ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 43 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 841 - 860 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
841 | การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้อำนวยการองค์การมหาชน | นร12 | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้อำนวยการองค์การมหาชน ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ๒. เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติเพื่อศึกษาทบทวนความเหมาะสมของค่าตอบแทนของผู้บริหารและบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมทั้งหมด ประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นรองประธาน คนที่ ๑ และคนที่ ๒ ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐและภาคเอกชน ผู้แทนจากหน่วยงานกลาง เป็นกรรมการ โดยมีเลขาธิการ ก.พ. เป็นกรรมการและเลขานุการ และอธิบดีกรมบัญชีกลาง เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่ศึกษาและวิเคราะห์เปรียบเทียบเกี่ยวกับอัตราค่าตอบแทนของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวม เพื่อให้อัตราค่าตอบแทนมีความเสมอภาค เป็นธรรมและเหมาะสม ไม่เหลื่อมล้ำ เทียบเท่ามาตรฐานการครองชีพ และให้สอดคล้องกับระบบการบริหารงานภาครัฐสมัยใหม่ จัดทำข้อเสนอการปรับปรุงอัตราค่าตอบแทนขั้นสูงและขั้นต่ำของผู้บริหารและบุคลากรของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมที่เป็นมาตรฐานกลางหรือบัญชีกลางต่อคณะรัฐมนตรี รวมทั้งศึกษาวิเคราะห์อัตราค่าตอบแทนของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมทั้งระบบในเชิงเปรียบเทียบกับภาวะการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและภาคเอกชน และรายงานต่อคณะรัฐมนตรีเป็นระยะทุกสิ้นปีงบประมาณหรือระยะเวลาอื่นตามที่เห็นสมควร โดยให้เพิ่มเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นกรรมการด้วย ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้อำนวยการองค์การมหาชน ไปประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการดังกล่าวต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
842 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการรับมือเศรษฐกิจไทยจากสภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป" | สสป | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการรับมือเศรษฐกิจไทยจากสภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กรมสรรพากร สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กรมทรัพย์สินทางปัญญา กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กรมการค้าต่างประเทศ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดูแลสภาพคล่องและสนับสนุนการประกันส่งออก ให้กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ ๒. ดูแลเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน และร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทยรักษาระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ ๓.๐ หรือต่ำกว่านี้ไปจนถึงสิ้นปี รวมทั้งสนับสนุนให้ใช้เงินสกุลต่างประเทศในการชำระค่าระวางเรือ (Freight Charge) ๓. ให้หน่วยงานราชการปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการนำเข้า-ส่งออก ๔. ให้กรมสรรพากรพิจารณาในการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีนำเข้าเพื่อการส่งออกให้รวดเร็ว ๕. ส่งเสริมการส่งออกกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยให้มีระบบสินเชื่อให้กับคู่ค้า รวมทั้งสนับสนุนและแก้ไขอุปสรรคที่เกี่ยวข้องกับการอำนวยความสะดวกให้สินค้าเข้า-ออกชายแดน ๖. ส่งเสริมการส่งออกทดแทนตลาดหลัก ๗. ส่งเสริมให้มีการจัดหาวัตถุดิบซึ่งขาดแคลนเพื่อผลิตและส่งออก (Global Sourcing) ๘. ให้มีการเจรจาขอสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GPS) กลับคืนมา ๙. เร่งแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานเข้มข้นในภาคอุตสาหกรรม และควรมีมาตรการเกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติอย่างเป็นระบบ ๑๐. ส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศอย่างเป็นรูปธรรมและมีความชัดเจน ๑๑. กำหนดเป้าหมายการส่งออกให้สอดคล้องกับความเป็นจริง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
843 | สถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนมกราคม 2556 และแนวโน้มปี 2556 | นร | 05/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนมกราคม ๒๕๕๖ และแนวโน้มปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือนมกราคม ๒๕๕๖ ๑.๑ การใช้จ่ายภาคครัวเรือน ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนในเดือนมกราคม ๒๕๕๖ ขยายตัวร้อยละ ๖.๘ สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มและการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคซึ่งขยายตัวร้อยละ ๑๗.๑ และ ๓๒.๒ ตามลำดับ ในขณะที่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในเดือนมกราคม ๒๕๕๖ อยู่ที่ระดับ ๗๒.๑ ๑.๒ การลงทุนภาคเอกชน ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนในเดือนมกราคม ๒๕๕๖ ขยายตัวร้อยละ ๒๒.๐ โดยปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศและการนำเข้าสินค้าทุนขยายตัวต่อเนื่องตามการขยายตัวของการลงทุนใหม่ เช่นเดียวกับพื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างที่ขยายตัวร้อยละ ๑.๑ ในขณะที่ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ขยายตัวร้อยละ ๓๖.๕ ๑.๓ การส่งออกสินค้า ในเดือนมกราคม ๒๕๕๖ มีมูลค่า ๑๗,๙๒๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑๕.๖ โดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมยังคงขยายตัวในเกณฑ์ดี โดยเฉพาะการส่งออกยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าเกษตรสำคัญ ๆ ที่ขยายตัวได้ดี ประกอบด้วย ข้าว และผลไม้ ในขณะที่มูลค่าการส่งออกทองคำและยางพารายังคงหดตัว ตลาดส่งออกขยายตัวได้ดีในทุกตลาด โดยตลาดหลักที่ขยายตัว ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ๑.๔ การผลิตภาคอุตสาหกรรม ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนมกราคม ๒๕๕๖ ขยายตัวร้อยละ ๑๐.๑ อุตสาหกรรมสำคัญที่ขยายตัวประกอบด้วย อาหารและเครื่องดื่ม สิ่งทอ ยานยนต์ เครื่องหนัง และแผงวงจรรวม ในขณะที่อุตสาหกรรมเสื้อผ้าสำเร็จรูปหดตัวต่อเนื่องร้อยละ ๑๖.๑ และอุตสาหกรรมปิโตรเลียมหดตัวร้อยละ ๑๐.๕ อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ ๖๗.๐ ๑.๕ การผลิตภาคเกษตรกรรม ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรเดือนมกราคม ๒๕๕๖ ขยายตัวร้อยละ ๐.๘ ในขณะที่ราคาสินค้าเกษตรลดลงร้อยละ ๓.๘ ส่งผลให้รายได้เกษตรกรลดลงร้อยละ ๓.๐ โดยราคาสินค้าเกษตรสำคัญที่ลดลง ประกอบด้วย ปาล์มน้ำมัน ยางพารา มันสำปะหลัง อ้อย และปศุสัตว์ ส่วนราคาข้าวเปลือกและกุ้งขาว เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๖ และ ๑๒.๐ ตามลำดับ ๑.๖ ภาคการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนมกราคม ๒๕๕๖ มีจำนวน ๒.๒ ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๒.๕ โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีสัดส่วนสูงสุด คือ นักท่องเที่ยวจากจีน มีสัดส่วนร้อยละ ๑๓.๘ รองลงมา คือ มาเลเซีย รัสเซีย และญี่ปุ่น โดยมีสัดส่วนร้อยละ ๙.๕ ๘.๙ และร้อยละ ๖.๑ ตามลำดับ ๑.๗ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมกราคม ๒๕๕๖ และการว่างงานในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล ๑.๘ สถานการณ์ด้านการคลัง การจัดเก็บรายได้และการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ของรัฐบาลเพิ่มขึ้น ในขณะที่หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ อยู่ที่ร้อยละ ๔๔.๐ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ๑.๙ สถานการณ์ด้านการเงิน สินเชื่อขยายตัวในอัตราเร่งขึ้น ในขณะที่เงินฝากชะลอตัว ทำให้สัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ตึงตัวขึ้นเล็กน้อย อัตราดอกเบี้ยนโยบายทรงตัว เงินบาทแข็งค่าตามการไหลเข้าสุทธิของเงินทุนจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๔.๕-๕.๕ โดยอุปสงค์ภายในประเทศยังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวในเกณฑ์ดีอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ภาคการส่งออกเริ่มฟื้นตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศได้มากขึ้น โดยคาดว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัวร้อยละ ๑๑.๐ การบริโภคของครัวเรือนและการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๓.๕ และร้อยละ ๘.๙ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในช่วงร้อยละ ๒.๕-๓.๕ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๐.๙ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ อย่างไรก็ตาม สภาพคล่องส่วนเกินในระบบการเงินโลกและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกคาดว่าจะส่งผลให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียและสร้างแรงกดดันต่อการแข็งค่าของเงินบาทอย่างต่อเนื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
844 | ขอยืนยันการขออนุมัติงบกลางสำหรับชดเชยค่าปฏิบัติการฉุกเฉินที่สูงกว่าเป้าหมายที่ได้รับจัดสรรชดเชยปฏิบัติการในพื้นที่เฉพาะและภาวะภัยพิบัติค้างจ่าย | สธ | 27/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติค่าใช้จ่ายสำหรับชดเชยค่าปฏิบัติการฉุกเฉินที่สูงกว่าเป้าหมายที่ได้รับจัดสรรชดเชยปฏิบัติการในพื้นที่เฉพาะและภาวะภัยพิบัติค้างจ่ายให้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ในกรอบวงเงินทั้งสิ้น ๒๙๙,๖๑๓,๕๗๘ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. ค่าใช้จ่ายสำหรับชดเชยค่าปฏิบัติการฉุกเฉินที่ออกปฏิบัติการไปแล้วและผลงานสูงกว่าเป้าหมายงบประมาณ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ และปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๗๑๙,๗๘๖ ครั้ง จำนวน ๒๗๕,๒๗๗,๐๕๐ บาท ประกอบด้วย งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว จำนวน ๑๖๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของกองทุนแพทย์ฉุกเฉิน จำนวน ๑๐๗,๒๗๗,๐๕๐ บาท ๒. งบชดเชยที่ปฏิบัติการในพื้นที่เฉพาะ เป็นวงเงิน ๒๔,๓๓๖,๕๒๘ บาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของกองทุนแพทย์ฉุกเฉิน ที่ได้ตั้งงบประมาณไว้แล้ว จำนวน ๗๗๓,๗๘๖,๐๐๐ บาท
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
845 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ ทั้งปี 2555 และแนวโน้มปี 2556 | นร11 | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ ทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และแนวโน้มปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ขยายตัวร้อยละ ๑๘.๙ โดยด้านการผลิตมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากการขยายตัวของการผลิตภาคอุตสาหกรรม โรงแรมและภัตตาคาร และการก่อสร้าง ด้านการใช้จ่ายมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศ โดยเฉพาะการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน และการลงทุนของภาคเอกชน รวมทั้งรายจ่ายภาครัฐที่มีบทบาทสำคัญมากขึ้น ทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ ๖.๔ และเมื่อปรับผลของฤดูกาลแล้ว ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศขยายตัวร้อยละ ๓.๖ จากไตรมาสสาม โดย ๑.๑ การบริโภครวม ขยายตัวร้อยละ ๑๒.๒ โดยการบริโภคภาคครัวเรือนเร่งตัวขึ้นจากร้อยละ ๖.๐ เป็นร้อยละ ๑๒.๒ ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการคืนภาษีรถยนต์คันแรก ทำให้ยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๑๒.๙ รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของรายได้ภาคครัวเรือนตามการปรับค่าแรงขั้นต่ำและการลดลงของการว่างงาน ตลอดจนอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ สำหรับการใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวร้อยละ ๑๒.๑ จากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ ๑.๒ การลงทุนรวม ขยายตัวร้อยละ ๒๓.๕ จากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการลงทุนทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ ๒๑.๗ ตามการขยายตัวของการลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักรและการก่อสร้าง ในขณะที่การลงทุนภาครัฐขยายตัวร้อยละ ๓๑.๑ เป็นการขยายตัวทั้งการก่อสร้างและเครื่องและอุปกรณ์ ทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๕ การลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๑๓.๓ ๑.๓ การส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑๘.๒ โดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ ๒๕.๔ และตลาดส่งออกขยายตัวในทุกตลาด ทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๕ การส่งออกสินค้าขยายตัวร้อยละ ๓.๒ ๑.๔ ภาคอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ ๓๗.๔ โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวสูงถึงร้อยละ ๔๔.๐ เป็นผลมาจากฐานที่ต่ำในช่วงอุทกภัยปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย รวมทั้งการผลิตรถยนต์ที่สูงเกินคาดการณ์ สอดคล้องกับอัตราการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น ทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ภาคอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ ๗.๐ ๑.๕ ภาคเกษตรกรรม ขยายตัวร้อยละ ๐.๘ ชะลอตัวจากไตรมาสก่อน ตามการชะลอตัวของผลผลิตข้าวเปลือกนาปี ในขณะที่ผลผลิตยางพารา อ้อย และปศุสัตว์ยังขยายตัวได้ดี สำหรับราคาสินค้าเกษตรสำคัญ โดยเฉพาะปาล์มน้ำมัน และยางพารา ยังลดลงอย่างต่อเนื่องจากปริมาณสินค้าคงคลังสูง และตลาดโลกที่ยังอยู่ในภาวะซบเซา ส่งผลให้รายได้เกษตรกรลดลงร้อยละ ๓.๐ ทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ภาคเกษตรขยายตัวร้อยละ ๓.๑ ๑.๖ สาขาโรงแรมและภัตตาคาร ขยายตัวร้อยละ ๒๕.๔ ตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่สูงถึง ๖.๓ ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๙.๓ ทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๕ สาขาโรงแรมและภัตตาคารขยายตัวร้อยละ ๑๑.๕ มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม ๒๒.๓ ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๖.๐ ๑.๗ ภาคการก่อสร้าง ขยายตัวร้อยละ ๑๔.๑ เร่งตัวขึ้นจากร้อยละ ๙.๘ ในไตรมาสก่อน เป็นผลมาจากการขยายตัวของการก่อสร้างภาครัฐและการก่อสร้างภาคเอกชนที่ขยายตัวสูงร้อยละ ๒๗.๑ และ ๑๐.๖ ตามลำดับ ทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ภาคการก่อสร้างขยายตัวร้อยละ ๗.๘ ๑.๘ ภาคการค้าส่งค้าปลีก ขยายตัวร้อยละ ๗.๖ เป็นผลมาจากฐานที่ต่ำในช่วงอุทกภัยปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และการขยายตัวสูงของการใช้จ่ายภาคครัวเรือนในทุกหมวดสินค้าเนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่อยู่ในระดับดีและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ภาคการค้าส่งค้าปลีกขยายตัวร้อยละ ๕.๒ ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี พ.ศ. ๒๕๕๖ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๔.๕-๕.๕ โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัวร้อยละ ๑๑.๐ การบริโภคของครัวเรือนและการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๓.๕ และร้อยละ ๘.๙ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในช่วงร้อยละ ๒.๕-๓.๕ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๐.๙ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ๓. ประเด็นการบริหารนโยบายเศรษฐกิจในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการเศรษฐกิจให้สามารถขยายตัวได้อย่างเต็มศักยภาพควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการลดแรงกดดันด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่เกิดจากสภาพคล่องส่วนเกินในตลาดโลก
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
846 | สรุปภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมปี 2555 และแนวโน้มปี 2556 และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนมกราคม 2556 | อก | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และแนวโน้มปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนมกราคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และแนวโน้มปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๑ เศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ในไตรมาสที่ ๓ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ขยายตัวร้อยละ ๓.๐ ชะลอตัวลงจากไตรมาสที่ ๒ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ขยายตัวร้อยละ ๔.๔ และชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ ๓ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ขยายตัวร้อยละ ๓.๗ โดยปัจจัยที่ทำให้อัตราการขยายตัวชะลอลงจากไตรมาสที่ ๒ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ คือ การหดตัวของอุปสงค์ระหว่างประเทศ ขณะที่อุปสงค์ในประเทศโดยรวมยังขยายตัว ซึ่งประกอบด้วย การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของครัวเรือน เป็นการขยายตัวจากการบริโภคสินค้าคงทน โดยเฉพาะสินค้าหมวดยานยนต์ รวมทั้งหมวดสินค้าไม่คงทน เช่น อาหาร เครื่องดื่ม น้ำประปา ไฟฟ้า น้ำมันเชื้อเพลิง ยารักษาโรค การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง การลงทุนภาครัฐและการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลขยายตัวดีขึ้น ส่วนดุลการค้าและบริการเกินดุลเทียบกับที่ขาดดุลในไตรมาสที่แล้ว ๑.๒. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จะขยายตัวร้อยละ ๕.๕ สำหรับการประมาณการแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี พ.ศ. ๒๕๕๖ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๔.๕-๕.๕ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศและการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจโลก ๑.๓. ภาคอุตสาหกรรม ในช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคม ๒๕๕๕ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมหดตัวจากช่วงเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยเฉพาะ Hard Disk Drive ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป เป็นต้น การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาคเอกชนมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ แต่ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมและดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๔ การค้าต่างประเทศในช่วง ๑๐ เดือนแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ขยายตัวขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมูลค่าการส่งออกเริ่มกลับมาขยายตัวในเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ ทำให้ตลอดทั้ง ๑๐ เดือน การส่งออกขยายตัวขึ้นเล็กน้อย สำหรับการนำเข้าตลอดทั้ง ๑๐ เดือน มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุล ๑๔,๒๕๑.๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ๑.๕ การลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ในเดือนมกราคม-ตุลาคม ๒๕๕๕ มีจำนวนทั้งสิ้น ๑,๘๙๐ โครงการ มูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น ๗๗๓,๒๐๐ ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายเดิมที่ BOI ตั้งไว้ ๖๓๐,๐๐๐ ล้านบาท เนื่องจากต่างชาติมีความเชื่อมั่นเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติรายเดิมเริ่มฟื้นกิจการลงทุนและขยายการลงทุนในไทยเพิ่มเติมอีกหลังเหตุการณ์น้ำท่วมในปีก่อน โดยประเภทกิจการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด คือ หมวดบริการและสาธารณูปโภคมีเงินลงทุน ๒๘๘,๘๐๐ ล้านบาท รองลงมาคือ หมวดผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่งมีเงินลงทุน ๑๕๕,๗๐๐ ล้านบาท และหมวดเคมี กระดาษ และพลาสติกมีเงินลงทุน ๑๑๔,๐๐๐ ล้านบาท ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนมกราคม ๒๕๕๖ ๒.๑ อุตสาหกรรมการผลิตและส่งออก คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อน จากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาลเพื่อรองรับเทศกาล สำหรับการจำหน่ายสินค้าในประเทศ คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน จากการที่ประชาชนเพิ่มการจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลปีใหม่ และเป็นผลด้านจิตวิทยาต่อค่าแรงที่ปรับเพิ่มขึ้น แม้ว่าราคาน้ำมันและราคาสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น ๒.๒ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม การผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม คาดว่าจะชะลอตัวจากเดือนก่อน โดยตลาดที่ยังมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องยังคงเป็นตลาดคู่ค้าหลักในสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา จากการที่ผู้บริโภคมีกำลังซื้อที่ชะลอตัว ในขณะที่ราคาสินค้าของไทยอยู่ในระดับสูง เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง ทำให้คาดว่าคำสั่งซื้อจากตลาดกลุ่มนี้อาจจะลดลง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
847 | มาตรการรองรับภาวะวิกฤติด้านพลังงานไฟฟ้า | นร | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานรายงานว่า รัฐบาลพม่าจะหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติจากแหล่งก๊าซยาดานาให้กับไทยในช่วงวันที่ ๔-๑๒ เมษายน ๒๕๕๖ เนื่องจากบริษัท Total ซึ่งเป็นบริษัทที่รับผิดชอบการขุดเจาะก๊าซในแหล่งก๊าซดังกล่าวจะดำเนินการซ่อมแท่นขุดเจาะก๊าซที่มีการทรุดตัวลง และจะทำให้ประเทศไทยขาดแคลนก๊าซที่จะนำไปใช้ผลิตพลังงานไฟฟ้าสำหรับโรงไฟฟ้าในภาคตะวันตก จำนวน ๖ แห่ง เป็นจำนวนรวมประมาณ ๑,๑๐๐ ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ในการนี้ กระทรวงพลังงานได้ให้โรงไฟฟ้าราชบุรีเตรียมการเพื่อเปลี่ยนไปใช้น้ำมันเตาในการผลิตไฟฟ้า รวมทั้งให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเลื่อนการหยุดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าบางแห่งในช่วงดังกล่าว และให้เดินเครื่องโรงไฟฟ้าเก่าทั้งที่ใช้น้ำมันเตาและดีเซลทดแทน ในขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัท Total เพื่อขอให้เลื่อนกำหนดการซ่อมแท่นขุดเจาะก๊าซดังกล่าวออกไปเป็นช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ที่จะมีโรงงานปิดทำการเป็นจำนวนมาก ในเบื้องต้นทราบว่าอาจจะสามารถเลื่อนเวลาออกไปจากกำหนดเดิมได้ประมาณ ๒ วัน ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานจะจัดการประชุมหารือร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการรองรับภาวะวิกฤติด้านพลังงานไฟฟ้าดังกล่าวในวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ๒. การดำเนินมาตรการระยะสั้น ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐดำเนินการเพื่อลดการใช้พลังงานตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยให้ถือปฏิบัติตามแนวทางและมาตรการการลดการใช้ไฟฟ้าและน้ำมันตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง มาตรการลดใช้พลังงานภาครัฐ) อย่างเคร่งครัด ๓. ให้กระทรวงพลังงานเร่งรัดการพิจารณาร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดมาตรการและแนวทางการลดการใช้พลังงานสำหรับภาคประชาชนและภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งแนวทางและมาตรการในระยะยาว แล้วนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
848 | สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2555 | ทก | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕ ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน จำนวน ๔๐.๑๗ ล้านคน ประกอบด้วย ผู้มีงานทำ ๓๙.๙๗ ล้านคน ผู้ว่างงาน ๑.๕๗ แสนคน และผู้ที่รอฤดูกาล ๔.๐ หมื่นคน ทั้งนี้ ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๔ จำนวน ๗.๒ แสนคน (จาก ๓๙.๔๕ ล้านคน เป็น ๔๐.๑๗ ล้านคน) ๒. ผู้มีงานทำ จำนวน ๓๙.๙๗ ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๔ จำนวน ๙.๙ แสนคน (จาก ๓๘.๙๘ ล้านคน เป็น ๓๙.๙๗ ล้านคน) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๕ ทั้งนี้ ผู้ทำงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผู้ทำงานภาคเกษตรกรรมเพิ่มขึ้น ๑.๓ ล้านคน รองลงมาเป็นสาขาการผลิต ๒.๖ แสนคน สาขาการก่อสร้าง ๑.๕ แสนคน สาขาที่พักแรมและการบริการด้านอาหาร ๑.๕ แสนคน สำหรับผู้ทำงานลดลง ได้แก่ ผู้ทำงานในสาขาการบริหารราชการ การป้องกันประเทศ ๒.๔ แสนคน รองลงมาเป็น สาขากิจกรรมการบริการด้านอื่น ๆ เช่น กิจกรรมบริการเพื่อเสริมสร้างสุขภาพร่างกาย การดูแลสัตว์เลี้ยง การบริการซักรีด และซักแห้ง เป็นต้น ๒.๑ แสนคน สาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์และรถจักรยานยนต์ ๑.๔ แสนคน สาขากิจกรรมทางการเงินและการประกันภัย ๖.๐ หมื่นคน และสาขาการศึกษา ๖.๐ หมื่นคน เป็นต้น ๓. ผู้ว่างงานทั่วประเทศ จำนวน ๑.๕๗ แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ ๐.๔ ของกำลังแรงงานรวม (ลดลง ๑.๖๕ แสนคน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๔) ผู้ว่างงาน ประกอบด้วย ผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน ๕.๖ หมื่นคน อีกส่วนหนึ่งเป็นผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน ๑.๐๑ แสนคน โดยเป็นผู้ว่างงานที่มาจากภาคการบริการและการค้า ๕.๒ หมื่นคน ภาคการผลิต ๔.๕ หมื่นคน และภาคเกษตรกรรม ๔.๐ พันคน เป็นผู้ว่างงานที่มีการศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษา จำนวน ๕.๙ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ๓.๗ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ๓.๖ หมื่นคน ระดับประถมศึกษา ๑.๖ หมื่นคน และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา ๙.๐ พันคน ทั้งนี้ ผู้ว่างงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลาง ๗.๑ หมื่นคน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๒.๖ หมื่นคน ภาคใต้ ๒.๔ หมื่นคน ภาคเหนือ ๒.๐ หมื่นคน และกรุงเทพมหานคร ๑.๖ หมื่นคน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
849 | การร่วมทุนโครงการไฟฟ้าพลังน้ำน้ำเงี้ยบ 1 สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ของบริษัท กฟผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด | พน | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดย ๑.๑ เห็นชอบการลงทุนของบริษัท กฟผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในโครงการไฟฟ้าพลังน้ำน้ำเงี้ยบ ๑ พร้อมอนุมัติวงเงินการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนตามสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ ๓๐ จำนวน ๗๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ๒,๔๓๘ ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน ๓๑ บาท ต่อ ๑ ดอลลาร์สหรัฐ) ๑.๒ เห็นชอบการร่วมทุนและอนุมัติให้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนของโครงการไฟฟ้าพลังน้ำน้ำเงี้ยบ ๑ ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ของบริษัท กฟผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ๑.๓ เห็นชอบให้สัญญาผู้ถือหุ้น (Shareholders Agreement) ที่ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว รวมทั้งเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการร่วมทุนในโครงการไฟฟ้าพลังน้ำน้ำเงี้ยบ ๑ ใช้เงื่อนไขการระงับข้อพิพาทระหว่างคู่สัญญา โดยวิธีอนุญาโตตุลาการ ๒. ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและบริษัท กฟผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จัดทำข้อมูลเกี่ยวกับการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ให้ บริษัท กฟผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นควรมีการจัดทำแผนบริหารโครงการด้านการระบายน้ำที่เหมาะสม เนื่องจากการเก็บกักน้ำจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศทางน้ำ ทั้งบริเวณเหนือเขื่อนและใต้เขื่อน ซึ่งอาจมีผลทำให้คุณภาพน้ำเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงแรกที่มีการกักเก็บน้ำซึ่งระดับน้ำที่สูงเกิดภาวะน้ำนิ่งจะทำให้เกิดการหมักน้ำเสียของอินทรีย์วัตถุต่าง ๆ ส่งผลให้คุณภาพน้ำเสื่อมโทรมลงได้ และในกรณีลำน้ำใต้เขื่อนบางบริเวณอาจมีปริมาณน้ำเสีย หรือเกิดภาวะน้ำนิ่งทำให้เกิดภาวะน้ำเสียได้ หากมีการระบายลงสู่แหล่งน้ำต่าง ๆ เช่น แม่น้ำโขง อาจส่งผลกระทบต่อการใช้น้ำของประชาชนไทยในบริเวณนั้นได้ รวมทั้งต้องมีการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนจัดการคุณภาพน้ำ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
850 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียน - อินเดียด้านการเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ 2 | กษ | 05/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมอาเซียน-อินเดียด้านการเกษตรและป่าไม้ (ASEAN-India Ministerial Meeting on Agriculture and Forestry-AIMMAF) ครั้งที่ ๒ ระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินความร่วมมือด้านการเกษตรและป่าไม้ระหว่างอาเซียนและอินเดีย โดยให้ ASEAN-India Working Group on Agriculture and Forestry ดำเนินกิจกรรมความร่วมมือด้านความมั่นคงอาหาร ด้วยการวิจัยและพัฒนา การเสริมสร้างศักยภาพ และความร่วมมือทางวิชาการตาม ASEAN-India Medium term Plan of Action (2011-2015) ต่อไป ซึ่งประกอบด้วย Action Programmes ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านการส่งเสริมความร่วมมือด้านอาหาร การเกษตร และป่าไม้ ในประเด็นที่สนใจร่วมกัน ด้านการส่งเสริมการสร้างเครือข่ายระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง ผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตร นักวิทยาศาสตร์ สถาบันทางวิชาการที่เกี่ยวเนื่องกับด้านการเกษตรระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและอินเดีย ด้านการส่งเสริมการเสริมสร้างศักยภาพ การถ่ายทอดเทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนาตามที่ได้เห็นชอบร่วมกัน และด้านการเปิดโอกาสให้เกษตรกรของอาเซียนและอินเดีย รวมทั้งยุวเกษตรกรได้เรียนรู้และพัฒนาการทำการเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพ มีทักษะในการบริหารจัดการ โดยการแลกเปลี่ยนข้อมูล ๒. อาเซียนควรให้มีการส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรด้วยการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี การผลิตทางการเกษตรอย่างยั่งยืน การเสริมสร้างศักยภาพให้แก่องค์กรต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหกรณ์การเกษตร รวมทั้งจัดทำโครงการความร่วมมือร่วมกัน เช่น การวิจัยข้าว การถ่ายทอดเทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนาระหว่างอาเซียนและอินเดีย เพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร และสร้างความมั่นคงด้านอาหาร ซึ่งเบื้องต้น ที่ประชุมเห็นควรให้อินเดียจัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหารและการควบคุมโรคระบาดสัตว์ข้ามแดน ๓. ที่ประชุมเห็นควรให้มีการพัฒนานวัตกรรมและการเป็นผู้ประกอบการของเยาวชนเกษตร เพื่อพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืนในภูมิภาค และดำเนินโครงการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างยุวเกษตรกร เพื่อให้เยาวชนหันมาสนใจอาชีพเกษตรกรเพิ่มมากขึ้น ๔. ที่ประชุมเห็นชอบให้ ASEAN-India Agri Expo เป็นเวทีให้เกษตรกรและภาคเอกชนได้มีโอกาสนำเสนอนวัตกรรมด้านการเกษตร สร้างเครือข่ายระหว่างนักธุรกิจ และส่งเสริมความร่วมมือด้านการลงทุนในภาคการเกษตร ๕. ที่ประชุมรับทราบการจัดทำแผนยุทธศาสตร์อาเซียน-อินเดีย เพื่อการปรับตัวและการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อภาคการเกษตร (ASEAN-India Roadmap on Climate Change Adaptation and Mitigation in Agriculture Sector) โดยพัฒนาเทคโนโลยีและการจัดการความเสี่ยง การแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อส่งเสริมการผลิตและการเพิ่มผลผลิตเพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหาร ลดผลกระทบจากภาวะแห้งแล้ง น้ำท่วม และฝนตกหนักในภูมิภาค ๖. ที่ประชุมเห็นควรให้มีการส่งเสริมความร่วมมือด้านการผลิตอาหารและการแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญระหว่างอาเซียนและอินเดีย เพื่อประกอบการวางแผนด้านความมั่นคงอาหาร โดยให้เจ้าหน้าที่อาวุโสจัดทำโครงการความร่วมมือเพื่อส่งเสริมความมั่นคงด้านอาหาร การบริหารจัดการสต็อก การจัดหาธัญพืชให้เพียงพอ การให้ประชาชนที่ด้อยโอกาสสามารถเข้าถึงอาหารได้ รวมทั้งความโปร่งใสด้านการตลาด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
851 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนธันวาคม 2555 | อก | 05/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า สถานการณ์การผลิตเหล็กในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ คาดว่าเหล็กทรงยาวจะยังคงทรงตัวอยู่เนื่องจากสถานการณ์อุตสาหกรรมก่อสร้างในประเทศที่ยังคงทรงตัวอยู่ ในขณะที่เหล็กทรงแบนในส่วนของเหล็กแผ่นรีดร้อนอาจจะขยายตัวเล็กน้อย เนื่องจากการนำเข้าที่ลดลงจากการที่กรมการค้าต่างประเทศได้เปิดการไต่สวนการนำเข้าสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนเจืออื่นๆ ชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วนที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับผู้นำเข้าในประเทศได้ใช้ช่องว่างทางภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนที่เจือโบรอนหรือโครเมียม (โดยสำแดงว่าเป็นเหล็กอัลลอยด์) ที่นำเข้ามาจากทั้งจีนและเกาหลีเป็นปริมาณมาก ส่งผลทำให้ผู้ผลิตไทยไม่สามารถแข่งขันทางด้านราคาได้และบางรายต้องหยุดการผลิตลง ๒. อุตสาหกรรมรถยนต์ ภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ คาดว่าจะขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ เนื่องจากความต้องการรถยนต์ของตลาดในประเทศที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง อันเนื่องมาจากการขยายสิทธิตามนโยบายรถคันแรก สำหรับการผลิตรถยนต์ในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ประมาณการว่าจะมีการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศร้อยละ ๕๗ และส่งออกร้อยละ ๔๓
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
852 | สถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนธันวาคม และแนวโน้มปี 2555 - 2556 | นร11 | 05/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ และแนวโน้มปี ๒๕๕๕-๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ และไตรมาสที่ ๔ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๑ การใช้จ่ายภาคครัวเรือน ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ขยายตัวร้อยละ ๓.๑ ชะลอตัวลงตามการชะลอตัวของการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มและการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค รวมทั้งการใช้จ่ายในหมวดยานยนต์ รวมไตรมาสที่ ๔ ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ ๗.๙ ส่วนความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ อยู่ที่ระดับ ๗๐.๖ ๑.๒ การลงทุนภาคเอกชน ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ขยายตัวร้อยละ ๒๘.๒ ตามการขยายตัวของการลงทุนเพื่อทดแทนความเสียหายจากอุทกภัยและการขยายตัวของการลงทุนใหม่ รวมไตรมาสที่ ๔ ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ ๒๔.๕ ๑.๓ การส่งออกสินค้าเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ มีมูลค่า ๑๗,๙๕๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑๓.๖ โดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมยังคงขยายตัวในเกณฑ์ดีโดยเฉพาะการส่งออกยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ในขณะที่การส่งออกทองคำ ข้าว ยางพารา กุ้งแช่แข็งและแปรรูปลดลง รวมทั้งการหดตัวของมูลค่าการส่งออกสินค้าในกลุ่มที่ใช้แรงงานสูงโดยเฉพาะสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม และรองเท้า ส่งผลกระทบรุนแรงต่อการส่งออกในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ตลาดส่งออกที่ขยายตัว ได้แก่ ตลาดสหรัฐอเมริกา ฮ่องกง อินเดีย และตลาดอาเซียน ๑.๔ การผลิตภาคอุตสาหกรรม ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ขยายตัวร้อยละ ๒๓.๔ เนื่องจากฐานการขยายตัวในเดือนธันวาคม ๒๕๕๔ ที่เริ่มสูงขึ้น รวมทั้งการชะลอการผลิตรถยนต์ขนาดเล็ก และการลดการใช้กำลังการผลิตในช่วงปลายปี รวมไตรมาสที่ ๔ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ ๔๔.๐ ส่วนอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๖๗.๐ ๑.๕ ภาคการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ มีจำนวน ๒.๔ ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๐.๔ รวมไตรมาสที่ ๔ มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น ๖.๓ ล้านคน ขยายตัวร้อยละ ๓๙.๓ สรุปทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๕ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ จำนวนทั้งสิ้น ๒๒.๓ ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๖.๐ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีสัดส่วนสูงสุด ๕ อันดับแรก ประกอบด้วย จีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น รัสเซีย และเกาหลีใต้ ๑.๖ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจภายในประเทศและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจภาคต่างประเทศ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ แม้ว่าจะเร่งตัวขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ ในขณะที่ดุลการค้าและดุลบัญชีเงินเดินสะพัดเกินดุล เงินสำรองระหว่างประเทศยังอยู่ในเกณฑ์สูง และอัตราแลกเปลี่ยนยังคงมีเสถียรภาพ แม้จะมีแนวโน้มแข็งค่า ๑.๗. สถานการณ์ด้านการคลัง การจัดเก็บรายได้เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่การเบิกจ่ายเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ลดลง การเบิกจ่ายรวมในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ขยายตัวสูงและอัตราการเบิกจ่ายสูงกว่าเป้าหมาย ในขณะที่หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ อยู่ที่ร้อยละ ๔๓.๓ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ๑.๘ สถานการณ์ด้านการเงิน สินเชื่อและเงินฝากขยายตัวต่อเนื่อง สภาพคล่องยังอยู่ในระดับสูง อัตราดอกเบี้ยนโยบายทรงตัว ในขณะที่เงินทุนไหลเข้าสุทธิเพิ่มขึ้น ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จากการขยายตัวในเกณฑ์สูงของเครื่องชี้วัดทางเศรษฐกิจสำคัญๆ ในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ และในไตรมาสที่ ๔ คาดว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๕.๕ ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๔.๕-๕.๕ ซึ่งเป็นการขยายตัวในเกณฑ์สูง โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญจากอุปสงค์ภายในประเทศที่คาดว่าจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องทั้งการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน นอกจากนั้นการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจโลกคาดว่าจะสนับสนุนให้ภาคการส่งออกฟื้นตัวและมีบทบาทในการขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม แนวโน้มราคาน้ำมันที่ยังทรงตัว และการเคลื่อนย้ายเงินทุนเข้าสู่ภูมิภาคมากขึ้นจะเพิ่มแรงกดดันต่ออัตราแลกเปลี่ยนของไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
853 | สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนตุลาคม พ.ศ. 2555 | ทก | 29/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน จำนวน ๓๙.๔๙ ล้านคน ประกอบด้วย ผู้มีงานทำ ๓๙.๒๑ ล้านคน ผู้ว่างงาน ๒.๒๓ แสนคน และผู้ที่รอฤดูกาล ๕.๘๐ หมื่นคน) ทั้งนี้ ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๔ จำนวน ๖.๗ แสนคน (จาก ๓๘.๘๒ ล้านคน เป็น ๓๙.๔๙ ล้านคน) ๒. ผู้มีงานทำ จำนวน ๓๙.๒๑ ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๔ จำนวน ๙.๑ แสนคน (จาก ๓๘.๓๐ ล้านคน เป็น ๓๙.๒๑ ล้านคน) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๔ ทั้งนี้ ผู้ทำงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผู้ทำงานภาคเกษตรกรรมเพิ่มขึ้น ๕.๙ แสนคน รองลงมาเป็นสาขาการก่อสร้าง ๒.๕ แสนคน สาขาการผลิต ๑.๐ แสนคน สาขาที่พักแรมและการบริการด้านอาหาร ๑.๐ แสนคน สาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ และรถจักรยานยนต์ ๖.๐ หมื่นคน และสาขากิจการอสังหาริมทรัพย์ ๖.๐ หมื่นคน สำหรับผู้ทำงานลดลง ได้แก่ ผู้ทำงานในสาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า ๑.๘ แสนคน รองลงมาเป็น สาขากิจกรรมการบริการด้านอื่น เช่น กิจกรรมบริการเพื่อเสริมสร้างสุขภาพร่างกาย การดูแลสัตว์เลี้ยง การบริการซักรีด และซักแห้ง เป็นต้น ๑.๐ แสนคน และสาขาการศึกษา ๗.๐ หมื่นคน เป็นต้น ๓. ผู้ว่างงานทั่วประเทศ จำนวน ๒.๒๓ แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ ๐.๖ ของกำลังแรงงานรวม (เพิ่มขึ้น ๔.๐ พันคน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๔) เป็นผู้ว่างงานที่มีการศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษา จำนวน ๕.๘ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ๕.๐ หมื่นคน ระดับประถมศึกษา ๕.๐ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ๔.๗ หมื่นคน และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา ๑.๘ หมื่นคน ทั้งนี้ ผู้ว่างงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๗.๒ หมื่นคน ภาคกลาง ๕.๘ หมื่นคน ภาคเหนือ ๔.๙ หมื่นคน ภาคใต้ ๒.๗ หมื่นคน และกรุงเทพมหานคร ๑.๗ หมื่นคน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
854 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนธันวาคม 2555 | พณ | 29/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศ และรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๑๖.๘๖ เทียบกับเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๑๖.๔๑ ลดลง ร้อยละ ๐.๓๙ (เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ ลดลง ร้อยละ ๐.๓๕) จากการสูงขึ้นของราคาอาหารสดและน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นสำคัญ โดยดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้น ร้อยละ ๒๑.๙๕ สาเหตุจากสภาพภูมิอากาศแปรปรวนทำให้พืชผักหลายชนิดได้รับความเสียหาย นอกจากนี้ ไข่และผลิตภัณฑ์นม เครื่องประกอบอาหารและอาหารสำเร็จรูปมีราคาสูงขึ้นตามภาวะต้นทุนการผลิต ขณะที่สินค้าประเภทเนื้อสุกร ข้าวแป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง และผลไม้สดมีราคาลดลงตามปริมาณผลผลิตและภาวะตลาด สำหรับดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้น ร้อยละ ๐.๑๑ เนื่องจากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำประปา เป็นสำคัญ ๒. พิจารณาเทียบกับดัชนีราคาเดือนธันวาคม ๒๕๕๔ สูงขึ้น ร้อยละ ๓.๖๓ จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๔.๐๐ โดยดัชนีราคาหมวดปลาและสัตว์น้ำ ร้อยละ ๓.๙๓ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๑๖.๗๙ เครื่องประกอบอาหาร ร้อยละ ๒.๔๐ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๒.๕๘ และอาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๓.๓๒ สำหรับดัชนีราคาหมวดอื่นๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้น ร้อยละ ๓.๓๙ จากการสูงขึ้นของหมวดเคหสถาน ร้อยละ ๓.๓๘ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ร้อยละ ๐.๙๙ หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล ร้อยละ ๑.๒๕ หมวดพาหนะ การขนส่ง และการสื่อสาร ร้อยละ ๔.๔๑หมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๗.๕๙ หมวดการบันเทิงการอ่าน การศึกษาและการศาสนา ร้อยละ ๐.๔๙ ๓. พิจารณาดัชนีเฉลี่ยปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เทียบกับปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สูงขึ้น ร้อยละ ๓.๐๒ จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๔.๘๕ และดัชนีหมวดอื่นๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้น ร้อยละ ๑.๘๕ ตามการสูงขึ้นของหมวดข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง ร้อยละ ๒.๑๑ เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ ร้อยละ ๐.๙๐ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๑๒.๐๐ เครื่องประกอบอาหาร ร้อยละ ๕.๔๓ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๒.๗๓ อาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๕.๕๗ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ร้อยละ ๐.๙๖ หมวดเคหสถาน ร้อยละ ๒.๗๓ ค่าน้ำประปา ร้อยละ ๖.๖๔ ค่ากระแสไฟฟ้า ร้อยละ ๑๕.๗๘ ค่าเช่าบ้าน ร้อยละ ๐.๔๒ หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล ร้อยละ ๑.๐๙ หมวดยานพาหนะการขนส่งและการสื่อสาร ร้อยละ ๑.๕๖ หมวดบันเทิงการอ่าน การศึกษาและการศาสนา ร้อยละ ๐.๔๑ และหมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๒.๙๕ ๔. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๐๘.๘๘ เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ สูงขึ้น ร้อยละ ๐.๐๔ (เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ สูงขึ้น ร้อยละ ๐.๐๕) จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าและบริการ ได้แก่ ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำประปา วัสดุก่อสร้าง (แผ่นไม้อัด ปูนซีเมนต์) ค่าของใช้ส่วนบุคคล (สบู่ถูตัว ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ใบมีดโกน น้ำมันใส่ผม กระดาษชำระ ผ้าอนามัย) ค่าบริการส่วนบุคคล (ค่าแต่งผมบุรุษ-สตรี) สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด [ผงซักฟอก น้ำยาล้างห้องน้ำ ไม้กวาด ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้น (น้ำยาถูพื้น) สารกำจัดแมลง/ไล่แมลง] เครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ (เบียร์) สำหรับสินค้าและบริการที่ราคาลดลง เช่น บริภัณฑ์อื่นๆ ร้อยละ ๐.๐๑ (ตู้เย็น หม้อหุงข้าวไฟฟ้า เครื่องทำน้ำอุ่น พัดลม เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า) และค่าอุปกรณ์การบันเทิง ร้อยละ ๐.๐๒ (เครื่องรับโทรทัศน์)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
855 | รายงานการตรวจเยี่ยมและติดตามการดำเนินงานของจังหวัดในกลุ่มภาคเหนือตอนล่าง 1 และ 2 รวม 9 จังหวัด | นร01 | 29/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการตรวจเยี่ยมและติดตามการดำเนินงานของจังหวัดในกลุ่มภาคเหนือตอนล่าง ๑ เขตตรวจราชการที่ ๑๗ (จังหวัดตาก พิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย และอุตรดิตถ์) และจังหวัดในกลุ่มภาคเหนือตอนล่าง ๒ เขตตรวจราชการที่ ๑๘ (จังหวัดกำแพงเพชร นครสวรรค์ พิจิตร และอุทัยธานี) ของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) เมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จังหวัดอุตรดิตถ์ได้เตรียมความพร้อมในการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๑ มกราคม ๒๕๕๖ ไว้พร้อมแล้ว ทั้งในด้านสถานที่การเดินทาง การอำนวยความสะดวก และรักษาความปลอดภัย รวมทั้งจังหวัดในเขตตรวจราชการที่ ๑๗ ทั้ง ๕ จังหวัด ได้เตรียมความพร้อมเกี่ยวกับแผนงาน/โครงการ ทั้งของกลุ่มจังหวัดและจังหวัดเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี ๒. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) ได้แจ้งให้จังหวัดในเขตตรวจราชการที่ ๑๗ และ ๑๘ ทั้ง ๙ จังหวัด ทราบถึงแนวทางในการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค โดยเฉพาะลักษณะของโครงการที่อยู่ในข่ายจะได้รับการจัดสรรงบประมาณจากงบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรให้ จำนวน ๕๐ ล้านบาท เป็นการจัดสรรงบประมาณให้กับแผนงาน/โครงการ ซึ่งขั้นตอนต่อไปจะได้ประชุมคณะทำงานฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. การดำเนินงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลด้านเศรษฐกิจตามที่ได้รับมอบหมาย ได้แก่ การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ สร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค การปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน (กองทุนหมู่บ้าน SML) การยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการปฏิรูปการจัดการที่ดิน จากการรายงานของผู้ว่าราชการจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในภาพรวมสามารถดำเนินการได้ตามที่กำหนดไว้ ในส่วนของปัญหาและอุปสรรคก็สามารถดำเนินการแก้ไขได้ ๔. ปัญหาและอุปสรรคในระดับพื้นที่ ได้แก่ ๔.๑ ปัญหาการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยเพื่อผลิตเอทานอลในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนของสารแคดเมียม จังหวัดตาก ๔.๒ ปัญหาการดำเนินงานตามกองทุนพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) ๔.๓ การบริหารยุทธศาสตร์ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดเพื่อให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดมีจุดแข็งและแสดงออกให้เป็นที่สนใจของผู้ที่เกี่ยวข้อง ๔.๔ ปัญหาเกี่ยวกับการรับจำนำข้าวเปลือก
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
856 | การปรับปรุงระบบการบริหารโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง | กษ | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้องค์การสวนยาง (อ.ส.ย.) เบิกจ่ายเงินกู้จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในวงเงิน ๕,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อใช้ดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง [ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๕ (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาราคายางพารา)] ๑.๒ ให้ยกเว้นการค้ำประกันเงินกู้ของ อ.ส.ย. กับ ธ.ก.ส. เพื่อไม่ให้เป็นการซ้ำซ้อน เนื่องจากกระทรวงการคลังได้ค้ำประกันเงินกู้ระหว่าง ธ.ก.ส. กับสถาบันการเงินแหล่งเงินกู้แล้ว ๑.๓ ให้ อ.ส.ย. ส่งรายงานผลการดำเนินงานตามโครงการฯ [ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๕ (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาราคายางพารา)] ให้คณะรัฐมนตรีประกอบการพิจารณาต่อไป ๒. ให้ ธ.ก.ส. สำรองจ่ายเงินกู้ให้แก่ อ.ส.ย. ไปก่อนตามแผนธุรกิจที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารโครงการแล้ว โดยชดเชยต้นทุนเงินให้ ธ.ก.ส. ในอัตรา FDR+1 เช่นเดียวกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การรักษาเสถียรภาพราคายาง) ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับและติดตามการดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางให้เหมาะสมและสอดคล้องกับภาวะตลาด เพื่อมิให้เกิดภาระงบประมาณในภาพรวมที่รัฐจะต้องชดเชยผลการขาดทุนจากการรับซื้อยางตามโครงการฯ ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
857 | การกำกับดูแลราคาสินค้าจากการดำเนินนโยบายการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ | พณ | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการกำกับดูแลราคาสินค้าจากการดำเนินนโยบายการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. แนวทางการกำกับดูแล ๑.๑ ด้านราคาสินค้า ตรึงหรือชะลอการปรับราคาสินค้า โดยการกำกับดูแลราคาเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและป้องกันไม่ให้มีการฉวยโอกาสปรับราคาสินค้าสูงขึ้นเพื่อเอาเปรียบผู้บริโภค ได้แก่ ๑.๑.๑ การดูแลราคาสินค้า ณ โรงงาน (ต้นน้ำ) โดยแบ่งการกำกับดูแลเป็น ๔ กลุ่ม คือ กลุ่มที่ ๑ สินค้าที่ต้องใช้วัตถุดิบนำเข้า กลุ่มที่ ๒ สินค้าที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก กลุ่มที่ ๓ สินค้าที่ใช้วัตถุดิบทั้งในประเทศและนำเข้า และกลุ่มที่ ๔ หมวดอาหารสด ซึ่งหากจำเป็นต้องปรับราคาจะพิจารณาให้ปรับราคาตามภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจริง สำหรับหมวดอาหารสด เนื่องจากราคาขึ้นลงตามฤดูกาล จะมีการตรวจสอบราคาและเข้มงวดในการปิดป้ายราคา รวมทั้งการประกาศราคาแนะนำ ๑.๑.๒ การดูแลราคาจำหน่ายของตัวแทนจำหน่ายและผู้ค้าส่ง (กลางน้ำ) ดูแลราคาจำหน่ายส่งให้มีการเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับราคา ณ โรงงาน (ต้นน้ำ) เพื่อมิให้มีการฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบทั้งด้านราคาจำหน่ายและปริมาณ ๑.๑.๓ การดูแลราคาจำหน่ายปลีก (ปลายน้ำ) ติดตามราคาจำหน่ายปลีกให้สอดคล้องกับต้นทุนการผลิต โดยกำหนดสินค้าที่ต้องติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด ๓ ระดับ คือ Watch List (WL) ระดับปกติ ติดตามภาวะและสถานการณ์ใกล้ชิดเป็นประจำทุกสัปดาห์ Priority Watch List (PWL) ระดับที่เริ่มไม่ปกติ ติดตามภาวะและสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษ สัปดาห์ละ ๒ ครั้ง และ Sensitive List (SL) ระดับที่ส่อเค้าว่าจะมีปัญหา ติดตามราคา และภาวะเป็นประจำทุกวัน ๑.๒ ด้านปริมาณ ดูแลให้สินค้าเพียงพอกับความต้องการไม่มีการกักตุนสินค้า ๒. มาตรการกำกับดูแล ๒.๑ มาตรการทางกฎหมาย ได้แก่ การกำหนดราคาจำหน่ายสูงสุด การปรับราคาสูงขึ้นต้องได้รับอนุญาต การให้แจ้งปริมาณสถานที่เก็บต้นทุน ค่าใช้จ่าย และห้ามมิให้มีการกักตุน ปฏิเสธการจำหน่าย และประวิงการจำหน่ายสินค้าควบคุม ๒.๒ มาตรการบริหาร ได้แก่ ขอความร่วมมือผู้ประกอบการตรึงราคาสินค้า และการประกาศราคาแนะนำสินค้า ๒.๓ การกำกับดูแลราคาสินค้าให้เป็นธรรม คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการได้กำหนดให้มีคณะอนุกรรมการพิจารณาราคาสินค้า จำนวน ๙ คณะ ได้แก่ สินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป น้ำมันพืชบริโภค ปุ๋ยเคมี อาหารสัตว์ ผลิตภัณฑ์นม เหล็กเส้นและเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ อาหารปรุงสำเร็จ ยารักษาโรคแผนปัจจุบัน และกลั่นกรองการกำหนดสินค้าและบริการควบคุมและมาตรการกำกับดูแล เพื่อพิจารณาราคาจำหน่ายสินค้าที่เหมาะสมในกรณีที่มีผู้ประกอบการแจ้งขอปรับราคาจำหน่ายสินค้าเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้บริโภค
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
858 | รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2554 | พม | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. ๒๕๕๔ ของคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จำนวนประชากรผู้สูงวัย (อายุตั้งแต่ ๖๐ ปี ขึ้นไป) เพิ่มขึ้นจาก ๑.๒ ล้านคน ในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ เป็น ๘.๕ ล้านคน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ประชากรผู้สูงอายุในวัยปลายที่มีอายุตั้งแต่ ๘๐ ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้นกว่า ๖ เท่าตัว เป็นหญิงมากกว่าชายกว่าร้อยละ ๖๐ อายุคาดเฉลี่ยผู้หญิงอายุประมาณ ๗๘ ปี ผู้ชายอายุประมาณ ๗๑ ปี ผู้สูงอายุมีแนวโน้มที่จะอยู่ลำพังหรืออยู่กับคู่สมรสเพิ่มมากขึ้น ผู้สูงอายุชายมีอัตราการทำงานมากกว่าผู้สูงอายุหญิง ผู้สูงอายุมีแนวโน้มอยู่ในภาวะยากจนสูงกว่ากลุ่มอื่น ผู้สูงอายุในภาวะทุพพลภาพหรือไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันพื้นฐานด้วยตนเองได้เพิ่มขึ้น ร้อยละ ๑๕ ของผู้สูงอายุตั้งแต่ ๘๐ ปีขึ้นไป และเพิ่มขึ้นกว่า ร้อยละ ๓๐ ของผู้สูงอายุที่มีอายุ ๙๐ ปีขึ้นไป ผู้สูงอายุทั้งชายและหญิงเป็นโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง อัมพฤกษ์/อัมพาต ไตวายเรื้อรัง เพิ่มขึ้น ทัศนคติของประชากรหนุ่มสาวและวัยแรงงานที่มีต่อผู้สูงอายุ มีทัศนคติเชิงบวกต่อผู้สูงอายุ ร้อยละ ๕๗ ๒. นโยบายของรัฐระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๒๕-๒๕๕๔ ให้ความสำคัญกับสุขภาพของผู้สูงอายุเป็นลำดับต้น การรักษาแบบให้เปล่า เน้นการพัฒนาผู้สูงอายุในทุกมิติ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีบทบาทในการดูแล ส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ เน้นการออม และการสร้างหลักประกันรายได้ อาทิ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ การส่งเสริมการทำงานให้เหมาะสมกับวัย แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๐ (พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๔) เน้นการเตรียมความพร้อมของคนและระบบตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง แผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๔๕-๒๕๖๔) ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ ๑ ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นแผนยุทธศาสตร์ โดยมุ่งเน้นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแผนยุทธศาสตร์และแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติในหน่วยงาน มีการกำหนดสิทธิสวัสดิการและการช่วยเหลือผู้สูงอายุในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปี พ.ศ. ๒๕๔๐ และฉบับปี พ.ศ. ๒๕๕๐ และพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. ๒๕๔๖ และฉบับที่ ๒ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๕๓ ๓. ระบบการดูแลสุขภาพและการสาธารณสุข แผนพัฒนาการสาธารณสุข ฉบับที่ ๑-๔ (พ.ศ. ๒๕๐๔-๒๕๒๔) เน้นการขยายสถานบริการสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน การผลิตบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ให้บริการสู่ชนบท ในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาสุขภาพผู้สูงอายุ (ปี พ.ศ. ๒๕๒๕-๒๕๔๕) มียุทธศาสตร์ที่สำคัญในการพัฒนาระบบให้บริการสุขภาพของสถานบริการทุกระดับ การพัฒนาศักยภาพกำลังคนด้านการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ พยาบาลด้านผู้สูงอายุ และอาสาสมัครผู้ดูแลผู้สูงอายุในชุมชน ยังคงมีความขาดแคลนบุคลากรรองรับการดูแลผู้สูงอายุ มีการสร้างหลักประกันทางเศรษฐกิจยามชราภาพ โดยระบบบำนาญภาครัฐ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนประกันสังคม เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ มาตรการทางภาษีอากรให้แก่ผู้สูงอายุ มีการสร้างแรงจูงใจวัยทำงานเพื่อสร้างหลักประกันทางเศรษฐกิจยามชราภาพ ส่งเสริมการสร้างหลักประกันให้กับบุพการี ระบบบริการทางสังคมและสวัสดิการทางสังคม และในปี พ.ศ. ๒๕๔๖ พระราชบัญญัติผู้สูงอายุมีผลบังคับใช้ พบว่าหน่วยงานภาครัฐและเอกชนให้บริการด้านสังคมและสวัสดิการแก่ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ระบบการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมของผู้สูงอายุและชุมชน มีศูนย์อเนกประสงค์สำหรับผู้สูงอายุในชุมชน อาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน การอำนวยความสะดวกในอาคาร สถานที่ และการจัดสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรสำหรับผู้สูงอายุ มีระบบบริการด้านที่อยู่อาศัย ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมสำหรับผู้สูงอายุ และการซ่อมแซมบ้านของผู้สูงอายุ มีที่พักอาศัยรูปแบบคอนโดมิเนียม มีระบบการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของผู้สูงอายุ ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้สูงอายุทางคดี คุ้มครองเป็นพยานในคดีอาญา ส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้ต้องขังสูงอายุ มีบริการสาธารณะ ยกเว้นอัตราค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ อุทยานแห่งชาติ หรือลดหย่อนอัตราค่าบริการการขนส่งสาธารณะให้กับผู้สูงอายุ ๔. ภาคเอกชนมีบทบาทกับงานด้านผู้สูงอายุมากขึ้น การดำเนินงานด้านผู้สูงอายุในภาคเอกชน มีการจัดบริการทั้งที่ไม่แสวงหาผลกำไรและแสวงหากำไร และให้ความสนใจผู้สูงอายุในฐานะลูกค้ามากขึ้นในด้านการให้บริการต่างๆ เช่น โรงพยาบาล สถานบริการกายภาพบำบัด การออกผลิตภัณฑ์เพื่อการออมเงินระยะยาวรูปแบบใหม่ ประกันชีวิตแบบบำนาญหรือแผนการออมทรัพย์สำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งสามารถนำมายกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
859 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ความคืบหน้าโครงการจัดระบบการปลูกข้าว ปี 2555 | กษ | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ความคืบหน้าโครงการจัดระบบการปลูกข้าว ปี ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงานโครงการจัดระบบการปลูกข้าว ๑.๑ การสนับสนุนเมล็ดพันธุ์พืชหลังนา รวม ๓,๑๗๘.๖๗๔ ตัน ประกอบด้วย ถั่วเขียว ผลิตได้ ๒,๘๗๔.๑๓๗ ตัน จัดส่งแล้ว ๒,๗๑๙.๑๓๖ ตัน พืชไร่หลังนาชนิดอื่นๆ ๓ ชนิด รวม ๓๐.๙๘๕ ตัน พืชปุ๋ยสด จำนวน ๒๗๓.๕๕๒ ตัน ๑.๒ ผลการปลูกพืชหลังนา ดำเนินการปลูกถั่วเขียวหลังนา ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนเมษายน ๒๕๕๕ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และกำแพงเพชร ๑๘๔,๓๙๖ ไร่ และปลูกในช่วงเดือนกันยายน ถึงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ พื้นที่ ๑๔๘,๖๔๗ ไร่ รวมจำนวน ๓๓๓,๐๔๓ ไร่ ตามเป้าหมาย สำหรับพืชไร่หลังนาชนิดอื่นๆ และพืชปุ๋ยสดอยู่ระหว่างดำเนินการส่งมอบเมล็ดพันธุ์ให้กับเกษตรกร คาดว่าจะเริ่มปลูกตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ ถึงเดือนมกราคม ๒๕๕๖ ๑.๓ การติดตามประเมินผลโครงการจัดระบบการปลูกข้าว ปีเพาะปลูก ๒๕๕๔/๕๕ ๑.๓.๑ เกษตรกรที่ร้อยละ ๙๕ เลือกปลูกถั่วเขียวเป็นพืชหลังนา ๑.๓.๒ เกษตรกรที่ได้รับเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวไปปลูกระบุว่าเพียงพอ และเมล็ดพันธุ์มีความงอกดี ๑.๓.๓ จากดำเนินงานโครงการฯ มีการใช้น้ำชลประทานลดลง ๙๗๙ ล้านลูกบาศก์เมตร จากเป้าหมาย ๑,๒๐๐-๒,๐๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ๑.๓.๔ ผลผลิตข้าวนาปรังเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก ๗๑๑ กิโลกรัมต่อไร่ เป็น ๗๕๖ กิโลกรัมต่อไร่ เพิ่มขึ้น ๔๕ กิโลกรัมต่อไร คิดเป็นร้อยละ ๖.๓๒ จากเป้าหมายทั้งโครงการฯ ๓ ปี (ปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗) คือ ร้อยละ ๒๐ ๑.๓.๕ พื้นที่ปลูกข้าวนาปรังในช่วงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ ถึงเดือนเมษายน ๒๕๕๕ มีพื้นที่ระบาดเป็นบางจุดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลลดลงเหลือร้อยละ ๒๘ จากร้อยละ ๕๔ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓/๕๔ ๑.๓.๖ เกษตรกรมีต้นทุนการผลิตข้าวนาปรังเฉลี่ยลดลงจาก ๗,๓๐๙ บาทต่อตัน เหลือ ๖,๙๐๒ บาทต่อตัน ลดลง ๔๐๗ บาทต่อตัน คิดเป็นร้อยละ ๕.๕๗ เนื่องจากปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมีเฉลี่ยของเกษตรกรลดลง มูลค่าการใช้สารเคมีเฉลี่ยของเกษตรกรลดลง รวมทั้งปริมาณการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวเฉลี่ยของเกษตรกรลดลง ๑.๓.๗ เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ร้อยละ ๙๖ มีความประสงค์จะเข้าร่วมโครงการจัดระบบการปลูกข้าวในปีต่อไป เนื่องจากเกษตรกรเห็นว่าการจัดระบบปลูกข้าวสามารถแก้ไขปัญหาดินเสื่อมโทรม ลดการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้น และแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำ ๒. ปัญหาอุปสรรค เนื่องจากเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ในช่วงปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ทำให้ข้าวนาปีของเกษตรกรเสียหายมีผลประทบต่อการจัดระบบการปลูกข้าว ปี ๒๕๕๕ ประกอบกับเกษตรกรมีการเปลี่ยนแผนการปลูกพืชหลังนา (ถั่วเขียว) รวมทั้งถั่วเขียวที่ปลูกช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ๒๕๕๕ ได้รับผลกระทบจากภาวะภัยแล้ง ฝนตกน้ำท่วม จึงต้องไถกลบ เป็นต้น สำหรับแนวทางแก้ไข ได้มีการกำหนดช่วงเวลาการปลูกข้าวใหม่เพื่อให้เก็บเกี่ยวข้าวก่อนน้ำท่วม มีการเลือกชนิดพันธุ์พืชที่เหมาะสมกับสภาพและศักยภาพของพื้นที่ ตลอดจนทบทวนช่วงเวลาปลูกพืชหลังนา/พืชปุ๋ยสด หรือเว้นปลูก และการบริหารจัดการน้ำใหม่ เพื่อให้มีความสอดคล้องกับการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาล และลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมที่ส่งผลทำให้ผลผลิตข้าวเสียหายเนื่องจากไม่สามารถเก็บเกี่ยวหนีน้ำได้ รวมทั้งคณะกรรมการบริหารและกำกับดูแลโครงการจัดระบบการปลูกข้าวระดับจังหวัดควรมีการจัดประชุมเพื่อทราบความก้าวหน้าโครงการและการเตรียมการในเรื่องของการสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ให้เกษตรกร
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
860 | ผลการสำรวจภาวะการครองชีพของข้าราชการพลเรือนสามัญ พ.ศ. 2555 | ทก | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการสำรวจภาวะการครองชีพของข้าราชการพลเรือนสามัญ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รายได้ของครอบครัวข้าราชการทุกประเภทและระดับตำแหน่งทั่วประเทศ มีรายได้เฉลี่ยเดือนละ ๔๙,๙๑๕ บาท ส่วนใหญ่เป็นค่าตอบแทนที่ได้รับเป็นประจำจากการทำงาน เช่น เงินเดือน/เงินประจำตำแหน่ง และเงินเพิ่มพิเศษ ร้อยละ ๘๓.๐ รองลงมาคือ รายได้จากการประกอบธุรกิจส่วนตัว ร้อยละ ๙.๔ รายได้ที่ได้รับเป็นครั้งคราว เช่น ค่าเบี้ยประชุม/ค่าล่วงเวลา/โบนัส ร้อยละ ๒.๓ รายได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน ร้อยละ ๑.๕ และรายได้อื่นๆ เช่น ดอกเบี้ยเงินปันผล และเงินช่วยเหลือจากบุคคลอื่น/รัฐ ร้อยละ ๓.๘ ๒. ค่าใช้จ่ายของครอบครัวข้าราชการทุกประเภทและระดับตำแหน่งทั่วประเทศ มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเดือนละ ๔๑,๐๘๑ บาท ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นค่าอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๒๐.๖ รองลงมาคือ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเดินทาง/การสื่อสาร ร้อยละ ๑๕.๑ ค่ายานพาหนะ/อุปกรณ์ ร้อยละ ๑๓.๕ ค่าเครื่องแต่งบ้าน/เครื่องใช้เบ็ดเตล็ดฯ ร้อยละ ๙.๒ ค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล/เครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ร้อยละ ๘.๔ การศึกษา ร้อยละ ๗.๐ การบันเทิง/การอ่าน ร้อยละ ๕.๔ ยา เวชภัณฑ์และค่ารักษาพยาบาล ร้อยละ ๓.๕ ค่าที่อยู่อาศัย ร้อยละ ๒.๖ ค่าจ้างส่วนบุคคลและค่าใช้จ่ายสมทบ ร้อยละ ๑.๓ สำหรับค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวกับการอุปโภคบริโภค เช่น ค่าภาษี ค่าเบี้ยประกันภัย ค่าซื้อสลากกินแบ่ง ฯลฯ ร้อยละ ๑๓.๔ ๓. หนี้สินของครอบครัวข้าราชการทุกประเภทและระดับตำแหน่ง มีหนี้สินร้อยละ ๘๓.๒ มีจำนวนหนี้สินเฉลี่ย ๑,๑๑๑,๔๒๕ บาทต่อครอบครัวที่มีหนี้ และข้าราชการประเภททั่วไปมีสัดส่วนของครอบครัวที่เป็นหนี้สูงสุด ร้อยละ ๘๖.๓ รองลงมาคือ ข้าราชการประเภทวิชาการและอำนวยการ ร้อยละ ๘๓.๔ และ ๖๕.๕ ส่วนข้าราชการประเภทบริหารมีสัดส่วนที่เป็นหนี้ต่ำสุด ร้อยละ ๓๑.๙ ๔. วัตถุประสงค์ของการเป็นหนี้ของครอบครัวข้าราชการ เป็นหนี้สินเพื่อที่อยู่อาศัยสูงที่สุดคือ ร้อยละ ๕๔.๗ รองลงมาเป็นหนี้เพื่อซื้อหรือซ่อมแซมยานพาหนะ ร้อยละ ๑๖.๕ เพื่อใช้จ่ายในการอุปโภคบริโภค ร้อยละ ๑๕.๔ เพื่อการลงทุนในธุรกิจของครอบครัว ร้อยละ ๕.๙ และหนี้เพื่อการศึกษา ร้อยละ ๓.๖ ๕. การเปรียบเทียบรายได้ ค่าใช้จ่าย หนี้สิน และหนี้สินต่อรายได้ของครอบครัวข้าราชการ ปี พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๕ ครอบครัวข้าราชการมีรายได้สูงกว่าค่าใช้จ่าย โดยรายได้และค่าใช้จ่ายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก ๔๑,๑๓๙ บาท ในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็น ๔๓,๖๕๐ บาท และ ๔๙,๙๑๕ บาท ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ และ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามลำดับ ส่วนค่าใช้จ่ายในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ลดลงจากปี พ.ศ. ๒๕๕๑ เล็กน้อย จากนั้นเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ คือจาก ๓๒,๔๑๑ บาท ในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็น ๔๑,๐๘๑ บาท ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับครอบครัวข้าราชการที่มีหนี้มีสัดส่วนลดลงจากร้อยละ ๘๔.๐ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็น ๘๓.๒ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เมื่อพิจารณาจำนวนหนี้สินพบว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก ๗๔๙,๗๗๑ บาท ในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็น ๑,๑๑๑,๔๒๕ บาท ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และพบว่าหนี้สินต่อรายได้ของครอบครัวข้าราชการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก ๑๘.๒ เท่า ในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็น ๒๐.๐ เท่า ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ และ ๒๒.๓ เท่า ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕
|
.....