ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 45 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 881 - 900 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
881 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงินประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2555 | กค | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. เป้าหมายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น (Flexible Inflation Targeting) โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างเต็มศักยภาพ โดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อและปัญหาฟองสบู่หรือความไม่สมดุลในระบบการเงิน เป้าหมายนโยบายการเงินประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามข้อเสนอร่วมกันของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ กนง. ให้ใช้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยรายไตรมาสที่ร้อยละ ๐.๕-๓.๐ ต่อปี สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในไตรมาสที่ ๑ และ ๒ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๒.๗๔ และ ๒.๐๐ ตามลำดับ ชะลอลงต่อเนื่องจากครึ่งหลังของปีก่อนตามราคาสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่มที่ชะลอลง ๒. สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒.๑ ภาวะเศรษฐกิจ ในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๕ เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้เร็วจากเหตุการณ์อุทกภัยและกลับเข้าสู่ระดับปกติแล้ว การผลิตภาคอุตสาหกรรมในภาพรวมทยอยฟื้นตัวจนสามารถกลับมาผลิตได้ในระดับปกติในช่วงปลายไตรมาสที่ ๒ แต่อย่างไรก็ดี แม้ภาคการผลิตจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการส่งออก แต่ปัญหาเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศยูโรที่ยืดเยื้อและขยายวงกว้าง รวมถึงความอ่อนแอของเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ได้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกและการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่เน้นผลิตเพื่อการส่งออกชัดเจนขึ้น ๒.๒ ภาวะเงินเฟ้อ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ อยู่ที่ร้อยละ ๒.๙๕ และ ๒.๓๗ ตามลำดับ ๒.๓ การดำเนินนโยบายการเงิน กนง. ได้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๓.๐ ต่อปี โดยเห็นว่า แม้เศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัวเป็นปกติแล้ว แต่ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้น และส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก ภาวะการเงินที่ผ่อนปรนต่อเนื่องจะมีส่วนช่วยรองรับผลกระทบดังกล่าวขณะที่มิได้สร้างความไม่สมดุลในระบบเศรษฐกิจ โดยแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย และไม่มีสัญญาณของฟองสบู่ ๒.๔ การดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน ดัชนีค่าเงินบาทในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ ๑๐๑.๓๑ ทรงตัวจากช่วงครึ่งหลังของปีก่อนหน้า โดยค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลัก เช่น ดอลลาร์สหรัฐ และเยน แต่แข็งค่าขึ้นเทียบกับเงินยูโรจากปัญหาหนี้สาธารณะในกลุ่มประเทศยูโร สำหรับดัชนีค่าเงินบาทที่แท้จริงเฉลี่ยทรงตัวจากครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และเคลื่อนไหวสอดคล้องกับทิศทางดัชนีค่าเงินบาท ๒.๕ แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อปี พ.ศ. ๒๕๕๕ กนง. ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ มีแนวโน้มแผ่วลงจากปีก่อนหน้ามาเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๒.๙ และ ๒.๒ ตามลำดับ อย่างไรก็ดี ภาคการอุปโภคบริโภคและภาคการลงทุนยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนแรงกดดันด้านอุปสงค์อยู่ ขณะที่การคาดการณ์เงินเฟ้อและแรงกดดันด้านต้นทุนมีแนวโน้มทรงตัว โดยในส่วนของราคาน้ำมันแม้ว่าปัญหาความไม่สงบทางการเมืองในประเทศผู้ผลิตน้ำมันหลายแห่ง รวมถึงปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับชาติตะวันตกจะยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อในระยะต่อไป แต่การชะลอการปรับโครงสร้างราคาพลังงานของภาครัฐจะช่วยบรรเทาแรงกดดันในส่วนนี้ได้ในระดับหนึ่ง
|
||||||||||||||||||
882 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง สถานการณ์สิ่งแวดล้อมจากการรั่วไหลของสารพิษในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง (เพิ่มเติม) | อก | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (กรมโรงงานอุตสาหกรรม) รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง สถานการณ์สิ่งแวดล้อมจากการรั่วไหลของสารพิษในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง (เพิ่มเติม) สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงอุตสาหกรรม (กรมโรงงานอุตสาหกรรม) ได้จัดประชุมคณะอนุกรรมการป้องกันอุบัติภัยจากสารเคมีและวัตถุอันตราย เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการป้องกันและบรรเทาภัยจากสารเคมีและวัตถุอันตราย พร้อมเสนอแนวทางให้ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติทราบในการประชุมคณะกรรมการฯ เมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ แนวทางดังกล่าวประกอบด้วย ๒ มาตรการ ได้แก่ ๑.๑ มาตรการที่ ๑ มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาจากสารเคมีและวัตถุอันตราย ๑.๑.๑ การปฏิบัติตามกฎระเบียบและมาตรการด้านความปลอดภัย มอบให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานหลัก สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด กรมควบคุมโรค และสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเป็นหน่วยงานสนับสนุน ๑.๑.๒ การจัดทำสรุปบทเรียน (Lesson Learned) ของการเกิดภัยจากสารเคมีและวัตถุอันตรายครั้งสำคัญที่ผ่านมา เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการในอนาคต มอบให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยงานหลัก และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมควบคุมโรค กรมควบคุมมลพิษ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ เป็นต้น เป็นหน่วยงานสนับสนุน ๑.๑.๓ การเสริมสร้างความรู้และความตระหนักแก่ประชาชน นักเรียน นักศึกษา และเยาวชน ให้เป็นไปตามบทบาทหน้าที่และแผนงานของหน่วยงาน โดยมีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยงานหลักประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กรมควบคุมมลพิษ กรมโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น ๑.๒ มาตรการที่ ๒ การบูรณาการเตรียมพร้อมรับเหตุภาวะฉุกเฉินจากโรงงานอุตสาหกรรม และการเตรียมพร้อมแผนฉุกเฉินชุมชน ๑.๒.๑ การจัดทำ “แผนปฏิบัติการในภาวะฉุกเฉินของโรงงาน” และ แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยระดับพื้นที่ (เทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล) ซึ่งเชื่อมโยงและสนับสนุนแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด โดยโรงงานอุตสาหกรรมสามารถนำข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยของโรงงานที่สามารถเปิดเผยได้ รวมทั้งแผนงาน/โครงการที่สอดคล้องมาบรรจุไว้ในแผนฯ ระดับพื้นที่ โดยการประสานอย่างใกล้ชิด เพื่อสนับสนุนแผนปฏิบัติการในภาวะฉุกเฉินของโรงงาน และแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยระดับพื้นที่ให้มีความเชื่อมโยง เกื้อกูล และสนับสนุนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ๑.๒.๒ การฝึกซ้อมแผนร่วมกันระหว่างโรงงานอุตสาหกรรมและชุมชนบริเวณใกล้เคียงเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติตามขั้นตอนและเป็นแนวทางเดียวกันอย่างเป็นรูปธรรม ๒. กระทรวงอุตสาหกรรมได้มีโครงการที่จะพัฒนาระบบการเตือนภัยและการจัดการสารเคมีและวัตถุอันตรายที่มีอยู่ยกระดับขึ้นเป็นศูนย์เฝ้าระวังและป้องกันภัยระดับโรงงานอุตสาหกรรม ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียด
|
||||||||||||||||||
883 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 7/2555 | นร11 | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค (กรอ.) ครั้งที่ ๗/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีรายละเอียดข้อเสนอเพื่อพิจารณาของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย และเห็นชอบตามมติที่ประชุม กรอ. โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้
๑. ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ศึกษารายละเอียดและความเหมาะสมในการจัดตั้งสถาบันเฉพาะทางเพื่อทำหน้าที่ในการวิจัยและพัฒนาปาล์มน้ำมันแบบครบวงจร รวมทั้งมาตรการและสิทธิพิเศษเพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนและแปรรูปผลิตภัณฑ์จากพืชปาล์มน้ำมันไปสู่อุตสาหกรรมขั้นสูงในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ และเสนอคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติพิจารณา นอกจากนี้ ให้พิจารณาในรายละเอียดโครงการรักษาเสถียรภาพราคายางพาราเพื่อประกอบการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามระเบียบและขั้นตอน ๑.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงพาณิชย์พิจารณาเร่งรัดเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตามกฎหมายป่าไม้ยุโรป (EU FLEGT) และเร่งรัดการออกระเบียบ ข้อกำหนด และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องภายใต้พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ ๑.๓ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับกระทรวงคมนาคม และกระทรวงมหาดไทย รับข้อเสนอการเร่งรัดการดำเนินโครงการพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าภาคใต้ ทุ่งสง ไปศึกษารายละเอียดด้านการจัดการธุรกิจ ผู้บริหารโครงการและการจัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมในโครงการ เพื่อประกอบการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี ๑.๔ ให้กระทรวงพลังงานศึกษาในรายละเอียดข้อเสนอเพื่อขอรับการสนับสนุนการพัฒนาโรงงานไฟฟ้าพลังงานชีวมวลเพื่อสร้างพลังงานไฟฟ้าทดแทนและลดมลภาวะของเสียในโรงงานให้ครอบคลุมมาตรการที่ภาคเอกชนเสนอ ๒. ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการดำเนินการบำรุงรักษาทางและกิจกรรมฟื้นฟูทางหลวงที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นลำดับแรกให้สอดคล้องเหมาะสมกับวงเงินงบประมาณที่ได้รับ สำหรับการปรับปรุงถนนเพื่อขยายเป็น ๔ ช่องจราจร ให้กรมทางหลวงจัดลำดับความสำคัญของเส้นทางตามเกณฑ์การขยายเพิ่มช่องจราจรเป็น ๔ ช่องจราจร ส่วนการพัฒนาและปรับปรุงเส้นทางสายรองเลียบชายฝั่งอ่าวไทยเป็น ๔ ช่องจราจร ควรให้ความสำคัญในการใช้เป็นเส้นทางเพื่อการสนับสนุนด้านการท่องเที่ยวและการปรับปรุงเส้นทางเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ถนน โดยขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาแนวทางการก่อสร้างท่าเรือรองรับการขนส่งและการท่องเที่ยวของภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย เพื่อเชื่อมโยงอ่าวไทย-อันดามัน โดยเร่งรัดการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของท่าเรือน้ำลึกเขาประจำเหียง อำเภอสวี จังหวัดชุมพร และศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างท่าเรือที่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช และท่าเรือที่อำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๓. ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๓.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาเร่งรัดแผนการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการแม่น้ำตรัง-ลุ่มน้ำตาปี-แม่น้ำชุมพร ให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ และเสนอต่อคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ตามขั้นตอนต่อไป ๓.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณารายละเอียดการขอรับการสนับสนุนโครงการแก้ปัญหาภัยแล้ง/น้ำท่วมของภาคใต้ฝั่งอ่าวไทยเสนอต่อ กบอ. ตามขั้นตอนต่อไป ๓.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณารายละเอียดการขอรับการสนับสนุนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำดี/น้ำดิบของเกาะสมุย และแจ้งผลการดำเนินงานให้ภาคเอกชนทราบ รวมทั้งร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณารายละเอียดการขอรับการสนับสนุนการบริหารจัดการบำบัดน้ำเสียในแหล่งท่องเที่ยวและชุมชนนครขนาดใหญ่ โดยคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อประกอบการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี ๔. ข้อเสนอของ กกร./สทท. เรื่อง การส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการ ๔.๑ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาความเหมาะสมของกลุ่มท่องเที่ยวมหัศจรรย์สองสมุทรตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ เพื่อเสนอคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติพิจารณาประกาศเป็นเขตพัฒนาการท่องเที่ยว พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาการท่องเที่ยวประจำเขต ๔.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณารายละเอียดการขอรับการสนับสนุนโครงการฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่ระเบิดหินเก่าที่รกร้างให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดพัทลุง ๔.๓ ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการพิจารณาในรายละเอียดการขอรับการสนับสนุนการเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพทางการแพทย์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพภาคใต้ตอนบน ประกอบด้วยโครงการก่อสร้างโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีแห่งที่ ๒ โครงการจัดตั้งศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และโครงการจัดตั้งสถาบันการแพทย์ชั้นสูง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ภาคใต้ตอนบน เพื่อประกอบการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอน ๕. รับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามมติการประชุม กรอ.ภูมิภาค ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้ฝ่ายเลขานุการติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานฯ มารายงานให้ทราบเป็นระยะ ๖. รับทราบเรื่องอื่น ๆ ที่ กกร./สภาธุรกิจตลาดทุนไทยเสนอเพิ่มเติม ๖.๑ การเร่งรัดกระบวนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ๖.๒ การผลักดันและสนับสนุนให้ บริษัท ปตท. จำกัด เข้ามาลงทุนสร้างสถานีบริการ NGV ที่สอดคล้องกับการขยายท่อก๊าซช่วงขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช-จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๖.๓ การเร่งผลักดันร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ให้มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายได้ทันในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ๖.๔ การพิจารณาทบทวนการขยายสิทธิให้นักลงทุนนอกภาคีอาเซียน (Non Party) ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีบริการ (ASEAN Framework Agreement on Services) ๖.๕ การเร่งรัดการเจรจา Thai-EU FTA เพื่อให้มีผลบังคับใช้ก่อนปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อรักษาตลาดและความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดสหภาพยุโรป ๖.๖ การดำเนินโครงการให้ความรู้ด้านการเงินแก่ประชาชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้
|
||||||||||||||||||
884 | นโยบายและมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 2556 | พณ | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการกำหนดนโยบายและมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๕๖ ตามมติคณะกรรมการนโยบายอาหาร ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ (ครั้งที่ ๗๔) เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๕ ที่มีมติเห็นชอบการกำหนดนโยบายและมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การนำเข้าตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area : AFTA) และโครงการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน (Contract Farming) ภายใต้ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิระวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (Ayerawady-chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) ภาษีร้อยละ ๐ กำหนดมาตรการบริหารนำเข้าโดยให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) นำเข้าได้ตลอดทั้งปี โดยให้ อคส. จัดทำแผนการจัดซื้อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านการผลิต การตลาด ภาวะราคาและความต้องการใช้ เพื่อไม่ให้กระทบต่อราคาผลผลิตในประเทศ และให้ผู้นำเข้าทั่วไปนำเข้าได้ช่วงเดือนมีนาคม-กรกฎาคม และต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดมาตรฐานควบคุมการนำเข้าตามพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. ๒๕๒๕ ๑.๒ การนำเข้าตามความตกลงองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ภาษีนำเข้าในโควตาร้อยละ ๒๐ ปริมาณโควตา ๕๔,๗๐๐ ตัน โดยให้ อคส. เป็นผู้นำเข้าไม่จำกัดช่วงเวลานำเข้า ภาษีนำเข้านอกโควตาร้อยละ ๗๓ และค่าธรรมเนียมพิเศษตันละ ๑๘๐ บาท ๑.๓ การนำเข้าตามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ไทย-นิวซีแลนด์ (Thailand-New Zealand Closer Economic Partnership : TNZCEP) ภาษีร้อยละ ๐ ยกเว้นการกำหนดปริมาณนำเข้า ไม่ต้องขออนุญาตนำเข้าและไม่ต้องปฏิบัติตามมาตรการในการจัดระเบียบการนำเข้า ๑.๔ การนำเข้าตามความตกลงการค้าเสรี ไทย-ออสเตรเลีย (Thailand-Australia Free Trade Agreement : TAFTA) ภาษีในโควตาร้อยละ ๙.๓๓ ปริมาณโควตา ๘,๐๘๑.๖๘ ตัน การบริหารการนำเข้าตาม WTO ภาษีนอกโควตาร้อยละ ๖๕.๗ ๑.๕ การนำเข้าตามความตกลงการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่น (Japan-Thailand Economic Partnership Agreement : JTEPA) ภาษีในโควตาร้อยละ ๐ ปริมาณโควตาและการบริหารการนำเข้าตาม WTO ภาษีนอกโควตาร้อยละ ๗๓ ๑.๖ การนำเข้าตามความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ญี่ปุ่น (ASEAN-Japan Comprehensive Economic Partnership : AJCEP) ๑ มกราคม-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ภาษีในโควตาร้อยละ ๑๐.๙๐ และ ๑ เมษายน-๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ภาษีในโควตาร้อยละ ๙.๑๐ ปริมาณโควตาและการบริหารการนำเข้าตาม WTO ภาษีนอกโควตาร้อยละ ๗๓ ๑.๗ การนำเข้าตามความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-เกาหลี (ASEAN-Korea Free Trade Agreement : AKFTA) ภาษีในโควตาร้อยละ ๖.๖๗ ปริมาณโควตาและการบริหารการนำเข้าตาม WTO ภาษีนอกโควตาร้อยละ ๗๓ ๑.๘ การนำเข้าทั่วไป (ประเทศนอกข้อตกลง) ภาษีนำเข้ากิโลกรัมละ ๒.๗๕ บาท ค่าธรรมเนียมพิเศษตันละ ๑,๐๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบ บริหารจัดการสต๊อค (stock) และดำเนินการระบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เหมาะสมเป็นประโยชน์สูงสุด และไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อราคาผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง กรอบการระบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตามโครงการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๒ สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรทบทวนและขยายกำหนดช่วงระยะเวลาการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้านโดยผู้นำเข้าทั่วไป สำหรับปี ๒๕๕๖ เพิ่มเติมจากเดิมที่กำหนดไว้เฉพาะช่วงเดือนมีนาคม-กรกฎาคม เพื่อลดต้นทุนในการผลิตอาหารสัตว์ของไทย และเมื่อ อคส. จัดทำแผนการจัดซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เสร็จแล้ว ให้แจ้งจังหวัดเพื่อประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรในพื้นที่ทราบ โดยการจัดทำแผนการจัดซื้อและการดำเนินการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ดังกล่าว ให้พิจารณาดำเนินการอย่างรอบคอบ โดยรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้ครบถ้วนเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาดำเนินการ นอกจากนี้ ควรติดตามผลการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากต่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถบริหารจัดการราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศไม่ให้ตกต่ำ รวมทั้งมีมาตรการเข้มงวดต่อการลักลอบนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างผิดกฎหมายของประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับเกษตรกรภายในประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
885 | แผนประชากรในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555-2559) | นร11 | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแผนประชากรในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙) ซึ่งมีเป้าหมายการพัฒนาประชากรไทยทุกช่วงวัยมีอนามัยการเจริญพันธุ์ที่เหมาะสมและมีศักยภาพเพิ่มขึ้น สามารถแข่งขันได้ในภูมิภาคอาเซียนและตลาดโลก รวมทั้งมีการใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนย้ายประชากรอย่างเสรีในภูมิภาคอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นพลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจให้มีความเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นข้อมูลในการกำหนดรายละเอียดของยุทธศาสตร์และแผนการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องในระยะ ๕ ปี เพื่อรองรับผลกระทบ และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร รวมทั้งเพื่อสร้างความสมดุลของจำนวนประชากรของประเทศต่อไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำแผนประชากรในระยะยาว (๑๐-๒๐ ปี) โดยกำหนดเป้าหมายประชากร รวมทั้งจัดทำยุทธศาสตร์และแนวทางในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้สมดุลกับโครงสร้างเศรษฐกิจที่มีการเปลี่ยนแปลง และการเข้าเป็นสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบ (AEC) แล้วให้เสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับการกำหนดเป้าหมาย องค์ประกอบของการเปลี่ยนแปลงของประชากรไทยให้ชัดเจน โดยเฉพาะเป้าหมายการเพิ่มประชากร การทบทวนตัวชี้วัดที่สะท้อนแผนชี้นำระดับชาติ การกำหนดเป้าหมายรายปีเพื่อให้หน่วยงานที่นำไปปฏิบัติมีจุดมุ่งหมายชัดเจนประกอบการประเมินในการปรับปรุงหรือพัฒนางานระหว่างช่วงแผนประชากรฯ และนำแผนประชากรฯ สู่การปฏิบัติ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องแก้ไขกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการรักษาภาวะมีบุตรยาก สวัสดิการสำหรับบุตรที่กำหนดไว้เพียง ๒ คน รวมถึงการกำหนดคำนิยาม "คู่สมรสที่มีความพร้อมมีบุตร" ให้ชัดเจน รวมทั้งการกำหนดกลไกและรูปแบบวิธีการการทำงานร่วมกันของแต่ละภาคส่วนอย่างชัดเจนทั้งด้านงบประมาณและหน่วยรับผิดชอบเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างมีเอกภาพและเกิดประสิทธิผลสูงสุด ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
886 | สรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำท่วมของประเทศไทยประจำสัปดาห์ (ครั้งที่ 8/2555 ณ วันที่ 14 ตุลาคม 2555) | วท | 15/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยสรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำท่วมของประเทศไทย ครั้งที่ ๘/๒๕๕๕ ณ วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. สถานการณ์ภูมิอากาศ พายุไต้ฝุ่น “พระพิรุณ” (PRAPIROON) บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก คาดว่าจะเคลื่อนไปทางประเทศญี่ปุ่น โดยไม่มีผลกระทบต่อประเทศไทย และในช่วงวันที่ ๑๕-๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๕ บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนแผ่เสริมลงมาปกคลุมตอนบนของภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศเย็นในตอนเช้า ส่วนลมตะวันออกพัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้ และอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมประเทศไทย ทำให้มีฝนเป็นแห่ง ๆ ถึงกระจายในระยะนี้ สำหรับปริมาณฝนสะสมรวม ๑,๓๗๖.๓ มิลลิเมตร กรุงเทพฯ และปริมณฑล ในช่วงวันที่ ๑๔-๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่ง ๆ ร้อยละ ๓๐-๔๐ ของพื้นที่ ในช่วงวันที่ ๑๖-๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๕ มีฝนฟ้าคะนองกระจายถึงเกือบทั่วไป ร้อยละ ๖๐-๗๐ ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักกับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง ๒. สถานการณ์น้ำและน้ำท่วม ดังนี้ ๒.๑ ปริมาณน้ำท่าในบริเวณจุดสำคัญ ได้แก่ ๒.๑.๑ สถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์ ๑,๔๒๑ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ที่ความจุลำน้ำ ๓,๕๙๐ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ๒.๑.๒ สถานี C.13 เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท ๑,๔๙๘ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ที่ความจุลำน้ำ ๒,๘๔๐ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ๒.๑.๓ สถานี C.29A ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๑,๔๘๔ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ที่ความจุลำน้ำ ๓,๕๐๐ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ๒.๒ ระดับความสูงของน้ำในแม่น้ำสายหลัก ได้แก่ ๒..๒.๑ แม่น้ำปิง ที่สถานี P.1 จังหวัดเชียงใหม่ +๓๐๑.๙๗ เมตรระดับน้ำทะเลปานกลาง (ม.รทก.) ต่ำกว่าตลิ่ง ๒.๒๓ เมตร ๒.๒.๒ แม่น้ำวัง ที่สถานี W.10A จังหวัดลำปาง +๒๕๙.๒๐ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๖.๔๐ เมตร ๒.๒.๓ แม่น้ำยม ที่สถานี Y.4 จังหวัดสุโขทัย +๔๖.๓๙ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๔.๔๘ เมตร ๒.๒.๔ แม่น้ำน่าน ที่สถานี N.1 จังหวัดน่าน +๑๙๒.๙๒ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๖.๒๘ เมตร ๒.๒.๕ แม่น้ำเจ้าพระยา ที่สถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์ +๒๒.๓๙ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๓.๘๑ เมตร และที่สถานี C.13 จังหวัดชัยนาท ระดับน้ำท้ายเขื่อน +๑๓.๒๐ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๓.๑๔ เมตร ๒.๓ น้ำในเขื่อน/อ่างเก็บน้ำ ได้แก่ ๒.๓.๑ เขื่อนภูมิพล น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ ๒๘.๔๖ ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๘,๔๔๙ ล้านลูกบาศก์เมตร และใช้การได้จริง ๔,๖๔๙ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒.๓.๒ เขื่อนสิริกิติ์ น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ ๑๓.๒๗ ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๖,๕๒๒ ล้านลูกบาศก์เมตร และใช้การได้จริง ๓,๖๗๒ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒.๓.๓ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ ๑๐.๙๘ ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๗๖๔ ล้านลูกบาศก์เมตร และใช้การได้จริง ๗๖๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒.๓.๔ น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่รวม ๓๓ อ่างทั่วประเทศ ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำ รวม ๕๒,๐๖๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ สะสมตั้งแต่ต้นปี ๓๕,๒๖๓ ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณน้ำระบายจากอ่างเก็บน้ำ สะสมตั้งแต่ต้นปี ๔๑,๐๗๙ ล้านลูกบาศก์เมตร และความสามารถในการรับน้ำได้อีก ๑๘,๐๙๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ๓. การบริหารน้ำในเขื่อน ดังนี้ ๓.๑ เขื่อนลำปาว มีปริมาณน้ำกักเก็บ ๒๓% ซึ่งมีปริมาณน้ำกักเก็บลดลงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนยังคงน้อยมากวันละไม่ถึง ๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ในระยะสั้นให้ปรับลดการระบายน้ำเพื่อประหยัดน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง และเตรียมรับมือกับสถานการณ์ภัยแล้งในปีถัดไป ๓.๒ เขื่อนประแสร์และเขื่อนคลองสียัด มีปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนประแสร์เกินระดับกักเก็บปกติ ปัจจุบันมีปริมาณน้ำกักเก็บ ๑๐๖% ส่วนเขื่อนคลองสียัดปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ปัจจุบันมีปริมาณน้ำกักเก็บ ๙๘% ให้เร่งระบายน้ำเท่าที่สามารถทำได้และควบคุมไม่ให้เกิดผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำ จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่สภาวะปกติ ๓.๓ เขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ปริมาณน้ำท้ายเขื่อนมีเพียงพอต่อความต้องการ ให้คงการระบายน้ำที่เขื่อนภูมิพลไม่เกินวันละ ๑ ล้านลูกบาศก์เมตร และเขื่อนสิริกิติ์ไม่เกินวันละ ๔ ล้านลูกบาศก์เมตร ๓.๔ เขื่อนศรีนครินทร์และเขื่อนวชิราลงกรณ เนื่องจากเกิดน้ำท่วมบริเวณพื้นที่ท้ายเขื่อนในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จึงให้ปรับการระบายน้ำโดยพิจารณาถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับบริเวณท้ายเขื่อนเป็นสำคัญ ๔. สถานการณ์อุทกภัย ฝนทิ้งช่วง และน้ำป่า ดังนี้ ๔.๑ สถานการณ์ปัจจุบันยังคงมีพื้นที่ประสบอุทกภัย ๗ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา พิษณุโลก พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี และนครปฐม รวม ๓๑ อำเภอ ๒๕๔ ตำบล ๑,๕๓๓ หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ๙๔,๒๗๐ ครัวเรือน ๒๗๘,๔๐๒ คน ๔.๒ พื้นที่ภาคตะวันออก จังหวัดปราจีนบุรี เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องทำให้น้ำในแม่น้ำปราจีนบุรีเอ่อล้นเข้าท่วม ในพื้นที่ ๗ อำเภอ ๕๔ ตำบล ปัจจุบันยังคงมีน้ำท่วม ๖ อำเภอ ได้แก่ อำเภอกบินทร์บุรี อำเภอ ศรีมหาโพธิ อำเภอเมืองปราจีนบุรี อำเภอบ้านสร้าง อำเภอศรีมโหสถ และอำเภอประจันตคาม สำหรับจังหวัดฉะเชิงเทรา เกิดฝนตกหนักและน้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วม ในพื้นที่ ๙ อำเภอ ๓๕ ตำบล ๒๕๒ หมู่บ้าน ปัจจุบันยังคงมีน้ำท่วมขัง ๖ อำเภอ ๑๘ ตำบล ๑๔๙ หมู่บ้าน ได้แก่ อำเภอเมือง อำเภอบางคล้า อำเภอบางน้ำเปรี้ยว อำเภอคลองเขื่อน อำเภอบ้านโพธิ์ และอำเภอราชสาส์น สถานการณ์ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่สองฝั่งแม่น้ำบางปะกงและคลองท่าลาดระดับน้ำลดลง ๔.๓ กรมทรัพยากรน้ำไม่มีรายงานการเตือนภัยสถานการณ์ดินโคลนถล่ม และน้ำป่า
|
||||||||||||||||||
887 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนกันยายน 2555 | พณ | 15/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศ และรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนกันยายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนกันยายน ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๑๖.๖๗ เทียบกับเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๑๖.๒๘ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๓๔ (เดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๔๐) เป็นผลจากดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้นร้อยละ ๐.๓๑ โดยสินค้าประเภทอาหารที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ ข้าวสารเจ้า ปลาและสัตว์น้ำ ผักสดและผลไม้ เครื่องประกอบอาหาร เครื่องปรุงรส เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และอาหารสำเร็จรูป สำหรับสินค้าที่มีราคาลดลงตามปริมาณผลผลิตและภาวะตลาด ได้แก่ ข้าวสารเหนียว เนื้อสุกร ไก่สด ไข่ไก่ นมและผลิตภัณฑ์นม น้ำตาลทราย เป็นต้น สำหรับดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๐.๓๖ ตามการสูงขึ้นของราคาสินค้าและบริการ เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำประปา ค่ากระแสไฟฟ้า ที่มีการปรับขึ้นตามค่า Ft สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งสินค้าประเภทค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล (สบู่ถูตัว แชมพูสระผม ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว ครีมนวดผม) ปรับลดลงตามการส่งเสริมการจำหน่าย และราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง ที่มีการลดลงตามภาวะตลาดโลก เป็นต้น ๒. พิจารณาเทียบกับดัชนีราคาเดือนกันยายน ๒๕๕๔ สูงขึ้นร้อยละ ๓.๓๘ จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๓.๖๖ โดยดัชนีราคาหมวดข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง สูงขึ้นร้อยละ ๒.๑๕ ปลาและสัตว์น้ำ ร้อยละ ๓.๖๘ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๑๔.๑๔ เครื่องประกอบอาหาร สูงขึ้นร้อยละ ๒.๓๐ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๓.๐๘ และอาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๓.๗๓ ดัชนีราคาหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๓.๒๐ จากการสูงขึ้นของหมวดเคหสถาน ร้อยละ ๓.๔๖ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ร้อยละ ๑.๐๔ หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล ร้อยละ ๐.๙๘ หมวดพาหนะการขนส่ง และการสื่อสาร ร้อยละ ๓.๙๗ หมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๗.๐๕ หมวดการบันเทิงการอ่าน การศึกษาและการศาสนา สูงขึ้นร้อยละ ๐.๕๔ ๓. พิจารณาดัชนีเฉลี่ย ๙ เดือนของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เทียบกับระยะเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สูงขึ้นร้อยละ ๒.๙๔ จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๕.๔๖ และดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๑.๓๗ ตามการสูงขึ้นของหมวด ข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง ร้อยละ ๒.๔๑ เนื้อสัตว์ เป็ดไก่และสัตว์น้ำ ร้อยละ ๑.๕๔ ไข่และผลิตภัณฑ์นม ร้อยละ ๐.๕๕ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๑๒.๔๖ เครื่องประกอบอาหาร ร้อยละ ๖.๕๐ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๒.๗๕ อาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๖.๓๐ ค่าน้ำประปา ร้อยละ ๕.๘๒ ค่ากระแสไฟฟ้า ร้อยละ ๑๔.๒๘ หมวดยานพาหนะ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๔๘ และน้ำมันเชื้อเพลิง สูงขึ้นร้อยละ ๑.๖๗ เป็นต้น ๔. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนกันยายน ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๐๘.๗๗ เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๓ (เดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๗) จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าและบริการ ได้แก่ ผ้าและเสื้อผ้า ค่าน้ำประปา ค่าเช่าบ้าน ผลิตภัณฑ์ยาสูบและผลิตภัณฑ์สุรา สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาดบางชนิด (ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม น้ำยาล้างจาน สารกำจัดแมลง/ไล่แมลง) สำหรับสินค้าที่มีราคาลดลง ได้แก่ ค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล (สบู่ถูตัว แชมพูสระผม น้ำหอม ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว กระดาษชำระ ครีมนวดผม)
|
||||||||||||||||||
888 | รายงานสภาพภูมิอากาศและสถานการณ์น้ำ | นร04 | 15/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยรายงานสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย ซึ่งคาดว่า ในฤดูฝนปีนี้จะไม่มีพายุขนาดใหญ่ หากจะมีอาจเกิดขึ้นเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้เท่านั้น ซึ่งได้เตรียมการจัดทำแผนป้องกันน้ำท่วมฉับพลัน (fast flood) ในพื้นที่ภาคใต้ไว้แล้ว และคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) จะจัดส่งข้อมูลดังกล่าวให้รัฐมนตรีทุกท่านเพื่อใช้ประกอบการลงพื้นที่ภาคใต้ในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ในสัปดาห์หน้าด้วย ทั้งนี้ การพยากรณ์สภาพภูมิอากาศในปัจจุบันจะมีความแม่นยำกว่าเดิม เนื่องจากได้มีการนำเครื่องมือชุดใหม่มาใช้ในการดำเนินการ โดยในส่วนของ กบอ. ได้มีการเตรียมการจัดทำแผนการกักเก็บน้ำในแหล่งน้ำต่าง ๆ ใหม่ให้เหมาะสม รวมทั้งได้นำเอาระบบส่งน้ำทางท่อสำหรับพื้นที่ประมาณ ๑,๐๐๐-๓,๐๐๐ ไร่ มาใช้ด้วย และให้ กบอ. ประสานงานกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยใช้ระบบปฏิบัติการ Single Command เพื่อดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมหรือภัยแล้งที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไป รวมตลอดถึงการเตรียมการจัดทำฝนหลวงให้พร้อมดำเนินการได้ทันทีที่สภาพอากาศในพื้นที่มีความเหมาะสม ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมและดำเนินการให้ความช่วยเหลือ ดูแล ประชาชนในกรณีประสบภาวะภัยแล้ง เพื่อให้มีน้ำใช้เพื่อการเกษตรและการอุปโภค บริโภค ได้อย่างรวดเร็วและเหมาะสมพอเพียงต่อไป ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานงานกับ กบอ. เพื่อนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องไปประกอบการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูและบูรณะแหล่งน้ำให้เหมาะสม
|
||||||||||||||||||
889 | กรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2556 [คณะรัฐมนตรีมีมติให้เลื่อนไปประชุม ครั้งที่ 41/2555 วันที่ 9 ตุลาคม 2555 และให้นำเอกสารงบประมาณของรัฐวิสาหกิจ ประจำปี 2556 จำนวน 4 เล่ม ซึ่งเป็นเอกสารประกอบระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี ครั้งที่ 39/2555 (เพิ่มเติม ครั้งที่ 2) เรื่องที่ 14 มาใช้ในการประชุมฯ ครั้งนี้] | นร11 | 09/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบกรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบประมาณการงบทำการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ ๗๙,๗๘๒ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ร้อยละ ๑๓.๕ โดยสามารถจัดหาเงินสดเพื่อใช้ลงทุนได้ประมาณ ๒๑๕,๒๔๙ ล้านบาท และรับทราบประมาณการแนวโน้มการดำเนินงานช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๙ ของรัฐวิสาหกิจที่คาดว่าผลประกอบการจะมีกำไรสุทธิรวม ๒๒๒,๓๒๒ ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณปีละ ๗๔,๑๐๗ ล้านบาท และการเบิกจ่ายลงทุนรวม ๒,๓๐๕,๔๒๖ ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณปีละ ๗๖๘,๔๗๕ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบกรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ วงเงินดำเนินการ จำนวน ๑,๐๔๖,๕๓๓ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๖๓๗,๑๑๑ ล้านบาท ประกอบด้วย ๑.๒.๑ การลงทุนโครงการต่อเนื่องที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินการแล้วและงานตามภารกิจปกติ วงเงินดำเนินการ จำนวน ๙๔๖,๕๓๓ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๕๕๗,๑๑๑ ล้านบาท ๑.๒.๒ การลงทุนที่ขอเพิ่มเติมระหว่างปี (การเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมงบลงทุนเพื่อการดำเนินงานปกติ) วงเงินดำเนินการ จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๘๐,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับโครงการลงทุนที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติเพิ่มเติมระหว่างปี โดยให้ สศช. ปรับเพิ่มกรอบวงเงินดำเนินการและกรอบวงเงินเบิกจ่ายลงทุนให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีได้ เพื่อให้รัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการได้ทันทีภายในปีงบประมาณ และมอบคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้พิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมงบลงทุนระหว่างปีดังกล่าว สำหรับโครงการที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและการลงทุนที่ใช้เงินงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้ดำเนินการได้เมื่อได้รับอนุมัติตามขั้นตอนแล้ว ทั้งนี้ ให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนตามเป้าหมายร้อยละ ๙๕ ของวงเงินอนุมัติให้เบิกจ่ายลงทุน ๑.๒.๓ ให้กระทรวงเจ้าสังกัดรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายระดับกระทรวงและระดับองค์กรไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการเบิกจ่ายลงทุนในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้ สศช. ทราบภายในทุกวันที่ ๕ ของเดือนอย่างเคร่งครัด และรายงานผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะและความก้าวหน้าการดำเนินโครงการลงทุนทุกไตรมาส ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและการลงทุนของรัฐวิสาหกิจได้อย่างต่อเนื่อง ๑.๒.๔ เห็นชอบในหลักการให้ สศช. ปรับวงเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้สอดคล้องกับผลการจัดสรรงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และการอนุมัติโครงการของคณะรัฐมนตรี ๒. ให้ สศช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการเบิกจ่ายลงทุนให้เป็นรายงานเดียวที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้ง สศช. และกระทรวงการคลัง การกำหนดให้การเบิกจ่ายงบลงทุนเป็นตัวชี้วัดการประเมินผลการดำเนินงานของกระทรวงเจ้าสังกัด คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ และผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ การให้กระทรวงเจ้าสังกัดจัดทำกรอบนโยบายและแผนงานโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐวิสาหกิจระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ เพื่อประกอบการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้ทุกรัฐวิสาหกิจรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการเบิกจ่ายลงทุนไปยัง สศช. ทุกเดือนภายในวันที่ สศช. กำหนด และให้ สศช. ประมวลข้อมูลของรัฐวิสาหกิจในภาพรวมทั้งหมดเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีทุก ๓ เดือน ๓. ในกรณีของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (บกท.) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีวงเงินเบิกจ่ายลงทุนจำนวนมาก โดยมีโครงการจัดหาเครื่องบินปี ๒๕๕๔-๒๕๖๕ จำนวน ๗๕ ลำ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๔๕๗,๑๒๗ ล้านบาท (ประกอบด้วยโครงการจัดหาเครื่องบินระยะแรก ปี ๒๕๕๔-๒๕๖๐ จำนวน ๓๗ ลำ วงเงินลงทุนรวม ๒๑๖,๐๗๕ ล้านบาท และโครงการจัดหาเครื่องบินระยะที่สอง ปี ๒๕๖๑-๒๕๖๕ จำนวน ๓๘ ลำ วงเงินลงทุนรวม ๒๔๑,๐๕๒ ล้านบาท) นั้น โดยที่สภาวะเศรษฐกิจและสภาพการแข่งขันในธุรกิจการบิน รวมทั้งสถานะทางการเงินของ บกท. ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงและมีผลกระทบต่อแผนการลงทุนของ บกท. อย่างมีนัยสำคัญ ให้กระทรวงคมนาคม โดย บกท. ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๔ [เรื่อง โครงการจัดหาเครื่องบินของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)] อย่างเคร่งครัด โดยนำโครงการจัดหาเครื่องบิน ระยะที่สอง ปี ๒๕๖๑-๒๕๖๕ จำนวน ๓๘ ลำ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||
890 | แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 11 พ.ศ.2555 - 2559 | สธ | 09/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ และเห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคีเครือข่ายด้านสุขภาพใช้แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติฯ เป็นกรอบชี้นำทิศทางการพัฒนาด้านสุขภาพของประเทศ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้ แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติฯ ประกอบด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาสุขภาพ ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ เสริมสร้างความเข้มแข็งของภาคีสุขภาพในการสร้างสุขภาพ ตลอดจนการพึ่งพาตนเองด้านสุขภาพบนพื้นฐานภูมิปัญญาไทย เพื่อสร้างจิตสำนึกด้านสุขภาพให้สังคม ประชาชน มีความตื่นตัว และให้ความสำคัญในการดูแลรักษาสุขภาพให้เป็นวัฒนธรรมของประชาชน การได้มาซึ่งสุขภาวะที่ดี ประชาชนต้องร่วมสร้างบนพื้นฐานศักยภาพที่เพียงพอ และเพื่อเสริมสร้างการทำงานด้านสุขภาพระหว่างภาคีต่าง ๆ ให้เกิดผลดียิ่งขึ้น รวมถึงภาคีเครือข่ายสุขภาพระหว่างประเทศ รวมทั้งเพื่อให้ภูมิปัญญาไทยมีบทบาทและเป็นทางเลือกในระบบสุขภาพ ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ พัฒนาระบบเฝ้าระวัง เตือนภัย และการจัดการภัยพิบัติ อุบัติเหตุและภัยสุขภาพ เพื่อให้เกิดความพร้อมในการเตรียมการ มีระบบเฝ้าระวังและเตือนภัยที่ทำให้ประชาชนวางใจ และเมื่อเกิดภัยพิบัติสามารถจัดการได้อย่างเหมาะสม ทันการณ์ ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ มุ่งเน้นการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกัน ควบคุมโรค และคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ เพื่อให้คนไทยแข็งแรงทั้งร่างกาย จิตใจ สังคม และปัญญา เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนที่เป็นรากฐานของปัญหาภาระโรคที่สำคัญในปัจจุบัน และเพื่อให้มีการลงทุนและดำเนินกิจกรรมด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคมากขึ้นในระดับที่เพียงพอ ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ เสริมสร้างระบบบริการสุขภาพให้มีมาตรฐานในทุกระดับเพื่อตอบสนองต่อปัญหาสุขภาพในทุกกลุ่มเป้าหมาย และพัฒนาระบบส่งต่อที่ไร้รอยต่อ เพื่อสร้างระบบบริการสุขภาพที่มีคุณภาพมาตรฐาน ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างทั่วถึง เป็นธรรม และเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ให้และผู้รับบริการ ซึ่งจะทำให้ผู้ให้บริการมีความสุขและผู้รับบริการมีความพึงพอใจ ๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ สร้างกลไกกลางระดับชาติในการดูแลระบบบริการสุขภาพ และพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพ เพื่ออภิบาลระบบสุขภาพอย่างมีธรรมาภิบาล เป็นเอกภาพ อันจะส่งผลให้มีความมั่นคง ยั่งยืนของระบบสุขภาพ และเพื่อกำหนดนโยบาย แนวทาง และพัฒนาสิ่งสนับสนุนระบบบริการที่เพียงพอ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขขอความร่วมมือภาคีเครือข่ายด้านสุขภาพใช้แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติฯ เป็นกรอบชี้นำทิศทางการพัฒนาด้านสุขภาพของประเทศด้วย ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเร่งดำเนินการถ่ายโอนภารกิจและงบประมาณด้านการสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การฟื้นฟูสภาพและการรักษาพยาบาลเบื้องต้นพร้อมสถานีอนามัย (โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล) ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การผลิตและพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขให้มีปริมาณเพียงพอและมีคุณภาพ โดยคำนึงถึงการกระจายของกำลังคนระหว่างพื้นที่ในเขตเมืองและเขตชนบทให้มีความสมดุล การจัดทำแผนในเชิงลึกสำหรับประเด็นปัญหาสำคัญเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความยั่งยืนของระบบประกันสุขภาพของประเทศ การกระจายอำนาจทางด้านสาธารณสุข และการบริหารจัดการกำลังด้านสุขภาพ แทนการทำแผนในเชิงกว้างที่เน้นความครอบคลุมเป้าหมายทางด้านสุขภาพในทุกมิติ และการจัดลำดับความสำคัญของเป้าหมายที่ต้องพิจารณาความจำกัดของทรัพยากร โดยคำนึงถึงผลกระทบจากทุกมาตรการในยุทธศาสตร์ต่อความยั่งยืนทางการเงินการคลังของสถานพยาบาล เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๔. เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๔.๑ ให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการเกี่ยวกับการศึกษาภาพรวมอัตรากำลังทั้งระบบและการจัดทำข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาอัตรากำลังคนและการบริหารจัดการภารกิจด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ (เรื่อง การขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นงบประมาณสำหรับอัตรากำลังใหม่ที่ได้รับอนุมัติในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔) ๔.๒ ให้กระทรวงสาธารณสุขวางยุทธศาสตร์การพัฒนาการให้บริการสาธารณสุขที่ได้มาตรฐานด้วยการเร่งพัฒนาศูนย์กลางบริการรักษาพยาบาลเฉพาะทางให้คลอบคลุมทุกภูมิภาคซึ่งประชาชนจะได้ใช้ประโยชน์โดยตรงจากการได้รับบริการที่ทั่วถึงและมีมาตรฐานสูงในระดับสากลและเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้เกิดธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพ ซึ่งจะเป็นการสร้างงานสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป |
||||||||||||||||||
891 | การฝึกซ้อมการบริหารวิกฤตการณ์ระดับชาติ ประจำปี 2555 | นร08 | 09/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการฝึกซ้อมการบริหารวิกฤตการณ์ระดับชาติ ประจำปี ๒๕๕๕ (Crisis Management Exercise 2012 : C-MEX 12) ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๔ กันยายน ๒๕๕๕ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการเพื่อพัฒนาระบบการเตรียมพร้อมของประเทศต่อไป ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. วัตถุประสงค์ของการฝึกการบริหารวิกฤตการณ์ระดับชาติ ประจำปี ๒๕๕๕ เพื่อทดสอบนโยบาย แผน แนวทาง มาตรการการบริหารจัดการสาธารณภัยร้ายแรงอย่างยิ่งในกรอบแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ แผนปฏิบัติการการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแบบบูรณาการระดับกระทรวง และแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด รวมทั้งเพื่อทดสอบระบบบัญชาการเหตุการณ์ของหน่วยงานรัฐ และเพื่อพัฒนาระบบการเตรียมพร้อมแห่งชาติในกรอบนโยบายความมั่นคงแห่งรัฐ ๒. การฝึกซ้อมการบริหารวิกฤตการณ์ระดับชาติ ประจำปี ๒๕๕๕ บรรลุผลตามเป้าหมาย สามารถประมวลผลการฝึกซ้อมในภาพรวมจากการมอบนโยบายของรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ยุทธศักดิ์ ศศิประภา) การเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิในการบรรยายและจากการปฏิบัติในการฝึกของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ๒.๑ ให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมล่วงหน้าก่อนที่จะเกิดภัย และความสามารถในการจัดการเมื่อเกิดภัย ในกรอบนโยบายความมั่นคงแห่งรัฐ และนโยบายความมั่นคงแห่งชาติด้วยการจัดการเตรียมความพร้อมที่เกี่ยวข้องทั้งบุคลากร เครื่องมือ เครื่องใช้ในการกู้ภัย การปรับปรุงกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ระบบงบประมาณ ให้เอื้อต่อการป้องกันและระงับภัย ๒.๒ ให้ทุกหน่วยงานได้ตระหนักว่า การเตรียมพร้อมในเชิงป้องกันหรือเชิงรุกตั้งแต่ในภาวะปกติ เป็นสิ่งที่มีความสำคัญที่หน่วยงานของรัฐควรจะได้มีการจัดทำแผนรองรับที่มุ่งเน้นภารกิจงานในเชิงป้องกันเหตุ ๒.๓ ให้ทุกหน่วยงานได้ให้ความสำคัญต่อการมีระบบบัญชาการที่เป็นหนึ่งเดียว (Single Command) และการมีระบบฐานข้อมูลกลางที่มีความน่าเชื่อถือ เพื่อประกอบการบัญชาการเหตุการณ์ในแต่ละระดับความรุนแรงของภัยที่เกิดขึ้น ๒.๔. ให้ทุกหน่วยงานได้ให้การสนับสนุนกระทรวงมหาดไทยในการจัดตั้งศูนย์อำนวยการร่วมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ๒.๕ ให้หน่วยงานของรัฐโดยเฉพาะหน่วยงานระดับจังหวัดได้กำหนดแผนงาน/โครงการ ในการเสริมสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมและองค์ความรู้เพื่อพัฒนาระบบป้องกันตนเองและการจัดการภัยในเบื้องต้นอย่างถูกวิธี ๒.๖ ให้ทุกหน่วยงานได้จัดการฝึกซ้อมในพื้นที่ทั้งทางบกและทางทะเล ตั้งแต่ระดับตำบล อำเภอ จังหวัด จนถึงการฝึกซ้อมที่เชื่อมประสานกับการปฏิบัติการของระดับกระทรวงและระดับชาติ เพื่อทดสอบแผนและระบบให้พร้อมนำมาใช้งานได้เมื่อเกิดสถานการณ์จริง ๒.๗ ให้หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบได้จัดเตรียมความพร้อมในเรื่องเกี่ยวกับระบบแจ้งเตือนภัย การให้ความรู้และข้อมูลที่ถูกต้อง การประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลข่าวสารในยามวิกฤติ การจัดเตรียมชุดเผชิญสถานการณ์ฉุกเฉินด้านการกู้ชีพ กู้ภัย การเก็บกู้วัตถุอันตราย การจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม แผนที่อพยพ เส้นทางคมนาคมขนส่งลำเลียงสิ่งของและผู้คนที่อพยพ การดูแลศูนย์อพยพและระบบการกระจายสิ่งของที่ได้รับบริจาค การรักษาความปลอดภัย การพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล การมีระบบสื่อสารให้ใช้การได้ทุกเวลา รวมถึงจัดให้มีระบบเลขหมายฉุกเฉินหมายเลขเดียวทั่วประเทศ และการเบิกจ่ายงบประมาณอย่างคุ้มค่าและทันกับเหตุการณ์ เพื่อผนึกกำลังทุกภาคส่วนในการเตรียมความพร้อมของชาติ ๓. การประเมินผลการฝึกเบื้องต้น (Hot Wash) ผู้รับการฝึกและนักวิชาการได้แสดงความคิดเห็นเพื่อจัดทำเป็นบทเรียนและนำไปพัฒนาระบบการฝึกซ้อมของหน่วยงานต่าง ๆ ในระยะต่อไป
|
||||||||||||||||||
892 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกำหนดภาระในอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ในท้องที่เขตห้วยขวาง เขตวัฒนา และเขตสาทร กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... | คค | 09/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกำหนดภาระในอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ในท้องที่เขตห้วยขวาง เขตวัฒนา และเขตสาทร กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร และผลการดำเนินการของกระทรวงคมนาคมตามข้อสังเกตดังกล่าว และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป โดยในส่วนของข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีดังนี้
๑. ที่ดินจำนวน ๑๗ แปลงที่ต้องตกอยู่ภายใต้ภาระในอสังหาริมทรัพย์ ส่วนใหญ่เจ้าของหรือผู้ครอบครองจะเป็นนิติบุคคลรูปแบบของบริษัท ซึ่งอาจมีความจำเป็นต้องขยาย หรือปลูกสร้างอาคารเพิ่มเติมตามการขยายตัวของเศรษฐกิจในอนาคต เหตุที่ทำความตกลงกันไม่ได้อาจเกิดจากการกำหนดจำนวนเงินค่าทดแทนที่ไม่เหมาะสมหรือไม่เป็นธรรม และการกำหนดเงินค่าทดแทนควรมีการกำหนดจำนวนในลักษณะที่เป็นค่าเสียหายในอนาคตไว้ด้วย ๒. หลักเกณฑ์การกำหนดจำนวนเงินค่าทดแทนควรกำหนดให้มีความเหมาะสมตามสภาวะทางเศรษฐกิจ ทำเลที่ตั้งของที่ดิน ราคาซื้อขายในท้องตลาด ดังนั้น ควรมีการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการกำหนดจำนวนเงินค่าทดแทนให้มีความเหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบันให้มากที่สุด เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเหมาะสม รวมทั้งเป็นแนวทางการดำเนินงานที่ไม่ก่อให้เกิดข้อพิพาทระหว่างประชาชนกับภาครัฐในอนาคตและทำให้โครงการก่อสร้างเพื่อระบบขนส่งมวลชนไม่เกิดความล่าช้า อีกทั้งที่ทำให้จำนวนเรื่องการอุทธรณ์คำสั่ง จำนวนเงินค่าทดแทน หรือข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับภาครัฐลดลง ก่อให้เกิดทัศนคติที่ดีของประชาชนต่อการใช้อำนาจปกครองของภาครัฐ ซึ่งเป็นไปตามหลักของการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี ทั้งจะเกิดความร่วมมือของประชาชนกับภาครัฐ ในโครงการอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ๓. การตราพระราชบัญญัติเพื่อกำหนดภาระในอสังหาริมทรัพย์ของเอกชนมีจุดมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ในการขนส่งมวลชนสาธารณะ โดยกระบวนการก่อนมีการเสนอร่างพระราชบัญญัติ รัฐบาลผู้ใช้อำนาจฝ่ายบริหารควรมีการกลั่นกรองการปฏิบัติของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติที่จะได้รับ ว่ามีความคุ้มค่ากับการที่ประชาชนส่วนหนึ่งที่ถูกระทบสิทธิในทรัพย์สินของตนหรือไม่
|
||||||||||||||||||
893 | สถานการณ์ภูมิอากาศและสถานการณ์แก้ไขปัญหาน้ำท่วมและปัญหาการจราจร | นร | 09/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่ได้เกิดพายุ “แกมี” และส่งผลกระทบทำให้เกิดฝนตกหนักและสถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดต่าง ๆ รวมถึงกรุงเทพมหานครด้วยนั้น ขอขอบคุณคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) กระทรวงกลาโหม (กองทัพบก) กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องที่ร่วมกันดำเนินการแก้ไขปัญหาอุทกภัยดังกล่าวเป็นอย่างดีผ่านระบบปฏิบัติการ Single Command รวมทั้งมีข้อมูลการเตือนภัยของกรมอุตุนิยมวิทยาที่มีความแม่นยำมาก ๒. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธาน กบอ. รายงานว่า ๒.๑ ขณะนี้พายุ “แกมี” ลดกำลังลงแล้วจากดีเปรสชั่นเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ และกำลังเคลื่อนตัวไปทางทะเลอันดามัน คาดว่าภายใน ๗ วัน สถานการณ์จะดีขึ้น ในส่วนของการวางแนวทางการเร่งระบายน้ำในแม่น้ำสำคัญต่าง ๆ ได้มีการเร่งระบายน้ำในแม่น้ำสำคัญต่าง ๆ ให้อยู่ในภาวะปกติโดยเร็วที่สุด และจะไม่ให้มีการผันน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาไปยังแม่น้ำอื่น ๆ ชั่วคราว โดยเฉพาะไม่ให้มีการผันน้ำลงแม่น้ำบางปะกงและแม่น้ำท่าจีน ซึ่งได้รับน้ำมาจากพื้นที่ที่น้ำท่วมในปริมาณมากแล้ว ส่วนเขื่อนศรีนครินทร์ และเขื่อนวชิราลงกรณ จะดูปริมาณการปล่อยน้ำลงสู่แม่น้ำแม่กลองให้เหมาะสม และไม่ผันน้ำจากแม่น้ำแม่กลองไปยังแม่น้ำท่าจีน ทั้งนี้ หากไม่มีพายุใด ๆ เข้ามาในพื้นที่ภาคกลางจนถึงวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ จะสามารถปิดแผนโครงการป้องกันน้ำท่วมสำหรับปีนี้ภายในสิ้นเดือนตุลาคมนี้ ๒.๒ ในส่วนของภาคใต้อาจมีพายุพาดผ่านและทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันขึ้นได้ ซึ่งในสัปดาห์หน้าจะลงไปในพื้นที่ภาคใต้เพื่อวางแผนป้องกันน้ำท่วม โดยได้จัดทำรายชื่อลุ่มน้ำที่สำคัญในภาคใต้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และจะส่งให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องที่จะต้องลงไปแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ภายในสัปดาห์นี้เพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. รับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์) รายงานว่า ๓.๑ การแก้ไขปัญหาแม่น้ำท่าจีนที่น้ำท่วมล้นไปยังพื้นที่ในจังหวัดนครปฐมและสุพรรณบุรี ได้สั่งการให้กรมทางหลวงชนบทเร่งยกระดับถนนตามแนวแม่น้ำท่าจีนเพื่อเป็นคันกั้นน้ำแบบชั่วคราวก่อน ซึ่งช่วยให้ปัญหาน้ำท่วมคลี่คลายลงได้ รวมทั้งพื้นที่ด้านตะวันออกที่มีปัญหาการผลักดันน้ำในบางจุด เช่น คลอง ๑๓ ซึ่งเป็นคลองหลักแนวเหนือใต้ในการดันน้ำลงทะเล แต่เนื่องจากน้ำจากคลองรังสิตไม่สามารถไหลลงไปยังคลอง ๑๓ ได้ ทำให้น้ำท่วมพื้นที่โดยรอบซึ่งได้แก้ไขปัญหาไปแล้ว นอกจากนี้ ได้ประสานกองทัพบกเพื่อขอใช้พื้นที่เป็นแก้มลิงรองรับน้ำ ซึ่งทางกองทัพบกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ๓.๒ การดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรในสถานการณ์น้ำท่วมในระยะต่อไป จะมีการประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบกในสัปดาห์หน้าเพื่อกำหนดแนวทางดำเนินการเกี่ยวกับการเข้มงวดการกระทำผิดวินัยจราจร และการจัดอบรมตำรวจจราจรเกี่ยวกับการควบคุมสัญญาณไฟจราจรให้เหมาะสม
|
||||||||||||||||||
894 | สรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำท่วมของประเทศไทยประจำสัปดาห์ (ครั้งที่ 6/2555 ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2555) | นร | 02/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยสรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำท่วมของประเทศไทย ครั้งที่ ๖/๒๕๕๕ ณ วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. สถานการณ์ภูมิอากาศ พายุไต้ฝุ่น "เจอลาวัต" (JELAWAT) ได้เคลื่อนตัวผ่านประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ และมีแนวโน้มว่าจะแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อนในระยะต่อไป โดยคาดว่าจะขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามใกล้เมืองดานัง และจะเคลื่อนตัวผ่านประเทศกัมพูชาเข้าสู่ประเทศไทยในช่วงวันที่ ๖-๘ ตุลาคม ๒๕๕๕ สำหรับในช่วงวันที่ ๑-๖ ตุลาคม ๒๕๕๕ ร่องมรสุมเลื่อนลงไปพาดผ่านภาคใต้ตอนบน ทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก มีฝนลดลง และจะมีฝนเพิ่มมากขึ้นในช่วงวันที่ ๗-๘ ตุลาคม ๒๕๕๕ ทั้งปริมาณและการกระจายโดยเฉพาะพื้นที่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก ภาคกลาง แลภาคใต้ จากอิทธิพลของพายุที่จะเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามและเคลื่อนตัวผ่านประเทศกัมพูชาเข้าสู่ประเทศไทยในบริเวณภาคตะวันออก สำหรับปริมาณน้ำฝนในภาพรวมพบว่า ฝนสะสมในทุกภาคสูงกว่าค่าปกติ เว้นแต่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนน้อยกว่าค่าปกติ ๒. สถานการณ์น้ำและน้ำท่วม ดังนี้ ๒.๑ ปริมาณน้ำท่าในบริเวณจุดสำคัญ ได้แก่ ๒.๑.๑ สถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์ ๑,๒๗๓ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ที่ความจุลำน้ำ ๓,๕๙๐ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ๒.๑.๒ สถานี C.13 เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท ๑,๓๔๔ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ที่ความจุลำน้ำ ๒,๔๘๐ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ๒.๑.๓ สถานี C.29A ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๑,๕๗๖ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ที่ความจุลำน้ำ ๓,๕๐๐ ลูกบาศก์เมตร/วินาที คาดการณ์น้ำท่า ณ วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ แม่น้ำปราจีนบุรี สถานี KGT.3 อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ระดับและปริมาณน้ำล้นตลิ่งและมีแนวโน้มทรงตัว และสถานีด้านท้ายน้ำที่สถานี KGT.1 อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี แนวโน้มทรงตัว ลุ่มน้ำอื่น ๆ อยู่ในเกณฑ์ปกติ ๒.๒ ระดับความสูงของน้ำในแม่น้ำสายหลัก ได้แก่ ๒..๒.๑ แม่น้ำปิง ที่สถานี P.1 จังหวัดเชียงใหม่ +๓๐๒.๐๙ เมตรระดับน้ำทะเลปานกลาง (ม.รทก.) ต่ำกว่าตลิ่ง ๒.๑๑ เมตร ๒.๒.๒ แม่น้ำวัง ที่สถานี W.10A จังหวัดลำปาง +๒๕๙.๕๖ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๖.๐๔ เมตร ๒.๒.๓ แม่น้ำยม ที่สถานี Y.4 จังหวัดสุโขทัย +๔๗.๗๖ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๓.๑๑ เมตร ๒.๒.๔ แม่น้ำน่าน ที่สถานี N.1 จังหวัดน่าน +๑๙๓.๑๐ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๖.๑๐ เมตร ๒.๒.๕ แม่น้ำเจ้าพระยา ที่สถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์ +๒๒.๐๒ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๔.๑๘ เมตร และที่สถานี C.13 จังหวัดชัยนาท ระดับน้ำท้ายเขื่อน +๑๒.๗๔ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๓.๖๐ เมตร ๒.๓ น้ำในเขื่อน/อ่างเก็บน้ำ ได้แก่ ๒.๓.๑ เขื่อนภูมิพล น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ ๓๔.๓๖ ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๘,๐๑๑ ล้านลูกบาศก์เมตร และใช้การได้จริง ๔,๒๑๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒.๓.๒ เขื่อนสิริกิติ์ น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ ๑๗.๔๖ ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๖,๓๔๖ ล้านลูกบาศก์เมตร และใช้การได้จริง ๓,๔๙๖ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒.๓.๓ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ ๒๐.๖๐ ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๖๒๑ ล้านลูกบาศก์เมตร และใช้การได้จริง ๖๑๘ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒.๓.๔ น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่รวม ๓๓ อ่างทั่วประเทศ ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำ รวม ๕๐,๓๔๗ ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ สะสมตั้งแต่ต้นปี ๓๒,๓๓๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณน้ำระบายจากอ่างเก็บน้ำ สะสมตั้งแต่ต้นปี ๓๙,๙๑๗ ล้านลูกบาศก์เมตร และความสามารถในการรับน้ำได้อีก ๑๙,๘๓๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ๓. การบริหารน้ำในเขื่อน ดังนี้ ๓.๑ เขื่อนลำปาว มีปริมาณน้ำกักเก็บเพียง ๒๕% ต่ำที่สุดในรอบหลายสิบปี และคาดการณ์ว่าสิ้นฤดูฝน ๒๕๕๕ จะเหลือปริมาณน้ำกักเก็บเพียง ๑๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ในระยะสั้นให้ปรับลดการระบายเพื่อประหยัดน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง สำหรับระยะยาวให้กรมชลประทาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกลุ่มผู้ใช้น้ำ ร่วมกันวางแผนทำการเกษตรในช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๖ ให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุน ๓.๒ เขื่อนปากมูล ให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยประสานไปยังคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำเขื่อนปากมูล ในการพิจารณาปิดบานระบายน้ำที่เขื่อนปากมูลเร็วกว่ากำหนดประมาณ ๑ เดือน เพื่อรักษาปริมาณน้ำในพื้นที่ต้นน้ำของเขื่อนปากมูลไว้สำหรับฤดูแล้งปี ๒๕๕๖ ๓.๓ เขื่อนประแสร์และเขื่อนคลองสียัด ให้เฝ้าระวังและติดตามปริมาณน้ำที่จะไหลลงอ่างเพิ่มเติมรวมทั้งผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่เหนือน้ำและท้ายน้ำของเขื่อนทั้งสอง ๓.๔ เขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ให้ปรับลดการระบายน้ำที่เขื่อนภูมิพลลงเหลือไม่เกินวันละ ๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ส่วนเขื่อนสิริกิติ์ปรับเพิ่มการระบายน้ำเป็นไม่เกินวันละ ๔ ล้านลูกบาศก์เมตร จนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ และอาจปรับการระบายเพิ่มขึ้นอีกเป็นไม่เกินวันละ ๖ ล้านลูกบาศก์เมตร เนื่องจากจังหวัดอุตรดิตถ์แจ้งว่าอัตราการระบายน้ำที่วันละ ๔ ล้านลูกบาศก์เมตร น้ำยังคงขุ่นและส่งผลกระทบต่อเกษตรกรที่เลี้ยงปลาในกระชัง ทั้งนี้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ กรมชลประทาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงปลา ร่วมกันวางแผนแก้ปัญหาในระยะยาวอย่างจริงจัง และให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยติดตามความก้าวหน้าแผนการแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ๔. สถานการณ์อุทกภัย ฝนทิ้งช่วง และน้ำป่า ดังนี้ ๔.๑ จังหวัดระยอง ฝนตกหนักต่อเนื่อง ทำให้น้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมในพื้นที่อำเภอแกลง ตำบลทุ่งควายกิน ๔.๒ จังหวัดชลบุรี ฝนตกหนักต่อเนื่อง ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันในพื้นที่อำเภอบางละมุง ตำบลบางละมุง ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ๕๐ หลังคาเรือน อพยพประชาชนไปอยู่ที่เทศบาลเมืองบางละมุง ๒๐๐ คน ๔.๓ สถานการณ์ปัจจุบันยังคงมีพื้นที่ประสบอุทกภัย ๑๑ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี นครปฐม และกาญจนบุรี รวม ๔๒ อำเภอ ๒๙๐ ตำบล ๑,๗๖๓ หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ๗๕,๕๒๓ ครัวเรือน ๑๗๙,๐๗๔ คน สำหรับสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดราชบุรี สตูล สุราษฎร์ธานี พังงา และระนอง ปัจจุบันสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ๔.๔ พื้นที่ภาคตะวันออก จังหวัดปราจีนบุรี เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องทำให้น้ำในแม่น้ำปราจีนบุรีเอ่อล้นเข้าท่วม ในพื้นที่ ๗ อำเภอ ๕๕ ตำบล ปัจจุบันยังคงมีน้ำท่วม ๕ อำเภอ ได้แก่ อำเภอกบินทร์บุรี อำเภอศรีมหาโพธิ อำเภอเมืองปราจีนบุรี อำเภอบ้านสร้าง และอำเภอศรีมโหสถ สำหรับจังหวัดสระแก้ว ฝนตกหนักทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก มีพื้นที่ประสบภัย ๙ อำเภอ ๖๒ ตำบล ๕๖๗ หมู่บ้าน ๑๕,๘๔๘ ครัวเรือน ๔๒,๘๐๕ คน ปัจจุบันสถานการณ์ยังคงมีน้ำท่วมขังพื้นที่ลุ่มต่ำอำเภออรัญประเทศ อำเภอโคกสูง และอำเภอเมืองสระแก้ว แนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์คลี่คลายแล้วอยู่ระหว่างฟื้นฟู และจังหวัดฉะเชิงเทรา เกิดฝนตกหนักและน้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วม ในพื้นที่ ๖ อำเภอ ๒๖ ตำบล ๑๕๒ หมู่บ้าน ปัจจุบันสถานการณ์ระดับตลิ่ง ๒.๓๐ เมตร สูงกว่าตลิ่ง ๐.๐๓ เมตร ๔.๕ กรมทรัพยากรน้ำได้เตือนภัยสถานการณ์น้ำป่า ณ วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๕ เตือนภัยสีเหลือง (เตือนภัย) ๓ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุตรดิตถ์ แพร่ และพังงา และเตือนภัยสีเขียว (เฝ้าระวัง) ๒ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครศรีธรรมราช และพังงา ๕. สรุปผลการตรวจติดตามสถานการณ์น้ำและระบบป้องกันและการแก้ไขปัญหาการสไลด์ของเขื่อนดินในนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง ในวันอาทิตย์ที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ พบปัญหาฝนตกเป็นปริมาณมากในพื้นที่เหนือนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง ส่งผลให้เขื่อนดินของคลองลำแตงโมที่สร้างมาแล้วปริมาณ ๓๐ ปี และมีเส้นทางผ่ากลางพื้นที่ของนิคมฯ เกิดสไลด์ทำให้มีน้ำไหลเข้าพื้นที่นิคมฯ น้ำท่วมผิวจราจรสูงสุดประมาณ ๒๐ เซนติเมตร แต่ไม่มีน้ำท่วมในบริเวณโรงงานอุตสาหกรรม ในการนี้นายกรัฐมนตรีสั่งการให้ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเข้าแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งได้มีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าโดยการปิดคลองลำแตงโม และดำเนินการซ่อมแซมเขื่อนดินที่สไลด์และเร่งสูบน้ำออก ปัจจุบันสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว และเพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างมีระบบในช่วงที่ยังมีน้ำฝนในปริมาณมากต่อไปอีกระยะหนึ่ง ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยสั่งการให้กรมชลประทานรับผิดชอบพื้นที่นิคมฯ โดยให้เน้นไม่ให้มีน้ำเข้ามาเพิ่มเติม การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยรับผิดชอบพื้นที่ในนิคมฯ และประชาชนโดยรอบ และกรุงเทพมหานครรับผิดชอบพื้นที่ด้านล่างของนิคมฯ ในเรื่องการระบายน้ำ
|
||||||||||||||||||
895 | รายงานความคืบหน้าสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง | อก | 02/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๕๕ ได้เกิดน้ำท่วมถนนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง เนื่องจากมีฝนตกหนักเป็นเวลาติดต่อกันกว่า ๒ สัปดาห์ ทำให้น้ำในคลองรอบนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง ได้แก่ คลองบึงบัว คลองลำแตงโม มีระดับสูงอย่างต่อเนื่อง เป็นผลให้เขื่อนดินที่มีอายุการใช้งานกว่า ๓๐ ปี เกิดยุ่ยตัวทำให้น้ำกัดเซาะมีความกว้างประมาณ ๓ เมตร เป็นเหตุให้น้ำไหลท่วมถนนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมฯ ระดับความสูงประมาณ ๑๐-๒๐ เซนติเมตร แต่ไม่ได้เข้าท่วมในพื้นที่ของโรงงาน ๒. การดำเนินงานของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ๒.๑ ปิดต้นคลองลำแตงโมที่ต่อเชื่อมกับคลองบึงบัว โดยใช้เสาเข็มไม้ปักเป็น Sheet Pile พร้อม Big Bag กั้นน้ำทางตอนเหนือบริเวณจุดเชื่อมต่อระหว่างคลองเพื่อกั้นน้ำไม่ให้เข้านิคมอุตสาหกรรม และซ่อมแซมแนวเขื่อนดินที่ยุ่ยตัวลงมาแล้วเสร็จ รวมทั้งติดตั้งเครื่องสูบน้ำพญานาคเพิ่มเติม จำนวน ๑๒ ชุด สามารถสูบน้ำประมาณ ๑๒,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง เพื่อเร่งการลดระดับน้ำในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง ทั้งนี้ สามารถดำเนินการระบายน้ำจนสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ ตั้งแต่เวลา ๐๓.๐๐ น. ของวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ ๒.๒ จัดให้มีการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือถึงแนวทางการป้องกันน้ำท่วมในนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ โดยมีนายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และประธานคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เป็นประธานการประชุม โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้กรมชลประทาน กรุงเทพมหานคร และ กนอ. ร่วมจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อเร่งรัดการลดระดับน้ำในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง ๒.๓ สั่งการให้นิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เสี่ยงทุกแห่งดำเนินการตรวจสอบความมั่นคงของเขื่อนและติดตามสถานการณ์น้ำและปริมาณฝนในเขตพื้นที่อย่างใกล้ชิด
|
||||||||||||||||||
896 | รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ 2 ปี 2555 และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนสิงหาคม 2555 | อก | 25/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ ๒ (เมษายน - มิถุนายน) พ.ศ. ๒๕๕๕ และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ ๒ (เมษายน - มิถุนายน) พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๑ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ในไตรมาสที่ ๑ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ขยายตัวร้อยละ ๐.๓ ขยายตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ ๔ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งหดตัวที่ร้อยละ ๘.๙ แต่ชะลอตัวลงจากไตรมาสที่ ๑ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ขยายตัวร้อยละ ๓.๒ โดยปัจจัยที่ทำให้อัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ ๔ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ คือ อุปสงค์ในประเทศโดยรวมเริ่มดีขึ้น ในขณะที่อุปสงค์ต่างประเทศยังคงหดตัวแต่เริ่มปรับตัวดีขึ้น การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของครัวเรือนขยายตัว เป็นผลมาจากการใช้จ่ายในหมวดสินค้าไม่คงทนและสินค้ากึ่งคงทนที่ขยายตัว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกำลังซื้อภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นจากการชดเชยผลกระทบของอุทกภัยจากรัฐบาล ส่วนสินค้าคงทนยังคงหดตัว อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวเล็กน้อย อัตราการว่างงานสูงขึ้นเล็กน้อยแต่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและไฟฟ้าเริ่มขยับตัวสูงขึ้น การลงทุนรวมขยายตัว โดยการลงทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน การลงทุนภาครัฐยังคงหดตัว การส่งออกสินค้าและบริการยังคงหดตัวแต่ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่การนำเข้าสินค้าและบริการขยายตัว ๑.๒ GDP สาขาอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ ๑ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ หดตัวร้อยละ ๔.๒ ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสที่ ๔ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่หดตัวร้อยละ ๒๑.๖ แต่หดตัวจากไตรมาสที่ ๑ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ขยายตัวร้อยละ ๑.๗ เป็นผลมาจากโรงงานที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยเริ่มฟื้นตัวกลับมาผลิตใหม่ ปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนในบางอุตสาหกรรมการผลิตคลี่คลาย โดยอุตสาหกรรมสิ่งทอเสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่ม หนังและผลิตภัณฑ์จากหนังหดตัว เนื่องจากปัญหาความผันผวนของราคาวัตถุดิบ อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ยังคงหดตัว เนื่องจากนิคมอุตสาหกรรมหลายแหล่งที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยอยู่ระหว่างฟื้นฟูโรงงานทำให้ยังไม่สามารถดำเนินการผลิตได้เต็มประสิทธิภาพ ๑.๓ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จะขยายตัวร้อยละ ๕.๕ - ๖.๕ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ขยายตัวร้อยละ ๐.๑ ๑.๔ ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ ๒ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ พบว่า บางตัวมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เช่น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม โดยอุตสาหกรรมที่มีการผลิตลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้แก่ Hard Disk Drive ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป เป็นต้น ส่วนมูลค่าการส่งออกในภาพรวมขยายตัวเล็กน้อยร้อยละ ๐.๓๔ (มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๕) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป เป็นต้น ๑.๕ การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาแต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ ๒.๑ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม แนวโน้มการผลิตในภาพรวมและการส่งออก คาดว่าจะชะลอตัวต่อไป เนื่องจากความยืดเยื้อของปัญหาวิกฤตสหภาพยุโรป ด้านการส่งออกคาดว่าจะชะลอตัวลงสอดคล้องกับการผลิต สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวัง คือ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ประกอบกับราคาฝ้ายในตลาดล่วงหน้าที่เป็นแนวโน้มขาขึ้น ๒.๒ อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ แนวโน้มภาวะอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ในประเทศ คาดว่าจะขยายตัวได้ แม้จะอยู่ในช่วงฤดูฝน โดยปัจจัยสำคัญที่จะมีส่วนสนับสนุน คือ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และการใช้ปูนซีเมนต์ในการผลิตวัสดุก่อสร้าง และวัสดุทดแทนไม้ซึ่งได้รับความนิยมมากจากตลาดทั้งในและต่างประเทศ สำหรับการส่งออกคาดว่ายังขยายตัวได้ เนื่องจากประเทศที่เป็นตลาดหลักของไทย (กัมพูชา เมียนมาร์ ลาว เวียดนาม บังคลาเทศ และศรีลังกา) ยังมีแนวโน้มในการขยายตัวทางเศรษฐกิจในทิศทางที่ดี จึงมีความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ และวัสดุทดแทนไม้ เพื่อการก่อสร้างเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในช่วงปลายปี ซึ่งเริ่มเข้าสู่ฤดูก่อสร้าง
|
||||||||||||||||||
897 | ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ 8/2555 | นร11 | 25/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๘/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๕ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ กยอ. เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (กรณีเร่งด่วน ๔ ประเด็น) ที่มีมติเห็นชอบและรับทราบผลการประชุมดังกล่าว และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กยอ. รวบรวมข้อมูลความคืบหน้าการดำเนินโครงการ/แผนงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการแล้วให้ครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน เพื่อรายงานให้ กยอ. ทราบเป็นระยะ ๆ ด้วย ๒. รับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาส ๒/๒๕๕๕ และแนวโน้มปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ขยายตัวร้อยละ ๔.๒ เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ ๐.๔ ในไตรมาสแรก โดยด้านการผลิตมีปัจจัยสนับสนุนจากการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่เริ่มขยายตัวเป็นบวกหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมในช่วงปลายปีที่ผ่านมา และการขยายตัวเร่งขึ้นของสาขาก่อสร้าง การค้าส่งค้าปลีก โรงแรมและภัตตาคาร ด้านการใช้จ่ายมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศ เศรษฐกิจไทยในครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ขยายตัวร้อยละ ๒.๒ สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ ๕.๕ - ๖.๐ เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ ๐.๑ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ ๒.๙ - ๓.๔ การบริโภคภาคครัวเรือนขยายตัวร้อยละ ๔.๘ การลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๑๑.๓ มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๗.๓ และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลประมาณร้อยละ ๐.๑ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ๓. รับทราบความคืบหน้าการฟื้นฟูพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ตามที่ผู้แทน กนอ. เสนอ โดยสถานภาพการประกอบกิจการโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วม ณ วันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๕ มีโรงงานเปิดดำเนินการแล้วรวมทั้งสิ้น ๖๘๔ โรงงาน จากโรงงานทั้งหมด จำนวน ๘๓๙ โรงงาน หรือคิดเป็นร้อยละ ๘๑.๕๓ ที่เหลือประมาณร้อยละ ๘ มีการย้ายฐานการผลิตซึ่งโดยส่วนใหญ่ย้ายไปยังพื้นที่อื่น เช่น ฉะเชิงเทรา กบินทร์บุรี และระยอง เป็นต้น และอีกร้อยละ ๕ ยังอยู่ระหว่างการซ่อมแซมโรงงาน สำหรับความคืบหน้าการก่อสร้างเขื่อนป้องกันน้ำท่วม ส่วนใหญ่ดำเนินการล่าช้ากว่าเป้าหมายที่จะต้องแล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ เนื่องจากอยู่ระหว่างงานเก็บความเรียบร้อย ๔. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์และบริหารทรัพยากรน้ำ ลุ่มน้ำตะวันออก ๙ จังหวัด เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (อยอ.) โดยนายวุฒิพงศ์ ฉายแสง ประธานอนุกรรมการ อยอ. รายงานว่า ขณะนี้ได้แต่งตั้งคณะทำงาน จำนวน ๓ คณะ ได้แก่ คณะทำงานกำหนดยุทธศาสตร์แนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำและบริหารทรัพยากรน้ำเพื่อความมั่นคงของลุ่มน้ำตะวันออก ๙ จังหวัด คณะทำงานกำหนดยุทธศาสตร์และกรอบด้านการใช้ที่ดิน ประชากร ผังเมือง มลภาวะ และระบบนิเวศน์ และคณะทำงานกำหนดยุทธศาสตร์นโยบายด้านการพัฒนาพื้นที่เพื่อความมั่นคงอย่างยั่งยืน รวมถึงด้านกฎหมายและองค์กรที่จำเป็น เพื่อระดมความเห็นเกี่ยวกับแนวคิดในการบริหารทรัพยากรน้ำในพื้นที่ ๙ จังหวัด และจัดทำแผนยุทธศาสตร์และบริหารทรัพยากรน้ำลุ่มน้ำตะวันออก ๙ จังหวัด โดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลาดำเนินการประมาณ ๓ เดือน
|
||||||||||||||||||
898 | ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ 7/2555 | นร11 | 25/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๗/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ กยอ. เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการปรับปรุงกิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เพื่อรองรับการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงของประเทศ ได้แก่ การจัดตั้งรัฐวิสาหกิจใหม่เพื่อบริหารกิจการรถไฟความเร็วสูง [รวมโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ARL)] ภายใต้กระทรวงคมนาคม โดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นหลัก และเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมลงทุนในกิจการ โดยบริษัท รถไฟฟ้า รฟท. จำกัด (มหาชน) ทำหน้าที่กำกับดูแลสัญญาสัมปทาน และการโอนกรรมสิทธิ์การใช้พื้นที่เขตทางสำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงให้แก่รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นใหม่ โดยมีการชำระค่าใช้ประโยชน์พื้นที่ให้แก่ รฟท. บนหลักการเดียวกับการขอใช้พื้นที่ในเขตทางของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ เพื่อนำรายได้ไปแก้ไขปัญหาหนี้ของ รฟท. ต่อไป ตามที่ฝ่ายเลขานุการเสนอ โดยให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลังรับข้อเสนอแนวทางดังกล่าวไปประกอบการพิจารณารายละเอียดก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติยื่นหนังสือต่อศาลปกครองกลาง เพื่อขอขยายระยะเวลาการจัดทำคำชี้แจงการดำเนินงานของ กยอ. ต่อศาลปกครองกลาง กรณีสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนกับพวก รวม ๓๙ คน ฟ้องร้องต่อศาลปกครองให้ดำเนินคดีกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) และ กยอ. ในการสนับสนุนและอนุญาตให้ผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมหรือเขตประกอบการอุตสาหกรรมหรือสวนอุตสาหกรรม ดำเนินการก่อสร้างเขื่อนหรือพนังกั้นน้ำถาวรเพื่อล้อมรอบพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมหรือเขตประกอบการอุตสาหกรรมหรือสวนอุตสาหกรรม ออกไปอย่างน้อย ๓๐ วัน นับจากวันที่ครบกำหนด พร้อมทั้งยื่นหนังสือขอความอนุเคราะห์สำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อทำคำให้การแก้ต่างทางคดีดังกล่าวแทน กยอ. และให้เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือรองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นายปรเมธี วิมลศิริ) เป็นผู้แทน กยอ. ในการนำส่งเอกสารที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการนำพยานบุคคลที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริง และให้ถ้อยคำต่าง ๆ ต่อพนักงานอัยการ และประสานงานกับสำนักงานอัยการสูงสุดจนกว่าการดำเนินการทางคดีจะแล้วเสร็จ ๓. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) โดยกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้กับหน่วยงานไปดำเนินการ รวมเป็นเงิน ๔๗,๙๖๓ ล้านบาท และอนุมัติการเบิกจ่ายไปแล้วทั้งสิ้น ๒๘,๙๑๘ ล้านบาท ซึ่งแผนงานที่ได้รับอนุมัติไปแล้ว ได้แก่ แผนการดำเนินการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ แผนการป้องกันปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วนในพื้นที่ตะวันออกและตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา แผนการฟื้นฟู การอนุรักษ์ป่าและดิน การทำฝาย แผนการพัฒนาประสิทธิภาพการเก็บและการระบายน้ำในพื้นที่รับน้ำนอง และแผนการก่อสร้างระบบป้องกันอุทกภัยสำหรับนิคม/สวน/เขตอุตสาหกรรม สำหรับวงเงินที่เหลือ จำนวน ๓๐๒,๐๓๖ ล้านบาท ได้ประกาศเชิญชวนผู้สนใจร่วมเสนอกรอบแนวคิดเพื่อออกแบบก่อสร้างระบบบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนและระบบการแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทยในอนาคต ๔. รับทราบความคืบหน้าการฟื้นฟูพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ณ วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ มีผู้ประกอบการในนิคม/เขต/สวนอุตสาหกรรมที่เปิดดำเนินการเต็มกำลังการผลิต จำนวน ๔๐๒ ราย เปิดดำเนินการบางส่วน จำนวน ๒๗๙ ราย และยังไม่ได้เปิดดำเนินการ จำนวน ๑๕๘ ราย ส่วนการดำเนินการก่อสร้างเขื่อนหรือพนังกั้นน้ำคาดว่าจะสามารถสร้างเสร็จได้ทันภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ ยกเว้นนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนครที่คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนกันยายน ๒๕๕๕ ๕. รับทราบความคืบหน้าการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ โดยผลการรับประกันภัยตั้งแต่ ๒๘ มีนาคม - ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ กลุ่มผู้เอาประกันภัย ได้แก่ บ้านอยู่อาศัย SME และอุตสาหกรรม ได้ออกกรมธรรม์ไปแล้วรวม ๔๗,๐๑๕ ฉบับ ทุนประกันภัยพิบัติรวม ๖,๓๔๑.๙๑ ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยรวม ๔๕.๑๙ ล้านบาท ส่วนประมาณการประกันภัยทรัพย์สิน (กันยายน - ธันวาคม ๒๕๕๕) กลุ่มผู้เอาประกันภัย ได้แก่ บ้านอยู่อาศัย SME และอุตสาหกรรม จะมีการออกกรมธรรม์ ๓๖๔,๓๗๒ ฉบับ ทุนประกันภัย ๓,๖๕๕,๖๐๗ ล้านบาท และประมาณการทุนประกันภัย ๔๗๕,๕๕๐ ล้านบาท สำหรับการดำเนินการต่อไป อาทิ การสรรหาที่ปรึกษาด้านการประกันภัยต่อเพื่อทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะแก่กองทุนฯ ในการจัดแผนการประกันภัยต่อที่เหมาะสม การเดินทางไปเจรจากับบริษัทประกันภัยต่อในต่างประเทศเพื่อให้สามารถเจรจาต่อรองเงื่อนไขความคุ้มครองรวมทั้งเบี้ยประกันภัยได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด การดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ และการคัดเลือกบริษัทที่จะได้จ้างดำเนินการวางแผนการประชาสัมพันธ์และการใช้สื่อในรูปแบบต่าง ๆ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||
899 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนสิงหาคม 2555 | พณ | 25/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศ และรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๑๖.๒๘ เทียบกับเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๑๕.๘๒ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๔๐ (เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๓๕) เป็นการสูงขึ้นของราคาสินค้าอุปโภคบริโภค เป็นผลจากดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้นร้อยละ ๐.๓๑ โดยสินค้าประเภทอาหารที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ ปลาและสัตว์น้ำ ไข่ นมและผลิตภัณฑ์นม ผักสด เครื่องประกอบอาหาร ผลไม้สด เครื่องปรุงรส เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และอาหารสำเร็จรูป สำหรับสินค้าที่มีราคาลดลงตามปริมาณผลผลิตและภาวะตลาด ได้แก่ ข้าวสารเจ้า ข้าวสารเหนียว เนื้อสัตว์สด น้ำตาลทราย เป็นต้น สำหรับดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๐.๔๔ จากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงขายปลีกในประเทศมีการปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันตลาดโลก รวมทั้งสินค้าและบริการอื่น ๆ ที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ ผ้าและเสื้อผ้า ค่าเช่าบ้าน วัสดุก่อสร้าง ค่าน้ำประปา ค่าตรวจรักษาและค่ายา ค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด และเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ เป็นต้น ขณะที่สินค้าประเภทเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำน้ำอุ่นปรับลดราคาลงตามการส่งเสริมการจำหน่าย ๒. พิจารณาเทียบกับดัชนีราคาเดือนสิงหาคม ๒๕๕๔ สูงขึ้นร้อยละ ๒.๖๙ จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๔.๐๒ โดยดัชนีราคาหมวดข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง สูงขึ้นร้อยละ ๒.๐๔ ปลาและสัตว์น้ำ ร้อยละ ๔.๒๖ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๑๗.๒๓ เครื่องประกอบอาหาร สูงขึ้นร้อยละ ๔.๑๐ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๓.๑๑ และอาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๓.๘๖ ดัชนีราคาหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๑.๘๔ จากการสูงขึ้นของหมวดเคหสถาน ร้อยละ ๒.๗๐ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ร้อยละ ๑.๐๕ หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล ร้อยละ ๑.๐๖ หมวดพาหนะ การขนส่งและการสื่อสาร ร้อยละ ๑.๕๘ หมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๒.๔๒ หมวดการบันเทิงการอ่าน การศึกษาและการศาสนา สูงขึ้นร้อยละ ๐.๖๐ ๓. พิจารณาดัชนีเฉลี่ย ๘ เดือนของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เทียบกับระยะเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สูงขึ้นร้อยละ ๒.๘๙ จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๕.๗๐ และดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๑.๑๓ ตามการสูงขึ้นของหมวด ข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง ร้อยละ ๒.๔๖ เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ ร้อยละ ๒.๐๒ ไข่ และผลิตภัณฑ์นม ร้อยละ ๐.๘๖ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๑๒.๒๒ เครื่องประกอบอาหาร ร้อยละ ๗.๐๕ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๒.๗๑ อาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๖.๖๔ ค่าน้ำประปา ร้อยละ ๕.๕๖ ค่ากระแสไฟฟ้า ร้อยละ ๑๓.๕๒ หมวดยานพาหนะ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๔๐ และน้ำมันเชื้อเพลิง สูงขึ้นร้อยละ ๐.๔๕ เป็นต้น ๔. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๐๘.๕๒ เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๗ (เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๓) จากการเคลื่อนไหวสูงขึ้นและลดลงของราคาสินค้าและบริการ ได้แก่ ผ้าและเสื้อผ้า ค่าน้ำประปา ค่าเช่าบ้าน วัสดุก่อสร้าง ค่าตรวจรักษาและค่ายา ค่าของใช้และบริการส่วนบุคคล ผลิตภัณฑ์ยาสูบและผลิตภัณฑ์สุรา สำหรับสินค้าที่มีราคาลดลง ได้แก่ สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาดบางชนิด (น้ำยาล้างห้องน้ำ น้ำยาปรับผ้านุ่ม ผลิตภัณฑ์ซักผ้า น้ำยาซักแห้ง) เครื่องปรับอากาศ และเครื่องทำน้ำอุ่น เป็นต้น
|
||||||||||||||||||
900 | แนวทางการแก้ไขปัญหาการจราจรในกรุงเทพมหานครในช่วงฝนตกชุก | นร | 25/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์) รายงานว่า กระทรวงคมนาคมได้ร่วมหารือกับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๕ เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางและบูรณาการการแก้ไขปัญหาจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่มีฝนตกชุกและเกิดน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ให้เป็นรูปธรรม ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย โดยได้มีการจัดตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรฯ แล้วจะนำเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไปภายใน ๗ วัน อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้น ขอความร่วมมือส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐพิจารณาดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรในส่วนที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ๑.๑ ให้หน่วยงานที่มีที่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร และมีพื้นที่ที่สามารถรองรับน้ำ หรือช่วยพร่องน้ำได้ เช่น บึง บ่อ คู เป็นต้น ขอให้กักเก็บน้ำไว้ในพื้นที่ที่สามารถรองรับน้ำดังกล่าวไว้ให้เต็มศักยภาพก่อน และหลีกเลี่ยงการสูบหรือระบายน้ำออกมาสู่ลำรางสาธารณะที่อยู่ใกล้กับถนนหรือผิวการจราจรใกล้เคียงในช่วงที่เกิดฝนตก เนื่องจากจะทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมผิวการจราจรมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแนวถนนที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดน้ำท่วมจากฝนตกชุกอยู่แล้ว เช่น ถนนวิภาวดีรังสิต เป็นต้น ทั้งนี้ ขอให้ชะลอเวลาการสูบหรือระบายน้ำออกจากพื้นที่ของหน่วยงานไปเป็นช่วงภายหลังจากที่ฝนหยุดตกแล้วประมาณ ๑-๒ ชั่วโมง ๑.๒ ให้ทุกหน่วยงานพิจารณาทบทวนมาตรการสลับเวลาทำงานของหน่วยงานของรัฐเพื่อแก้ไขปัญหาจราจร ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๐ (เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับเรื่อง มาตรการสลับเวลาทำงานของหน่วยงานของรัฐเพื่อแก้ไขปัญหาจราจร) เพื่อนำมาใช้ในช่วงวันที่มีฝนตกชุกและอาจเกิดปัญหาน้ำท่วมผิวการจราจรและการจราจรติดขัดตามความจำเป็นเหมาะสมกับสถานการณ์ ที่ตั้งของหน่วยงาน ตลอดจนภารกิจและการปฏิบัติงานของหน่วยงาน ทั้งนี้ โดยต้องไม่เกิดความเสียหายต่องานราชการโดยรวมและการให้บริการประชาชน ๑.๓ ให้ทุกหน่วยงาน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ติดตามข้อมูลและการพยากรณ์สภาพอากาศอย่างต่อเนื่อง เพื่อวางแผนและบริหารจัดการการเดินทางไป-กลับ ให้เหมาะสมและหลีกเลี่ยงการเดินทางในช่วงเวลาที่คาดว่าจะเกิดภาวะฝนตก อันจะช่วยให้เกิดความคล่องตัวและบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัดได้ ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามความเหมาะสมต่อไป
|
.....