ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 68 จากทั้งหมด 199 หน้า แสดงรายการที่ 1341 - 1360 จากข้อมูลทั้งหมด 3975 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1341 | การพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานอันเนื่องมาจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท | กค | 25/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงาน อันเนื่องมาจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท ที่คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุได้พิจารณาแล้วในการประชุมครั้งที่ ๑๙/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ และครั้งที่ ๒๐/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ดังนี้ ๑.๑ เป็นการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างเท่านั้น ๑.๒ การขยายระยะเวลา ๑.๒.๑ ผู้ประกอบการก่อสร้างที่มีสิทธิได้รับการพิจารณาขยายระยะเวลาก่อสร้าง ต้องเป็นคู่สัญญาที่ได้ลงนามทำสัญญาจ้างก่อสร้างกับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ โดยบังคับใช้กับสัญญาจ้างก่อสร้างที่ได้ลงนามไว้กับหน่วยงานก่อนวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ซึ่งสัญญาดังกล่าว ณ วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๖ ยังมีนิติสัมพันธ์อยู่และยังมิได้มีการส่งมอบงานงวดสุดท้ายหรือสัญญาดังกล่าวยังมีนิติสัมพันธ์อยู่ แต่ได้มีการส่งมอบงานงวดสุดท้ายในช่วงระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาที่ให้ความช่วยเหลือฯ ยกเว้นสัญญาที่หน่วยงานได้พิจารณาก่อนวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ แล้วว่า จะบอกเลิกสัญญาเนื่องจากคู่สัญญาปฏิบัติผิดสัญญา กรณีสัญญาดังกล่าวไม่เข้าเกณฑ์ที่จะได้รับความช่วยเหลือตามมติคณะรัฐมนตรีนี้ ๑.๒.๒ สัญญาจ้างก่อสร้างที่อยู่ในหลักเกณฑ์ตามข้อ ๑.๒.๑ ให้หน่วยงานขยายระยะเวลาออกไปอีก จำนวน ๑๕๐ วัน ในกรณีอายุสัญญาจ้างก่อสร้างน้อยกว่า ๑๕๐ วัน ก็ให้ขยายระยะเวลาได้เท่ากับอายุสัญญาเดิม ๑.๒.๓ สัญญาจ้างก่อสร้างที่ได้รับการขยายระยะเวลาออกไปตามข้อ ๑.๒.๒ โดยกรณีสัญญาจ้างก่อสร้างได้ดำเนินการล่วงเลยกำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จตามสัญญา และได้ถูกปรับไว้ในช่วงก่อนหน้าวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ยังคงเป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการที่ต้องรับผิดชอบในส่วนของค่าปรับในช่วงก่อนหน้าที่จะได้รับการช่วยเหลือฯ แต่จะได้รับการลดหรืองดค่าปรับเฉพาะในช่วงระยะเวลาที่ได้รับการช่วยเหลือตามมาตรการนี้เท่านั้น และกรณีสัญญาจ้างก่อสร้างที่ยังอยู่ภายในระยะเวลาตามสัญญา ให้ขยายระยะเวลา โดยนับถัดจากวันสิ้นสุดระยะเวลาตามสัญญาเดิม ๑.๒.๔ กรณีสัญญาจ้างก่อสร้างที่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะได้รับความช่วยเหลือฯ หากการขยายระยะเวลาออกไป มีผลทำให้ผู้รับจ้างไม่ถูกปรับ ก็ให้งดลดค่าปรับ หรือคืนเงินค่าปรับ ตามความเป็นจริง แล้วแต่กรณี ๑.๒.๕ กรณีสัญญาจ้างก่อสร้างที่ได้รับความช่วยเหลือ หากสัญญาจ้างก่อสร้างดังกล่าวมีการจ้างเอกชนควบคุมงาน ค่าจ้างควบคุมงาน และหรือค่าจ้างที่ปรึกษา ให้ผู้รับจ้างเป็นผู้รับภาระค่าจ้างควบคุมงาน และหรือค่าจ้างที่ปรึกษาสำหรับระยะเวลาที่ได้ขยายออกไป เนื่องจากผู้รับจ้างได้รับประโยชน์จากการได้รับการขยายระยะเวลาดังกล่าวแล้ว ๑.๒.๖ ผู้ประกอบการก่อสร้างที่ประสงค์จะขอรับความช่วยเหลือจะต้องยื่นคำร้องขอต่อหน่วยงานคู่สัญญาภายใน ๖๐ วัน นับถัดจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.๒.๗ กรณีคู่สัญญาใดเห็นว่า การได้รับความช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวยังไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้และมีเหตุผลอันสมควร ให้หน่วยงานพิจารณา และหากเห็นสมควรขยายระยะเวลา ก็ให้เสนอต่อคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุเพื่อพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป ๑.๓ การพิจารณาไม่ลงโทษเป็นผู้ทิ้งงาน หากในกรณีที่หน่วยงานได้มีการบอกเลิกสัญญาจ้างก่อสร้างไปแล้ว สืบเนื่องจากผู้รับจ้างได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงาน อันเนื่องมาจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท ซึ่งได้บอกเลิกสัญญาในช่วงระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๖ ให้ถือว่าไม่เป็นผู้ทิ้งงาน ๑.๔ ให้คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาตีความและวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือฯ ดังกล่าว ๑.๕ เพื่อความเป็นธรรมในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการก่อสร้างของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวม เห็นควรนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา และมีมติแจ้งเวียนให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐถือปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน ๑.๖ ให้กระทรวงมหาดไทยนำมาตรการนี้ไปใช้บังคับในการจัดจ้างก่อสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย โดยอนุโลม ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐนำหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานอันเนื่องมาจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท ที่คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุได้พิจารณาแล้ว ไปถือปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยนำหลักเกณฑ์และเงื่อนไขดังกล่าวไปใช้บังคับในการจัดจ้างก่อสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย โดยอนุโลม |
|||||||||||||||||||||
1342 | การประเมินค่าเป้าหมายขั้นต่ำการจัดบริการสาธารณะขององค์การบริหารส่วนจังหวัด กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา รอบที่ 3 | นร01 | 25/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เกณฑ์ตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายขั้นต่ำการจัดบริการสาธารณะขององค์การบริหารส่วนจังหวัด กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา รวมทั้งขั้นตอนและวิธีการประเมินตนเอง รอบที่ ๓ ซึ่งจะดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยมีเกณฑ์ชี้วัด จำนวน ๖ ด้าน ได้แก่ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านงานส่งเสริมคุณภาพชีวิต ด้านการจัดระเบียบชุมชน/สังคม และการรักษาความสงบเรียบร้อย ด้านการวางแผน การส่งเสริมการลงทุน พาณิชยกรรมและการท่องเที่ยว ด้านการบริหารจัดการ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและด้านศิลปะ วัฒนธรรม ศาสนา จารีตประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิ่น จำแนกเป็น ๑.๑.๑ เกณฑ์ชี้วัดและค่าเป้าหมายขั้นต่ำการจัดบริการสาธารณะขององค์การบริหารส่วนจังหวัด แบ่งเป็นองค์การบริหารส่วนจังหวัดขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก จำนวน ๑๓ ภารกิจ ๔๖ ตัวชี้วัด ๑.๑.๒ เกณฑ์ชี้วัดและค่าเป้าหมายขั้นต่ำการจัดบริการสาธารณะของกรุงเทพมหานคร จำนวน ๒๓ ภารกิจ ๔๙ ตัวชี้วัด ๑.๑.๓ เกณฑ์ชี้วัดและค่าเป้าหมายขั้นต่ำการจัดบริการสาธารณะของเมืองพัทยา จำนวน ๑๘ ภารกิจ ๗๓ ตัวชี้วัด ๑.๒ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลและสนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทางด้านเทคนิค วิชาการ เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถดำเนินภารกิจที่ได้รับการถ่ายโอนจากส่วนราชการได้มาตรฐานตามเกณฑ์ชี้วัดและค่าเป้าหมายขั้นต่ำการจัดบริการสาธารณะ ๑.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยสนับสนุนการประเมินตนเองตามเกณฑ์ชี้วัดและค่าเป้าหมายขั้นต่ำการจัดบริการสาธารณะดังกล่าว โดยประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรผนวกการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับด้านศิลปะ วัฒนธรรมในงานด้านส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้รวมอยู่ในงานด้านศิลปะ วัฒนธรรม จารีตประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมทั้งควรเพิ่มงานด้านศาสนาเป็นเกณฑ์ตัวชี้วัดในงานด้านดังกล่าวด้วย นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับตัวชี้วัดเชิงคุณภาพเพื่อสะท้อนผลการดำเนินงาน/ศักยภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงคุณภาพการจัดบริการสาธารณะให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1343 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 5 พ.ศ. 2555 เรื่อง การจัดระบบและโครงสร้างเพื่อส่งเสริมการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน พร้อมข้อสังเกตของคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ | สช | 19/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๕ พ.ศ. ๒๕๕๕ เรื่อง การจัดระบบและโครงสร้างเพื่อส่งเสริมการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน ตามที่คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องพิจารณาเร่งรัดดำเนินการ โดย ๑.๑.๑ สำนักนายกรัฐมนตรี กำหนดเป็นนโยบายหลักให้การเดินและการใช้จักรยานเป็นวิธีการเดินทางระยะสั้นที่สำคัญ และทำหน้าที่ประสานงานหน่วยงานภาครัฐในการนำนโยบายนี้ไปปฏิบัติ ๑.๑.๒ กระทรวงคมนาคม ส่งเสริมการเชื่อมต่อการเดินทางกับระบบขนส่งสาธารณะด้วยการเดินเท้าและการใช้จักรยาน ให้ความรู้ที่เน้นให้ความสำคัญต่อผู้เดินเท้าและผู้ใช้จักรยานทุกกลุ่มคนในการสอบเพื่อขอใบอนุญาตขับขี่ยานยนต์ทุกชนิด ๑.๑.๓ กระทรวงมหาดไทย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แก้ไขปรับปรุงกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร และข้อบัญญัติท้องถิ่นให้ผู้เป็นเจ้าของอาคารขนาดใหญ่และอาคารสาธารณะ รวมทั้งสถานีขนส่งสาธารณะ ต้องจัดให้มีที่จอดจักรยานที่สะดวก ปลอดภัย และเพียงพอ รวมถึงกำหนดให้จังหวัดมีหน้าที่สนับสนุนการเดินเท้าและใช้จักรยานให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ๑.๑.๔ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กำหนดให้การเดินและการใช้จักรยานเป็นระเบียบวาระขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดทำโครงสร้างพื้นฐานให้เหมาะสมและปลอดภัยต่อการเดินเท้า การใช้ทางเท้าและการสัญจรของคนพิการและการใช้จักรยาน กำหนดพื้นที่จำกัดความเร็วของยานยนต์ และช่องทางการเดิน การใช้จักรยาน มีสัญลักษณ์และป้ายบอกชัดเจนในเขตชุมชน และประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้และรณรงค์อย่างต่อเนื่อง สร้างความตื่นตัวและสนับสนุนกิจกรรม ด้านการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวันแก่สาธารณชน ๑.๑.๕ กระทรวงศึกษาธิการ กำหนดให้สถานศึกษามีหลักสูตรให้ความรู้และพัฒนาทักษะเกี่ยวกับการเดินและการใช้จักรยาน อาทิ การให้ความรู้เกี่ยวกับทักษะการใช้สัญญาณมือและไฟจักรยานกับผู้ขับขี่ให้ถูกต้อง ปลอดภัยและสนับสนุนให้ใช้เครื่องป้องกันอันตรายส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่องแก่นักเรียนนักศึกษา รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนให้เดินหรือใช้จักรยานในการเดินทางมาเรียนด้วยการมีส่วนร่วมของนักเรียนนักศึกษา ผู้ปกครอง และชุมชน และจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินและการใช้จักรยานภายในสถานศึกษา ๑.๑.๖ กระทรวงอุตสาหกรรม ส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจและอุตสาหกรรมการผลิตสินค้าและให้บริการที่เกี่ยวกับการเดินและการใช้จักรยาน และการใช้อุปกรณ์เครื่องช่วยคนพิการในการเดินทางที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน และราคาที่เป็นธรรม ๑.๑.๗ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รณรงค์ให้ประชาชนทั่วไปเดินและใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน และสนับสนุนกิจกรรมส่งเสริมการเดินและใช้จักรยานอย่างต่อเนื่อง ๑.๑.๘ กระทรวงพลังงาน มีนโยบายและมาตรการส่งเสริมการเดินทางที่ไม่ใช้เครื่องยนต์ ได้แก่ การเดินและการใช้จักรยาน และการใช้อุปกรณ์เครื่องช่วยคนพิการในการเดินทาง ๑.๑.๙ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สนับสนุนการท่องเที่ยวด้วยจักรยานและกระตุ้นให้ผู้ประกอบการที่พักมีจักรยานให้บริการนักท่องเที่ยว ๑.๑.๑๐ กระทรวงการคลัง มีมาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุน ส่งเสริมและสร้างแรงจูงให้ประชาชนใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน ๑.๑.๑๑ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ รณรงค์ และสร้างองค์ความรู้เพื่อผลักดันนโยบาย และเพื่อสร้างพฤติกรรมสุขภาพด้วยการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน ๑.๒ ให้สำนักนายกรัฐมนตรีสนับสนุนการมีส่วนร่วมเพื่อการจัดระบบและโครงสร้างเพื่อส่งเสริมการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน โดย ๑.๒.๑ สนับสนุนกระบวนการจัดทำยุทธศาสตร์ “การจัดระบบและโครงสร้างเพื่อส่งเสริมการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน” ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมจากภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาคประชาสังคม หน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง โดยพิจารณาร่างข้อเสนอยุทธศาสตร์การจัดระบบและโครงสร้างเพื่อส่งเสริมการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน ตามภาคผนวก ท้ายเอกสารหลัก เป็นเอกสารตั้งต้น ๑.๒.๒ สนับสนุนให้มีการจัดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นต่อยุทธศาสตร์ดังกล่าวและเสนอต่อสมัชชาสุขภาพแห่งชาติเฉพาะประเด็นเพื่อรับรองร่างยุทธศาสตร์ให้เสร็จสิ้นภายในปี ๒๕๕๗ ๑.๓ ให้ชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทยเป็นแกนนำประสานกับภาคีที่เกี่ยวข้องด้านการเดินและการใช้จักรยานและภาคีสมัชชาสุขภาพ สร้างเครือข่ายความร่วมมือขับเคลื่อนการดำเนินงานเพื่อส่งเสริมการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน ร่วมในกระบวนการจัดทำยุทธศาสตร์ฯ รวมทั้งการให้คำปรึกษา คำแนะนำ การสนับสนุนทางวิชาการ การศึกษาดูงานเรียนรู้จากพื้นที่ที่ดำเนินงาน ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติดังกล่าวตามอำนาจหน้าที่ของหน่วยงาน โดยให้อยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และให้รับความเห็นของกระทรวงพลังงาน สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ เกี่ยวกับการจัดตั้งสำนักงานกองทุนสนับสนุนการเดินและใช้จักรยาน โดยนำเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไปใช้อาจไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การใช้จ่ายเงินกองทุนฯ มาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ การหารือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อตกลงร่วมกันในการกำหนดกรอบการดำเนินงานภาพรวมและแนวทางการดำเนินงานในแต่ละยุทธศาสตร์เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนของภาระงานและงบประมาณ การทบทวนกรอบระยะเวลาที่กำหนดให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๕๘ ให้มีความเหมาะสมและเป็นไปได้จริงในทางปฏิบัติ การพิจารณามาตรการสนับสนุนด้านอื่น ๆ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนของการดำเนินการที่ไม่ได้มุ่งเน้นการพึ่งพิงงบประมาณจากภาครัฐเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ การเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวันยังมีอุปสรรค สืบเนื่องจากปัจจัยแวดล้อม (Built Environment) ที่ไม่เอื้ออำนวย จึงควรสนับสนุนแนวทางการลดอุปสรรคในการเดินทางและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวันที่เกิดจากปัจจัยแวดล้อม (Built Environment) ที่ไม่เอื้ออำนวย รวมทั้งการแสวงหาแนวทางการพัฒนาในด้านธุรกิจ-อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยวเพื่อส่งเสริมการใช้จักรยาน เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
1344 | การติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนกันยายน 2556 | นร | 19/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) เสนอ ดังนี้
๑. รายงานผลการติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนกันยายน ๒๕๕๖ ประกอบด้วย การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศสร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค การปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน (กองทุนหมู่บ้าน SML) การยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน การปฏิรูปการจัดการที่ดิน (นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) การเร่งเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ การสนับสนุนการพัฒนางานศิลปหัตถกรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชนเพื่อการสร้างเอกลักษณ์และการผลิตสินค้าในท้องถิ่น (OTOP และ SMEs) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. การดำเนินการตามนโยบายสนับสนุนการพัฒนางานศิลปหัตถกรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชนเพื่อการสร้างเอกลักษณ์ในการผลิตสินค้าในท้องถิ่น (OTOP และ SMEs) เป็นงานที่มีความเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงอุตสาหกรรม หารือร่วมกันเพื่อพิจารณาแนวทางการบูรณาการการดำเนินงานในเรื่องดังกล่าว เพื่อให้เห็นถึงภาพรวมและผลสำเร็จของการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมต่อไป ๓. การดำเนินการตามนโยบายด้านการปฏิรูปการจัดการที่ดิน เป็นเรื่องสำคัญที่เป็นประเด็นปัญหาที่มีความเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ประเทศในการลดความเหลื่อมล้ำ แต่ผลการดำเนินการยังไม่มีความคืบหน้าที่ชัดเจน จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ร่วมกันพิจารณาแนวทางการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวต่อไป ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาเร่งรัดการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกร กรณีขอขยายเวลาโครงการรับจำนำข้าว ประจำปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ เนื่องจากเก็บเกี่ยวผลผลิตไม่ทัน
|
|||||||||||||||||||||
1345 | รายงานผลการจัดนิทรรศการโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างอนาคตประเทศ | นร11 | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการจัดนิทรรศการ “สร้างอนาคตไทย ๒๐๒๐” ระหว่างวันที่ ๔ ตุลาคม-๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ณ จังหวัดหนองคาย นครราชสีมา ชลบุรี อุบลราชธานี ขอนแก่น นครสวรรค์ และฉะเชิงเทรา ตามที่เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการบูรณาการการประชาสัมพันธ์โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างอนาคตประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จำนวนผู้เข้าร่วมนิทรรศการฯ รวมทั้งสิ้นจำนวน ๕๖๔,๓๗๙ คน หรือเฉลี่ย ๒๖,๘๗๕ คน/วัน โดยมีผู้เข้าร่วมงานมากที่สุดที่จังหวัดขอนแก่น จำนวน ๑๓๙,๑๘๓ คน หรือเฉลี่ย ๔๖,๓๙๔ คน/วัน และน้อยที่สุดที่จังหวัดนครราชสีมา จำนวน ๔๖,๒๘๔ คน หรือเฉลี่ย ๑๕,๔๒๘ คน/วัน ๒. ความเห็นของผู้ร่วมชมนิทรรศการฯ ส่วนใหญ่มีความพึงพอใจการจัดนิทรรศการฯ ซึ่งผู้เข้าร่วมงานส่วนใหญ่ได้รับทราบข่าวการจัดนิทรรศการ “สร้างอนาคตไทย ๒๐๒๐” จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น/ผู้นำชุมชน รองลงมาคือ สื่อโทรทัศน์ ป้ายประชาสัมพันธ์/แผ่นพับ และเพื่อน/ครอบครัว ตามลำดับ โดยมีความประทับใจนิทรรศการรถไฟความเร็วสูงมากที่สุด รองลงมาคือ การจำหน่ายสินค้า OTOP และกิจกรรมการประกวด “จานด่วนไทย ไปครัวโลก” ตามลำดับ ๓. การดำเนินงานในระยะต่อไป คณะกรรมการการประชาสัมพันธ์โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างอนาคตประเทศเห็นควรให้มีการจัดนิทรรศการเพื่อสรุปภาพรวมทั้งประเทศอีกครั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยให้มีการเตรียมข้อมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการรถไฟความเร็วสูงให้มีความชัดเจนเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้สามารถชี้แจงและสื่อสารต่อประชาชนและผู้ที่สนใจได้อย่างชัดเจน และครบถ้วน ในเบื้องต้นคณะกรรมการฯ เห็นควรกำหนดช่วงเวลาการจัดนิทรรศการฯ ระหว่างวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์-๒ มีนาคม ๒๕๕๗ สำหรับสถานที่จัดนิทรรศการฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาความเหมาะสมทั้งในด้านขนาดของพื้นที่ และความสะดวกในการเดินทางเข้าถึงสถานที่จัดนิทรรศการฯ นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมเสนอให้มีพื้นที่ในการจัดแสดงผลงานที่ได้รับรางวัลการประกวดแนวคิดการออกแบบสถานีรถไฟฟ้าความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ-หัวหิน ภายใต้ชื่อ “Design Station Define Identity” และกระทรวงศึกษาธิการได้จัดให้มีกิจกรรมการประกวดภาพและเรียงความในหัวข้อ “จังหวัดของฉันในปี ๒๐๒๐” ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นให้ประชาชนและนักศึกษาเกิดความสนใจในการรับทราบข้อมูลของโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศมากขึ้น และแสดงให้เห็นถึงการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นอีกทางหนึ่ง
|
|||||||||||||||||||||
1346 | การปรับปรุงข้อเสนอแผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันทีของจังหวัดพิจิตร ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดกำแพงเพชร วันที่ 9 - 10 มิถุนายน 2556 | นร11 | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนงาน/โครงการ ที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันทีของจังหวัดพิจิตร จำนวน ๖ โครงการ วงเงินรวม ๑๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการขุดลอกคลองศิริวัฒน์ (บึงนาราง-บางลาย) วงเงิน ๕ ล้านบาท โครงการก่อสร้างถนนลาดยางสายเนินสะอาด ต.แหลมรัง อ.บึงนาราง จ.พิจิตร-นาตาเซา ต.วังชะโอน อ.บึงสามัคคี จ.กำแพงเพชร วงเงิน ๑๘ ล้านบาท โครงการระบบส่งน้ำบ้านไทรโรงโขน-บ้านบางไผ่-บ้านดงตะขบ วงเงิน ๒๐ ล้านบาท โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำน่าน ต.ไผ่หลวง อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร วงเงิน ๑๒ ล้านบาท โครงการระบบส่งน้ำสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าจากแม่น้ำน่านไป ต.ท่าหลวง วงเงิน ๑๕ ล้านบาท และโครงการขุดลอกคลองห้วยน้อยเชื่อมโครงการท่อทองแดงผันน้ำจากแม่น้ำปิงลงสู่แม่น้ำยม วงเงิน ๓๐ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณจัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาวงเงินงบประมาณที่เหมาะสม โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่ได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีจากกรมบัญชีกลางแล้ว ๑.๒ ให้จังหวัดพิจิตรรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับกรณีโครงการใดที่หน่วยงานท้องถิ่นต้องรับผิดชอบในการบริหารจัดการและบำรุงรักษาภายหลังจากก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ ให้จังหวัดประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนก่อนขอรับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณ เพื่อประกอบการดำเนินโครงการต่อไป ๒. คณะรัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติมว่า กรณีการพัฒนาหรือฟื้นฟูแหล่งน้ำในพื้นที่สำคัญที่ถูกบุกรุกจนไม่เหลือสภาพธรรมชาติเดิม จำเป็นจะต้องบูรณาการการดำเนินการของหลายหน่วยงาน เช่น การพัฒนาแหล่งน้ำบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร หรือแหล่งน้ำอื่น ๆ ควรจัดทำเป็นแผนพัฒนาระยะยาวที่เป็นที่ยอมรับของทุกภาคส่วน และมีคณะกรรมการกำกับแผนและโครงการในระดับพื้นที่เป็นเจ้าภาพหลัก เพื่อให้เป็นกลไกประสานงานกับหน่วยงานระดับกระทรวงที่มีความเป็นเอกภาพ มีความสอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่และสามารถใช้จ่ายเงินงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในกรณีการพัฒนาแหล่งน้ำบึงสีไฟ ให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยรับไปประสานงานกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาจัดทำโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร ในระยะยาวให้สามารถฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศให้มีความยั่งยืนและสอดคล้องกับสภาพปัญหาของแหล่งน้ำดังกล่าวต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1347 | ผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee : RBC) ไทย - เมียนมาร์ ครั้งที่ 27 | กห | 05/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee : RBC) ไทย-เมียนมาร์ ครั้งที่ ๒๗ เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม-๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ ณ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ความคืบหน้าจากการประชุม RBC-26 ได้แก่ ความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด การแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกองทัพ การปราบปรามการค้าอาวุธและกระสุนผิดกฎหมาย การเปิดจุดการค้ามูด่อง และทิกี้ รวมทั้งการใช้คณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นเป็นกลไกให้ความรู้แก่ประชาชนในพื้นที่ชายแดนเพื่อที่จะปฏิบัติตามกฎหมายและข้อตกลงระหว่างประเทศได้อย่างถูกต้อง ๒. มาตรการเสริมสร้างความไว้วางใจระหว่างกัน ได้แก่ การแลกเปลี่ยนการเยือนและการหารือระหว่างทั้งสองกองทัพในทุกระดับ การเพิ่มการแลกเปลี่ยนการเยือนของกองทัพเรือ และความร่วมมือทวิภาคีต่าง ๆ ๓. ความร่วมมือในพื้นที่ชายแดน ได้แก่ การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมและการกระทำผิดกฎหมายตามแนวชายแดน การเปิดจุดผ่านแดนสิงขร-มูด่อง การประสานงานของ TBCs ในส่วนของการปรับจุดประสานงานจากเดิมระหว่างบ้านพระเจดีย์สามองค์-จะอินเซ็กจี เป็นบ้านพระเจดีย์สามองค์-พญาตองซู และการจัดตั้ง TBC เพิ่มเติม คือ (๑) บ้านพุน้ำร้อน-บ้านทิกี้ (๒) บ้านตะโกบน-บ้านม้อท่า (๓) บ้านสิงขร-บ้านมูด่อง (๔) บ้านห้วยผึ้ง-บ้านนามน ความร่วมมือในการจัดตั้งหมู่บ้านคู่ขนานตามแนวชายแดน ความร่วมมือในการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในพื้นที่ชายแดน การขยายความร่วมมือในการป้องกันไฟป่าและหมอกควัน และความร่วมมือในการคุ้มครองแรงงานเมียนมาร์ ๔. ความร่วมมือทวิภาคีในการปราบปรามยาเสพติด ได้แก่ การประสานงานเกี่ยวกับการจัดตั้งสำนักงานประสานงานชายแดน ความร่วมมือในการปราบปรามการค้ายาเสพติดและสารตั้งต้น และความร่วมมือในการพัฒนาทางเลือก ๕. ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเขตแดน ได้แก่ การปลูกยางพาราและการบุกรุกป่าสงวนปากจั่น การข้ามแดนผิดกฎหมายและเหตุการณ์โจมตีหน่วยรักษาความมั่นคงเมียนมาร์ มาตรการหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดและความขัดแย้งในพื้นที่ที่ยังไม่มีการปักปันเขตแดน การกระทำความผิดกฎหมายบนเกาะกลางแม่น้ำเมย/ตองยิน การวางกำลังฐานทหารบริเวณชายแดน ที่พาร์ซี และดอยลาง ประเด็นเกาะตันพญา/บ้านแม่โกนเกน และคอกช้างเผือก การทำประมงผิดกฎหมายในน่านน้ำเมียนมาร์ การก่อสร้างอาคารใกล้แม่น้ำสาย-แม่น้ำรวก การก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งตามแม่น้ำเขตแดน การบุกรุกปลูกพืชบริเวณชายแดนไทย-เมียนมาร์ การก่อสร้างในช่องทางพระเจดีย์สามองค์/พญาตองซู และกรณีเกาะ ๓ เกาะ ในแม่น้ำปากจั่น/กระบุรี ๖. การเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้านบริเวณชายแดน ได้แก่ การเข้ามาอาศัยในดินแดนไทยของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยนักศึกษาพม่า ๒ แห่ง กองกำลังแห่งชาติว้า ๑ แห่ง กบฏมุสลิมและพรรคกอบกู้หงสาวดีกลุ่มละ ๑ แห่ง กกล. กองทัพรัฐฉาน (กลุ่มยอดศึก) ๕ แห่ง พรรคก้าวหน้าแห่งชาติคะยา ๑ แห่ง กองกำลังกะเหรี่ยงพม่า (KNU) ๒ แห่ง รวมทั้งบ้านพักของผู้นำกลุ่ม ๗. เรื่องอื่น ๆ ได้แก่ การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในเมียวดี การเตรียมความพร้อมในการเดินทางกลับของผู้หนีภัยการสู้รบและการปิดพื้นที่พักพิงชั่วคราว จำนวน ๙ แห่ง ตามพื้นที่ชายแดน การควบคุมการใช้น่านฟ้า และการปลอมแปลงธนบัตร ๘. การกำหนดวันที่และสถานที่ของการประชุม RBC-28 กำหนดจัดขึ้นที่เมียนมาร์ ส่วนวันและสถานที่จะกำหนดร่วมกันต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1348 | แผนแม่บทป้องกันและบรรเทาภัยจากแผ่นดินไหวและอาคารถล่มและการขยายระยะเวลาแผนแม่บทป้องกันและบรรเทาภัยจากคลื่นสึนามิ | มท | 05/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (กปภ.ช.) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติแผนแม่บทป้องกันและบรรเทาภัยจากแผ่นดินไหวและอาคารถล่ม เพื่อใช้เป็นแผนกลยุทธ์เชิงรุกที่ใช้ในการบริหารจัดการลดความสูญเสียและลดผลกระทบจากภัยแผ่นดินไหวและอาคารถล่มและเป็นแผนสนับสนุนแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๗ ๑.๒ อนุมัติให้ขยายระยะเวลาแผนแม่บทป้องกันและบรรเทาภัยจากคลื่นสึนามิ จาก พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๖ เป็น พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒ ๑.๓ ให้กระทรวง กรม องค์กร และหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ จังหวัด อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ถือปฏิบัติตามแผนแม่บทฯ ๒. สำหรับการจัดตั้งกองทุนประกันภัยแผ่นดินไหว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้ กปภ.ช. รับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องภัยแผ่นดินไหวและอาคารถล่ม เพื่อให้เข้าใจถึงกระบวนการการเกิดของแผ่นดินไหวที่แท้จริงและเพื่อเป็นแนวทางในการลดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น และควรมีการฝึกซ้อมแผนอพยพหลบภัยเกี่ยวกับภัยแผ่นดินไหวในอาคารสูง เพื่อให้สามารถปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องเมื่อเกิดภัย สำหรับแผนระยะต่อไป ควรพิจารณาให้สอดคล้องกับกรอบทิศทางของแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ฉบับใหม่ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒ นอกจากนี้ ควรมีการกำหนดตัวชี้วัด (Key Performance Index : KPI) เพื่อประโยชน์ในการประเมินผลการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ รวมทั้งให้กระทรวง กรม องค์กร และหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ จังหวัด อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามแผนแม่บทฯ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๔. ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจเอก ประชา พรหมนอก) ประธานกรรมการ กปภ.ช. หารือร่วมกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยต่าง ๆ ของฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารให้สอดคล้องกันและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น |
|||||||||||||||||||||
1349 | "การขยายระยะเวลาแผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านอัคคีภัยแห่งชาติและยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า การเผาในที่โล่ง และมลพิษหมอกควัน" และ "แผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า การเผาในที่โล่ง และมลพิษหมอกควัน พ.ศ. 2556 - 2562 ภายใต้แผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านอัคคีภัยแห่งชาติ" | มท | 01/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบในหลักการตามที่คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (กปภ.ช.) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ขยายระยะเวลาแผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านอัคคีภัยแห่งชาติ จาก “พ.ศ. ๒๕๔๙-๒๕๕๙” เป็น “พ.ศ. ๒๕๔๙-๒๕๖๒” ๑.๒ อนุมัติให้ขยายระยะเวลายุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า การเผาในที่โล่ง และมลพิษจากหมอกควัน จาก “พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๙” เป็น “พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๒” ๑.๓ เห็นชอบแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า การเผาในที่โล่ง และมลพิษหมอกควัน พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๒ ภายใต้แผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านอัคคีภัยแห่งชาติ มีกรอบระยะเวลาการดำเนินการ ๗ ปี มีหน่วยงานร่วมบูรณาการทั้งสิ้น ๔๔ หน่วยงาน แผนงาน/โครงการ จำนวน ๑๕๓ แผนงาน/โครงการ งบประมาณรวมทั้งสิ้น ๑๐,๓๘๐.๖๒๑๗ ล้านบาท เป้าหมายของแผน ประกอบด้วย การจัดการไฟป่า ลดพื้นที่ไฟไหม้ป่าให้เหลือเพียงไม่เกินปีละ ๓๐๐,๐๐๐ ไร่ จัดการเศษวัสดุเหลือใช้จากภาคการเกษตรทดแทนการเผาในพื้นที่อย่างน้อยปีละ ๖๐๐,๐๐๐ ไร่ และลดการเผาขยะมูลฝอยในที่โล่งโดยจัดให้มีการกำจัดขยะมูลฝอยอย่างถูกหลักวิธีและปลอดภัยไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๐ ของจังหวัดทั้งหมด และมีการใช้ประโยชน์มูลฝอยไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๓๐ ของปริมาณมูลฝอยที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ ๑.๔ เห็นชอบให้กระทรวง กรม องค์กร และหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ จังหวัด อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามแผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านอัคคีภัยแห่งชาติ และยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า การเผาในที่โล่ง และมลพิษหมอกควัน ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ภายใต้กฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยในส่วนของงบประมาณให้ดำเนินการตามแผนฯ จำนวน ๑๐,๓๘๐.๖๒๑๗ ล้านบาท หากมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อไปดำเนินการตามความเหมาะสมและจำเป็น สำหรับในปีต่อไปให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่าในการจัดทำแผนเกี่ยวกับการป้องกันอัคคีภัย ไฟป่า การเผาในที่โล่ง และหมอกควันนั้น ควรมุ่งเน้นไปที่สาเหตุของปัญหาและการป้องกันที่จะมีผลในระยะยาว เช่น การปลูกป่า การสร้างความชุ่มชื้น และการสร้างแนวป้องกันไฟ เป็นต้น และปรับปรุงแผนฯ ในระยะยาว โดยให้ชุมชนเป็นแกนหลักในการป้องกันอัคคีภัยและหมอกควันในพื้นที่ของแต่ละชุมชนเอง เช่น การให้ชุมชนบริหารจัดการเศษวัสดุเหลือใช้จากภาคการเกษตรแทนการเผาโดยนำไปใช้ประโยชน์อื่น หรือการกำจัดขยะมูลฝอยอย่างถูกวิธี เป็นต้น ไปพิจารณาปรับปรุงแผน และรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญต่อความร่วมมือระหว่างกลุ่มประเทศอาเซียต่อการแก้ไขปัญหามลพิษหมอกควันข้ามแดน และควรประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ประชาชนทุกภาคส่วนให้เกิดความตื่นตัวในการป้องกันตนเอง ดำเนินการฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการบริหารจัดการภัยจากอัคคีภัย ไฟป่า การเผาในที่โล่ง และหมอกควันอย่างเป็นระบบ และการสนับสนุนงบประมาณอย่างเพียงพอที่สามารถปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมายได้ตามกิจกรรม/โครงการที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1350 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 5/2556 | นร11 | 01/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ จังหวัดลพบุรี ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ ณ จังหวัดลพบุรี และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย) ๒.๑.๑ การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ๒.๑.๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกันเพื่อปรับปรุงรายละเอียดของโครงการส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรและยกระดับการผลิตอาหารปลอดภัยครบวงจรในพื้นที่ ๔ จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดลพบุรี ชัยนาท สิงห์บุรี และอ่างทอง ให้มีความชัดเจน โดยพิจารณาใช้ประโยชน์จากงานวิจัยที่มีอยู่ของหน่วยงานต่าง ๆ เช่น สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็นต้น ๒.๑.๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการจัดตั้งโครงการแปรรูปเถ้าแกลบ โดยพิจารณาใช้ประโยชน์จากงานวิจัยของหน่วยงานต่าง ๆ เป็นพื้นฐานในการดำเนินการ ๒.๑.๑.๓ ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นเจ้าภาพร่วมในการขับเคลื่อนการบริหารจัดการขยะในชุมชน เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการโครงการฯ ได้อย่างยั่งยืน โดยเชื่อมโยงกลไกดำเนินการที่มีอยู่ในพื้นที่ และสร้างกระบวนการให้ท้องถิ่นและชุมชนมีส่วนร่วมดำเนินโครงการฯ ให้เป็นโครงการนำร่องและขยายผลการดำเนินงานในพื้นที่ที่มีศักยภาพต่อไป ๒.๑.๑.๔ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง และกระทรวงพลังงานพิจารณาความเป็นไปได้ในการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่กิจการด้านการส่งเสริมพลังงานทดแทนเป็นกรณีพิเศษ โดยคำนึงถึงการใช้ประโยชน์พื้นที่ ความเหมาะสมของอุตสาหกรรม ผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสิทธิของประชาชนและชุมชนในการดำเนินโครงการฯ ๒.๑.๒ การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ๒.๑.๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอของภาคเอกชนไปประกอบการพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินโครงการ ได้แก่ โครงการทางหลวง ๔ ช่องจราจร ทางหลวงแนวใหม่สายทางหลวงหมายเลข ๓๑๙๕ บรรจบทางหลวงหมายเลข ๓๒ (ทางเลี่ยงเมืองอ่างทอง), โครงการขยายถนน ๔ ช่องจราจร ทางเลี่ยงเมืองลพบุรี (ทางหลวงหมายเลข ๓๖๖) ระยะทาง ๑๙ กิโลเมตร, โครงการก่อสร้างทางเลี่ยงเมืองลพบุรีด้านเหนือ ๔ ช่องจราจร ระยะทาง ๑๓ กิโลเมตร, โครงการเชื่อมโยงโครงข่ายระหว่างจังหวัด โดยการขยายช่องการจราจรเป็น ๔ ช่องจราจร ตลอดเส้นทาง รวม ๒ เส้นทาง และการปรับปรุงทางแยกต่างระดับชัยนาทที่ถนนสายเอเชีย (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๒) (กม. ๑๓๑+๕๙๕) ตามความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อขอรับการจัดสรรจัดงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนปกติต่อไป ๒.๑.๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินโครงการศึกษาทางหลวงแนวใหม่ ๔ ช่องจราจร แยกทางหลวงหมายเลข ๓๒ ทางเลี่ยงเมืองลพบุรี (๓๖๖) ระยะทาง ๒๕ กิโลเมตร ในรายละเอียดเพิ่มเติม ๒.๑.๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคมประสานสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณในการดำเนินโครงการศึกษาสร้างเกาะกลางแบบยกตัว ถนนพหลโยธิน (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑) ตรงสี่แยกเข้าชัยนาท-บ้านกล้วย กม. ๒๘๐+๕๗๘ (แยกหลวงพ่อโอ-ท่าน้ำอ้อย) ระยะทาง ๒๔.๙๘๔ กิโลเมตร ๒.๑.๓ การส่งเสริมการท่องเที่ยว ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปศึกษาในรายละเอียดของการดำเนินโครงการและขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากงบจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้มุ่งเน้นการส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวควบคู่ไปด้วย และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชนที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการโครงการฯ ๒.๑.๔ ข้อเสนอของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ เกี่ยวกับรายงานการติดตามความคืบหน้าประเด็นข้อเสนอตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๑-๗/๒๕๕๕ และครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับประเด็นข้อเสนอในกลุ่มที่ ๑ กลุ่มที่มีความสำคัญยิ่งและต้องดำเนินการขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วนไปประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเสนอที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่อไป รวมทั้งให้คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบันเป็นแกนหลักร่วมติดตามความคืบหน้าประเด็นข้อเสนอในกลุ่มที่ดำเนินการแล้วตามมติคณะรัฐมนตรีจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.๑.๕ เรื่องอื่น ๆ เสนอโดยสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๒.๑.๕.๑ การปรับการขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนให้เป็นศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ ให้กระทรวงพลังงานรวมกับกระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการเพื่อเร่งรัดการปรับปรุงกฎหมายเพื่อลดความซ้ำซ้อน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๖ ๒.๑.๕.๒ การขอให้ปรับอัตราส่วนเพิ่มให้กับโรงไฟฟ้าชุมชนจากพลังงานทดแทนขนาดไม่เกิน ๑ เมกะวัตต์ ให้กระทรวงพลังงานเร่งรัดการประกาศใช้อัตรารับซื้อไฟฟ้าพลังงานทดแทนแบบ Feed-in-Tariff (FiT) ของแต่ละประเภทของพลังงานทดแทนที่ชัดเจนโดยเร็ว โดยพิจารณาร่วมกับภาคเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนให้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าชุมชนมากขึ้น ๒.๑.๕.๓ โครงการคูปองนวัตกรรมเพื่อพัฒนาขีดความสามารถ SMEs ไทยสู่ประชาคมอาเซียน ระยะที่ ๒ (Innovation Coupon for SMEs) ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศึกษารายละเอียดการดำเนินโครงการฯ ระยะที่ ๒ โดยนำผลการประเมินโครงการฯ ระยะที่ ๑ มาประกอบการพิจารณา และเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๕.๔ ข้อเสนอความเห็นต่อการเจรจาขยายขอบเขตความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้า IT (ITA Expansion) ของประเทศไทย ให้กระทรวงพาณิชย์นำเรื่องการทบทวนการเข้าร่วมการเจรจาขยายขอบเขตความตกลงฯ โดยปรับรายการสินค้าตามหลักและเจตนารมณ์ของรายการสินค้า IT ให้ชัดเจน เพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศพิจารณาตามขั้นตอน ๒.๑.๕.๕ ข้อเสนอความคิดเห็นต่อกฎกระทรวงกำหนดจำนวนคนพิการที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าทำงาน ให้คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน หารือร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงแรงงานรับข้อเสนอความคิดเห็นต่อกฎกระทรวงภายใต้พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ ในการกำหนดอัตราการจ้างงานคนพิการของนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการเพื่อให้ได้ข้อสรุปร่วมกัน ทั้งนี้ ให้หน่วยงานของรัฐวิสาหกิจให้ความร่วมมือในการรับคนพิการเข้าทำงานเช่นเดียวกับภาคเอกชนด้วย ๒.๑.๕.๖ โครงการ “ทางรถไฟสายอันดามัน” ให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอของภาคเอกชนไปเร่งรัดดำเนินการในเส้นทางที่ได้ทำการศึกษารายละเอียดไว้แล้ว และพิจารณาศึกษาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการขยายโครงข่ายระบบรางให้เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านตามแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชุมชนและการยอมรับจากประชาชนในพื้นที่ด้วย ๒.๑.๕.๗ โครงการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนเพื่อลดความสูญเสียจากกลุ่มอาการตายด่วน (Early Mortality Syndrome : EMS) และเพิ่มศักยภาพการผลิตสินค้ากุ้งทะเล ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมง ร่วมกับภาคเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอโครงการฯ และเพิ่มศักยภาพการผลิตสินค้ากุ้งทะเลไปพิจารณาในการวางแนวทางในการบริหารจัดการโครงการฯ ให้มีความชัดเจน สามารถแก้ไขปัญหาได้โดยเร็ว ๒.๑.๕.๘ กฎหมายป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีของสหรัฐอเมริกา (Foreign Account Tax Compliance Act : FATCA) ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการผลักดันกรอบการเจรจา Intergovernmental Agreement (IGA) เรื่องกฎหมายป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีของสหรัฐอเมริการะหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสหรัฐอเ
|
|||||||||||||||||||||
1351 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน 2 รวม 4 จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดลพบุรี วันที่ 31 ตุลาคม - 1 พฤศจิกายน 2556 | นร11 | 01/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๒๑ โครงการ วงเงินรวม ๕๒๒.๙๓ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาวงเงินงบประมาณที่เหมาะสม โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ๑.๒ ในกรณีโครงการใดที่หน่วยงานท้องถิ่นต้องรับผิดชอบในการบริหารจัดการและบำรุงรักษาภายหลังจากก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ ให้จังหวัดประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจน ก่อนขอรับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณต่อไป ๑.๓ โครงการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำของทุกจังหวัดให้ส่งรายละเอียดการออกแบบโครงการเบื้องต้นเสนอคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยพิจารณาให้ความเห็นในรายละเอียดก่อนดำเนินโครงการ ๑.๔ เห็นชอบในหลักการของกรอบข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๒ (จังหวัดลพบุรี อ่างทอง สิงห์บุรี และชัยนาท) รวม ๔ จังหวัด จำนวน ๓๑ โครงการ วงเงินรวม ๑๖,๔๒๓.๔๒ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานรับผิดชอบรับไปพิจารณาศึกษาความเหมาะสม และจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ รวมทั้งดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี เพื่อให้สำนักงบประมาณใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณประจำปีตามลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการตามขั้นตอน ๒. ในส่วนของโครงการเมืองเมล็ดพันธุ์ข้าว ชัยนาท วงเงิน ๗๔.๕๔๗๓ ล้านบาท ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมส่งเสริมการเกษตรและกรมการข้าว) ประสานการดำเนินงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ [ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีแห่งชาติ (ไบโอเทค)] เพื่อดำเนินงานวิจัยและพัฒนาปรับปรุงเมล็ดพันธุ์ข้าวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวมทั้งพัฒนาให้จังหวัดชัยนาท เป็นศูนย์กลางผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ดีที่สุดของประเทศและของโลกเช่นเดียวกับสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ (International Rice Research Institute : IRRI) ต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งพิจารณากำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และดำเนินการให้มีการใช้พันธุ์ข้าวให้เหมาะสมกับพื้นที่เพาะปลูกในแต่ละพื้นที่ โดยให้นำมาใช้ให้ทันต่อการเพาะปลูกข้าวนาปรังรอบที่ ๒ ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดจังหวัดที่จะต้องดำเนินการเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือในระดับจังหวัดของไทยกับจังหวัดของประเทศเพื่อนบ้าน ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ของกระทรวงการต่างประเทศให้ชัดเจน โดยให้กำหนดเป็นตัวชี้วัด (KPI) ในการประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกี่ยวข้องด้วย
|
|||||||||||||||||||||
1352 | ผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน 2 | นร11 | 01/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ความเห็นของคณะรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่โครงการที่มีความพร้อมและมีความจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที ในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ของกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๒ จังหวัดนนทบุรี อ่างทอง สิงห์บุรี และชัยนาท โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียด คำขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และจัดส่งให้สำนักงบประมาณโดยเร่งด่วน พร้อมทั้งให้รับความเห็นไปดำเนินการต่อไป ๑.๑ ความเห็นของรัฐมนตรีว่าการฯ รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ ผู้แทนรัฐมนตรีว่าการฯ และที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวง ที่ลงพื้นที่โครงการในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ของกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๒ ต่อโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที ได้แก่ โครงการศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์จากวัสดุท้องถิ่นเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชุมชน ในพื้นที่จังหวัดลพบุรี โครงการพัฒนาและบูรณะทางหลวงเพื่อความปลอดภัยและเชื่อมโยงระหว่างจังหวัด ในพื้นที่จังหวัดลพบุรี โครงการส่งเสริมการตลาดสินค้าเกษตรปลอดภัย กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๒ ในพื้นที่จังหวัดอ่างทอง โครงการพัฒนาสวนน้ำเพื่อสุขภาพและการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๒ ในพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรี โครงการเจ้าพระยาแลนด์ ในพื้นที่จังหวัดชัยนาท และโครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวระดับชั้นพันธุ์หลักและชั้นพันธุ์ขยายเพื่อเสริมสร้างระบบการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวของกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๒ ในพื้นที่จังหวัดชัยนาท ๑.๒ ความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการฯ รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการฯ เลขานุการรัฐมนตรีฯ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีฯ และที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวง ที่ลงพื้นที่โครงการในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ของจังหวัด ๔ จังหวัด ๑.๒.๑ จังหวัดลพบุรี มีแผนงานโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที ได้แก่ โครงการก่อสร้างศูนย์ส่งเสริมบริการเยาวชนและผู้สูงวัย (จังหวัดลพบุรี) ตำบลเขาสามยอด อำเภอเมืองลพบุรี โครงการบริหารจัดการน้ำเพื่อสนับสนุนเกษตรกรทำการเกษตรอาหารปลอดภัย ตำบลศิลาทิพย์ อำเภอชัยบาดาล และตำบลคลองเกตุ อำเภอโคกสำโรง โครงการยกระดับเขตเมืองเก่าลพบุรีเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ในระดับภูมิภาคอาเซียน อำเภอเมืองลพบุรี โครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบกระจายน้ำอ่างเก็บน้ำห้วยใหญ่ (วังแขม) อำเภอสระโบสถ์ โครงการศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว แก้มลิงหนองสมอใสตามแนวพระราชดำริ และโครงการบริหารจัดการน้ำเพื่อสนับสนุนเกษตรอาหารปลอดภัยพื้นที่แก้มลิงห้วยซับใต้ ๑.๒.๒ จังหวัดอ่างทอง มีแผนงานโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที ได้แก่ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวของโรงสีข้าวเทพประทาน ๒ ตำบลบางเสด็จ อำเภอป่าโมก โครงการบริหารจัดการน้ำในเขตชุมชนสำคัญเพื่อป้องกันอุทกภัย อำเภอเมืองอ่างทอง โครงการเพิ่มประสิทธิภาพตลาดกลางข้าวเปลือกให้กับสถาบันเกษตรกรเพื่อขอรับการสนับสนุนโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล ตำบลป่างิ้ว อำเภอเมืองอ่างทอง และตำบลศาลเจ้าโรงทอง อำเภอวิเศษชัยชาญ และโครงการพัฒนาพื้นที่แก้มลิงหนองเจ็ดเส้น อันเนื่องมาจากพระราชดำริ “อุทยานสวรรค์ ๑๑๕ ปี อ่างทอง หนองเจ็ดเส้น เฉลิมพระเกียรติฯ” ตำบลหัวไผ่ อำเภอเมืองอ่างทอง และตำบลสายทอง อำเภอป่าโมก ๑.๒.๓ จังหวัดสิงห์บุรี มีแผนงานโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที ได้แก่ โครงการพัฒนาค่ายบางระจันให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ ตำบลบางระจัน อำเภอค่ายบางระจัน โครงการพัฒนาและปรับปรุงศูนย์การเรียนรู้เกษตรปลอดภัยในพื้นที่โครงการฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริ ตำบลท่าข้าม อำเภอค่ายบางระจัน และตำบลวิหารขาว อำเภอท่าช้าง และโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณหมู่ที่ ๕ ตำบลชีน้ำร้าย อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ๑.๒.๔ จังหวัดชัยนาท มีแผนงานโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที ได้แก่ โครงการเมืองเมล็ดพันธุ์ข้าวชัยนาท ตำบลแพรกศรีราชา อำเภอสรรคบุรี และตำบลท่าชัย อำเภอเมืองชัยนาท และโครงการ CHAINAT BIRD LAND อำเภอเมืองชัยนาท ๒. ความเห็นและข้อสั่งการเพิ่มเติมในพื้นที่ดูงานของรองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ที่เห็นควรให้โครงการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำของทุกจังหวัดส่งรายละเอียดการออกแบบโครงการเบื้องต้นให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนเสนอขอรับการอนุมัติงบประมาณจากสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||
1353 | การประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (29 - 30 พฤศจิกายน 2556) | นร | 01/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีรายงานว่า การประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ในครั้งต่อไป หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้หารือร่วมกันแล้วเห็นควรจัดขึ้นในระหว่างวันที่ ๒๙-๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ณ จังหวัดสงขลา ซึ่งจะเป็นการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ครั้งสุดท้ายของปี ๒๕๕๖ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (นายสมศักย์ ภูรีศรีศักดิ์) เป็นเจ้าภาพหลัก และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมจะดำเนินการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง วงเงิน ๒ ล้านล้านบาท ที่อำเภอหาดใหญ่ ในช่วงเวลาดังกล่าวด้วย ๒. เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เพื่อให้การประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ในปี ๒๕๕๗ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ควรมีการปรับปรุงรูปแบบและจัดทำปฏิทินกำหนดการประชุมคณะรัฐมนตรีฯ เป็นการล่วงหน้าให้เหมาะสม โดยในส่วนของโครงการของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดที่จะเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีฯ ในแต่ละครั้งควรมีการศึกษาข้อมูลและอาจจัดทำโครงการไว้ล่วงหน้าเป็นโครงการใหญ่โครงการเดียวที่เป็นประโยชน์และสอดคล้องต่อความต้องการของพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อเป็นการส่งเสริมการลงทุนและการสร้างรายได้ให้แก่ท้องถิ่น โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามแนวทางดังกล่าว แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1354 | การตั้งงบประมาณโครงการอาหารกลางวันนักเรียน ตามภาวะเศรษฐกิจ | ศธ | 22/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นปรับเพิ่มการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ สำหรับโครงการอาหารกลางวันของนักเรียนจากอัตรา ๑๓ บาทต่อคนต่อวัน เป็น ๒๐ บาทต่อคนต่อวัน ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้หน่วยงานอื่นที่ได้รับจัดสรรงบประมาณเป็นค่าอาหารกลางวันในอัตรา ๑๓ บาทต่อคนต่อวัน ปรับเพิ่มขึ้นเป็นอัตรา ๒๐ บาทต่อคนต่อวัน ทั้งนี้ สำหรับงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยงบประมาณค่าอาหารกลางวันสำหรับนักเรียนในโรงเรียนเอกชนที่จะเพิ่มขึ้นจำนวน ๖๕๙,๙๐๖,๘๐๐ บาท ให้ขอรับการสนับสนุนจากดอกผลของเงินกองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมศึกษา ๑.๒ ให้หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณเป็นค่าอาหารกลางวันของนักเรียนพิจารณาเสนอปรับอัตราค่าอาหารกลางวันทุกปี ให้สอดคล้องกับราคาสินค้าและภาวะเศรษฐกิจ โดยให้คำนึงถึงปริมาณและคุณค่าทางโภชนาการเป็นสำคัญ ๒. การปรับเพิ่มอัตราค่าอาหารกลางวันของนักเรียนในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ให้นักเรียนได้รับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการอย่างครบถ้วน จึงให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขพิจารณากำหนดเกณฑ์ชี้วัดมาตรฐานอาหารและโภชนาการของนักเรียนให้ได้รับสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนและมีปริมาณที่เหมาะสมกับวัยก่อนเริ่มดำเนินการ รวมทั้งให้มีการติดตามและประเมินผลภาวะโภชนาการของนักเรียนหลังจากได้รับงบประมาณในส่วนนี้เพิ่มแล้ว โดยให้กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะทุก ๖ เดือน ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการนำแนวทางดำเนินการตามโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวันตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มาปรับใช้กับโครงการนี้ด้วย |
|||||||||||||||||||||
1355 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการภายใต้มาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลาง และขนาดเล็ก (ฉบับปรับปรุง) | นร11 | 22/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบข้อเสนอแผนงาน/โครงการภายใต้มาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (ฉบับปรับปรุง) ประกอบด้วย ๕ แผนงาน/โครงการ ใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้น ๑๘,๘๗๕ ล้านบาท โดยขอใช้เงินกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม วงเงิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท และขอรับจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม วงเงิน ๑๗,๘๗๕ ล้านบาท ทั้งนี้ สามารถจำแนกข้อเสนอดังกล่าวออกเป็น ๒ ส่วน คือ ส่วนแรก โครงการที่จะต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา จำนวน ๓ แผนงาน/โครงการ วงเงิน ๑๘,๐๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการเงินร่วมลงทุนเพื่อพัฒนาเครื่องจักร (Venture Capital) โครงการสนับสนุนการปรับปรุง/ฟื้นฟูสภาพเครื่องจักร การใช้พลังงานทดแทน การประหยัดพลังงานแก่ SMEs (Machine Fund For SMEs) และการขยายเวลาการยกเว้นค่าธรรมเนียมและค่าบริการรายปีตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ และส่วนที่สองโครงการที่ขอรับจัดสรรงบประมาณปี ๒๕๕๖ เพิ่มเติม (คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบไปแล้วเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๖) จำนวน ๒ โครงการ วงเงิน ๘๗๕ ล้านบาท ได้แก่ โครงการคลินิกอุตสาหกรรมเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ [โครงการเพิ่มประสิทธิภาพอุตสาหกรรมการผลิต (Productivity For SMI) และโครงการพัฒนาผลิตภาพของ SMEs ด้านการค้าและบริการ] และโครงการอัดฉีดเงินทุนหมุนเวียน โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ ได้แก่ ๑.๑ ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมตรวจสอบข้อเท็จจริงการชะลอการร่วมลงทุนของกองทุนร่วมลงทุนเพื่อยกระดับความสามารถการแข่งขันของธุรกิจไทยกับผู้ประกอบการ SMEs ในระยะที่ผ่านมา และพิจารณาระเบียบการจัดสรรเงินกองทุน แนวทางและขั้นตอนการร่วมลงทุนให้เกิดความชัดเจน ก่อนนำเสนอคณะกรรมการบริหารสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กระทรวงอุตสาหกรรม และคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมหารือร่วมกับสำนักงบประมาณเพื่อปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ของกระทรวงอุตสาหกรรม และแนวทางการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ และ ๒๕๕๙ เพื่อดำเนินโครงการตามข้อเสนอดังกล่าว ๒. เห็นชอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมขยายเวลาการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงานประเภท ๒ และ ๓ ตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ จากเดิมที่สิ้นสุดในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ ออกไปอีก ๓ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ไปจนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับการถ่ายโอนภารกิจชำระคืนค่าธรรมเนียมรายปีให้กับผู้ประกอบการที่ได้รับชำระค่าธรรมเนียมแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ จนถึงวันที่กฎกระทรวงมีผลบังคับใช้ |
|||||||||||||||||||||
1356 | กำหนดให้ปี พ.ศ. 2557 เป็นปีแห่งการรณรงค์ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาอัคคีภัยภายใต้หัวข้อ "อัคคีภัยป้องกันได้ แค่ใส่ใจไม่ประมาท" | มท | 22/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (กปภ.ช.) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นปีแห่งการรณรงค์ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาอัคคีภัยภายใต้หัวข้อ “อัคคีภัยป้องกันได้ แค่ใใส่ใจไม่ประมาท” ๑.๒ กำหนดกิจกรรมในการรณรงค์ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาอัคคีภัย ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ๑.๒.๑ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยประสานความร่วมมือกับกรุงเทพมหานครและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดการฝึกอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมและการปฏิบัติตนอย่างปลอดภัยเมื่อต้องเผชิญกับอัคคีภัย รวมถึงความสำคัญของการติดตั้งอุปกรณ์และระบบเตือนภัยต่าง ๆ โดยเฉพาะในที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน อาคารสูง โรงงานอุตสาหกรรม ศูนย์การค้า โรงมหรสพ ฯลฯ ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัย ๑.๒.๒ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยประสานความร่วมมือกับกรมประชาสัมพันธ์ในการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับอัคคีภัยด้านต่าง ๆ แก่สาธารณชนผ่านสื่อในสังกัดกรมประชาสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ๑.๒.๓ จังหวัดทุกจังหวัดจัดสัปดาห์รณรงค์การป้องกันอัคคีภัยเพื่อเป็นการสร้างความตระหนักและการมีส่วนร่วมในการป้องกันอัคคีภัย โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนในพื้นที่ โดยเฉพาะในสถานศึกษาและสถานประกอบการต่าง ๆ ๒. ให้ปรับแก้ไขหัวข้อการรณรงค์ จากเดิม “อัคคีภัยป้องกันได้ แค่ใส่ใจไม่ประมาท” เป็น “อัคคีภัยป้องกันได้ ต้องใส่ใจไม่ประมาท” ๓. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ไปดำเนินงานตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๔. ให้ กปภ.ช. รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๔.๑ ควรวางระบบการบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนรวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคเอกชนในการวางแผนการดำเนินงานและประสานงานการป้องกันและแก้ไขอัคคีภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีอาคารสูงและเป็นแหล่งท่องเที่ยว เช่น กรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา เป็นต้น ทั้งนี้ ควรกำหนดให้มีการซ้อมการเผชิญเหตุการณ์และการช่วยเหลืออย่างสม่ำเสมอ ๔.๒ ควรกำหนดมาตรการการตรวจสอบความพร้อมของอุปกรณ์การป้องกันและระงับอัคคีภัยของหน่วยงาน องค์กร และสถานที่ต่าง ๆ อยู่เสมอ และจัดให้มีแผนผังแสดงทางหนีไฟและทางเข้าออกอาคารในกรณีเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน ๔.๓ ปัจจุบันสภาพป่าในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีความชื้นน้อยและอากาศแห้ง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเตรียมความพร้อมในการป้องกันและเฝ้าระวังไฟป่าที่จะเกิดขึ้นด้วย |
|||||||||||||||||||||
1357 | การเตรียมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดลพบุรี | นร11 | 22/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. โครงการที่ได้รับการยืนยันจากจังหวัด/กลุ่มจังหวัด ในการลงพื้นที่ของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๒ จำนวน ๔ จังหวัด (จังหวัดลพบุรี อ่างทอง สิงห์บุรี และชัยนาท) ในการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดลพบุรี ระหว่างวันที่ ๓๑ตุลาคม-๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ๑.๑ กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๒ ได้แก่ โครงการศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์จากวัสดุท้องถิ่นเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชุมชน โครงการพัฒนาและบูรณะทางหลวงเพื่อความปลอดภัยและเชื่อมโยงระหว่างจังหวัด โครงการส่งเสริมสหกรณ์การตลาดสินค้าเกษตรปลอดภัย กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๒ โครงการพัฒนาสวนน้ำเพื่อสุขภาพและการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๒ โครงการเจ้าพระยาแลนด์ และโครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวระดับชั้นพันธุ์หลักและชั้นพันธุ์ขยายเพื่อเสริมสร้างระบบการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวของกลุ่มภาคกลางตอนบน ๒ ๑.๒ จังหวัดลพบุรี ได้แก่ โครงการก่อสร้างศูนย์ส่งเสริม บริการเยาวชนและผู้สูงวัย (จังหวัดลพบุรี) โครงการบริหารจัดการน้ำเพื่อสนับสนุนเกษตรกรทำการเกษตรอาหารปลอดภัย โครงการยกระดับเขตเมืองเก่าลพบุรีเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ในระดับภูมิภาคอาเซียน โครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบกระจายน้ำอ่างเก็บน้ำห้วยใหญ่ (วังแขม) โครงการศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวแก้มลิงหนองสมอใสตามแนวพระราชดำริ และโครงการบริหารจัดการน้ำเพื่อสนับสนุนเกษตรอาหารปลอดภัยพื้นที่แก้มลิงห้วยซับใต้ ๑.๓ จังหวัดอ่างทอง ได้แก่ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวของโรงสีข้าวเทพประทาน ๒ โครงการบริหารจัดการน้ำในเขตชุมชนสำคัญเพื่อป้องกันอุทกภัย โครงการเพิ่มประสิทธิภาพตลาดกลางข้าวเปลือกให้กับสถาบันเกษตรกรเพื่อขอรับการสนับสนุนโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล และโครงการพัฒนาพื้นที่แก้มลิงหนองเจ็ดเส้นอันเนื่องมาจากพระราชดำริ “อุทยานสวรรค์ ๑๑๕ ปี อ่างทอง หนองเจ็ดเส้น เฉลิมพระเกียรติฯ” ๑.๔ จังหวัดสิงห์บุรี ได้แก่ พัฒนาค่ายบางระจันให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ พัฒนาและปรับปรุงศูนย์การเรียนรู้เกษตรปลอดภัยในพื้นที่โครงการฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริ และโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณหมู่ที่ ๕ ตำบลชีน้ำร้าย อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ๑.๕ จังหวัดชัยนาท ได้แก่ โครงการเมืองเมล็ดพันธุ์ข้าวชัยนาท และโครงการ CHAINAT BIRDS’LAND ๒. การประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค (กรอ.ภูมิภาค) กำหนดในวันพฤหัสบดีที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ เวลา ๑๕.๓๐ น.-๑๗.๓๐ น. ณ ห้องประชุมชั้น ๓ อาคาร ๙๐ ปี มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี จังหวัดลพบุรี
|
|||||||||||||||||||||
1358 | การชดเชยผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงานท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ | คค | 15/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๖ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบความเห็นของกระทรวงคมนาคมเกี่ยวกับการชดเชยการแก้ไขปัญหาผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงานท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นหน้าที่ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ที่จะต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาท่าอากาศยานฯ ในระยะต่อไป รวมทั้งเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมด้วยการให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบในเชิงมนุษยธรรม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) โดยกระทรวงคมนาคมมอบหมายให้ ทอท. พิจารณาการชดเชยผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงานท่าอากาศยานฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และเรื่อง การจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบินสุวรรณภูมิ) ตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยพิจารณาจ่ายเงินชดเชยตามกรอบวงเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๒ [เรื่อง ขออนุมัติขยายกรอบวงเงินลงทุนโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ระยะที่ ๑) ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)] จำนวน ๑๑,๒๓๓.๗๐๐ ล้านบาท ๑.๒ ให้ ทอท. เร่งรัดการจ่ายเงินชดเชยผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงานท่าอากาศยานฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาในการดำเนินกิจการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) และวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง การดำเนินการแก้ไขปัญหาผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงาน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กรณีการบินในช่วงฤดูหนาว) ที่เหลืออยู่ทั้งหมดให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ๑.๓ ให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการให้ ทอท. พิจารณาขยายกรอบการชดเชยผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงานท่าอากาศยานฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๐ และวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ ให้แก่อาคารที่ปลูกสร้างตั้งแต่ปี ๒๕๔๔ จนถึงวันที่ท่าอากาศยานฯ เริ่มเปิดดำเนินการในวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๔๙ โดยใช้หลักเกณฑ์การจ่ายเงินชดเชยตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๐ และวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ และพิจารณาจ่ายจากกรอบวงเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๒ จำนวน ๑๑,๒๓๓.๗๐๐ ล้านบาท ๑.๔ ให้ ทอท. เป็นผู้พิจารณาการชดเชยผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงานท่าอากาศยานฯ ในกรณีที่มีการร้องเรียนเรื่องผลกระทบด้านเสียงจากผู้ที่ได้รับผลกระทบด้านเสียงที่อยู่นอกเหนือจากบริเวณพื้นที่ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๐ และวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ โดยขยายกรอบการชดเชยให้แก่อาคารที่ปลูกสร้างจนถึงวันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเริ่มเปิดดำเนินการเป็นกรณีไป โดยประสานกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อดำเนินการตรวจวัดระดับเสียงในหน่วย NEF และใช้งบประมาณของ ทอท. เพื่อความน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ๑.๕ รับทราบแนวทางการพัฒนาที่ดินและการสร้างมูลค่าเพิ่มสำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ ทอท. ได้ดำเนินการจัดซื้อมาจากผู้ที่ได้รับผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงานท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและอยู่ในพื้นที่ได้รับผลกระทบด้านเสียงที่ระดับ NEF มากกว่า ๔๐ จนถึงปัจจุบัน จำนวน ๑๘๐ อาคาร ค่าใช้จ่ายประมาณ ๘๒๖.๓๙ ล้านบาท (กระจายอยู่ในพื้นที่ของตำบลบางโฉลง อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ และเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร) โดยเป็นที่ดินพร้อมปลูกสร้างแปลงใหญ่สุดประมาณ ๑๗ ไร่ จำนวน ๑ ราย นอกนั้นส่วนใหญ่เป็นที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง พื้นที่โดยเฉลี่ยไม่เกิน ๕๐-๖๐ ตารางวา มีทั้งที่อยู่ในสภาพดีและชำรุดไม่เหมาะเป็นที่พักอาศัย ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการ ทอท. ได้แก่ ๑.๕.๑ การจำหน่ายสินทรัพย์อาจไม่เหมาะสมและไม่เกิดประโยชน์สูงสุดต่อ ทอท. เพราะอาจจะเกิดข้อพิพาทด้านกฎหมายเรื่องผลกระทบด้านเสียงในอนาคตได้ ๑.๕.๒ ที่ดินซึ่งประกอบด้วยอาคารและพื้นที่ว่างเปล่าขนาดใหญ่ เห็นควรให้ผู้ประกอบการที่สนใจใช้ประโยชน์ที่ดินดังกล่าว เสนอแนวทางในการใช้ประโยชน์ที่ดินเองเพื่อให้สอดคล้องกับอุปสงค์ของตลาด ๑.๕.๓ ทอท. จะใช้ประโยชน์เพื่อเป็นสวัสดิการให้แก่พนักงานหรือผู้ปฏิบัติงานของส่วนต่าง ๆ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สำหรับสิ่งปลูกสร้างที่มีสภาพดีและสามารถเข้าพักอาศัยได้ ๑.๕.๔ ทอท. จะพิจารณาหลักเกณฑ์และข้อกำหนดเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการใช้ประโยชน์ที่ดินและการบริหารจัดการที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างที่เหมาะสมโดยเร็วต่อไป ทั้งนี้ ให้ ทอท. พิจารณาแนวทางการใช้ประโยชน์ทรัพย์สินดังกล่าวให้เกิดความคุ้มค่า สามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม และประโยชน์สูงสุดให้กับ ทอท. ต่อไป ๑.๖ ให้ ทอท. เร่งดำเนินการสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่โดยรอบท่าอากาศยานฯ ทั้งในระดับชุมชน ท้องถิ่น และจังหวัด ให้มีความรู้ความเข้าใจในบริเวณพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบตามแนวเส้นเสียง และวิธีการจ่ายเงินชดเชยผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงานท่าอากาศยานฯ ตลอดจนประเด็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเขตความปลอดภัยในการเดินอากาศ และคำพิพากษาของศาลในคดีฟ้องร้องเกี่ยวกับผลกระทบด้านเสียงต่อไป ๒. ให้ตัดแนวทางการพัฒนาที่ดินและการสร้างมูลค่าเพิ่มสำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี ในข้อที่ว่า “ทอท. จะใช้ประโยชน์เพื่อเป็นสวัสดิการให้แก่พนักงานหรือผู้ปฏิบัติงานของส่วนต่าง ๆ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สำหรับสิ่งปลูกสร้างที่มีสภาพดีและสามารถเข้าพักอาศัยได้” ออก |
|||||||||||||||||||||
1359 | การติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดสุโขทัยและจังหวัดพิษณุโลก | ศธ | 15/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคเพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช) เมื่อวันที่ ๙-๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ จังหวัดสุโขทัยและจังหวัดพิษณุโลก ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. วันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๖ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช) และคณะ ได้รับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์อุทกภัยของจังหวัดสุโขทัย ซึ่งมีพื้นที่ที่มีความเสี่ยง ได้แก่ อำเภอศรีสัชนาลัย อำเภอสวรรคโลก อำเภอศรีสำโรง อำเภอเมืองสุโขทัย และอำเภอกงไกรลาศ โดยเฉพาะอำเภอกงไกรลาศ แม่น้ำยมล้นตลิ่งเกิดภาวะน้ำท่วมขังในระดับสูง ซึ่งได้สั่งการให้ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ปัญหาอุทกภัยจังหวัดสุโขทัยเร่งแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือประชาชนตามภารกิจของแต่ละหน่วยงาน สำรวจความเสียหายเพื่อจะได้ฟื้นฟูให้กลับสู่สภาพเดิมให้เร็วที่สุด ให้ประชาชนแจ้งข่าวสารและเตือนภัยสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด ดำเนินการสำรวจพนังกั้นน้ำให้อยู่ในสภาพแข็งแรงพร้อมรับมือกับสถานการณ์การไหลบ่าของแม่น้ำ และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นตามอำนาจหน้าที่ จากนั้นได้เดินทางไปเยี่ยมเยือนพบปะชี้แจงและมอบถุงยังชีพให้กับประชาชนในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยทุกตำบลของอำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย จำนวน ๑,๐๐๐ ถุง ๒. วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๖ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช) และคณะ ได้ประชุมหัวหน้าส่วนราชการและรับฟังสถานการณ์อุทกภัยของจังหวัดพิษณุโลก โดยจังหวัดพิษณุโลกมีสภาพพื้นที่ราบลุ่มในหลายอำเภอ และมีแม่น้ำสายสำคัญไหลผ่าน ได้แก่ แม่น้ำน่าน แม่น้ำยม แม่น้ำวังทอง คลองชมพู และแม่น้ำแควน้อย มีพื้นที่ประสบอุทกภัยที่ระดับน้ำลดลงแต่ยังไม่เข้าสู่สภาวะปกติ จำนวน ๖ อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองพิษณุโลก อำเภอพรหมพิราม อำเภอชาติตระการ อำเภอนครไทย อำเภอเนินมะปราง และอำเภอวัดโบสถ์ พื้นที่ที่มีระดับน้ำท่วมขังมากยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ จำนวน ๓ อำเภอ ได้แก่ อำเภอบางกระทุ่ม อำเภอบางระกำ และอำเภอวังทอง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เป็นที่ลุ่ม ได้แก่ ตำบลวังพิกุล อำเภอวังทอง ยังมีสภาพน้ำท่วมขังมาก ซึ่งได้สั่งการให้ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยจังหวัดพิษณุโลก ทั้งระดับจังหวัด ระดับอำเภอ และระดับท้องถิ่น เน้นการประชาสัมพันธ์ แจ้งข่าวสารสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด สำรวจความแข็งแรงของพนังกั้นน้ำในแม่น้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านพื้นที่ให้อยู่ในสภาพแข็งแรงพร้อมรับสถานการณ์การไหลบ่าของน้ำ และดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยให้ทันเวลาอย่างเป็นธรรมและทั่วถึง เพื่อฟื้นฟูให้กลับสู่สภาพเดิมให้เร็วที่สุด สำหรับสถานศึกษาที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ได้สั่งการให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเร่งสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้นและให้ดำเนินการวางแผนเพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป จากนั้นได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมมอบถุงยังชีพให้กับประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ตำบลวังพิกุล อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก จำนวน ๑,๐๐๐ ถุง
|
|||||||||||||||||||||
1360 | มาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. 2557 - 2561) | นร | 15/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่ คปร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบมาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) ประกอบด้วย มาตรการบริหารจัดการอัตรากำลังปกติ มาตรการบริหารจัดการเชิงยุทธศาสตร์ และแนวทางการนำมาตรการดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติ ๑.๒ ให้ คปร. สำนักงาน ก.พ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ร่วมกับส่วนราชการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีการนำมาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) ไปปฏิบัติให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ๒. ให้ คปร. รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรพิจารณาความเหมาะสมในการจัดสรรอัตรากำลังคืนให้กับส่วนราชการที่มีภารกิจตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล ยุทธศาสตร์ประเทศ และมีภารกิจเพิ่มขึ้น การจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการคืนทั้งหมดเพื่อรองรับกับภารกิจของหน่วยงานในปัจจุบันและที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่เพิ่มมากขึ้น การพัฒนาข้าราชการร้อยละ ๑๐๐ ให้มีความรู้ความสามารถทักษะและสมรรถนะตามแผนพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนควรมีการจัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องกับการพัฒนา และในการดำเนินมาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐฯ ควรครอบคลุมพนักงานมหาวิทยาลัยในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ เช่นเดียวกับข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้างประจำ การทำความเข้าใจกับผู้บริหารและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกส่วนราชการในราชการบริหารฝ่ายพลเรือนให้เล็งเห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นของการดำเนินการ การพัฒนาเครื่องมือ กลไก หรือคู่มือการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนเพื่อให้ส่วนราชการสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม การให้ความสำคัญกับการวางกรอบหลักเกณฑ์การพิจารณาเพิ่มอัตราตั้งใหม่ให้เหมาะสมกับฐานะการคลังของประเทศในระยะยาวเพื่อให้มีความยั่งยืนและคุ้มค่าด้านบุคลากรอย่างมีประสิทธิภาพ การวางระบบหรือกลไกที่สามารถบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐทั้งระบบให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น การขยายขอบเขตการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวให้ครอบคลุมกำลังคนภาครัฐทุกประเภท (ทั้งในฝ่ายพลเรือนและทหาร) รวมทั้งการจัดทำแนวทางในการส่งเสริมและ/หรือมาตรการสร้างแรงจูงใจอย่างชัดเจน เพื่อให้การถ่ายโอนบุคลากรไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้ คปร. และสำนักงาน ก.พ. รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีในส่วนที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓.๑ เนื่องจากแนวทางการบริหารและการพัฒนากำลังคนภาครัฐทั้งระบบทั้งที่สังกัดหน่วยงานภายใต้ฝ่ายบริหารและสังกัดองค์กรต่าง ๆ ที่มิได้อยู่ภายใต้ฝ่ายบริหารยังมีความเหลื่อมล้ำ และไม่ได้มีการบูรณาการการทำงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ดังนั้น เพื่อให้เกิดการบูรณาการในเรื่องดังกล่าวอย่างเหมาะสมและเป็นรูปธรรม ควรให้ คปร. รับไปประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การบริหารและการพัฒนากำลังคนภาครัฐเพื่อดำเนินการในเรื่องดังกล่าว ๓.๒ ในกระบวนการสรรหาและพัฒนากำลังคนในภาคราชการ ควรคำนึงถึงการเสริมสร้างบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นให้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถได้มีโอกาสแสดงศักยภาพและได้รับการยอมรับ รวมทั้งควรมีการพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานเพื่อให้มีศักยภาพที่หลากหลายมากขึ้น (Multi Skill) ทั้งนี้ ในกระบวนการสรรหาและพัฒนากำลังคนในภาคราชการควรมีการพิจารณาปรับปรุง หลักเกณฑ์และวิธีการสรรหา เพื่อให้ได้กำลังคนที่มีทักษะ สมรรถนะ และทัศนคติที่เหมาะสมและมีใจรักในงานบริการ เพื่อให้สอดคล้องและรองรับการเปลี่ยนแปลงการบริหารราชการแนวใหม่ ควรให้สำนักงาน ก.พ. รับไปพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์การสรรหากำลังคนเข้าสู่ระบบราชการให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น |
.....