ" | สสป | 24/04/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การบริหารจัดการปัญหาลุ่มน้ำภาคกลางแบบบูรณาการ" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. มาตรการจัดระบบการไหล (จราจร) ของน้ำ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการระบายน้ำจากพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ออกสู่ทะเลได้อย่างรวดเร็วและเหมาะสมกับสถานการณ์ เช่น ปรับปรุงศักยภาพการระบายน้ำที่มีอยู่ในปัจจุบันให้สามารถรองรับปริมาณน้ำในภาวะวิกฤต ให้สอดคล้องกันทั้งระบบและสอดคล้องกับปัญหาในแต่ละพื้นที่ สร้างแผนการระบายน้ำ ได้แก่ ทางระบายน้ำและระบบระบายน้ำเพิ่มเติมจากเดิม รวมทั้งการลดอุปสรรคจากเขื่อนกักน้ำ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการระบายน้ำให้ไหลได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และทันเหตุการณ์ เป็นต้น ๒. มาตรการชะลอน้ำไว้ในพื้นที่ต้นน้ำ เพื่อเป็นการดูดซับน้ำไว้ในพื้นที่ต้นน้ำและชะลอการไหลของน้ำ ซึ่งจะช่วยลดปริมาณน้ำหลากในพื้นที่ลุ่มน้ำสายต่าง ๆ โดยวิธีบริหารจัดการทรัพยากรป่าไม้และพื้นที่ป่าต้นน้ำ และบริหารจัดการทรัพยากรดินและทรัพยากรน้ำ ๓. มาตรการการพักน้ำในพื้นที่ตอนกลางและตอนล่าง เพื่อแก้ปัญหาน้ำอย่างบูรณาการในพื้นที่ตอนกลางและตอนล่าง โดยปรับปรุง ฟื้นฟูแหล่งน้ำธรรมชาติและแหล่งน้ำที่สร้างขึ้น ที่มีสภาพตื้นเขิน และอาคารบังคับน้ำที่ชำรุด ให้สามารถกักเก็บน้ำได้เต็มประสิทธิภาพ ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการขุดสระน้ำในไร่นาให้มากขึ้น มีการบริหารจัดการพื้นที่รับน้ำในภาวะวิกฤต และจัดให้มีพื้นที่หน่วงน้ำในโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โครงการนิคมอุตสาหกรรม และโครงการขนาดใหญ่อื่น ๆ อย่างเหมาะสม ๔. มาตรการการเพิ่มการระบายน้ำออกสู่ทะเล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำจากพื้นที่ตอนบน ตอนกลาง และตอนล่างลงสู่ทะเลให้มีประสิทธิภาพ โดยปรับปรุงระบบชลประทาน ได้แก่ การปรับปรุงทางระบายน้ำ การปรับปรุงคลองชลประทาน เป็นต้น การขุดลอกและขยายคลองธรรมชาติ การสร้างสถานีสูบน้ำเพิ่มเติมให้เพียงพอ การบังคับใช้กฎหมายต่อการบุกรุกพื้นที่ทางน้ำสาธารณะอย่างเคร่งครัด และเร่งดำเนินการโครงการก่อสร้างทางด่วนน้ำยกระดับ (Water Highway) เพื่อใช้ระบายน้ำในฤดูน้ำหลาก และสามารถใช้เป็นเส้นทางคมนาคมทางบกในฤดูแล้ง ๕. มาตรการจัดตั้งศูนย์บริหารการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมลุ่มน้ำภาคกลาง รัฐต้องตั้งศูนย์บริหารการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมลุ่มน้ำภาคกลางให้เป็นการถาวร เพื่อให้กระบวนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมลุ่มน้ำภาคกลางมีความเป็นเอกภาพ และเกิดประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน ๖. มาตรการช่วยเหลือและชดเชย รัฐต้องช่วยเหลือ เยียวยา ผู้ที่ได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะอย่ายิ่งผู้ซึ่งได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากรัฐใช้มาตรการผันน้ำเข้าท่วมพื้นที่ ตามนโยบายป้องกันพื้นที่เขตเศรษฐกิจหรือชุมชนเมือง ๗. มาตรการภาษีพิเศษ รัฐจะต้องออกกฎหมายภาษีพิเศษเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้ที่เสียสละในมาตรการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่เขตเศรษฐกิจและชุมชนเมือง โดยผู้ที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการดังกล่าวจะต้องชำระภาษีพิเศษแก่รัฐเพื่อนำไปใช้ในการบริหารจัดการบรรเทาอุทกภัย
|
||||||||||||||||||
953 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการแก้ไขปัญหาหลังภัยพิบัติอุทกภัย" | สสป | 24/04/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการแก้ไขปัญหาหลังภัยพิบัติอุทกภัย" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และธนาคารแห่งประเทศไทย โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. การช่วยเหลือและเยียวยา ระยะเร่งด่วน ดำเนินการโดยใช้ระยะเวลาไม่เกิน ๖ เดือน เช่น ควรเร่งรัดการให้เงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามมาตรการที่รัฐบาลได้กำหนดไว้ โดยด่วนที่สุด อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม การให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร และควรมีมาตรการช่วยเหลือ เยียวยาประชาชนผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ประสบอุทกภัยแต่ไม่มีบ้านเลขที่ โดยให้ผู้ใหญ่บ้าน หรือผู้นำชุมชน หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ลงนามรับรองว่าบุคคลดังกล่าวได้รับความเสียหายจากอุทกภัยจริง เป็นต้น ๒. การฟื้นฟู ระยะสั้น-ปานกลาง ดำเนินการโดยใช้ระยะเวลาอย่างน้อย ๑-๕ ปี เช่น กระทรวงการคลังควรกำหนดนโยบายให้ธนาคารพาณิชย์ดำเนินนโยบายด้านการเงิน โดยการผ่อนปรนการชำระเงินต้นและดอกเบี้ย สำหรับกิจการที่ได้รับผลกระทบ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ให้มีการรีไฟแนนซ์ หรือพิจารณาเงินกู้พิเศษสำหรับฟื้นฟูธุรกิจ และควรมีมาตรการฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจเพื่อสร้างรายได้ให้กับประชาชน หรือแรงงานตกงานจากอุทกภัย เป็นต้น ๓. การพัฒนา ระยะยาว ดำเนินการโดยใช้ระยะเวลามากกว่า ๕ ปี เช่น ควรเพิ่มอำนาจหน้าที่และประสิทธิภาพขององค์กรด้านการอำนวยการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติระดับชาติที่มีอยู่แล้วให้มากขึ้น และมีการบริหารจัดการอย่างมีเอกภาพ รับผิดชอบในการอำนวยการช่วยเหลือ เยียวยาผู้ประสบภัย ให้ข้อมูลข่าวสารแก่สาธารณะอย่างถูกต้องและทันต่อสถานการณ์ ควรปรับปรุงผังเมืองรวมของประเทศให้รองรับต่อการจัดการอุทกภัย ควรตั้งคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาอุทกภัย การช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ประสบอุกทกภัย ควรให้มีผู้แทนของภาคประชาสังคม หรือประชาชนที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงาน และควรมีกระบวนการกำกับ ติดตาม ประเมินผลการดำเนินงานของคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นกลไกการปฏิบัติงานฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย เป็นต้น ๔. ควรดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติจากอุทกภัย การช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ประสบภัยอย่างโปร่งใส ทั่วถึง ปราศจากการคอร์รัปชั่น และรัฐบาลต้องกล้าตัดสินใจดำเนินการในภาวะวิกฤติ ๕. ควรให้มีผู้แทนของภาคประชาสังคม หรือประชาชนที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการตั้งคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาอุทกภัย การช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ๖. ควรมีกระบวนการกำกับ ติดตาม ประเมินผลการดำเนินงานของคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นกลไกการปฏิบัติงานฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ๗. ควรจัดเวทีให้ทุกภาคส่วนในสังคมมาร่วมกันสรุปบทเรียนจากมหาอุทกภัยในครั้งนี้ เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการป้องกันและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในปัจจุบัน และที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งความขัดแย้งระหว่างผู้ประสบภัยในแต่ละพื้นที่
|
||||||||||||||||||
954 | การบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต | นร | 24/04/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบแนวทางการดำเนินการเตรียมความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต และงบประมาณในการดำเนินการเตรียมความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตของส่วนราชการ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรอบแนวทางการดำเนินการเตรียมความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต ประกอบด้วย ๒ ระยะ ๔ ขั้นตอน สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ ระยะเร่งด่วน ดำเนินการในช่วงเดือนมีนาคม - มิถุนายน ๒๕๕๕ ประกอบด้วย ๑.๑.๑.๑ ขั้นตอนที่ ๑ สร้างความรู้ ความเข้าใจ (เดือนมีนาคม ๒๕๕๕) ได้แก่ การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ เรื่อง “การบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต” ให้แก่ส่วนราชการ การกำหนดแบบประเมินความพร้อมของการบริหารจัดการในสภาวะวิกฤต (Checklist) และการพัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้ด้วยตนเองให้แก่ส่วนราชการ และพัฒนาช่องทางการเรียนรู้ผ่าน e-learning หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ สำนักงาน ก.พ.ร. ๑.๑.๑.๒ ขั้นตอนที่ ๒ การเตรียมความพร้อมให้ส่วนราชการ (เดือนมีนาคม - เมษายน ๒๕๕๕) ได้แก่ การทบทวนแผนสำรองฉุกเฉินของส่วนราชการเพื่อนำไปสู่การจัดทำแผนการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต ซึ่งการจัดทำแผนดังกล่าวต้องพิจารณาให้ครอบคลุมในประเด็นสำคัญ เช่น การระบุงานสำคัญที่จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการส่งมอบงานบริการ การประเมินความเสี่ยงและโอกาสที่งานสำคัญจะหยุดชะงัก การวิเคราะห์ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเพื่อประเมินความเสียหายของงานสำคัญที่จะหยุดชะงัก กำหนดลำดับความสำคัญ และจัดสรรทรัพยากร เป็นต้น การกำหนดมาตรการการเตรียมความพร้อมของส่วนราชการ ได้แก่ มาตรการการเตรียมความพร้อมด้านกระบวนการ มาตรการการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร มาตรการการเตรียมความพร้อมด้านข้อมูล และมาตรการการเตรียมความพร้อมด้านสถานที่และงบประมาณ หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ กระทรวง กรม จังหวัด สถาบันอุดมศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์การมหาชน และรัฐวิสาหกิจ ๑.๑.๑.๓ ขั้นตอนที่ ๓ ซักซ้อมแผนและนำไปปฏิบัติจริง (เดือนพฤษภาคม - มิถุนายน ๒๕๕๕) ได้แก่ ส่วนราชการจัดให้มีการอบรมและประชาสัมพันธ์แผนรองรับการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอก การจัดให้มีการสื่อสารเพื่อป้องกันและลดความตระหนกของผู้ที่เกี่ยวข้อง และสาธารณชน รวมทั้งสามารถแจ้งเหตุแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างทันท่วงที การกำหนดสถานที่สำรองเพื่อทำการทดสอบ การทดสอบกับสถานการณ์จริงอย่างน้อยปีละครั้ง โดยบุคลากรของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทุกระดับต้องมีส่วนร่วมในการทดสอบ การทดสอบและประเมิน รวมทั้งการปรับปรุงแผนการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ กระทรวง กรม จังหวัด สถาบันอุดมศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์การมหาชน และรัฐวิสาหกิจ ๑.๑.๒ ระยะยาว ขั้นตอนที่ ๔ ส่งเสริมให้มีการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตอย่างยั่งยืน ดำเนินการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ได้แก่ การส่งเสริมส่วนราชการให้มีระบบรองรับภาวะวิกฤตที่ยั่งยืน โดยส่วนราชการต้องติดตามประเมินผลการปฏิบัติตามระบบที่วางแผนไว้ การปรับปรุง สื่อสารสร้างความเข้าใจ และซักซ้อมแผนการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตให้ครอบคลุมทั้งกระบวนการตามพันธกิจ และผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการเตรียมความพร้อมด้านระบบงานต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ กระทรวง กรม จังหวัด สถาบันอุดมศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์การมหาชน และรัฐวิสาหกิจ ๑.๒ งบประมาณในการดำเนินการเตรียมความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตของส่วนราชการ ได้แก่ งบประมาณที่ใช้ในการดำเนินการในส่วนของการสร้างความรู้ความเข้าใจให้ส่วนราชการผนวกรวมเข้าไปกับแผนการฝึกอบรมที่ส่วนราชการต้องดำเนินการอยู่แล้ว และงบประมาณในส่วนของการนำไปสู่การปฏิบัติ เช่น การจัดหาสถานที่สำรอง การจัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นเพื่อให้การบริการไม่หยุดชะงัก เป็นต้น ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงแรงงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงอุตสาหกรรม เกี่ยวกับแผนการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตควรคำนึงถึงการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถปฏิบัติภารกิจภายใต้ทรัพยากรและงบประมาณที่มีอย่างจำกัดได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ และในการดำเนินการเตรียมความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตของแต่ละส่วนราชการควรมีการเชื่อมโยงให้เกิดการบริหารจัดการในภาวะวิกฤตในระดับประเทศ รวมทั้งกรอบระยะเวลาดำเนินการควรพิจารณาปรับเปลี่ยนให้มีความเหมาะสมและสามารถปฏิบัติงานตามกรอบเวลาได้จริง และควรมีแนวทางการจัดทำแผนการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตเพื่อให้ทุกส่วนราชการนำไปจัดทำแผนการดำเนินงานตามแต่ภารกิจของแต่ละหน่วยงาน พร้อมทั้งสร้างความรู้ความเข้าใจให้ทุกส่วนราชการที่ต้องจัดทำแผน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. เป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการการทำงานในภาพรวมกรณีเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ ร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาของรัฐบาล ภาคราชการ และภาคเอกชนสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ และจัดทำแผนบูรณาการในเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||
955 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 3 พ.ศ. 2553 มติ 5 นโยบายสนับสนุนพื้นที่จัดการตนเองเพื่อสังคมสุขภาวะ | สช | 24/04/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๓ มติ ๕ นโยบายสนับสนุนพื้นที่จัดการตนเองเพื่อสังคมสุขภาวะ ตามมติคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ขอให้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้การสนับสนุนพื้นที่จัดการตนเองเพื่อสังคมสุขภาวะ เป็นนโยบายสำคัญ โดยมอบให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นแกนประสานการดำเนินงานโดยขอความร่วมมือจากสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย สมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย เพื่อให้เกิดคณะกรรมการที่เป็นกลไกการดำเนินการ ประกอบด้วยตัวแทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการชุมชนท้องถิ่น ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ ภาคประชาชน โดยให้มีผู้แทนชุมชน ในสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๖๐ ๑.๒ ขอให้สมาชิกสมัชชาสุขภาพแห่งชาติพิจารณากำหนดเรื่องพื้นที่จัดการตนเองเพื่อสังคมสุขภาวะเป็นหนึ่งในระเบียบวาระของสมัชชาสุขภาพเฉพาะพื้นที่ ทั้งนี้ เพื่อติดตาม ประเมินผลแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่ทุกระดับภายในจังหวัด ๑.๓ ขอให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยเฉพาะองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นองค์กรหลักในการสนับสนุนงบประมาณ และประสานการดำเนินงานร่วมกับสภาองค์กรชุมชน เครือข่ายองค์กรชุมชน เครือข่ายภาคประชาสังคม เครือข่ายสมัชชาสุขภาพจังหวัด เครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในจังหวัดใช้เงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๖ มาตรา ๗๘(๓) มาตรา ๘๗(๑) และ (๔) และมาตรา ๑๖๓ ดำเนินการออกแบบและผลักดันให้ชุมชนท้องถิ่นมีบทบาทในการจัดการตนเองตามรูปแบบที่เหมาะสม ๒. ให้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการตั้งงบประมาณสนับสนุนจากท้องถิ่น ไม่ควรกำหนดสัดส่วนไว้เป็นการเฉพาะ แต่ควรขึ้นอยู่กับศักยภาพ ความพร้อมและสถานการณ์คลังขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และเห็นควรระบุเจ้าภาพหลักในการประสานการจัดตั้งแกนประสานการดำเนินการเพื่อให้เกิดคณะกรรมการที่มีหน้าที่พัฒนากลไกการจัดการตนเองและพัฒนาศักยภาพชุมชนท้องถิ่นให้จัดการตนเองในทุกระดับ ส่วนการให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เป็นหน่วยงานหลักในการสนับสนุนงบประมาณ ต้องขึ้นอยู่กับศักยภาพและสถานะทางการคลังของ อปท. เป็นหลัก ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามมติที่เกี่ยวข้องต่อไป ดังนี้ ๓.๑ การเข้าไปมีส่วนร่วมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามมติดังกล่าวให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานและอยู่ภายในกรอบของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ๓.๒ กรณีเรื่องงบประมาณให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กฎหมายหรือระเบียบกำหนด ๓.๓ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้รัฐต้องให้ความเป็นอิสระแก่ อปท. และให้ อปท. มีความเป็นอิสระในการกำหนดนโยบาย การบริหาร การเงินการคลัง และมีอำนาจหน้าที่ของตนเองโดยเฉพาะ ดังนั้น การดำเนินการตามมติดังกล่าวต้องไม่ขัดต่อความเป็นอิสระของ อปท. |
||||||||||||||||||
956 | มาตรการเพิ่มขีดความสามารถ SMEs | กค | 24/04/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการเพิ่มขีดความสามารถ SMEs ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการพัฒนาผลิตภาพการผลิต การสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการลดภาระต้นทุนค่าแรง รวมทั้งเป็นการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ผ่านมาตรการทางการเงินและมาตรการภาษี ดังนี้ ๑.๑ มาตรการทางการเงิน ประกอบด้วย ๑.๑.๑ โครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาผลิตภาพการผลิต (Productivity Improvement Loan) โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ประกอบด้วยสินเชื่อ ๒ ประเภท คือ สินเชื่อเพื่อพัฒนาเครื่องจักรและสินเชื่อเพื่อพัฒนากระบวนการทำงาน โดยมีวงเงินโครงการ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ระยะเวลาโครงการ ๒ ปี นับจากวันที่มีมติคณะรัฐมนตรี และงบประมาณที่ใช้ในการสนับสนุนไม่เกิน ๑,๘๐๕ ล้านบาท ๑.๑.๒ โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๔ (PGS ระยะที่ ๔) ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) โดยมีวงเงินค้ำประกันรวม ๒๔,๐๐๐ ล้านบาท โดย บสย. จ่ายอัตราค่าประกันชดเชยให้กับสถาบันการเงินสูงสุดไม่เกินร้อยละ ๑๘ ของภาระค้ำประกันเฉลี่ยตลอดระยะเวลาโครงการ ๕ ปี และรัฐบาลชดเชยส่วนต่างค่าประกันชดเชยตามจริงแต่ไม่เกิน ๒,๒๒๐ ล้านบาท ๑.๑.๓ โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการใหม่ (PGS New/Start - up) ของ บสย. สำหรับ SMEs ที่มีอายุกิจการไม่เกิน ๒ ปี มีวงเงินค้ำประกันรวม ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท โดย บสย. จ่ายอัตราค่าประกันชดเชย (Coverage ratio) ให้กับสถาบันการเงินในอัตราสูงสุดไม่เกินร้อยละ ๔๘ ของภาระค้ำประกันเฉลี่ยตลอดระยะเวลาโครงการ ๗ ปี และงบประมาณที่ใช้ในการสนับสนุนรวม ๓,๓๐๐ ล้านบาท ๑.๑.๔ กองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน ให้ SMEs กู้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๐.๑ ต่อปี วงเงินกู้ยืมสูงสุด ๔๒,๐๐๐ บาท ระยะเวลาชำระคืน ๔ ปี ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการฝึกอบรม ๑.๑.๕ โครงการสินเชื่อส่งเสริมการจ้างงาน (กองทุนประกันสังคม) ให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ โดยอาศัยแหล่งเงินทุนจากกองทุนประกันสังคมให้แก่ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากค่าแรงที่เพิ่มขึ้นเพื่อเป็นเงินทุนในการเสริมสภาพคล่องหรือเพิ่มผลิตภาพการผลิต มีวงเงินรวม ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ มาตรการภาษี ประกอบด้วย ๑.๒.๑ มาตรการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการขายเครื่องจักรเก่าเพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ ระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์สำหรับการขายเครื่องจักร ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึง ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๑.๒.๒ มาตรการหักค่าเสื่อมเครื่องจักร โดยให้หักค่าเสื่อมราคาของเครื่องจักรใหม่ได้ร้อยละ ๑๐๐ ในปีแรก แทนการทยอยหักค่าเสื่อมภายใน ๕ ปี ระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์สำหรับการหักค่าเสื่อมเครื่องจักร ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึง ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๑.๒.๓ มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ โดยให้ผู้ประกอบการทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ ๑.๕ เท่าของส่วนต่างค่าแรงที่เพิ่มขึ้นจากเดิมเป็น ๓๐๐ บาทต่อวัน ระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์ตั้งแต่วันที่เริ่มใช้ค่าแรงขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท ตามที่รัฐบาลประกาศกำหนด (๑ เมษายน ๒๕๕๕) จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๒. อนุมัติให้จัดสรรงบประมาณที่ต้องใช้ในการสนับสนุนโครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาผลิตภาพการผลิต (Productivity Improvement Loan) โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๔ และโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการใหม่ เป็นวงเงินรวมไม่เกิน ๕,๒๐๕ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเบิกจ่ายตามจริง โดยให้ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดต่อไป ๓. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ประกอบด้วย ๓.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของกรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินห้าล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกินสามสิบล้านบาทต่อปี ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการขายทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้าให้บริการรับจ้างผลิตสินค้าเพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ทดแทน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๓.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเงื่อนไขและอัตราการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้าหรือให้บริการรับจ้างผลิตสินค้าให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินห้าล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกินสามสิบล้านบาทต่อปี ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธิ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๓.๓ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้เป็นจำนวนร้อยละห้าสิบของรายจ่ายที่ได้มีการจ่ายเป็นค่าจ้างเฉพาะส่วนต่างของค่าจ้างที่ได้มีการจ่ายเพิ่มขึ้นจากอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในปัจจุบันตามที่กำหนดในแต่ละเขตจังหวัดกับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่เป็นเงินวันละสามร้อยบาท ให้แก่บุคคลธรรมดาที่มีเงินได้พึงประเมิน ซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร และบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินห้าล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกินสามสิบล้านบาทต่อปี ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๔. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของ SMEs กลุ่มเป้าหมาย โดยให้ความช่วยเหลืออุตสาหกรรมรายสาขาที่ได้รับผลกระทบจากภาระค่าแรงที่เพิ่มขึ้นมาเป็นพิเศษก่อน และมีการสำรวจกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพและขีดความสามารถในการชำระหนี้ เพื่อไม่ให้การดำเนินงานประสบภาวะขาดทุนและเป็นภาระของรัฐในอนาคต รวมทั้งมีระบบการตรวจสอบและรายงานผลการดำเนินงาน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๕. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานหาแนวทางการส่งเสริมและพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมด้วยการลดต้นทุนทางด้านพลังงานและวิธีการอื่นเพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||
957 | การแก้ไขปัญหาระบบการสื่อสารขัดข้องในภาวะวิกฤต | นร | 24/04/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเมื่อมีเหตุการณ์วิกฤตฉุกเฉินทั้งที่เกิดขึ้นในพื้นที่ประเทศไทยหรือนอกประเทศอันอาจมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และทรัพย์สินของประชาชนชาวไทย เช่น กรณีการเกิดแผ่นดินไหวและสึนามิ เป็นต้น ระบบการสื่อสารและโทรคมนาคมที่มีใช้อยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบโทรศัพท์มักเกิดปัญหาขัดข้อง ใช้การไม่ได้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการติดต่อสื่อสารระหว่างกันของประชาชน รวมทั้งการแจ้งเตือนภัยและการบริหารจัดการต่าง ๆ เพื่อรองรับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที จึงให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานของรัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยด่วน โดยอาจพิจารณาขอความร่วมมือไปยังผู้ให้บริการเครือข่ายระบบการสื่อสารต่าง ๆ ให้เพิ่มช่องทางการสื่อสารในช่วงที่เกิดภาวะวิกฤตเป็นการเฉพาะแยกออกจากช่องทางการสื่อสารในภาวะปกติ และรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย
|
||||||||||||||||||
958 | ข้อเสนอเชิงนโยบายที่ประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบล พ.ศ. 2554 | พม | 17/04/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำความเห็นและข้อเสนอแนะจากที่ประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบล ปี ๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ไปประกอบการพิจารณากำหนดนโยบายและแผนการพัฒนา โดยดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรี ดังนี้ ๑.๑ ข้อเสนอต่อนโยบายด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ด้วยการมุ่งสร้างความเข้มแข็งในภาคเกษตรโดยการลดภาระหนี้สินของเกษตรกร สนับสนุนระบบเกษตรปลอดสารเคมีและเกษตรอินทรีย์ พัฒนาระบบตลาดที่เป็นธรรมด้านราคาของพืชผลการเกษตร เพื่อเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร อันจะนำไปสู่ความมั่นคงทางอาชีพและรายได้ของเกษตรกร รวมถึงสร้างระบบความมั่นคงทางอาหารในสังคมไทย เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าร่วมประชาคมอาเซียน โดยมีประเด็นข้อเสนอ ได้แก่ หนี้สินเกษตรกร การสร้างรายได้ ราคาผลผลิตทางการเกษตร เกษตรพันธะสัญญาและความมั่นคงทางอาหาร การค้าเสรีและประชาคมอาเซียน ๑.๒ ข้อเสนอต่อนโยบายสังคม มุ่งพัฒนาสังคมโดยเน้นแนวทางปลูกจิตสำนึกคุณธรรมจริยธรรม ใช้ศาสนาและวัฒนธรรม เป็นเครื่องมือและให้ชุมชนท้องถิ่นมีบทบาทหลักในการจัดการปัญหายาเสพติดและการพนัน แรงงานข้ามชาติ เด็กและเยาวชน กลุ่มชาติพันธุ์และคนไร้รัฐ บนหลักการสิทธิมนุษยชน โดยมีประเด็นข้อเสนอ ได้แก่ ศาสนาและวัฒนธรรม ยาเสพติดและการพนัน แรงงานข้ามชาติ ผู้หญิง เด็กและเยาวชน กลุ่มชาติพันธุ์และกลุ่มคนไร้รัฐ ๑.๓ ข้อเสนอต่อนโยบายกฎหมาย โครงสร้าง และวิธีปฏิบัติราชการ รัฐบาลควรดำเนินการปฏิรูปโครงสร้างในทุกระดับ โดยให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการปรับปรุงโครงสร้างรัฐและออกแบบโครงสร้างองค์กรปกครองท้องถิ่นให้เหมาะกับบริบทพื้นที่ เนื้อหาสำคัญคือ “การกระจายอำนาจในรูปแบบชุมชน/ท้องถิ่น/จังหวัด จัดการตนเอง” หรืออาจจะเรียกชื่ออื่น ๆ ที่ภาคประชาชนสามารถเข้าใจได้ ภารกิจปฏิรูปประเทศไทยมีเนื้อหาสองประการ คือ นวัตกรรมปรับปรุงกลไกองค์กรและการสร้างขบวนการภาคประชาชน ในการเข้าร่วมภารกิจปฏิรูปประเทศไทย ภารกิจสองประการนี้จะต้องดำเนินการเป็นองค์รวมร่วมกันเพื่อให้เกิดความคืบหน้าความสำเร็จที่วัดผลได้ โดยมีประเด็นข้อเสนอ ได้แก่ กำจัดการทุจริตคอรัปชั่น การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น การพัฒนาภาคใต้ การเสริมสร้างความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พื้นที่ปกครองพิเศษเพื่อให้จังหวัดจัดการตนเอง ๑.๔ ข้อเสนอต่อนโยบายคุณภาพชีวิต ยกระดับการพัฒนาสุขภาวะชุมชนท้องถิ่นสู่การจัดการตนเอง สร้างคุณภาพการศึกษาเพื่อชีวิต จัดให้มีกองทุนชุมชนท้องถิ่นและกองทุนสวัสดิการชุมชนเพื่อยกระดับสังคมไทยให้เป็นสังคมสวัสดิการตลอดชีพ โดยมีประเด็นข้อเสนอ ได้แก่ สุขภาพ กองทุนชุมชนท้องถิ่นและกองทุนสวัสดิการชุมชน การศึกษา ๑.๕ ข้อเสนอต่อนโยบายทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการดูแลอนุรักษ์จัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยคำนึงถึงต้นทุนชีวิต สิทธิชุมชน ระบบนิเวศ เปิดโอกาสให้องค์กรชุมชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และบริหารจัดการบนหลักการมีส่วนร่วม “ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมตรวจสอบ ร่วมติดตามประเมินผล ร่วมรับประโยชน์” โดยมีประเด็นข้อเสนอ ได้แก่ ที่ดิน/ที่อยู่อาศัย การจัดการน้ำ/ลุ่มน้ำ/น้ำโขง การจัดการน้ำและลุ่มน้ำ ป่าไม้ เหมืองแร่ การจัดการภัยพิบัติ การจัดการทรัพยากรชายฝั่ง การจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ พลังงาน และมาตรการเร่งด่วนด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๒. สำหรับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งรัฐธรรมนูญและกฎหมายได้กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความเป็นอิสระในการกำหนดนโยบายการบริหารและอำนาจหน้าที่โดยเฉพาะแล้ว จึงให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ๓. ให้รับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับข้อเสนอเชิงนโยบายดังกล่าวเกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบของหน่วยงานภาครัฐหลายหน่วยงาน จึงควรต้องมีการศึกษาในรายละเอียดเพิ่มเติมก่อนนำมาสู่การปฏิบัติว่า ข้อเสนอเชิงนโยบายดังกล่าวมีความสอดคล้องกับแผนการดำเนินการต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้วหรือไม่อย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดความซ้อนซ้ำในการทำงาน และเพื่อให้ข้อเสนอเชิงนโยบายขององค์กรชุมชนและของภาครัฐเกื้อหนุนซึ่งกันและกันเพื่อประโยชน์ของชุมชนต่อไป นอกจากนี้ บางประเด็นข้อเสนอที่เป็นแนวทางไปสู่การปฏิบัติอาจมีผลกระทบต่อภาคส่วนอื่น ควรมีข้อมูลสนับสนุนเพิ่มเติม โดยเฉพาะการวิเคราะห์เชื่อมโยงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เพื่อความเหมาะสมในการนำมากำหนดเป็นนโยบายและแผนงานทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาทั้งในระดับชุมชน ท้องถิ่น และระดับชาติต่อไป ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
959 | (ร่าง) นโยบายและแผนวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 | วท | 17/04/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบ (ร่าง) นโยบายและแผนวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๖๔) ตามที่คณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๔ โดย (ร่าง) นโยบายและแผนฯ ฉบับที่ ๑ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ ๑.๑.๑ เพื่อสร้างเสริมสุขภาพและสุขภาวะของประชาชน การสร้างเสริมสังคม ฐานความรู้ และสร้างเสริมขีดความสามารถของท้องถิ่นและชุมชน ให้เกิดโอกาสการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องที่ขับเคลื่อนด้วยการเชื่อมโยงบทบาทพื้นที่ ท้องถิ่น ชุมชน ในการเพิ่มศักยภาพที่มีการเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายเป็นฐานการพัฒนาเศรษฐกิจ คุณภาพชีวิต นำไปสู่การพึ่งพาตนเองและลดปัญหาความเหลื่อมล้ำยากจน ๑.๑.๒ เพื่อยกระดับความสามารถในการเพิ่มประสิทธิภาพและผลิตภาพรายสาขา สร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างคุณค่า และนวัตกรรมรายสาขา มีการวางแผนและการปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงและการกีดกันทางการค้า ให้มีโครงสร้างเศรษฐกิจสีเขียวและคุณค่า (Green and Value Creation) ของสินค้าและบริการบนฐานความรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ๑.๑.๓ เพื่อสร้างแบบจำลองพยากรณ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การปรับตัว การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพ การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการพัฒนา ให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติและคุณค่าความหลากหลายทางชีวภาพควบคู่กับการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมให้เป็นฐานที่มั่นคงของการพัฒนาประเทศและการดำรงชีวิตของคนไทยในอนาคต ๑.๑.๔ เพื่อสร้างระบบการพัฒนาและผลิตกำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศ การยกระดับและเพิ่มขีดความสามารถทางด้านทักษะ องค์ความรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม การสร้างแรงจูงใจ ให้ประเทศไทยมีภูมิคุ้มกัน (Safety Net) มีมาตรฐาน และเพียงพอต่อความต้องการของภาคเศรษฐกิจและสังคม ๑.๑.๕ เพื่อสร้างเครื่องมือการเงินการคลัง ตลาด ความเข้มแข็งของโครงสร้างพื้นฐาน กฎหมาย กฎระเบียบ ระบบการบริหารจัดการ ข้อมูล กลไกและการบริหารจัดการที่ดีในการสนับสนุนงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ สังคมที่มีคุณภาพ และความมั่นคงและคุณภาพของพลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้มีระบบที่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศ และสามารถกระจายผลประโยชน์จากการพัฒนาสู่ประชาชนในทุกภาคส่วนอย่างเป็นธรรม เพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการประเทศของภาครัฐ สู่ภาคธุรกิจเอกชน และภาคประชาชน ในทุกระดับโดยการมีส่วนร่วมของพื้นที่ ท้องถิ่นและชุมชน ๑.๒ ให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการและแผนงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเสนอต่อคณะกรรมการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ และดำเนินการตามนโยบายและแผนดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฯ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยสำนักงบประมาณจะพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้ตามความจำเป็นและเหมาะสมในแต่ละปีงบประมาณ และในการจัดทำแผนปฏิบัติการฯ ควรให้ความสำคัญกับการดำเนินการส่งเสริมประสิทธิภาพภาคการผลิตตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า และการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปใช้ในการพัฒนาภาคสังคมและชุมชน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและความเข้มแข็งให้ภาคเศรษฐกิจและสังคมต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||
960 | การพิจารณารับรองเอกสาร Ministerial Declaration of the Group of 77 and China on the Occasion of UNCTAD XIII, Doha, 21 April 2012 และเอกสาร President's suggested distilled negotiation text for UNCTAD XIII | กต | 17/04/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสาร Ministerial Declaration of the Group of 77 and China on the Occasion of UNCTAD XIII, Doha, 21 April 2012 และอนุมัติให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยรับรอง และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของประเทศไทยในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการรับรอง ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๑.๒ เห็นชอบร่างเอกสาร President’s suggested distilled negotiation text for UNCTAD XIII และอนุมัติให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยรับรองร่างเอกสารดังกล่าว รวมทั้งให้กระทรวงการต่างประเทศเจรจาถ้อยคำในร่างเอกสารดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของประเทศไทย โดยไม่เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การเสนอเรื่องที่อาจเกี่ยวข้องกับบทบัญญัติตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย) และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เห็นควรเพิ่มเติมในส่วนของบทบาทของ UNCTAD ในเอกสาร President’s suggested distilled negotiation text for UNCTAD XIII แก่ประเทศกำลังพัฒนา เพื่อส่งเสริม/พัฒนาการค้าและการพัฒนาให้แก่ประเทศกำลังพัฒนา อาทิ การประเมินผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าอื่น ๆ ที่ไมใช่ภาษี (Non - Tariff Bamers) การสนับสนุนมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ การเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) ให้แก่ภาคเกษตรกรรม โดยการประยุกต์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างเหมาะสม การพัฒนาภาคธุรกิจในประเทศกำลังพัฒนาเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากการเข้าสู่ตลาดที่มีอยู่เดิมและตลาดใหม่ได้อย่างเต็มที่ การประเมิน/วิเคราะห์ผลกระทบ (ทั้งทางบวกและทางลบ) ของ ICT ต่อการพัฒนา และแนวทางในการดำเนินการและการส่งเสริมความร่วมมือทั้งในและระหว่างประเทศในการเฝ้าระวังและลดผลกระทบทางลบ รวมทั้งการบริหารความเสี่ยงในภาวะวิกฤติจากภัยพิบัติ เป็นต้น นอกจากนี้ UNCTAD ควรส่งเสริมความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา รวมทั้งให้ความช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาในการศึกษาวิจัยในด้านพลังงานทางเลือก และการใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตร เพื่อให้ประเทศกำลังพัฒนาสามารถเตรียมความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตทางอาหารและพลังงานในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
.....