ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 70 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 1381 - 1400 จากข้อมูลทั้งหมด 3982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1381 | การจัดทำสัญญาเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ | พณ | 24/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๖๐ รายการค่าเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ สาธารณรัฐอินเดีย โดยมีวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น ๒๕,๕๖๖,๓๐๐ บาท หรือเท่ากับ ๔๗,๓๔๔,๙๑๗.๑๒ รูปี คิดอัตราแลกเปลี่ยน ๑ รูปี เท่ากับ ๐.๕๔๐ บาท หรือไม่เกินวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาเช่าตามสกุลเงินท้องถิ่น กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๑๑,๘๓๖,๒๒๙.๒๘ รูปี หรือเท่ากับ ๖,๓๙๑,๖๐๐ บาท ที่ได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ รองรับไว้แล้ว จำนวน ๓,๔๙๕,๙๐๐ บาท สำหรับงบประมาณในส่วนที่ขาดอยู่ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๒,๘๙๕,๗๐๐ บาท ให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ส่วนงบประมาณที่เหลือให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๐ ตามสัญญาเช่าต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ในการทำสัญญาเช่าให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ) กำหนดเงื่อนไขในการยกเลิกสัญญาเช่าก่อนกำหนดได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในกรณีที่จะย้ายไปใช้พื้นที่ร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ของไทยในอนาคตตามนโยบายการใช้พื้นที่ร่วมกัน (One Roof Policy) ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณกรณีเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานเศรษฐกิจการลงทุน ณ นครนิวยอร์ก) และให้กระทรวงพาณิชย์นำสำเนาสัญญาเช่าเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
1382 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง กระทรวงมหาดไทย (จำนวน 23 ราย 1. นายวิเชียร พุฒิวิญญู ฯลฯ) | มท | 24/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงมหาดไทย ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒๓ ราย ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
๑. นายวิเชียร พุฒิวิญญู ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดนนทบุรี ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดเชียงใหม่ ๒. นายธนน เวชกรกานนท์ ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดสมุทรสงคราม ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดนนทบุรี ๓. นายชนม์ชื่น บุญญานุสาสน์ ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดราชบุรี ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดสมุทรสงคราม ๔. นายพงศธร สัจจชลพันธ์ ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดบึงกาฬ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดปทุมธานี ๕. นายวิโรจน์ จิวะรังสรรค์ ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดเลย ๖. นายอภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดนราธิวาส ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดนครศรีธรรมราช ๗. นายสุรพล วาณิชเสนี ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดนนทบุรี ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดกำแพงเพชร ๘. นายเกรียงเดช เข็มทอง ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดจันทบุรี ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดจันทบุรี ๙. นายอดิศักดิ์ เทพอาสน์ ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดชลบุรี ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดนครพนม ๑๐. นายณัฐพงศ์ ศิริชนะ ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดสงขลา ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดนราธิวาส ๑๑. นายอุกริช พึ่งโสภา ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดนครราชสีมา ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดน่าน ๑๒. นายชโลธร ผาโคตร ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดสระบุรี ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดบึงกาฬ ๑๓. นายวิเชียร จันทรโณทัย ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดสุรินทร์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดเพชรบูรณ์ ๑๔. นายสุรพล พนัสอำพล ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดสงขลา ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดแม่ฮ่องสอน ๑๕. นายสมศักดิ์ ปะริสุทโธ เหมทานนท์ ตำแหน่งรองอธิบดี กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดราชบุรี ๑๖. นายสุวรรณ กล่าวสุนทร ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดลำปาง ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดลำพูน ๑๗. ว่าที่ร้อยตรีสุพีร์พัฒน์ จองพานิช ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดระยอง ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดสุพรรณบุรี ๑๘. นายชยพล ธิติศักดิ์ ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดอุดรธานี ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดหนองบัวลำภู ๑๙. นายเสรี ศรีหะไตร ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดปัตตานี ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดอ่างทอง ๒๐. นายชัช กิตตินภดล ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดอุตรดิตถ์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดอุตรดิตถ์ ๒๑. นายปวิณ ชำนิประศาสน์ ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดสมุทรปราการ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒๒. นายธนาคม จงจิระ ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดลพบุรี ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒๓. นายทวี นริสศิริกุล ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
||||||||||||||||||
1383 | เตรียมความพร้อมสำหรับสถานการณ์น้ำปี 2556 และการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนกรณีจังหวัดปราจีนบุรีและจังหวัดนครนายก | นร01 | 24/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเตรียมความพร้อมการเผชิญสถานการณ์น้ำปี ๒๕๕๖ และการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนกรณีจังหวัดปราจีนบุรีและจังหวัดนครนายก ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. แนวทางการเตรียมความพร้อมการเผชิญสถานการณ์น้ำปี ๒๕๕๖ ๑.๑ คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยได้มีคำสั่งจัดตั้ง “ศูนย์เตรียมพร้อมเฉพาะกิจรับสถานการณ์อุทกภัย ปี ๒๕๕๖-๒๕๕๗” ปฏิบัติงานตลอด ๒๔ ชั่วโมง และสั่งการให้หน่วยงาน ประกอบด้วย กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมอุตุนิยมวิทยา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) กระทรวงกลาโหม และกรุงเทพมหานคร ส่งเจ้าหน้าที่มาประจำศูนย์ดังกล่าว ๑.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ Stand by เฮลิคอปเตอร์ รวม ๒ ลำ และเรือเร็วไว้ให้พร้อมเพื่อสามารถใช้ปฏิบัติงานได้ทันที ๑.๓ ให้สำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เตรียมความพร้อมชุดปฏิบัติการเคลื่อนที่ (Mobile Unit) เพื่อการบริหารจัดการอุทกภัย เพื่อให้การติดตามและแก้ไขปัญหาอุทกภัยกรณีเกิดเหตุวิกฤตในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ที่มีระบบการประชุมทางไกล VDO conference และมีอากาศยานไร้คนขับเพื่อบินสำรวจสถานการณ์ ๒. การแก้ไขปัญหาเร่งด่วนกรณีจังหวัดปราจีนบุรีและจังหวัดนครนายก ๒.๑ ประชุมหารือร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น เกี่ยวกับการแก้ไขสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี เบื้องต้นได้ข้อสรุปให้เปิดประตูน้ำเพชรชะเอมขึ้น ๓๐ เซนติเมตร เพื่อระบายน้ำผ่านทุ่งวังดาล อันเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ๒.๒ ประชุมหารือร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายกและหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ณ เขื่อนขุนด่านปราการชล ได้ข้อสรุปว่าจะเน้นการระบายน้ำในแม่น้ำปราจีนบุรีก่อน จึงยังจะไม่ระบายน้ำจากเขื่อนขุนด่านปราการชลในอีก ๔๘ ชั่วโมงข้างหน้า และการสูบน้ำจากคลองรังสิตผ่านประตูเสาวภาผ่องศรีให้กระทำในระดับจำกัดเท่านั้น โดยหลังจาก ๔๘ ชั่วโมงแล้ว จะประเมินสถานการณ์อีกครั้ง เพราะปัจจุบันเขื่อนมีปริมาณน้ำอยู่ถึง ๙๒% แล้ว
|
||||||||||||||||||
1384 | ผลการเยือนสมาพันธรัฐสวิส สาธารณรัฐอิตาลี และสาธารณรัฐมอนเตเนโกร | นร04 | 17/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีรายงานผลการเยือนสมาพันธรัฐสวิส สาธารณรัฐอิตาลี และสาธารณรัฐมอนเตเนโกร ในระหว่างวันที่ ๘-๑๕ กันยายน ๒๕๕๖ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเยือนสมาพันธรัฐสวิส ได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ และได้หารือกับผู้แทนขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) และการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (United Nations Conference on Trade and Development : UNCTAD) เกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา สิทธิมนุษยชน การค้ามนุษย์และการช่วยเหลือแรงงานต่างด้าวในประเทศไทย รวมทั้งได้หารือกับสถาบันเพื่อการพัฒนาการจัดการ (Institute for Management Development : IMD) ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาที่มีการจัดศักยภาพด้านการแข่งขันของประเทศต่าง ๆ โดยได้ศึกษาเกี่ยวกับวิธีการจัดการข้อมูลของ IMD ในการจัดศักยภาพการแข่งขัน ซึ่งสามารถจะนำมาปรับใช้กับการวัดขีดความสามารถในการแข่งขันของ SMEs ไทย โดยให้หน่วยงานต่าง ๆ รับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามเรื่องที่เกี่ยวกับการจดทรัพย์สินทางปัญญาแก่สินค้าและบริการ เนื่องจากเมื่อประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียนแล้ว การจดทรัพย์สินทางปัญญาต่าง ๆ โดยเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์และวัฒนธรรมท้องถิ่นจะมีความสำคัญและจำเป็นมาก และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักดำเนินการร่วมกับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการติดต่อประสานงานกับ IMD เกี่ยวกับการดำเนินการวัดขีดความสามารถในการแข่งขันของ SMEs ไทยต่อไป ๒. การเยือนสาธารณรัฐอิตาลี ได้หารือกับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอิตาลีเกี่ยวกับการเจรจาผลักดันเขตการค้าเสรี (Free Trade Area : FTA) ไทย-สหภาพยุโรป การพัฒนาร่วมกันทางด้านอาหารและการตลาดในลักษณะเป็นพันธมิตรในการทำการค้าสินค้า OTOP ของสาธารณรัฐอิตาลีในตลาดเอเชีย การออกแบบและแฟชั่น รวมทั้งได้ศึกษาดูงานที่ห้างสรรพสินค้า (Eataly Roma) ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าที่มีการพัฒนาการขายสินค้าเกษตรเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถซื้อสินค้าจากผู้ผลิตต้นทางที่ให้ได้รับสินค้าที่สดใหม่ มีคุณภาพ และราคาที่เป็นธรรม และยังมีการถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้บริโภคเกี่ยวกับการเลือกสินค้าและการปรุงอาหารด้วย โดยให้หน่วยงานต่าง ๆ รับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปดำเนินการเกี่ยวกับการสนับสนุนธุรกิจ SMEs และการส่งเสริมการลงทุน และกระทรวงมหาดไทยรับไปดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาสินค้า OTOP ในภาพรวม และการพัฒนาในแต่ละจังหวัด รวมทั้งให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาการขายสินค้าในห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ของประเทศไทยให้สามารถสนองตอบต่อความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างมีคุณภาพ ทั่วถึง และในราคาที่เหมาะสม ๓. การเยือนสาธารณรัฐมอนเตเนโกร ได้เข้าหารือกับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐมอนเตเนโกรเกี่ยวกับการค้าการลงทุนระหว่างกัน ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นควรที่จะสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นประตูการค้าสู่เอเชีย และสาธารณรัฐมอนเตเนโกรเป็นประตูการค้าสู่ภูมิภาคบอลข่านและยุโรปตะวันออก ซึ่งจะทำให้ทั้งสองประเทศสามารถขยายความร่วมมือทั้งด้านการท่องเที่ยว การประมง และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ได้ นอกจากนี้ สาธารณรัฐมอนเตเนโกรยังต้องการการสนับสนุนในด้านการเกษตรและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีการนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารทะเลร้อยละ ๘๐ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการเพื่อส่งเสริมการพัฒนาความร่วมมือในด้านการค้าการลงทุนดังกล่าวในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||
1385 | การติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนกรกฎาคม 2556 | นร04 | 17/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชานและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ได้ดำเนินการกำหนดราคาสินค้าและบริการควบคุม การดูแลราคาต้นทางและราคาปลายทาง การกำหนดมาตรการในการดูแลราคา การตรึงราคาจำหน่ายสินค้า การกำกับดูแลราคาจำหน่ายอาหารปรุงสำเร็จ การติดตามตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมาย (สายตรวจ Mobile Unit) การขยายระยะเวลาปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันดีเซล การส่งเสริมให้มีการใช้แก๊สโซฮอลเพิ่มขึ้น รวมทั้งการตรึงราคาก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน ภาคอุตสาหกรรม และภาคขนส่ง ตลอดจนการตรึงราคา NGV สำหรับประชาชน และกลุ่มรถโดยสารสาธารณะ ๒. ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศสร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค ได้ดำเนินการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อย เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการปรับค่าแรงงานเป็นวันละ ๓๐๐ บาท และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ SMEs การจัดสรรเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ การขยายระยะเวลาโครงการบ้าน ธ.อ.ส. เพื่อที่อยู่อาศัยแห่งแรก และการคืนภาษีสำหรับการซื้อรถยนต์คันแรก ๓. ปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ได้เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร ฉบับที่ .. พ.ศ. .... (มาตรการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล) ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๔. ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน (กองทุนหมู่บ้าน SML) ได้ดำเนินการโอนเงินโครงการพัฒนาศักยภาพกองทุนหมู่บ้านและชุมชน (SML) ไปแล้วจำนวน ๗๗,๔๗๑ หมู่บ้าน/ชุมชน จำแนกเป็นหมู่บ้าน/ชุมชน ๗๖ จังหวัด จำนวน ๗๖,๕๓๔ แห่ง ชุมชนในกรุงเทพมหานคร จำนวน ๙๓๗ แห่ง ๕. ยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน ได้แก่ การดำเนินโครงการบัตรเครดิตเกษตรกร ได้อนุมัติแล้ว ๔,๑๓๒,๕๘๕ บัตร ส่งมอบบัตรแล้ว ๔,๑๒๕,๙๖๐ ราย วงเงินอนุมัติ ๖๐,๑๘๓ ล้านบาท การขึ้นทะเบียนเกษตรกรในพืชสำคัญ ๓ ชนิด (ข้าวนาปี มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) การดำเนินโครงการรับจำนำขาวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๕/๒๕๕๖ ณ วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ มีสหกรณ์เข้าร่วมโครงการฯ รวม ๒๒๖ สหกรณ์ ได้ให้บริการรับจำนำ/บริการรวบรวมข้าวเปลือกจากสมาชิก ๓๕๑,๕๖๑ ราย ปริมาณข้าวเหลือรวม ๑,๗๔๔,๒๖๐.๖๐๑ ตัน องค์การตลาดเพื่อเกษตรกรรับจำนำแล้ว ๓.๕๕๔ ล้านตัน มูลค่า ๕๖,๑๙๕.๙๓๕ ล้านบาท จำนวนเกษตรกร ๔๘๒,๐๒๒ ราย จำนวนโรงสี ๒๗๐ แห่ง นอกจากนี้ ยังมีการดำเนินโครงการรักษาเสถียรภาพราคามะพร้าว ปี ๒๕๕๕ การรักษาเสถียรภาพราคายาง การเยียวยาและการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรจากภัยพิบัติด้านเกษตรกร ในกรณีฝนทิ้งช่วง/ภัยแล้ง อุทกภัย วาตภัย และศัตรูพืชระบาด การจัดทำระบบทะเบียนครัวเรือนเกษตรกร การช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ยากจนที่เป็นลูกหนี้กองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจนที่มีปัญหาด้านหนี้สินและที่ดิน เป็นต้น ๖. ปฏิรูปการจัดการที่ดิน (นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ได้ดำเนินการจัดหาที่ดินให้แก่เกษตรกร การแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ การจัดทำยุทธศาสตร์การบริหารจัดการและแก้ไขปัญหาเรื่องการจัดการที่ดินป่าไม้ ๗. เร่งเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ ได้ดำเนินการโครงการสีสันสดใสเมืองไทยน่าเที่ยว โครงการพัฒนาถนนสายท่องเที่ยว ส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวเมืองช้าง พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวตามรอยเส้นทางถ่ายทำภาพยนตร์ รวมถึงการพัฒนาฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ จำนวน ๑๙ โครงการ ๘. สนับสนุนการพัฒนางานศิลปหัตถกรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชนเพื่อการสร้างเอกลักษณ์และการผลิตสินค้าในท้องถิ่น (OTOP และ SMEs) ได้ดำเนินการจัดงานแสดงและจำหน่ายสินค้าต่าง ๆ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคร่วมมือกับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ให้วางจำหน่ายสินค้า OTOP การจับคู่เจรจาธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ การส่งเสริมมาตรฐานและยกระดับสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชน โดยการสร้างตราสินค้า ถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาการผลิต ยกระดับผู้ประกอบการส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์ศิลปาชีพตามแนวพระราชดำริ รวมทั้งเสริมสร้างผู้ประกอบการรายใหม่
|
||||||||||||||||||
1386 | (ร่าง) ยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพเยาวสตรีในสถานศึกษา (พ.ศ. 2556- 2559) | ศธ | 17/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการ (ร่าง) ยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพเยาวสตรีในสถานศึกษา (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙) ตามมติคณะกรรมการสภาการศึกษา ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๖ โดย (ร่าง) ยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพเยาวสตรีฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาศักยภาพเยาวสตรี ทั้งจากภาครัฐและเอกชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสถานศึกษานำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาศักยภาพเยาวสตรีทั้งการพัฒนาเยาวสตรีทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ การพัฒนาทักษะความรู้ด้านอาชีพและศักยภาพทางเศรษฐกิจ และการสร้างครอบครัวอบอุ่นและภูมิคุ้มกันตนเองจากภัยสังคม เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติ ประกอบด้วย ๓ ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างภูมิปัญญา ทักษะชีวิต และค่านิยมสร้างสรรค์ ธำรงไว้ซึ่งคุณลักษณะอันพึงประสงค์ทางวัฒนธรรมของเยาวสตรีไทย ยุทธศาสตร์การส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิต มีทักษะอาชีพพื้นฐาน และศักยภาพทางเศรษฐกิจของเยาวสตรี และยุทธศาสตร์การเสริมสร้างครอบครัวอบอุ่น เยาวสตรีมีภูมิคุ้มกันตนเองต่อภัยคุกคามของปัญหาสังคม รวมทั้งแผนงานโครงการที่เป็นตัวอย่างไปดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพเยาวสตรีฯ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ไปดำเนินการจัดทำแผนงาน/โครงการ หรือนำแผนงานโครงการที่เป็นตัวอย่างไปดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพเยาวสตรีฯ สู่การปฏิบัติต่อไป ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการหารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในการบูรณาการแผนงานให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ประเทศ (Country Strategy) และยุทธศาสตร์การพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต (Life Cycle Development) ให้ชัดเจนก่อน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการส่งเสริม พัฒนาและสร้างความตระหนักให้เยาวสตรีในสถานศึกษาใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ มีคุณธรรม จริยธรรม มีวิจารณญาน และรู้เท่าทัน เพื่อประโยชน์ในการศึกษา เรียนรู้ และทำงาน การปลูกฝังให้เยาวสตรีได้เรียนรู้และมีความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์และบรรพบุรุษของชาติไทยโดยเฉพาะวีรสตรีท่านต่าง ๆ พร้อมทั้งการมีจิตสำนึกที่จะธำรงรักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติ คือ สถาบันชาติ สถาบันศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ และสถาบันการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การให้ความสำคัญกับการสร้างภาคีเครือข่ายความร่วมมือและขับเคลื่อนเพื่อขยายผลการดำเนินงานด้านการพัฒนาศักยภาพสตรีและเยาวสตรี ทั้งในระดับจังหวัด โรงเรียน และชุมชนให้มีความเข้มแข็ง เป็นรูปธรรม รวมทั้งมีการพัฒนาสตรีและเยาวสตรีอย่างต่อเนื่อง ทั้งสตรีในสถานศึกษาและนอกสถานศึกษา โดยใช้ประชากรสตรีในพื้นที่เป็นเป้าหมายมุ่งพัฒนาเชื่อมโยงกับสภาพปัญหาต่าง ๆ ของสตรีและเยาวชนสตรีในพื้นที่ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
1387 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงโดยชุมชน/ท้องถิ่น" | สสป | 17/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงโดยชุมชน/ท้องถิ่น" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กรมโยธาธิการและผังเมือง สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย สมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ระดับนโยบาย ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กำหนดนโยบายให้มีนักบริบาลประจำหมู่บ้านหรือในชุมชน โดยมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นผู้ดำเนินการหลัก อีกทั้งควรให้มีระเบียบและข้อกำหนดในด้านงบประมาณให้มีความคล่องตัวและเอื้อต่อการปฏิบัติงานในระดับพื้นที่ ๒. ระดับพื้นที่ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีบทบาทสำคัญในการดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ประสานงานกับผู้บริหารโรงพยาบาล และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลในพื้นที่ เพื่อจัดบริการสุขภาวะผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชนที่มีนักบริบาลประจำหมู่บ้านหรือชุมชน ตลอดจนสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง โดยจัดบริการให้ครบทุกมิติสุขภาวะทั้ง ๔ ด้าน คือ กาย ใจ สังคม และปัญญา ๒.๒ สนับสนุนการจัดบริการสังคมอื่น ๆ เพื่อสุขภาวะของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง เช่น ยานพาหนะในการรับส่ง กายอุปกรณ์ และการปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ที่อยู่อาศัย ๒.๓ สนับสนุนให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ขยายแนวคิดการพัฒนารูปแบบของกระบวนการทำงาน ในลักษณะการมีส่วนร่วมและเชื่อมประสานของทุกฝ่าย (ชุมชน อปท. ทีมนักวิชาการวิชาชีพสุขภาพ) ร่วมเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพชุมชน โดยเฉพาะการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงให้เกิดสังคมไม่ทอดทิ้งกัน มีชุนชน บ้านของเขาเป็นฐาน
|
||||||||||||||||||
1388 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้พนักงานและลูกจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขตามมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติ หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 พ.ศ. .... | สธ | 17/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้พนักงานและลูกจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้พนักงานและลูกจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. .... ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) และความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับร่างมาตรา ๕ ที่กำหนดขอบเขตสิทธิรับบริการสาธารณสุขของพนักงานส่วนท้องถิ่นและบุคคลในครอบครัวให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของพนักงานส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติม อาจไม่สอดคล้องกับมาตรา ๙ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติฯ ที่ให้กำหนดเฉพาะบุคคลหรือหน่วยงานที่สามารถใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขตามพระราชบัญญัตินี้เท่านั้น และการเร่งพัฒนาระบบฐานข้อมูลผู้มีสิทธิตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยฯ รวมทั้งการเร่งบูรณาการระบบจัดส่งข้อมูลระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสถานพยาบาลให้มีความพร้อมในการดำเนินการก่อนการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติรับประเด็นอภิปรายและความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
1389 | ความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศในการจัดประชุมสุดยอดผู้นำเอเชียและแปซิฟิก | ทก | 10/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศในการจัดประชุมสุดยอดผู้นำเอเชียและแปซิฟิก ฉบับแก้ไขสุดท้าย โดยสาระสำคัญของร่างความตกลงฯ ฉบับแก้ไขสุดท้ายระบุถึงพันธกรณีที่ประเทศไทยต้องจัดหาและดำเนินการในฐานะประเทศเจ้าภาพ ประกอบด้วยข้อกำหนดต่าง ๆ ที่สำคัญ ได้แก่ การเชิญ การเข้าร่วม และการตรวจลงตรา (วีซ่า) เอกสิทธิ์และความคุ้มกัน อากรและภาษีขาเข้าและขาออก การจัดการทางการเงิน มาตรการความมั่นคงและการรักษาความปลอดภัย พิธีการ สถานที่ สิ่งอำนวยความสะดวก บริการ และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่จัดหาเอาไว้โดยรัฐบาล การจัดการการเดินทางและการขนส่ง การจัดการที่เกี่ยวกับสื่อสัมพันธ์ การมีผลบังคับใช้และระยะเวลาของข้อตกลงฉบับนี้ รวมทั้งผู้ลงนาม ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างความตกลงฯ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของฝ่ายไทยและมิใช่การแก้ไขในสาระสำคัญ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีโดยไม่ต้องนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นผู้ลงนามความตกลงฯ ในนามของรัฐบาลไทย ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อลงนามในความตกลงฯ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารใช้การระงับข้อพิพาทโดยวิธีการอนุญาโตตุลาการ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การทำสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชน) ได้ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา |
||||||||||||||||||
1390 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "วิสาหกิจชุมชนเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจไทย กรณีศึกษาวิสาหกิจชุมชนมาบตาพุด" | สสป | 10/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "วิสาหกิจชุมชนเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจไทย กรณีศึกษาวิสาหกิจชุมชนมาบตาพุด" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ควรเร่งรัดการพัฒนาอุตสาหกรรมและเป้าหมายการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ ๒. ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันระหว่างชุมชนกับโรงงานอุตสาหกรรม ในลักษณะการพึ่งพาซึ่งกันและกัน โดยชุมชนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา อุตสาหกรรมเป็นฝ่ายร่วมหนุนเสริมกลไก และรัฐมีบทบาทเป็นฝ่ายประสานความร่วมมือ (Co-empowerment) ๓. จัดตั้งคณะกรรมการร่วมระดับพื้นที่ขึ้น ในรูปแบบองค์กรเบญจภาคี ประกอบด้วย ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการเมือง ภาคองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชน เพื่อให้ทุกฝ่ายร่วมกันแก้ไขปัญหาในเชิงสร้างสรรค์ ภายใต้กรอบการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน โดยมีตัวอย่างที่มาบตาพุด (มาบตาพุดโมเดล) ๔. ศึกษาขยายผล ประยุกต์รูปแบบการประสานงานและแนวทางการดำเนินงานร่วมกันระหว่างวิสาหกิจชุมชนมาบตาพุดและโรงงานอุตสาหกรรม ให้เป็นรูปแบบที่เหมาะสมและสอดคล้องกับวัฒนธรรมวิถีชุมชนในพื้นที่ต่าง ๆ ที่ยังมีปัญหาระหว่างโรงงานอุตสาหกรรมกับชุมชน ๕. ควรมีมาตรการให้โรงงานอุตสาหกรรมเกื้อกูลและเอื้อประโยชน์ให้แก่ชุมชนบริเวณโดยรอบ เช่น ร่วมกันจัดทำแผนกลยุทธ์ความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR Roadmap) โดยรัฐจะให้มีการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมที่เข้าร่วมมาตรการดังกล่าว ๖. สำหรับนิคม/เขตอุตสาหกรรมที่เหมาะสมและมีความพร้อม ควรมีมาตรการจัดทำต้นแบบโรงงานอุตสาหกรรมและวิสาหกิจชุมชนที่มีกระบวนการสอดคล้องกัน ระหว่างการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานของภาคอุตสาหกรรมกับการกระจายรายได้ไปยังชุมชน เพื่อให้ชุมชนได้เป็นส่วนหนึ่งของการร่วมรับผลประโยชน์จากการพัฒนาอุตสาหกรรม ๗. ควรมีมาตรการจูงใจทางภาษีในการส่งเสริมให้โรงงานอุตสาหกรรมชำระภาษีในพื้นที่ที่ตั้งโรงงาน เพื่อให้ประโยชน์ตกแก่ท้องถิ่นนั้น ๆ เป็นสำคัญ
|
||||||||||||||||||
1391 | รายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2554 | ทส | 10/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๖ มีมติเห็นชอบกับรายงานดังกล่าวแล้ว โดยรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๔ ประกอบด้วยเนื้อหาสาระที่สำคัญ ดังนี้
๑. สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงคุณภาพทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๔ ๒. ประเด็นปัญหาสำคัญ ได้แก่ อุทกภัยและดินถล่มในภาคใต้ การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินและสภาพสิ่งแวดล้อมในจังหวัดน่าน และการจัดการทรัพยากรชายฝั่งอย่างมีส่วนร่วม ๓. แนวโน้มสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม ๔. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างบูรณาการ ได้แก่ ควรมีการกำหนดเป้าหมายในการพัฒนาประเทศในอนาคตอย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม และเป็นเชิงวิสัยทัศน์ ควรมีข้อกำหนดเกี่ยวกับนโยบายภาครัฐอย่างชัดเจนทั้งในด้านการกำหนดนโยบาย และการดำเนินนโยบาย และควรมีการเสริมสร้างสมรรถนะ (capacity building) ในด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น
|
||||||||||||||||||
1392 | รายงานผลการดำเนินการของกระทรวงคมนาคมกรณีการชุมนุมของชาวสวนยางและปาล์มน้ำมันในพื้นที่ภาคใต้ | คค | 10/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการของกระทรวงคมนาคมกรณีการชุมนุมของชาวสวนยางและปาล์มน้ำมันในพื้นที่ภาคใต้ ตั้งแต่วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๖ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดตั้งศูนย์ประสานงานคมนาคม (ศปส. คค.) เพื่อติดตามสถานการณ์ชุมนุมที่มีผลกระทบต่อการคมนาคมขนส่งทั้งทางถนน รถไฟ และอากาศยาน โดยมีปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นผู้อำนวยการศูนย์ หัวหน้าส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจในสังกัด และสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรทำหน้าที่เลขานุการ กำหนดการประชุมในรูปแบบ Video Conference ระหว่างกระทรวงคมนาคมไปยังหน่วยงานในสังกัดทั้งส่วนกลางและในพื้นที่เป็นประจำทุกวัน เพื่อรายงานสถานการณ์และเตรียมมาตรการเพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับผู้เดินทาง ตลอดจนประสานงานอย่างใกล้ชิดกับศูนย์ประสานงานแก้ไขปัญหาการชุมนุมเรียกร้องราคายางพาราและปาล์มน้ำมัน (ศปกย.) ของสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธาน ๒. มาตรการที่ได้ดำเนินการเพื่อแก้ปัญหา ๒.๑ กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท ได้ประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่นแจ้งข้อมูลและแผนที่เส้นทางเลี่ยงจุดที่มีการชุมนุม ติดตั้งป้ายและตรวจสอบสภาพของเส้นทางเลี่ยงให้อยู่ในสภาพดี รวมทั้งมีการวางแผนเส้นทางการเดินรถรายวัน ๒.๒ การรถไฟแห่งประเทศไทย ได้จัดการเดินรถสายใต้ถึงสถานีชุมทางทุ่งสงและจากสถานีพัทลุง-หาดใหญ่-สุไหงโกลก เส้นทางที่ขาดช่วง คือ จากชุมทางทุ่งสง-พัทลุง กรมการขนส่งทางบก และบริษัท ขนส่ง จำกัด ได้จัดรถโดยสาร บขส. และรถร่วม บขส. มาให้บริการ ๒.๓ ในช่วงที่มีการชุมนุมบนทางหลวงหมายเลข ๔๑ ห่างจากบริเวณด้านหน้าของท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานีเพียง ๑ กิโลเมตร กรมการบินพลเรือนได้ปิดประตูทางเข้าสนามบิน และจัดรถบริการรับ-ส่ง ผู้โดยสารที่จะเข้ามาในพื้นที่จากประตูทางเข้าไปยังอาคารผู้โดยสาร และกำหนดการเดินทางโดยใช้เส้นทางเลี่ยงท่าอากาศยาน-กองบินที่ ๗-ร้านอาหารวังกุ้ง เป็นเส้นทางเข้า-ออก จากท่าอากาศยาน มีรถรับ-ส่ง พร้อมแจกจ่ายแผนที่เส้นทางแก่ประชาชน สำหรับบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ได้เตรียมหอบังคับการบินสำรอง ทำการซ้อมแผนและอบรมเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน พร้อมอุปกรณ์การควบคุมการจราจรทางอากาศครบถ้วนสามารถเคลื่อนย้ายได้ทันทีหากมีการบุกยึดท่าอากาศยานและศูนย์ควบคุมการบินที่สุราษฎร์ธานี และบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ติดตามเฝ้าระวังเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ยังไม่มีการยกเลิกเที่ยวบินใด ๆ และเตรียมความพร้อมเรื่องท่าอากาศยานสำรองไว้แล้ว
|
||||||||||||||||||
1393 | การเตรียมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดลพบุรี | นร11 | 10/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. โครงการในการลงพื้นที่ของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๒ จำนวน ๔ จังหวัด (จังหวัดลพบุรี อ่างทอง สิงห์บุรี และชัยนาท) ในการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดลพบุรี ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๐ กันยายน ๒๕๕๖ ๑.๑ กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๒ ได้แก่ โครงการศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์จากวัสดุท้องถิ่นเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชุมชน โครงการพัฒนาสวนน้ำเพื่อสุขภาพและการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๒ โครงการส่งเสริมสหกรณ์การตลาดสินค้าเกษตรปลอดภัย กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๒ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเฝ้าระวังและเตือนภัยจากน้ำ โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวระดับชั้นพันธุ์หลักและชั้นพันธุ์ขยายเพื่อเสริมสร้างระบบการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวของกลุ่มจังหวัดภาคกลาง และโครงการพัฒนาและบูรณะทางหลวงเพื่อความปลอดภัย และเชื่อมโยงระหว่างจังหวัด ๑.๒ จังหวัดลพบุรี ได้แก่ โครงการก่อสร้างศูนย์ส่งเสริม บริการเยาวชนและผู้สูงวัย (จังหวัดลพบุรี) โครงการดูแลผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาสทางสังคม แบบ long term care โครงการเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำจังหวัดลพบุรีด้วยแบบจำลองสามมิติทางภูมิศาสตร์และระบบกล้องวงจรปิด (CCTV) อัจฉริยะ โครงการบริหารจัดการน้ำเพื่อสนับสนุนเกษตรกรทำการเกษตรอาหารปลอดภัย โครงการยกระดับเขตเมืองเก่าลพบุรีเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ในระดับภูมิภาคอาเซียน และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบกระจายน้ำอ่างเก็บน้ำห้วยใหญ่ (วังแขม) ๑.๓ จังหวัดอ่างทอง ได้แก่ โครงการพัฒนาบ่อทรายให้เป็นแก้มลิง โครงการบริหารจัดการน้ำในเขตชุมชนบ้านรอเทศบาลเมืองอ่างทองเพื่อป้องกันอุทกภัย โครงการบริหารจัดการน้ำในเขตชุมชนบางแก้วและโรงพยาบาลอ่างทอง เทศบาลเมืองอ่างทอง เพื่อป้องกันอุทกภัย โครงการพัฒนาการท่องเที่ยวตามวิถีชีวิตชุมชนคนลุ่มแม่น้ำน้อย โครงการรักษาเสถียรภาพต้นทุนผลผลิตทางการเกษตรของสมาชิกสหกรณ์และเกษตรกร และโครงการพัฒนาพื้นที่แก้มลิงหนองเจ็ดเส้นอันเนื่องมาจากพระราชดำริ “อุทยานสวรรค์ ๑๑๕ ปี อ่างทอง หนองเจ็ดเส้น เฉลิมพระเกียรติฯ” เป็นแหล่งท่องเที่ยว เพื่อรองรับประชาคมอาเซียน ๑.๔ จังหวัดสิงห์บุรี ได้แก่ พัฒนาค่ายบางระจันให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ พัฒนาและปรับปรุงศูนย์การเรียนรู้เกษตรปลอดภัยในพื้นที่โครงการฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริ และโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณหมู่ที่ ๕ ตำบลชีน้ำร้าย อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ๑.๕ จังหวัดชัยนาท ได้แก่ โครงการเมืองเมล็ดพันธุ์ข้าวชัยนาท โครงการส่งเสริมการปลูกอ้อยทดแทนการปลูกข้าว ตามนโยบายเกษตร Zoning ๒. การประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค (กรอ.ภูมิภาค) กำหนดในวันพฤหัสบดีที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๖ ณ ห้องประชุมชั้น ๓ อาคาร ๙๐ ปี มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี จังหวัดลพบุรี
|
||||||||||||||||||
1394 | โครงการจัดงานประชุมวิชาการกล้วยไม้เอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ 12 (The 12th Asia Pacific Orchid Conference 2016: APOC 2016) | กษ | 03/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติหลักการโครงการประชุมวิชาการกล้วยไม้เอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ ๑๒ (The 12th Asia Pacific Orchid Conference 2016 : APOC 2016) ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ซึ่งผลที่คาดว่าจะได้รับจากการเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมสัมมนากล้วยไม้ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในครั้งนี้ จะก่อให้เกิดประโยชน์ในด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรกล้วยไม้เพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน รวมถึงการพัฒนาวงการกล้วยไม้ในกลุ่มประเทศสมาชิกและนานาประเทศตามวัตถุประสงค์ของคณะกรรมการกล้วยไม้เอเชียแปซิฟิก (Asia Pacific Orchid Committee : APOC) และจะเป็นโอกาสของประเทศไทยในการนำเสนอบทบาทด้านกล้วยไม้สู่นานาชาติ รวมทั้งเพื่อแสดงถึงศักยภาพและขีดความสามารถของประเทศไทยทั้งด้านการผลิตและการตลาด และเป็นการสนับสนุนด้านการส่งออกกลุ่มสินค้ากล้วยไม้ไปสู่ตลาดโลก ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมวิชาการเกษตร) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการจัดงานโครงการประชุมวิชาการกล้วยไม้เอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ ๑๒ ๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณารายละเอียดงบประมาณและสถานที่การจัดงานและเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาในครั้งต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำรายละเอียดข้อมูลรูปแบบการเป็นเจ้าภาพจัดงาน พร้อมทั้งรายละเอียดงบประมาณ และแผนการดำเนินงานที่รวมถึงแนวทางการเตรียมความพร้อมทั้งทางด้านสถานที่ การจราจร แหล่งอำนวยความสะดวกให้กับผู้เข้าร่วมการประชุม และนักท่องเที่ยว ตลอดจนความพร้อมด้านบุคลากร และระบบบริหารจัดการ โดยประสานความร่วมมือกับภาครัฐ ส่วนท้องถิ่นและเอกชนที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
1395 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | กค | 27/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๒ เห็นชอบข้อเสนอแนะในประเด็นสำคัญเพิ่มเติม เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการเพื่อให้การจัดทำรายงานการเงินรวมภาครัฐมีความครบถ้วนสมบูรณ์ น่าเชื่อถือ สามารถใช้ข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์และตัดสินใจเชิงนโยบายด้านการเงินการคลังได้อย่างถูกต้อง และให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดทุกกระทรวงให้ความสำคัญและกำชับหน่วยงานภายใต้สังกัดให้ดำเนินการ ดังต่อไปนี้ ๑.๒.๑ กลุ่มรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ ให้ อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทย พิจารณาปรับเกลี่ยอัตรากำลังให้สอดคล้องกับภารกิจหรือปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งที่มีอยู่ให้เป็นนักวิชาการเงินและบัญชีให้แก่จังหวัดและกลุ่มจังหวัด ในฐานะเป็นหน่วยรับงบประมาณ หากยังไม่เพียงพอให้นำเสนอคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) เพื่อพิจารณาต่อไป และเพื่อให้การบริหารทรัพย์สินของหน่วยงานภาครัฐเกิดประโยชน์สูงสุด เห็นควรให้ผู้บริหารให้ความสำคัญในการบริหารทรัพย์สินให้เกิดประสิทธิภาพ โดยใช้ทรัพย์สินที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าและจัดซื้อจัดหาทรัพย์สินให้ตรงตามวัตถุประสงค์ของการใช้งานอย่างเหมาะสม หรืออาจพิจารณาการใช้ทรัพย์สินร่วมกัน ๑.๒.๒ กลุ่มกองทุนและเงินทุนหมุนเวียน การจัดสรรเงินงบประมาณอุดหนุนแก่กองทุนและเงินทุนหมุนเวียนควรพิจารณาตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยพิจารณาฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของหน่วยงาน เพื่อประโยชน์ในการบริหารงบประมาณของแผ่นดินในภาพรวม ๑.๒.๓ กลุ่มองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ให้กรุงเทพมหานครเร่งรัดจัดทำรายงานการเงินส่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภายใน ๖๐ วัน นับจากวันสิ้นปีงบประมาณให้เป็นไปตามระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน การนำส่งเงิน และการตรวจเงิน พ.ศ. ๒๕๕๕ หมวด ๑๑ ข้อ ๘๙ และส่งสำเนารายงานการเงินให้กรมบัญชีกลางเพื่อจัดทำรายงานการเงินรวมภาครัฐ และเพื่อประโยชน์ในการบริหารเงินสดและเงินฝากธนาคารของ อปท. ในภาพรวมให้เกิดประสิทธิภาพและเหมาะสม เห็นควรให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นกำกับดูแลเร่งรัดให้ อปท. ใช้จ่ายเงินในการดำเนินงาน ตามแผนงาน/โครงการ และนโยบายของรัฐบาลให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างรวดเร็วเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายเงินของ อปท. ให้ประชาชนได้รับความช่วยเหลือและสวัสดิการขั้นพื้นฐานจากรัฐอย่างทั่วถึง ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยรับไปประสานงานเพื่อเร่งรัดให้กรุงเทพมหานครจัดทำรายงานการเงินส่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภายใน ๖๐ วัน นับจากวันสิ้นปีงบประมาณ เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน การนำส่งเงิน และการตรวจเงิน พ.ศ. ๒๕๕๕ หมวด ๑๑ ข้อ ๘๙ และส่งสำเนารายงานการเงินให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) เพื่อจัดทำรายงานการเงินรวมภาครัฐเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีได้อย่างครบถ้วนต่อไป |
||||||||||||||||||
1396 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานเศรษฐกิจการลงทุน ณ นครนิวยอร์ก | อก | 27/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑ รายการค่าเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานเศรษฐกิจการลงทุน ณ นครนิวยอร์ก ในวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น ๔๑,๕๗๕,๑๔๐ บาท หรือเท่ากับ ๑,๓๘๕,๘๓๘ ดอลลาร์สหรัฐ หรือไม่เกินวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาเช่าตามสกุลเงินท้องถิ่น กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่ได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว ในรายการค่าเช่าอาคารสำนักงานต่างประเทศ ส่วนงบประมาณที่เหลือให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๑ ตามสัญญาเช่าต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ในการทำสัญญาเช่าให้กระทรวงอุตสาหกรรม (สำนักงานเศรษฐกิจการลงทุน) กำหนดเงื่อนไขในการยกเลิกสัญญาเช่าก่อนกำหนดได้ ในกรณีที่จะย้ายเข้าไปใช้พื้นที่ในอาคารที่ทำการคณะผู้แทนถาวรฯ/สถานกงสุลใหญ่ฯ (หลังปัจจุบัน) ในอนาคตตามนโยบายการใช้พื้นที่ร่วมกัน (One Roof Policy) ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดซื้ออาคารสถานที่แห่งหนึ่งแห่งใดแทนวิธีการเช่าเพื่อใช้เป็นที่ทำการถาวรร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆ ของไทย ณ นครนิวยอร์ก เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายการใช้พื้นที่ร่วมกัน (One Roof Policy) ต่อไป |
||||||||||||||||||
1397 | การจัดทำสัญญาเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก | พณ | 27/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๓ รายการค่าเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก โดยมีวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น ๖๒,๙๖๐,๙๐๐ บาท หรือเท่ากับ ๑,๙๖๗,๕๒๖ ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดอัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ๓๒ บาท หรือไม่เกินวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาเช่าตามสกุลเงินท้องถิ่นกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ รายการค่าเช่าอาคารสำนักงานในต่างประเทศ (ผูกพันใหม่) จำนวน ๒๑๔,๔๓๔ ดอลลาร์สหรัฐ หรือเท่ากับ ๖,๘๖๑,๙๐๐ บาท ส่วนงบประมาณที่เหลือให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๓ ตามความจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ในการทำสัญญาเช่าให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ) กำหนดเงื่อนไขในการยกเลิกสัญญาเช่าก่อนกำหนดได้ในกรณีที่จะย้ายเข้าไปใช้พื้นที่ในอาคารที่ทำการคณะผู้แทนถาวรฯ/สถานกงสุลใหญ่ฯ (หลังปัจจุบัน) ในอนาคตตามนโยบายการใช้พื้นที่ร่วมกัน (One Roof Policy) ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดซื้ออาคารสถานที่แห่งหนึ่งแห่งใดแทนวิธีการเช่าเพื่อใช้เป็นที่ทำการถาวรร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆ ของไทย ณ นครนิวยอร์ก เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายการใช้พื้นที่ร่วมกัน (One Roof Policy) ต่อไป |
||||||||||||||||||
1398 | สรุปรายงานผลการดำเนินงาน "พูดจาหาทางออกประเทศไทย 108 เวที" | นร | 27/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานผลการดำเนินการจัดเวที “พูดจาหาทางออกประเทศไทย” ๑๐๘ เวที ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๖-๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ตามที่คณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ลักษณะปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาว ได้แก่ ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม ความเข้าใจประชาธิปไตยที่แตกต่าง โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้งกรณีปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาว มาจากการทุจริตคอร์รัปชัน การกระจายอำนาจของรัฐไม่มีประสิทธิภาพ ความเหลื่อมล้ำทางสังคม (การแบ่งชนชั้น) ยาเสพติด ไม่ใช้เหตุผลในการแก้ปัญหา เศรษฐกิจ ปากท้อง ความเป็นอยู่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ (คนรวย คนจน) การมีระบบอุปถัมภ์และความไม่เท่าเทียมกันทางการศึกษา สำหรับข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขความขัดแย้ง กรณีปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาว ต้องแก้ไขการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับประชาชน ขยายโอกาสทางการศึกษาให้ทั่วถึง กระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นอย่างจริงจัง การกระจายความเจริญไปสู่ท้องถิ่นอย่างเป็นรูปแบบ ร่วมสร้างจิตสำนึกในหน้าที่ของตนเอง เปิดโอกาสให้มีการมีส่วนร่วมในทุกภาคส่วน จัดกิจกรรมการเรียนรู้เกี่ยวกับประชาธิปไตย ๒. ลักษณะปัญหาเฉพาะหน้า ได้แก่ ปัญหาความเคลือบแคลงในหลักนิติธรรม สังคมขาดองค์ความรู้ในการจัดการความขัดแย้งและสันติวิธี ความขัดแย้งแบบเดิมพันสูง ตุลาการภิวัฒน์ การแทรกแซงองค์กรอิสระ การกล่าวอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อประโยชน์ทางการเมือง การรัฐประหาร และบทบาทของทหารในการจัดการความขัดแย้ง และการขยายตัวของสื่อการเมืองและสื่อบุคคล (สื่อเลือกข้าง) โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง กรณีปัญหาเฉพาะหน้า มาจากความขัดแย้งทางการเมืองและนักการเมือง การใช้อำนาจของรัฐที่ไม่เป็นธรรม ความแตกแยกทางความคิด การใช้ความรุนแรง ความไม่เป็นธรรมของกฎหมาย การไม่จัดการความขัดแย้ง/ปล่อยให้ความขัดแย้งบานปลาย การแก้ไขรัฐธรรมนูญ การกล่าวอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ การรัฐประหารการแทรกแซงองค์กรอิสระ การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของสื่อมวลชน ความเข้าใจเกี่ยวกับประชาธิปไตย และการทำหน้าที่ของศาล สำหรับข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง กรณีเฉพาะหน้า ต้องแก้ไขโดยไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ใช้กำลังในการตัดสินปัญหา งดการชุมนุม หยุดการเคลื่อนไหวปลุกระดมทางการเมือง ส่งเสริมให้มีกิจกรรมที่สร้างความสามัคคีของคนในชาตินักการเมืองเจรจาร่วมกันเพื่อหาทางออก ส่งเสริมการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี เมตตาและปรารถนาดีต่อกัน จัดเวทีหรือช่องทางให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็น แก้ไขรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน สื่อนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องและรับผิดชอบต่อการนำเสนอที่ผิดพลาด และการบังคับใช้กฎหมายอย่างยุติธรรม
|
||||||||||||||||||
1399 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ตะกั่วในสีทาอาคาร ภัยที่ป้องกันได้" | สสป | 20/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ตะกั่วในสีทาอาคาร ภัยที่ป้องกันได้" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์ และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค) กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค สภาสถาปนิก สมาคมผู้ผลิตสีไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องควรดำเนินการในการแก้ไขปัญหาทั้งเร่งด่วน และรณรงค์เพื่อป้องกันปัญหาในระยะยาว โดย ๑.๑ เร่งรัดการออกกฎหมายความปลอดภัยของผู้บริโภค (Consumer Product safety Improvement Act) ๑.๒ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมควรออกมาตรฐานบังคับสำหรับมาตรฐานผลิตภัณฑ์กำหนดมาตรฐานปริมาณตะกั่วในสีน้ำมันที่อนุญาตให้มีได้ไม่เกินร้อยละ ๐.๐๖ หรือ 600 ppm เป็นมาตรฐานบังคับเพื่อประกันความปลอดภัยแก่ผู้บริโภค ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๓ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคควรประกาศให้มีการแสดงปริมาณสารตะกั่วในสีตกแต่งหรือสีทาอาคาร และมีฉลากคำเตือนบนภาชนะบรรจุสีตกแต่งหรือสีทาอาคารที่มีสารตะกั่วเจือปน เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้บริโภคในการตัดสินใจซื้อ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๔ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรออกข้อกำหนดให้ผู้รับเหมาใช้สีที่ควบคุมปริมาณสารตะกั่วในสีทาอาคาร และสีทาเคลือบผิววัสดุที่ใช้ในอาคารและใช้ในโรงเรียนโดยมีปริมาณสารตะกั่วน้อยกว่า 90 ppm หรือร้อยละ ๐.๐๐๙ ๑.๕ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ควรร่วมกันออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้ผลิตขนาดกลางและขนาดเล็กให้สามารถผลิตสีที่ไม่มีตะกั่วหรือมีในระดับค่ามาตรฐานออกจำหน่ายแข่งขันในท้องตลาดได้ ๑.๖ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ควรมีมาตรการตรวจสอบสีทาอาคารที่วางจำหน่ายในท้องตลาดเป็นประจำเพื่อติดตามความก้าวหน้าในการควบคุมปริมาณการใช้ตะกั่วในสี ๑.๗ สถาปนิก และสมาคมสถาปนิกสยาม ควรกำหนดให้สีทาอาคาร และสีทาเคลือบผิว วัสดุที่ใช้ในอาคารอยู่ในมาตรฐานความปลอดภัย ๒. ผู้ประกอบการควรมีจิตสำนึกต่อสังคม โดยดำเนินการ ๒.๑ ในระหว่างที่ยังไม่มีประกาศจากรัฐ ผู้ประกอบการควรตระหนักถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค เช่น ไม่ใช้สารที่มีส่วนผสมของตะกั่วในการผลิตสี ติดฉลากแสดงปริมาณตะกั่ว และคำเตือนบนภาชนะบรรจุสีทุกชนิดที่มีสารตะกั่ว ๒.๒ สนับสนุนมาตรการของภาครัฐในการดำเนินการให้มีการใช้สีทาอาคารที่ไม่มีสารตะกั่ว ๓. สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคควรเข้ามามีส่วนสนับสนุนและติดตามการดำเนินงานของทุกภาคส่วน โดย ๓.๑ สนับสนุนการดำเนินงานของภาคประชาสังคมในการรณรงค์คุ้มครองความปลอดภัยของทารก เด็กเล็ก และผู้บริโภค จากสารตะกั่วในสีทาอาคาร ๓.๒ สนับสนุนและร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรพัฒนาเอกชนรณรงค์และประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวางเพื่อให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจถึงผลกระทบจากสารตะกั่วในสีและเลือกใช้สีทาอาคารที่ปลอดภัยจากสารตะกั่ว ๓.๓ ประสานส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดทำรายงานผลการดำเนินงาน ความก้าวหน้า ปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะในการคุ้มครองความปลอดภัยของทารก เด็กเล็ก และผู้บริโภค จากสารตะกั่วในสีทาอาคารเพื่อเผยแพร่ให้สาธารณะทราบ
|
||||||||||||||||||
1400 | การทบทวนกฎหมายที่ตราโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ 2550 | อื่นๆ | 20/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการทบทวนกฎหมายที่ตราโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ๒๕๕๐ ตามที่คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) เสนอ ซึ่งได้จำแนกการพิจารณาปรับปรุงกฎหมายที่ตราขึ้นโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติออกเป็นกฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ (แก้ไขเนื้อหาของกฎหมาย) กฎหมายที่ควรให้ยกเลิก และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม (แต่อาจมีการพิจารณาทบทวนเพื่อแก้ไขภายหลัง) โดยแบ่งออกเป็น ๑.๑.๑ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมของประชาชน ได้แก่ กฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ จำนวน ๔ ฉบับ และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม จำนวน ๒ ฉบับ ๑.๑.๒ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ได้แก่ กฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ จำนวน ๕ ฉบับ และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม จำนวน ๓๗ ฉบับ ๑.๑.๓ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ได้แก่ กฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ จำนวน ๙ ฉบับ กฎหมายที่ควรยกเลิก จำนวน ๒ ฉบับ และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม จำนวน ๗ ฉบับ ๑.๑.๔ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ได้แก่ กฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ จำนวน ๑๔ ฉบับ และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม จำนวน ๙ ฉบับ ๑.๑.๕ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการสังคม ประกอบด้วย กฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ จำนวน ๒ ฉบับ และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม จำนวน ๒๐ ฉบับ ๑.๒ ให้ส่วนราชการที่มีความเห็นสอดคล้องกับการแก้ไขกฎหมายตามที่ คปก. เสนอ จำนวน ๘ ฉบับ ได้แก่ พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๙ พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ พระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัติพัฒนาที่ดิน พ.ศ. ๒๕๕๑ และพระราชบัญญัติส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ รับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้ส่วนราชการที่รักษาการตามกฎหมายพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายที่มีปัญหาอุปสรรคในการบังคับใช้ ทั้งนี้ หากมีกฎหมายที่ไม่ใช่ในส่วนของฝ่ายบริหาร ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการปรับปรุงและพัฒนากฎหมาย เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งส่วนราชการเห็นว่าควรที่จะได้มีการปรับปรุงแก้ไขหรือเร่งรัด ก็ให้สามารถนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นประธานกรรมการ พิจารณาต่อไป |
.....