ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 47 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 921 - 940 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
921 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษามาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาพื้นที่การเกษตรและชุมชนที่ประสบภัยธรรมชาติ วุฒิสภา | สว | 07/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษามาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาพื้นที่การเกษตรและชุมชนที่ประสบภัยธรรมขาติ วุฒิสภา และผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการดังกล่าว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน ได้รับการสนับสนุนงบประมาณทั้งแผนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยเฉพาะโครงการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ระยะที่ ๒ โดยมีกรอบการดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ การสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดสรรน้ำ รวมทั้งกำหนดแนวทางที่ครบถ้วนและชัดเจนในการแก้ไขปัญหาลุ่มน้ำยมเพื่อบรรเทาอุทกภัยและภัยแล้ง กรมส่งเสริมการเกษตรได้จัดทำคู่มือการบริหารจัดการการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติด้านการเกษตรเพื่อให้การปฏิบัติงานช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติด้านการเกษตรมีประสิทธิภาพ รวดเร็วทันต่อสถานการณ์ และถูกต้องตามระเบียบราชการ เป็นต้น ๒. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้นำเสนอการจัดการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเลและพื้นที่ชายฝั่งทะเลต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ แล้ว การจัดทำแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบและพัฒนากลไกการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ รวมทั้งแผนการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ แผนพัฒนาโครงข่ายน้ำ เป็นต้น ดำเนินการส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน องค์กรลุ่มน้ำ เครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการน้ำ ตลอดจนการพัฒนากลไก กฎ ระเบียบ ระบบข้อมูลสารสนเทศทรัพยากรน้ำ การวิจัยด้านทรัพยากรน้ำ และการรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ เป็นต้น ๓. สำนักงบประมาณได้จัดทำกรอบยุทธศาสตร์การจัดการด้านอาหารของประเทศไทยให้ครอบคลุมทุกมิติทั้งในภาวะปกติและภาวะฉุกเฉิน การฝึกซ้อมด้านสาธารณภัยและด้านความมั่นคง การจัดทำเครือข่ายข้อมูลด้านความมั่นคงของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และการดำเนินการระบบงานเตรียมความพร้อมของชาติ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๓ (เรื่อง การฝึกซ้อมการบริหารวิกฤตการณ์ระดับชาติ ประจำปี ๒๕๕๓) ๔. คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้พิจารณาปรับปรุงการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรณีการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยมีคำสั่งแต่งตั้งอนุกรรมการเฉพาะกิจ ๔ คณะ เพื่อจัดทำแผนยุทธศาสตร์กระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจสิ่งแวดล้อม และได้ส่งเรื่องดังกล่าวให้คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจที่เกี่ยวข้องรับไปเป็นข้อมูลประกอบการจัดทำแผนยุทธศาสตร์กระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ ต่อไป ซึ่งคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้นำเรียนนายกรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว ๕. กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ได้ดำเนินการด้านกฎหมาย โดยใช้พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นกฎหมายหลักในการบริหารจัดการภัยพิบัติของประเทศ ด้านแผน ได้จัดทำแผนเพื่อเป็นกรอบแนวทางในการดำเนินการบริหารจัดการภัยพิบัติแบบบูรณาการอย่างมีประสิทธิภาพ การดำเนินการฝึกซ้อมแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทุกระดับ (กลุ่มจังหวัด จังหวัด และอำเภอ) การดำเนินโครงการฟื้นฟู บูรณะแหล่งน้ำเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งและอุทกภัย การจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อุทกภัยที่อาจจะเกิดขึ้นตลอด ๒๔ ชั่วโมง เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
922 | รายงานผลการประชุมใหญ่ประจำปีองค์การแรงงานระหว่างประเทศ สมัยที่ 101 | รง | 07/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมใหญ่ประจำปีองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization : ILO) สมัยที่ ๑๐๑ ระหว่างวันที่ ๓๐ พฤษภาคม-๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมใหญ่ ILO ได้ลงมติและรับรองรายงานที่สำคัญ ๆ ได้แก่ ๑.๑ มติยกเลิกข้อมติของ ILO จำนวน ๒ ฉบับ ที่เป็นมาตรการลงโทษเมียนมาร์ เนื่องจากละเมิดอนุสัญญา ฉบับที่ ๒๙ ว่าด้วยแรงงานบังคับที่ให้สัตยาบันไว้โดยปล่อยให้กองทัพและหน่วยงานราชการบังคับใช้แรงงานทั้งผู้ใหญ่และเด็กอย่างแพร่หลายทั่วประเทศ ที่ประชุมใหญ่ ILO จึงมีข้อมติ ฉบับที่ ๑ ปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่ไม่ให้เมียนมาร์เข้าร่วมกิจกรรมกับ ILO ทั้งความช่วยเหลือทางวิชาการและการเชิญเข้าร่วมการประชุมใด ๆ ที่ ILO จัดขึ้น ยกเว้นความช่วยเหลือจาก ILO ในการแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานบังคับในเมียนมาร์ และฉบับที่ ๒ ปี พ.ศ. ๒๕๔๓ ที่ให้ประเทศสมาชิกทบทวนการดำเนินความสัมพันธ์ใด ๆ กับเมียนมาร์ที่เอื้อต่อการใช้แรงงานบังคับในเมียนมาร์ ต่อมาหลังจากรัฐบาลเมียนมาร์ได้ร่วมมือกับ ILO ปรับปรุงแก้ไขจนสถานการณ์ดีขึ้น ที่ประชุมใหญ่ ILO สมัยที่ ๑๐๑ จึงมีมติยกเลิกข้อมติทั้ง ๒ ฉบับดังกล่าว ๑.๒ มติรับรองร่างข้อแนะว่าด้วยพื้นฐานการคุ้มครองทางสังคม ด้วยคะแนนเสียงเอกฉันท์ ด้วยเสียงเห็นชอบ ๔๕๓ เสียง งดออกเสียง ๑ เสียง และไม่เห็นชอบ ๐ เสียง นับเป็นข้อแนะฉบับที่ ๒๐๒ ของ ILO มีวัตถุประสงค์เพื่อเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกจัดทำพื้นฐานการคุ้มครองทางสังคมในฐานะปัจจัยพื้นฐานของระบบความมั่นคงทางสังคมของชาติ โดยครอบคลุมมาตรการต่าง ๆ ตลอดวงจรชีวิต อาทิ การให้บริการ การรักษาพยาบาลที่จำเป็น ความมั่นคงด้านรายได้พื้นฐาน การลดความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ และลดการเจ็บป่วยและการตายก่อนวัยอันควร โดยครอบคลุมทั่วถึงแรงงานทุกกลุ่มทั้งในและนอกระบบ ข้อแนะมีสถานะเป็นมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศที่ให้สมาชิกนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาการบริหารแรงงาน แต่ไม่ต้องให้สัตยาบันและไม่มีสถานะผูกพันตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศดังเช่นอนุสัญญา ๑.๓ มติรับรองข้อมติว่าด้วยวิกฤตการมีงานทำของเยาวชน : เรียกร้องให้มีการปฏิบัติการที่มีเนื้อหาระบุว่า ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ มีเยาวชนทั่วโลก จำนวนประมาณ ๗๕ ล้านคน ประสบปัญหาการว่างงาน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. ๒๕๕๐ จำนวนประมาณ ๔ ล้านคน และเยาวชนจำนวนกว่า ๒๐๐ ล้านคน ที่ทำงานโดยได้รับค่าจ้างต่ำกว่าวันละ ๒ ดอลลาร์สหรัฐ หากไม่มีการแก้ไขอย่างแข็งขัน โลกจะเผชิญกับภาวะสูญเสียกำลังแรงงานในรุ่นต่อไป รัฐบาลต้องดำเนินมาตรการต่าง ๆ โดยร่วมมือกับนายจ้างและลูกจ้าง อาทิ การฝึกฝีมือแรงงานให้ตรงกับอุปสงค์ของตลาดแรงงาน ปรับปรุงระบบการฝึกงาน และส่งเสริมการเป็นผู้ประกอบการของเยาวชน ๒. ที่ประชุมคณะประศาสน์การสมัยที่ ๓๑๔ เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ILO ได้จัดการเลือกตั้งผู้อำนวยการใหญ่ ILO คนใหม่ สืบเนื่องจากนายฮวน โซมาเวีย ผู้อำนวยการใหญ่ ILO คนปัจจุบัน ซึ่งขอลาออกจากตำแหน่งก่อนครบวาระ โดยมีผลในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ ผลปรากฏว่า นายกาย ไรเดอร์ (Mr. Guy Ryder) จากสหราชอาณาจักรชนะการเลือกตั้ง และจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ โดยนายไรเดอร์นับเป็นผู้อำนวยการใหญ่ ILO คนที่ ๑๐ วาระดำรงตำแหน่ง ๕ ปี
|
||||||||||||||||||||||||
923 | การขอชดเชยราคาการนำเข้าน้ำมันปาล์ม | พณ | 30/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการให้ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงิน ๒๒.๒๐ ล้านบาท เพื่อชดเชยผลการขาดทุนขององค์การคลังสินค้าจากส่วนต่างของต้นทุนการนำเข้าน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์กับราคาจำหน่ายให้แก่โรงกลั่นน้ำมันปาล์ม ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับการแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๕ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม) และวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี การแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม) ในปริมาณไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ ตัน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณานำเข้าน้ำมันปาล์มในปริมาณและระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเกษตรกรและราคาผลปาล์มในประเทศและให้ตรวจสอบยืนยันข้อมูลผลการขาดทุนจากการนำเข้าน้ำมันปาล์มที่เกิดขึ้นจริง ก่อนขอทำความตกลงในรายละเอียดงบประมาณกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการติดตามและประเมินสถานการณ์ความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันปาล์มตลาดโลกอย่างใกล้ชิด เพื่อมิให้การนำเข้าน้ำมันปาล์มส่งผลกระทบต่อราคาผลปาล์มน้ำมันที่เกษตรกรขายได้ภายในประเทศ รวมทั้งติดตามสถานการณ์การผลิตและภาวะเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด เพื่อให้การนำเข้าน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์สามารถดำเนินการได้สอดคล้องและเหมาะสมกับช่วงเวลาที่ผลผลิตปาล์มออกสู่ตลาด โดยไม่ส่งผลกระทบต่อราคาผลปาล์มดิบและราคาน้ำมันพืชปาล์ม และพิจารณาปริมาณนำเข้าน้ำมันปาล์มตามความจำเป็นที่แท้จริง เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรชาวสวนปาล์ม ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
924 | ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ปี 2012 | พณ | 30/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ครั้งที่ ๑๙ The 18th APEC Minister Responsible for Trade Meeting) ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๔ - ๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ ณ เมืองคาซาน สหพันธรัฐรัสเซีย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ที่ประชุมฯ ได้มีการหารือในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ การสนับสนุนการเจรจาการค้ารอบโดฮา และต่อต้านการใช้มาตรการกีดกันทางการค้า การส่งเสริมการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาคและการขยายการค้า (Trade and Investment Liberalization, Regional Economic Integration) การเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหาร (Strengthening Food Security) การสร้างห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อถือได้ (Establishing Reliable Supply Chain) และความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของนวัตกรรม (Intensive Cooperation to Foster Innovative Growth) ๑.๒ ข้อคิดเห็นของกระทรวงพาณิชย์ ๑.๒.๑ การเจรจาพหุภาคีขององค์การการค้าโลก (WTO) รอบโดฮาได้ยืดเยื้อมาเป็นเวลาเกือบ ๑๑ ปีแล้ว และขณะนี้อยู่ในภาวะชะงักงัน ปัจจุบัน WTO มีสมาชิก ๑๕๕ ประเทศ ซึ่งการเจรจาตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ใน WTO จะใช้ระบบฉันทามติ (consensus) ทำให้การเจรจามีความล่าช้ามาก ดังนั้น กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วใน WTO ที่เป็นสมาชิกเอเปค เช่น ออสเตรเลีย แคนาดา ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และสหรัฐฯ หันมาใช้เวทีเอเปค ซึ่งมีสมาชิกเพียง ๒๑ เขตเศรษฐกิจ ในการผลักดันให้การเจรจาเรื่องต่าง ๆ มีความคืบหน้าก่อน จากนั้นจึงนำไปผลักดันในเวที WTO ต่อไป เช่น การผลักดันให้มีการเจรจาขยายขอบเขตสินค้าภายใต้ความตกลงว่าด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology Agreement : ITA) และการผลักดันให้สินค้าใช้แล้วที่นำมาผลิตใหม่ (Remanufactured Products) ได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมกับสินค้าใหม่ เป็นต้น ๑.๒.๒ เอเปคได้ดำเนินการเพื่อผลักดันการเปิดเสรีการค้าและการลงทุนอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น เพื่อมุ่งเป้าหมายระยะยาวของการเจรจาความตกลงการค้าเสรีของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Free Trade Area of the Asia - Pacific : FTAAP) ในอนาคต การเจรจาเรื่องต่าง ๆ จึงมีความเข้มข้นมากขึ้น เช่น การจัดทำรายการสินค้าสิ่งแวดล้อมของเอเปค การคัดเลือกประเด็นการค้าการลงทุนมิติใหม่ ตลอดจนการสร้างความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทาน และการส่งเสริมนโยบายนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพ ไม่เลือกปฏิบัติ และขับเคลื่อนโดยกลไกตลาด เป็นต้น ๑.๒.๓ ประเด็นเรื่องการจัดทำรายการสินค้าสิ่งแวดล้อมของเอเปคเพื่อนำมาลดภาษีให้เหลือร้อยละ ๕ หรือต่ำกว่า ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ (ค.ศ. ๒๐๑๕) เป็นประเด็นสำคัญของการประชุมครั้งนี้ เนื่องจากสมาชิกมีท่าทีที่แตกต่างกัน ระหว่างสองขั้วใหญ่ ได้แก่ จีนกับสหรัฐฯ ที่ประชุมจึงมอบหมายให้ระดับเจ้าหน้าที่หารือเพิ่มเติม โดยมีเป้าหมายให้จัดทำรายการสินค้าฯ ให้เสร็จก่อนการประชุมผู้นำเอเปค ที่จะมีขึ้นในเดือนกันยายนนี้ ที่เมืองวลาดิวอสต๊อก ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงอุตสาหกรรม เกี่ยวกับแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปค ปี ค.ศ. ๒๐๑๒ ที่ระบุเป้าหมายและกำหนดเวลาในการดำเนินการในหลายประเด็น ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับหน่วยราชการหลายหน่วยงาน จึงเห็นควรประสานงานอย่างใกล้ชิด เพื่อให้หน่วยราชการที่รับผิดชอบสามารถดำเนินการตามเป้าหมายและกรอบเวลาที่กำหนดไว้ การสงวนท่าทีการนำเสนอสินค้าเกษตรไว้ในรายการสินค้าและบริการสิ่งแวดล้อม (Environmental Goods and Services : EGS) การต่อต้านการใช้มาตรการกีดกันทางการค้า (Protectionism) การเจรจาเชิงรุกในเรื่องการลดหรือขจัดมาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษีโดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าเกษตรและอาหาร การผลักดันให้ได้ข้อสรุปของคำจำกัดความของสินค้าสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการกำหนดรายการสินค้าสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการกำหนดมาตรการในการกำกับดูแลการนำเข้าสินค้าสิ่งแวดล้อมของเอเปค ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
925 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนมิถุนายน 2555 | อก | 24/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม แนวโน้มการผลิตในภาพรวมและการส่งออกคาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ ตามปริมาณคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น และราคาวัตถุดิบฝ้ายเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนเพียงเล็กน้อย สำหรับปัจจัยเสี่ยงของการส่งออกของอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มที่ต้องระมัดระวังคือ ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในตลาดส่งออกหลักอย่างสหภาพยุโรป ซึ่งปัญหาวิกฤตยังอยู่ระหว่างการแก้ไข ๒. อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ภาพรวมของอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ จากแบบจำลองดัชนีชี้นำภาวะอุตสาหกรรมสาขาเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่จัดทำโดยสถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ประมาณการแนวโน้มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าจะปรับตัวลดลงร้อยละ ๐.๑๗ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนการประมาณการอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์มีการปรับตัวลดลงร้อยละ ๕.๕ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
|
||||||||||||||||||||||||
926 | ร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์การจ่ายค่าทดแทนการขาดรายได้ กรณีทุพพลภาพอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน | รง | 24/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์การจ่ายค่าทดแทนการขาดรายได้ กรณีทุพพลภาพอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างประกาศฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้ลูกจ้างซึ่งประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอันมิใช่เนื่องจากการทำงานเป็นเหตุให้สูญเสียอวัยวะหรือสูญเสียสมรรถภาพของอวัยวะ หรือของร่างกายอย่างถาวร หรือสูญเสียสภาวะปกติของจิตใจอย่างถาวร จนไม่สามารถทำงานได้ เมื่อประเมินการสูญเสียสมรรถภาพอย่างถาวรได้ตั้งแต่ร้อยละ ๕๐ ขึ้นไปของสมรรถภาพทั้งร่างกาย หากประสงค์จะขอรับค่าทดแทนการขาดรายได้กรณีทุพพลภาพอันมิใช่เนื่องมาจากการทำงาน จะต้องแจ้งต่อนายจ้างเพื่อขอรับการตรวจและวินิจฉัยจากคณะแพทย์ที่นายจ้างแต่งตั้งจากผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม จำนวน ๓ คน ๒. ตัดสวัสดิการเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลกรณีทุพพลภาพอันมิใช่เนื่องจากการทำงานออก ๓. ให้นายจ้างจ่ายค่าทดแทนการขาดรายได้กรณีทุพพลภาพอันมิใช่เนื่องจากการทำงานแก่ลูกจ้างที่ทุพพลภาพเป็นรายเดือนในอัตราร้อยละ ๓๓.๓๓ ของเงินเดือนค่าจ้างเต็มเดือนสุดท้ายที่ลูกจ้างได้รับอยู่เป็นเวลา ๑๕ ปี ๔. กรณีการทุพพลภาพอันมิใช่เนื่องจากการทำงานที่เกิดขึ้นก่อนวันประกาศนี้ใช้บังคับ หรือลูกจ้างผู้ใดมีสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้กรณีทุพพลภาพอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน ตามประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์การจ่ายค่ารักษาพยาบาลและเงินทดแทนการขาดรายได้ฯ ลงวันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๔ อยู่ก่อนวันที่ประกาศฉบับนี้ใช้บังคับให้ได้รับสิทธิตามประกาศฉบับนี้ ๕. ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป |
||||||||||||||||||||||||
927 | สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2555 | ทก | 24/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๙.๐๑ ล้านคน ประกอบด้วย ผู้มีงานทำ ๓๘.๒๗ ล้านคน ผู้ว่างงาน ๓.๕๙ แสนคน และผู้ที่รอฤดูกาล ๓.๘๐ แสนคน โดยผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันกับปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๖.๕ แสนคน (จาก ๓๘.๓๖ ล้านคน เป็น ๓๙.๐๑ ล้านคน) ๒. ผู้มีงานทำ มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๘.๒๗ ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันกับปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๔.๕ แสนคน (จาก ๓๗.๘๒ ล้านคน เป็น ๓๘.๒๗ ล้านคน) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๒ โดยผู้ทำงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผู้ทำงานในสาขาการเกษตร เพิ่มขึ้นจำนวน ๗.๖ แสนคน สาขาการบริหารราชการป้องกันประเทศและการประกันสังคมภาคบังคับ จำนวน ๓.๓ แสนคน สาขาการผลิต จำนวน ๑.๒ แสนคน สาขากิจกรรมด้านการเงินและการประกันภัย จำนวน ๕.๐ หมื่นคน และสาขาบริการอื่นๆ ได้แก่ กิจกรรมบริการเพื่อสุขภาพ การดูแลสัตว์เลี้ยง การบริการซักรีดซักแห้ง เป็นต้น ส่วนผู้ทำงานลดลง ได้แก่ ผู้ทำงานในสาขาการก่อสร้าง ลดลงจำนวน ๒.๒ แสนคน สาขาโรงแรมและบริการด้านอาหาร จำนวน ๑.๕ แสนคน สาขาการขนส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ และรถจักรยานยนต์ จำนวน ๑.๕ แสนคน สาขาการศึกษา จำนวน ๑.๔ แสนคน สาขากิจกรรมด้านสุขภาพและงานสังคมสงเคราะห์ จำนวน ๓.๐ หมื่นคน และสาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า จำนวน ๑.๐ หมื่นคน ๓. ผู้ว่างงานทั่วประเทศ มีจำนวน ๓.๕๙ แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ ๐.๙ ของกำลังแรงงานรวม (เพิ่มขึ้น ๑.๕๕ แสนคน เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปี พ.ศ. ๒๕๕๔) ประกอบด้วย ผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๑.๕๗ แสนคน และผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๒.๐๒ แสนคน โดยเป็นผู้ว่างงานที่มาจากภาคการผลิต ๘.๓ หมื่นคน ภาคการบริการและการค้า ๘.๑ หมื่นคน และภาคเกษตรกรรม ๓.๘ หมื่นคน ผู้ว่างงานเป็นผู้มีการศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษา จำนวน ๑.๕๒ แสนคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ๘.๔ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ๔.๙ หมื่นคน ระดับประถมศึกษา ๔.๘ หมื่นคน และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา ๒.๖ หมื่นคน ผู้ว่างงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๑.๑๔ แสนคน ภาคกลาง ๗.๗ หมื่นคน ภาคเหนือ ๗.๕ หมื่นคน ภาคใต้ ๕.๓ หมื่นคน และกรุงเทพมหานคร ๔.๐ หมื่นคน หากคิดเป็นอัตราการว่างงานกรุงเทพมหานคร ภาคใต้ และภาคเหนือมีอัตราการว่างงานสูงสุด ร้อยละ ๑.๐ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอัตราการว่างงาน ร้อยละ ๐.๙ ภาคกลางมีอัตราการว่างงาน ร้อยละ ๐.๘
|
||||||||||||||||||||||||
928 | รายงานสถานการณ์และความคืบหน้าการป้องกัน ควบคุมโรค มือ เท้า ปาก ชนิดรุนแรงในเด็ก | สธ | 24/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานสถานการณ์และความคืบหน้าการป้องกัน ควบคุมโรคมือ เท้า ปากชนิดรุนแรงในเด็ก ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ สถานการณ์การระบาดของโรคมือ เท้า ปาก ชนิดรุนแรงในเด็ก ๑.๑.๑ สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค รายงานว่าตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม - ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ พบผู้ป่วยโรคมือ เท้า ปาก ทั่วประเทศ รวม ๑๔,๔๕๒ ราย ในจำนวนนี้พบผู้ป่วยสงสัยเป็นโรคมือ เท้า ปาก ที่มีอาการรุนแรงอยู่หลายราย บางรายเสียชีวิตแล้ว จังหวัดที่มีอัตราป่วยสูงสุด คือ จังหวัดพะเยา เชียงราย ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี และระยอง ส่วนสถานการณ์โรคมือ เท้า ปาก ในสถานศึกษา พบผู้ป่วยในโรงเรียนอนุบาลและประถมศึกษาในหลายจังหวัดทั่วประเทศ โดยหลายโรงเรียนได้ดำเนินการปิดเรียน เพื่อทำความสะอาดและลดการแพร่กระจายเชื้อแล้ว ๑.๑.๒ ข้อมูลจากการเฝ้าระวังทางห้องปฏิบัติการในประเทศไทย ยังไม่พบการกลายพันธุ์ของเชื้อและสายพันธุ์ใหม่ที่ก่อความรุนแรงผิดปกติ ข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบันยังไม่สามารถสรุปความสัมพันธ์ระหว่างความรุนแรงของอาการกับสายพันธุ์ย่อยที่ตรวจพบ นอกจากนี้ สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค รายงานว่าตลอดช่วง ๒ สัปดาห์ที่ผ่านมา สถานการณ์มีอัตราแพร่ระบาดที่ลดลง โดยพิจารณาจากจำนวนผู้ป่วยเมื่อเทียบในช่วงแรกของการระบาดของโรคมือ เท้า ปาก อย่างไรก็ตามคาดการณ์ว่าแนวโน้มของโรคจะยังคงมีการระบาดต่อไปอีกประมาณ ๖ สัปดาห์ ๑.๒ ความคืบหน้าการป้องกันควบคุมโรคของประเทศไทย ๑.๒.๑ เร่งรัดและดำเนินมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคมือ เท้า ปาก อย่างใกล้ชิด โดยมีทีมสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็ว (Surveillance Rapid Response Team : SRRT) ปฏิบัติงานตลอด ๒๔ ชั่วโมงทั่วประเทศมากกว่า ๑,๐๐๐ ทีม ๑.๒.๒ ให้ดำเนินงานที่เข้มข้นใน ๒ มาตรการ คือ มาตรการที่ ๑ ควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดโดยเร็วที่สุด โดยประสานงานกับโรงเรียนอนุบาล โรงเรียนประถมศึกษา และศูนย์เด็กเล็กที่อยู่ในพื้นที่เน้นเรื่องการทำความสะอาดป้องกันการแพร่เชื้อ หากพบเด็กป่วยขอให้หยุดเรียนและกลับไปพักที่บ้าน ให้เด็กหมั่นล้างมือ กินอาหารที่สุกและร้อน และมาตรการที่ ๒ ดูแลรักษาผู้ป่วยเพื่อป้องกันการเสียชีวิตให้ได้มากที่สุด โดยเน้นย้ำผู้ปกครองทุกคน หากพบเด็กมีไข้สูง ๒ วัน ซึมลงหรืออาเจียน ให้รีบไปพบแพทย์ทันที ๑.๒.๓ กำชับแพทย์ในสถานพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ให้ระมัดระวังภาวะแทรกซ้อนรุนแรงของโรค โดยให้รวมถึงผู้ป่วยที่ไม่มีตุ่มขึ้นที่ปาก หรือฝ่ามือ ฝ่าเท้า ๑.๒.๔ ทำการประชาสัมพันธ์ในทุกช่องทางเพื่อให้ความรู้เรื่องโรคมือ เท้า ปาก แก่ประชาชน เช่น เปิดสายด่วน ๑๔๒๒ ของกรมควบคุมโรคติดต่อตลอด ๒๔ ชั่วโมง ๑.๒.๕ ให้จังหวัดที่พบผู้ป่วยมากกว่า ๑๐ รายต่อวัน เปิดศูนย์ปฏิบัติการระดับจังหวัด (war room) ซึ่งทุกจังหวัดได้ดำเนินการป้องกันและควบคุมโรคในพื้นที่ และมีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการดังกล่าวแล้วหลายจังหวัด ๑.๒.๖ ประชุมผู้เชี่ยวชาญทั้งในและนอกกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัย เพื่อทบทวนมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ โดยเน้นการเฝ้าระวังโรค การตรวจทางห้องปฏิบัติการ การวินิจฉัยและดูแลรักษาพยาบาล การป้องกันควบคุมโรค และการสื่อสารความเสี่ยง เป็นต้น ๑.๒.๗ กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และกรุงเทพมหานคร จัดกิจกรรมรณรงค์ “ร่วมเฝ้าระวังและขจัดโรคมือ เท้า ปาก” โดยมีการมอบคู่มือและชุดอุปกรณ์ป้องกันโรคมือ เท้า ปากให้กับโรงเรียนนำไปทำความสะอาด เมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ โดยรณรงค์ทำความสะอาด “Big cleaning day” ในสถานศึกษาทั่วประเทศ เพื่อป้องกันโรคมือ เท้า ปาก ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคดังกล่าวอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้ติดตามดูแลบุคคลในครอบครัวของเด็กที่เสียชีวิตไปแล้วและอยู่ระหว่างการตรวจวินิจฉัยสาเหตุการเสียชีวิตที่ชัดเจนจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งบุคคลที่เป็นกลุ่มเสี่ยงเพื่อควบคุมสถานการณ์ของโรคไม่ให้แพร่กระจายเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงศึกษาธิการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขให้ทั่วถึงในทุกพื้นที่ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
929 | การป้องกัน ควบคุมโรค มือ เท้า ปาก ชนิดรุนแรงในเด็ก | สธ | 17/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการระบาด การป้องกัน ควบคุมโรค มือ เท้า ปาก ชนิดรุนแรงในเด็ก และให้กระทรวงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมการระบาดของโรค มือ เท้า ปาก ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การระบาดของโรค มือ เท้า ปาก ในเด็ก จากเชื้อไวรัสเอนเทอโร ๗๑ (Enterovirus 71) ที่มีอาการรุนแรง ในพื้นที่ภาคกลางและภาคใต้ของประเทศกัมพูชา โดยตั้งแต่เดือนเมษายน ถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ พบผู้ป่วยเด็กทั้งสิ้น ๖๑ ราย ในจำนวนนี้เสียชีวิต ๕๔ ราย โดยอายุของผู้ป่วยอยู่ในช่วง ๓ เดือน ถึง ๑๑ ปี และส่วนใหญ่เป็นเด็กเล็กอายุน้อยกว่า ๓ ปี ซึ่งทางการกัมพูชาได้มีมาตรการเฝ้าระวังโรค ป้องกัน โดยเน้นสุขอนามัยและการดูแลเด็กเล็ก สำหรับสถานการณ์ของโรคมือ เท้า ปาก ในประเทศไทย จากข้อมูลการเฝ้าระวังของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม - ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๕ พบผู้ป่วยโรคมือ เท้า ปาก ทั่วประเทศรวม ๑๒,๕๘๑ ราย อัตราป่วย ๑๙.๘ ต่อประชากรแสนคน ยังไม่พบผู้เสียชีวิต ในขณะนี้พบผู้ป่วยยืนยันที่มีอาการรุนแรง จำนวน ๑ ราย ในจังหวัดน่าน และยังมีผู้ป่วยอาการรุนแรงที่กำลังรอผลการตรวจยืนยันโรคอีกหลายราย ๑.๒ โรคมือ เท้า ปาก เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสเอนเทอโร ซึ่งมีหลายชนิด โดยทั่วไปมีอาการไม่รุนแรง ผู้ป่วยมีไข้ต่ำ ๆ เกิดตุ่มพอง และแผลเล็ก ๆ ในปาก คอ มีตุ่มที่มือ เท้า และบริเวณก้น แต่เชื้อไวรัสบางสายพันธุ์อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น อาการทางระบบทางเดินหายใจ ระบบประสาท สมองอักเสบหรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ อาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ โรคนี้ติดต่อได้จากการสัมผัสโดยตรงกับน้ำมูก น้ำลาย อุจจาระ หรือตุ่มพองและแผลของผู้ป่วย รวมทั้งการติดต่อทางน้ำหรืออาหาร เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่กระจายของโรคในวงกว้าง และการเสียชีวิตของผู้ป่วย กระทรวงสาธารณสุขจึงได้ดำเนินมาตรการป้องกันโรคมือ เท้า ปาก ได้แก่ การเร่งรัดมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคมือ เท้า ปาก การประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เรื่องโรคมือ เท้า ปาก แก่ประชาชน โดยเน้นการรักษาสุขอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ หากมีผู้ป่วยสงสัยมือ เท้า ปากที่มีไข้สูง ซึม ชัก หายใจหอบเหนื่อย ให้รีบพาไปพบแพทย์ และให้จังหวัดที่พบผู้ป่วยมากกว่า ๑๐ รายต่อวัน เปิดศูนย์ปฏิบัติการระดับจังหวัด (War room) รวมทั้งให้ทำหนังสือขอความร่วมมือไปยังผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ปลัดกระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และนายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ในการร่วมเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมการระบาดของโรคมือ เท้า ปาก ในศูนย์เด็กเล็ก สถานรับเลี้ยงเด็ก สถานศึกษา และชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเน้นสุขอนามัย และการทำความสะอาดในโรงเรียนอนุบาลและโรงเรียนประถมศึกษาทั่วประเทศ ตลอดจนให้คำแนะนำผู้เดินทางไป - กลับจากประเทศที่มีการระบาดของโรคปฏิบัติตามสุขอนามัยที่ดี ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการร่วมกันพิจารณากำหนดมาตรการป้องกันและควบคุมการระบาดของโรคให้ชัดเจน และเผยแพร่ให้ผู้ปกครองเด็กและสาธารณชนได้ทราบโดยทั่วกันโดยด่วน |
||||||||||||||||||||||||
930 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2554 กรณีการปรับอัตราค่าจ้างของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ | รง | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. ยืนยันตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๔ กรณีการปรับอัตราค่าจ้างของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวมีเจตนารมณ์เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพของผู้มีรายได้น้อยเป็นหลัก ๒. ให้มีการปรับโครงสร้างเงินเดือนพนักงานและลูกจ้างรัฐวิสาหกิจให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ควรนำผลการศึกษาการปรับโครงสร้างเงินเดือนพนักงานและลูกจ้างรัฐวิสาหกิจทั้งระบบมาประกอบการพิจารณาด้วย |
||||||||||||||||||||||||
931 | รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ 1 ปี 2555 และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤษภาคม 2555 | อก | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ ๑ (มกราคม - มีนาคม) พ.ศ. ๒๕๕๕ และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ ๑ (มกราคม - มีนาคม) พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๑ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ในไตรมาสที่ ๔ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ หดตัวร้อยละ ๙.๐ หดตัวจากไตรมาสที่ ๓ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ขยายตัวร้อยละ ๓.๗ และหดตัวจากไตรมาสที่ ๔ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่ขยายตัวร้อยละ ๓.๘ โดยปัจจัยที่ทำให้อัตราการขยายตัวหดตัวจากไตรมาสที่ ๓ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ คือ การลดลงของอุปทาน เนื่องจากมหาอุทกภัยในช่วงปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ส่งผลให้อุปสงค์ทั้งจากต่างประเทศและในประเทศหดตัวลง โดยการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของครัวเรือน การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาล และการลงทุนหดตัว ๑.๒ GDP สาขาอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ ๔ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ หดตัวร้อยละ ๒๑.๘ หดตัวจากไตรมาสที่ ๓ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ขยายตัวร้อยละ ๓.๑ และหดตัวจากไตรมาสที่ ๔ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่ขยายตัวร้อยละ ๔.๘ เป็นผลมาจากปัญหาอุทกภัยในเขตพื้นที่ภาคกลางและภาคเหนือตอนล่างทำให้เกิดผลกระทบวงกว้างต่อห่วงโซ่อุปทานของภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับผลกระทบสูง ๑.๓ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคาดว่า เศรษฐกิจไทยปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จะขยายตัวร้อยละ ๕.๕ - ๖.๕ จากการขับเคลื่อนของอุปสงค์ภายในประเทศและการฟื้นตัวของภาคการผลิต ๑.๔ ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ ๑ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ พบว่าส่วนใหญ่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เช่น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและธุรกิจ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม สำหรับมูลค่าการส่งออกในภาพรวมหดตัวร้อยละ ๓.๙ (มกราคม - มีนาคม ๒๕๕๕) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และชิ้นส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และชิ้นส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น ๑.๕ การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาคเอกชนมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ ๒.๑ อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนเมษายน ๒๕๕๕ เนื่องจากช่วงเดือนพฤษภาคมเป็นฤดูการขาย ซึ่งเป็นช่วงเปิดภาคเรียนการศึกษาใหม่ ทำให้มีปริมาณความต้องการรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้น โดยการผลิตรถจักรยานยนต์ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ ประมาณการว่าจะมีการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศร้อยละ ๘๖ และส่งออกร้อยละ๑๔ ๒.๒ อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ การผลิตและจำหน่ายปูนซีเมนต์ในช่วงเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ จะปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากในเดือนเมษายนตัวเลขจะลดลงต่ำกว่าปกติ ประกอบกับเริ่มเข้าสู่ฤดูฝนทำให้ภาวะการก่อสร้างเริ่มชะลอตัว รวมทั้งการส่งออกมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากประเทศที่เป็นตลาดส่งออกหลักของไทยอยู่ในภูมิภาคนี้ย่างเข้าสู่ฤดูฝนคล้าย ๆ กับไทย จึงเป็นอุปสรรคในการก่อสร้างและการคมนาคม ขนส่ง ทำให้ยอดการผลิต การจำหน่ายและการส่งออกมีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับช่วงต้นปี
|
||||||||||||||||||||||||
932 | สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนเมษายน พ.ศ. 2555 | ทก | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้ที่อยู่ในวัยกำลังแรงงาน มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๘.๙๑ ล้านคน ประกอบด้วย ผู้มีงานทำ ๓๘.๑๔ ล้านคน ผู้ว่างงาน ๓.๗๗ แสนคน และผู้ที่รอฤดูกาล ๓.๘๙ แสนคน โดยผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันกับปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๙.๘ แสนคน (จาก ๓๗.๙๓ ล้านคน เป็น ๓๘.๙๑ ล้านคน) ๒. ผู้มีงานทำ มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๘.๑๔ ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันกับปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๗.๗ แสนคน (จาก ๓๗.๓๗ ล้านคน เป็น ๓๘.๑๔ ล้านคน) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๑ โดยผู้ทำงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผู้ทำงานในสาขาการเกษตร สาขาการผลิต สาขาการขายส่ง การขายปลีก การซ่อมยานยนต์ และรถจักรยานยนต์ สาขาการบริหารราชการ การป้องกันประเทศ และการประกันสังคมภาคบังคับ สาขากิจกรรมทางการเงิน และการประกันภัย ส่วนผู้ทำงานลดลง ได้แก่ ผู้ทำงานในสาขาที่พักแรมและการบริการด้านอาหาร สาขาการขนส่ง และสถานที่เก็บสินค้า สาขากิจกรรมด้านสุขภาพและงานสังคมสงเคราะห์ สาขาการก่อสร้าง สาขากิจกรรมบริการด้านอื่น ๆ เช่น กิจกรรมบริการเพื่อสร้างเสริมสุขภาพร่างกาย การดูแลสัตว์เลี้ยง การบริการซักรีดและซักแห้ง ฯลฯ สาขาการศึกษา และสาขากิจกรรมอสังหาริมทรัพย์ ๓. ผู้ว่างงานทั่วประเทศ มีจำนวน ๓.๗๗ แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ ๑.๐ ของกำลังแรงงานรวม (เพิ่มขึ้น ๙.๒ หมื่นคน เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปี พ.ศ. ๒๕๕๔) ประกอบด้วย ผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๑.๖๘ แสนคน และผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๒.๐๙ แสนคน โดยเป็นผู้ว่างงานที่มาจากภาคการบริการและการค้า ๗.๖ หมื่นคน ภาคการผลิต ๗.๐ หมื่นคน และภาคเกษตรกรรม ๖.๓ หมื่นคน ผู้ว่างงานผู้มีการศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษา จำนวน ๑.๔๗ แสนคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ๘.๓ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ๗.๑ หมื่นคน ระดับประถมศึกษา ๔.๑ หมื่นคน และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา ๓.๕ หมื่นคน ผู้ว่างงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๑.๕๖ แสนคน ภาคกลาง ๘.๖ หมื่นคน ภาคใต้ ๖.๖ หมื่นคน ภาคเหนือ ๔.๕ หมื่นคน และกรุงเทพมหานคร ๒.๔ หมื่นคน หากคิดเป็นอัตราการว่างงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้มีอัตราการว่างงานสูงสุด ร้อยละ ๑.๒ ภาคกลาง ร้อยละ ๐.๙ กรุงเทพมหานครและภาคเหนือมีอัตราการว่างงาน ร้อยละ ๐.๖
|
||||||||||||||||||||||||
933 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2554 | กค | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เป้าหมายนโยบายการเงิน กนง. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีมติเห็นชอบร่วมกันให้เสนออัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยรายปีที่ร้อยละ ๓.๐ ? ๑.๕ เป็นเป้าหมายนโยบายการเงินประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนการนำเสนอเป้าหมายนโยบายการเงินต่อคณะรัฐมนตรี ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในไตรมาสที่ ๓ และ ๔ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ อยู่ที่ร้อยละ ๑๒.๗๙ และ ๒.๘๒ ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในช่วงเป้าหมายนโยบายการเงินประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒.๑ เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ ๔ หดตัวอย่างรุนแรงจากผลของอุทกภัยที่ทำให้ภาคการผลิตและการคมนาคมบางส่วนหยุดชะงัก อย่างไรก็ตาม ปัญหาอุทกภัยไม่ได้กระทบต่อศักยภาพการผลิตในระยะยาว โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาสที่ ๑ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และกลับสู่ระดับปกติได้ในไตรมาสที่ ๓ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒.๒ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยในช่วงครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ อยู่ที่ร้อยละ ๔.๐๕ และ ๒.๘๐ ตามลำดับ ทั้งนี้ ในระยะต่อไป กนง. ประเมินว่า แรงกดดันเงินเฟ้อจะยังคงมีอยู่ จากนโยบายภาครัฐที่มีผลทำให้ราคาสินค้าบางประเภทและต้นทุนแรงงานสูงขึ้น ประกอบกับความต้องการในช่วงฟื้นฟูเศรษฐกิจจะสนับสนุนให้การส่งผ่านต้นทุนทำได้ง่ายขึ้น ๓. การดำเนินนโยบายการเงิน กนง. มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๔ และครั้งที่ ๖/๒๕๕๔ ครั้งละร้อยละ ๐.๒๕ ต่อปี รวมร้อยละ ๐.๕๐ ต่อปี ส่งผลให้ระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับสูงขึ้น จากร้อยละ ๓.๐๐ ต่อปี เป็นร้อยละ ๓.๕๐ ต่อปี เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและดูแลแรงกดดันเงินเฟ้อ และในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๔ กนง. มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๓.๕๐ ต่อปี รวมทั้งในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๔ ได้มีมติให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ ๐.๒๕ จากร้อยละ ๓.๕๐ ต่อปี เป็นร้อยละ ๓.๒๕ ต่อปี ดังนั้น ณ สิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๔ อัตราดอกเบี้ยนโยบายจึงปรับมาอยู่ที่ระดับร้อยละ ๓.๒๕ ต่อปี ๔. การดำเนินนโยบายบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยน ๔.๑ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เข้าบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อมิให้มีความผันผวนมากเกินไปจนเป็นอุปสรรคต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจ ส่งผลให้ค่าความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๕.๒๑ ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าค่าความผันผวนของเงินสกุลอื่น ๆ โดยเฉพาะค่าเงินภูมิภาคที่ส่วนใหญ่มีความผันผวนเฉลี่ยอยู่ที่ระดับร้อยละ ๖ - ๑๒ ในช่วงเวลาเดียวกัน ๔.๒ ดัชนีค่าเงินบาทที่สะท้อนการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทเทียบกับสกุลเงินของประเทศคู่ค้าคู่แข่งสำคัญอ่อนค่าลงร้อยละ ๐.๘๓ จากระดับเฉลี่ย ๑๐๒.๒๙ ในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มาอยู่ที่ระดับเฉลี่ย ๑๐๑.๔๔ ในช่วงครึ่งหลังของปี ตามการอ่อนค่าของเงินบาทเทียบกับเงินสกุลหลัก ยกเว้นเงินยูโร สำหรับดัชนีค่าเงินบาทที่แท้จริงที่สะท้อนความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าไทยเทียบกับคู่ค้าคู่แข่งอ่อนค่าลงร้อยละ ๐.๘๒ ตามทิศทางของดัชนีค่าเงินบาทเป็นสำคัญ ขณะที่ระดับราคาสินค้าและบริการของไทยเคลื่อนไหวสอดคล้องกับประเทศคู่ค้าคู่แข่ง ๕. แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ กนง. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จะขยายตัวในอัตราร้อยละ ๔.๙ โดยมีอุปสงค์ภายในประเทศเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากภาวะอุทกภัยจะสามารถฟื้นตัวกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ภายในไตรมาสที่ ๓ ของปี โดยการบริโภคภาคเอกชนจะฟื้นตัวได้เร็ว ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนจะใช้เวลาในการฟื้นตัวเข้าสู่ภาวะปกตินานกว่า สำหรับแรงกดดันเงินเฟ้อในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จะเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๓.๒ และ ๒.๒ ตามลำดับ โดยในช่วงครึ่งปีหลังแรงกดดันเงินเฟ้อจากต่างประเทศจะชะลอลง อย่างไรก็ตาม แรงกดดันจากปัจจัยภายในประเทศจะเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
|
||||||||||||||||||||||||
934 | สรุปผลการประชุมหารือเพื่อติดตามภาวะเศรษฐกิจ ครั้งที่ 5/2555 | นร | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมหารือเพื่อติดตามภาวะเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๕ โดยที่ประชุมได้รับทราบสถานการณ์เศรษฐกิจในภาพรวม และวิกฤติเศรษฐกิจยูโร พร้อมทั้งได้มีมติเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เสนอ ดังนี้
๑. ให้มีคณะทำงานสำหรับการติดตามผลกระทบจากวิกฤตการเงินในยุโรป จำนวน ๓ คณะ ดังนี้ ๑.๑ การประชุมหารือเพื่อติดตามภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธาน จัดประชุมทุกสัปดาห์ แล้วนำเสนอผลการพิจารณาต่อที่ประชุมหารือเพื่อติดตามภาวะเศรษฐกิจที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในสัปดาห์ถัดไป ๑.๒ คณะทำงานติดตามภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธาน จัดประชุมทุกสัปดาห์ แล้วนำเสนอผลการพิจารณาต่อที่ประชุมหารือเพื่อติดตามภาวะเศรษฐกิจที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในสัปดาห์ถัดไป ๑.๓ คณะทำงานร่วมระหว่างสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อติดตามภาวะเศรษฐกิจในประเด็นที่เกี่ยวข้องรายวัน รายสัปดาห์ โดยให้จัดทำ Template เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รายงานสถานการณ์ในรูปแบบเดียวกัน รวมทั้งวิเคราะห์สถานการณ์และกำหนด Trigger point เพื่อช่วยในการติดตามสถานการณ์และดำเนินมาตรการในกรณีต่าง ๆ ที่จำเป็นได้อย่างทันท่วงที รวมทั้งศึกษาผลกระทบของการส่งออกของไทยไปกลุ่มยูโรโซนทั้งทางตรงและทางอ้อมแยกรายสาขาที่สำคัญ ๒. ให้กระทรวงการคลังติดตามข้อมูลผู้ประกอบการที่ทำการค้ากับประเทศในกลุ่มยูโรโซนโดยใช้ฐานข้อมูลลูกค้าของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ๓. ให้กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงคมนาคม เสนอแนะแนวทางการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของรัฐวิสาหกิจให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงค่าเงิน ๔. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงแรงงาน และกระทรวงพาณิชย์ เตรียมมาตรการรองรับผลกระทบที่คาดว่าอาจจะเกิดขึ้นใน ๔ อุตสาหกรรม ได้แก่ สิ่งทอ อิเล็กทรอนิกส์ อัญมณี และยานยนต์
|
||||||||||||||||||||||||
935 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 5/2555 | นร | 19/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๕ ณ จังหวัดชลบุรี ซึ่งได้มีการพิจารณาข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๕ ณ จังหวัดชลบุรี และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ข้อเสนอของ กกร./สทท. จำนวน ๕ เรื่อง ได้แก่ ๒.๑.๑ ข้อเสนอมาตรการและกลไกเพื่อบูรณาการและเสริมสร้างความเข้มแข็งพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง ๒.๑.๑.๑ เห็นชอบข้อเสนอมาตรการระยะสั้น ตามที่ กกร. เสนอ โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักในการรับไปพิจารณาแก้ไขปัญหาอุปสรรคและระยะเวลาการพิจารณาโครงการที่เหมาะสมให้สอดคล้องกับการปฏิบัติตามมาตรา ๖๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมประสานกระทรวงคมนาคมเพื่อพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาความแออัดของเรือสินค้าที่ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ รวมทั้งให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบขนส่งทางรางในเส้นทางสายตะวันออก เพื่อให้สามารถจูงใจให้ผู้ประกอบการเปลี่ยนแปลงรูปแบบจากการขนส่งทางถนนสู่รางได้ตามเป้าหมายต่อไป ๒.๑.๑.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณารูปแบบการจัดตั้งกลไกระดับชาติและระดับจังหวัดเพื่อขับเคลื่อนการบริหารจัดการความปลอดภัยและกำกับภาวะฉุกเฉินในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง ๒.๑.๒ การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ๒.๑.๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กองทัพเรือ และภาคเอกชน ศึกษาความเหมาะสมในการเปิดใช้สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา - พัทยา ในเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบ ๒.๑.๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาความเหมาะสมในการก่อสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูงของภาคตะวันออก สายกรุงเทพฯ - ระยอง เพื่อให้การก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยเร่งรัดการจัดทำข้อกำหนดการดำเนินโครงการ (TOR) ให้สามารถประกวดราคาได้ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๒.๑.๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาความเหมาะสมของการขยายเส้นทางและช่องจราจรในพื้นที่ภาคตะวันออกให้แล้วเสร็จภายใน ๓ สัปดาห์ และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๓ การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ๒.๑.๓.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษารายละเอียดและวิเคราะห์ความเหมาะสมในการขยายเวลาการเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราว/ถาวร ด่านชายแดนไทย - กัมพูชา จังหวัดจันทบุรี ตราด และสระแก้ว ให้เป็นไปตามระเบียบและขั้นตอนของกฎหมายต่อไป ๒.๑.๓.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับภาคเอกชนประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำข้อเสนอให้กับกระทรวงมหาดไทยเพื่อพิจารณารายละเอียดการแก้ไขปรับปรุงผังเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมหลักและชุมชนจังหวัดระยอง (ผังมาบตาพุด) เพื่อไม่ให้เกิดข้อขัดแย้งและเตรียมการรองรับการขยายตัวและการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินในอนาคต ๒.๑.๓.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานจังหวัดที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณารายละเอียดโครงการศึกษาแนวทางการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก (จังหวัดระยอง - ฉะเชิงเทรา - ชลบุรี - สมุทรปราการ) โดยเฉพาะความเชื่อมโยงและความซ้ำซ้อนของแผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด ๒.๑.๓.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักประสานส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชนร่วมกันศึกษาความเหมาะสมและจัดทำข้อเสนอแนวทางการบริหารจัดการโครงการสร้างห้องแช่เยือกแข็งผลไม้เพื่อเป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าและส่งออกผลไม้ของภาคตะวันออก ให้แล้วเสร็จภายใน ๑ เดือน และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป ๒.๑.๓.๕ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาทบทวนผลการศึกษาโครงการวางและจัดทำผังอนุภาคกลุ่มจังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด เพื่อประกอบการศึกษารายละเอียดในการพัฒนาเมืองศูนย์กลางกลุ่มจังหวัด “บูรพนา” (ชลบุรี - ระยอง - จันทบุรี - ตราด) เพื่อให้การจัดระเบียบ การกำหนดเขตการใช้ที่ดินและการจัดเตรียมระบบโครงข่ายโครงสร้างพื้นฐานของพื้นที่เมืองศูนย์กลางธุรกิจของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกมีความสอดคล้องเหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่ ๒.๑.๔ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒.๑.๔.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานพิจารณาในรายละเอียดของโครงการพัฒนาแหล่งน้ำตามแผนการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ พื้นที่ภาคตะวันออก เพื่อขอรับการสนับสนุนตามระเบียบและขั้นตอนให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายที่กำหนดต่อไป ๒.๑.๔.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน และคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) พิจารณาความคุ้มค่าและความเหมาะสมในรายละเอียดของโครงการจัดสร้างอาคารศูนย์ปฏิบัติการน้ำภาคตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดรูปแบบและกลไกการบริหารจัดการโครงการฯ รวมถึงการบูรณาการจัดทำฐานข้อมูลน้ำร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่สามารถเชื่อมโยงไปยังส่วนกลางได้ ๒.๑.๔.๓ ให้กระทรวงมหาดไทย โดยการประปาส่วนภูมิภาคพิจารณาในรายละเอียดของโครงการก่อสร้างระบบส่งน้ำจากอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล - โรงผลิตน้ำประปาระยอง โดยหารือกับกรมชลประทาน ผู้ประกอบการ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ด้วย ๒.๑.๕ การส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการ ๒.๑.๕.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงคมนาคมร่วมกันพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมในการดำเนินโครงการก่อสร้างถนนรอบเกาะช้างในส่วนที่ยังขาดอยู่ช่วงบ้านบางเบ้า - บ้านสลักเพชร ให้แล้วเสร็จ โดยคำนึงถึงการประหยัดและงบประมาณด้วย ๒.๑.๕.๒ ให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงแรงงานจัดประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมกับภาคเอกชนเพื่อร่วมกันวางแผนการพัฒนาทักษะด้านภาษาต่างประเทศให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการในระยะ ๓ ปี ข้างหน้า ๒.๑.๕.๓ ให้กระทรวงการคลังพิจารณามาตรการจูงใจให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการฝึกอบรมทักษะด้านภาษาต่างประเทศแก่แรงงาน ๒.๑.๕.๔ ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทยพิจารณาความเหมาะสมในการจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับท้องถิ่น โดยคำนึงถึงจำนวนประชากรที่อาศัยอยู่จริงและจำนวนสถานประกอบการที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในท้องถิ่นนั้น ๆ ๒.๒ เรื่องอื่น ๆ ที่ภาคเอกชนเสนอเพิ่มเติม ได้แก่ ๒.๒.๑ รับทราบเรื่อง ผลักดันการก่อสร้างท่าเทียบเรืออเนกประสงค์ คลองใหญ่ จังหวัดตราด โดยการผ่อนปรนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างนำเสนอเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ ๒.๒.๒ รับทราบผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมทางการค้าเศรษฐกิจไทย - ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๒๒ (22nd Japan-Thailand Joint Trade and Economic Committee Meeting) และให้ กกร. จัดส่งรายละเอียดให้กระทรวงการต่างประเทศต่อไป ๒.๒.๓ รับทราบการสนับสนุนกลไกดำเนินการของสมาคมขนส่งในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS-FRETA) และให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมการขนส่งทางบกเป็นหน่วยงานประสานหลักในการเชื่อมโยงการทำงานร่วมกับภาครัฐต่อไป ๒.๒.๔ รับทราบร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. .... (ผลกระทบตามประกาศ FATF) และให้กระทรวงยุติธรรมรับไปพิจารณาแต่งตั้งผู้แทนจากสภาธุรกิจตลาดทุนไทยเข้าร่วมในคณะทำงานเพื่อรับผิดชอบเรื่องดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
936 | สรุปผลการประชุมหารือเพื่อติดตามภาวะเศรษฐกิจ ครั้งที่ 4/2555 | นร | 19/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมหารือเพื่อติดตามภาวะเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ โดยที่ประชุมได้รับทราบสรุปสถานการณ์ เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และวิกฤติเศรษฐกิจยูโรโซน พร้อมทั้งมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เสนอ และให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง รับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ดังนี้
๑. ปัญหาของกรีซเป็นปัญหาจากการที่ประเทศซึ่งมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจต่างกันเข้ามาร่วมใช้เงินสกุลเดียวกัน ส่งผลให้ขาดนโยบายการเงินในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ เช่น ไม่สามารถลดค่าเงินให้เหมาะสมได้ จำเป็นต้องพึ่งนโยบายการคลังเพียงอย่างเดียว ดังนั้น การช่วยเหลือกรีซโดยการให้เงินกู้เพิ่มเติมก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาได้ และอาจจะลุกลามไปถึงโปรตุเกส สเปน และอิตาลี และส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกในที่สุด จึงเป็นความเสี่ยงที่ต้องระมัดระวัง ๒. อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปัจจุบันอยู่ในระดับที่เหมาะสม เนื่องจากยังมีความเสี่ยงที่สถานการณ์เศรษฐกิจในยุโรปอาจส่งผลให้มีเงินไหลออกจากประเทศแถบเอเชีย รวมถึงประเทศไทย ๓. ควรมีการวางแผนเตรียมการรองรับผลกระทบทางการเงินที่อาจเกิดขึ้น โดยมีข้อมูลของสถาบันการเงินในประเทศแต่ละแห่งว่ามีเงินจากยุโรปที่มีความเสี่ยงที่จะไหลออกอยู่เท่าไร และเตรียมการบริหารสภาพคล่องให้เพียงพอในกรณีที่มีเงินไหลออกเพื่อมิให้กระทบต่อค่าเงินและเศรษฐกิจไทย และในกรณีที่เศรษฐกิจยุโรปกระทบต่อเศรษฐกิจไทย และส่งผลให้ลูกหนี้ของธนาคารประสบปัญหา ควรเตรียมมาตรการผ่อนปรนเงื่อนไขการจัดชั้นเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ให้พร้อม ๔. กระทรวงการคลังควรเตรียมการล่วงหน้าถึงกรณีที่วิกฤติเศรษฐกิจยุโรปกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่าจะมีมาตรการใดเหมาะสมที่จะดำเนินการ เช่น การจัดตั้งกองทุนพยุงหุ้น เป็นต้น ๕. กระทรวงพาณิชย์ควรวิเคราะห์ข้อมูลการส่งออกของไทยที่ส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ ในยุโรป และความเชื่อมโยงถึงห่วงโซ่การผลิตในประเทศลงไปถึงระดับผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดย่อม (SMEs) เพื่อเตรียมช่วยเหลือในกรณีที่วิกฤติเศรษฐกิจยุโรปส่งผลถึงการส่งออกและภาคการผลิตของไทย ๖. กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาแต่งตั้งผู้แทนพิเศษของไทยในยุโรป ที่คอยติดตามข้อมูลเชิงลึกของสถานการณ์ และประสานกับรัฐบาลของประเทศในยุโรปให้เห็นถึงความสำคัญของประเทศไทย เช่น โอกาสการลงทุนในโครงการต่าง ๆ ของไทย ที่จะนำเข้าเครื่องมือเครื่องจักรจากยุโรป เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ประเทศในยุโรปใช้มาตรการกีดกันการค้าในช่วงเศรษฐกิจยุโรปประสบปัญหา ๗. กระทรวงแรงงานควรเตรียมมาตรการช่วยเหลือแรงงานหากประสบปัญหาการเลิกจ้างของอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจยุโรป ๘. ควรให้มีการประชุมหารือระหว่างรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ ๙ กระทรวง ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพลังงาน กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงแรงงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประจำทุกสัปดาห์เพื่อติดตามสถานการณ์และเตรียมมาตรการรองรับได้ทันท่วงที ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีที่ได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นเจ้าภาพ ๙. ควรมอบหมายกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติตั้งทีมงานติดตามสถานการณ์และรายงานข้อมูลอย่างใกล้ชิดต่อนายกรัฐมนตรี ๑๐. ควรแสวงหาโอกาสจากวิกฤติ เช่น เร่งรัดโครงการลงทุนที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศในช่วงที่เงินทุนในโลกต้องการหาแหล่งเงินลงทุนนอกยุโรป
|
||||||||||||||||||||||||
937 | สรุปรายงานภาวะสังคมไตรมาสหนึ่ง ปี 2555 | นร | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานภาวะสังคมไตรมาสหนึ่ง ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจ้างงาน และรายได้ ๑.๑ ในไตรมาส ๑/๒๕๕๕ การจ้างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๒ จำแนกเป็นการจ้างงานภาคเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๕ เนื่องจากเกษตรกรเลื่อนปลูกข้าวนาปรังจากช่วงน้ำท่วมมาเป็นไตรมาสนี้ และราคาพืชไร่อื่น ๆ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกษตรกรขยายการเพาะปลูกเพิ่มขึ้น และการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๕ จากการจ้างงานสาขาการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ ๖.๓ เนื่องจากแรงงานในพื้นที่น้ำท่วมได้ทยอยกลับเข้าสู่สถานประกอบการโดยเฉพาะสถานประกอบการที่ใช้เทคโนโลยีต่ำ ๑.๒ อัตราการว่างงานในไตรมาส ๑/๒๕๕๕ เท่ากับร้อยละ ๐.๗๓ หรือมีผู้ว่างงาน ๒๗๕,๑๕๐ คน ต่ำกว่าอัตราร้อยละ ๐.๘๓ ในช่วงเดียวกันปีที่แล้ว แต่มีการว่างงานแฝงมากขึ้น โดยมีอัตราการว่างงานแฝงร้อยละ ๑.๔๔ คิดเป็นจำนวน ๕๕๗,๕๔๐ คน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ ๒๙.๒ จำแนกเป็นผู้ที่ทำงานน้อยกว่า ๓๐ ชั่วโมงต่อสัปดาห์และต้องการทำงานเพิ่มขึ้น จำนวน ๑๑๑,๗๕๕ คน และแรงงานรอฤดูกาล จำนวน ๔๔๕,๗๘๕ คน ๑.๓ ค่าจ้างแรงงานและเงินเดือนภาคเอกชนที่ยังไม่รวมค่าล่วงเวลาและผลประโยชน์ตอบแทนอื่นเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๕.๑ จากการปรับค่าจ้างแรงงานเพื่อดึงดูดพนักงานโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดใหญ่เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานกึ่งฝีมือจำนวนมาก แต่ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ ๓.๔ ทำให้ค่าจ้างแท้จริงเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๑.๔ ๒. ด้านการศึกษา คุณภาพการศึกษายังเป็นปัญหาเร่งด่วน การประเมินผลการสอบ ONET ในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๕๔ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชาหลัก (ภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์) ไม่ถึงร้อยละ ๕๐ จึงต้องยกระดับคุณภาพการศึกษาของเด็กไทยอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการสร้างความตระหนักและเตรียมความพร้อมด้านภาษาอังกฤษให้กับเยาวชน เพื่อเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน รวมทั้งการยกระดับความรู้วิชาพื้นฐานเพื่อการเข้าสู่การเรียนรู้วิชาชีพและการศึกษาที่สูงขึ้น ๓. ด้านสุขภาพ การเจ็บป่วยด้วยโรคมือ เท้า ปาก มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยผู้ป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังเพิ่มขึ้นร้อยละ ๖.๑๑ จากไตรมาส ๑/๒๕๕๔ โดยเฉพาะโรคมือ เท้า ปาก พบผู้ป่วยมากกว่า ๔,๐๐๐ ราย เพิ่มเกือบ ๖ เท่าตัว ด้านสุขภาพจิตมีคนไทยให้ความสนใจปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตจำนวนมากขึ้น ส่วนใหญ่ขอปรึกษาปัญหาความเครียด ๑๒๔,๙๘๔ ราย และผลสำรวจแสดงความสุขมวลรวมของคนไทยลดลงในเดือนมีนาคม นอกจากนี้ ยังพบคนไทยใช้ยาเกินความจำเป็นส่งผลอันตรายต่อสุขภาพ ค่าใช้จ่ายจากการใช้ยาของคนไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มีมูลค่า ๑๓๔,๒๗๖ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ร้อยละ ๒๒.๓ ๔. ด้านพฤติกรรมและความเป็นอยู่ของคนในสังคมไทย มีประเด็นเฝ้าระวัง ได้แก่ ๔.๑ พฤติกรรมเสี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ยังต้องเฝ้าระวังต่อเนื่อง มีผู้สูบบุหรี่ถึง ๑๑.๕ ล้านคน หรือร้อยละ ๒๑.๕ และมีพฤติกรรมการสูบบุหรี่เป็นประจำเพิ่มขึ้น ในขณะที่การดื่มสุราพบในกลุ่มวัยทำงาน ๒๕ - ๕๙ ปี และวัยสูงอายุมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดพฤติกรรมเสี่ยงนำไปสู่การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ หรือความเสี่ยงต่อการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ๔.๒ หนี้สินครัวเรือนในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ อยู่ในภาวะทรงตัว เมื่อเทียบกับปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ครัวเรือนที่มีหนี้สินร้อยละ ๕๕.๘ ของครัวเรือนรวม ลดลงร้อยละ ๖๐.๙ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ และจำนวนหนี้สินเฉลี่ยเท่ากับ ๑๓๔,๙๐๐ บาทต่อครัวเรือน สำหรับหนี้สินครัวเรือนในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น มีเครื่องบ่งชี้คือ (๑) การก่อหนี้รายย่อยมีมากขึ้น จากยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิต ณ สิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๐.๘ จากเพิ่มขึ้นร้อยละ ๖.๔ ในเดือนเดียวกันปีที่แล้ว และจากเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕.๘ ในเดือนธันวาคม ๒๕๕๔ (๒) ยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตเกิน ๓ เดือนขึ้นไป ณ สิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๓.๗ จากเพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๗ ในเดือนเดียวกันปีที่แล้ว และจากการเพิ่มขึ้นร้อยละ ๘.๕ ในเดือนธันวาคม ๒๕๕๔ และการให้สินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลของธนาคารพาณิชย์ที่ยังเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อการเช่าซื้อรถยนต์และสินเชื่อเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลอื่น ๆ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากเหตุการณ์อุทกภัยในช่วงปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ทำให้ประชาชนที่ประสบอุทกภัยต้องกู้เงินเพื่อนำมาซ่อมแซมและฟื้นฟูที่อยู่อาศัย รวมถึงเครื่องใช้ในครัวเรือน และรถยนต์ ที่ได้รับความเสียหาย ๕. ด้านความมั่นคงทางสังคม มีประเด็นเฝ้าระวัง ได้แก่ ๕.๑ คดียาเสพติดเริ่มลดลง จากไตรมาสหนึ่งปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และไตรมาสสี่ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ร้อยละ ๓.๑ และ ๕.๖ เป็นผลจากการดำเนินงานเชิงรุกเพื่อป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติด แต่ยังต้องเร่งฟื้นฟูผู้เสพ/ผู้ติดยาที่คาดว่าจะมีถึง ๑.๗ ล้านคนในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ขณะที่คดีชีวิตร่างกายและเพศและคดีประทุษร้ายต่อทรัพย์เพิ่มขึ้นจากไตรมาสสี่ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ร้อยละ ๔.๑ และ ๓.๙ และการกระทำผิดเกี่ยวกับการพนันเพิ่มขึ้นจากไตรมาสสี่ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ร้อยละ ๑๐.๒ ๕.๒ พฤติกรรมการกระทำความรุนแรงต่อเด็กและสตรีมีแนวโน้มที่น่าเป็นห่วง ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มีผู้หญิงถูกทำร้ายร่างกายเพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ถึง ๒.๒ เท่า ส่วนใหญ่ถูกกระทำความรุนแรงจากคู่สมรสและแฟน สาเหตุหลักจากความสัมพันธ์ในครอบครัวและการใช้สารกระตุ้น การแก้ไขปัญหาจะต้องเกิดจากผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการป้องกันและการแก้ไขปัญหาด้านพฤติกรรมความรุนแรงมากยิ่งขึ้นอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ๕.๓ ผู้บริโภคได้รับอันตรายจากการบริโภคสินค้าโดยไม่รู้ตัวหรือขาดความรู้ถึงผลกระทบ เช่น มีการใช้พลาสติกชนิดโพลีคาร์บอนเนตซึ่งมีสารบิสฟีนอลเอ (BPA) เป็นส่วนประกอบมาใช้ผลิตขวดนมเด็ก เป็นต้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องบูรณาการการดำเนินงานและแก้ไขปัญหาทั้งการให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกที่เหมาะสม การสร้างความตระหนักเกี่ยวกับพิษภัยจากการปนเปื้อน ตลอดจนการยกเลิกใช้วัสดุที่เป็นอันตรายในผลิตภัณฑ์
|
||||||||||||||||||||||||
938 | ขออนุมัติแผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ พ.ศ. 2555 - 2557 | สธ | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติแผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ เพื่อผลักดันให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบและทิศทางในการดำเนินการควบคุมยาสูบ เพื่อมุ่งสู่สังคมไทยปลอดบุหรี่ และสุขภาพที่ดีของประชาชน โดยมียุทธศาสตร์ที่สำคัญในการดำเนินการควบคุมการบริโภคยาสูบของประเทศ ประกอบด้วย ๘ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ๑.๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การป้องกันมิให้เกิดผู้บริโภคยาสูบรายใหม่ ประกอบด้วย ๓ ยุทธวิธี ได้แก่ การให้ความรู้ การปกป้องเด็กและเยาวชนจากความเย้ายวน และการขจัดการเข้าถึง ๑.๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การส่งเสริมให้ผู้บริโภคลด และเลิกใช้ยาสูบ ประกอบด้วย ๕ ยุทธวิธี ได้แก่ การส่งเสริมการเลิกบริโภคยาสูบ การส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนาบุคลากรและเครือข่ายให้มีองค์ความรู้ในการช่วยให้เลิกยาสูบ การส่งเสริมสนับสนุนให้มีการบริการเลิกยาสูบอย่างเป็นเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน การสร้างและนำมาตรฐานการดูแลรักษาโรคติดยาสูบระดับชาติไปใช้เป็นแนวทางให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพ และการส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนาการเข้าถึงยาช่วยเลิกยาสูบ ๑.๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การลดพิษภัยของผลิตภัณฑ์ยาสูบ ประกอบด้วย ๔ ยุทธวิธี ได้แก่ การปรับกฎกระทรวง พ.ศ. ๒๕๔๐ ว่าด้วยการแจ้งรายการส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ยาสูบประเภทบุหรี่ซิกาแรตหรือบุหรี่ซิการ์ การสร้างกระบวนการบริหารจัดการข้อมูลส่วนประกอบผลิตภัณฑ์ยาสูบ การสร้างกลไกให้บริษัทบุหรี่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงฯ และการติดตามเฝ้าระวังและเผยแพร่ข้อมูลสารอันตรายของผลิตภัณฑ์ฯ ๑.๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การสร้างสิ่งแวดล้อมให้ปลอดควันบุหรี่ ประกอบด้วย ๖ ยุทธวิธี ได้แก่ การปรับปรุงกฎหมายให้สถานที่สาธารณะและสถานที่ทำงานทุกแห่งปลอดควันบุหรี่ ๑๐๐% การส่งเสริมสนับสนุนให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายในทุกที่ที่กำหนดให้ปลอดควันบุหรี่ การปรับเปลี่ยนค่านิยมของการบริโภคยาสูบเพื่อให้การไม่สูบบุหรี่ในบ้าน สถานที่ทำงาน และสถานที่สาธารณะเป็นบรรทัดฐานของสังคมไทย การดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและมีประสิทธิภาพ การศึกษาวิจัยและพัฒนาให้ได้องค์ความรู้และข้อมูลสนับสนุนการสร้างสิ่งแวดล้อมปลอดควันบุหรี่และการบังคับใช้กฎหมาย และการเฝ้าระวังและควบคุม กำกับและประเมินผลการสร้างสิ่งแวดล้อมปลอดควันบุหรี่ ๑.๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ การสร้างเสริมความเข้มแข็งและพัฒนาขีดความสามารถในการดำเนินงานควบคุมยาสูบของประเทศ ประกอบด้วย ๖ ยุทธวิธี ได้แก่ การพัฒนานโยบายและภาวะการนำในการควบคุมยาสูบ การพัฒนาโครงสร้างและระบบบริหารจัดการหน่วยงานควบคุมยาสูบ การพัฒนาระบบเฝ้าระวังการควบคุมกำกับและประเมินผลการควบคุมยาสูบ การสนับสนุนการศึกษาวิจัยและจัดการความรู้และด้านการควบคุมยาสูบ การเสริมสร้างขีดความสามารถและขยายเครือข่ายในการควบคุมยาสูบของภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และการเสริมสร้างขีดความสามารถและขยายเครือข่ายในการควบคุมยาสูบระดับภูมิภาค ๑.๑.๖ ยุทธศาสตร์ที่ ๖ การควบคุมการค้าผลิตภัณฑ์ยาสูบที่ผิดกฎหมาย ประกอบด้วย ๔ ยุทธวิธี ได้แก่ การป้องกันและปราบปรามยาสูบผิดกฎหมาย การควบคุมแหล่งจัดหา การดำเนินการสำหรับผู้กระทำความผิดและบทลงโทษ และความร่วมมือระหว่างประเทศ ๑.๑.๗ ยุทธศาสตร์ที่ ๗ การแก้ปัญหาการควบคุมยาสูบโดยใช้มาตรการทางภาษี ประกอบด้วย ๓ ยุทธวิธี ได้แก่ การปรับปรุงโครงสร้างภาษียาสูบ การปรับปรุงระบบการบริหารจัดเก็บภาษียาสูบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมยาสูบ และการลดสิทธิประโยชน์ทางภาษีผลิตภัณฑ์ยาสูบ ๑.๑.๘ ยุทธศาสตร์ที่ ๘ การเฝ้าระวังและควบคุมอุตสาหกรรมยาสูบ ประกอบด้วย ๗ ยุทธวิธี ได้แก่ การป้องกันอุตสาหกรรมยาสูบเข้ามาแทรกแซงนโยบายว่าด้วยการควบคุมยาสูบ การตรวจสอบอุตสาหกรรมยาสูบ (บริษัทบุหรี่ข้ามชาติและโรงงานยาสูบ กลุ่มบังหน้า และกลุ่มผลประโยชน์ร่วมกัน) การเฝ้าระวังและดำเนินการกับผลิตภัณฑ์ยาสูบรูปแบบใหม่ (เช่น บุหรี่ไร้ควัน และบุหรี่ชูรส ฯลฯ) และผลิตภัณฑ์ยาสูบแปลงร่าง การเฝ้าระวังและดำเนินการกับตลาดรูปแบบใหม่ต่าง ๆ เช่น Below the Line marketing การเฝ้าระวังและดำเนินการด้านความรับผิดชอบขององค์กรธุรกิจต่อสังคมของบริษัทบุหรี่และโรงงานยาสูบ การทำให้ยาสูบเป็นสิ่งที่ไม่ปกติ และการเป็นคดีความ ๑.๒ เห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามแผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ และให้จัดทำแผนปฏิบัติการและงบประมาณรองรับแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวไว้ในแผนปฏิบัติราชการประจำปี ๑.๓ เห็นชอบให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาให้ความสำคัญในการจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินงานและบริหารจัดการเพื่อให้เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการเพิ่มบทบาทของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในการป้องกันและลดจำนวนประชาชนผู้บริโภคยาสูบให้เกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม โดยให้มีตัวชี้วัดผลสำเร็จที่ชัดเจนเพื่อให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่และงบประมาณที่ได้รับ การกำหนดยุทธศาสตร์ลดการนำเข้าใบยาสูบจากต่างประเทศและลดผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบภายในประเทศ การกำหนดยุทธศาสตร์สนับสนุนและส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชชนิดอื่นทดแทนการปลูกยาสูบ รวมทั้งความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายและแหล่งที่มา เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณแผ่นดิน และจาก สสส. การให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีเพื่อรองรับการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ ตามความจำเป็นและความเหมาะสม การประสานการดำเนินงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย ระเบียบ ด้านการควบคุมยาสูบ การกำหนดเรื่องการควบคุมยาสูบโดยเน้นเรื่องเพศหรือบทบาทของผู้หญิงกับบุหรี่เพิ่มมากขึ้น การใช้มาตรการทางกฎหมายโดยเฉพาะการห้ามจำหน่ายบุหรี่แบ่งมวนเพื่อจำกัดการเข้าถึงยาสูบของเยาวชน และการดำเนินคดีกับร้านค้าที่ขายบุหรี่ให้เยาวชนอายุต่ำกว่า ๑๘ ปี การหาแนวทางให้ผู้สูบบุหรี่มีส่วนร่วมจ่ายในค่ารักษาพยาบาลสำหรับการเข้าถึงยาช่วยเลิกยาสูบในระบบหลักประกันสุขภาพ และการเก็บภาษียาสูบประเภทยาเส้นหรือบุหรี่มวนเองให้มากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
939 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรก และแนวโน้มปี 2555 | นร | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรก และแนวโน้มปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรก ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ขยายตัวร้อยละ ๐.๓ เทียบกับที่หดตัวร้อยละ ๘.๙ ในไตรมาสที่ ๔ ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการผลิต การบริโภค การลงทุน และการท่องเที่ยว รวมทั้งภาคอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๑.๑ การบริโภคภาคครัวเรือน ขยายตัวร้อยละ ๒.๗ ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนที่หดตัวร้อยละ ๒.๘ เป็นผลมาจากการใช้จ่ายเพื่อซ่อมแซมทรัพย์สินและซื้อสินค้าเพื่อทดแทนส่วนที่ได้รับความเสียหายจากสถานการณ์อุทกภัยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ รวมทั้งความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ของภาครัฐ เช่น มาตรการคืนเงินภาษีรถยนต์คันแรก และการปรับขึ้นของค่าจ้างขั้นต่ำและเงินเดือนข้าราชการ เป็นต้น ๑.๒ การลงทุนภาคเอกชน ขยายตัวร้อยละ ๙.๒ ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนที่หดตัวร้อยละ ๑.๓ เป็นผลมาจากการขยายตัวของการลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักรเพื่อซ่อมแซมและทดแทนความเสียหายที่เกิดจากอุทกภัย ๑.๓ ภาคการท่องเที่ยว จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาเมืองไทย มีจำนวน ๕.๗ ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ ๗.๑ สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว จำนวน ๒๕๘,๑๐๒ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ ๙.๗ อัตราการเข้าพักอยู่ที่ระดับร้อยละ ๖๖.๘ ปรับตัวสูงขึ้นจากร้อยละ ๖๔.๗ ในไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา ๑.๔ ภาคเกษตรกรรม ขยายตัวร้อยละ ๒.๘ ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัวร้อยละ ๑.๖ เนื่องจากการขยายตัวของผลผลิตทางการเกษตรที่สำคัญ เช่น ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง และยางพารา ในขณะที่ผลผลิตข้าวเปลือกลดลง อย่างไรก็ตาม ราคาสินค้าเกษตรลดลงร้อยละ ๑๒.๒ ทำให้รายได้เกษตรกรหดตัวร้อยละ ๑๐.๙ เทียบกับไตรมาสก่อนที่หดตัวร้อยละ ๒.๓ ๑.๕ ภาคอุตสาหกรรม หดตัวร้อยละ ๔.๒ ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนที่หดตัวร้อยละ ๒๑.๖ เนื่องจากโรงงานอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัยสามารถเริ่มทำการผลิตได้อีกครั้งโดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยอัตราการใช้กำลังการผลิตรวมอยู่ที่ระดับร้อยละ ๖๓.๐ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ ๔๖.๓ ในไตรมาสก่อน ๑.๖ ภาคการส่งออก มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐ ในไตรมาสนี้คิดเป็นมูลค่า ๕๓,๘๐๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๔.๐ ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนที่หดตัวร้อยละ ๕.๒ โดยสินค้าส่งออกสำคัญ เช่น ยานยนต์เริ่มกลับมาขยายตัว (ร้อยละ ๒.๖) ในขณะที่สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าเริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยหดตัวน้อยลงจากไตรมาสก่อนหน้า ตลาดส่งออกหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา และอาเซียน ยังขยายตัวได้ดีในอัตราร้อยละ ๒.๑ และ ๙.๒ ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไปยังตลาดสำคัญ เช่น สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ยังคงหดตัวร้อยละ ๑๖.๙ และ ๗.๐ ตามลำดับ ราคาการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๑ ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี พ.ศ. ๒๕๕๕ คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ ๕.๕ - ๖.๕ โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนจากการเร่งตัวของการผลิตภาคอุตสาหกรรม การฟื้นตัวของการอุปโภคบริโภค และการลงทุนภายในประเทศ ในขณะที่แรงกดดันต่อภาวะเงินเฟ้อเริ่มผ่อนคลายเนื่องจากราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี แม้ว่าจะยังมีความเสี่ยงเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจในยุโรป แต่คาดว่าเศรษฐกิจโลกโดยรวมยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ คาดว่าในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ ๓.๕ - ๔.๐ การบริโภคครัวเรือนขยายตัวร้อยละ ๔.๕ การลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๑๒.๓ มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐขยายตัวร้อยละ ๑๕.๑ และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลประมาณร้อยละ ๐.๗ ของ GDP
|
||||||||||||||||||||||||
940 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนเมษายน 2555 | พณ | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนเมษายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนเมษายน ๒๕๕๕ เทียบกับเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๔๒ (เดือนมีนาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๕๙) จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาสินค้าหมวดอาหาร และเครื่องดื่ม ร้อยละ ๐.๖๕ และหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๐.๒๖ เป็นผลมาจากการสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องของราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงตามการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันตามนโยบายรัฐบาล ส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวสูงขึ้นตามต้นทุนการผลิต โดยสินค้าที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ สินค้าประเภท ข้าวสารเจ้า เนื้อสุกร ปลาน้ำจืด นมและผลิตภัณฑ์นม ผลไม้สด อาหารสำเร็จรูป เครื่องแบบนักเรียน ค่าวัสดุก่อสร้าง ค่าน้ำประปา สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด ค่าของใช้ส่วนบุคคล ยานพาหนะและน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นต้น ขณะที่สินค้าประเภทผักสด ไก่สด ปลาน้ำทะเลสด ไข่ไก่ ไข่เป็ด และบริภัณฑ์อื่น ๆ (เครื่องปรับอากาศ เครื่องทำน้ำอุ่น) มีราคาลดลงตามภาวะตลาด ๒. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนเมษายน ๒๕๕๕ เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๐ (เดือนมีนาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๓๓) โดยมีผลกระทบมาจากการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ ค่าของใช้ส่วนบุคคล วัสดุก่อสร้าง ค่าน้ำประปา สิ่งทอสำหรับใช้ในบ้าน สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด ค่ายาและเวชภัณฑ์ สำหรับสินค้าที่มีราคาลดลง ได้แก่ ผ้าและเสื้อผ้า และเครื่องบริภัณฑ์อื่น ๆ (เครื่องปรับอากาศ เครื่องทำน้ำอุ่น) เป็นต้น
|
.....