ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 49 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 961 - 980 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
961 | โครงการปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคสาขาสุราษฎร์ธานี ปี 2554 | มท | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ดำเนินโครงการปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาสุราษฎร์ธานี วงเงินลงทุน ๙๒๖.๒๐๘ ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยให้ กปภ. กู้เงินภายในประเทศ (พันธบัตร) เพื่อลงทุนโครงการโดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สำหรับสาระสำคัญของโครงการ ฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบผลิต ระบบส่งน้ำ และระบบจ่ายน้ำประปาในพื้นที่เทศบาลนครสุราษฎร์ธานี เทศบาลตำบลวัดประดู่ เทศบาลเมืองท่าข้าม เทศบาลตำบลท่าทองใหม่ เทศบาลตำบลกาญจนดิษฐ์ เทศบาลตำบลพุมเรียง เทศบาลตำบลตลาดไชยา เทศบาลตำบลท่าฉาง และชุมชนรอบนอกให้สามารถบริการน้ำประปาแก่ประชาชนได้เพิ่มขึ้นในอีก ๑๐ ปีข้างหน้าอย่างพอเพียง ใช้เวลาดำเนินการก่อสร้างประมาณ ๓ ปี เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก ๙๖,๐๐๐ ลบ.ม./วัน สามารถให้บริการผู้ใช้น้ำเพิ่มขึ้นอีก ๔๖,๒๐๐ ราย โดยจะมีการก่อสร้างวางท่อส่งน้ำ ท่อจ่ายน้ำ และท่อบริการขนาดต่าง ๆ เพื่อเปลี่ยนทดแทนท่อเก่าและวางท่อใหม่ในเขตจ่ายน้ำต่าง ๆ และพื้นข้างเคียง รวมความยาวทั้งสิ้นประมาณ ๕๔.๑๕ กม. และก่อสร้างระบบผลิตน้ำประปาประกอบด้วยระบบสูบน้ำแรงต่ำ - แรงสูง โรงกรองน้ำ ระบบจ่ายสารเคมี ถังน้ำใส และหอถังสูง รวมทั้งก่อสร้างระบบชักน้ำดิบและขุดสระระบายตะกอนเพิ่มด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับแนวทางการจัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสียรวมกับค่าน้ำประปา โดยเฉพาะในพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีระบบบำบัดน้ำเสียรวมของชุมชนและใช้บริการน้ำประปาจาก กปภ. การศึกษาผลกระทบจากการดำเนินงานของประปาในภาวะเหตุฉุกเฉิน ภัยแล้ง และอุทกภัย โดยจัดทำแผนการรองรับในกรณีดังกล่าว การพิจารณาแนวทางการนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ (Reuse) การตรวจสอบการบริหารจัดการลดน้ำสูญเสียในระบบให้เหลือในเกณฑ์ที่ยอมรับได้เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำดิบ การพิจารณาขยายเขตจ่ายน้ำไปยังชุมชนที่ขาดแคลนน้ำสะอาดในพื้นที่ใกล้เคียง การเร่งรัดจัดหาที่ดินให้แล้วเสร็จก่อนดำเนินโครงการฯ เพื่อมิให้การดำเนินโครงการเกิดความล่าช้า และส่งผลกระทบต่อขอบเขตแผนงานโครงการ การควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการบริหารจัดการและค่าใช้จ่ายในการผลิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมควบคู่กับการเพิ่มรายได้จากการให้บริการให้เป็นไปตามเป้าหมาย การพิจารณาปรับโครงสร้างและอัตราค่าน้ำประปาที่สะท้อนต้นทุน เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อฐานะการเงินขององค์กรในระยะยาว การเร่งดำเนินการตามแนวทางการบริหารจัดการลดน้ำสูญเสียให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ร้อยละ ๒๕ การติดตามตรวจสอบการดำเนินงานของผู้รับจ้างปฏิบัติให้สอดคล้องกับมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด รวมทั้งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแผนบริหารจัดการน้ำเสียทั้งระบบ และพิจารณาจัดทำแผนป้องกันและลดผลกระทบต่อการให้บริการน้ำประปาในกรณีเกิดอุทกภัยหรือภัยแล้งในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
962 | รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ไตรมาส 4 ปี 2554 และรายงานสถานการณ์ศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนกุมภาพันธ์ 2555 | อก | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ไตรมาส ๔ ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ (ตุลาคม - ธันวาคม ๒๕๕๔) และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๔ ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ (ตุลาคม - ธันวาคม ๒๕๕๔) ๑.๑ เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ ๔ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ในไตรมาสที่ ๓ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ขยายตัวร้อยละ ๓.๕ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ ๒ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ขยายตัวร้อยละ ๒.๗ แต่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ ๓ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่ขยายตัวร้อยละ ๖.๖ โดยปัจจัยที่ทำให้อัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ ๒ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ คือ อุปสงค์ต่างประเทศขยายตัวสูงขึ้น ในขณะที่อุปสงค์ในประเทศรวมขยายตัวชะลอลง โดยการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของครัวเรือนและการลงทุนขยายตัวชะลอลง ในขณะที่การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของรัฐบาลขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อย การส่งออกสินค้าขยายตัวสูงขึ้น ๑.๒ ภาคอุตสาหกรรมไทยไตรมาสที่ ๔ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตัวชี้วัดต่าง ๆ ส่วนใหญ่ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ อาทิ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม อัตราการใช้การผลิต ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและธุรกิจ และดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม เป็นต้น ๑.๓ สถานการณ์การค้าในไตรมาสที่ ๔ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ การส่งออกมีมูลค่าลดลงเนื่องจากเหตุการณ์อุทกภัยครั้งรุนแรง โดยในไตรมาสที่ ๔ การค้าต่างประเทศของไทยมีมูลค่าทั้งสิ้น ๑๐๓,๙๒๔.๕๐ ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเป็นมูลค่าการส่งออกเท่ากับ ๔๙,๗๐๕.๙๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ ๕๔,๒๑๘.๕๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ ๓ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ ๒๓.๐๖ และมูลค่าการนำเข้าลดลงร้อยละ ๑๓.๖๒ ส่งผลให้ไตรมาสที่ ๔ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ดุลการค้าขาดดุล ๔,๕๑๒.๖๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่ามูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ ๔.๗๘ สำหรับมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๒.๑๕ ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ๒.๑ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม การผลิต คาดว่าจะยังชะลอตัวเนื่องจากปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นและส่งผลต่ออุตสาหกรรมสิ่งทอทั้งระบบ และคาดว่าจะสามารถฟื้นฟูให้สามารถกลับมาผลิตได้เต็มที่ภายในไตรมาสที่ ๒ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ในขณะที่การจำหน่ายในประเทศคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน โดยเฉพาะเสื้อผ้าสำเร็จรูปแนวแฟชั่นที่เป็นที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่น อย่างไรก็ตามปัจจัยเสี่ยงของอุตสาหกรรมการส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มยังมีผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในตลาดส่งออกหลักอย่างสหรัฐอเมริกาและสภาพยุโรปที่ยังชะลอตัว รวมถึงตลาดส่งออกที่มีการแข่งขันมากขึ้น ๒.๒ อุตสาหกรรมรถยนต์ ภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์คาดว่าจะขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนมกราคม ๒๕๕๕ เนื่องจากโรงงานผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่เริ่มกลับมาผลิตได้เป็นปกติ สำหรับโรงงานประกอบรถยนต์ Honda ได้เร่งการฟื้นฟูโรงงานและปรับสายการผลิตรถยนต์ให้เร็วขึ้น จึงคาดว่าจะกลับมาผลิตได้อีกครั้งในเดือนมีนาคม ๒๕๕๕
|
|||||||||||||||||||||||||||
963 | การกู้เงินเพื่อทดแทนพันธบัตรเดิมที่ครบกำหนดของธนาคารอาคารสงเคราะห์ | กค | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กู้เงินในประเทศในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๒๑,๑๐๐ ล้านบาท เพื่อทดแทนพันธบัตรเดิมที่ครบกำหนดในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยกระทรวงการคลังค้ำประกัน ๑.๒ อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน และการค้ำประกันในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ๒. ให้ ธอส. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ในสภาวะปัจจุบันที่มีการแข่งขันสูงจากธนาคารพาณิชย์เอกชน เห็นควรให้ ธอส. รวมถึงสถาบันการเงินเฉพาะกิจอื่น ๆ ของรัฐ เร่งปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เพื่อลดสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ลดต้นทุนในการดำเนินงาน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และรักษาส่วนแบ่งตลาด และเป็นกลไกที่สำคัญในการสนับสนุนนโยบายของรัฐต่อไป รวมทั้งพิจารณาปรับโครงสร้างอายุของทรัพย์สินและหนี้สินให้มีความสอดคล้องกัน อาทิ การขยายฐานเงินฝากไปสู่กลุ่มผู้ฝากเงินรายย่อยให้มากขึ้น และเพิ่มการระดมทุนระยะยาว เป็นต้น เพื่อลดความเสี่ยงทางด้านสภาพคล่องและสร้างความแข็งแกร่งของ ธอส. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
964 | รายงานการใช้งบลงทุนกรณีฉุกเฉินของรัฐวิสาหกิจประจำปี 2554 [การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคและบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)] | นร | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการใช้งบลงทุนกรณีฉุกเฉินของรัฐวิสาหกิจประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ [การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)] ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. คณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้เห็นชอบให้ กฟภ. เพิ่มเติมงบลงทุนเพื่อการดำเนินงานปกติกรณีฉุกเฉิน วงเงินดำเนินการ ๗๘๔.๒๗ ล้านบาท เนื่องจากสถานการณ์อุทกภัยในช่วงปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ทำให้ กฟภ. ได้รับผลกระทบในหลายพื้นที่จำเป็นต้องเร่งแก้ไข ซ่อมแซม และจัดหาอุปกรณ์ไฟฟ้าทดแทนของเดิมให้สามารถจ่ายไฟฟ้ากลับคืนให้แก่ผู้ใช้ไฟและผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้ตามปกติภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๔ ซึ่งคณะทำงานฟื้นฟูระบบการจ่ายไฟภายในสถานีไฟฟ้าเพื่อเตรียมการจ่ายไฟหลังสถานการณ์น้ำลดของ กฟภ. ได้ตรวจสอบแล้ว พบว่า อุปกรณ์ไฟฟ้าได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก เช่น สวิตซ์เกียร์ หม้อแปลง รีเลย์ เป็นต้น นอกจากนี้ สถานีไฟฟ้าที่ได้รับความเสียหายต้องก่อสร้างใหม่ทดแทนสถานีเดิม ได้แก่ สถานีไฟฟ้าบางพระครูภายในนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และสถานีไฟฟ้าบางกะดีภายในสวนอุตสาหกรรมบางกระดี จังหวัดปทุมธานี รวมทั้งสถานีไฟฟ้าที่ต้องดำเนินการซ่อมแซมและปรับปรุง รวมทั้งสิ้น ๑๖ สถานี ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถจ่ายไฟฟ้ากลับคืนให้แก่ผู้ใช้ไฟและผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้ตามปกติภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๔ ๒. คณะกรรมการบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ได้เห็นชอบให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ใช้งบลงทุนกรณีฉุกเฉิน วงเงินดำเนินการจำนวน ๓๖๓.๕๐ ล้านบาท เพื่อจัดหาอุปกรณ์ชุมสาย สื่อสัญญาณ ข่ายสาย และอุปกรณ์การกำลัง ทดแทนของเดิมที่ได้รับความเสียหายเนื่องจากสถานการณ์อุทกภัย ซึ่งส่งผลกระทบต่อการให้บริการของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) จึงมีความจำเป็นต้องเร่งจัดหาอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อให้การบริการด้านการสื่อสารโทรคมนาคมกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
965 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี โครงการฟื้นฟูพื้นที่เลี้ยงหอยทะเลอ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี (มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554) | กษ | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การฟื้นฟูความเสียหายจากอุทกภัย ดินโคลนถล่ม คลื่นลมแรงเกิดคลื่นเซาะชายฝั่งในพื้นที่ภาคใต้ของคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย) โครงการฟื้นฟูพื้นที่เลี้ยงหอยทะเลอ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมงได้รับเงินงบกลาง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๓๗,๕๓๐,๔๐๐ บาท เพื่อดำเนินการฟื้นฟูพื้นที่เลี้ยงหอยทะเลในเขตพื้นที่อนุญาตบริเวณอ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ครอบคลุมพื้นที่ ๔ อำเภอ คือ อำเภอกาญจนดิษฐ์ ไชยา ดอนสัก และท่าฉาง พื้นที่รวม ๑๔,๘๖๑.๔๖ ไร่ จำแนกเป็นพื้นที่เลี้ยงหอยแครง ๑๒,๘๕๕.๘๖ ไร่ พื้นที่เลี้ยงหอยนางรม ๑,๘๕๒.๔๐ ไร่ และพื้นที่เลี้ยงหอยแมลงภู่ ๑๕๓.๒๐ ไร่ โดยได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ ๒. รายละเอียดของการดำเนินโครงการฟื้นฟูพื้นที่เลี้ยงหอยทะเลอ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีดังนี้ ๒.๑ ทำความสะอาดแปลงหอยโดยใช้จุลินทรีย์ในการบำบัดดินบริเวณเลี้ยงหอยในเขตพื้นที่อนุญาต และเก็บซากหอยตายและวัสดุเจือปนอันเนื่องจากภาวะอุทกภัยในบริเวณพื้นที่อนุญาต จำนวน ๑๔,๙๖๑.๔๖ ไร่ ๒.๒ เฝ้าระวังคุณภาพน้ำและดินในแหล่งเลี้ยงหอยทะเล โดยเก็บตัวอย่างน้ำและดินเพื่อตรวจวิเคราะห์ในช่วงก่อน ระหว่าง และหลังฟื้นฟู ครอบคลุมพื้นที่ ๔ อำเภอ คือ อำเภอกาญจนดิษฐ์ ๖ จุด อำเภอไชยา ๔ จุด อำเภอดอนสัก ๒ จุด และอำเภอท่าฉาง ๔ จุด ๒.๓ จัดสร้างแหล่งพ่อแม่พันธุ์หอยทะเล ๒.๔ จัดทำแหล่งพ่อแม่พันธุ์หอยแครง โดยคราดทำความสะอาดแปลงเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์หอยแครง จัดซื้อลูกพันธุ์หอยแครง จำนวน ๑๐,๐๐๐ กิโลกรัม หว่านหอยแครงพร้อมทั้งทำป้ายห้ามทำการประมงและแนวเขตพ่อแม่พันธุ์หอยแครง ๒.๕ จัดทำแหล่งพ่อแม่พันธุ์หอยนางรม โดยจัดซื้อลูกพันธุ์หอยนางรม จำนวน ๓๐,๐๐๐ ตัว พร้อมทั้งติดตาหอยและปักแนวเขต
|
|||||||||||||||||||||||||||
966 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา เรื่อง ผลกระทบทางด้านสุขภาพที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ | สว | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา เรื่อง ผลกระทบทางด้านสุขภาพที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการดังกล่าว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. กรมควบคุมโรค ได้ดำเนินการเตรียมความพร้อมในการเฝ้าระวังโรคติดต่อต่าง ๆ รวมทั้งศึกษาวิจัยเพื่อคาดการณ์โรคติดต่อที่สำคัญที่มีความเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และได้จัดตั้งศูนย์แก้ไขปัญหาอุทกภัยและศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาภัยหนาวด้านการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อเตรียมพร้อมและรับมือกับปัญหาดังกล่าวซึ่งคาดการณ์ว่าปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทำให้ผลกระทบต่อสุขภาพจากภัยหนาวและอุทกภัยมีความรุนแรงมากขึ้น ๒. กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ดำเนินการศึกษาวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนเรื่องผลกระทบต่อสุขภาพต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยศึกษาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมต่อโรคไข้เลือดออกและยุงพาหะ เพื่อให้ได้ข้อมูลการคาดการณ์การเกิดโรคไข้เลือดออกเชิงพื้นที่ และจัดทำแผนที่ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) แสดงสถานะเชิงพื้นที่ของโรคไข้เลือดออก ประชากรยุงพาหะ และการดื้อสารเคมีในระดับพันธุกรรม และปัจจัยที่เกี่ยวข้องในสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ๓. กรมอนามัย ได้ดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศใน ๒ ส่วน ได้แก่ การลดก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) โดยดำเนินกิจกรรมเพื่อสนับสนุนให้ลดก๊าซเรือนกระจกในสถานบริการสาธารณสุข เพื่อเป็นแบบอย่างในการดำเนินงานลดโลกร้อนและเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับบุคลากรสาธารณสุขเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการปรับตัว (Adaptation) โดยพัฒนาองค์ความรู้เรื่องผลกระทบต่อสุขภาพที่มีความเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้แก่ การดำเนินโครงการศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การจัดทำแผนที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย เพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายในการป้องกันและควบคุมโรคที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งผลักดันให้เกิดแผนแม่บทด้านสาธารณสุขด้านการปรับตัวเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานด้านสาธารณสุขในการลดหรือป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ๔. กรมสุขภาพจิต ได้ดำเนินการเตรียมความพร้อมในการฟื้นฟูเยียวยาจิตใจผู้ประสบภัยจากภัยธรรมชาติ พัฒนาแนวปฏิบัติการช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตในภาวะวิกฤต การเตรียมความพร้อมบุคลากรที่ปฏิบัติงาน และเครื่องมือเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอันเกิดจากภัยพิบัติต่าง ๆ ๕. กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ได้จัดทำองค์ความรู้เรื่องผลกระทบต่อสุขภาพจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความรู้ ความตระหนักเรื่องผลกระทบต่อสุขภาพ รวมทั้งแนวทางการปรับตัวเพื่อรับมือกับผลกระทบอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และได้ดำเนินการรวมกับกรมควบคุมโรคในการแก้ไขปัญหาภัยหนาวด้านการแพทย์และสาธารณสุข โดยสำรวจกลุ่มเสี่ยง เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการเฝ้าระวังด้านสุขภาพและเป็นฐานข้อมูลร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ในพื้นที่ในการให้ความช่วยเหลือต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
967 | การจัดทำความตกลงโครงการ PD 577/10 Rev.1 (F) Management of the Emerald Triangle Protected Forests Complex to Promote Cooperation for Transboundary Biodiversity Conservation between Thailand, Cambodia and Laos (Phase III) | ทส | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดทำความตกลงโครงการ PD 577/10 Rev.1 (F) Management of the Emerald Triangle Protected Forests Complex to Promote Cooperation for Transboundary Biodiversity Conservation between Thailand, Cambodia and Laos (Phase III) [การจัดการผืนป่าอนุรักษ์สามเหลี่ยมมรกตเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพข้ามเขตแดนระหว่างประเทศไทย (ระยะที่ ๓)] กับองค์การไม้เขตร้อนระหว่างประเทศ (International Tropical Timber Organization : ITTO) โดยร่างความตกลงโครงการฯ ระยะที่ ๓ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ โครงการฯ ระยะที่ ๓ จะนำบทเรียนจากการดำเนินงานโครงการฯ ระยะที่ ๑ และ ๒ มาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาและข้อจำกัดต่าง ๆ ที่ยังคงมีอยู่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและกิจกรรมในการส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนในโครงการ ๑.๑.๒ เป้าประสงค์ของโครงการฯ ระยะที่ ๓ คือ ส่งเสริมการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพบริเวณชายแดนระหว่างประเทศไทย กัมพูชา และลาว โดยมีวัตถุประสงค์เฉพาะของโครงการเพื่อเสริมสร้างการป้องกันถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าในบริเวณผืนป่าสามเหลี่ยมมรกต โดยมีการดำเนินงานและการพัฒนาในด้านความร่วมมือตามแผนการจัดการระยะยาว และการบูรณาการงานด้านการอนุรักษ์กับการพัฒนาซึ่งเป็นกรอบงานเพื่อดูแลรักษาและฟื้นฟูพื้นที่ป่าไม้ถาวรระหว่างประเทศทั้งสามประเทศ ๑.๑.๓ ผลผลิตของโครงการฯ ระยะที่ ๓ ประกอบด้วย (๑) แผนการจัดการและดำเนินการในการพัฒนาด้านความร่วมมือและการบูรณาการ งานด้านการอนุรักษ์กับการพัฒนา ซึ่งรวมถึงผลจากการวิจัยถึงชนิดพันธุ์สัตว์ป่าที่มีถิ่นที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ต่าง ๆ และกระบวนการทางนิเวศวิทยาที่สอดคล้องกันระหว่างประเทศที่ร่วมโครงการ (๒) การเสริมสร้างศักยภาพและขีดความสามารถของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการประเมินและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และ (๓) ชุมชนท้องถิ่นจะได้รับการส่งเสริมความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น จากการดำเนินการในกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นการลดการพึ่งพิงทรัพยากรธรรมชาติจากพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ๑.๑.๔ เมื่อโครงการฯ ระยะที่ ๓ สิ้นสุด คาดว่าจะทำให้พื้นที่อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพบริเวณชายแดนมีความมั่นคงมากขึ้น ซึ่งจะช่วยในการเคลื่อนย้ายถิ่นและการอยู่รอดในระยะยาวของสัตว์ป่าเลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ในบริเวณผืนป่าอนุรักษ์สามเหลี่ยมมรกต ๑.๒ ให้อธิบดีกรมป่าไม้เป็นผู้ลงนามในความตกลงโครงการฯ ระยะที่ ๓ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) เพื่อให้อธิบดีกรมป่าไม้เป็นผู้แทนลงนามในความตกลงโครงการฯ ระยะที่ ๓ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด เกี่ยวกับการจัดทำความตกลงโครงการฯ เป็นความร่วมมือระหว่างไทย กัมพูชา และลาว ซึ่งยังคงมีปัญหาการปักปันเขตแดนในบริเวณพื้นที่สามเหลี่ยมมรกตที่ยังไม่ได้ข้อยุติ การดำเนินการใด ๆ ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้มีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ และในการดำเนินโครงการฯ เห็นควรนำข้อมูลจากระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ที่มีอยู่แล้วของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ.) มาใช้ประโยชน์ทั้งในด้านการวิจัย การอนุรักษ์ และการจัดการ เพื่อเป็นการใช้ทรัพยากรข้อมูลที่มีอยู่แล้วให้เกิดประโยชน์สูงสุด และให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินงานตามหลักกฎหมายนานาชาติ โดยเฉพาะอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิก รวมทั้งสอดคล้องกับกฎหมายภายในประเทศ อาทิ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และควรมีการศึกษาวิจัยร่วมกันเกี่ยวกับชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและกระบวนการทางนิเวศวิทยาในพื้นที่ของโครงการ โดยเป็นความร่วมมือระหว่างกรมป่าไม้ สถานศึกษา และหน่วยงานที่เป็นแหล่งทุนสนับสนุนการวิจัยของประเทศ เพื่อให้เกิดประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ควบคู่กัน ทั้งนี้ ข้อมูลสารสนเทศ GIS และผลการศึกษาวิจัยที่ได้จากโครงการฯ ควรขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณากลั่นกรองข้อมูลก่อนนำไปเผยแพร่ เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าและพันธุ์พืชในเขตอนุรักษ์สามเหลี่ยมมรกต ซึ่งอยู่ในภาวะถูกคุกคามอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
968 | ขออนุมัติต่ออายุสัญญาเงินกู้วงเงิน 800 ล้านบาท ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการต่ออายุสัญญาเงินกู้ วงเงิน ๘๐๐ ล้านบาท ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ต่อไปอีก ๑ ปี ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) สำหรับใช้ในกรณีที่ รฟท. อาจขาดเงินทุนหมุนเวียนในช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อไม่ให้กระทบต่อการดำเนินงาน โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน พร้อมยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกันให้ รฟท. ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการเพื่อฟื้นฟูฐานะการเงิน เน้นการเพิ่มรายได้เชิงพาณิชย์ควบคู่ไปกับการควบคุมและลดค่าใช้จ่ายลงเพื่อบรรเทาภาวะการขาดสภาพคล่องทางการเงินในระยะยาว และเนื่องจาก รฟท. มีโครงการที่จะต้องดำเนินการตามแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับอนุมัติไว้แล้ว โดยใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนมากทั้งโครงการปรับปรุงทาง โครงการรถไฟทางคู่ และโครงการรถไฟความเร็วสูง จึงเห็นควรเร่งรัดพิจารณาแผนการปรับโครงสร้างองค์กร แผนการปรับปรุงประสิทธิภาพและศักยภาพการให้บริการ และแผนการบริหารจัดการหน่วยธุรกิจของ รฟท. เพื่อให้สามารถสร้างรายได้ที่เพียงพอกับการชำระหนี้ที่มีอยู่เดิมและภาระการลงทุนในอนาคต แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจและคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
969 | สรุปรายงานภาวะสังคมไตรมาสสี่ และภาพรวมปี 2554 | นร | 13/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานภาวะสังคมไตรมาสสี่ และภาพรวมปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจ้างงาน และรายได้ ๑.๑ ในไตรมาส ๔/๒๕๕๔ การจ้างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๙ และการว่างงานต่ำร้อยละ ๐.๖ หรือมีผู้ว่างงาน ๒๔๕,๘๙๐ คน ในขณะเศรษฐกิจหดตัวมากถึงร้อยละ ๙.๐ การว่างงานที่อยู่ในระดับต่ำเนื่องจาก (๑) สาขาก่อสร้าง ค้าปลีกและค้าส่งยังจ้างงานเพิ่มขึ้น (๒) ผู้ประกอบการบางส่วนอยู่ในช่วงที่ขาดฐานข้อมูลแรงงานที่จะใช้ดำเนินการเจรจายุติการจ้างงานและผู้ประกอบการอีกส่วนหนึ่งรักษาการจ้างงานไว้แม้ว่ากิจกรรมการผลิตชะงักลงเนื่องจากขาดแคลนแรงงานทักษะอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมีโครงการชะลอการเลิกจ้าง (๓) การลดการจ้างงานส่วนหนึ่งเป็นการลดชั่วโมงการทำงาน แรงงานที่ทำงานเพียงน้อยชั่วโมงจึงมีจำนวนมากขึ้น ชี้ถึงการว่างงานแฝงที่ไม่ก่อให้เกิดผลผลิตทางเศรษฐกิจและไม่สร้างรายได้ และ (๔) แรงงานรอฤดูกาลภาคเกษตรเพิ่มขึ้นมากซึ่งไม่ถูกนับเป็นผู้ว่างงาน ๑.๒ การจ้างงานรวมทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๑ และอัตราการว่างงานเฉลี่ยร้อยละ ๐.๗ รายได้แท้จริงแรงงานเฉลี่ยทั้งปีเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๘ ชะลอลงจากปีก่อนหน้า แม้ว่าตลาดแรงงานในภาพรวมตึงตัว แต่พบว่ายังมีการทำงานที่ไม่เต็มศักยภาพอยู่อีกมากซึ่งนับว่าเป็นการว่างงานแฝงอยู่ในรูปของการทำงานที่ไม่ก่อให้เกิดผลผลิตทางเศรษฐกิจได้อย่างเต็มศักยภาพ (Economically inactive) ส่วนใหญ่เป็นการทำงานต่ำระดับเนื่องจากคุณสมบัติของแรงงานไม่ตรงกับความต้องการของตลาด รวมทั้งแรงงานไร้ทักษะในภาคเกษตร อันเป็นผลจากการจัดการศึกษาที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานและคุณภาพแรงงานต่ำ ทั้งนี้ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มีประเด็นที่ต้องติดตามและเฝ้าระวังผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตแรงงาน คือ (๑) ความเสี่ยงต่อการเลิกจ้างในช่วงครึ่งแรกของปี ทั้งเนื่องจากการสิ้นสุดระยะเวลา ๓ เดือนของโครงการป้องกันและบรรเทาการเลิกจ้าง และการปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำเฉลี่ยร้อยละ ๓๙.๕ ในเดือนเมษายน (๒) การติดตามการฟื้นฟูและเยียวยาแรงงานในช่วงหลังภัยพิบัติให้กลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นโดยเฉพาะแรงงานรายวันและแรงงานจ้างเหมาซึ่งมีความเสี่ยงที่จะไม่ได้กลับไปทำงาน (๓) การเร่งพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและการเร่งเตรียมความพร้อมแรงงานในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และ (๔) การทบทวนลักษณะการใช้ข้อมูลการจ้างงาน การว่างงาน และแรงงานรอฤดูกาลในการจัดทำนโยบายแรงงาน ให้มีรายละเอียดที่สะท้อนเชื่อมโยงถึงผลผลิตทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น รายได้และคุณภาพชีวิตได้ดีขึ้น ๒. ด้านสุขภาพ การเจ็บป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็น ๑,๗๙๐,๒๗๕ ราย ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๙.๒ โดยพบผู้ป่วยโรคความดันโลหิตมากที่สุด ด้านสุขภาพจิตต้องเฝ้าระวังและมีมาตรการป้องกันด้านจิตเวชมากขึ้นเนื่องจากมีผู้ป่วยด้วยโรคจิตเวชที่เข้ารับบริการรักษามีจำนวนเพิ่มขึ้น และผลการสำรวจแสดงว่าความสุขมวลรวมของคนไทยลดลงในเดือนมกราคม ๒๕๕๕ ๓. ด้านพฤติกรรมและความเป็นอยู่ของคนในสังคมไทย มีประเด็นเฝ้าระวังหลายด้าน ได้แก่ ๓.๑ คนไทยอายุ ๑๕ ปีขึ้นไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก ๙ เท่าตัว และต้องเฝ้าระวังในกลุ่มเด็กและเยาวชนอายุ ๑๕ - ๒๔ ปี จากการสำรวจข้อมูลพฤติกรรมการสูบบุหรี่และการดื่มสุราของประชากรอายุ ๑๕ ปีขึ้นไป พบว่า กลุ่มเด็กและเยาวชนวัย ๑๕ - ๒๔ ปี ยังคงมีอัตราการดื่มสุราที่สูงเมื่อเทียบกับกลุ่มอายุอื่นโดยมีสัดส่วนร้อยละ ๒๓.๗ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ลดลงเพียงเล็กน้อยจากร้อยละ ๒๔.๓ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบตัวที่ล่อแหลมทั้งการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่อยู่ใกล้สถานศึกษา การโฆษณาผ่านสื่อต่าง ๆ รวมถึงการหาซื้อได้ง่ายและสะดวก เป็นต้น ๓.๒ การเผยแพร่ภาพไม่เหมาะสมในสังคมออนไลน์มีจำนวนเพิ่มขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ส่วนใหญ่เป็นเว็บเผยแพร่คลิปหลุด คลิปแอบถ่าย โป๊ เปลือย หรือเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมต่อเด็กและเยาวชน การจัดการกับปัญหาการเผยแพร่ที่ไม่เหมาะสมต้องป้องกันควบคู่กับการปราบปรามด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน และเปิดโอกาสให้สาธารณชนมีส่วนร่วมในการรายงานเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม รวมทั้งการร่วมสร้างพื้นที่สื่อสร้างสรรค์เพิ่มขึ้นและเป็นการเปิดพื้นที่ให้กับเด็กและเยาวชนให้มากขึ้น ๓.๓ คุณแม่วัยใสยังคงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องและมีสถิติสูงสุดในเอเชีย โดยอัตราการคลอดบุตรของหญิงไทยอายุต่ำกว่า ๒๐ ปี เพิ่มจาก ๑๓.๕๕ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็น ๑๓.๗๖ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ประเทศไทยมีผู้หญิงอายุต่ำกว่า ๒๐ ปีที่ตั้งครรภ์มี ๗๐ คน ต่อผู้หญิงวัย ๑๕ - ๑๙ ปี ๑,๐๐๐ คน และปัจจุบันการตั้งครรภ์ของผู้หญิงไทยที่อายุต่ำกว่า ๒๐ ปี เพิ่มขึ้นเป็น ๙๐ - ๑๐๐ คน ๔. คดีอาญา โดยรวมเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะยาเสพติดยังเป็นปัญหาสำคัญที่รุนแรงขึ้นทั้งปริมาณและลักษณะการต่อสู้การจับกุม ช่องทางเครือข่ายการจำหน่ายยาเสพติดในทัณฑสถานยังเป็นปัญหาต่อเนื่อง ในรอบปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มีคดียาเสพติดเพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ร้อยละ ๓๐ สะท้อนทั้งสภาพปัญหาที่มีมากขึ้นและการปราบปรามที่เป็นเชิงรุก รวมทั้งมีปัญหายาไอซ์บุกเข้าสู่ตลาดวัยรุ่นแทนยาบ้า และเริ่มแพร่ระบาดในระดับชุมชน สถานศึกษา สถานประกอบการ กลุ่มเสี่ยงที่เป็นนักเสพหน้าใหม่ยังคงเป็นกลุ่มวัยรุ่นอายุ ๑๕ - ๑๙ ปี
|
|||||||||||||||||||||||||||
970 | การแก้ไขปัญหาหมอกควันในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน | นร | 13/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาหมอกควันในพื้นที่ ๘ จังหวัดภาคเหนือตอนบน ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) ในฐานะที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ ๑๕ (จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และแม่ฮ่องสอน) และเขตตรวจราชการที่ ๑๖ (จังหวัดเชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน) ได้จัดประชุมติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งมอบนโยบายเพื่อเร่งรัดให้มีการแก้ไขปัญหาหมอกควันให้ลดลงโดยเร็วในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง และแม่ฮ่องสอน ระหว่างวันที่ ๖ - ๗, ๑๐ และ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามลำดับ โดยได้จัดกิจกรรมรณรงค์ลดปัญหาหมอกควัน “หยุดเผาเพื่อลมหายใจ” (NO BURN) ในทั้ง ๘ จังหวัดภาคเหนือตอนบน และกำหนดมาตรการเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาหมอกควัน ซึ่งหลังจากการดำเนินกิจกรรมและมาตรการเร่งด่วนแล้ว พบว่าปริมาณการเผาและหมอกควันสามารถควบคุมได้และเริ่มทรงตัว ยกเว้นจังหวัดเชียงรายและแม่ฮ่องสอน โดยจังหวัดเชียงรายมีปริมาณหมอกควันเพิ่มขึ้นสูงถึง ๔๓๗ ไมโครกรัม จึงได้จัดให้มีการประชุมแผนปฏิบัติการกับจังหวัดเชียงรายเป็นกรณีพิเศษ เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๕ และสามารถลดปริมาณการเผาในพื้นที่จังหวัดเชียงรายได้ทั้งหมดจนกระทั่งลดปริมาณหมอกควันเหลือ ๓๒๙ ไมโครกรัม สำหรับจังหวัดแม่ฮ่องสอนมีปริมาณหมอกควันลดลงจาก ๓๕๙ ไมโครกรัม เหลืออยู่ที่ ๒๓๔ ไมโครกรัม เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีชนเผ่าอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และเป็นพื้นที่กว้างยากต่อการติดต่อสื่อสาร ประกอบกับเป็นจังหวัดที่มีชายแดนติดต่อกับประเทศพม่าทำให้มีปริมาณหมอกควันถูกพัดพาเข้ามาเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ปริมาณหมอกควันยังอยู่ในเกณฑ์ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน ซึ่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) จะได้ติดตามและแก้ไขปัญหาต่อไป ๒. ภาพรวมทุกจังหวัดจะมีมาตรการ ดังนี้ ๒.๑ ห้ามมิให้มีการเผาวัชพืช ขยะมูลฝอยทุกชนิด ฝ่าฝืนปรับ ๒,๐๐๐ บาท ๒.๒ ห้ามมิให้มีการเผาป่า ฝ่าฝืนปรับสูงสุดไม่เกิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท และจำคุกสูงสุด ๑๕ ปี ๒.๓ ให้ศูนย์เฉพาะกิจควบคุมและแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าจังหวัด ประชาสัมพันธ์ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า ๑๐ ไมครอน (PM10) และคุณภาพอากาศ (AQI) ทุกวัน ค่าที่เกินมาตรฐานและเป็นอันตรายต่อสุขภาพของพี่น้องประชาชน ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนดำเนินการฉีดพ่นน้ำเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นในอากาศ เพื่อลดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า ๑๐ ไมครอน (PM10) จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย ๒.๔ ให้ส่วนราชการทุกส่วนทั้งราชการบริหารส่วนกลางที่มีที่ทำงานตั้งอยู่ในจังหวัด ราชการส่วนภูมิภาค และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้การสนับสนุนการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า ทั้งในด้านงบประมาณ บุคลากร และเครื่องไม้เครื่องมือในการดับไฟ ๒.๕ ให้สถานีวิทยุและวิทยุชุมชนทุกสถานีออกข่าวประกาศมาตรการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะเข้าสู่ฤดูฝน โดยออกอากาศทั้งภาษาไทยและภาษาท้องถิ่น รวมทั้งขอความร่วมมือสถานศึกษาให้จัดทำประกาศจังหวัดเป็นภาษากลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูง ทุกภาษา เพื่อครอบคลุมการประชาสัมพันธ์มาตรการของจังหวัดดังกล่าว ๒.๖ ให้สาธารณสุขจังหวัดและโรงพยาบาลจัดเตรียมแพทย์และเวชภัณฑ์ให้เพียงพอในการให้บริการแก่ประชาชนกรณีที่ได้รับผลกระทบจากภาวะหมอกควันและไฟป่า ตลอดจนให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพประชาชนในช่วงที่เกิดวิกฤตหมอกควันและไฟป่า ๒.๗ จัดชุดประชาสัมพันธ์เคลื่อนที่รณรงค์และแจ้งเตือนประชาชนขอความร่วมมือในการงดเผาทุกชนิด ทั้งในพื้นที่เกษตรกรรมและในเขตป่าสงวนแห่งชาติและป่าอนุรักษ์อย่างต่อเนื่องจนกว่าจะสิ้นสุดสถานการณ์ปัญหาหมอกควันและไฟป่า ๒.๘ จัดให้มีหน่วยงานและผู้บริหารราชการรับผิดชอบเป็นรายพื้นที่ให้ครอบคลุมทุกอำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ทั้งในพื้นที่เกษตรกรรมของประชาชน รวมถึงพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติและป่าอนุรักษ์ ๒.๙ จัดให้มีอาสาสมัครรณรงค์และช่วยเหลือพนักงานเจ้าหน้าที่ในการดับไฟป่าให้ครอบคลุมทุกพื้นที่
|
|||||||||||||||||||||||||||
971 | สรุปภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมปี 2554 และแนวโน้มปี 2555 และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนมกราคม 2555 | อก | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และแนวโน้มปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนมกราคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และแนวโน้มปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๑ เศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ในไตรมาสที่ ๓ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ขยายตัวร้อยละ ๓.๕ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ ๒ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ขยายตัวร้อยละ ๒.๗ แต่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ ๓ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่ขยายตัวร้อยละ ๖.๖ โดยปัจจัยที่ทำให้อัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ ๒ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ คือ อุปสงค์ต่างประเทศขยายตัวสูงขึ้นในขณะที่อุปสงค์ในประเทศรวมขยายตัวชะลอลง โดยการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของครัวเรือนและการลงทุนขยายตัวชะลอลง ในขณะที่การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของรัฐบาลขยายตัวสูงขึ้นเล็กน้อย การส่งออกสินค้าขยายตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ คาดว่าทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๒ ภาคอุตสาหกรรม ในช่วงเดือนมกราคม - ตุลาคม ๒๕๕๔ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากช่วงเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยมีอุตสาหกรรม Hard Disk Drive และยานยนต์ เป็นอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีลดลง ส่วนการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาคเอกชน มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ๑.๓ สถานการณ์การค้าต่างประเทศของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ในเดือนมกราคม - ตุลาคม ๒๕๕๔ การค้าของไทยมีมูลค่าทั้งสิ้น ๓๘๙,๒๖๖.๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ ๒๕.๙ โดยเป็นมูลค่าการส่งออกเท่ากับ ๑๙๖,๗๖๘.๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ ๑๙๒,๔๙๘.๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่ามูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๒.๘ และมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๙.๑ ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล ๔,๒๗๐.๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ๑.๔ การลงทุนที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ในช่วงเดือนมกราคม - กันยายน ๒๕๕๔ มีมูลค่า ๒๗๔,๐๐๐ ล้านบาท โดยคาดว่าทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จะมีมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุน ๕๐๐,๐๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ซึ่งมีมูลค่าการลงทุน ๔๙๑,๑๐๐ ล้านบาท เนื่องจากมีกิจการลงทุนขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น ๑.๕ แนวโน้มภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ คาดว่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จะขยายตัวในช่วงร้อยละ ๖.๐ - ๗.๐ ส่วนผลิตภัณฑ์มวลรวม หรือ GDP ของภาคอุตสาหกรรม (มูลค่า ณ ราคาคงที่) ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จะขยายตัวในช่วงร้อยละ ๕.๐ - ๖.๐ ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนมกราคม ๒๕๕๕ ๒.๑ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม สถานการณ์การผลิตคาดว่าจะยังชะลอตัวต่อเนื่องจากปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้น ที่ส่งผลต่ออุตสาหกรรมสิ่งทอทั้งระบบ และคาดว่าจะสามารถฟื้นฟูให้สามารถกลับมาผลิตได้เต็มที่ภายในไตรมาสที่ ๒ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยปัจจัยเสี่ยงของอุตสาหกรรมการส่งออกสิ่งทอยังมีผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในตลาดส่งออกหลักอย่างสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรปที่ยังชะลอตัว สำหรับการจำหน่ายในประเทศคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนโดยเฉพาะเสื้อผ้าสำเร็จรูป ที่นอนและเครื่องนอน ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม เนื่องจากความต้องการภาคประชาชนยังมีอยู่ ส่งผลให้การจำหน่ายสินค้าในภาพรวมเพิ่มขึ้น ๒.๒ อุตสาหกรรมรถยนต์ คาดว่าจะขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม ๒๕๕๔ เนื่องจากโรงงานผลิตรถยนต์เริ่มกลับมาผลิตได้เป็นปกติอีกครั้ง สำหรับการผลิตรถยนต์ในเดือนมกราคม ๒๕๕๕ ประมาณการว่าจะมีการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศร้อยละ ๔๙ และส่งออกร้อยละ ๕๑ ๒.๓ อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ประมาณการแนวโน้มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าจะปรับตัวลดลงร้อยละ ๙.๙๖ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนการประมาณการอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์มีการปรับตัวลดลงร้อยละ ๓๐.๒๑ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
|
|||||||||||||||||||||||||||
972 | นายกรัฐมนตรีนำคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศและคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเข้าเฝ้าฯ | นร | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ นายกรัฐมนตรีได้นำคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) และคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) เข้าเฝ้าฯ กราบบังคมทูลรายงานเกี่ยวกับแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย ซึ่งมีเรื่องสำคัญที่จะต้องเร่งรัดดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
๑. ปัญหาอุทกภัยมีสาเหตุสำคัญ คือ ความเสื่อมโทรมและการบุกรุกทำลายป่าไม้ โดยเฉพาะป่าไม้ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นน้ำ ซึ่งนอกจากจะทำให้ไม่สามารถเก็บกักน้ำตามแหล่งต้นน้ำลำธารตามธรรมชาติแล้วยังทำให้เกิดการกัดเซาะผิวดินและเกิดปัญหาดินโคลนถล่มด้วย จึงควรเร่งดำเนินการปลูกป่าในพื้นที่ต้นน้ำลำธาร โดยปลูกไม้ ๒ ประเภท ปลูกสลับกัน คือ ไม้เนื้ออ่อนที่โตเร็วแต่อาจจะยึดเกาะผิวดินได้น้อย และไม้เนื้อแข็งที่เป็นไม้มีคุณภาพและมีรากที่ลึกสามารถยึดเกาะผิวดินได้ดีกว่า ทั้งนี้ หากปลูกไม้แต่เพียงประเภทใดประเภทหนึ่งก็อาจจะไม่สามารถบรรลุถึงวัตถุประสงค์ที่จะฟื้นฟูแหล่งต้นน้ำได้ ๒. ปัญหาการบริหารจัดการในการกักเก็บและระบายน้ำออกจากเขื่อนจะต้องบริหารจัดการบนพื้นฐานด้านข้อมูลทางวิชาการ โดยการปล่อยน้ำจะต้องปล่อยอย่างสม่ำเสมอ และต้องคำนึงถึงการใช้น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะแก่การเพาะปลูกของเกษตรกรและการใช้ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้สอดคล้องกับสภาวะอากาศและภัยแล้งที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้ ควรมีการทบทวนปริมาณน้ำที่ปล่อยออกจากเขื่อนหลักทุก ๆ เดือน ให้อยู่ในอัตราที่เหมาะสมและสามารถรองรับอุทกภัยได้ ๓. ปัญหาการระบายน้ำทางฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานครที่จะต้องเร่งรัดแก้ไขอุปสรรคที่กีดขวางคูคลองที่จะระบายน้ำ โดยเฉพาะทางฝั่งตะวันตกที่จะใช้แก้มลิงบริเวณคลองสนามชัย/มหาชัยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยระบายน้ำในช่วงเวลาน้ำขึ้นและน้ำลงของระดับน้ำทะเล รวมทั้งปัญหาทางฝั่งตะวันออกที่มีโรงงานขนาดเล็กที่ก่อสร้างขึ้นในช่วงหลังและกีดขวางทางน้ำ ซึ่งอาจจะขยายการระบายน้ำในแนวลึก หรือใช้ท่อลอดเพื่อเร่งระบายน้ำไปสู่สถานีระบายน้ำชายทะเล เช่น สถานีระบายน้ำบริเวณใต้สนามบินสุวรรณภูมิ เป็นต้น ๔. ปัญหาการบุกรุกทำลายป่าในปัจจุบันมีความรุนแรงมากขึ้น รวมทั้งมีเจ้าหน้าที่ของรัฐที่แสวงประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่ และละเลยในการแก้ไขฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าไม้ หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจึงต้องเร่งดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||
973 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 4 ทั้งปี 2554 และแนวโน้มปี 2555 | นร | 22/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ ๔ ทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ ๔ หดตัวร้อยละ ๙.๐ เทียบกับช่วงเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ หรือหดตัวร้อยละ ๑๐.๗ เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว เป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบปีเทียบกับ ๓ ไตรมาสแรกที่ขยายตัวต่อเนื่องร้อยละ ๓.๒ ๒.๗ และ ๓.๗ ตามลำดับ สาเหตุสำคัญมาจากเหตุการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในช่วงปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ผ่านมา ทำให้ภาคการผลิตสาขาอุตสาหกรรม การบริโภค การลงทุน การท่องเที่ยว และการส่งออกหดตัว ยกเว้นภาคเกษตรกรรมที่ยังขยายตัวเล็กน้อย โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๑.๑ ภาคการผลิตสาขาอุตสาหกรรม หดตัวร้อยละ ๒๑.๘ เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ ๓.๑ ในไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากโรงงานอุตสาหกรรมและระบบโลจิสติกส์ในพื้นที่ประสบอุทกภัยได้รับความเสียหายและกระทบต่อห่วงโซ่การผลิต อัตราการใช้กำลังการผลิตรวมอยู่ที่ระดับร้อยละ ๔๖.๔ ลดลงจากร้อยละ ๖๔.๕ และ ๖๔.๒ ในไตรมาสก่อนและช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ตามลำดับ รวมทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สาขาอุตสาหกรรมหดตัวร้อยละ ๔.๓ ๑.๒ การใช้จ่ายภาคครัวเรือน หดตัวร้อยละ ๓.๐ เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ ๒.๔ ในไตรมาสก่อน เนื่องจากผลกระทบของอุทกภัย โดยยอดจำหน่ายสินค้าคงทนลดลงมากถึงร้อยละ ๒๑.๘ และความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงอยู่ที่ระดับ ๖๒.๓ เทียบกับ ๗๓.๕ ในไตรมาสที่แล้ว รวมทั้งผู้บริโภคมีความกังวลต่อสถานการณ์ค่าครองชีพที่อาจปรับตัวสูงขึ้นหลังน้ำท่วม ประกอบกับรายได้เกษตรกรลดลงเนื่องจากราคาสินค้าเกษตรหลัก ๆ ลดลง เช่น ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และมันสำปะหลัง เป็นต้น รวมทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๔ การใช้จ่ายภาคครัวเรือนขยายตัวร้อยละ ๑.๓ ๑.๓ การลงทุนภาคเอกชน หดตัวร้อยละ ๑.๓ เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ ๙.๑ ในไตรมาสที่ผ่านมา เป็นผลมาจากเหตุการณ์อุทกภัยและความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ส่งผลให้การลงทุนในหมวดเครื่องจักรเครื่องมือหดตัวลงร้อยละ ๒.๔ ในขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของนักธุรกิจ (Business Sentiment Index : BSI) เฉลี่ยในไตรมาสนี้อยู่ที่ระดับ ๔๑.๔ ลดลงจากระดับ ๕๐.๖ ในไตรมาสที่ผ่านมา รวมทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๔ การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ ๗.๒ โดยการลงทุนรวมทั้งปีขยายตัวร้อยละ ๓.๓ ๑.๔ ภาคการส่งออก ในรูปดอลลาร์สหรัฐ มีมูลค่า ๔๙,๑๖๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๕.๒ เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ ๒๗.๓ ในไตรมาสที่ผ่านมา เป็นผลมาจากภาคการผลิต โดยเฉพาะสาขาอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัย ประกอบกับปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป รวมทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๔ การส่งออกมีมูลค่า ๒๒๕,๓๖๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ ๑๖.๔ โดยตลาดสำคัญที่ยังคงขยายตัวได้ดีคือ จีน เกาหลีใต้ และอาเซียน ๑.๕ ภาคการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาเมืองไทยในไตรมาสสุดท้าย มีจำนวน ๔.๔ ล้านคน ลดลงร้อยละ ๔.๔ เนื่องจากเหตุการณ์อุทกภัยที่ผ่านมา โดยมีรายได้จากการท่องเที่ยว ๑๘๘,๐๗๕ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๘ จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนอัตราการเข้าพักอยู่ที่ระดับร้อยละ ๕๕.๗ ปรับตัวสูงขึ้นจากร้อยละ ๕๔.๓ ในไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในสาขาโรงแรมและภัตตาคารหดตัวร้อยละ ๕.๓ เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ ๑๐.๒ ในไตรมาสที่แล้ว รวมทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเมืองไทย ๑๙.๑ ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๙.๘ ๑.๖ ภาคเกษตรกรรม ขยายตัวเล็กน้อยร้อยละ ๐.๗ เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของผลผลิตสำคัญ เช่น ยางพารา มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน ในขณะที่พื้นที่ปลูกข้าวบางส่วนได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ทำให้มีผลผลิตลดลง เกษตรกรมีรายได้ลดลงร้อยละ ๐.๗ เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ ๗.๘ ในไตรมาสก่อน รวมทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ภาคเกษตรกรรมขยายตัวร้อยละ ๓.๘ ราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๒.๒ ส่งผลให้รายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้น ๑๗.๙ โดยรวมเศรษฐกิจไทยปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ขยายตัวเพียงร้อยละ ๐.๑ โดยมีสาเหตุหลักมาจากปัญหาอุทกภัยที่สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจและทรัพย์สินของประชาชนเป็นจำนวนมาก และส่งผลกระทบต่อ GDP ในราคาประจำปี คิดเป็นมูลค่าถึง ๓๒๘,๑๕๔ ล้านบาท โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังอยู่ในระดับปานกลางที่ร้อยละ ๓.๘ และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ๑๑,๘๖๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือร้อยละ ๓.๔ ของ GDP ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี พ.ศ. ๒๕๕๕ คาดว่าจะสามารถฟื้นตัวได้ในไตรมาสที่สอง และทั้งปีขยายตัวได้ในช่วงร้อยละ ๕.๕ - ๖.๕ โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนจากการลงทุนเพื่อการบริหารจัดการน้ำของภาครัฐ ทั้งในส่วนของการลงทุนเพื่อปรับปรุงฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย และการก่อสร้างเพิ่มเติม รวมถึงการดำเนินมาตรการสนับสนุนด้านสินเชื่อและมาตรการภาษีที่มีส่วนสำคัญต่อการฟื้นฟูทั้งภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการ ประกอบกับการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการเพิ่มรายได้ของประชาชนจะทำให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ภาคการผลิตมีแนวโน้มที่คาดว่าจะสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้อุปสงค์ในประเทศโดยเฉพาะการลงทุนของภาคเอกชนขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนอุปสงค์ต่างประเทศน่าจะยังขยายตัวได้ดีเนื่องจากคู่ค้าสำคัญในภูมิภาคเอเชีย เช่น อาเซียน จีน และอินเดีย ยังมีศักยภาพที่จะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ ๓.๕ ถึง ๔.๐ การบริโภคครัวเรือนขยายตัวร้อยละ ๔.๔ การลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๑๔.๒ มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ ๑๗.๒ และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลประมาณร้อยละ ๑.๒ ของ GDP ๓. ประเด็นการบริหารนโยบายเศรษฐกิจในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ควรให้ความสำคัญในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ ๓.๑ การเร่งป้องกันผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยในชุมชนและฐานการผลิตที่สำคัญ รวมทั้งเร่งรัดการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัยซ้ำซ้อนและป้องกันปัญหาการขาดแคลนน้ำ ๓.๒ การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ โดยเฉพาะรายจ่ายด้านการลงทุน ๓.๓ การบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับรองรับความเสี่ยงด้านความผันผวนของระบบการเงินโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ๓.๔ การดูแลราคาสินค้าที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นให้เป็นธรรมทั้งต่อผู้บริโภคและผู้ผลิต ๓.๕ การดำเนินนโยบายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างอนาคตของประเทศ เช่น การสร้างรายได้ให้ผู้มีรายได้น้อย นโยบายพลังงาน การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการส่งเสริมการลงทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนา เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
974 | การให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย | อก | 13/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัยและการสร้างภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในภาคอุตสาหกรรม เพิ่มเติม ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินการฟื้นฟู เยียวยานิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม และสวนอุตสาหกรรม ๗ แห่ง ที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาและปทุมธานี ได้แก่ นิคมสหรัตนนคร นิคมไฮเทค นิคมบางปะอิน นิคมโรจนะ นิคมแฟคตอรี่แลนด์ นิคมนวนคร และนิคมบางกะดี ขณะนี้มีโรงงานประกอบกิจการแล้ว ๓๒๘ ราย ๒. การดำเนินการฟื้นฟูโรงงานขนาดใหญ่ และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ประสบอุทกภัย ซึ่งตั้งอยู่นอกเขตนิคมอุตสาหกรรม ขณะนี้มีโรงงาน สถานประกอบการอุตสาหกรรม วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และวิสาหกิจชุมชน เปิดดำเนินการแล้ว ๑,๐๐๙ ราย ๓. มาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ๓.๑ ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์และวัตถุดิบที่นำมาทดแทนเครื่องจักรอุปกรณ์และวัตถุดิบนำเข้าที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย จำนวน ๓๑๒ โครงการ มูลค่ารวม ๒๙,๐๐๐ ล้านบาท ๓.๒ อนุมัติวีซ่าและใบอนุญาตทำงานแก่บริษัทที่ได้รับการส่งเสริม จำนวน ๘๑ บริษัท ผู้เชี่ยวชาญต่างชาติ จำนวน ๓๕๖ ราย ๓.๓ อนุญาตให้ส่งออกเครื่องจักรและวัตถุดิบไปต่างประเทศ และการย้ายเครื่องจักรและวัตถุดิบไปต่างประเทศ หรืออยู่นอกโครงการเป็นการชั่วคราว สำหรับผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนที่ประสบอุทกภัย โดยดำเนินการอนุญาตอย่างเร่งด่วนได้ภายในวันเดียวกับที่บริษัทยื่นเรื่อง จำนวน ๒๐๐ โครงการ ๓.๔ เพิ่มสิทธิประโยชน์หรือยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีเงินได้ให้ผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายทั้งในกรณีทำการผลิตชั่วคราวหรือลงทุนใหม่ เพื่อฟื้นฟูธุรกิจในประเทศ ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างการออกประกาศ ๔. โครงการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย ๔.๑ โครงการจัดตั้งศูนย์พักพิงอุตสาหกรรม เป็นการจัดตั้งศูนย์สำหรับเป็นพื้นที่สำนักงานและโรงงานชั่วคราวสำหรับสถานประกอบการและวิสาหกิจชุมชนที่ประสบอุทกภัย เพื่อการผลิต จัดเก็บอุปกรณ์เครื่องจักรและซ่อมแซมเครื่องจักร ณ สำนักงานอำนวยการศูนย์พักพิง บริเวณตลาดโรงเกลือประตูน้ำพระอินทร์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน ๑๑๔ ราย ประกอบด้วย สถานประกอบการอุตสาหกรรม จำนวน ๖๕ ราย และวิสาหกิจชุมชน จำนวน ๖๑ ราย มีการใช้พื้นที่แล้วรวม ๑๖,๐๒๐ ตารางเมตร จากพื้นที่ ๒๐,๐๐๐ ตารางเมตร คงเหลือพื้นที่สามารถรองรับสถานประกอบการได้อีก ๓,๙๘๐ ตารางเมตร ๔.๒ โครงการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และกากอุตสาหกรรมในสถานประกอบการที่ประสบอุทกภัย ได้ส่งทีมวิศวกรออกปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือ เพื่อดูแล ตรวจสอบ และแนะนำเรื่องความปลอดภัยในการทำงาน การดูแลรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การกำจัดกากอุตสาหกรรมทั้งชนิดอันตรายและไม่อันตรายและแก้ไขการปนเปื้อนของสารพิษ สารเคมี โดยเก็บรวบรวมข้อมูลสถานประกอบการ จำนวน ๓๐๖ ราย หรือร้อยละ ๑๕.๓ ของโรงงานเป้าหมายทั้งหมด (๒,๐๐๐ โรงงาน) ๔.๓ โครงการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ดิน และการปนเปื้อนของสารพิษอุตสาหกรรมในสถานประกอบการทั้งภายในและภายนอกนิคม มีการเก็บและวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำ ดินและสารปนเปื้อนของสารพิษอุตสาหกรรมทั้งในและนอกนิคมในพื้นที่ ๑๔ จังหวัดที่ประสบอุทกภัย มุ่งเน้นสถานประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม/เขตประกอบการอุตสาหกรรม และสวนอุตสาหกรรม ๗ แห่ง ที่ประสบอุทกภัย โดยดำเนินการเก็บตัวอย่างและวิเคราะห์ผลแล้ว จำนวน ๓๗๒ ตัวอย่าง หรือร้อยละ ๓๑ ของตัวอย่างทั้งหมด (๑,๒๐๐ ตัวอย่าง) ๔.๔ โครงการคลินิกอุตสาหกรรม มีผู้ลงทะเบียนขอรับความช่วยเหลือ จำนวน ๔,๓๘๘ ราย จัดส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น จำนวน ๘๕๗ ราย สามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการให้ดำเนินการฟื้นฟูเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว จำนวน ๖๗๖ ราย ๕. ความคืบหน้าการก่อสร้างเขื่อน นิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม และสวนอุตสาหกรรม ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน ดำเนินการก่อสร้างเขื่อน ความยาวโดยประมาณ ๑๑ กิโลเมตร สวนอุตสาหกรรมบางกะดี ดำเนินการก่อสร้างเขื่อน ความยาวโดยประมาณ ๘.๕ กิโลเมตร เขตประกอบการอุตสาหกรรมโรจนะ ดำเนินการก่อสร้างเขื่อน ความยาวโดยประมาณ ๗๗.๖ กิโลเมตร นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค ดำเนินการก่อสร้างเขื่อน ความยาวโดยประมาณ ๑๓ กิโลเมตร สวนอุตสาหกรรมนวนคร ดำเนินการก่อสร้างเขื่อน ความยาวโดยประมาณ ๑๘ กิโลเมตร และนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร ดำเนินการก่อสร้างเขื่อน ความยาวโดยประมาณ ๑๓ กิโลเมตร ซึ่งการก่อสร้างเขื่อนทั้งหมดกำหนดเสร็จสิ้นในช่วงเดือนกรกฎาคม - กันยายน ๒๕๕๕
|
|||||||||||||||||||||||||||
975 | รายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ ประเทศญี่ปุ่นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์) | รง | 13/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ ประเทศญี่ปุ่นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อเข้าร่วมการประชุมระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization : ILO) ครั้งที่ ๑๕ ระหว่างวันที่ ๔ - ๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ ณ เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภารกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในการเข้าร่วมการประชุมระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ ๑๕ ๑.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้กล่าวต่อที่ประชุมใหญ่ว่า ประเทศไทยได้มุ่งสร้างความยุติธรรมทางสังคมให้เกิดขึ้นจริงแก่ทุกคนในสังคมไทย ส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของคนทุกกลุ่มโดยไม่เลือกปฏิบัติ โดยได้มีการดำเนินนโยบาย แผนงาน และแนวปฏิบัติที่จะส่งผลให้เกิดการพัฒนาและการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของ “วาระงานที่มีคุณค่า (Decent Work)” โดยขณะนี้ประเทศไทยอยู่ระหว่างการจัดทำแผนงานระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่าบนพื้นฐานของการปรึกษาหารือไตรภาคี และพยายามพัฒนาระบบบริหารจัดการแรงงานต่างด้าว และรูปแบบการอนุญาตการทำงานของแรงงานต่างด้าวเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ รวมทั้งได้กำหนดยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูประเทศ 3 R ได้แก่ การกู้ภัย (Rescue) การซ่อม (Restore) และการสร้าง (Rebuild) ๑.๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นหนึ่งในผู้อภิปรายในวาระพิเศษ เรื่อง “การจัดการกับผลกระทบจากภัยพิบัติธรรมชาติโดยเน้นนโยบายการมีงานทำ (Natural Disaster Response with Central focus on Employment Policy)” ที่กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น จัดขึ้น โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้นำเสนอว่า การเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ในประเทศไทยทำความเสียหายต่อนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อภาคการผลิตและการจ้างงาน รัฐบาลจึงได้กำหนดมาตรการเชิงยุทธศาสตร์ “มาตรการ 3 R” เพื่อฟื้นฟูประเทศ สำหรับแรงงานต่างด้าว ในเบื้องต้นได้มีการจัดศูนย์พักพิงให้ สำหรับแรงงานต่างด้าวที่เดินทางกลับประเทศไปในช่วงที่เกิดภาวะวิกฤต หากประสงค์จะกลับมาทำงานในประเทศไทยอีก รัฐบาลก็จะดำเนินการร่วมมือกับประเทศต้นทางให้กลับมาทำงานกับนายจ้างคนเดิม สำหรับก้าวต่อไปของประเทศไทย รัฐบาลทุ่มเทอย่างเต็มที่ในการสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนจากต่างประเทศและประชาคมระหว่างประเทศ โดยร่วมกับภาคประชาสังคมที่จะช่วยกันช่วยเหลือ ฟื้นฟู และเสริมสร้างความมั่นใจ ความเชื่อถือ และความก้าวหน้าของประเทศต่อไป ๒. ภารกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในการส่งเสริมตลาดแรงงานไทยในประเทศญี่ปุ่น ๒.๑ การหารือข้อราชการในการส่งเสริมจัดส่งผู้ฝึกงานไทยไปฝึกงานในประเทศญี่ปุ่นกับองค์การ International Manpower Development Organization, Japan : IM Japan) ซึ่งเป็นโครงการที่รับผู้ฝึกงานไทยไปฝึกงานในสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กของประเทศญี่ปุ่น โดยกรมการจัดหางานเป็นผู้ดำเนินการ ในการหารือทั้งสองฝ่ายเห็นร่วมกันว่า ที่ผ่านมามีการส่งแรงงานไทยไปฝึกงานตามโครงการ IM Japan ลดลง สาเหตุจากหลักสูตรการสอบที่เข้มงวดและการรับสมัครสอบจะดำเนินการเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทำให้แรงงานในภูมิภาคขาดโอกาสในการสมัครงาน โครงการ IM Japan จึงร่วมกับกรมการจัดหางานเปิดรับสมัครผู้ที่ต้องการไปฝึกงานประเทศญี่ปุ่นภายใต้โครงการ IM Japan ในภูมิภาคโดยนำร่องในจังหวัดนครราชสีมาเป็นจังหวัดแรก ๒.๒ การหารือข้อราชการเรื่องความร่วมมือการจัดส่งผู้ฝึกงานกับ Mr. Suzuki รองประธานองค์การ Japan International Training Cooperation Organization : JITCO) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลระบบการรับผู้ฝึกงานต่างชาติของญี่ปุ่น โดยผลการหารือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้ขอให้ญี่ปุ่นพิจารณารับผู้ฝึกงานไทยเพิ่มขึ้น รวมทั้งขอให้ JITCO พิจารณาขยายอายุของผู้ฝึกงานที่เข้าร่วมโครงการให้สูงขึ้น จากไม่เกิน ๒๕ ปี เป็นไม่เกิน ๓๐ ปี สำหรับการเตรียมความพร้อมด้านภาษาซึ่งมีความสำคัญในการฝึกงานและการดำรงชีวิตในญี่ปุ่น ทั้งสองฝ่ายเห็นร่วมกันว่าควรมีองค์กรไม่แสวงหากำไรมาช่วยในเรื่องการฝึกอบรมซึ่งจะได้มีการประสานงานกันต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
976 | ปฏิญญาร่วมว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐมนตรีประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ ฉบับที่ 2 | พม | 07/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบปฏิญญาร่วมว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐมนตรีประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ ฉบับที่ ๒ ซึ่งเป็นการแสดงเจตนารมณ์ระหว่างประเทศสมาชิกว่าจะร่วมกันต่อต้านสภาวะการเป็นทาสในทุกรูปแบบ และยืนยันความมุ่งมั่นที่มีต่อบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๔๗ ณ กรุงย่างกุ้ง สหภาพพม่า อีกทั้งเพื่อแสดงให้เห็นว่ากระบวนการ COMMIT เป็นกลไกความร่วมมือที่สำคัญในระดับอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงในการยุติการละเมิดสิทธิและการแสวงประโยชน์จากผู้ที่เสี่ยงต่อการเข้าสู่ขบวนการค้ามนุษย์และกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ตลอดจนเพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นของประเทศสมาชิกที่ต้องการเห็นความก้าวหน้าในโครงการสำคัญต่าง ๆ ภายใต้แผนปฏิบัติการอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ระยะที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๖) ๑.๒ เห็นชอบและอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในปฏิญญาร่วมว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐมนตรีประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ ฉบับที่ ๒ ๑.๓ เห็นชอบให้ปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำในปฏิญญาร่วมฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญก่อนการลงนาม โดยหารือกับกระทรวงการต่างประเทศ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประสานและติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานตามปฏิญญาร่วมฯ ทั้งในระดับอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงและในระดับประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อให้บรรลุตามปฏิญญาดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
977 | การจัดงาน "รักเมืองไทย เดินหน้าประเทศไทย" | นร | 07/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการจัดงาน “รักเมืองไทย เดินหน้าประเทศไทย” ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดงาน “รักเมืองไทย เดินหน้าประเทศไทย” กำหนดจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ณ ทำเนียบรัฐบาล มีวัตถุประสงค์เพื่อประกาศเจตนารมณ์ของรัฐบาลที่จะแสดงความขอบคุณจากทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมแรงร่วมใจให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยในหลายพื้นที่จนสถานการณ์กลับสู่สภาวะปกติ ทำให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง ๒. รูปแบบของการจัดงานฯ เป็นงานเลี้ยงแบบรับรองภายในตึกสันติไมตรี ประกอบด้วยการแสดงดนตรีเยาวชนยะลาซิมโฟนีออร์เคสตร้า การแสดงดนตรีบริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้าโดยวงดุริยางค์ไทยแลนด์ฟิลฮาร์โมนิค พร้อมด้วยเหล่านักร้องประสานเสียงของวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล และวงดุริยางค์ซิมโฟนีออร์เคสตร้าของเหล่าทัพ มีผู้รับเชิญเข้าร่วมงาน จำนวน ๕๐๐ คน ประกอบด้วย คณะองคมนตรี คณะรัฐมนตรี คณะทูตานุทูต หัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงและเทียบเท่า หัวหน้าส่วนราชการอิสระ หัวหน้าส่วนราชการตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ภาคเอกชนที่มีบทบาทสำคัญที่เกี่ยวข้อง องค์กรการกุศล สถานีโทรทัศน์และสื่อมวลชนที่สำคัญ เป็นต้น โดยได้กราบเรียนเชิญประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ (พลเอกเปรม ติณสูลานนท์) เป็นประธานในงานดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||||||||
978 | รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส 3 ปี 2554 และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤศจิกายน 2554 | อก | 31/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๓ ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ (กรกฎาคม - กันยายน ๒๕๕๔) และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๓ ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ (กรกฎาคม - กันยายน ๒๕๕๔) ๑.๑ เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ ๓ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ในไตรมาสที่ ๒ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ขยายตัวร้อยละ ๒.๖ ชะลอลงจากไตรมาสที่ ๑ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ขยายตัวร้อยละ ๓.๒ และชะลอตัวลงจากไตรมาสที่ ๒ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่ขยายตัวร้อยละ ๙.๒ โดยปัจจัยที่ทำให้อัตราการขยายตัวชะลอลง จากไตรมาสที่ ๑ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ คือ การชะลอตัวลงทั้งอุปสงค์ในประเทศและต่างประเทศ โดยการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของครัวเรือนชะลอลงจากการใช้จ่ายในหมวดสินค้าคงทน โดยเฉพาะรถยนต์ ส่วนการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลและการลงทุนรวมชะลอตัวลงเช่นกัน สำหรับอุปสงค์ต่างประเทศชะลอตัวลงจากการชะลอตัวของทั้งการส่งออกและการนำเข้า ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จะขยายตัวร้อยละ ๓.๕ - ๔.๐ (ณ วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๔) ชะลอลงจากปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่ขยายตัวร้อยละ ๗.๘ ๑.๒ ภาคอุตสาหกรรมไทยไตรมาสที่ ๓ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จากตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ ๓ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ พบว่าบางตัวมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ เช่น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิต โดยอุตสาหกรรมที่มีการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ได้แก่ ยานยนต์ Hard Disk Drive เบียร์ เป็นต้น สำหรับอุตสาหกรรมที่มีอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ได้แก่ ยานยนต์ เคมีภัณฑ์ขั้นมูลฐาน ผลิตภัณฑ์พลาสติก เป็นต้น ส่วนข้อมูลการส่งออกในภาพรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๕.๕ (มกราคม - กันยายน ๒๕๕๔) เทียบกับช่วงเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ มีสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ รถยนต์และส่วนประกอบ ยางพารา เป็นต้น ๑.๓ สถานการณ์การค้าในไตรมาสที่ ๓ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ขยายตัวอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง โดยการค้าต่างประเทศของไทยมีมูลค่าทั้งสิ้น ๑๒๗,๓๖๕.๙๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นมูลค่าการส่งออกเท่ากับ ๖๔,๕๙๙.๕๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ ๖๒,๗๖๖.๔๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ ๒ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๑.๑๘ และมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๙.๔๔ ส่งผลให้ไตรมาสที่ ๓ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ดุลการค้าเกินดุล ๑,๘๓๓.๑๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๙.๐๐ และมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๒.๖๘ ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ ๒.๑ อุตสาหกรรมอาหาร การผลิต คาดว่าจะชะลอตัวลง จากอุทกภัยในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศได้สร้างความเสียหายให้กับผลผลิตทางการเกษตรและโรงงานอุตสาหกรรม ต้องหยุดกิจการ และอาจส่งผลต่อการส่งออกอุตสาหกรรมอาหารซึ่งอยู่ในช่วงการผลิตสูงสุดของปี รวมไปถึงการจำหน่ายสินค้าในประเทศจะมีแนวโน้มปรับตัวลดลงจากปัญหาดังกล่าว ประกอบกับข่าวการปรับเพิ่มขึ้นของราคาสินค้า ๒.๒ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม การผลิต คาดว่าจะชะลอตัวลง เนื่องจากปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้น โดยกลุ่มสิ่งทอ โรงงานผลิตเส้นใยโพลีเอสเตอร์ขนาดใหญ่ได้รับความเสียหายค่อนข้างมากในจังหวัดลพบุรี และได้หยุดกิจการแล้ว นอกจากนี้ ยังมีโรงงานทอผ้าในจังหวัดพื้นที่ภาคกลาง กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงโรงงานผลิตเครื่องนุ่งห่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดที่ตั้งอยู่บนถนนเพชรเกษม ถนนพุทธมณฑล ถนนเอกชัย - บางบอน ซึ่งล้วนได้รับผลกระทบและหยุดกิจการแล้ว ซึ่งอาจจะส่งผลให้มูลค่าการส่งออกทั้งปีลดลงจากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ ๒.๓ อุตสาหกรรมยานยนต์ ภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ คาดว่าจะทรงตัวเนื่องจากยังคงมีปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||
979 | การปรับปรุงค่าตอบแทนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ | นร | 31/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับเงินเดือนแรกบรรจุตามคุณวุฒิการศึกษาของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐในปีที่ ๑ โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ ซึ่งส่งผลให้ผู้มีคุณวุฒิตั้งแต่ระดับปริญญาตรีขึ้นไปได้รับเงินเดือนแรกบรรจุรวมกับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวจะมีรายได้ไม่น้อยกว่า ๑๕,๐๐๐ บาท และผู้มีคุณวุฒิต่ำกว่าปริญญาตรี (ปวช. และ ปวส.) ได้รับการปรับรายได้เพิ่มขึ้นตามระดับคุณวุฒิการศึกษาเช่นเดียวกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามนโยบายของรัฐบาล รวมทั้งการชดเชยผู้ที่ได้รับผลกระทบของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยให้มีผลใช้บังคับพร้อมกับการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุดังกล่าวด้วย ๒. อนุมัติในหลักการให้ใช้จ่ายงบประมาณเพื่อปรับปรุงค่าตอบแทนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามข้อ ๑ วงเงินประมาณ ๑๘,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้ส่วนราชการใช้จากเงินเหลือจ่ายของแต่ละส่วนราชการดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน หากไม่เพียงพอให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายการปรับเพิ่มเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว พนักงานราชการ และทหารกองประจำการ จำนวน ๑๒,๘๐๐ ล้านบาท และงบกลาง รายการเงินเลื่อนเงินเดือนและเงินปรับวุฒิข้าราชการ จำนวน ๙,๗๐๐ ล้านบาท ในลำดับต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมกับสำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุตามคุณวุฒิการศึกษาของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามนโยบายของรัฐบาล โดยคำนึงถึงสภาวะเศรษฐกิจและสถานะการเงินการคลังของประเทศ รวมทั้งผลกระทบต่อการจ้างงานของภาคเอกชนด้วย แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
980 | การให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย | อก | 31/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการการให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม การสร้างภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในภาคอุตสาหกรรมทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เพิ่มเติม ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการจัดงาน “BOI FAIR 2011 โลกสดใส ไทยยั่งยืน” หรือ Going Green For the Future เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนและเสริมภาพลักษณ์ของประเทศ การจัดงานซีอีโอ ฟอรั่ม (CEO Forum) ซี่งได้มีการแสดงปาฐกถาของบุคคลชั้นนำในการแสดงความมั่นใจถึงศักยภาพของประเทศไทยที่จะพัฒนาเป็นผู้นำในภูมิภาค รวมทั้งการประชุมที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านการลงทุน (Honorary Investment Advisor) ที่ผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทชั้นนำได้ให้ข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมและส่งเสริมการลงทุนของประเทศ และการจัดกิจกรรมเชื่อมโยงอุตสาหกรรมและจับคู่ธุรกิจ ซึ่งมีการเจรจาจับคู่ทางธุรกิจ ๑,๔๖๖ คู่ มูลค่าการซื้อขายถึง ๔,๐๕๔ ล้านบาท ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ โดยได้รับความสนใจจากทุกภาคส่วนเป็นอย่างดี และมั่นใจว่าจะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของไทยในฐานะแหล่งรองรับการลงทุนและศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญของเอเชีย ๒. การดำเนินการฟื้นฟู เยียวยานิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม และสวนอุตสาหกรรม ๗ แห่ง ที่ประสบอุทกภัย ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และปทุมธานี ได้แก่ นิคมสหรัตนนคร นิคมไฮเทค นิคมบางปะอิน นิคมโรจนะ นิคมแฟคตอรี่แลนด์ นิคมนวนคร และนิคมบางกะดี ขณะนี้มีโรงงานประกอบกิจการแล้ว ๒๕๘ ราย คิดเป็นร้อยละ ๒๙ ของโรงงานทั้งหมด ๘๘๘ ราย ๓. มาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ๓.๑ ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์และวัตถุดิบที่นำมาทดแทนเครื่องจักรอุปกรณ์ และวัตถุดิบนำเข้าที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย จำนวน ๑๕๔ โครงการ มูลค่า ๒๑,๕๐๒ ล้านบาท ๓.๒ อนุมัติวีซ่าและใบอนุญาตทำงานแก่บริษัทที่ได้รับการส่งเสริม จำนวน ๘๑ บริษัท ผู้เชี่ยวชาญต่างชาติรวม ๓๕๖ ราย ๓.๓ อนุญาตให้ส่งออกเครื่องจักรและวัตถุดิบไปต่างประเทศ และการย้ายเครื่องจักรและวัตถุดิบไปต่างประเทศ หรืออยู่นอกโครงการเป็นการชั่วคราว สำหรับผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนที่ประสบอุทกภัย จำนวน ๑๒๓ โครงการ ๓.๔ เพิ่มสิทธิประโยชน์หรือยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีเงินได้ให้ผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายทั้งในกรณีทำการผลิตชั่วคราวหรือลงทุนใหม่ เพื่อฟื้นฟูธุรกิจในประเทศ อยู่ระหว่างการออกประกาศ ๔. โครงการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย ๔.๑ โครงการจัดตั้งศูนย์พักพิงอุตสาหกรรม มีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการ จำนวน ๑๑๔ ราย ประกอบด้วย สถานประกอบการอุตสาหกรรม ๕๓ ราย และวิสาหกิจชุมชน ๖๑ ราย มีการใช้พื้นที่แล้ว ๑๓,๘๖๘ ตารางเมตร จากพื้นที่ ๒๐,๐๐๐ ตารางเมตร คงเหลือพื้นที่สามารถรองรับได้อีก ๖,๑๓๒ ตารางเมตร ๔.๒ โครงการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และกากอุตสาหกรรมในสถานประกอบการที่ประสบอุทกภัย ได้ส่งทีมวิศวกร ๑๗ ทีม ๓๔ คน ออกปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือ เพื่อดูแล ตรวจสอบ และแนะนำเรื่องความปลอดภัยในการทำงาน การดูแลรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การกำจัดกากอุตสาหกรรมทั้งชนิดอันตรายและไม่อันตราย และแก้ไขการปนเปื้อนของสารพิษ สารเคมี โดยเก็บรวบรวมข้อมูลสถานประกอบการได้แล้ว ๖๖ ราย ๔.๓ โครงการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ดิน และการปนเปื้อนของสารพิษอุตสาหกรรมในสถานประกอบการทั้งภายในและภายนอกนิคม ได้จัดทีมเจ้าหน้าที่ออกเก็บตัวอย่างน้ำ ดิน และสารปนเปื้อนของสารพิษอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรม/เขตประกอบการอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย ๓๗๒ ตัวอย่าง หรือร้อยละ ๓๑ ของตัวอย่างทั้งหมด (๑,๒๐๐ ตัวอย่าง) ๔.๔ โครงการคลินิกอุตสาหกรรม มีผู้ลงทะเบียนขอรับความช่วยเหลือ จำนวน ๓,๙๕๒ ราย และได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น ๗๘๒ ราย สามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการให้ดำเนินการฟื้นฟูเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว จำนวน ๔๖๕ ราย
|
.....