ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 44 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 861 - 880 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
861 | การแก้ไขปัญหาและติดตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ | นร05 | 25/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ส่งผลกระทบให้เกิดความแปรปรวนของฤดูกาล ภัยแล้ง น้ำท่วม ที่อาจจะเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ซึ่งในขณะนี้ได้เกิดปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้หลายจังหวัด ขณะที่ภาคเหนือมีน้ำน้อยลง ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือประสบกับภาวะภัยแล้ง สำหรับกรุงเทพมหานครในปีนี้แม้น้ำจะไม่ท่วม แต่ก็มีปริมาณน้ำฝนสูงสุดในรอบ ๓๐ ปี จากสภาพการณ์เปลี่ยนแปลงดังกล่าว จำเป็นที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติงานเพื่อให้สามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสมสอดคล้องกับข้อเท็จจริง จึงขอให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตรวจสอบและติดตามสถานการณ์และปริมาณน้ำทั้งในพื้นที่ต่างๆ ทั่วทุกภาค และเตรียมการกำหนดแนวทางการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถรองรับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปดังกล่าวได้อย่างเป็นระบบและทันต่อสถานการณ์ และให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือและดูแลผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ รวมทั้งผู้ประสบภัยหนาวในพื้นที่ภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือให้รวดเร็วและทั่วถึงด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
862 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนพฤศจิกายน 2555 | พณ | 25/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศ และรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๑๖.๔๑ เทียบกับเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๑๖.๘๒ ลดลง ร้อยละ ๐.๓๕ (เดือนตุลาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้น ร้อยละ ๐.๑๓) จากการลดลงของดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๐.๘๖ เนื่องจากการลดลงของหมวดผักและผลไม้ นมและผลิตภัณฑ์นม และเครื่องปรุงอาหาร ขณะที่สินค้าประเภทข้าวแป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง เนื้อสัตว์ เป็ดไก่ และสัตว์น้ำ และอาหารสำเร็จรูป มีราคาสูงขึ้น สำหรับดัชนีหมวดอื่นๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มลดลง ร้อยละ ๐.๐๒ ตามการลดลงของราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นสำคัญ ๒. พิจารณาเทียบกับดัชนีราคาเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ สูงขึ้น ร้อยละ ๒.๗๔ จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๑.๙๒ โดยดัชนีราคาหมวดข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้งสูงขึ้น ร้อยละ ๑.๓๔ ปลาและสัตว์น้ำ ร้อยละ ๓.๕๓ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๓.๒๑ เครื่องประกอบอาหาร ร้อยละ ๒.๓๔ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๒.๗๕ และอาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๓.๕๐ สำหรับดัชนีราคาหมวดอื่นๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้น ร้อยละ ๓.๒๗ จากการสูงขึ้นของหมวดเคหสถาน ร้อยละ ๓.๓๖ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ร้อยละ ๐.๙๙ หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล ร้อยละ ๑.๑๓ หมวดพาหนะ การขนส่ง และการสื่อสาร ร้อยละ ๔.๑๙ หมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๗.๖๔ หมวดการบันเทิงการอ่าน การศึกษาและการศาสนา ร้อยละ ๐.๕๐ ๓. พิจารณาดัชนีเฉลี่ย ๑๑ เดือนของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เทียบกับระยะเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สูงขึ้น ร้อยละ ๒.๙๖ จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๔.๙๓ และดัชนีหมวดอื่นๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้น ร้อยละ ๑.๗๐ ตามการสูงขึ้นของหมวดข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง ร้อยละ ๒.๒๔ เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ ร้อยละ ๑.๐๕ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๑๑.๕๕ เครื่องประกอบอาหาร ร้อยละ ๕.๗๒ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๒.๗๔ อาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๕.๗๙ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ร้อยละ ๐.๙๕ ค่าน้ำประปา ร้อยละ ๖.๓๖ ค่ากระแสไฟฟ้า ร้อยละ ๑๕.๓๘ ค่าเช่าบ้าน ร้อยละ ๐.๔๑ หมวดยานพาหนะ ร้อยละ ๐.๕๙ และน้ำมันเชื้อเพลิง ร้อยละ ๓.๖๐ ๔. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๐๘.๘๔ เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้น ร้อยละ ๐.๐๕ (เดือนตุลาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้น ร้อยละ ๐.๐๒) จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าและบริการ ได้แก่ ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำประปา วัสดุก่อสร้าง (แผ่นไม้อัด กระเบื้องซีเมนต์ใยหินมุงหลังคา ปูนซีเมนต์ อิฐ) ค่าของใช้ส่วนบุคคล (สบู่ถูตัว ยาสีฟัน ลิปสติก กระดาษชำระ ครีมนวดผม น้ำยาระงับกลิ่นกาย แป้งผัดหน้า) สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด [ผงซักฟอก ก้อนดับกลิ่น ไม้กวาด น้ำยารีดผ้า ผลิตภัณฑ์ซักผ้า (น้ำยาซักแห้ง) ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้น (น้ำยาถูพื้น)] ยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ (บุหรี่ สุรา) สำหรับสินค้าและบริการที่ราคาลดลง เช่น บริภัณฑ์อื่นๆ ร้อยละ ๐.๐๒ (ตู้เย็น หม้อหุงข้าวไฟฟ้า เตารีด เครื่องกรองน้ำ เตาอบไมโครเวฟ) และค่าอุปกรณ์การบันเทิง ร้อยละ ๐.๐๗ (เครื่องรับโทรทัศน์)
|
||||||||||||||||||||||||
863 | รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส 3 ปี 2555 และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤศจิกายน 2555 | อก | 25/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ไตรมาส ๓ ปี ๒๕๕๕ (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๕๕) และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๓ ปี ๒๕๕๕ (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๕๕) ๑.๑ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ในไตรมาสที่ ๒ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ขยายตัวร้อยละ ๔.๒ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ ๑ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ขยายตัวร้อยละ ๐.๔ และขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ ๒ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ขยายตัวร้อยละ ๒.๗ โดยปัจจัยที่ทำให้อัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ ๑ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ คือ อุปสงค์ในประเทศโดยรวมเริ่มดีขึ้น ประกอบด้วย การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของครัวเรือนขยายตัวขึ้น เป็นผลมาจากการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในหมวดสินค้าคงทน โดยเฉพาะยานยนต์ที่เร่งตัวขึ้นตามยอดจำหน่ายรถยนต์ การลงทุนภาคเอกชนและการลงทุนภาครัฐขยายตัวขึ้น เช่นเดียวกับการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาล สำหรับการส่งออกสินค้าและบริการกลับมาขยายตัว ในขณะที่การนำเข้าสินค้าและบริการขยายตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้ดุลการค้าและบริการขาดดุล ๑.๒ GDP สาขาอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ ๒ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ขยายตัวร้อยละ ๒.๗ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ ๑ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่หดตัวร้อยละ ๔.๓ และขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ ๒ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่หดตัวร้อยละ ๐.๑ เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของโรงงานอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมเมื่อปลายปีที่ผ่านมา การใช้กำลังการผลิตกลับสู่ภาวะปกติ มีการเร่งผลิตเพื่อตอบสนองต่อความต้องการและคำสั่งซื้อยังตกค้างจากในช่วงอุทกภัยที่ผ่านมา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ ในขณะที่อุตสาหกรรม Hard Disk Drive และสิ่งทอ การผลิตยังคงลดลง เนื่องจากความต้องการในตลาดโลกลดลง ๑.๓ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จะขยายตัวร้อยละ ๕.๕-๖.๐ ซึ่งขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ขยายตัวร้อยละ ๐.๑ ๑.๔ ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ ๓ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ พบว่า บางตัวมีการปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เช่น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม โดยอุตสาหกรรมที่มีการผลิตลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้แก่ Hard Disk Drive ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เสื้อผ้าสำเร็จรูป เป็นต้น ส่วนมูลค่าการส่งออกในภาพรวมลดลงร้อยละ ๑.๑๓ (มกราคม-กันยายน ๒๕๕๕) เทียบกับช่วงเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น ๑.๕ การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ส่วนการลงทุนภาคเอกชนลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาแต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมมีการปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ ๒.๑ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม แนวโน้มการผลิตในภาพรวมและการส่งออกคาดว่าจะชะลอตัวต่อไป เนื่องจากความไม่แน่นอนในภาวะเศรษฐกิจโลก รวมถึงวิกฤตหนี้สาธารณะในกลุ่มสหภาพยุโรปที่ยังคงส่งผลเสียต่อความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจและกลุ่มผู้บริโภค สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวัง คือ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสที่สองที่ผ่านมา และราคาฝ้ายในตลาดล่วงหน้าที่เป็นแนวโน้มขาขึ้น ๒.๒ อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า สถานการณ์การผลิตเหล็กในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ คาดว่าเหล็กทรงยาวจะยังคงทรงตัว ในขณะที่เหล็กทรงแบนในส่วนของเหล็กแผ่นรีดร้อนอาจจะขยายตัวเล็กน้อย เนื่องจากผลทางด้านบวกจากการที่กรมการค้าต่างประเทศได้เปิดการไต่สวนการนำเข้าสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนเจืออื่นๆ ชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วนที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมาผู้นำเข้าในประเทศได้ใช้ช่องว่างทางภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนที่เจือโบรอนหรือโครเมียม (โดยสำแดงว่าเป็นเหล็กอัลลอยด์) ที่นำเข้ามาจากทั้งจีนและเกาหลีเป็นปริมาณมาก ส่งผลให้ผู้ผลิตไทยไม่สามารถแข่งขันทางด้านราคาได้และบางรายต้องหยุดการผลิตลง
|
||||||||||||||||||||||||
864 | มาตรการปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพื่อส่งเสริมความเป็นธรรมและให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ | กค | 18/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพื่อส่งเสริมความเป็นธรรมและให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ โดย ๑.๑ ปรับปรุงบัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับการคำนวณเงินได้สุทธิจากเดิม ๕ ขั้นอัตรา เป็น ๗ ขั้นอัตรา และลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากอัตราสูงสุดร้อยละ ๓๗ คงเหลือร้อยละ ๓๕ ๑.๒ กำหนดคำนิยามของ “คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล” ให้หมายความว่า บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการร่วมกันโดยไม่มีวัตถุประสงค์จะแบ่งปันกำไรอันพึงได้แต่กิจการที่ทำนั้น ทั้งนี้ ให้เสียภาษีจากเงินได้พึงประเมินก่อนหักรายจ่ายในอัตราร้อยละ ๒๐ ๑.๓ กำหนดคำนิยามของ “ห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล” ให้หมายความว่า ห้างหุ้นส่วนสามัญที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย หรือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ และให้หมายความรวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญที่อธิบดีกำหนด โดยอนุมัติรัฐมนตรี และประกาศในราชกิจจานุเบกษา ทั้งนี้ ให้เสียภาษีจากเงินได้สุทธิในอัตราร้อยละ ๒๐ ๑.๔ ให้ใช้บังคับสำหรับเงินได้พึงประเมินในปีภาษี ๒๕๕๖ ที่จะต้องยื่นรายการในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นต้นไป ๒. สำหรับเงินได้สุทธิตั้งแต่ ๐-๓๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งกำหนดอัตราภาษีไว้ในอัตราร้อยละ ๕ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตราพระราชกฤษฎีกายกเว้นภาษีสำหรับเงินได้สุทธิ ๑๕๐,๐๐๐ บาทแรกต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
865 | แนวทางในการจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการฯ และการกำหนดตัวชี้วัดของกระทรวงที่มีเป้าหมายร่วมกัน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร12 | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางในการจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการฯ และการกำหนดตัวชี้วัดของกระทรวงที่มีเป้าหมายร่วมกัน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้แต่ละกระทรวงพิจารณาค่าเป้าหมายที่เหมาะสมของตัวชี้วัดด้านประสิทธิผลของการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญเร่งด่วนของรัฐบาลและภารกิจหลัก และให้เสนอตัวชี้วัดเพิ่มเติมตามประเด็นที่กำหนด ๑.๒ ให้กระทรวงที่เป็นเจ้าภาพหลักของตัวชี้วัดที่มีเป้าหมายร่วมกันเพิ่มเติมของแต่ละเรื่องนำเสนอแนวทางการบูรณาการการทำงานระหว่างกระทรวงและจัดทำตัวชี้วัดร่วม รวมทั้งกำหนดรายละเอียดของตัวชี้วัด ค่าเป้าหมายที่เหมาะสมด้วย โดยตัวชี้วัดของกระทรวงที่มีเป้าหมายร่วมกันเพิ่มเติม จำนวน ๖ เรื่อง ได้แก่ ๑.๒.๑ การลดต้นทุนในการรักษาพยาบาล (Cost per Head) ๑.๒.๒ ศูนย์ช่วยเหลือเด็กและสตรีในภาวะวิกฤต หรือศูนย์พึ่งได้ (One Stop Crisis Center : OSCC) ๑.๒.๓ การพัฒนาแรงงานเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ๑.๒.๔ การยกระดับภาพลักษณ์ตราสินค้าไทย (Branding) ๑.๒.๕ การส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรและเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร (Agro Industry) ๑.๒.๖ อุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Industry) ๑.๓ ให้แต่ละกระทรวงนำข้อมูลตามข้อ ๑.๑ และ ๑.๒ เสนอต่อนายกรัฐมนตรีภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการชี้แจงทำความเข้าใจกับส่วนราชการในการปรับเปลี่ยนแนวทางในการจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการฯ และการกำหนดตัวชี้วัดของกระทรวงที่มีเป้าหมายร่วมกัน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ก่อนมอบหมายให้ส่วนราชการจัดทำรายละเอียดตัวชี้วัดและพิจารณาช่วงระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการจัดทำข้อมูลเพื่อประกอบการนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อให้การจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการเป็นไปในทิศทางเดียวกันและเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐมากยิ่งขึ้น การกำหนดตัวชี้วัดตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลและภารกิจหลักของกระทรวงควรเป็นตัวชี้วัดหลัก ๆ ที่สามารถขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลได้อย่างเป็นรูปธรรม และร่วมกำหนดรายละเอียดในการดำเนินงาน/ประเมินผลร่วมกับหน่วยปฏิบัติให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และในกรณีตัวชี้วัดของกระทรวงที่มีเป้าหมายร่วมกันระหว่างกระทรวง (Joint KPIs) กระทรวงเจ้าภาพหลักควรจัดตั้งงบประมาณสนับสนุนการดำเนินงานตามตัวชี้วัดดังกล่าวเพื่อจัดสรรให้แก่ส่วนราชการที่ต้องร่วมรับผิดชอบดำเนินการ เพื่อความมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลในการผลักดันตัวชี้วัด การกำหนดรายละเอียดของภารกิจหรือกิจกรรมที่แต่ละหน่วยงานจะต้องรับผิดชอบให้ชัดเจน และนำขอบเขตภารกิจที่รับผิดชอบนี้ไปใช้ประกอบการพิจารณากำหนดสัดส่วนคะแนนที่เหมาะสมในแต่ละส่วนราชการให้สอดคล้องกับความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน รวมทั้งการให้ความสำคัญกับการวางระบบสื่อสารหรือการประสานความเชื่อมโยงในการปฏิบัติงานให้เหมาะสม เพื่อเป็นการกำกับดูแลให้ตัวชี้วัดร่วมสามารถบรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
866 | สรุปผลการเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารของยูเนสโก ครั้งที่ 190 | ศธ | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารของยูเนสโก ครั้งที่ ๑๙๐ ระหว่างวันที่ ๘-๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๕ ณ สำนักงานใหญ่องค์การยูเนสโก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้อำนวยการใหญ่องค์การยูเนสโก (Her Excellency Madame lrina Bokova) รายงานผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา โดยกล่าวชื่นชมประเทศไทยใน ๒ เรื่อง ได้แก่ การดำเนินงานของศูนย์การเรียนชุมชน (Community Learning Centre : CLC) พร้อมทั้งมีการส่งเสริมฝึกอาชีพ และการที่รัฐบาลไทยมีความตั้งใจจริงในการรณรงค์เรื่องการรู้หนังสือ (Literacy Campaign) ให้กับประชาชนคนไทย ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมฯ ๒.๑ ประเทศไทยชื่นชมบทบาทขององค์การยูเนสโกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะผู้นำระดับโลกในการขับเคลื่อนและปฏิรูปกลไกการศึกษาเพื่อปวงชนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการศึกษาเพื่อปวงชนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และยินดีที่ยูเนสโกจะจัดการประชุมระดับโลกด้านการศึกษาเพื่อปวงชน (Global EFA Meeting) ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ ซึ่งเน้นผลักดันให้ทุกคนได้เข้าถึงโอกาสทางการศึกษาที่เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ๒.๒ ประเทศไทยให้การสนับสนุนข้อริเริ่มของ H.E. Bun Ki-moon เลขาธิการสหประชาชาติ ในเรื่อง “การศึกษาต้องมาก่อน” (Education First) ซึ่งสอดคล้องกับการดำเนินงานของประเทศไทยที่ต้องการสร้างสังคมที่ดีและเข้มแข็งสำหรับประชาชนทุกคน และเห็นด้วยกับผู้อำนวยการใหญ่องค์การยูเนสโกที่ให้ความสำคัญใน ๓ ประเด็นหลักในวาระการศึกษาของสหประชาชาติ ได้แก่ การส่งเสริมให้เด็กทุนคนได้มีโอกาสเข้าเรียน การพัฒนาคุณภาพการเรียน และการส่งเสริมความเป็นพลเมืองของโลก ๒.๓ ประเทศไทยขอบคุณยูเนสโกที่ให้ความสำคัญกับการรู้หนังสือ ซึ่งประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในเรื่องของการส่งเสริมการรู้หนังสือผ่านศูนย์การเรียนชุมชนซึ่งมีเครือข่ายมากกว่า ๗,๐๐๐ แห่งทั่วประเทศ และพร้อมที่จะขยายกิจกรรม ตลอดจนแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของศูนย์การเรียนชุมชนไปยังประเทศเพื่อนบ้านด้วย ๒.๔ ประเทศไทยให้ความสำคัญเรื่องการใช้ ICT ทางการศึกษาอันจะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาตามนโยบายของรัฐบาล โดยได้ดำเนินโครงการแจกคอมพิวเตอร์ Tablet ให้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ และจะขยายไปยังระดับมัธยมศึกษาตอนต้นต่อไป ๒.๕ ประเทศไทยจะให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิด รวมทั้งกระชับความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนระหว่างไทยกับยูเนสโกให้มากยิ่งขึ้น ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้ประชุมหารือกับคณะของผู้อำนวยการใหญ่องค์การยูเนสโก มีความเห็นร่วมกันว่าจะดำเนินโครงการร่วมกัน จำนวน ๗ โครงการ ประกอบด้วย ๓.๑ โครงการที่เป็นการช่วยเหลือสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ตามที่ผู้อำนวยการใหญ่องค์การยูเนสโกได้หารือกับนายกรัฐมนตรีในช่วงที่เดินทางมาเยือนประเทศไทย ระหว่างวันที่ ๘-๑๐ กันยายน ๒๕๕๕ จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ การเสริมสร้างศักยภาพครูการศึกษานอกโรงเรียนในศูนย์การเรียนชุมชน (Community Learning Centre) ของประเทศไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ การเสริมสร้างภาวะความเป็นผู้นำในโรงเรียนของประเทศไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ในด้านการใช้ ICT และการเสริมสร้างศักยภาพของโรงเรียนว่าด้วยการนำ ICT มาใช้บูรณาการในการจัดการเรียนการสอนของครู ๓.๒ โครงการด้านการศึกษาที่จะดำเนินการร่วมกับประเทศไทยโดยตรง จำนวน ๔ โครงการ ได้แก่ โครงการความร่วมมือกับองค์การยูเนสโกในการจัดทำการทบทวนแผนยุทธศาสตร์ด้านการศึกษาของประเทศไทย (Policy Review) โครงการ Education First ตามข้อริเริ่มของ H.E. Bun Ki-moon เลขาธิการสหประชาชาติ โครงการ World Education Indicators และโครงการ Mobile Learning
|
||||||||||||||||||||||||
867 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การส่งเสริมวัฒนธรรมประชาธิปไตย เพื่อสู่ประชาธิปไตยโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน" | สสป | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การส่งเสริมวัฒนธรรมประชาธิปไตย เพื่อสู่ประชาธิปไตยโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานสภาพัฒนาการเมือง สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เห็นว่ารัฐบาลควรส่งเสริมและปลูกฝังในด้านต่าง ๆ สรุปได้ ดังนี้
๑. ส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนในสังคมโดยเฉพาะภาครัฐบาล ภาคการเมือง ภาคประชาสังคม และภาคประชาชนควรร่วมมือและผนึกกำลังกันในการส่งเสริมวัฒนธรรมประชาธิปไตย ๒. ส่งเสริมวัฒนธรรมประชาธิปไตย โดยการปลูกฝังจิตใจที่เป็นประชาธิปไตย รับฟังความเห็นของคนอื่น ยึดหลักการ หลักวิชา หลักเหตุผล และหลักธรรม ใช้สิทธิและปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้อง เป็นประโยชน์ และเป็นธรรม ๓. ปลูกฝังวัฒนธรรมประชาธิปไตย โดยเริ่มต้นที่บ้านตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ครอบครัวมีบทบาทที่สำคัญในการปลูกฝังวัฒนธรรมประชาธิปไตย ๔. ส่งเสริมให้การศึกษาจะต้องให้วัตถุประสงค์ประการหนึ่ง คือ การปลูกฝังวัฒนธรรมประชาธิปไตยให้มีจิตใจเป็นประชาธิปไตย รับฟังความเห็นของผู้อื่น คำนึงถึงประโยชน์ของส่วนร่วมและประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน ๕. ส่งเสริมศาสนาให้มีบทบาทที่สำคัญในการปลูกฝังวัฒนธรรมประชาธิปไตยสถาบันทางศาสนา เช่น พระภิกษุ และวัด ควรถือเป็นหน้าที่ในการอบรมสั่งสอนให้พุทธศาสนิกชนปฏิบัติตามหลักธรรมของศาสนา พระบรมราโขวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นต้น ๖. ส่งเสริมชุมชนให้มีบทบาทที่สำคัญในการปลูกฝังวัฒนธรรมประชาธิปไตยแก่สมาชิกของชุมชน ผู้นำชุมชนจะต้องพัฒนาชุมชนให้มีความเข้มแข็ง ทั้งในด้านจิตใจ สังคม และเศรษฐกิจ ๗. ส่งเสริมสื่อมวลชนให้มีบทบาทที่สำคัญในการส่งเสริมและปลูกฝังวัฒนธรรมประชาธิปไตย โดยการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับวัฒนธรรมประชาธิปไตย เป็นต้น ๘. ส่งเสริมนักการเมืองให้มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยและวัฒนธรรมประชาธิปไตย ประชาชนควรจะติดตามพฤติกรรมของนักการเมืองว่ามีวัฒนธรรมประชาธิปไตยมากน้อยเพียงใด เป็นนักการเมืองที่มีจริยธรรมทางการเมืองและพึงประสงค์มากน้อยเพียงใด ๙. ส่งเสริมรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย นักการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ข้าราชการที่เป็นประชาธิปไตย และประชาชนที่เป็นประชาธิปไตย เห็นแก่ประโยชน์สุขประชาชนและประเทศชาติเป็นสำคัญ เหนือกว่าประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ๑๐. ส่งเสริมการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์และเที่ยงธรรม อย่างจริงใจ โดยส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนใช้สิทธิในการเลือกตั้งด้วยความรอบคอบ มีเหตุผล ไม่เลือกเพราะเห็นแก่อามิสสินจ้างหรือการเป็นพรรคพวก จะต้องเลือกคนที่ดี ๑๑. ส่งเสริมการปฏิบัติตามหลักธรรมของศาสนา พระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และวัฒนธรรมประชาธิปไตยเพื่อนำประเทศไทยพ้นจากภาวะวิกฤติต่าง ๆ
|
||||||||||||||||||||||||
868 | เป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี 2556 | กค | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติเป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี ๒๕๕๖ ที่คณะกรรมการนโยบายการเงินได้ทำความตกลงร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี ๒๕๕๖ กำหนดไว้ที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยรายไตรมาสระหว่างร้อยละ ๐.๕-๓.๐ ต่อปี เช่นเดียวกับเป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี ๒๕๕๕ ๑.๒ การติดตามความเคลื่อนไหวของเป้าหมายของนโยบายการเงิน เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายของนโยบายการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจะจัดให้มีการหารือร่วมกันเป็นประจำทุกไตรมาส และเมื่อมีเหตุจำเป็นอื่นใดตามที่ทั้งสองหน่วยงานจะเห็นสมควร ๑.๓ การเคลื่อนไหวของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานออกนอกเป้าหมาย กรณีอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเคลื่อนไหวออกนอกช่วงเป้าหมายตามที่ได้ตกลงร่วมกันไว้ ให้คณะกรรมการนโยบายการเงินชี้แจงสาเหตุ แนวทางแก้ไข และระยะเวลาที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะกลับเข้าสู่ช่วงที่กำหนดไว้โดยเร็ว รวมทั้งให้รายงานความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาเป็นระยะตามสมควร ๑.๔ การแก้ไขเป้าหมายของนโยบายการเงิน ในกรณีที่มีเหตุอันสมควรหรือจำเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและคณะกรรมการนโยบายการเงินอาจตกลงร่วมกันเพื่อแก้ไขเป้าหมายของนโยบายการเงินได้ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา ๒. ให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาการนำอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยรายปีเป็นเป้าหมายของนโยบายการเงินในระยะต่อไป เมื่อความเสี่ยงจากสภาพคล่องส่วนเกินในระบบการเงินโลกลดลง และระบบเศรษฐกิจสามารถรองรับโครงสร้างราคาพลังงานใหม่ในประเทศได้แล้ว ไปพิจารณาต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปจัดทำสรุปรายงานสภาวะเศรษฐกิจของประเทศในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และแนวโน้มในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๕ ต่อไป ๔. เพื่อให้คณะรัฐมนตรีได้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศในภาพรวมที่เป็นปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป จึงเห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำรายงานสภาวะเศรษฐกิจเสนอคณะรัฐมนตรีเดือนละหนึ่งครั้งในทุกสัปดาห์แรกของเดือน เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๕๖ เป็นต้นไป โดยให้กระทรวงการคลังเชิญผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมชี้แจงต่อคณะรัฐมนตรีด้วย |
||||||||||||||||||||||||
869 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "วาระเอดส์แห่งชาติ พ.ศ. 2555 - 2559" | สสป | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "วาระเอดส์แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านนโยบายการลดการติดเชื้อรายใหม่ โดยรัฐบาลควรดำเนินการในการจัดตั้งกองทุนด้านการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ของประเทศ โดยการจัดสรรงบประมาณที่เพียงพอและเหมาะสมอย่างต่อเนื่องจากภายในประเทศ ส่งเสริมการนำเอานโยบายลดอันตรายจากการได้รับ/ถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากการใช้ยาหรือสารเสพติดด้วยวิธีการฉีด (Harm Reduction) มาใช้จริง ส่งเสริมและสนับสนุนการเข้าถึงและได้รับบริการการปรึกษาและตรวจเลือดโดยสมัครใจและเป็นความลับให้กับทุกคนบนผืนแผ่นดินไทย และมีโครงการถุงยางอนามัยแห่งชาติ เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงถุงยางอนามัยชาย พร้อมสารหล่อลื่น และถุงอนามัยสตรีให้ฟรีกับคนทุกกลุ่มอย่างเพียงพอ ๒. ด้านนโยบายการลดการเสียชีวิตด้วยอาการสัมพันธ์กับเอดส์ โดยรัฐบาลควรสนับสนุนยุทธศาสตร์การเข้าถึงยาถ้วนหน้าของประชากรไทย โดยมีการนำมาตรการบังคับใช้สิทธิในการนำเข้าหรือผลิตยาที่ติดสิทธิบัตร รวมทั้งมาตรการการควบคุมราคายาที่ขาย อีกทั้งการดำเนินการด้านข้อตกลงเขตการค้าเสรีต้องไม่ผูกพันประเทศเกินไปกว่าความตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับการค้า ค.ศ. ๑๙๙๔ ปรับปรุงแก้ไขนโยบายและระเบียบปฏิบัติไม่ให้เป็นอุปสรรคหรือขัดกับกฎหมายที่มีอยู่ และการพัฒนาระบบบริการดูแลรักษาสุขภาพที่มีมาตรฐานเดียว โดยมีการพัฒนามาตรฐานบริการทางการแพทย์ให้เป็นมาตรฐานเดียวและคุ้มครองสิทธิประชาชนในการได้รับบริการสุขภาพที่มีคุณภาพ รวมทั้งมีการจัดบริการรักษาด้วยยาต้านไวรัสให้ครอบคลุมคนทุกคนบนผืนแผ่นดินไทย ตลอดจนการพัฒนาบริการสุขภาพที่ขยายให้ครอบคลุมคนที่ไม่ได้รับสิทธิในระบบหรือกองทุนสุขภาพระบบใด ๆ เช่น คนไร้สถานะ ๓. ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต และขจัดการตีตราการเลือกปฏิบัติด้านสุขภาพ โดยรัฐบาลควรส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการรณรงค์สังคมสาธารณะ เพื่อสร้างความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนและการเคารพศักดิ์ศรีด้านความเป็นมนุษย์ และการรณรงค์เรื่องสิทธิทางเพศ สิทธิด้านเอดส์ในเชิงบวก รวมทั้งดำเนินการให้เกิดการปฏิรูปกฎหมาย นโยบายและระเบียบปฏิบัติให้สอดคล้องกับหลักการสิทธิมนุษยชนและรัฐธรรมนูญ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรม เพื่อขจัดอุปสรรคในการเข้าถึงและได้รับบริการสุขภาพที่จำเป็นต่อการป้องกันการรับ-ถ่ายทอดเชื้อเอชไอวี และดูแลรักษาอาการเจ็บป่วยที่สัมพันธ์กับเอดส์ รวมทั้งให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีสุขภาวะและความมั่นคงในชีวิต
|
||||||||||||||||||||||||
870 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนตุลาคม 2555 | พณ | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศ และรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๑๖.๘๒ เทียบกับเดือนกันยายน ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๑๖.๖๗ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๓ (เดือนกันยายน ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๓๔) เป็นผลจากดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๔ โดยสินค้าประเภทอาหารที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ ผักสด ข้าวสารเจ้า นมและผลิตภัณฑ์นม เครื่องประกอบอาหาร และอาหารสำเร็จรูป สำหรับสินค้าที่มีราคาลดลงตามปริมาณผลผลิตและภาวะตลาด ได้แก่ ข้าวสารเหนียว ผลไม้สด ปลาและสัตว์น้ำ เนื้อสุกร ไก่สด และไข่ เป็นต้น สำหรับดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๕ ตามการสูงขึ้นของราคาสินค้าและบริการ เช่น ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าน้ำประปา ค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล ยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ๒. พิจารณาเทียบกับดัชนีราคาเดือนตุลาคม ๒๕๕๔ สูงขึ้นร้อยละ ๓.๓๒ จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๓.๓๕ โดยดัชนีราคาหมวดข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง สูงขึ้น ร้อยละ ๑.๕๗ ปลาและสัตว์น้ำ ร้อยละ ๒.๙๘ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๑๒.๗๗ และอาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๓.๕๖ ดัชนีราคาหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๓.๒๘ จากการสูงขึ้นของหมวดเคหสถาน ร้อยละ ๓.๓๓ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ร้อยละ ๐.๙๗ หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล ร้อยละ ๑.๐๙ หมวดพาหนะการขนส่ง และการสื่อสาร ร้อยละ ๔.๒๒ หมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๗.๖๘ หมวดการบันเทิงการอ่าน การศึกษาและการศาสนา สูงขึ้นร้อยละ ๐.๖๑ ๓. พิจารณาดัชนีเฉลี่ย ๑๐ เดือนของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เทียบกับระยะเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สูงขึ้นร้อยละ ๒.๙๙ จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๕.๒๔ และดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๑.๕๕ ตามการสูงขึ้นของหมวด ข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง ร้อยละ ๒.๓๔ เนื้อสัตว์ เป็ดไก่และสัตว์น้ำ ร้อยละ ๑.๑๙ ไข่และผลิตภัณฑ์นม ร้อยละ ๐.๑๙ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๑๒.๔๙ เครื่องประกอบอาหาร ร้อยละ ๖.๐๘ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๒.๗๔ อาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๖.๐๒ ค่าน้ำประปา ร้อยละ ๖.๑๐ ค่ากระแสไฟฟ้า ร้อยละ ๑๔.๘๙ ค่าเช่าบ้าน ร้อยละ ๐.๔๑ หมวดยานพาหนะ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๕๔ และน้ำมันเชื้อเพลิง สูงขึ้นร้อยละ ๒.๗๕ เป็นต้น ๔. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๐๘.๗๙ เมื่อเทียบกับเดือนกันยายน ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๒(เดือนกันยายน ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๓) จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าและบริการ ได้แก่ ค่าน้ำประปา ค่าของใช้ส่วนบุคคล (สบู่ถูตัว ยาสีฟัน แชมพูสระผม ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว ผ้าอนามัย ค่าบริการส่วนบุคคล) ค่าอุปกรณ์การบันเทิง (เครื่องรับโทรทัศน์ กล้องถ่ายรูป) ยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ (บุหรี่ เบียร์ ไวน์ สุรา) สำหรับสินค้าและบริการที่ราคาลดลง เช่น ค่าเช่าบ้าน สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด (ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม น้ำยาล้างจาน น้ำยารีดผ้า น้ำยาซักแห้ง น้ำยาถูพื้น) และบริภัณฑ์อื่น ๆ (ตู้เย็น หม้อหุงข้าวไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า)
|
||||||||||||||||||||||||
871 | รายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลและการให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม | อก | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลและการให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น ได้จัดงาน OUTLET เพื่อประชาชน “มหกรรมสินค้าช่วยค่าครองชีพส่งตรงจากโรงงาน” ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ณ จังหวัดกรุงเทพมหานคร นครราชสีมา เชียงใหม่ และประจวบคีรีขันธ์ โดยจำหน่ายสินค้าอุปโภค-บริโภค ในราคาถูกกว่าท้องตลาด ๒๐-๕๐% มีประชาชนเข้าร่วมซื้อสินค้าในงานรวม ๒๔๒,๐๒๑ คน มียอดขายสินค้ารวมทั้งสิ้น ๖๒,๐๐๙,๗๓๕ บาท ๒. การดำเนินการฟื้นฟู เยียวยานิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม และสวนอุตสาหกรรม ๗ แห่ง ที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และปทุมธานี ได้แก่ นิคมสหรัตนนคร นิคมไฮเทค นิคมบางปะอิน นิคมโรจนะ นิคมแฟคตอรี่แลนด์ นิคมนวนคร และนิคมบางกะดี ขณะนี้มีโรงงานประกอบกิจการแล้ว ๖๘๔ ราย คิดเป็นร้อยละ ๘๑.๕๓ ของโรงงานทั้งหมด ๘๓๙ ราย ๓. การดำเนินการฟื้นฟูโรงงานขนาดใหญ่ และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ประสบอุทกภัย ซึ่งตั้งอยู่นอกเขตนิคมอุตสาหกรรม ขณะนี้มีโรงงาน สถานประกอบการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เปิดดำเนินการแล้ว ๗,๘๘๖ ราย คิดเป็นร้อยละ ๙๙.๘๔ ของสถานประกอบการทั้งหมด ๗,๘๙๙ ราย ๔. โครงการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย มีโครงการที่ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว ได้แก่ โครงการจัดตั้งศูนย์พักพิงอุตสาหกรรม โครงการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และกากอุตสาหกรรมในสถานประกอบการที่ประสบอุทกภัย โครงการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ดิน และสารปนเปื้อนของสารพิษอุตสาหกรรมในสถานประกอบการทั้งในและนอกนิคม โครงการศูนย์สารพัดช่างเพื่อการฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย โครงการฟื้นฟูซ่อมแซมหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย โครงการบริหารจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ประสบอุทกภัย และโครงการคลินิกอุตสาหกรรมเพื่อการฟื้นฟูสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยกระทรวงอุตสาหกรรม ๕. มาตรการส่งเสริมการลงทุน ได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ได้แก่ เพิ่มสิทธิประโยชน์หรือยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีอากร และค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการโรงงานให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย อนุมัติวีซ่าและใบอนุญาตทำงานแก่บริษัท จำนวน ๒๒๖ บริษัท คนต่างชาติ จำนวน ๘๖๑ คน การอนุญาตให้ส่งออกเครื่องจักรและวัตถุดิบไปต่างประเทศ และการย้ายเครื่องจักรและวัตถุดิบไปต่างประเทศ หรืออยู่นอกโครงการเป็นการชั่วคราว จำนวน ๕๑๕ โครงการ และลงพื้นที่เพื่อให้คำปรึกษาแนะนำผู้ประกอบการ ในการขออนุญาตและประสานหน่วยงานราชการ เพื่อช่วยเหลือสนับสนุนในการประกอบกิจการ โดยมีการเข้าเยี่ยมโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับความเสียหาย ๖. ความก้าวหน้าการก่อสร้างเขื่อน นิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม และสวนอุตสาหกรรม ได้ดำเนินการก่อสร้างเขื่อนทั้งหมด ๖ แห่ง และนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้มีการซ้อมแผนปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินกรณีเกิดเหตุอุทกภัย เมื่อวันที่ ๒๖-๒๘ กันยายน ๒๕๕๕
|
||||||||||||||||||||||||
872 | สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนกันยายน พ.ศ. 2555 | ทก | 04/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๕๕ ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน จำนวน ๓๙.๔๔ ล้านคน ประกอบด้วย ผู้มีงานทำ ๓๙.๑๕ ล้านคน ผู้ว่างงาน ๐.๒๕ ล้านคน (๒.๔๗ แสนคน) และผู้ที่รอฤดูกาล ๐.๐๔ ล้านคน (๐.๓๙ แสนคน) ทั้งนี้ ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันกับปี ๒๕๕๔ จำนวน ๒.๑ แสนคน (จาก ๓๙.๒๓ ล้านคน เป็น ๓๙.๔๔ ล้านคน) ๒. ผู้มีงานทำ จำนวน ๓๙.๑๕ ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันกับปี ๒๕๕๔ จำนวน ๒.๙ แสนคน (จาก ๓๘.๘๖ ล้านคน เป็น ๓๙.๑๕ ล้านคน) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๗ ทั้งนี้ ผู้ทำงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผู้ทำงานภาคเกษตรกรรมเพิ่มขึ้น ๙.๓ แสนคน รองลงมาเป็นสาขาการผลิต ๒.๒ แสนคน สาขาการก่อสร้าง ๒.๑ แสนคน และสาขาการบริหารราชการการป้องกันและประเทศและการประกันสังคมภาคบังคับ ๑.๖ แสนคน สำหรับผู้ทำงานลดลง ได้แก่ ผู้ทำงานในสาขาที่พักแรมและการบริการด้านอาหารมากที่สุด ๕.๑ แสนคน รองลงมาเป็นสาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ และรถจักรยานยนต์ ๔.๐ แสนคน สาขาการบริการอื่น ๆ เช่น กิจกรรมบริการเพื่อสุขภาพร่างกาย การดูแลสัตว์เลี้ยง การบริการซักรีดซักแห้ง เป็นต้น ๑.๙ แสนคน ๓. ผู้ว่างงานทั่วประเทศ จำนวน ๒.๔๗ แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ ๐.๖ ของกำลังแรงงานรวม (ลดลง ๔.๘ หมื่นคน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปี ๒๕๕๔) เป็นผู้ว่างงานที่มีการศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ๖.๙ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ๖.๐ หมื่นคน ระดับอุดมศึกษา ๕.๘ หมื่นคน ระดับประถมศึกษา ๔.๐ หมื่นคน และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา ๒.๐ หมื่นคน ทั้งนี้ ผู้ว่างงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๖.๘ หมื่นคน ภาคกลาง ๖.๓ หมื่นคน ภาคเหนือ ๕.๑ หมื่นคน ภาคใต้ ๔.๑ หมื่นคน และกรุงเทพมหานคร ๒.๔ หมื่นคน
|
||||||||||||||||||||||||
873 | สรุปรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสาม ปี 2555 | นร11 | 04/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสาม ปี ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจ้างงาน และรายได้ ๑.๑ การจ้างงานยังเพิ่มขึ้นและการว่างงานลดลง ไตรมาสสาม ปี ๒๕๕๕ อัตราการว่างงานเฉลี่ยร้อยละ ๐.๕๘ โดยมีจำนวน ๒๓๒,๔๐๐ คน ลดลงจากอัตราร้อยละ ๐.๖๕ ในไตรมาสสาม ปี ๒๕๕๔ การจ้างงานรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๖ เป็นการจ้างงานในสาขาการก่อสร้างเพิ่มมากสุดร้อยละ ๗.๐ เนื่องจากมีการจ้างงานจากโครงการลงทุนของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์จากวิกฤติการณ์น้ำท่วมปลายปีที่แล้ว ๑.๒ ภาวะตลาดแรงงานตึงตัวต่อเนื่อง สัดส่วนผู้สมัครงานต่อตำแหน่งว่างงาน เท่ากับ ๐.๘๕ เท่า เทียบกับ ๑.๕ เท่าไตรมาสสาม ปี ๒๕๕๔ และ ๑.๒ เท่าในไตรมาสสอง ปี ๒๕๕๕ โดยเฉพาะแรงงานระดับ ปวช.-ปวส. ยังมีสภาพตึงตัวสูงต่อเนื่อง โดยมีการขาดแคลนมากในกลุ่มแรงงานทักษะและกึ่งทักษะ รายได้ของแรงงานภาคเอกชนเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๓.๓ ขณะที่ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ ๓.๐ ทำให้ค่าจ้างแท้จริงเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ ๑๐.๐ การปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท ในเดือนมกราคม ๒๕๕๖ จะทำให้ค่าจ้างขั้นต่ำเฉลี่ยของประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๒.๔ และค่าจ้างเฉลี่ยของ ๗๐ จังหวัดที่มีการปรับค่าจ้างเป็น ๓๐๐ บาท เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ ๒๕.๒ ๒. ด้านการศึกษา การทบทวนการผลิตและพัฒนากำลังคนระดับกลาง อัตราการเรียนต่อสายอาชีพในรอบ ๕ ปีที่ผ่านมามีสัดส่วนค่อย ๆ ลดลง ในปี ๒๕๕๔ ลดลงเหลือร้อยละ ๓๖.๕๕ จึงต้องมีมาตรการในเชิงปริมาณจูงใจให้นักเรียนสนใจเรียนสายวิชาชีพเพิ่มขึ้น โดยผลักดันให้ภาคเอกชนจัดทำมาตรฐานคุณวุฒิวิชาชีพอย่างเต็มรูปแบบ และให้โอกาสเด็กที่ไม่ได้เรียนต่อประมาณร้อยละ ๑๐-๑๕ ได้เรียนต่อสายอาชีพ เช่น การสนับสนุนทุนการศึกษาอาชีวศึกษา และให้เด็กเข้าทำงานในโรงงานมีโอกาสศึกษาควบคู่ไปด้วย ขณะเดียวกันควรขยายการดำเนินโครงการสหกิจศึกษาให้กว้างขวางยิ่งขึ้นโดยใช้มาตรการจูงใจด้านภาษี ๓. ด้านสุขภาพ ประชากรร้อยละ ๒ ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า และภาระการรักษาสุขภาพแรงงานข้ามชาติมีแนวโน้มมากขึ้น โดยในปี ๒๕๕๕ พบคนไทยอายุ ๑๕ ปีขึ้นไป ๑.๕ ล้านคน หรือร้อยละ ๒ ของประชากรทั้งหมดป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ขณะที่ความสุขมวลรวมของไทยลดลงต่อเนื่องอยู่ ๕.๗๙ ในเดือนกันยายน ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความสุขมวลรวมลดลงคือ ปัญหาเศรษฐกิจในระดับครัวเรือนที่ค่าครองชีพสูงขึ้น ๔. ด้านพฤติกรรมและความเป็นอยู่ของคนในสังคมไทย มีประเด็นเฝ้าระวังหลายด้าน ได้แก่ ๔.๑ เด็กและเยาวชนยังเข้าถึงการซื้อบุหรี่ได้ง่ายขึ้น และมีอัตราการสูบบุหรี่เพิ่มมากสุดเทียบเท่าผู้สูงอายุ รวมทั้งพฤติกรรมการสูบบุหรี่และการดื่มสุราของประชากรในปี ๒๕๕๔ พบว่า มีปริมาณการสูบเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่ม ทั้งกลุ่มเยาวชน วัยทำงาน และผู้สูงอายุ มีปริมาณการสูบเพิ่มขึ้นเป็น ๙.๑ ๑๑.๒ และ ๑๐.๗ มวนต่อวัน ตามลำดับ ๔.๒ ครัวเรือนมีการก่อหนี้เพิ่มขึ้น โดยยอดคงค้างสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลมีมูลค่า ๒,๗๔๘,๙๓๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๐.๔ จากไตรมาสสาม ปี ๒๕๕๔ ส่วนหนึ่งเป็นการใช้สิทธิตามโครงการบ้านหลังแรก และรถคันแรก ขณะที่ความสามารถในการชำระคืนลดลง เห็นได้จากการผิดนัดชำระหนี้เกิน ๓ เดือนของสินเชื่อภายใต้การกำกับ และสินเชื่อบัตรเครดิต นอกจากนี้ สัดส่วน NPLs ของสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคต่อ NPLs รวม เท่ากับร้อยละ ๒๑.๔ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ ๕ ๕. ด้านความมั่นคงทางสังคม มีประเด็นเฝ้าระวัง ได้แก่ ๕.๑ แนวโน้มของผู้กระทำผิดคดียาเสพติดที่ถูกจับกุม ๓ ใน ๔ เป็นรายใหม่ และเป็นกลุ่มเยาวชนมากขึ้น คดียาเสพติดเพิ่มขึ้นจากไตรมาสสาม ปี ๒๕๕๔ ร้อยละ ๙.๘ โดยในปี ๒๕๕๕ พบว่า ปริมาณการลำเลียงขนยาเสพติดในแต่ละครั้งมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้น มีการแพร่ระบาดยาเสพติดในชุมชนที่มีเด็กและเยาวชนเข้าไปมีส่วนร่วมมากขึ้น แนวโน้มของผู้กระทำความผิดยาเสพติดที่ถูกจับกุม ๓ ใน ๔ เป็นรายใหม่ และเป็นกลุ่มที่เป็นเยาวชนเพิ่มขึ้น ๕.๒ การขจัดพฤติกรรมเด็กแว้นเพื่อลดความเดือดร้อนให้ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน ความถี่ของปัญหาการแข่งรถของเด็กแว้นเพิ่มขึ้น โดยพื้นที่กรุงเทพฯ มีประชาชนร้องเรียนผ่านหมายเลข ๑๙๑ เฉลี่ยเดือนละ ๓๐๐ ครั้ง และจากการสำรวจความปลอดภัยในการเดินทางทางถนน พ.ศ. ๒๕๕๓ พบว่า รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะที่ประสบอุบัติเหตุมากที่สุด โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนอายุ ๑๘-๒๔ ปี และจากสถิติการเกิดอุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์ระบุว่า กลุ่มเยาวชน นักเรียน นักศึกษา เป็นกลุ่มเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุสูงสุดและมีจำนวนมากขึ้นทุกปี ๕.๓ การเฝ้าระวังเพื่อลดอุบัติเหตุรถยนต์โดยสารสาธารณะ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลที่จะมาถึง จะมีการใช้มาตรการส่งเสริมความปลอดภัยของผู้ใช้รถตู้โดยสารสาธารณะ นำระบบเทคโนโลยี RFID เพื่อติดตามและตรวจจับความเร็ว รวมทั้งเข้มงวดกวดขันการควบคุมตรวจสอบความเร็วและลงโทษผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง ๖. เรื่องเด่นประจำฉบับ "แรงงานข้ามชาติ...ความจำเป็นในการจัดระเบียบ" ควรเร่งรัดจัดระเบียบและการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติให้เป็นระบบ ทั้งการจัดระเบียบแรงงานไร้ฝีมือ การดึงดูดแรงงานที่มีความรู้และทักษะสูงเข้ามาทำงานในประเทศ การพัฒนาระบบฐานข้อมูลของแรงงานข้ามชาติให้มีประสิทธิภาพและนำไปใช้ในการบริหารจัดการแรงงานได้อย่างเป็นรูปธรรม
|
||||||||||||||||||||||||
874 | ร่างพระราชบัญญัติยกเลิกกฎหมายบางฉบับที่หมดความจำเป็นหรือซ้ำซ้อนกับกฎหมายอื่น พ.ศ. .... | นร09 | 04/12/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติยกเลิกกฎหมายบางฉบับที่หมดความจำเป็นหรือซ้ำซ้อนกับกฎหมายอื่น พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญคือ ให้ยกเลิกกฎหมายที่ไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้บังคับอีกต่อไป จำนวน ๙ ฉบับ ดังนี้
๑. พระราชบัญญัติควบคุมและจัดการกิจการหรือทรัพย์สินของคนต่างด้าวบางจำพวกในภาวะคับขัน พุทธศักราช ๒๔๘๔ ๒. พระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. ๒๕๐๔ ๓. พระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๐๙ ๔. พระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๑๑ ๕. พระราชบัญญัติสถานสินเชื่อท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๑๘ ๖. พระราชบัญญัติการประกอบอาชีพงานก่อสร้าง พ.ศ. ๒๕๒๒ ๗. พระราชบัญญัติการประกอบอาชีพงานก่อสร้าง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๔ ๘. ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๔๕ ๙. ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๕๓ |
||||||||||||||||||||||||
875 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สาม และแนวโน้มปี 2555 - 2556 | นร11 | 20/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ ๓ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และแนวโน้มปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๖ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ ๓ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ขยายตัวร้อยละ ๓.๐ เทียบกับการขยายตัวร้อยละ ๐.๔ และร้อยละ ๔ ในไตรมาสแรก และไตรมาสสอง ตามลำดับ โดยมีปัจจัยจากการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศที่เร่งตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน การใช้จ่ายภาครัฐ และการลงทุนโดยรวม ในด้านการผลิต การขยายตัวมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของการผลิตนอกภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะสาขาเกษตร การก่อสร้าง การค้าส่งค้าปลีก โรงแรมและภัตตาคาร ที่ขยายตัวสูงต่อเนื่อง ทั้งนี้ ในระยะ ๙ เดือนแรกของปี เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ ๒.๖ และเมื่อปรับผลของฤดูกาลแล้ว ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศขยายตัวร้อยละ ๑.๒ จากไตรมาสที่ ๒ ดังนี้ ๑.๑ ภาคบริโภครวม ขยายตัวร้อยละ ๖.๕ เร่งตัวขึ้นจากร้อยละ ๕.๖ ในไตรมาสก่อนหน้า การบริโภคภาคครัวเรือนเร่งตัวขึ้นจากร้อยละ ๕.๓ เป็นร้อยละ ๖.๐ ตามการปรับตัวดีขึ้นของรายได้ภาคครัวเรือน และมาตรการคืนเงินภาษีให้กับผู้ซื้อรถยนต์คันแรก และเมื่อรวม ๙ เดือนแรกของปี การบริโภครวมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๔.๙ ๑.๒ การลงทุนรวม ขยายตัวร้อยละ ๑๕.๕ เร่งตัวขึ้นจากร้อยละ ๑๐.๒ ในไตรมาสที่ ๒ โดยการขยายการลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ ๑๘.๒ ในขณะที่การลงทุนภาครัฐขยายตัวร้อยละ ๑๓.๒ สูงขึ้นจากร้อยละ ๔.๐ ในไตรมาสก่อนหน้า และเมื่อรวม ๙ เดือนแรกของปี การลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๑๐.๓ ๑.๓ ภาคการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐ มีมูลค่า ๕๙,๒๘๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๓.๐ ตลาดส่งออกที่หดตัว ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา (ลดลงร้อยละ ๑.๒) สหภาพยุโรป (ลดลงร้อยละ ๑๙.๒) ญี่ปุ่น (ลดลงร้อยละ ๖.๓) อาเซียน (ลดลงร้อยละ ๙.๐) และรวม ๙ เดือนแรกของปี มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐหดตัวร้อยละ ๐.๙ ๑.๔ ภาคเกษตร ขยายตัวร้อยละ ๘.๖ เร่งตัวขึ้นจากร้อยละ ๑.๘ ในไตรมาสก่อน ตามการขยายตัวของผลผลิตภาคเกษตร ทั้งหมวดพืชผล และปศุสัตว์ โดยเฉพาะข้าวเปลือก มันสำปะหลัง และยางพารา ที่ขยายตัวสูงร้อยละ ๕๗.๗ ๒๗.๐ และ ๘.๓ ตามลำดับ ทำให้รายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๔ และรวม ๙ เดือนแรกของปี ภาคการเกษตรขยายตัวร้อยละ ๔.๓ ๑.๕ ภาคการก่อสร้าง ขยายตัวร้อยละ ๙.๘ เร่งตัวขึ้นจากร้อยละ ๖.๙ ในไตรมาสก่อน ตามการขยายตัวของสาขาก่อสร้างภาครัฐที่เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๑.๓ และการก่อสร้างภาคเอกชนที่ขยายตัวร้อยละ ๙.๙ และรวม ๙ เดือนแรกของปี ภาคการก่อสร้างขยายตัวร้อยละ ๖.๑ ๑.๖ ภาคการค้าส่งค้าปลีก ขยายตัวร้อยละ ๔.๑ ชะลอลงจากร้อยละ ๕.๔ เนื่องจากการหดตัวของการค้าในหมวดวัตถุดิบทางการเกษตรและสิ่งมีชีวิตตามการหดตัวของการผลิตภาคอุตสาหกรรม และการส่งออก ในขณะที่การค้าหมวดยานยนต์ และน้ำมันเชื้อเพลิงขยายตัว และรวม ๙ เดือนแรกของปี ภาคการค้าส่งค้าปลีกขยายตัวร้อยละ ๔.๖ ๑.๗ สาขาโรงแรมและภัตตาคาร ขยายตัวต่อเนื่องร้อยละ ๖.๙ ตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่อง โดยจำนวนนักเที่ยวต่างชาติมีจำนวน ๕.๓ ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ ๘.๔ และรวม ๙ เดือนแรกของปี สาขาโรงแรมและภัตตาคารขยายตัวร้อยละ ๗.๐ ๑.๘ ภาคอุตสาหกรรม หดตัวร้อยละ ๑.๑ เทียบกับการขยายตัวร้อยละ ๒.๘ ในไตรมาสก่อน เนื่องจากการหดตัวของอุตสาหกรรมเพื่อส่งออก โดยเฉพาะฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ เซมิคอนดักเตอร์ และอาหารแช่แข็ง หดตัวร้อยละ ๓๗.๒ ๒๗.๘ และ ๒๔.๖ ตามลำดับ และรวม ๙ เดือนแรกของปี ภาคอุตสาหกรรมหดตัวร้อยละ ๐.๙ ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี ๒๕๕๕ จะขยายตัวร้อยละ ๕.๕ ซึ่งเป็นขอบล่างของการประมาณการร้อยละ ๕.๕-๖.๐ การบริโภคครัวเรือนขยายตัวร้อยละ ๕.๒ การลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๑๒.๐ การส่งออกในรูปดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๕.๕ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ ๓.๐ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๐.๘ ของ GDP ๓. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี ๒๕๕๖ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๔.๕-๕.๕ โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัวร้อยละ ๑๒.๒ การบริโภคของครัวเรือนและการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๔.๐ และร้อยละ ๘.๑ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในช่วงร้อยละ ๒.๕-๓.๕ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๑.๐ ของ GDP โดยมีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก การฟื้นตัวของการค้าสินค้าคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ อุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มขยายตัวในเกณฑ์ดี การเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ และแรงกดดันอัตราเงินเฟ้ออยู่ในเกณฑ์ต่ำ รวมทั้งปัจจัยความเสี่ยงที่ควรระมัดระวัง ได้แก่ อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานสูงยังมีข้อจำกัดในการขยายตัว สภาพคล่องส่วนเกินในระบบเศรษฐกิจและการเงินโลก และราคาน้ำมันยังมีความเสี่ยงที่จะเพิ่มขึ้นเร็วกว่าการคาดการณ์ ๔. ประเด็นการบริหารนโยบายเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี ๒๕๕๕ และในปี ๒๕๕๖ ควรให้ความสำคัญกับการดำเนินมาตรการเพื่อให้เศรษฐกิจสามารถขยายตัวได้เต็มศักยภาพควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจและป้องกันความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในส่วนของการเร่งรัดการส่งออก การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการดำเนินการตามโครงการลงทุนสำคัญ ๆ ของภาครัฐ การติดตามและเตรียมการเพื่อรองรับแนวโน้มการแข็งค่าของเงินบาท การดำเนินการปรับโครงสร้างราคาพลังงานตามแผนที่กำหนดไว้ และการปรับกฎระเบียบด้านการค้าและการลงทุน
|
||||||||||||||||||||||||
876 | ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารที่จะมีการรับรองหรือลงนามระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 21 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง | กต | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบต่อร่างเอกสาร จำนวน ๑๐ ฉบับ ที่จะมีการรับรองหรือลงนามระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๑ และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ซึ่งราชอาณาจักรกัมพูชาในฐานะประธานอาเซียนจะเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๘-๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ กรุงพนมเปญ และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง โดยร่างเอกสาร จำนวน ๑๐ ฉบับ ประกอบด้วย ๑.๑.๑ ร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ๑.๑.๒ ร่างแถลงการณ์ผู้นำอาเซียนว่าด้วยการรับรองปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ๑.๑.๓ ร่างแถลงการณ์ร่วมผู้นำอาเซียนว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์ทุ่นระเบิดภูมิภาคอาเซียน ๑.๑.๔ ร่างแผนปฏิบัติการปฏิญญาบาหลีว่าด้วยประชาคมอาเซียนในประชาคมโลก ๑.๑.๕ ร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียน-จีน ในโอกาสครบรอบ ๑๐ ปี ปฏิญญาว่าด้วยการปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต้ : เพื่อเพิ่มพูนสันติภาพ มิตรภาพ และความร่วมมือ ๑.๑.๖ ร่างแถลงการณ์ร่วมผู้นำอาเซียนบวกสามในโอกาสครบรอบ ๑๕ ปี ของกรอบความร่วมมืออาเซียนบวกสาม ๑.๑.๗ ร่างแถลงการณ์ผู้นำว่าด้วยหุ้นส่วนความเชื่อมโยงอาเซียนบวกสาม ๑.๑.๘ ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมผู้นำอาเซียน-สหรัฐฯ ครั้งที่ ๔ ๑.๑.๙ ร่างปฏิญญาการประชุมสุดยอดอาเซียนตะวันออก ครั้งที่ ๗ ว่าด้วยภาวะการดื้อยาต้านมาลาเรีย ๑.๑.๑๐ ร่างปฏิญญาพนมเปญว่าด้วยข้อริเริ่มการพัฒนาของการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ๑.๒ ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมลงนามเอกสารในข้อ ๑.๑.๒ ๑.๓ ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารในข้อ ๑.๑.๑ และข้อ ๑.๑.๓ ถึง ๑.๑.๑๐ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่า การรับรองร่างเอกสาร จำนวน ๑๐ ฉบับดังกล่าว จะมีส่วนสำคัญในการแสดงความพร้อมของไทยในการสนับสนุนการดำเนินงานต่าง ๆ ในกรอบอาเซียน อาทิ การสนับสนุนการดำเนินการตามแผนแม่บทความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน การสนับสนุนบทบาทของผู้นำเอเชียตะวันออกในการลดช่องว่างด้านการพัฒนาการจัดการภัยพิบัติ การเสริมสร้างและยกระดับความสัมพันธ์กับประเทศคู่เจรจา ซึ่งมีความสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลด้านการต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ รวมทั้งยุทธศาสตร์การสร้างความเชื่อมโยงกับประเทศในภูมิภาคเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๑๑ ที่มุ่งส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศอาเซียนเพื่อบรรลุเป้าหมายในการจัดตั้งประชาคมอาเซียน และเห็นควรเพิ่มข้อความในแผนปฏิบัติการปฏิญญาบาหลีว่าด้วยประชาคมอาเซียนในประชาคมโลก “ปฏิญญาบาหลี ๓” (ค.ศ. ๒๐๑๒-๒๐๒๒) ในหน้าที่ ๑๔ หัวข้อ จ. หัวข้อย่อยที่ ๒ “.....โดยเฉพาะโครงการที่มุ่งลดช่องว่างด้านการพัฒนาและส่งเสริมการเป็นฐานการผลิตร่วมบริเวณชายแดน...” เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
877 | ร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 02/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช ๒๔๘๕ กำหนดให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินมีอำนาจดำเนินการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินที่ประสบภาวะวิกฤติทางการเงินอันอาจกระทบต่อเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการกำหนดนิยามและหลักเกณฑ์ในการช่วยเหลือสถาบันการเงิน ควรจำกัดไว้เฉพาะในกรณีที่ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นเป็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินและตลาดการเงินโดยรวม (Systematic risk) เท่านั้น การพิจารณาปรับบทบาทหน้าที่ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินในการโอนอำนาจหน้าที่ของกองทุนฯ ให้สถาบันคุ้มครองเงินฝากดำเนินการแทน เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินภารกิจด้านการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน การพิจารณาความเหมาะสมของอัตราการนำส่งเงินให้สถาบันคุ้มครองเงินฝากและธนาคารแห่งประเทศไทย รวมทั้งการสนับสนุนการดำเนินนโยบายการกำกับดูแลสถาบันการเงิน (Micro and Macro Prudential) ตามกรอบการกำกับดูแลสถาบันการเงินตามมาตรฐานสากล และแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินระยะที่ ๑ และระยะที่ ๒ ในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการของสถาบันการเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินและระบบการเงินโดยรวม เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณา แล้วส่งร่างพระราชบัญญัติฯ ให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
878 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการและกรรมการการเลือกตั้งประธานผู้ตรวจการแผ่นดินและผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และประธานกรรมการและกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สผ | 22/10/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการและกรรมการการเลือกตั้ง ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินและผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และประธานกรรมการและกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และให้นำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ แก้ไข ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบด้วยแล้ว เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว โดยเห็นสมควรแก้ไขเพิ่มเติมเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติ ดังนี้ "โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมบัญชีอัตราเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการและกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และประธานกรรมการและกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน เพื่อให้เหมาะสมกับสภาวะทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป โดยปรับอัตราเงินเดือนเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละสาม ร้อยละห้า ร้อยละสี่ และร้อยละห้า เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับเงินเดือนภาครัฐ และในกรณีที่มีการปรับอัตราเงินเดือนเพิ่มเป็นร้อยละเท่ากันทุกอัตราและไม่เกินร้อยละสิบของอัตราที่ใช้บังคับอยู่ สมควรให้กระทำได้โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา รวมทั้งเปลี่ยนชื่อผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา เพื่อให้สอดคล้องกับชื่อที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้"
|
||||||||||||||||||||||||
879 | ผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย | นร07 | 22/10/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยผลการพิจารณาโครงการ/รายการที่สำคัญมีความจำเป็นต้องดำเนินการภายใต้ข้อจำกัดของวงเงินที่จะสามารถจัดสรรได้ เห็นควรอนุมัติค่าใช้จ่ายจากเงินที่ส่วนราชการส่งคืนงบประมาณ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ดังนี้
๑. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๑.๑ กรมชลประทาน ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมคลองส่งน้ำ เป็นเงิน ๑๓.๐๑๐๕ ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมคลองระบายน้ำ เป็นเงิน ๑๘.๕๐๐๐ ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมคันกั้นน้ำ พนังกันน้ำ เป็นเงิน ๒๓.๔๓๐๐ ล้านบาท และค่าก่อสร้างอาคารประกอบประตูระบายน้ำคลองบางกรวย เป็นเงิน ๘๙.๙๓๐๐ ล้านบาท ผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นเงิน ๒๑๘.๔๑๐๖ ล้านบาท รวมเป็นเงินค่าก่อสร้างทั้งสิ้น ๓๐๘.๓๔๐๖ ล้านบาท ๑.๒ กรมประมง ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และ พ.ศ. ๒๕๕๕ ด้านการเกษตร เป็นเงิน ๓๖.๙๖๗๗ ล้านบาท ๑.๓ กรมส่งเสริมการเกษตร ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และ พ.ศ. ๒๕๕๕ ด้านการเกษตร เป็นเงิน ๔๗.๕๒๔๗ ล้านบาท ๒. กระทรวงกลาโหม ๒.๑ กองทัพบก ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมและปรนนิบัติรถยนต์บรรทุก ขนาด ๒ ๑/๒ ตัน จำนวน ๔๐๐ คัน เป็นเงิน ๒๐.๐๐๐๐ ล้านบาท ๒.๒ กองทัพเรือ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติการระบายน้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เป็นเงิน ๙.๕๗๐๐ ล้านบาท ๓. กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมโรงเรียน และสำนักงานพื้นที่เขตการศึกษา (จังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง ชุมพร สุราษฎร์ธานี และสงขลา) เป็นเงิน ๑๐๐.๐๐๐๐ ล้านบาท ๔. กระทรวงสาธารณสุข สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายงบค้างจ่ายการปฏิบัติการในภาวะภัยพิบัติ เป็นเงิน ๑๒.๘๙๙๓ ล้านบาท ๕. กระทรวงมหาดไทย สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้แก่ โครงการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ประสบอุทกภัยตามข้อเสนอของจังหวัด จำนวน ๘ จังหวัด เป็นเงิน ๑๖๘.๘๐๕๙ ล้านบาท ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นเงิน ๒๙.๗๘๐๕ ล้านบาท จังหวัดพัทลุง เป็นเงิน ๒๔.๗๖๐๐ ล้านบาท จังหวัดนราธิวาส เป็นเงิน ๓๓.๓๑๖๐ ล้านบาท จังหวัดปัตตานี เป็นเงิน ๒๑.๐๙๗๘ ล้านบาท จังหวัดสงขลา เป็นเงิน ๙.๖๖๑๖ ล้านบาท จังหวัดระนอง เป็นเงิน ๑๑.๓๐๐๐ ล้านบาท จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นเงิน ๒๐.๐๐๐๐ ล้านบาท และจังหวัดหนองบัวลำภู เป็นเงิน ๑๘.๘๙๐๐ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
880 | รายงานประจำครึ่งปี (มกราคม - มิถุนายน 2555) ธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 22/10/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (มกราคม-มิถุนายน ๒๕๕๕) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ส่วนที่ ๑ ภาวะเศรษฐกิจ ๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ขยายตัวร้อยละ ๒.๒ จากระยะเดียวกันปีก่อน ๑.๒ เสถียรภาพเศรษฐกิจโดยรวมปรับดีขึ้นหลังปัญหาอุทกภัยคลี่คลายลง คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๓.๐๐ ต่อปี สำหรับเสถียรภาพด้านราคา อัตราเงินเฟ้อชะลอลงและยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย ส่วนเสถียรภาพด้านต่างประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี ๑.๓ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ กนง.ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวร้อยละ ๕.๗ ในขณะที่แรงส่งของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปีมีแนวโน้มอ่อนลงจากอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศ ๒. ส่วนที่ ๒ การดำเนินงานของ ธปท. ๒.๑ แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายการเงิน กนง.ประเมินภาวะการเงินโดยรวมในปัจจุบันว่า ยังผ่อนปรนเพียงพอที่จะสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป และสามารถรองรับความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกได้ในระดับหนึ่ง อีกทั้งเศรษฐกิจไทยยังสามารถขยายตัวได้ใกล้เคียงศักยภาพ ขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมาย ๒.๒ แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายสถาบันการเงิน ได้แก่ ๒.๒.๑ ภาพรวมระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ในภาพรวมระบบธนาคารพาณิชย์มีเสถียรภาพ สินเชื่อขยายตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ลดลงเล็กน้อย กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของสินเชื่อ สำหรับปัจจัยที่ควรติดตามที่อาจมีผลต่อเสถียรภาพในช่วงต่อไปที่สำคัญ ได้แก่ ผลของการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่อาจกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยและคุณภาพของสินเชื่อ สินเชื่อมีการเร่งตัวโดยเฉพาะสินเชื่อรถยนต์และสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ ๒.๒.๒ การดำเนินนโยบายด้านสถาบันการเงินในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้จัดให้มีการประชุมร่วมระหว่าง กนง. และคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) โดยที่ประชุมร่วมได้ประเมินเสถียรภาพระบบการเงินไทยในปัจจุบันว่า ยังอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ความเสี่ยงที่สำคัญ คือ ปัญหาเศรษฐกิจในยุโรปและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งในระยะสั้นอาจสร้างความผันผวนต่อตลาดการเงินของไทย และในระยะยาวจะกระทบต่อศักยภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ๒.๒.๓ การดูแลความมั่นคงของสถาบันการเงิน ธปท. ได้ดำเนินการกำกับดูแลธุรกรรมที่สำคัญของสถาบันการเงิน โดยปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการออกตั๋วเงินของสถาบันการเงินให้มีความชัดเจน ทันสมัย และสอดคล้องหลักเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในส่วนของการดูแลผู้บริโภคได้ร่วมมือกับ ก.ล.ต. และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ในการยกร่างแนวนโยบายในเรื่องการขายผลิตภัณฑ์ด้านประกันและหลักทรัพย์ผ่านสาขาของสถาบันการเงิน สำหรับการเตรียมความพร้อมสถาบันการเงินเพื่อรองรับการปฏิบัติตามมาตรฐานสากล ธปท. ได้ออกหลักเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนขั้นต่ำสำหรับความเสี่ยงด้านปฏิบัติการโดยวิธี Advanced Measurement Approaches (วิธี AMA) นอกจากนี้ได้เตรียมออกหลักเกณฑ์การกำกับดูแลเงินกองทุนเกี่ยวกับแนวทางในการรายงานข้อมูล (Leverage Ratio) และความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง และยังได้ดำเนินการต่อไปในส่วนของการประเมินผลกระทบ (Quantitative Impact Study: QIS) ของหลักเกณฑ์ Basel III ต่อระบบสถาบันการเงินด้วย ๒.๒.๔ การดำเนินนโยบายการพัฒนาระบบสถาบันการเงิน การดำเนินการคืบหน้าตามวัตถุประสงค์ คือ ลดต้นทุน ส่งเสริมการแข่งขันและการเข้าถึงบริการทางการเงิน และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน ๒.๒.๕ การดำเนินนโยบายสถาบันการเงินในเวทีระหว่างประเทศ ธปท. ได้ร่วมกำหนดนโยบายการเปิดเสรีและกลยุทธ์การเจรจากับคณะทำงานพิจารณาเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน ตามแนวนโยบายของรัฐบาลและแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ ๒ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาเปิดเสรีภาคการเงิน รอบที่ ๖ (พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๗) นอกจากนี้ยังได้เข้าร่วมประชุมจัดทำแผนการรวมตัวภาคการธนาคาร และร่วมเจรจาความตกลงการค้าเสรีอื่น ๆ อีก ๔ ฉบับ สำหรับบทบาท ธปท. ในเวทีการกำกับดูแลสากล ได้เข้าร่วมหารือในเวทีที่มีความสำคัญในการวางเกณฑ์สากลของการกำกับดูแลสถาบันการเงิน ๒.๒.๖ การดำเนินงานด้านการกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงิน ได้ดำเนินการปรับปรุงแนวทางการตรวจสอบสถาบันการเงินแบบเน้นธุรกรรมที่สำคัญของสถาบันการเงิน โดยในครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้ตรวจสอบสถาบันการเงินแล้วเสร็จ ๑๗ แห่ง และอยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบอีก ๖ แห่ง นอกจากนี้ยังได้กำหนดให้มีการตรวจสอบกระบวนการบริหารที่สำคัญ ซึ่งได้ดำเนินการตรวจสอบสถาบันการเงินในด้านนี้แล้ว ๑๔ แห่ง ๒.๒.๗ การทำหน้าที่เป็นนายธนาคารของสถาบันการเงินของ ธปท. ในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องประมาณ ๔.๘ เท่าของอัตราที่กฎหมายกำหนด ๒.๓ แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายระบบการชำระเงิน ๒.๓.๑ การดำเนินนโยบายด้านระบบการชำระเงิน ธปท. ดำเนินงานในโครงการต่าง ๆ ตามแผนกลยุทธ์ระบบการชำระเงิน ๒๕๕๕-๒๕๕๙ อาทิ การสนับสนุนการพัฒนาระบบ Local Switching การชำระเงินด้วยบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ออกและใช้จ่ายในประเทศ การส่งเสริมการทำธุรกรรมชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ การกำหนดมาตรฐานกลางข้อความการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ และการพัฒนาระบบการชำระเงินเพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งการดำเนินงานตามแผนงานดังกล่าวมีความคืบหน้าตามที่กำหนด ๒.๓.๒ การพัฒนาระบบการหักบัญชีเช็คระหว่างธนาคารด้วยภาพเช็ค (Imaged Cheque Clearing and Archive System: ICAS) ดำเนินโครงการพัฒนาระบบ ICAS ซึ่งเริ่มใช้งานในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ก่อนทยอยขยายการให้บริการไปทั่วประเทศภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๒.๓.๓ การกำกับดูแลระบบการชำระเงินและผู้ประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ธปท. อยู่ระหว่างศึกษาและรวบรวมข้อมูลแนวทางการกำกับดูแลระบบการชำระเงินตามมาตรฐานสากลที่สำคัญ รวมถึงพิจารณาแนวทางในการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่ภายใต้พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๕๑ นอกจากนี้ได้ให้ความร่วมมือกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในการให้ความเห็นเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงและแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับผู้ให้บริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
|
.....