ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 70 จากทั้งหมด 199 หน้า แสดงรายการที่ 1381 - 1400 จากข้อมูลทั้งหมด 3975 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1381 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงโดยชุมชน/ท้องถิ่น" | สสป | 17/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงโดยชุมชน/ท้องถิ่น" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กรมโยธาธิการและผังเมือง สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย สมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ระดับนโยบาย ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กำหนดนโยบายให้มีนักบริบาลประจำหมู่บ้านหรือในชุมชน โดยมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นผู้ดำเนินการหลัก อีกทั้งควรให้มีระเบียบและข้อกำหนดในด้านงบประมาณให้มีความคล่องตัวและเอื้อต่อการปฏิบัติงานในระดับพื้นที่ ๒. ระดับพื้นที่ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีบทบาทสำคัญในการดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ประสานงานกับผู้บริหารโรงพยาบาล และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลในพื้นที่ เพื่อจัดบริการสุขภาวะผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชนที่มีนักบริบาลประจำหมู่บ้านหรือชุมชน ตลอดจนสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง โดยจัดบริการให้ครบทุกมิติสุขภาวะทั้ง ๔ ด้าน คือ กาย ใจ สังคม และปัญญา ๒.๒ สนับสนุนการจัดบริการสังคมอื่น ๆ เพื่อสุขภาวะของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง เช่น ยานพาหนะในการรับส่ง กายอุปกรณ์ และการปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ที่อยู่อาศัย ๒.๓ สนับสนุนให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ขยายแนวคิดการพัฒนารูปแบบของกระบวนการทำงาน ในลักษณะการมีส่วนร่วมและเชื่อมประสานของทุกฝ่าย (ชุมชน อปท. ทีมนักวิชาการวิชาชีพสุขภาพ) ร่วมเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพชุมชน โดยเฉพาะการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงให้เกิดสังคมไม่ทอดทิ้งกัน มีชุนชน บ้านของเขาเป็นฐาน
|
||||||||||||||||||
1382 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้พนักงานและลูกจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขตามมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติ หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 พ.ศ. .... | สธ | 17/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้พนักงานและลูกจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้พนักงานและลูกจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. .... ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) และความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับร่างมาตรา ๕ ที่กำหนดขอบเขตสิทธิรับบริการสาธารณสุขของพนักงานส่วนท้องถิ่นและบุคคลในครอบครัวให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของพนักงานส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติม อาจไม่สอดคล้องกับมาตรา ๙ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติฯ ที่ให้กำหนดเฉพาะบุคคลหรือหน่วยงานที่สามารถใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขตามพระราชบัญญัตินี้เท่านั้น และการเร่งพัฒนาระบบฐานข้อมูลผู้มีสิทธิตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยฯ รวมทั้งการเร่งบูรณาการระบบจัดส่งข้อมูลระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสถานพยาบาลให้มีความพร้อมในการดำเนินการก่อนการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติรับประเด็นอภิปรายและความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
1383 | ความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศในการจัดประชุมสุดยอดผู้นำเอเชียและแปซิฟิก | ทก | 10/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศในการจัดประชุมสุดยอดผู้นำเอเชียและแปซิฟิก ฉบับแก้ไขสุดท้าย โดยสาระสำคัญของร่างความตกลงฯ ฉบับแก้ไขสุดท้ายระบุถึงพันธกรณีที่ประเทศไทยต้องจัดหาและดำเนินการในฐานะประเทศเจ้าภาพ ประกอบด้วยข้อกำหนดต่าง ๆ ที่สำคัญ ได้แก่ การเชิญ การเข้าร่วม และการตรวจลงตรา (วีซ่า) เอกสิทธิ์และความคุ้มกัน อากรและภาษีขาเข้าและขาออก การจัดการทางการเงิน มาตรการความมั่นคงและการรักษาความปลอดภัย พิธีการ สถานที่ สิ่งอำนวยความสะดวก บริการ และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่จัดหาเอาไว้โดยรัฐบาล การจัดการการเดินทางและการขนส่ง การจัดการที่เกี่ยวกับสื่อสัมพันธ์ การมีผลบังคับใช้และระยะเวลาของข้อตกลงฉบับนี้ รวมทั้งผู้ลงนาม ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างความตกลงฯ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของฝ่ายไทยและมิใช่การแก้ไขในสาระสำคัญ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีโดยไม่ต้องนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นผู้ลงนามความตกลงฯ ในนามของรัฐบาลไทย ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อลงนามในความตกลงฯ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารใช้การระงับข้อพิพาทโดยวิธีการอนุญาโตตุลาการ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การทำสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชน) ได้ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา |
||||||||||||||||||
1384 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "วิสาหกิจชุมชนเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจไทย กรณีศึกษาวิสาหกิจชุมชนมาบตาพุด" | สสป | 10/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "วิสาหกิจชุมชนเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจไทย กรณีศึกษาวิสาหกิจชุมชนมาบตาพุด" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ควรเร่งรัดการพัฒนาอุตสาหกรรมและเป้าหมายการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ ๒. ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันระหว่างชุมชนกับโรงงานอุตสาหกรรม ในลักษณะการพึ่งพาซึ่งกันและกัน โดยชุมชนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา อุตสาหกรรมเป็นฝ่ายร่วมหนุนเสริมกลไก และรัฐมีบทบาทเป็นฝ่ายประสานความร่วมมือ (Co-empowerment) ๓. จัดตั้งคณะกรรมการร่วมระดับพื้นที่ขึ้น ในรูปแบบองค์กรเบญจภาคี ประกอบด้วย ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการเมือง ภาคองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชน เพื่อให้ทุกฝ่ายร่วมกันแก้ไขปัญหาในเชิงสร้างสรรค์ ภายใต้กรอบการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน โดยมีตัวอย่างที่มาบตาพุด (มาบตาพุดโมเดล) ๔. ศึกษาขยายผล ประยุกต์รูปแบบการประสานงานและแนวทางการดำเนินงานร่วมกันระหว่างวิสาหกิจชุมชนมาบตาพุดและโรงงานอุตสาหกรรม ให้เป็นรูปแบบที่เหมาะสมและสอดคล้องกับวัฒนธรรมวิถีชุมชนในพื้นที่ต่าง ๆ ที่ยังมีปัญหาระหว่างโรงงานอุตสาหกรรมกับชุมชน ๕. ควรมีมาตรการให้โรงงานอุตสาหกรรมเกื้อกูลและเอื้อประโยชน์ให้แก่ชุมชนบริเวณโดยรอบ เช่น ร่วมกันจัดทำแผนกลยุทธ์ความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR Roadmap) โดยรัฐจะให้มีการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมที่เข้าร่วมมาตรการดังกล่าว ๖. สำหรับนิคม/เขตอุตสาหกรรมที่เหมาะสมและมีความพร้อม ควรมีมาตรการจัดทำต้นแบบโรงงานอุตสาหกรรมและวิสาหกิจชุมชนที่มีกระบวนการสอดคล้องกัน ระหว่างการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานของภาคอุตสาหกรรมกับการกระจายรายได้ไปยังชุมชน เพื่อให้ชุมชนได้เป็นส่วนหนึ่งของการร่วมรับผลประโยชน์จากการพัฒนาอุตสาหกรรม ๗. ควรมีมาตรการจูงใจทางภาษีในการส่งเสริมให้โรงงานอุตสาหกรรมชำระภาษีในพื้นที่ที่ตั้งโรงงาน เพื่อให้ประโยชน์ตกแก่ท้องถิ่นนั้น ๆ เป็นสำคัญ
|
||||||||||||||||||
1385 | รายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2554 | ทส | 10/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๖ มีมติเห็นชอบกับรายงานดังกล่าวแล้ว โดยรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๔ ประกอบด้วยเนื้อหาสาระที่สำคัญ ดังนี้
๑. สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงคุณภาพทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๔ ๒. ประเด็นปัญหาสำคัญ ได้แก่ อุทกภัยและดินถล่มในภาคใต้ การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินและสภาพสิ่งแวดล้อมในจังหวัดน่าน และการจัดการทรัพยากรชายฝั่งอย่างมีส่วนร่วม ๓. แนวโน้มสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม ๔. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างบูรณาการ ได้แก่ ควรมีการกำหนดเป้าหมายในการพัฒนาประเทศในอนาคตอย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม และเป็นเชิงวิสัยทัศน์ ควรมีข้อกำหนดเกี่ยวกับนโยบายภาครัฐอย่างชัดเจนทั้งในด้านการกำหนดนโยบาย และการดำเนินนโยบาย และควรมีการเสริมสร้างสมรรถนะ (capacity building) ในด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น
|
||||||||||||||||||
1386 | รายงานผลการดำเนินการของกระทรวงคมนาคมกรณีการชุมนุมของชาวสวนยางและปาล์มน้ำมันในพื้นที่ภาคใต้ | คค | 10/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการของกระทรวงคมนาคมกรณีการชุมนุมของชาวสวนยางและปาล์มน้ำมันในพื้นที่ภาคใต้ ตั้งแต่วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๖ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดตั้งศูนย์ประสานงานคมนาคม (ศปส. คค.) เพื่อติดตามสถานการณ์ชุมนุมที่มีผลกระทบต่อการคมนาคมขนส่งทั้งทางถนน รถไฟ และอากาศยาน โดยมีปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นผู้อำนวยการศูนย์ หัวหน้าส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจในสังกัด และสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรทำหน้าที่เลขานุการ กำหนดการประชุมในรูปแบบ Video Conference ระหว่างกระทรวงคมนาคมไปยังหน่วยงานในสังกัดทั้งส่วนกลางและในพื้นที่เป็นประจำทุกวัน เพื่อรายงานสถานการณ์และเตรียมมาตรการเพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับผู้เดินทาง ตลอดจนประสานงานอย่างใกล้ชิดกับศูนย์ประสานงานแก้ไขปัญหาการชุมนุมเรียกร้องราคายางพาราและปาล์มน้ำมัน (ศปกย.) ของสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธาน ๒. มาตรการที่ได้ดำเนินการเพื่อแก้ปัญหา ๒.๑ กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท ได้ประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่นแจ้งข้อมูลและแผนที่เส้นทางเลี่ยงจุดที่มีการชุมนุม ติดตั้งป้ายและตรวจสอบสภาพของเส้นทางเลี่ยงให้อยู่ในสภาพดี รวมทั้งมีการวางแผนเส้นทางการเดินรถรายวัน ๒.๒ การรถไฟแห่งประเทศไทย ได้จัดการเดินรถสายใต้ถึงสถานีชุมทางทุ่งสงและจากสถานีพัทลุง-หาดใหญ่-สุไหงโกลก เส้นทางที่ขาดช่วง คือ จากชุมทางทุ่งสง-พัทลุง กรมการขนส่งทางบก และบริษัท ขนส่ง จำกัด ได้จัดรถโดยสาร บขส. และรถร่วม บขส. มาให้บริการ ๒.๓ ในช่วงที่มีการชุมนุมบนทางหลวงหมายเลข ๔๑ ห่างจากบริเวณด้านหน้าของท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานีเพียง ๑ กิโลเมตร กรมการบินพลเรือนได้ปิดประตูทางเข้าสนามบิน และจัดรถบริการรับ-ส่ง ผู้โดยสารที่จะเข้ามาในพื้นที่จากประตูทางเข้าไปยังอาคารผู้โดยสาร และกำหนดการเดินทางโดยใช้เส้นทางเลี่ยงท่าอากาศยาน-กองบินที่ ๗-ร้านอาหารวังกุ้ง เป็นเส้นทางเข้า-ออก จากท่าอากาศยาน มีรถรับ-ส่ง พร้อมแจกจ่ายแผนที่เส้นทางแก่ประชาชน สำหรับบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ได้เตรียมหอบังคับการบินสำรอง ทำการซ้อมแผนและอบรมเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน พร้อมอุปกรณ์การควบคุมการจราจรทางอากาศครบถ้วนสามารถเคลื่อนย้ายได้ทันทีหากมีการบุกยึดท่าอากาศยานและศูนย์ควบคุมการบินที่สุราษฎร์ธานี และบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ติดตามเฝ้าระวังเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ยังไม่มีการยกเลิกเที่ยวบินใด ๆ และเตรียมความพร้อมเรื่องท่าอากาศยานสำรองไว้แล้ว
|
||||||||||||||||||
1387 | การเตรียมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดลพบุรี | นร11 | 10/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. โครงการในการลงพื้นที่ของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๒ จำนวน ๔ จังหวัด (จังหวัดลพบุรี อ่างทอง สิงห์บุรี และชัยนาท) ในการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดลพบุรี ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๐ กันยายน ๒๕๕๖ ๑.๑ กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๒ ได้แก่ โครงการศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์จากวัสดุท้องถิ่นเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชุมชน โครงการพัฒนาสวนน้ำเพื่อสุขภาพและการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๒ โครงการส่งเสริมสหกรณ์การตลาดสินค้าเกษตรปลอดภัย กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๒ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเฝ้าระวังและเตือนภัยจากน้ำ โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวระดับชั้นพันธุ์หลักและชั้นพันธุ์ขยายเพื่อเสริมสร้างระบบการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวของกลุ่มจังหวัดภาคกลาง และโครงการพัฒนาและบูรณะทางหลวงเพื่อความปลอดภัย และเชื่อมโยงระหว่างจังหวัด ๑.๒ จังหวัดลพบุรี ได้แก่ โครงการก่อสร้างศูนย์ส่งเสริม บริการเยาวชนและผู้สูงวัย (จังหวัดลพบุรี) โครงการดูแลผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาสทางสังคม แบบ long term care โครงการเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำจังหวัดลพบุรีด้วยแบบจำลองสามมิติทางภูมิศาสตร์และระบบกล้องวงจรปิด (CCTV) อัจฉริยะ โครงการบริหารจัดการน้ำเพื่อสนับสนุนเกษตรกรทำการเกษตรอาหารปลอดภัย โครงการยกระดับเขตเมืองเก่าลพบุรีเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ในระดับภูมิภาคอาเซียน และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบกระจายน้ำอ่างเก็บน้ำห้วยใหญ่ (วังแขม) ๑.๓ จังหวัดอ่างทอง ได้แก่ โครงการพัฒนาบ่อทรายให้เป็นแก้มลิง โครงการบริหารจัดการน้ำในเขตชุมชนบ้านรอเทศบาลเมืองอ่างทองเพื่อป้องกันอุทกภัย โครงการบริหารจัดการน้ำในเขตชุมชนบางแก้วและโรงพยาบาลอ่างทอง เทศบาลเมืองอ่างทอง เพื่อป้องกันอุทกภัย โครงการพัฒนาการท่องเที่ยวตามวิถีชีวิตชุมชนคนลุ่มแม่น้ำน้อย โครงการรักษาเสถียรภาพต้นทุนผลผลิตทางการเกษตรของสมาชิกสหกรณ์และเกษตรกร และโครงการพัฒนาพื้นที่แก้มลิงหนองเจ็ดเส้นอันเนื่องมาจากพระราชดำริ “อุทยานสวรรค์ ๑๑๕ ปี อ่างทอง หนองเจ็ดเส้น เฉลิมพระเกียรติฯ” เป็นแหล่งท่องเที่ยว เพื่อรองรับประชาคมอาเซียน ๑.๔ จังหวัดสิงห์บุรี ได้แก่ พัฒนาค่ายบางระจันให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ พัฒนาและปรับปรุงศูนย์การเรียนรู้เกษตรปลอดภัยในพื้นที่โครงการฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริ และโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณหมู่ที่ ๕ ตำบลชีน้ำร้าย อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ๑.๕ จังหวัดชัยนาท ได้แก่ โครงการเมืองเมล็ดพันธุ์ข้าวชัยนาท โครงการส่งเสริมการปลูกอ้อยทดแทนการปลูกข้าว ตามนโยบายเกษตร Zoning ๒. การประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค (กรอ.ภูมิภาค) กำหนดในวันพฤหัสบดีที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๖ ณ ห้องประชุมชั้น ๓ อาคาร ๙๐ ปี มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี จังหวัดลพบุรี
|
||||||||||||||||||
1388 | โครงการจัดงานประชุมวิชาการกล้วยไม้เอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ 12 (The 12th Asia Pacific Orchid Conference 2016: APOC 2016) | กษ | 03/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติหลักการโครงการประชุมวิชาการกล้วยไม้เอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ ๑๒ (The 12th Asia Pacific Orchid Conference 2016 : APOC 2016) ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ซึ่งผลที่คาดว่าจะได้รับจากการเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมสัมมนากล้วยไม้ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในครั้งนี้ จะก่อให้เกิดประโยชน์ในด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรกล้วยไม้เพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน รวมถึงการพัฒนาวงการกล้วยไม้ในกลุ่มประเทศสมาชิกและนานาประเทศตามวัตถุประสงค์ของคณะกรรมการกล้วยไม้เอเชียแปซิฟิก (Asia Pacific Orchid Committee : APOC) และจะเป็นโอกาสของประเทศไทยในการนำเสนอบทบาทด้านกล้วยไม้สู่นานาชาติ รวมทั้งเพื่อแสดงถึงศักยภาพและขีดความสามารถของประเทศไทยทั้งด้านการผลิตและการตลาด และเป็นการสนับสนุนด้านการส่งออกกลุ่มสินค้ากล้วยไม้ไปสู่ตลาดโลก ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมวิชาการเกษตร) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการจัดงานโครงการประชุมวิชาการกล้วยไม้เอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ ๑๒ ๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณารายละเอียดงบประมาณและสถานที่การจัดงานและเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาในครั้งต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำรายละเอียดข้อมูลรูปแบบการเป็นเจ้าภาพจัดงาน พร้อมทั้งรายละเอียดงบประมาณ และแผนการดำเนินงานที่รวมถึงแนวทางการเตรียมความพร้อมทั้งทางด้านสถานที่ การจราจร แหล่งอำนวยความสะดวกให้กับผู้เข้าร่วมการประชุม และนักท่องเที่ยว ตลอดจนความพร้อมด้านบุคลากร และระบบบริหารจัดการ โดยประสานความร่วมมือกับภาครัฐ ส่วนท้องถิ่นและเอกชนที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
1389 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | กค | 27/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๒ เห็นชอบข้อเสนอแนะในประเด็นสำคัญเพิ่มเติม เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการเพื่อให้การจัดทำรายงานการเงินรวมภาครัฐมีความครบถ้วนสมบูรณ์ น่าเชื่อถือ สามารถใช้ข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์และตัดสินใจเชิงนโยบายด้านการเงินการคลังได้อย่างถูกต้อง และให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดทุกกระทรวงให้ความสำคัญและกำชับหน่วยงานภายใต้สังกัดให้ดำเนินการ ดังต่อไปนี้ ๑.๒.๑ กลุ่มรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ ให้ อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทย พิจารณาปรับเกลี่ยอัตรากำลังให้สอดคล้องกับภารกิจหรือปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งที่มีอยู่ให้เป็นนักวิชาการเงินและบัญชีให้แก่จังหวัดและกลุ่มจังหวัด ในฐานะเป็นหน่วยรับงบประมาณ หากยังไม่เพียงพอให้นำเสนอคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) เพื่อพิจารณาต่อไป และเพื่อให้การบริหารทรัพย์สินของหน่วยงานภาครัฐเกิดประโยชน์สูงสุด เห็นควรให้ผู้บริหารให้ความสำคัญในการบริหารทรัพย์สินให้เกิดประสิทธิภาพ โดยใช้ทรัพย์สินที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าและจัดซื้อจัดหาทรัพย์สินให้ตรงตามวัตถุประสงค์ของการใช้งานอย่างเหมาะสม หรืออาจพิจารณาการใช้ทรัพย์สินร่วมกัน ๑.๒.๒ กลุ่มกองทุนและเงินทุนหมุนเวียน การจัดสรรเงินงบประมาณอุดหนุนแก่กองทุนและเงินทุนหมุนเวียนควรพิจารณาตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยพิจารณาฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของหน่วยงาน เพื่อประโยชน์ในการบริหารงบประมาณของแผ่นดินในภาพรวม ๑.๒.๓ กลุ่มองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ให้กรุงเทพมหานครเร่งรัดจัดทำรายงานการเงินส่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภายใน ๖๐ วัน นับจากวันสิ้นปีงบประมาณให้เป็นไปตามระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน การนำส่งเงิน และการตรวจเงิน พ.ศ. ๒๕๕๕ หมวด ๑๑ ข้อ ๘๙ และส่งสำเนารายงานการเงินให้กรมบัญชีกลางเพื่อจัดทำรายงานการเงินรวมภาครัฐ และเพื่อประโยชน์ในการบริหารเงินสดและเงินฝากธนาคารของ อปท. ในภาพรวมให้เกิดประสิทธิภาพและเหมาะสม เห็นควรให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นกำกับดูแลเร่งรัดให้ อปท. ใช้จ่ายเงินในการดำเนินงาน ตามแผนงาน/โครงการ และนโยบายของรัฐบาลให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างรวดเร็วเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายเงินของ อปท. ให้ประชาชนได้รับความช่วยเหลือและสวัสดิการขั้นพื้นฐานจากรัฐอย่างทั่วถึง ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยรับไปประสานงานเพื่อเร่งรัดให้กรุงเทพมหานครจัดทำรายงานการเงินส่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภายใน ๖๐ วัน นับจากวันสิ้นปีงบประมาณ เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน การนำส่งเงิน และการตรวจเงิน พ.ศ. ๒๕๕๕ หมวด ๑๑ ข้อ ๘๙ และส่งสำเนารายงานการเงินให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) เพื่อจัดทำรายงานการเงินรวมภาครัฐเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีได้อย่างครบถ้วนต่อไป |
||||||||||||||||||
1390 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานเศรษฐกิจการลงทุน ณ นครนิวยอร์ก | อก | 27/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑ รายการค่าเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานเศรษฐกิจการลงทุน ณ นครนิวยอร์ก ในวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น ๔๑,๕๗๕,๑๔๐ บาท หรือเท่ากับ ๑,๓๘๕,๘๓๘ ดอลลาร์สหรัฐ หรือไม่เกินวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาเช่าตามสกุลเงินท้องถิ่น กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่ได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว ในรายการค่าเช่าอาคารสำนักงานต่างประเทศ ส่วนงบประมาณที่เหลือให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๑ ตามสัญญาเช่าต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ในการทำสัญญาเช่าให้กระทรวงอุตสาหกรรม (สำนักงานเศรษฐกิจการลงทุน) กำหนดเงื่อนไขในการยกเลิกสัญญาเช่าก่อนกำหนดได้ ในกรณีที่จะย้ายเข้าไปใช้พื้นที่ในอาคารที่ทำการคณะผู้แทนถาวรฯ/สถานกงสุลใหญ่ฯ (หลังปัจจุบัน) ในอนาคตตามนโยบายการใช้พื้นที่ร่วมกัน (One Roof Policy) ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดซื้ออาคารสถานที่แห่งหนึ่งแห่งใดแทนวิธีการเช่าเพื่อใช้เป็นที่ทำการถาวรร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆ ของไทย ณ นครนิวยอร์ก เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายการใช้พื้นที่ร่วมกัน (One Roof Policy) ต่อไป |
||||||||||||||||||
1391 | การจัดทำสัญญาเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก | พณ | 27/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๓ รายการค่าเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก โดยมีวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น ๖๒,๙๖๐,๙๐๐ บาท หรือเท่ากับ ๑,๙๖๗,๕๒๖ ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดอัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ๓๒ บาท หรือไม่เกินวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาเช่าตามสกุลเงินท้องถิ่นกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ รายการค่าเช่าอาคารสำนักงานในต่างประเทศ (ผูกพันใหม่) จำนวน ๒๑๔,๔๓๔ ดอลลาร์สหรัฐ หรือเท่ากับ ๖,๘๖๑,๙๐๐ บาท ส่วนงบประมาณที่เหลือให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๓ ตามความจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ในการทำสัญญาเช่าให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ) กำหนดเงื่อนไขในการยกเลิกสัญญาเช่าก่อนกำหนดได้ในกรณีที่จะย้ายเข้าไปใช้พื้นที่ในอาคารที่ทำการคณะผู้แทนถาวรฯ/สถานกงสุลใหญ่ฯ (หลังปัจจุบัน) ในอนาคตตามนโยบายการใช้พื้นที่ร่วมกัน (One Roof Policy) ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดซื้ออาคารสถานที่แห่งหนึ่งแห่งใดแทนวิธีการเช่าเพื่อใช้เป็นที่ทำการถาวรร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆ ของไทย ณ นครนิวยอร์ก เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายการใช้พื้นที่ร่วมกัน (One Roof Policy) ต่อไป |
||||||||||||||||||
1392 | สรุปรายงานผลการดำเนินงาน "พูดจาหาทางออกประเทศไทย 108 เวที" | นร | 27/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานผลการดำเนินการจัดเวที “พูดจาหาทางออกประเทศไทย” ๑๐๘ เวที ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๖-๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ตามที่คณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ลักษณะปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาว ได้แก่ ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม ความเข้าใจประชาธิปไตยที่แตกต่าง โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้งกรณีปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาว มาจากการทุจริตคอร์รัปชัน การกระจายอำนาจของรัฐไม่มีประสิทธิภาพ ความเหลื่อมล้ำทางสังคม (การแบ่งชนชั้น) ยาเสพติด ไม่ใช้เหตุผลในการแก้ปัญหา เศรษฐกิจ ปากท้อง ความเป็นอยู่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ (คนรวย คนจน) การมีระบบอุปถัมภ์และความไม่เท่าเทียมกันทางการศึกษา สำหรับข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขความขัดแย้ง กรณีปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาว ต้องแก้ไขการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับประชาชน ขยายโอกาสทางการศึกษาให้ทั่วถึง กระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นอย่างจริงจัง การกระจายความเจริญไปสู่ท้องถิ่นอย่างเป็นรูปแบบ ร่วมสร้างจิตสำนึกในหน้าที่ของตนเอง เปิดโอกาสให้มีการมีส่วนร่วมในทุกภาคส่วน จัดกิจกรรมการเรียนรู้เกี่ยวกับประชาธิปไตย ๒. ลักษณะปัญหาเฉพาะหน้า ได้แก่ ปัญหาความเคลือบแคลงในหลักนิติธรรม สังคมขาดองค์ความรู้ในการจัดการความขัดแย้งและสันติวิธี ความขัดแย้งแบบเดิมพันสูง ตุลาการภิวัฒน์ การแทรกแซงองค์กรอิสระ การกล่าวอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อประโยชน์ทางการเมือง การรัฐประหาร และบทบาทของทหารในการจัดการความขัดแย้ง และการขยายตัวของสื่อการเมืองและสื่อบุคคล (สื่อเลือกข้าง) โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง กรณีปัญหาเฉพาะหน้า มาจากความขัดแย้งทางการเมืองและนักการเมือง การใช้อำนาจของรัฐที่ไม่เป็นธรรม ความแตกแยกทางความคิด การใช้ความรุนแรง ความไม่เป็นธรรมของกฎหมาย การไม่จัดการความขัดแย้ง/ปล่อยให้ความขัดแย้งบานปลาย การแก้ไขรัฐธรรมนูญ การกล่าวอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ การรัฐประหารการแทรกแซงองค์กรอิสระ การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของสื่อมวลชน ความเข้าใจเกี่ยวกับประชาธิปไตย และการทำหน้าที่ของศาล สำหรับข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง กรณีเฉพาะหน้า ต้องแก้ไขโดยไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ใช้กำลังในการตัดสินปัญหา งดการชุมนุม หยุดการเคลื่อนไหวปลุกระดมทางการเมือง ส่งเสริมให้มีกิจกรรมที่สร้างความสามัคคีของคนในชาตินักการเมืองเจรจาร่วมกันเพื่อหาทางออก ส่งเสริมการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี เมตตาและปรารถนาดีต่อกัน จัดเวทีหรือช่องทางให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็น แก้ไขรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน สื่อนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องและรับผิดชอบต่อการนำเสนอที่ผิดพลาด และการบังคับใช้กฎหมายอย่างยุติธรรม
|
||||||||||||||||||
1393 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ตะกั่วในสีทาอาคาร ภัยที่ป้องกันได้" | สสป | 20/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ตะกั่วในสีทาอาคาร ภัยที่ป้องกันได้" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์ และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค) กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค สภาสถาปนิก สมาคมผู้ผลิตสีไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องควรดำเนินการในการแก้ไขปัญหาทั้งเร่งด่วน และรณรงค์เพื่อป้องกันปัญหาในระยะยาว โดย ๑.๑ เร่งรัดการออกกฎหมายความปลอดภัยของผู้บริโภค (Consumer Product safety Improvement Act) ๑.๒ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมควรออกมาตรฐานบังคับสำหรับมาตรฐานผลิตภัณฑ์กำหนดมาตรฐานปริมาณตะกั่วในสีน้ำมันที่อนุญาตให้มีได้ไม่เกินร้อยละ ๐.๐๖ หรือ 600 ppm เป็นมาตรฐานบังคับเพื่อประกันความปลอดภัยแก่ผู้บริโภค ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๓ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคควรประกาศให้มีการแสดงปริมาณสารตะกั่วในสีตกแต่งหรือสีทาอาคาร และมีฉลากคำเตือนบนภาชนะบรรจุสีตกแต่งหรือสีทาอาคารที่มีสารตะกั่วเจือปน เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้บริโภคในการตัดสินใจซื้อ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๔ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรออกข้อกำหนดให้ผู้รับเหมาใช้สีที่ควบคุมปริมาณสารตะกั่วในสีทาอาคาร และสีทาเคลือบผิววัสดุที่ใช้ในอาคารและใช้ในโรงเรียนโดยมีปริมาณสารตะกั่วน้อยกว่า 90 ppm หรือร้อยละ ๐.๐๐๙ ๑.๕ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ควรร่วมกันออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้ผลิตขนาดกลางและขนาดเล็กให้สามารถผลิตสีที่ไม่มีตะกั่วหรือมีในระดับค่ามาตรฐานออกจำหน่ายแข่งขันในท้องตลาดได้ ๑.๖ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ควรมีมาตรการตรวจสอบสีทาอาคารที่วางจำหน่ายในท้องตลาดเป็นประจำเพื่อติดตามความก้าวหน้าในการควบคุมปริมาณการใช้ตะกั่วในสี ๑.๗ สถาปนิก และสมาคมสถาปนิกสยาม ควรกำหนดให้สีทาอาคาร และสีทาเคลือบผิว วัสดุที่ใช้ในอาคารอยู่ในมาตรฐานความปลอดภัย ๒. ผู้ประกอบการควรมีจิตสำนึกต่อสังคม โดยดำเนินการ ๒.๑ ในระหว่างที่ยังไม่มีประกาศจากรัฐ ผู้ประกอบการควรตระหนักถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค เช่น ไม่ใช้สารที่มีส่วนผสมของตะกั่วในการผลิตสี ติดฉลากแสดงปริมาณตะกั่ว และคำเตือนบนภาชนะบรรจุสีทุกชนิดที่มีสารตะกั่ว ๒.๒ สนับสนุนมาตรการของภาครัฐในการดำเนินการให้มีการใช้สีทาอาคารที่ไม่มีสารตะกั่ว ๓. สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคควรเข้ามามีส่วนสนับสนุนและติดตามการดำเนินงานของทุกภาคส่วน โดย ๓.๑ สนับสนุนการดำเนินงานของภาคประชาสังคมในการรณรงค์คุ้มครองความปลอดภัยของทารก เด็กเล็ก และผู้บริโภค จากสารตะกั่วในสีทาอาคาร ๓.๒ สนับสนุนและร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรพัฒนาเอกชนรณรงค์และประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวางเพื่อให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจถึงผลกระทบจากสารตะกั่วในสีและเลือกใช้สีทาอาคารที่ปลอดภัยจากสารตะกั่ว ๓.๓ ประสานส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดทำรายงานผลการดำเนินงาน ความก้าวหน้า ปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะในการคุ้มครองความปลอดภัยของทารก เด็กเล็ก และผู้บริโภค จากสารตะกั่วในสีทาอาคารเพื่อเผยแพร่ให้สาธารณะทราบ
|
||||||||||||||||||
1394 | การทบทวนกฎหมายที่ตราโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ 2550 | อื่นๆ | 20/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการทบทวนกฎหมายที่ตราโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ๒๕๕๐ ตามที่คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) เสนอ ซึ่งได้จำแนกการพิจารณาปรับปรุงกฎหมายที่ตราขึ้นโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติออกเป็นกฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ (แก้ไขเนื้อหาของกฎหมาย) กฎหมายที่ควรให้ยกเลิก และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม (แต่อาจมีการพิจารณาทบทวนเพื่อแก้ไขภายหลัง) โดยแบ่งออกเป็น ๑.๑.๑ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมของประชาชน ได้แก่ กฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ จำนวน ๔ ฉบับ และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม จำนวน ๒ ฉบับ ๑.๑.๒ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ได้แก่ กฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ จำนวน ๕ ฉบับ และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม จำนวน ๓๗ ฉบับ ๑.๑.๓ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ได้แก่ กฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ จำนวน ๙ ฉบับ กฎหมายที่ควรยกเลิก จำนวน ๒ ฉบับ และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม จำนวน ๗ ฉบับ ๑.๑.๔ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ได้แก่ กฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ จำนวน ๑๔ ฉบับ และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม จำนวน ๙ ฉบับ ๑.๑.๕ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการสังคม ประกอบด้วย กฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ จำนวน ๒ ฉบับ และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม จำนวน ๒๐ ฉบับ ๑.๒ ให้ส่วนราชการที่มีความเห็นสอดคล้องกับการแก้ไขกฎหมายตามที่ คปก. เสนอ จำนวน ๘ ฉบับ ได้แก่ พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๙ พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ พระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัติพัฒนาที่ดิน พ.ศ. ๒๕๕๑ และพระราชบัญญัติส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ รับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้ส่วนราชการที่รักษาการตามกฎหมายพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายที่มีปัญหาอุปสรรคในการบังคับใช้ ทั้งนี้ หากมีกฎหมายที่ไม่ใช่ในส่วนของฝ่ายบริหาร ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการปรับปรุงและพัฒนากฎหมาย เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งส่วนราชการเห็นว่าควรที่จะได้มีการปรับปรุงแก้ไขหรือเร่งรัด ก็ให้สามารถนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นประธานกรรมการ พิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||
1395 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร01 | 13/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และให้ส่วนราชการให้ความสำคัญกับการเร่งรัดดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมโดยไม่ชักช้า ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน จำแนกตามช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ (๔ ช่องทาง) ในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประชาชนแจ้งเรื่องร้องทุกข์ผ่านช่องทางต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๒๔,๕๗๗ ครั้ง โดยผ่านช่องทางสายด่วนของรัฐบาล ๑๑๑๑ มากที่สุด รองลงมาคือ ช่องทางเว็บไซต์ (www.1111.go.th) ช่องทาง ตู้ ปณ. ๑๑๑๑/ไปรษณีย์/โทรสาร และช่องทางจุดบริการประชาชน ๑๑๑๑ ตามลำดับ ๒. จำนวนเรื่องร้องทุกข์ จำแนกตามประเภทเรื่องในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประชาชนร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นในประเภทเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๑๔,๖๗๙ เรื่อง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เรื่องขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า รองลงมาคือ เหตุเดือดร้อนรำคาญ และร้องเรียนการให้บริการของเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามลำดับ ๓. จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการจำแนกตามหน่วยงาน [ไม่รวมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และจังหวัด] ในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๖,๖๘๔ เรื่อง จำแนกเป็นหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจ โดยหน่วยงานที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงศึกษาธิการ สำหรับรัฐวิสาหกิจที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ธนาคารออมสิน และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ๔. จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการจำแนกตาม อปท. และจังหวัด ในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและจังหวัดต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๓,๖๖๒ เรื่อง โดยกรุงเทพมหานครได้รับการประสานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด รองลงมา ได้แก่ จังหวัดนนทบุรี และจังหวัดปทุมธานี ๕. จำนวนเรื่องร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นเรียงตามลำดับประเด็นเรื่องที่มีการร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐ ไฟฟ้า ยาเสพติด การบริการขนส่งทางบก ถนน น้ำประปา บ่อนการพนัน โทรศัพท์ และร้องเรียนการให้บริการของเจ้าหน้าที่รัฐในสังกัดกระทรวง ทั้งนี้ ในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์และเสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐ และไฟฟ้า
|
||||||||||||||||||
1396 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2556 | ทส | 13/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่จังหวัดพังงาและจังหวัดกระบี่ รวม ๓ ฉบับ ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการพิจารณาการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำร่างประกาศกระทรวงฯ เสนอคณะรัฐมนตรี รวมทั้งแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาข้อมูลและผลกระทบที่เกิดขึ้นระหว่างที่ประกาศกระทรวงฯ สิ้นผลการบังคับใช้ โดยดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน ๒ เดือน และรายงานต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พร้อมทั้งประสานจังหวัดเพื่อทราบ ๒. เห็นชอบร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๔ (ฉบับปรับปรุงแก้ไข) และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแจ้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างบูรณาการ รวมทั้งนำรายงานดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป ๓. รับทราบผลการดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งและบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมที่เป็นอันตราย ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๕ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๒ (เรื่อง มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งและบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมที่เป็นอันตราย) โดยให้กรมควบคุมมลพิษจัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานหรือคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณากำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งและบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมที่เป็นอันตรายและขยะติดเชื้อ ในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว และให้กรมควบคุมมลพิษนำมาตรการฯ (ระยะสั้น) เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณามอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปปฏิบัติให้บังเกิดผลสำเร็จ โดยระบุว่าจะมีการนำมาตรการระยะกลาง และระยะยาว ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทำมาตรการเสนอคณะรัฐมนตรีในลำดับถัดไป ๔. เห็นชอบในหลักการแนวทางการสนับสนุนเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม เพื่อการฟื้นฟูระบบบำบัดน้ำเสียรวม หรือระบบกำจัดของเสียรวม ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ปี ๒๕๕๔ โดยเป็นการสนับสนุนเงินกองทุนฯ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรร ข้อ ๑๕ (๒) ของระเบียบคณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อม ว่าด้วยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการขอจัดสรรและขอกู้ยืมเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๒ โดยให้คณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อมเป็นผู้พิจารณาอนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ ให้กับ อปท. ที่มีความประสงค์ขอรับการสนับสนุนเป็นรายโครงการ และให้ อปท. ดำเนินการจัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสียและค่าปรับ และนำมาหักส่งเข้ากองทุนฯ ตามอัตราที่คณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อมกำหนด รวมทั้งเห็นชอบให้มาตรการสนับสนุนเงินกู้จากกองทุนสิ่งแวดล้อมเพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้รับบริการจากกองทุนสิ่งแวดล้อมที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย พ.ศ. ๒๕๕๔ สิ้นสุดการบังคับใช้ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ โดยไม่มีการขยายระยะเวลาการบังคับใช้ ๕. เห็นชอบสรุปผลการวิเคราะห์แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำโครงการที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อขอตั้งงบประมาณแผ่นดิน หมวดเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ ประจำปี ๒๕๕๗ และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานหรือคณะอนุกรรมการ เพื่อพิจารณาทบทวนและให้ข้อเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาระบบการบริหารจัดการกองทุนสิ่งแวดล้อม การสรรหาแหล่งเงินทุน การจัดสรรเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม การกำหนดสัดส่วนการสมทบเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม การสร้างความเข้าใจกับท้องถิ่น และการจัดเก็บเงินจากผู้ก่อมลพิษตามหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย และนำเสนอประธานกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาลงนาม ๖. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ด้านการพัฒนาโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๔ ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการกังหันลมผลิตไฟฟ้าลำตะคอง ระยะที่ ๒ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยให้ กฟผ. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมฯ และนำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณา
|
||||||||||||||||||
1397 | การกำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ | ทก | 13/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคางานพัฒนาซอฟต์แวร์ประเภทโปรแกรมประยุกต์ บนเว็บไซต์ http://ni3.mict.go.th/ictestimate01/ ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในการจัดหาระบบดังกล่าวต่อไป ๑.๒ เห็นชอบให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคางานพัฒนาซอฟต์แวร์ประเภทโปรแกรมประยุกต์ ประกอบการพิจารณาจัดสรร หรือตั้งงบประมาณ สำหรับงานพัฒนาซอฟต์แวร์ประเภทโปรแกรมประยุกต์ ๒. ให้คณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐทำหน้าที่พิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์การกำหนดราคากลางงานพัฒนาซอฟต์แวร์ประเภทโปรแกรมประยุกต์ตามความเหมาะสมและจำเป็น โดยไม่จำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการเพิ่มเติม เนื่องจากคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐทำหน้าที่ดังกล่าวอยู่แล้ว และสำนักงบประมาณจะพิจารณาตั้งงบประมาณและจัดสรรงบประมาณโดยไม่เกินหลักการแนวทางการประเมินราคางานพัฒนาระบบประเภทโปรแกรมประยุกต์ดังกล่าวต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||
1398 | สรุปสถานการณ์ภูมิอากาศและอุทกภัยของประเทศไทย ช่วงวันที่ 1 มิถุนายน - วันที่ 12 สิงหาคม 2556 | นร | 13/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอสรุปสถานการณ์ภูมิอากาศและอุทกภัยของประเทศไทย ช่วงวันที่ ๑ มิถุนายน-วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๖ ประกอบด้วย การรายงานเกี่ยวกับปริมาณฝนสะสม สภาพอากาศประเทศไทย กรุงเทพฯ และปริมณฑล ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำ น้ำในแม่น้ำ น้ำทะเลหนุน สถานการณ์ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สถานการณ์ฝน การคาดการณ์ฝนล่วงหน้า ๓ วัน และสถานการณ์อุทกภัยในจังหวัดต่าง ๆ ๒๕ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน พะเยา ลำปาง น่าน ตาก อุทัยธานี กาญจนบุรี เลย สกลนคร อำนาจเจริญ นครราชสีมา บึงกาฬ สุรินทร์ หนองคาย จันทบุรี ตราด ปราจีนบุรี สุราษฎร์ธานี พัทลุง พังงา ยะลา สตูล และตรัง ซึ่งสถานการณ์อุทกภัยดังกล่าว เป็นลักษณะน้ำท่วมฉับพลันโดยมีบริเวณพื้นที่ไม่เป็นวงกว้าง ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัด และหน่วยงานในพื้นที่สามารถให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและแก้ไขปัญหาได้ โดยปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการฟื้นฟูตามที่คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยได้กำหนดขั้นตอนไว้
|
||||||||||||||||||
1399 | การเสนอยุทธศาสตร์การพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงของชาติ (พ.ศ. 2556 - 2560) | นร08 | 06/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบยุทธศาสตร์การพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงของชาติ (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐) ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อใช้แทนยุทธศาสตร์ความมั่นคงชายแดน (พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๔) ที่ได้สิ้นสุดลง มีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งเน้นการมีภูมิคุ้มกัน การป้องกัน การลดเงื่อนไขของปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและการพัฒนาพื้นที่เป้าหมาย ด้วยการใช้กระบวนการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และการป้องกันประเทศเข้ามาดำเนินงานร่วมกัน ทั้งในระดับกระทรวง/กรม ระดับจังหวัด และระดับท้องถิ่น ประกอบด้วย ๖ ประเด็นยุทธศาสตร์รองรับ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ผนึกกำลังทุกภาคส่วนเพื่อเสริมสร้างศักยภาพและภูมิคุ้มกันของคน ชุมชน และพื้นที่เป้าหมายอย่างยั่งยืน ยุทธศาสตร์การจัดระบบป้องกันเพื่อจัดระเบียบพื้นที่ชายแดน ยุทธศาสตร์เสริมสร้างความมั่นคงในมิติวัฒนธรรมภูมิปัญญาท้องถิ่นและการจัดการโดยสันติวิธี ยุทธศาสตร์การพัฒนาฐานข้อมูลและองค์ความรู้ด้านความมั่นคง ยุทธศาสตร์เสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงกับประเทศเพื่อนบ้าน และยุทธศาสตร์การบริหารจัดการที่มีเอกภาพและประสิทธิภาพ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายและอำนวยการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงของชาติรับความเห็นและข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรเพิ่มเติมสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับกลไกสำหรับแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ชายแดนซึ่งมีข้อระเบียบกฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับพื้นที่อนุรักษ์หลากหลายฉบับ เพื่อสามารถขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ ให้บรรลุเป้าประสงค์ได้โดยเร็ว และในการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ฯ เห็นควรให้หน่วยงานหลักที่เป็นเจ้าภาพเชิญหน่วยงานสนับสนุนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมหารือและจัดทำแผนงานและงบประมาณให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ฯ ต่อไป สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณดำเนินการเป็นลำดับแรกและเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม นอกจากนี้ เห็นควรเร่งปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงของชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ให้ทันสมัยสอดคล้องกับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลง และเหมาะสมกับการปรับปรุงกระทรวง กรม และหน่วยงานเทียบเท่าในปัจจุบัน ไปพิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบแนวทางการดำเนินงานและจัดทำแผนงานและแผนงบประมาณรองรับการดำเนินงานยุทธศาสตร์ดังกล่าว |
||||||||||||||||||
1400 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองสมุทรสงคราม พ.ศ. .... | มท | 06/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองสมุทรสงคราม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลนางตะเคียน ตำบลลาดใหญ่ ตำบลคลองเขิน ตำบลบางแก้ว ตำบลบ้านปรก ตำบลแม่กลอง ตำบลท้ายหาด ตำบลบางขันแตก ตำบลแหลมใหญ่ ตำบลบางจะเกร็ง และตำบลคลองโคน อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นว่าตามข้อ ๘-๑๕ แห่งร่างกฎกระทรวงฯ ที่ระบุห้ามเลี้ยงจระเข้ในที่ดินประเภทต่าง ๆ นั้น ปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวมีการเลี้ยงจระเข้อยู่แล้วจะทำให้เกิดผลกระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงจระเข้ได้ รวมถึงการระบุห้ามเลี้ยงสัตว์ป่าตามกฎหมายว่าด้วยการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าในที่ดินประเภทต่าง ๆ จะส่งผลกระทบในวงกว้างเนื่องจากตามกฎหมายดังกล่าวสามารถอนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ป่าได้ อีกทั้งในที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรมควรเป็นพื้นที่ส่งเสริมการประกอบอาชีพการเกษตร ไม่ควรกำหนดห้ามเลี้ยงจระเข้หรือสัตว์ป่าดังกล่าว และตามข้อ ๑๗ แห่งร่างกฎกระทรวงฯ กำหนดให้ที่ดินประเภทที่โล่งเพื่อการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ให้ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำหรือการประมงชายฝั่งเท่านั้น เห็นว่าควรกำหนดรวมไปถึงการประมงน้ำจืดเนื่องจากมีผู้ทำการประมงน้ำจืดอยู่ในที่ดินประเภทดังกล่าว และเห็นว่าสำหรับพื้นที่ชุ่มน้ำดอนหอยหลอด จังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ และพื้นที่แรมซาร์ไซต์ครอบคลุมพื้นที่ ๔ ตำบล ได้แก่ ตำบลบางแก้ว ตำบลบางจะเกร็ง ตำบลแหลมใหญ่ และตำบลคลองโคน จึงควรพิจารณามาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ (เรื่อง การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๔๓ เรื่อง ทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ และระดับชาติของประเทศไทย และมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ) ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า เพื่อให้การบังคับใช้กฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองสมุทรสงคราม พ.ศ. .... มีผลในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง เมื่อร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ประกาศใช้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตที่รับผิดชอบในการวางผังจะต้องให้ความสำคัญต่อการควบคุมการดำเนินการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎกระทรวงดังกล่าวอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
.....