ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 46 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 901 - 920 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
901 | รายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม - ธันวาคม 2554) ธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 18/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม - ธันวาคม ๒๕๕๔) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยรายงานดังกล่าวประกอบด้วย
๑. ส่วนที่ ๑ ภาวะเศรษฐกิจ ๒. ส่วนที่ ๒ การดำเนินงานของ ธปท. ประกอบด้วย ๒.๑ แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายการเงิน ๒.๒ แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายสถาบันการเงิน ได้แก่ ๒.๒.๑ ภาพรวมการดำเนินนโยบายด้านสถาบันการเงินในช่วงหลังของปี ๒๕๕๔ ๒.๒.๒ การดำเนินนโยบายเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงให้กับระบบสถาบันการเงิน ๒.๒.๓ การเตรียมความพร้อมสถาบันการเงินเพื่อรองรับการปฏิบัติตามมาตรฐานสากล ๒.๒.๔ การดำเนินนโยบายเพื่อแก้ไขและบรรเทาปัญหาเร่งด่วนเพื่อบรรเทาภาระของธนาคารพาณิชย์ ผู้ประกอบธุรกิจ และประชาชน จากเหตุอุทกภัย ๒.๒.๕ การดำเนินนโยบายการพัฒนาระบบสถาบันการเงินเพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพในระบบการเงิน ๒.๒.๖ การดำเนินนโยบายสถาบันการเงินในเวทีระหว่างประเทศ ๒.๒.๗ การกำกับตรวจสอบสถาบันการเงินในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๔ ๒.๒.๘ การทำหน้าที่เป็นนายธนาคารของสถาบันการเงินของ ธปท. ๒.๓ แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายระบบการชำระเงินที่สำคัญ ได้แก่ ๒.๓.๑ การดำเนินนโยบายด้านระบบการชำระเงิน ๒.๓.๒ การพัฒนาระบบการหักบัญชีเช็คด้วยภาพเช็ค ๒.๓.๓ การกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
|
||||||||||||||||||
902 | สถานการณ์สิ่งแวดล้อมจากการรั่วไหลของสารพิษในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง | อก | 18/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานการณ์สิ่งแวดล้อมจากการรั่วไหลของสารพิษในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง กรณีเกิดเหตุก๊าซคลอรีนรั่วไหลจากหน่วยผลิตกรดเกลือ บริษัท อดิตยา เบอร์ล่า เคมิคัลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการตรวจสอบใบอนุญาตประกอบกิจการพบว่า บริษัท อดิตยา เบอร์ล่าฯ ได้รับการพิจารณาต่อใบอนุญาตให้ใช้ที่ดินและประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (กนอ. ๐๓/๖ ฉบับต่ออายุครั้งที่ ๓) เลขที่ ๐๕๖/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ โดยได้มีการยื่นรายงานการวิเคราะห์ความเสี่ยงต่อกรมโรงงานอุตสาหกรรม เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ ซึ่งจากผลการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ความเสี่ยงของกรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้ระบุจุดวิกฤตที่บริษัท อดิตยา เบอร์ล่าฯ จะต้องควบคุม คือ การรั่วไหลของคลอรีนจากถังเก็บ ระบบและอุปกรณ์ ๒. การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้มีข้อสั่งการให้บริษัท อดิตยา เบอร์ล่าฯ ดำเนินการปรับปรุงระบบการควบคุมการ Start up และ Shutdown ในหน่วยผลิตกรดเกลือทั้ง Unit A และ Unit B โดยให้มีระบบควบคุมอัตโนมัติ ซึ่งมีคุณสมบัติสำคัญในการตรวจสอบยืนยันความคืบหน้าของการ Start up และ Shutdown ในแต่ละขั้นตอนก่อนที่จะยินยอมให้ดำเนินการในขั้นต่อไป และให้ปรับปรุงขีดความสามารถของ HCL vent gas scrubber ทั้ง HCL Unit A และ Unit B ให้สามารถรองรับสถานการณ์ที่ไม่ปรกติ ที่มีการ Purge Cl2 ออกจากระบบสูงสุดทาง vent gas scrubber ๓. กระทรวงอุตสาหกรรมได้กำหนดให้ทุกนิคมอุตสาหกรรมดำเนินการทบทวนมาตรฐานความปลอดภัยของโรงงานอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม โดยให้มีการทบทวนแผนฉุกเฉินให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. ๒๕๕๐ รวมทั้งหลักฐานด้านความปลอดภัย และจัดฝึกซ้อมแผนตอบโต้ภาวะฉุกเฉินอย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง และกำหนดให้ทุกนิคมอุตสาหกรรมต้องมีแผนการตรวจสอบสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรมและความปลอดภัยและประเมินผลการดำเนินงาน
|
||||||||||||||||||
903 | ผลการประชุมคณะทำงานแก้ไขปัญหาอุปสรรคและผลักดันการส่งออกของไทย ครั้งที่ 1/2555 | พณ | 18/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะทำงานแก้ไขปัญหาอุปสรรคและผลักดันการส่งออกของไทย ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมได้สรุปสถานการณ์ส่งออกของไทยในระยะ ๖ เดือนของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ (มกราคม - มิถุนายน) มีมูลค่า ๑๑๒,๒๖๔.๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๑.๙๗ โดยได้รับผลกระทบจากปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจยุโรปและสภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นหลัก ๒. ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับปัญหา กลยุทธ์ และข้อเสนอแนวทางการดำเนินงานเพื่อผลักดันการส่งออก ๒.๑ การผลักดันการส่งออกไปยังตลาดภูมิภาคยุโรปและตลาดศักยภาพอื่น ๆ ๒.๑.๑ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการส่งออก ได้แก่ ผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจในตลาดหลัก กฎระเบียบทางการค้า มาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (NTBs) การเจรจาเขตการค้าเสรีต่าง ๆ คุณภาพสินค้าและบริการของไทย และการประสานงานระหว่างองค์กรภายในประเทศ เป็นต้น ๒.๑.๒ กลยุทธ์ในการผลักดันการส่งออก ได้แก่ การแสวงหาโอกาสในตลาดเดิมหรือตลาดที่มีปัญหา และแสวงหาโอกาสในตลาดใหม่และตลาดที่มีศักยภาพอื่น ๆ ๒.๑.๓ แนวทางการดำเนินงาน ได้แก่ ส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศและแก้ปัญหาการถูกโจมตีในประเด็นการใช้แรงงานและการทำลายสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการผลิตสินค้า Organic & Sustainable Farming ส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่ม การปรับปรุงกระบวนการผลิต และการเร่งรัดการเจรจาการค้าเสรีกรอบ FTA ไทย - สหภาพยุโรป เป็นต้น ๒.๒ การส่งเสริมการสร้างฐานการผลิตในประเทศเพื่อนบ้านและการค้าชายแดน ๒.๒.๑ ปัญหาอุปสรรคทางการค้าและการลงทุน ได้แก่ ด่านชายแดนมีจำนวนจำกัด ความตกลงว่าด้วยการขนส่งสินค้าข้ามแดน/ผ่านแดนในกรอบ GMS และ ASEAN ยังไม่มีผลบังคับใช้ กฎระเบียบทางการค้าของประเทศเพื่อนบ้าน การลักลอบนำเข้าส่งออก อาชญากรรม และความรุนแรง และขาดการศึกษาวิจัยตลาดประเทศเพื่อนบ้านเชิงลึก ๒.๒.๒ แนวทางการส่งเสริมการค้าชายแดน ได้แก่ การปรับปรุงกฎระเบียบและลดขั้นตอน การขอหนังสือรับรองการนำเข้าส่งออก พัฒนาระบบโลจิสติกส์ให้ทันสมัยและเพียงพอ ยกระดับมาตรฐานสินค้าและบริการของไทยสู่ระดับมาตรฐานระดับอาเซียน และสร้างสิ่งจูงใจเพื่อส่งเสริมการไปลงทุนในต่างประเทศ ๒.๓ ปัญหาในการผลักดันการส่งออกรายสินค้า ๒.๓.๑ อาหาร ได้แก่ ไก่สดแช่เย็นและแช่แข็งและแปรรูป เช่น ปริมาณอาหารสัตว์ที่ผลิตได้ในประเทศมีไม่เพียงพอ คุณภาพต่ำ และยังต้องพึ่งพิงการนำเข้าจากต่างประเทศสูง ปัญหาด้านสุขอนามัยและปัญหาเทคนิคกับกลุ่มตลาดหลัก การเตรียมการเพื่อรองรับการเปิดตลาด AEC เป็นต้น กุ้งสดแช่เย็นและแช่แข็งและแปรรูป เช่น ขาดแคลนพ่อพันธุ์แม่พันธุ์กุ้ง ปัญหาขาดแคลนแรงงาน ราคาไม่มีเสถียรภาพและปริมาณผลผลิตไม่สม่ำเสมอ สินค้ามีแนวโน้มถูกตัดสิทธิ GSP ของสหภาพยุโรปในสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๖ การถูกกล่าวหาจากประเทศคู่ค้าว่าทำลายสภาพแวดล้อมและกดขี่แรงงาน รวมทั้ง Lab ของเอกชนคิดค่าใช้จ่ายสูง เป็นต้น ผักและผลไม้ เช่น ปัญหาด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช ขาดแคลนแรงงานในภาคเกษตร การขยายพื้นที่เพาะปลูกพืชพลังงานทำให้พื้นที่เพาะปลูกพืชอาหารลดลง ๒.๓.๒ อัญมณีและเครื่องประดับ เช่น ขาดแคลนวัตถุดิบ ต้นทุนการผลิตสูง งานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับในประเทศไทยดึงดูดผู้ซื้อต่างประเทศได้น้อยลง แบรนด์สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยยังไม่เป็นที่รู้จักในตลาดโลก ขาดข้อมูลเชิงลึกในตลาดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับที่สำคัญ และปัญหาโลจิสติกส์ในการจัดส่งวัตถุดิบจากประเทศที่เป็น Free Port ๒.๓.๓ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เช่น มาตรการ Anti-Dumping และ Safeguard ของประเทศคู่ค้า (สินค้าผ้าผืนและเส้นด้าย) ขาดการพัฒนาผลิตภัณฑ์แฟชั่นในเชิงลึกเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ต้องการข้อมูลเชิงลึกของประเทศเพื่อนบ้าน การสนับสนุนในการไปลงทุนตาม JETRO Model ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น การขาดแคลนแรงงาน ขาดแคลนเงินทุนเพื่อนำมาขยายการผลิต เปลี่ยนเครื่องจักร และเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ๓. ที่ประชุมได้กำหนดให้คณะทำงานติดตามสถานการณ์และขับเคลื่อนการส่งออกไปตลาดภูมิภาคยุโรปและตลาดศักยภาพอื่น ๆ คณะทำงานส่งเสริมการสร้างฐานการผลิตในประเทศเพื่อนบ้านและการค้าชายแดน และคณะทำงานแก้ไขปัญหาอุปสรรคและผลักดันการส่งออกรายสินค้า จัดประชุมเพื่อติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกเดือน พร้อมทั้งให้จัดการประชุมคณะทำงานกลุ่มย่อยภาครัฐและเอกชนเพื่อศึกษาวิเคราะห์ สรุปประเด็นปัญหา และแนวทางการแก้ไขให้มีความชัดเจนทั้งในส่วนของรายตลาดและรายสินค้าต่อไป
|
||||||||||||||||||
904 | สรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำท่วมของประเทศไทยประจำสัปดาห์ (ครั้งที่ 4/2555 ณ วันที่ 17 กันยายน 2555) | วท | 18/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยสรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำท่วมของประเทศไทย ครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ ณ วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. สถานการณ์ภูมิอากาศ พายุไต้ฝุ่น “ซันปา”ก่อตัวบริเวณด้านตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะเจจู ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งคาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเกาหลีบริเวณเมืองปูซาน และในช่วงวันที่ ๒๑-๒๔ กันยายน ๒๕๕๕ มีแนวโน้มการก่อตัวของพายุลูกใหม่บริเวณใกล้เคียงกับการก่อตัวของพายุ “ซันปา” และมีทิศทางการเคลื่อนตัวไปยังประเทศญี่ปุ่น สำหรับประเทศไทยพบว่ามีร่องมรสุมพาดผ่านบริเวณภาคกลาง และภาคตะวันออกยังคงมีกำลังแรง และจะเริ่มมีกำลังอ่อนลงเล็กน้อยใน ๒-๓ วันข้างหน้า และจะกลับมีกำลังแรงอีกครั้งในช่วงวันที่ ๒๐-๒๑ กันยายน ๒๕๕๕ โดยมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยในทั้งประเทศและในแต่ละภูมิภาคต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของปีที่แล้ว (ยกเว้นภาคตะวันตก) แต่สูงกว่าค่าเฉลี่ย ๓๐ ปี ๒. สถานการณ์น้ำและน้ำท่วม ดังนี้ ๒.๑ ปริมาณน้ำท่าในบริเวณสำคัญ ได้แก่ ๒.๑.๑ สถานี C.2 ค่ายจิรประวัติ จังหวัดนครสวรรค์ ๑,๗๕๓ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ที่ความจุลำน้ำ ๓,๕๐๐ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ๒.๑.๒ สถานี C.13 เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท ๑,๖๓๑ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ที่ความจุลำน้ำ ๒,๔๘๐ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ๒.๑.๓ สถานี C.29A ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๒,๑๓๑ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ที่ความจุลำน้ำ ๓,๕๐๐ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ๒.๒ ระดับความสูงของน้ำในแม่น้ำสายหลัก ได้แก่ ๒.๒.๑ แม่น้ำปิง ที่สถานี P.1 จังหวัดเชียงใหม่ +๓๐๒.๖๓ เมตรระดับน้ำทะเลปานกลาง (ม.รทก. ) ต่ำกว่าตลิ่ง ๑.๕๗ เมตร ๒.๒.๒ แม่น้ำวัง ที่สถานี W.10A จังหวัดลำปาง +๒๖๐.๔๗ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๕.๑๓ เมตร ๒.๒.๓ แม่น้ำยม ที่สถานี Y.4 จังหวัดสุโขทัย +๕๐.๖๗ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๐.๒๐ เมตร ๒.๒.๔ แม่น้ำน่าน ที่สถานี N.1 จังหวัดน่าน +๑๙๓.๘๗ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๕.๓๓ เมตร ๒.๒.๕ แม่น้ำเจ้าพระยา ที่สถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์ +๒๓.๑๕ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๓.๐๕ เมตร และที่สถานี C.13 จังหวัดชัยนาท ระดับน้ำท้ายเขื่อน +๑๓.๕๕ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๒.๗๙ เมตร ๒.๓ น้ำในเขื่อน/อ่างเก็บน้ำ ได้แก่ ๒.๓.๑ เขื่อนภูมิพล น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ ๖๘.๑๘ ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๗,๔๖๑ ล้านลูกบาศก์เมตร และใช้การได้จริง ๓,๖๖๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒.๓.๒ เขื่อนสิริกิติ์ น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ ๔๐.๑๐ ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๖,๐๕๒ ล้านลูกบาศก์เมตร และใช้การได้จริง ๓,๒๐๒ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒.๓.๓ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ ๒๒.๑๙ ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๔๐๘ ล้านลูกบาศก์เมตร และใช้การได้จริง ๔๐๕ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒.๓.๔ น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่รวม ๓๓ อ่างทั่วประเทศ ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำ รวม ๔๗,๓๑๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ สะสมตั้งแต่ต้นปี ๒๘,๑๙๙ ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณน้ำระบายจากอ่างเก็บน้ำ สะสมตั้งแต่ต้นปี ๓๘,๘๗๓ ล้านลูกบาศก์เมตร และความสามารถในการรับน้ำได้อีก ๒๒,๘๔๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ๓. การบริหารน้ำในเขื่อน ดังนี้ ๓.๑ น้ำในเขื่อนที่อยู่ในสภาวะน้ำน้อยวิกฤต ประกอบด้วย เขื่อนลำตะคอง ปริมาณน้ำกักเก็บ ๓๐% เขื่อนลำพระเพลิง ปริมาณน้ำกักเก็บ ๓๑% เขื่อนลำปาว ปริมาณน้ำกักเก็บ ๒๗% โดยเขื่อนทั้งสามปริมาณน้ำกักเก็บต่ำกว่าปี ๒๕๕๓ ซึ่งเป็นปีที่เกิดภัยแล้ง ๓.๒ เขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ให้ระบายน้ำไม่เกินวันละ ๓ ล้านลูกบาศก์เมตร ทั้งนี้ หากปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อการผลิตน้ำประปา การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจะหารือกับกรมชลประทานเพื่อปรับการระบายให้เหมาะสมต่อไป ๔. สถานการณ์อุทกภัย ฝนทิ้งช่วง และน้ำป่า ดังนี้ ๔.๑ อุทกภัย สถานการณ์ปัจจุบันมีพื้นที่ประสบอุทกภัย ๑๑ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดลำปาง อุตรดิตถ์ สุโขทัย พิษณุโลก นครสวรรค์ ชัยนาท สุพรรณบุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ชัยภูมิ และปราจีนบุรี รวม ๔๓ อำเภอ ๒๓๒ ตำบล ๑,๒๗๘ หมู่บ้าน ๔.๒ ฝนทิ้งช่วง ปัจจุบันมีพื้นที่ได้ประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) จำนวน ๔ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดบุรีรัมย์ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และพัทลุง รวม ๔๑ อำเภอ ๓๑๐ ตำบล ๓,๔๙๗ หมู่บ้าน ๔.๓ กรมทรัพยากรน้ำได้เตือนภัยสถานการณ์น้ำป่า ณ วันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๕ เตือนภัยสีเหลือง (เตือนภัย) ๑ จังหวัด คือ จังหวัดตราด (ตำบลเกาะช้าง อำเภอเกาะช้าง) ๕. สรุปสถานการณ์น้ำท่วมในเขตจังหวัดสุโขทัย ณ วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๕ สถานีวัดน้ำ Y.4 (อำเภอเมือง) ระดับน้ำ +๗.๓๒ เมตร(รสม.) ปริมาณน้ำไหลผ่าน ๕๔๙ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ยังต่ำกว่าตลิ่ง ๐.๑๓ เมตร มีแนวโน้มลดลง และในวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๕ พบว่าระดับน้ำต่ำกว่าพนังกั้นน้ำ ๓๗ เซนติเมตร มีแนวโน้มลดลง ๖. สรุปผลการตรวจติดตามสถานการณ์น้ำและระบบป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย ในเขตจังหวัดนครสวรรค์ สิงห์บุรี และอ่างทอง ณ วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๕ ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยลงตรวจติดตามความพร้อมและการแก้ไขปัญหาอุทกภัยโดยเฉพาะพนังกั้นน้ำที่ยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ และสั่งการให้สร้างเขื่อนดินแทนชั่วคราว
|
||||||||||||||||||
905 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนกรกฎาคม 2555 | อก | 11/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม แนวโน้มการผลิตในภาพรวมและการส่งออกคาดว่าจะปรับตัวลงจากเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ เล็กน้อย เนื่องจากราคาฝ้ายในตลาดล่วงหน้าเริ่มปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ ปัจจัยเสี่ยงของการส่งออกของอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มที่ต้องระมัดระวัง คือ ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในตลาดส่งออกหลักอย่างสหภาพยุโรป ๒. อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ภาพรวมอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ จากแบบจำลองดัชนีชี้นำภาวะอุตสาหกรรมสาขาเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่จัดทำโดยสถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ประมาณการแนวโน้มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าจะปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๓.๘๖ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนการประมาณการอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์จะมีการปรับตัวลดลงร้อยละ ๑๔.๕๕ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
|
||||||||||||||||||
906 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการบรรเทาอุทกภัยในปี 2555 ในระยะเร่งด่วน" | สสป | 11/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของสำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการนโยบายน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ คณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการบรรเทาอุทกภัยในปี ๒๕๕๕ ในระยะเร่งด่วน” โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
๑.๑ รัฐควรแก้ไขปัญหากลไกการบริหารจัดการน้ำในภาวะวิกฤตอุทกภัยของแต่ละพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๑.๒ รัฐต้องให้ความสำคัญต่อการวางแผนการใช้ที่ดินและการออกกฎหมายการผังเมือง การพัฒนาและการใช้ที่ดินผิดประเภท การปลูกสิ่งก่อสร้างรุกล้ำลำน้ำและกีดขวางทางระบายน้ำ ๑.๓ รัฐต้องให้ความสำคัญกับการบำรุงรักษาแม่น้ำลำคลอง พื้นที่รับน้ำเพื่อประโยชน์สำหรับการระบายน้ำ และบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง รวมทั้งดำเนินการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๔ รัฐต้องบริหารการปิดเปิดประตูระบายน้ำให้เป็นไปตามหลักวิชาการ ๑.๕ รัฐควรดำเนินการแก้ไขปัญหาในเรื่องการพยากรณ์ด้านอุตุนิยมวิทยาให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ๑.๖ รัฐควรดำเนินการให้ประชาชนในแต่ละพื้นที่ได้มีส่วนร่วมในการจัดทำและวางแผน เกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการน้ำ และมีกลไกในการแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ได้อย่างถูกต้องและทันต่อเหตุการณ์ ๑.๗ รัฐต้องจัดทำศูนย์ข้อมูลกลางและข้อมูลที่มีมาตรฐานเดียวกันซึ่งจำเป็นสำหรับการบริหารจัดการน้ำ ที่จะนำไปใช้สำหรับแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ เช่น ระดับความสูง-ต่ำ ของพื้นที่เสี่ยงภัยอุทกภัย ข้อมูลด้านกายภาพ และระบบสาธารณูปโภค เช่น ถนน คันคลอง คันกั้นน้ำ ท่อระบายน้ำ สะพาน ความลึก ความกว้าง พื้นที่หน้าตัด สิ่งรุกล้ำ ขยะและวัชพืช เป็นต้น รวมทั้งการจัดเตรียมข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน (Real time) เพื่อสามารถติดตามตรวจสอบพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยได้ทันท่วงที และการเตรียมตัวป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ในการดำเนินงานจะต้องให้อิสระกับนักวิชาการในการทำงานและเน้นหลักวิชาการและการบูรณาการในการแก้ไขปัญหา ๑.๘ รัฐต้องทำความเข้าใจ ให้ความรู้ และขอความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่ที่จะถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่รับน้ำนอง เพื่อสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติและการชดเชยความเสียหายให้ประชาชนได้รับความพึงพอใจ เป็นธรรม และรวดเร็ว ๑.๙ รัฐต้องบริหารองค์กรเพื่อบริหารจัดการน้ำแบบ Single Command Authority เพื่อบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแบบบูรณาการให้เป็นไปตามหลักวิชาการ และให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนอย่างจริงจัง เพื่อให้ประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด โดยปราศจากการแทรกแซงจากผู้ที่หวังประโยชน์จากวิกฤตอุทกภัย
|
||||||||||||||||||
907 | การลงนามในเอกสารโครงการส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในอาคารธุรกิจ (Full-Size Project Document on Promotion Energy Efficiency in Commercial Building, PEECB) ระหว่างกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กับสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme, UNDP) | พน | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบการลงนามในเอกสารโครงการส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในอาคารธุรกิจ (Full-Size Project Document on Promotion Energy Efficiency in Commercial Building, PEECB) ระหว่างกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานกับสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme, UNDP) โดยเอกสารโครงการฯ จะใช้เป็นกรอบในการดำเนินโครงการร่วมกัน ระยะเวลาดำเนินโครงการ ๔ ปี นับจากวันลงนามรับรองเอกสารโครงการฯ โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานและสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติจะดำเนินกิจกรรมร่วมกันใน ๓ ภารกิจหลัก ได้แก่ ๑.๑ การส่งเสริมด้านการสร้างจิตสำนึกเพื่อสร้างความตื่นตัวและตระหนักรู้ด้านประสิทธิภาพพลังงาน รวมถึงการจัดตั้งของศูนย์รวมข้อมูลด้านประสิทธิภาพการใช้พลังงานสำหรับอาคารธุรกิจ การฝึกอบรมและการพัฒนาแบบจำลองสภาวะอาคารอนุรักษ์พลังงานที่ถูกกำหนดเพื่ออาคารธุรกิจในประเทศไทย ๑.๒ การจัดทำกรอบนโยบาย แผนการดำเนินงานระยะสั้นและระยะยาวเพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพพลังงานในอาคารธุรกิจ การประเมินผล และปรับปรุงมาตรการเชิงนโยบายด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในอาคารธุรกิจ ๑.๓ การสาธิตการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีด้านประสิทธิภาพพลังงานในอาคารธุรกิจ ๒. อนุมัติให้อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานเป็นผู้ลงนามในเอกสารโครงการฯ ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำที่ไม่กระทบต่อเนื้อหาสาระสำคัญของเอกสารโครงการฯ นี้ ให้อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานสามารถเปลี่ยนแปลงถ้อยคำดังกล่าวได้ |
||||||||||||||||||
908 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ผังเมืองกรุงเทพฯ : เมืองน่าอยู่" | สสป | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง "ผังเมืองกรุงเทพฯ : เมืองน่าอยู่" ซึ่งเป็นการพิจารณาอย่างบูรณาการที่เกี่ยวข้องทั้งกฎหมาย ผังเมืองการควบคุมอาคาร การจราจร สิ่งแวดล้อม ฯลฯ โดยมีวัตถุประสงค์ที่ต้องการเห็นกรุงเทพมหานคร เป็นเมืองที่ปลอดภัย น่าอยู่ น่าทำงาน น่าท่องเที่ยว และมีสิ่งแวดล้อมตลอดจนคุณภาพชีวิตดีขึ้นในด้านต่าง ๆ สำหรับประชาชนทุกระดับชั้น สะอาด สวยงามเชิดหน้าชูตา สมกับเป็นเมืองหลวงของประเทศไทย โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ พัฒนาผังเมืองของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ต้องพิจารณาการจัดทำผังเมืองร่วมกัน ๑.๒ เพิ่มความหนาแน่นการใช้ที่ดินของกรุงเทพมหานคร ๑.๓ เปิดโอกาสให้คนรายได้ปานกลางสามารถซื้อบ้านจัดสรรในกรุงเทพมหานครได้ ๑.๔ ปรับอัตราส่วนพื้นที่อาคารรวมต่อพื้นที่ดิน (Floor Area Ratio : FAR) ให้เหมาะสม ๑.๕ กำหนดความกว้างเขตทางที่เหมาะสมสำหรับอาคารใหญ่และอาคารสูง ๑.๖ ปรับความสูงอาคารขนาดใหญ่จาก ๒๓ เมตร เป็น ๓๕ เมตร ๑.๗ เพิ่มพื้นที่สวนสาธารณะในกรุงเทพมหานคร ๑.๘ สร้างทางเดินเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา ๑.๙ ส่งเสริมให้มีการทำสวนบนหลังคา ๑.๑๐ เพิ่มสะพานข้ามแม่น้ำ ทางด่วน พื้นที่ผิวทางเดินเท้า ทางจักรยาน และการเชื่อมซอยตันและคดเคี้ยว ๑.๑๑ ย้ายโรงงานอุตสาหกรรมที่มีมลพิษ อู่ซ่อมรถ อู่ซ่อมเรือ คลังน้ำมัน ออกนอกเมือง และกำหนดเวลาที่แน่นอนที่ต้องย้ายออกจากบริเวณเขตเมืองที่มีประชากรหนาแน่น ๑.๑๒ จัดที่อยู่อาศัยให้ประชาชนคนจนเมืองเพื่อแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่สาธารณะ ๑.๑๓ รวมข้อบัญญัติควบคุมการใช้ที่ดินไว้ในผังเมืองรวม ๑.๑๔ เพิ่มคลองระบายน้ำและถนนวงแหวน เพื่อป้องกันอุทกภัยขนาดใหญ่ ๑.๑๕ สร้างสวนวัฒนธรรม (Cultural Park) ขนาดใหญ่ เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิต การท่องเที่ยว และศิลปวัฒนธรรม ซึ่งประกอบด้วย อาคารพิพิธภัณฑ์ หอชมวิว หอศิลป์ โรงละคร ฯลฯ โดยให้เป็นอาคารที่มีลักษณะเป็นสัญลักษณ์ของกรุงเทพมหานคร (Landmark) และประเทศไทย ๑.๑๖ ควรพัฒนากรุงเทพมหานครให้เป็นเมืองสะอาด และมีสุขอนามัยที่ดีด้วยการพัฒนาการจัดเก็บขยะ การบำบัดน้ำเสียในคูคลองต่าง ๆ ให้ได้มาตรฐานสากล เพื่อให้กรุงเทพมหานครเป็นเมืองปลอดหนู แมลงวัน และยุง ๑.๑๗ ส่งเสริมการให้ความรู้เรื่องผังเมืองแก่ประชาชน เพื่อให้ประชาชนเข้าใจถึงบทบาทภาระหน้าที่ร่วมกัน ในการดูแลกรุงเทพมหานครให้เป็นเมืองน่าอยู่ ๒. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) สมาชิกสภาเกษตรกรุงเทพมหานคร และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สรุปได้ว่า โดยส่วนใหญ่มีความเห็นเช่นเดียวกับข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง "ผังเมืองกรุงเทพฯ : เมืองน่าอยู่" ยกเว้นมีความเห็นแตกต่างจากสภาที่ปรึกษาฯ เกี่ยวกับการเพิ่มความหนาแน่นการใช้ที่ดินของกรุงเทพฯ การเปิดโอกาสให้คนรายได้ปานกลางสามารถซื้อบ้านจัดสรรในกรุงเทพฯ ได้ การปรับอัตราส่วนพื้นที่อาคารรวมต่อพื้นที่ดิน (Floor Area Ratio : FAR) ให้เหมาะสม การกำหนดความกว้างเขตทางที่เหมาะสมสำหรับอาคารใหญ่และอาคารสูง และการปรับความสูงอาคารขนาดใหญ่จาก ๒๓ เมตร เป็น ๓๕ เมตร เนื่องจากจำนวนประชาชนกรุงเทพ ฯ มีแนวโน้มลดลง แต่จำนวนพื้นที่อาคารเพิ่มมากขึ้นจนเกินความต้องการ และยังมีพื้นที่อาคารที่ถูกทิ้งร้างจำนวนมาก ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม และเป็นอุปสรรคต่อการป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติต่างๆ รวมถึงภัยพิบัติจากอุทกภัยใหญ่ด้วย สำหรับการพิจารณาอัตราส่วนพื้นที่อาคารรวมต่อพื้นที่ดิน (Floor Area Ratio : FAR) ให้เหมาะสมนั้นจำเป็นต้องศึกษาวิเคราะห์องค์ประกอบหลายด้าน เช่น ระบบสาธารณูปโภค-สาธารณูปการเดิม และขีดจำกัดในการพัฒนา ภาวะเสี่ยงภัยต่าง ๆ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว ไฟไหม้ ฯลฯ เพื่อพิจารณาสัดส่วนที่เหมาะสมที่สุด
|
||||||||||||||||||
909 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อจ่ายเป็นเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวแก่ข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่นและลูกจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | มท | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีมติเห็นชอบในหลักการการปรับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่นและลูกจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการช่วยเหลือบุคลากรภาครัฐให้มีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพตามสภาวะเศรษฐกิจที่ปรับสูงขึ้น และให้มีความเท่าเทียมกับบุคลากรภาครัฐอื่น ๆ โดยให้ยึดถือแนวปฏิบัติ ดังนี้ ๑.๑ กรณีเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวที่เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล (ปริญญาตรี ๑๕,๐๐๐ บาท และค่าแรง ๓๐๐ บาท) ให้กระทรวงมหาดไทยและคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ตรวจสอบรายได้และค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรตามที่ได้จ่ายจริงของ อปท. แต่ละแห่ง หาก อปท. แห่งใดมีรายได้เพียงพอ ก็ให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของ อปท. นั้น ๆ สำหรับ อปท. ใดที่มีรายได้ไม่เพียงพอ ให้ กกถ. พิจารณาทบทวนเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปสำหรับดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และภารกิจถ่ายโอน ๑.๒ กรณี อปท. มีค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือน ค่าจ้าง และประโยชน์ตอบแทนอื่นเกินกว่าร้อยละ ๔๐ ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ให้ กกถ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันทบทวนหลักเกณฑ์การจัดสรรภาษีและค่าธรรมเนียมรถยนต์ และเงินเพิ่มตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ภาษีรถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก และค่าธรรมเนียมล้อเลื่อนตามกฎหมายว่าด้วยล้อเลื่อน ที่จัดสรรให้กับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ร้อยละ ๑๐๐ โดยลดสัดส่วนการจัดสรรรายได้ให้แก่ อบจ. ลง เพื่อนำมาจัดสรรเพิ่มให้แก่องค์การบริหารส่วนตำบลและเทศบาล ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือน ค่าจ้าง และผลประโยชน์ตอบแทนอื่นให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ๑.๓ ให้ อปท. ดำเนินการตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงิน และการตรวจเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๗ ข้อ ๙๐ กรณีที่งบประมาณรายจ่ายประกาศใช้บังคับแล้ว หรือ อปท. มีงบประมาณไม่เพียงพอที่จะจ่ายในกรณี รับโอน เลื่อนระดับ เลื่อนขั้นเงินเดือนพนักงานส่วนท้องถิ่น การเบิกเงินให้พนักงานส่วนท้องถิ่นตามสิทธิ ตลอดจนลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินอื่นตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง หรือหนังสือสั่งการกระทรวงมหาดไทยในระหว่างปีงบประมาณ หรือไม่ได้ตั้งงบประมาณเพื่อการนั้นไว้ ให้ อปท. จ่ายขาดเงินสะสมได้ โดยได้รับอนุมัติจากผู้บริหารท้องถิ่นและให้ถือเป็นรายจ่ายในปีนั้น ๒. ให้ กกถ. เร่งรัดการดำเนินการทบทวนเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปสำหรับดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และภารกิจถ่ายโอนของ อปท. ที่มีรายได้ไม่เพียงพอ ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ตามข้อ ๑.๑ ต่อไป ๓. ในระยะยาวให้ กกถ. พิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนให้ อปท. โดยให้คำนึงถึงจำนวนประชากรและรายได้ของ อปท. แต่ละแห่งเพื่อให้ อปท. ที่มีรายได้น้อยมีงบประมาณเพียงพอสำหรับจัดทำบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานของประชาชน เช่น การให้บริการด้านสาธารณสุข การดูแลเด็กและผู้สูงวัย เป็นต้น และให้เสนอหลักเกณฑ์ดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วน |
||||||||||||||||||
910 | แนวทางการบริหารจัดการน้ำของประเทศ | นร04 | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า การจัดงานนิทรรศการ “มุ่งมั่นทำงาน บริหารจัดการน้ำเพื่อประชาชน” เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๕-๒ กันยายน ๒๕๕๕ ณ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล พลาซ่า ลาดพร้าว เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี มีผู้สนใจเข้าร่วมชมงานเป็นจำนวนมาก โดยแนวทางการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ได้น้อมนำแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาเป็นแนวทางในการดำเนินการ รวมทั้งได้ปรับกระบวนการทำงานของหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย และคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ให้ประสานสอดคล้องและเชื่อมโยงข้อมูลกันให้เป็นปัจจุบันและมีเอกภาพเสมือนเป็นหน่วยงานเดียวกันที่จะปฏิบัติงานเชื่อมโยงจากส่วนกลางไปยังจังหวัด และให้ทุกจังหวัดมีการจัดตั้งศูนย์ส่วนหน้า (โดยใช้สำนักงานและบุคลากรที่มีอยู่ในปัจจุบัน) เชื่อมโยงต่อไปในระดับอำเภอและท้องถิ่นเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลในภาวะปกติ และเมื่อเกิดเหตุภัยพิบัติก็ให้สามารถรายงานข้อมูลสถานการณ์ภัยพิบัติในระดับต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วทันการณ์ โดยให้กระทรวง หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และทุกจังหวัดมอบหมายเจ้าหน้าที่ในการติดตาม รวบรวม รายงาน และปรับข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์อุทกภัยและข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้องในเว็บไซต์ของหน่วยงานให้ครบถ้วน ถูกต้อง เป็นปัจจุบัน (update) อย่างต่อเนื่อง เพื่อเผยแพร่ให้สาธารณชนได้รับทราบอย่างถูกต้อง ทันเหตุการณ์ รวมทั้งสามารถใช้เป็นข้อมูลในการประกอบการพิจารณาตัดสินใจในการบริหารจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป นอกจากนี้ ให้ กบอ. ประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยเพื่อติดตามและเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดอุทกภัยที่อาจได้รับผลกระทบจากลมมรสุมที่พัดผ่านในช่วงนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ลุ่มน้ำยมและลุ่มน้ำน่าน
|
||||||||||||||||||
911 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนกรกฎาคม 2555 | พณ | 28/08/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๑๕.๘๒ เทียบกับเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๑๕.๔๒ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๓๕ (เดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๖) เป็นการสูงขึ้นของราคาสินค้าที่ไม่ได้เร่งตัวมากนัก โดยดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๐.๔๗ สินค้าประเภทอาหารที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ ข้าวสารเจ้า ปลาและสัตว์น้ำ ผลไม้สด เครื่องปรุงรส เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และอาหารสำเร็จรูป ส่วนสินค้าที่มีราคาลดลงตามปริมาณผลผลิตและภาวะตลาด ได้แก่ ข้าวสารเหนียว เนื้อสัตว์สด ไข่และผลิตภัณฑ์นม และผักสด เป็นต้น สำหรับดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๘ จากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงขายปลีกในประเทศที่มีการปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันตลาดโลก และจากการสูงขึ้นของราคาสินค้าประเภทผ้าและเสื้อผ้า ค่าเช่าบ้าน วัสดุก่อสร้าง ค่าน้ำประปา ค่าตรวจรักษาและค่ายา ค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล และเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ เป็นต้น ขณะที่สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด และเครื่องรับอุปกรณ์สื่อสาร ปรับลดราคาลงตามการส่งเสริมการจำหน่าย ๒. พิจารณาเทียบกับดัชนีราคาเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๔ สูงขึ้นร้อยละ ๒.๗๓ จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๕.๔๒ โดยดัชนีราคาหมวดข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง สูงขึ้นร้อยละ ๒.๒๗ ปลาและสัตว์น้ำ ร้อยละ ๔.๐๔ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๒๑.๔๕ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๒.๙๔ และอาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๔.๗๔ ดัชนีราคาหมวดอื่นๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๑.๐๓ จากการสูงขึ้นของหมวดเคหสถาน ร้อยละ ๒.๕๖ หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล ร้อยละ ๑.๐๕ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ร้อยละ ๐.๙๓ หมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๐.๖๓ หมวดการบันเทิงการอ่าน การศึกษาและการศาสนา สูงขึ้นร้อยละ ๐.๕๘ ๓. พิจารณาดัชนีเฉลี่ย ๗ เดือนของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เทียบกับระยะเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สูงขึ้นร้อยละ ๒.๙๒ จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๕.๙๔ และดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๑.๐๓ ตามการสูงขึ้นของหมวด ข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง ร้อยละ ๒.๕๒ เนื้อสัตว์ เป็ดไก่ และสัตว์น้ำ ร้อยละ ๒.๘๔ ไข่และผลิตภัณฑ์นม ร้อยละ ๑.๑๒ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๑๑.๔๙ เครื่องประกอบอาหาร ร้อยละ ๗.๔๙ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๒.๖๖ อาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๗.๐๕ ค่าน้ำประปา ร้อยละ ๕.๒๘ ค่ากระแสไฟฟ้า ร้อยละ ๑๓.๔๔ และหมวดยานพาหนะ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๓๗ ๔. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๐๘.๓๔ เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๓ (เดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๕) จากการเคลื่อนไหวสูงขึ้นของราคาสินค้าและบริการ ได้แก่ ผ้าและเสื้อผ้า ค่าน้ำประปา ค่าเช่าบ้าน วัสดุก่อสร้าง ค่าตรวจรักษาและค่ายา ค่าของใช้ส่วนบุคคล และค่าบริการส่วนบุคคล สำหรับสินค้าที่มีราคาลดลง ได้แก่ สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด และเครื่องรับอุปกรณ์การสื่อสาร เป็นต้น
|
||||||||||||||||||
912 | สรุปผลการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่ 11 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | สธ | 28/08/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงสาธารณสุขรายงานสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่ ๑๑ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒-๖ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดภูเก็ต หัวข้อหลักของการประชุม คือ “ประชาคมอาเซียน : โอกาสและความท้าทายต่อสุขภาพ (ASEAN Community 2015 : Opportunities and Challenges to Health)" ประกอบด้วยการประชุม ๒ ระดับ ดังนี้
๑. การประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส เพื่อรายงานความคืบหน้าการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ นับจากการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนครั้งผ่านมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๓ รวมทั้งการเตรียมการเพื่อเสนอประเด็นสำหรับการประชุมระดับรัฐมนตรีในครั้งนี้ ๒. การประชุมระดับรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาและหารือประเด็นสำคัญต่าง ๆ ประกอบด้วย ๒.๑ การประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่ ๑๑ อย่างไม่เป็นทางการ (11th AHMM Retreat) เกี่ยวกับเรื่อง โรคไม่ติดต่อ (Non -Communicable Diseases : NCD) รัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนได้แลกเปลี่ยนความเห็นและหารือกันเกี่ยวกับเรื่อง การควบคุมการบริโภคยาสูบ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ๒.๒ การประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่ ๑๑ (11th ASEAN Health Ministers Meeting) รัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนเห็นชอบให้มีการจัดการประเด็นด้านสาธารณสุขที่เป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะภาระจากโรคไม่ติดต่อที่เพิ่มขึ้น การเพิ่มขึ้นของการบริโภคยาสูบ ความพยายามในการป้องกันไม่ให้มีผู้ป่วยเอดส์รายใหม่ และการเตรียมความพร้อมเพื่อการรองรับภัยพิบัติและสถานการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ โดยมอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสหารือเกี่ยวกับการจัดตั้งเครือข่ายอาเซียนด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (ASEAN network on UHC) และสนับสนุนให้เครือข่ายการฝึกอบรมนักระบาดวิทยาของอาเซียนบวกสาม (ASEAN Plus Three FETN) ใช้ Minimum Standards on Joint Multi-sectoral Outbreak Investigation and Response (MS JMOIR) ในการศึกษาและสำรวจร่วมกัน โดยส่งเสริมให้มีการดำเนินงานร่วมกับองค์การอนามัยโลกและหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulation : IHR) ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รับรองแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) ของการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่ ๑๑ ๒.๓ การประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ ๕ (5th ASEAN Plus Three Health Ministers Meeting) รัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนบวกสามได้ร่วมกันหารือ Roundtable discussion หัวข้อหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Health Coverage : UHC) โดยส่งเสริมให้มีการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในการลดความยากจนและให้มีการเข้าถึงการบริการสุขภาพที่จำเป็น โดยมอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนบวกสามหารือเกี่ยวกับการจัดตั้งเครือข่ายอาเซียนบวกสามด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (ASEAN Plus Three network on UHC) และส่งเสริมให้มีความร่วมมือในสาขาการแพทย์พื้นบ้าน อนามัยแม่และเด็ก และโรคติดต่อทั่วไปและโรคติดต่ออุบัติใหม่ เช่น การริเริ่มเครือข่ายการฝึกอบรมนักระบาดวิทยา (FETN) การสื่อสารความเสี่ยง (Risk Communication) ความร่วมมือด้านห้องทดลอง (Partnership Laboratories) เป็นต้น ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รับรองแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) ของการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ ๕ ๒.๔ การประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน-จีน ครั้งที่ ๔ (4th ASEAN-China Health Ministers Meeting) รัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน-จีนได้ร่วมกันหารือ Roundtable discussion หัวข้อการควบคุมการบริโภคยาสูบ (Tobacco Control) โดยส่งเสริมให้มีความร่วมมือในสาขาโรคติดต่อทั่วไปและโรคติดต่ออุบัติใหม่ ได้แก่ โรคมาลาเรีย โรคไข้หวัดใหญ่ โรคไข้เลือดออก โรคเอดส์ การแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ทางเลือก รวมทั้งลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของรัฐสมาชิกของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุข ประกอบด้วย ความร่วมมือในสาขาการป้องกันควบคุมโรคติดต่อ กลไกเพื่อสนองตอบต่อภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข และศักยภาพในการบรรเทาผลกระทบสุขภาพที่เกิดจากภัยธรรมชาติ การป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ ความปลอดภัยด้านอาหาร และระบบการเตือนภัยฉุกเฉิน การพัฒนาบุคลากรด้านสาธารณสุข การพัฒนาการแพทย์ดั้งเดิม และการพัฒนาเภสัชกรรมและวัคซีน โดยมอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียน-จีนจัดทำแผนปฏิบัติการต่อไป ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รับรองแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) ของการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน-จีน ครั้งที่ ๔ ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้หารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีสาธารณสุขสิงคโปร์ บรูไนดารุสซาลาม และเมียนมาร์ รวมทั้งประเทศเวียดนามจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่ ๑๒ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ประมาณสัปดาห์แรกของเดือนสิงหาคม ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ณ เมืองดาลัด
|
||||||||||||||||||
913 | ร่างพระราชบัญญัติสถาบันวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. .... | ศธ | 28/08/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับร่างพระราชบัญญัติสถาบันวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. .... ไปพิจารณาร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้รับความเห็นของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดการศึกษาในรูปแบบวิทยาลัยชุมชนเป็นการขยายโอกาสทางการศึกษาและการเข้าถึงการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่ต่ำกว่าปริญญา โดยให้ท้องถิ่นสามารถกำหนดหลักสูตรการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความเหมาะสมและความประสงค์ของท้องถิ่นได้ โดยควรพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนให้มีมาตรฐานสามารถเชื่อมโยงกับการศึกษาในระบบ เพื่อให้ผู้ที่จบการศึกษาจากวิทยาลัยชุมชนสามารถศึกษาต่อในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาในระดับปริญญาได้ รวมทั้งความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการกำหนดให้สถาบันวิทยาลัยชุมชนมีอำนาจในการปกครอง ดูแล บำรุงรักษา ใช้และจัดหาประโยชน์จากที่ราชพัสดุ โดยรายได้หรือผลประโยชน์ที่ได้จากที่ราชพัสดุเป็นรายได้ของสถาบันที่ไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้ของแผ่นดิน โดยเห็นควรเพิ่มเติมให้กระทรวงการคลังมีอำนาจกำหนดเงื่อนไขในการใช้ที่ราชพัสดุด้วย ส่วนการกำหนดให้สภาสถาบันมีอำนาจออกข้อบังคับ และระเบียบเกี่ยวกับการเงินของสถาบันนั้น ซึ่งในหลักการ การใช้จ่ายเงินของส่วนราชการโดยทั่วไปต้องถือปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนดเพื่อให้การใช้จ่ายเงินของส่วนราชการเป็นไปในแนวทางเดียวกัน และไม่เกิดความเหลื่อมล้ำในทางปฏิบัติ และโดยที่สถาบันวิทยาลัยชุมชนมีสถานะเป็นส่วนราชการจึงไม่เห็นสมควรให้สภาสถาบันมีอำนาจดังกล่าว และเห็นควรให้สถาบันวิทยาลัยชุมชนบริหารการใช้จ่ายเงินโดยถือปฏิบัติเช่นเดียวกับส่วนราชการอื่น รวมทั้งควรบัญญัติเพิ่มเติมให้สถาบันวิทยาลัยชุมชนนำเงินรายได้ที่ได้รับฝากไว้กับกระทรวงการคลัง หากจะนำรายได้ไปฝากธนาคารให้ขอความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังก่อน และในกรณีที่ปรากฏว่า เงินรายได้ของสถาบันวิทยาลัยชุมชนเหลือเกินความจำเป็น กระทรวงการคลังจะกำหนดให้สถาบันวิทยาลัยชุมชนนำเงินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินตามจำนวนที่เห็นสมควรก็ได้ นอกจากนี้ รายได้อื่นของสถาบันวิทยาลัยชุมชนที่มาจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เห็นควรให้ใช้จ่ายเกี่ยวกับการลงทุนค่าก่อสร้างและจัดหาครุภัณฑ์ เพื่อไม่ให้เกิดภาวะงบประมาณในภาพรวมอย่างต่อเนื่อง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||
914 | สรุปรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสอง ปี 2555 | นร | 28/08/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสอง ปี ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การจ้างงาน และรายได้ ๑.๑.๑ ไตรมาส ๒/๒๕๕๕ อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๘๕ โดยมีจำนวน ๓๓๔,๑๒๑ คน สูงกว่าอัตราการว่างงานร้อยละ ๐.๖ ในช่วงเดียวกันกับปีที่แล้ว โดยมีผู้จบการศึกษาใหม่เข้าสู่ตลาดแรงงาน จำนวน ๕๒๑,๑๙๙ คน เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๓.๖ ในขณะที่ความต้องการของตลาดช้ากว่าการเพิ่มของกำลังแรงงาน เพราะการลงทุนและการผลิตยังไม่สามารถขยายตัวได้เต็มที่ เป็นผลจากการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำในเดือนเมษายนที่ผ่านมา และผลกระทบจากน้ำท่วมในปลายปีที่แล้ว ทำให้บางกิจการต้องปิดตัวลงและบางกิจการยังไม่สามารถกลับมาผลิตได้ รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากภาวะวิกฤตหนี้ยูโร ๑.๑.๒ แรงงานที่มีการศึกษาระดับประถมศึกษาและต่ำกว่ามีอัตราการว่างงานต่ำเพียงร้อยละ ๐.๓ ส่วนกลุ่มแรงงานที่มีการศึกษาระดับมัธยมต้น อาชีวศึกษา ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง และอุดมศึกษา มีอัตราการว่างงานร้อยละ ๑.๒,๑.๒,๒.๑ และ ๑.๙ ตามลำดับ ๑.๑.๓ การว่างงานรายสาขาการศึกษาสะท้อนปัญหาทั้งความต้องการในตลาดและปัญหาการผลิตกำลังคนเกินความต้องการในหลายสาขา โดยผู้ที่สำเร็จการศึกษาสาขาธุรกิจ บริหารและพาณิชย์ศาสตร์ ว่างงานเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษาว่างงานร้อยละ ๒.๑ และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงว่างงานร้อยละ ๑.๘ สำหรับสาขาที่มีปัญหาการผลิตเกินความต้องการของตลาดมาอย่างต่อเนื่อง เช่น สาขาศิลปกรรมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ มีอัตราการว่างงานสูงร้อยละ ๔.๔ และ ๒.๔ ตามลำดับ รวมทั้งสาขาคอมพิวเตอร์ในระดับ ปวส. และอุดมศึกษา มีอัตราการว่างงานร้อยละ ๔.๑ และ ๓.๖ ตามลำดับ ๑.๑.๔ รายได้แท้จริงของแรงงานเพิ่มขึ้น โดยค่าจ้างแรงงานและเงินเดือนภาคเอกชนที่ยังไม่รวมค่าล่วงเวลาและผลประโยชน์ตอบแทนอื่นเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๒.๒ ตามการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ แต่ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ ๒.๕ ทำให้ค่าจ้างแท้จริงเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๙.๒ ๑.๑.๕ การติดตามสถานการณ์การเฝ้าระวังด้านการว่างงานในระยะต่อไป ได้แก่ ชั่วโมงการทำงานโดยเฉลี่ยเริ่มส่งสัญญาณที่ต้องเฝ้าระวังด้านสถานการณ์การว่างงานที่อาจจะเพิ่มขึ้น กระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจยุโรปต่อแรงงานกลุ่มต่าง ๆ รวมทั้งปัญหาเชิงโครงสร้างยังเป็นข้อจำกัดต่อศักยภาพการพัฒนาของประเทศและคุณภาพชีวิตของแรงงานซึ่งจะต้องเร่งแก้ไข ๑.๒ ด้านการศึกษา ในกลุ่มอาเซียนประเทศไทยมีความเสียเปรียบในด้านภาษาอังกฤษและหลากหลายของภาษาที่ใช้ จึงเป็นกรณีเร่งด่วนที่ต้องให้ความสำคัญอย่างจริงจังและต่อเนื่องกับการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษให้กับประชาชนไทยให้สามารถสื่อสารได้ ขณะที่เด็กไทยรุ่นใหม่ต้องได้รับการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะภาษาของประเทศเพื่อนบ้านและภาษาจีน ญี่ปุ่น เกาหลี (อาเซียน+๓) อย่างน้อย ๑ ภาษา รวมทั้งภาษามลายูกลางเพื่อสื่อสารกับประชากรครึ่งหนึ่งของประชาคมอาเซียนที่อยู่ในประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย และบรูไนดารุสซาลาม ที่พูดภาษามลายู ๑.๓ ด้านสุขภาพ เด็กและเยาวชนไทย ๑ ล้านคน มีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาสุขภาพจิต โดยเด็ก ๑ ล้านคน มีอาการซึมเศร้าและหงุดหงิดโดยไม่รู้สาเหตุ และเด็กร้อยละ ๕๐ มีอาการเครียด เด็กมีความสุขในการไปโรงเรียนลดลง ๑.๔ ด้านพฤติกรรมและความเป็นอยู่ของคนในสังคมไทย ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ และปี พ.ศ. ๒๕๕๔ คนไทยอายุ ๑๕ ปีขึ้นไปสูบบุหรี่เพิ่มขึ้นจาก ๑๔.๓ ล้านคน เป็น ๑๔.๖ ล้านคน และคนไทยอายุ ๑๕ ปีขึ้นไปดื่มแอลกอฮอล์มากถึง ๑๗ ล้านคน โดยเยาวชนกลายเป็นนักดื่มหน้าใหม่เพิ่มขึ้นมากกว่าปีละ ๒๕๐,๐๐๐ คน นอกจากนี้ เด็กและเยาวชนมีความฉลาดและวุฒิภาวะทางอารมณ์น้อยลงส่งผลให้มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมมากขึ้น โดยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เด็กและเยาวชนมีความฉลาดและวุฒิภาวะทางอารมณ์อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ ๑๐ ปี ส่งผลให้มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ขาดความสามารถในการแก้ไขปัญหาขัดแย้ง และใช้ความรุนแรงมากขึ้น ๑.๕ ด้านความมั่นคงทางสังคม ปัญหายาเสพติดยังรุนแรงและเฝ้าระวังได้ยากขึ้นเมื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน คดียาเสพติดเพิ่มขึ้นจากไตรมาสสองปี ๒๕๕๔ และไตรมาสหนึ่งปี ๒๕๕๕ ร้อยละ ๓๐.๙ และ ๑๔.๐ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเร่งรัดการปราบปรามภายใต้กรอบนโยบายรัฐบาล นอกจากนี้ ไทยถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่ต้องจับตามองด้านการค้ามนุษย์ (Tier 2 Watch List) เป็นปีที่ ๓ ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ประเทศไทย ๒. ให้ทุกกระทรวง กรม รวบรวมปัญหาต่าง ๆ ที่กระทรวง กรม เห็นว่า เป็นปัญหาของสังคมไทยที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แล้วส่งให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติโดยด่วน เพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรวบรวมและบูรณาการปัญหาต่าง ๆ เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางและมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) รับไปดำเนินการร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาเยาวชนมีพฤติกรรมในทางที่ไม่เหมาะสม รวมทั้งปัญหาสื่อต่าง ๆ ทุกรูปแบบที่มีลักษณะเป็นการมอมเมาและชักจูงเยาวชนไปในทางที่ไม่ก่อให้เกิดความคิดที่สร้างสรรค์และประโยชน์ต่อการเรียนรู้
|
||||||||||||||||||
915 | แผนยุทธศาสตร์เตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ (พ.ศ. 2556-2559) | สธ | 28/08/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์เตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนยุทธศาสตร์ฯ ไปสู่การปฏิบัติต่อไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้ แผนยุทธศาสตร์ฯ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อลดการป่วย การตาย และลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม อันเนื่องมาจากการระบาดของโรคติดต่ออุบัติใหม่ ซึ่งประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ ๒๕ กลยุทธ์ ๑๖๐ มาตรการ ดังนี้ ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ พัฒนาระบบเฝ้าระวัง ป้องกัน รักษา และควบคุมโรคภายใต้แนวคิดสุขภาพหนึ่งเดียว ประกอบด้วย ๕ กลยุทธ์ ๔๒ มาตรการ ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การจัดการระบบการเลี้ยง และสุขภาพสัตว์และสัตว์ป่า ให้ปลอดโรค ประกอบด้วย ๘ กลยุทธ์ ๓๔ มาตรการ ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ พัฒนาระบบจัดการความรู้ และส่งเสริมการวิจัยพัฒนา ประกอบด้วย ๓ กลยุทธ์ ๒๐ มาตรการ ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ พัฒนาระบบบริหารจัดการเชิงบูรณาการและเตรียมความพร้อมตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน ประกอบด้วย ๔ กลยุทธ์ ๓๖ มาตรการ ๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ การสื่อสาร และประชาสัมพันธ์ความเสี่ยงของโรคติดต่ออุบัติใหม่ ประกอบด้วย ๕ กลยุทธ์ ๒๘ มาตรการ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทำแผนยุทธศาสตร์ฯ ให้สอดคล้องกับแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ และรูปแบบการบริหารจัดการแบบ Single Command โดยคำนึงถึงการใช้ทรัพยากรร่วมกัน เพื่อไม่ให้เกิดภาระงบประมาณในภาพรวมอย่างต่อเนื่อง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเร่งจัดทำกรอบเวลาในการดำเนินการและงบประมาณให้มีความชัดเจนเพื่อเป็นการผลักดันให้แผนยุทธศาสตร์ฯ สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ การกำหนดมาตรการป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ ตามแนวชายแดนเพื่อมิให้มีการนำโรคติดต่อมาจากประเทศเพื่อนบ้าน การพิจารณาความเชื่อมโยงระหว่างรายละเอียดของแต่ละยุทธศาสตร์เพื่อให้แผนยุทธศาสตร์ฯ มีความเข้มแข็งขึ้น การระบุความเสี่ยงของการเกิดโรคอุบัติใหม่ในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมการและกำหนดมาตรการป้องกันได้อย่างทันท่วงที การสร้างเครือข่ายการพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อเป็นการป้องกันโรคติดต่อจากภายนอกเข้ามาสู่ในประเทศ การกำหนดตัวชี้วัดในแต่ละยุทธศาสตร์โดยระบุค่าเป้าหมายและระดับความสำเร็จที่มุ่งหวังให้ชัดเจน และกำหนดตัวชี้วัดร่วมในการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการกำหนดระดับผลสัมฤทธิ์และก่อให้เกิดการบูรณาการการดำเนินงานอย่างแท้จริง รวมทั้งควรเน้นให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการจัดทำแผนประคองกิจการ (Bussiness Continuity Plan : BCP) ในหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้แต่ละหน่วยงานมีแผนเตรียมความพร้อมและแนวทางการเผชิญเหตุที่เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
916 | สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2555 | ทก | 28/08/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๙.๘๙ ล้านคน ประกอบด้วย ผู้มีงานทำ ๓๙.๕๓ ล้านคน ผู้ว่างงาน ๒.๖๗ แสนคน และผู้ที่รอฤดูกาล ๐.๘๗ แสนคน โดยผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันกับปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๗.๗ แสนคน (จาก ๓๙.๑๒ ล้านคน เป็น ๓๙.๘๙ ล้านคน) ๒. ผู้มีงานทำ มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๙.๕๓ ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันกับปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๖.๕ แสนคน (จาก ๓๘.๘๘ ล้านคน เป็น ๓๙.๕๓ ล้านคน) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๗ โดยผู้ทำงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผู้ทำงานภาคเกษตรกรรม จำนวน ๕.๒ แสนคน สาขาการผลิต จำนวน ๓.๗ แสนคน สาขาการบริหารราชการ การป้องกันประเทศ การประกันสังคมภาคบังคับ จำนวน ๒.๖ แสนคน และสาขาการก่อสร้าง จำนวน ๑.๗ แสนคน ส่วนผู้ทำงานลดลง ได้แก่ ผู้ทำงานในสาขาที่พักแรมและการบริการด้านอาหาร จำนวน ๔.๕ แสนคน สาขาการศึกษา จำนวน ๑.๑ แสนคน สาขากิจกรรมทางการเงิน และการประกันภัย จำนวน ๙.๐ หมื่นคน สาขาการขายส่ง การขายปลีก การซ่อมยานยนต์ และรถจักรยานยนต์ จำนวน ๕ หมื่นคน ๓. ผู้ว่างงานทั่วประเทศ มีจำนวน ๒.๖๗ แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงาน ร้อยละ ๐.๗ ของกำลังแรงงานรวม (เพิ่มขั้น ๑.๐๔ แสนคน เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปี พ.ศ. ๒๕๕๔) ประกอบด้วย ผู่ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๑.๒๑ แสนคน และผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๑.๔๖ แสนคน โดยเป็นผู้ว่างงานที่มาจากภาคการผลิต จำนวน ๕.๐ หมื่นคน ภาคการบริการและการค้า จำนวน ๘.๕ หมื่นคน และภาคเกษตรกรรม จำนวน ๑.๑ หมื่นคน ผู้ว่างงานเป็นผู้มีการศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษา จำนวน ๑.๐๙ แสนคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน ๖.๕ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน ๔.๕ หมื่นคน ระดับประถมศึกษา จำนวน ๒.๕ หมื่นคน และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา จำนวน ๒.๓ หมื่นคน นอกจากนี้ ผู้ว่างงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลาง ๗.๗ หมื่นคน ภาคเหนือ ๗.๓ หมื่นคน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๖.๔ หมื่นคน ภาคใต้ ๓.๖ หมื่นคน และกรุงเทพมหานคร จำนวน ๑.๗ หมื่นคน หากคิดเป็นอัตราการว่างงาน ภาคเหนือมีอัตราการว่างงานสูงสุด ร้อยละ ๑.๐ ภาคกลางมีอัตราการว่างงานร้อยละ ๐.๘ ภาคใต้มีอัตราการว่างงานร้อยละ ๐.๗ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอัตราการว่างงานร้อยละ ๐.๕ กรุงเทพมหานครมีอัตราการว่างงานร้อยละ ๐.๔
|
||||||||||||||||||
917 | การรายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินงานและการขออนุมัติเพิ่มวงเงินกู้ตามโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง | กษ | 28/08/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานและปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นในโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ความก้าวหน้าการดำเนินโครงการฯ มีสถาบันเกษตรกรสนใจเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน ๕๒ จังหวัด เพิ่มขึ้นจากเดิม ๓ จังหวัด มีสถาบันเกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน ๖๗๖ สถาบัน เพิ่มขึ้นจากเดิม จำนวน ๑๓๖ แห่ง โดยอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน ๖๑๑ แห่ง เพิ่มขึ้นจากเดิม จำนวน ๑๑๗ แห่ง อยู่ระหว่างการพิจารณา จำนวน ๔๗ แห่ง และไม่ผ่านการอนุมัติ จำนวน ๕ แห่ง องค์การสวนยาง (อ.ส.ย.) เปิดจุดรับซื้อยางตามโครงการฯ เพิ่มขึ้น จำนวน ๑๑ จุด คือ ภาคใต้ ๗ จุด ภาคตะวันออก ๑ จุด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๓ จุด รวมทั้งสิ้น ๔๒ จุด การรับซื้อยางจากสถาบันเกษตรกร ข้อมูล ณ วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ อ.ส.ย. ซื้อยางไปแล้ว จำนวน ๖๑,๗๖๒ ตัน คงเหลือพื้นที่โกดังเก็บยางได้อีก ๑๓,๐๐๐ ตัน ซึ่ง อ.ส.ย. ได้ประสานงานหาสถานที่เก็บยางเพิ่มอีก ๘,๐๐๐ ตัน การเบิกเงินกู้ อ.ส.ย. ได้เบิกเงินเต็มจำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ ปัญหาและอุปสรรคของการดำเนินโครงการฯ ๑.๒.๑ จุดรับซื้อของ อ.ส.ย. ยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ เนื่องจากยังไม่มีโรงงานแปรรูปยาง โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการปลูกยาง และสถาบันเกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ มาก เช่น จังหวัดพัทลุง และตามพื้นที่ที่มีปัญหาเกี่ยวกับความปลอดภัย เช่น จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นต้น ๑.๒.๒ จุดรับซื้อของ อ.ส.ย. อยู่ไกล ทำให้สถาบันเกษตรกรต้องแบกรับภาระค่าขนส่ง ๑.๒.๓ อ.ส.ย. ยังไม่ได้มีการเปิดรับซื้อน้ำยางสด ทำให้สถาบันเกษตรกรที่ซื้อขายน้ำยางสดไม่ได้รับประโยชน์จากโครงการฯ โดยเฉพาะในเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๑.๒.๔ การคัดชั้นยาง ณ จุดรับซื้อยางของ อ.ส.ย. เป็นไปตามมาตรฐานของกรมวิชาการเกษตร โดยมีคณะกรรมการคัดชั้นยางที่คณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การสวนยางแต่งตั้งขึ้นเป็นผู้ตรวจสอบคุณภาพและน้ำหนักยางทำให้สถาบันเกษตรกรบางแห่งที่ไม่ได้คัดคุณภาพยางตามมาตรฐานมีความเห็นขัดแย้ง ๑.๒.๕ การลงยาง ณ จุดรับซื้อล่าช้า สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรติดคิวในการลงยางทำให้ไม่สามารถนำส่งยางได้ภายใน ๑ วัน ทำให้เกิดการสะสมและไม่สามารถขายยางที่เหลือต่อได้ ๑.๒.๖ สถาบันเกษตรกรมีการนำยางซึ่งไม่ใช่ของสมาชิกมาสวมสิทธิ์สมาชิกแล้วคิดค่าบริหารจัดการเพื่อหากำไรจากโครงการฯ ๑.๒.๗ ผลผลิตยางจากวิสาหกิจชุมชนมาจากหลายสถานที่และคุณภาพไม่สม่ำเสมอ ไม่สามารถควบคุมคุณภาพและปริมาณได้ ๑.๒.๘ เกษตรกรไม่สามารถเข้าร่วมเป็นสมาชิกหรือสมาชิกสมทบของสหกรณ์ได้ เนื่องจากสหกรณ์มีผลผลิตยางเต็มกำลังการผลิต จึงไม่สามารถรับสมาชิกเพิ่มได้ ๒. อนุมัติให้ อ.ส.ย. กู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จากวงเงิน ๕,๐๐๐ ล้านบาท ในส่วนของสถาบันเกษตรกร จำนวน ๒,๐๐๐ ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๐ เพื่อดำเนินการตามโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกันและยกเว้นค่าธรรมเนียมในการค้ำประกัน รวมทั้งให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะบรรจุวงเงินส่วนของสถาบันเกษตรกร จำนวน ๒,๐๐๐ ล้านบาทดังกล่าวในแผนบริหารหนี้สาธารณะปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๖ ด้วย ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) รับไปเร่งรัดจัดประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อพิจารณาและจัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้มีรายละเอียดแนวทางการดำเนินการต่าง ๆ ที่ชัดเจน เป็นระบบ ครอบคลุมถึงการรับซื้อในราคาที่เหมาะสม การบริหารจัดการสต๊อก (stock) ยางพารา และแนวทางการนำยางพาราไปใช้ประโยชน์ในการประกอบการต่าง ๆ ให้แพร่หลายมากขึ้นเพื่อเพิ่มอุปสงค์ของยางพารา โดยให้นำผลงานศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาด้วย เช่น การนำยางพาราไปเป็นวัตถุดิบในการผลิตยางล้อเครื่องบินทดแทนส่วนผสมที่เป็นโลหะมากขึ้น และการนำยางพาราไปเป็นวัตถุดิบในการก่อสร้างถนนแทนยางแอสฟัลต์ เป็นต้น ๔. ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ อ.ส.ย. เร่งดำเนินการแก้ไขข้อจำกัดในการดำเนินโครงการฯ โดยเฉพาะการเพิ่มจุดรับซื้อเพื่ออำนวยความสะดวกและลดต้นทุนการขนส่งให้กับเกษตรกร การคัดชั้นยางตามมาตรฐานทางวิชาการอย่างโปร่งใสและเป็นที่ยอมรับจากเกษตรกร การพิจารณาความเหมาะสมในการเปิดโอกาสให้กับเกษตรกรผู้ปลูกยางทั่วไปสามารถขายยางให้กับ อ.ส.ย. ได้ และให้ กนย. กำกับให้ อ.ส.ย. จัดทำแผนบริหารจัดการระบายยางในสต๊อก และช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสมให้ชัดเจน รวมถึงอัตราการขาดทุนที่ยอมรับได้ และแผนการบริหารเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินโครงการฯ โดยไม่ต้องขอรับสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม พร้อมทั้งปรับปรุงหลักเกณฑ์การตั้งราคารับซื้อยางพาราให้มีความยืดหยุ่นเพื่อให้ดำเนินธุรกิจของ อ.ส.ย. มีความคล่องตัวและไม่เป็นภาระในการชดเชยส่วนต่างของราคาซึ่งสูงกว่าที่ควรจะเป็น นอกจากนี้ ให้ กนย. กำกับและติดตามการดำเนินโครงการฯ ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับภาวะตลาดทั้งในและต่างประเทศเพื่อให้เกิดภาระงบประมาณที่เกิดจากการชดเชยผลการขาดทุนน้อยที่สุด ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||
918 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สอง และแนวโน้มปี 2555 | นร11 | 21/08/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สอง และแนวโน้มปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สอง ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ขยายตัวร้อยละ ๔.๒ เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ ๐.๔ ในไตรมาสแรก การขยายตัวด้านการผลิต มีปัจจัยสนับสนุนจากการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่เริ่มขยายตัวเป็นบวกหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมในช่วงปลายปีที่ผ่านมา และการขยายตัวเร่งขึ้นของสาขาก่อสร้าง การค้าส่งค้าปลีก โรงแรมและภัตตาคาร ด้านการใช้จ่าย มีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศ โดยเฉพาะการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนและการลงทุนภาคเอกชน รวมทั้งรายจ่ายภาครัฐที่เริ่มขยายตัวและมีบทบาทสำคัญมากขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๑.๑.๑ การใช้จ่ายภาคครัวเรือน ขยายตัวร้อยละ ๕.๓ ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสแรกที่ขยายตัวร้อยละ ๒.๙ เป็นผลมาจากกำลังซื้อของประชาชนที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะมาตรการคืนเงินภาษีรถยนต์คันแรก มาตรการลดค่าครองชีพของรัฐ และการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ๑.๑.๒ การลงทุนภาคเอกชน ขยายตัวร้อยละ ๑๑.๘ ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสแรกที่ขยายตัวร้อยละ ๙.๒ เป็นผลมาจากการขยายตัวของการลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักรเพื่อซ่อมแซมและทดแทนความเสียหายที่เกิดจากอุทกภัย และการก่อสร้างที่ขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ๑.๑.๓ ภาคการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาเมืองไทยในไตรมาสสอง มีจำนวน ๔.๘ ล้านคน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว จำนวน ๒๐๐,๙๖๕ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ ๘.๒ และ ๑๒.๐ ตามลำดับ อัตราการเข้าพักอยู่ที่ระดับร้อยละ ๕๕.๓ ปรับตัวสูงขึ้นจากร้อยละ ๕๑.๘ ในไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา ๑.๑.๔ ภาคอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ ๒.๗ ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสแรกที่หดตัวร้อยละ ๔.๓ และเป็นการขยายตัวครั้งแรกนับตั้งแต่ไตรมาสสี่ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เนื่องจากโรงงานอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัยสามารถเริ่มการผลิตได้อีกครั้ง โดยอัตราการใช้กำลังการผลิตรวมอยู่ที่ระดับร้อยละ ๖๙.๒ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ ๖๒.๖ ในไตรมาสก่อน ๑.๑.๕ ภาคเกษตรกรรม ขยายตัวร้อยละ ๑.๓ ชะลอตัวจากไตรมาสแรกที่ขยายตัวร้อยละ ๓.๔ เป็นผลจากการขยายตัวของผลผลิตทางการเกษตรในทุกหมวด ยกเว้นอ้อยที่ผลผลิตลดลงถึงร้อยละ ๕๘.๑ ในขณะที่ราคาสินค้าเกษตรลดลงต่อเนื่องร้อยละ ๑๑.๙ โดยเฉพาะราคายางพาราและมันสำปะหลัง ทำให้รายได้เกษตรกรหดตัวร้อยละ ๙.๓ ๑.๑.๖ ภาคการส่งออกสินค้า มีมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐ จำนวน ๕๖,๖๘๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๐.๔ ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสแรกที่หดตัวร้อยละ ๔.๐ เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ โดยการส่งออกสินค้าเกษตรยังคงหดตัว โดยเฉพาะข้าว และยางพารา โดยตลาดส่งออกที่ขยายตัว ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา อาเซียน จีน ออสเตรเลีย และตะวันออกกลาง ขยายตัวร้อยละ ๔.๖, ๗.๒, ๑๓.๗, ๒๐.๕ และ ๙.๘ ตามลำดับ ในขณะที่การส่งออกไปยุโรปและญี่ปุ่นยังหดตัวต่อเนื่องร้อยละ ๗.๕ และ ๑.๔ ตามลำดับ ๑.๒ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี พ.ศ. ๒๕๕๕ คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ ๕.๕-๖.๐ เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ ๐.๑ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ ๒.๙-๓.๔ การบริโภคภาคครัวเรือนขยายตัวร้อยละ ๔.๘ การลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๑๑.๓ มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐขยายตัวร้อยละ ๗.๓ และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลประมาณร้อยละ ๐.๑ ของ GDP ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) รับไปดำเนินการเพื่อให้มีการชี้แจงแนวทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล รวมตลอดถึงสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่มีผลกระทบต่อปัญหาราคาสินค้าและค่าครองชีพของประชาชน ให้ภาคประชาชนได้ทราบอย่างถูกต้องชัดเจนต่อไป ๓. ให้สำนักงบประมาณจัดทำสรุปสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และแจ้งให้รัฐมนตรีทราบเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการชี้แจงต่อสื่อมวลชน และให้ประชาชนผู้สนใจได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ที่อยู่ในความสนใจและมีผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง เข่น มาตรการที่มีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ การเพิ่มรายได้ของประชาชนอย่างต่อเนื่อง การฟื้นฟูประเทศ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การยกระดับคุณภาพชีวิต และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||
919 | สรุปรายงานการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 36 ระหว่างวันที่ 24 มิถุนายน-6 กรกฎาคม 2555 ณ นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สหพันธรัฐรัสเซีย | ทส | 21/08/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๓๖ ระหว่างวันที่ ๒๔ มิถุนายน-๖ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สหพันธรัฐรัสเซีย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมมีมติรับรองแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติในบัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) จำนวน ๑๐๓ แห่ง ทำให้ปัจจุบันมีแหล่งมรดกอยู่ในบัญชีรายชื่อเบื้องต้น จำนวน ๑,๕๔๑ แห่ง จากรัฐภาคี จำนวน ๑๖๘ ประเทศ ๒. ที่ประชุมมีมติถอดถอนแหล่งมรดกโลกที่อยู่ในภาวะอันตราย ๒ แห่ง คือ Fort and Shalamar Gardens in Lahore (Pakistan) และ Rice Terraces of the Philippine Cordilleras (Philippines) และเพิ่มเติมบัญชีรายชื่อแหล่งมรดกโลกที่อยู่ในภาวะอันตราย ๕ แห่ง ทำให้ปัจจุบันมีมรดกโลกในภาวะอันตราย จำนวน ๓๘ แห่ง ใน ๓๐ ประเทศ แบ่งออกเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติในภาวะอันตราย จำนวน ๑๗ แห่ง และแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมในภาวะอันตราย จำนวน ๒๑ แห่ง ๓. ที่ประชุมมีมติให้ขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติเป็นแหล่งมรดกโลก จำนวน ๒๖ แห่ง ประกอบด้วย แหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม จำนวน ๒๐ แห่ง แหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ จำนวน ๕ แห่ง แหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ (Mixed Sites) จำนวน ๑ แห่ง ทำให้ปัจจุบันมีแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ จำนวน ๙๖๒ แห่ง โดยแบ่งออกเป็นแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม จำนวน ๗๔๕ แห่ง แหล่งมรดกทางธรรมชาติ จำนวน ๑๘๘ แห่ง และแหล่งมรดกทางธรรมชาติและวัฒนธรรม จำนวน ๒๙ แห่ง ใน ๑๕๗ ประเทศ จากรัฐภาคีอนุสัญญาฯ ทั้งหมด จำนวน ๑๘๙ ประเทศ โดยมีรัฐภาคีที่มีแหล่งมรดกขึ้นทะเบียนเป็นครั้งแรกในการประชุมฯ จำนวน ๔ ประเทศ ได้แก่ สาธารณรัฐชาด สาธารณรัฐคองโก สาธารณรัฐปาเลา และรัฐปาเลสไตน์ ๔. การขอปรับเปลี่ยนชื่อแหล่งมรดกโลก จำนวน ๔ แห่ง ได้แก่ Los Glaciares (Argentina) เป็น Los Glaciares National Park (ภาษาอังกฤษ) และ Parc national de Los Glaciares (ภาษาฝรั่งเศส), Skellig Michael (Ireland) เป็น Sceilg Mhichil (ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศส), Pueblo de Taos (United States of America) เป็น Taos Pueblo (ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศส) และ Samarkand-Crossroads of Cultures (Uzbekistan) เป็น Samarkand-Crossroad of Cultures (ภาษาอังกฤษ) ๕. ที่ประชุมมีมติรับรองรายงานแผนการอนุรักษ์แหล่งมรดกโลก จำนวน ๑๐๕ แห่ง โดยในส่วนที่เกี่ยวข้องกับราชอาณาจักรไทย คือ การรายงานสถานภาพการอนุรักษ์พื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ซึ่งที่ประชุมได้ร้องขอให้ราชอาณาจักรไทยดำเนินการจัดส่งเอกสารข้อมูลการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของทางหลวงสาย ๓๐๔ และเขื่อนห้วยโสมง และรายงานความก้าวหน้าสถานะการอนุรักษ์พื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ถึงศูนย์มรดกโลก ภายในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (ค.ศ. ๒๐๑๒) ตามรูปแบบที่กำหนด ตามข้อเสนอแนะตามมติคณะกรรมการมรดกโลก โดยร่วมกับศูนย์มรดกโลก/IUCN Reactive monitoring mission (RM Mission) ในการปฏิบัติการตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๗ และให้ราชอาณาจักรไทยเสนอรายงานสถานภาพการอนุรักษ์แหล่งทรัพย์สินที่เป็นปัจจุบัน และรายงานความสำเร็จในการดำเนินการตามข้อเสนอแนะในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ต่อศูนย์มรดกโลกภายในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เพื่อเสนอคณะกรรมการมรดกโลกในการประชุม ครั้งที่ ๓๗ ซึ่งคณะกรรมการฯ สามารถพิจารณาถึงความจำเป็นในการติดตามตรวจสอบต่อไป และความเป็นไปได้ในการขึ้นทะเบียนทรัพย์สินในภาวะอันตราย ๖. ที่ประชุมมีมติให้รัฐภาคีเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายโดยสมัครใจ (Voluntary) ของคณะผู้เชี่ยวชาญขององค์กรที่ปรึกษาในกรณีที่จะต้องเดินทางไปเพื่อให้คำแนะนำในการเตรียมการ หรือการทบทวนการเสนอขึ้นบัญชีมรดกโลก หรือกรณีที่จะต้องมีการประเมิน หรือสำรวจแหล่งมรดกโลก ตามมติคณะกรรมการ ๗. ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในการจัดตั้งศูนย์การดำเนินงานร่วมด้านมรดกโลก (เพิ่มเติม) ในราชอาณาจักรสเปนและสาธารณรัฐอิตาลี ทำให้ปัจจุบันมีศูนย์การดำเนินงานร่วมด้านมรดกโลก จำนวนทั้งสิ้น ๑๐ แห่ง ๘. ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ราชอาณาจักรกัมพูชาเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๓๗ ระหว่างวันที่ ๑๗-๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๖ ณ Peach Palace กรุงพนมเปญ
|
||||||||||||||||||
920 | รายงานผลการเข้าร่วมประชุม World Economic Forum on East Asia ด้านพลังงาน | พน | 14/08/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพลังงานรายงานผลการประชุม World Economic Forum on East Asia ด้านพลังงาน (Private session on Energy) ระหว่างวันที่ ๓๐ พฤษภาคม - ๑ มิถุนายน ๒๕๕๕ ณ กรุงเทพมหานคร โดยการประชุม Private session on Energy จัดขึ้นในวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ซึ่งมีการประชุม ๒ เรื่อง คือ การประชุม Energy Security and Infrastructure Roundtable : ASEAN Five-Year Plan in Energy และการประชุม New Energy Architecture for East Asia ส่วนการประชุม Public Session จัดขึ้นในวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๕ คือ การประชุม Powering the Region’s Growth : The Future of Energy สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุม Energy Security and Infrastructure Roundtable : ASEAN Five-Year Plan in Energy ๑.๑ การรวมตัวกันเพื่อเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ (game changer) ที่จะนำไปสู่การได้ประโยชน์ร่วมกันของชาติสมาชิกอาเซียนเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงาน โดยแนวทางที่จะสามารถนำไปสู่การรวมตัวกันได้อย่างแท้จริงจะต้องเกิดขึ้นจากการผลักดันยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติและการแสดงภาวะผู้นำที่เข้มแข็ง (strategy and strong leadership) ของผู้นำชาติสมาชิกอาเซียนเพื่อผลักดันแนวทางต่าง ๆ ที่จะนำไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจังในระดับชาติและระดับภูมิภาค ๑.๒ การรวมตัวกันของอาเซียนจะนำไปสู่การแบ่งปันผลประโยชน์สูงสุดในด้านทรัพยากรธรรมชาติของภูมิภาค โดยจะต้องมีการปรับปรุงระบบโครงสร้างพื้นฐานทางพลังงาน และการลดการอุดหนุนราคาด้านพลังงาน แต่ทั้งนี้จะต้องมุ่งเน้นนโยบายในการส่งเสริมการเพิ่มความมั่นคงทางพลังงานอย่างทั่วถึงในทุกภาคส่วน ๑.๓ การจัดตั้งศูนย์กลางการค้าพลังงานอาเซียน (ASEAN Energy Market Centre) จะช่วยให้นโยบายและโครงสร้างทางพลังงานมีเสถียรภาพมากขึ้น การกำหนดกลไกราคาพลังงาน และมาตรฐานทางเทคนิคต่าง ๆ และการสร้างหลักธรรมาภิบาลในรูปแบบที่เหมาะสม ๒. การประชุม New Energy Architecture for East Asia ๒.๑ การรวมตัวทางด้านพลังงานของอาเซียนจะก่อให้เกิดการแบ่งปันผลประโยชน์สูงสุดเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งประเทศสมาชิกจะสามารถเสริมสร้างจุดแข็งของตน และอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนต่างชาติในตลาดอาเซียน ๒.๒ ความสำเร็จในเบื้องต้นในการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานทางด้านพลังงานระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนในปัจจุบันจะเริ่มต้นจากการร่วมมือกันในระดับทวิภาคี (bilateral) ซึ่งเห็นได้จากการร่วมมือในด้านก๊าซธรรมชาติ (Trans ASEAN Gas Pipeline-TAGP) และการร่วมมือด้านการเชื่อมโยงสายส่งไฟฟ้า (ASEAN Power Grid-APG) ส่วนการเชื่อมโยงในระดับภูมิภาคอาจจะยังมีข้อจำกัดในด้านการร่วมมือกัน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือด้านพหุภาคี (Multilateral) ที่เข้มแข็ง ๒.๓ การเชื่อมโยงในประเด็น New Energy Architecture จะต้องมีการสร้างความสมดุลของการพัฒนาพลังงานใน ๓ มิติ ได้แก่ ความมั่นคงทางด้านพลังงาน (energy security and access) การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (economic growth) และการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (environmental sustainability) ๓. การประชุม Powering the Region’s Growth : The Future of Energy ๓.๑ หลักการที่สำคัญสำหรับการดำเนินการเพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงทางด้านโครงสร้างพื้นฐานทางด้านพลังงานในอาเซียน ชาติสมาชิกจะต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังในการวางแผนให้มีกระบวนการที่มุ่งไปสู่การบรรลุเป้าหมายอย่างแท้จริง ๓.๒ ชาติสมาชิกอาเซียนจะต้องมีการปรับปรุงกฎระเบียบ กลไกของราคา และมาตรฐานทางเทคนิคที่เหมาะสมในการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานทางด้านไฟฟ้าและระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติภายในภูมิภาค ๓.๓ ภาคธุรกิจต่างชาติที่มาร่วมประชุมได้ประมาณการการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนใน ๑๐ ปีข้างหน้าว่าจะมีมูลค่าประมาณ ๒ แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ ๖,๒๐๐ ล้านล้านบาท) ซึ่งการลงทุนขนาดใหญ่นี้จะได้จากการลงทุนที่มาจากภาครัฐและภาคเอกชนทั้งในและนอกภูมิภาคอาเซียนที่จะนำไปสู่การพัฒนาด้านอื่น ๆ เช่น สังคม และการศึกษา เป็นต้น ๓.๔ การร่วมมือของอาเซียนจะประสบความสำเร็จได้จะต้องกำหนดแนวทางหรือนโยบายด้านพลังงานให้สอดคล้องกันสามด้าน คือ ความมั่นคงในการจัดหา (security of supply) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) และความสามารถในเชิงการแข่งขัน (competitiveness) โดยประเทศสมาชิกอาเซียนซึ่งมีทรัพยากรธรรมชาติด้านพลังงานที่แตกต่างกัน อาทิ ก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานใต้พิภพ สิ่งเหล่านี้ชาติสมาชิกจะต้องจัดสรรให้มีความเหมาะสมต่อบริบททางเศรษฐกิจและสังคมของอาเซียนโดยรวมต่อไป
|
.....