ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 67 จากทั้งหมด 199 หน้า แสดงรายการที่ 1321 - 1340 จากข้อมูลทั้งหมด 3975 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1321 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 24/06/2557 | |||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ๑.๑ ให้ฝ่ายความมั่นคงและกระทรวงการต่างประเทศเร่งดำเนินการชี้แจงทำความเข้าใจกับต่างประเทศในทุกช่องทางให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความจำเป็นที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติจะต้องดำเนินการเข้าควบคุมการบริหารประเทศ ๑.๒ ให้ส่วนราชการที่มีหน้าที่ในการเจรจาหรือการจัดทำความตกลงระหว่างประเทศในเรื่องต่าง ๆ พิจารณาดำเนินการโดยยึดถือผลประโยชน์และศักดิ์ศรีของชาติในเวทีโลกเป็นหลัก รวมทั้งให้พิจารณาถึงประเด็นทางความมั่นคงด้วย โดยประสานงานกับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ทั้งนี้ ให้มีการตรวจสอบและทบทวนการดำเนินการตามผลการประชุม/การเจรจาในครั้งที่ผ่านมาแล้ว เพื่อนำข้อมูล ปัญหา อุปสรรคมาใช้กำหนดท่าทีในการเจรจาข้อตกลง หรือการประชุมในครั้งต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการแก้ไขปัญหาการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น ในกรอบของประกาศ ระเบียบ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องและการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการบริหารงานของท้องถิ่น โดยประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อจัดทำแผนงาน/โครงการให้ชัดเจน สอดคล้องกับนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยเฉพาะการใช้จ่ายงบประมาณปี ๒๕๕๗ จะต้องอยู่ในกรอบนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติอย่างเคร่งครัด ๓. กฎหมาย ๓.๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการวบรวม กลั่นกรอง และจัดประเภทกฎหมายที่สมควรดำเนินการในระยะที่ ๑ ระยะที่ ๒ หรือระยะที่ ๓ ให้ชัดเจน ๓.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการวบรวมกฎหมายสำคัญ ๆ เพื่อนำเสนอต่อสภานิติบัญญัติพิจารณาในวาระแรก ได้แก่ กฎหมายที่เกี่ยวกับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน กฎหมายที่แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และกฎหมายที่เอื้อต่อการปฏิรูปการเมือง เป็นต้น สำหรับกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะ ให้ศึกษาในรายละเอียดโดยให้เปรียบเทียบกับกฎหมายของต่างประเทศด้วย ๓.๓ ให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณกำหนดขอบเขตของงานหรือประเภทงานที่เหมาะสมกับการดำเนินการประมูลด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ ให้เกิดประสิทธิภาพ รวดเร็ว เสนอต่อฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมพิจารณาก่อนเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป ๓.๔ ให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมพิจารณาทบทวนแนวทางการดำเนินการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญในตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูงให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๗ โดยให้ยึดหลักความถูกต้อง โปร่งใส และเป็นธรรม โดยให้หัวหน้าฝ่ายทุกฝ่ายดำเนินการตามข้อกฎหมาย ระเบียบ และขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง และนำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป ๔. การประชาสัมพันธ์ ๔.๑ ให้ทุกหน่วยงานระมัดระวังในการสื่อสารและให้ข้อมูลแก่สื่อมวลชนและประชาชนโดยเฉพาะเรื่องต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการหรือยังอยู่ในชั้นการพิจารณาที่ยังไม่เป็นที่ยุติหรือที่ต้องนำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติก่อน และให้หัวหน้าส่วนราชการทั้งในระดับปลัดกระทรวงและอธิบดีทำความเข้าใจในข้อสั่งการ นโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติให้ชัดเจนก่อนที่จะให้ข้อมูลใด ๆ แก่สาธารณชน ๔.๒ ให้คณะทำงานด้านประชาสัมพันธ์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติและกรมประชาสัมพันธ์ร่วมกันจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อชี้แจงผลการปฏิบัติงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติในรอบ ๑ เดือน ให้ประชาชนและผู้สนใจทราบ ๔.๓ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ สำรวจความพึงพอใจของประชาชนเกี่ยวกับผลงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติในระยะเวลาที่ผ่านมา และรายงานให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบโดยเร็ว ๔.๔ ให้หัวหน้าฝ่ายกิจการพิเศษ โดยสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (ศูนย์บริการประชาชน) กำหนดแนวทางการรวมศูนย์การรับข้อร้องเรียนของประชาชน โดยรวบรวม กลั่นกรอง เสนอแนะแนวทางการแก้ไข ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหาให้เป็นรูปธรรม และรายงานให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบ ๕. การดำเนินการข้อร้องเรียนและการทุจริต ๕.๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการและสำนักงบประมาณตรวจสอบปัญหาข้อร้องเรียนเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ และค่าตอบแทนที่พนักงานของมหาวิทยาลัยพึงจะได้รับตามสิทธิ แล้วรายงานให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบต่อไป ๕.๒ ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเร่งรัดการดำเนินการตรวจสอบการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน เช่น การออกใบประกอบกิจการโรงงาน (รง. ๔) เป็นต้น ๖. เรื่องอื่น ๆ ๖.๑ ให้ทุกหน่วยงานจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วนให้สอดคล้องกับห้วงเวลาในการดำเนินงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งแบ่งเป็น ๓ ระยะ โดยจัดทำแผนการดำเนินการให้ชัดเจนว่า เรื่องใดต้องดำเนินการในระยะเร่งด่วน เรื่องใดสามารถดำเนินการในระยะที่ ๒ และระยะที่ ๓ ต่อไปได้ และให้จัดทำรายงานความก้าวหน้าการดำเนินการเป็นประจำทุกวันตามนโยบายเชิงรุกของคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอต่อหัวหน้าฝ่ายกิจการพิเศษ เพื่อรวบรวมเสนอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบต่อไป ๖.๒ ให้ปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นองค์ประกอบเพิ่มเติมในการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๖.๓ ให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมร่วมกับฝ่ายมั่นคงและสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ กำกับดูแลสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม สถานีวิทยุชุมชน ให้มีการดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งความเหมาะสมของการจัดตั้งสถานีต่าง ๆ ในแต่ละพื้นที่ด้วย ๖.๔ ให้กระทรวงการคลังเร่งพิจารณาดำเนินการกรณีข้าราชการที่เป็นสมาชิกของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) โดยสมัครใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าราชการที่จะเกษียณอายุราชการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และข้าราชการบำนาญที่จะกลับไปเลือกรับบำนาญตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการฉบับเดิม ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และนำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติในสัปดาห์ต่อไป ๖.๕ ให้หน่วยงานด้านความมั่นคงและส่วนงานรักษาความสงบเรียบร้อยหาแนวทางในการดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมเชิงสัญลักษณ์ ให้ดำเนินการเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยให้หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงและก่อให้เกิดการกระทบกระทั่ง อันส่งผลในเชิงลบต่อการดำเนินการของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
|
||||||||||||||||||||||||
1322 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 17/06/2557 | |||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ภาพรวม ๑.๑ ให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนที่มีผลกระทบต่อประชาชนโดยรวมให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในระยะแรกซึ่งยังเหลือระยะเวลาอีกประมาณ ๒ เดือน โดยเฉพาะในเรื่องข้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจ โดยให้ยึดหลักประสิทธิภาพ ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และไม่มีการทุจริตในทุกขั้นตอน ส่วนในระยะที่ ๒ ต้องมีการปรับปรุงแผนงาน/โครงการที่จะดำเนินการให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และในระยะยาวจะต้องมีแผนงาน/โครงการที่ชัดเจน เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต ทั้งนี้ ในการเสนอขออนุมัติโครงการต่าง ๆ ให้ส่วนราชการจัดทำรายละเอียดประกอบโครงการด้วยว่า ประชาชนจะได้รับผลประโยชน์อะไร อย่างไรบ้าง เช่น ประชาชนจะมีน้ำใช้เพิ่มขึ้นจำนวนเท่าไร ประชาชนจะได้รับการบริการที่ดีขึ้นอย่างไร เป็นต้น ๑.๒ ในการจัดทำโครงการต่าง ๆ ของทุกส่วนราชการ ให้ประกาศเชิญชวนผ่านสื่อทุกประเภทให้ประชาชนและผู้สนใจได้ทราบล่วงหน้าโดยทั่วกัน เพื่อให้มีการแข่งขันการประมูลอย่างเป็นธรรม ทั้งนี้ ให้จัดทำขอบเขตของงาน (TOR) ให้มีความรัดกุม และให้มีผู้แทนของหน่วยงานกลาง เช่น คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน และสำนักงบประมาณ เป็นต้น เป็นผู้สังเกตการณ์ในวันทำการประมูลเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและป้องกันการทุจริต ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงบประมาณและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐพิจารณาปรับปรุงแนวทางการใช้จ่ายเงินทดรองราชการกรณีการเกิดภัยพิบัติ ในประเด็นเกี่ยวกับการเพิ่มวงเงินทดรองราชการให้แก่ส่วนราชการ แนวทางการจัดสรรเงินให้แก่ส่วนราชการ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการให้ความช่วยเหลือประชาชนได้เพียงพอและทันต่อสถานการณ์ ๑.๔ ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐพิจารณาตรวจสอบโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ จำนวน ๓๙๖ แห่ง ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้มีความถูกต้องและเหมาะสม และให้นำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณา เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและปัญหาในการทำงานของเจ้าหน้าที่ด้วย ๑.๕ การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญในตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูงซึ่งต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๗ นั้น ให้หัวหน้าฝ่ายทุกฝ่ายดำเนินการตามข้อกฎหมาย ระเบียบ และขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง และนำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป ๑.๖ ให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคาเพื่อลดความเดือดร้อนของประชาชน และให้พิจารณาหาแนวทางการแบ่งปันผลประโยชน์ให้เป็นธรรม มิให้มีการผูกขาด รวมทั้งกำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์จากเงินรายได้เพื่อสาธารณประโยชน์เป็นหลักด้วย ๑.๗ ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาหาแนวทางการดำเนินการเพื่อลดอุบัติเหตุทางถนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ขับขี่รถยนต์สาธารณะจะต้องมีระบบติดตามมิให้ขับขี่เกินระยะเวลาที่กำหนด และมีระบบตรวจสอบว่าผู้ขับขี่มีความพร้อม ไม่เมาสุรา ไม่เสพยาเสพติด และมีการพักผ่อนที่เพียงพอ ๑.๘ ให้ฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยประกาศและคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติเร่งรัดจัดการประชุมคณะกรรมการโดยเร็ว เพื่อขับเคลื่อนงานด้านเศรษฐกิจและแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของประเทศตามแนวทางของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๑.๙ ให้ชะลอการดำเนินการจัดประชุมคลื่นความถี่ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ไว้ก่อน และให้ทบทวนการดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติก่อนดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความมั่นคงและมีกลไกที่รัฐสามารถควบคุมกำกับดูแลระบบโทรคมนาคมได้อย่างเหมาะสม ๑.๑๐ ให้กระทรวงพลังงานเร่งพิจารณาหาแนวทางและมาตรการด้านพลังงานทั้งในระยะเวลา ๓-๕ ปีข้างหน้า และในระยะยาว โดยให้มีการแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม หรือการหาวิธีการใช้พืชพลังงานและพลังงานทางเลือก ๒. เรื่องการประชาสัมพันธ์ ๒.๑ การประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกับประชาชนและองค์กรต่าง ๆ ควรจัดตั้งคณะทำงานเพื่อทำหน้าที่ติดตามและกำหนดแนวทางการดำเนินการประชาสัมพันธ์ที่เหมาะสม โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย และสามารถตอบข้อสงสัยของประชาชนได้ ทั้งนี้ ให้ประสานทำความเข้าใจกับสื่อมวลชน สมาคม และมูลนิธิต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศให้มีแนวทางการสื่อสารที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันด้วย ๒.๒ ให้ปรับเปลี่ยนเนื้อหาของรายการบางรายการซึ่งเผยแพร่ทางกรมประชาสัมพันธ์ โดยให้เป็นการนำเสนอความก้าวหน้าในการดำเนินงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติเป็นระยะ ๆ เพื่อสร้างความเข้าใจกับประชาชนเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินงานและผลการดำเนินงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลังชี้แจงทำความเข้าใจให้ชัดเจนเกี่ยวกับการดำเนินโครงการพัฒนารถไฟรางคู่ ทั้งในด้านประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับและพื้นที่ที่ต้องใช้ในการดำเนินโครงการ รวมทั้งขั้นตอนที่ต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ขนาดของรางรถไฟที่ใช้มีความเหมาะสมประการใด และการกู้เงินจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศมีข้อกำหนดประการใด ประเทศไทยจะได้ประโยชน์อย่างไรด้วย ๓. เรื่องการปฏิรูปประเทศ ตามที่ได้มีการแถลงอย่างเป็นทางการถึงห้วงเวลาในการดำเนินงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งแบ่งเป็น ๓ ระยะ โดยในระยะที่ ๒ หลังจากมีการประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองชั่วคราว ซึ่งจะมีบทกำหนดที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งสภาปฏิรูป โดยสภาปฏิรูปที่จัดตั้งนั้น จะประกอบด้วย ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน พรรคการเมือง และผู้ที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมือง มีการกำหนดวิธีการในการคัดเลือก ซึ่งการปฏิรูปประเทศต้องให้ครอบคลุมในด้านต่าง ๆ ได้แก่ สังคม เศรษฐกิจ การเงิน การคลัง การเมือง กฎหมาย การปกครองส่วนท้องถิ่น พลังงาน สิ่งแวดล้อม สังคมจิตวิทยา การบริหารราชการ การศึกษา กระบวนการยุติธรรม คุณภาพคน มาตรการป้องกันแก้ไขการทุจริตคอร์รัปชัน สื่อสารมวลชน และอื่น ๆ ซึ่งเมื่อมีข้อสรุปจากสภาปฏิรูปที่ชัดเจนแล้วก็จะเข้าสู่ระยะที่ ๓ ต่อไป ๔. เรื่องโรงงานกำจัดขยะ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงอุตสาหกรรมเร่งกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาขยะ และการกำจัดน้ำเสียจากโรงงาน รวมทั้งการสร้างมูลค่าเพิ่มจากขยะ โดยเริ่มต้นจากการให้ทุกส่วนราชการดำเนินมาตรการแยกประเภทและบริหารจัดการขยะให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ ให้พิจารณาสร้างโรงงานกำจัดขยะบนพื้นที่ราชพัสดุหรือพื้นที่ทหารก่อน ๕. เรื่องโครงการจัดการน้ำและระบบสาธารณูปโภค ๕.๑ โครงการต่าง ๆ ที่มีความพร้อมในการดำเนินการและผ่านการตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสมจากแต่ละฝ่ายและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐแล้ว ให้นำเสนอเรื่องต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗ ๕.๒ ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาทบทวนเกี่ยวกับการสร้างถนนทางสายหลักและทางสายรองในแต่ละเส้นทางว่ามีความจำเป็น คุ้มค่า และเป็นไปตามความต้องการของคนในพื้นที่ รวมทั้งพิจารณาหาแนวทางการดูแลซ่อมบำรุงถนนทั้งระบบ โดยเฉพาะการป้องกันการเสื่อมสภาพของพื้นที่ถนน เช่น การเลือกวัสดุที่ใช้ทำถนน การกำหนดน้ำหนักบรรทุกของรถ เป็นต้น นอกจากนี้ ให้สำรวจถนนที่มีการก่อสร้างขวางทางเดินน้ำและเร่งจัดทำท่อลอดเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมขังในอนาคต ๕.๓ ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาระบบการเดินรถไฟให้มีความเชื่อมโยงกับระบบขนส่งสาธารณะอื่น ๆ รวมทั้งการจัดสถานที่จอดรถสำหรับผู้ใช้บริการด้วย ๕.๔ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจเร่งรัดให้กระทรวงคมนาคมโดยการรถไฟแห่งประเทศไทยทบทวนการบริหารจัดการกิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทยระยะยาว โดยเน้นการปรับโครงสร้างองค์กร การเพิ่มประสิทธิภาพ การเพิ่มรายได้ การลดภาระรายจ่ายที่ไม่จำเป็น รวมทั้งจัดทำแผนการเพิ่มทุน และการบริหารจัดการหนี้ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๖. เรื่องแรงงานต่างด้าว ตามที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้จัดทำรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ (Trafficking in Persons Report : TIP Report) ซึ่งประเทศไทยได้รับการประเมินอยู่ในสถานะระดับ ๒ (Tier 2 : Watch List) ซึ่งเป็นประเทศที่ถูกจับตามอง ดังนั้น เพื่อมิให้ประเทศไทยถูกลดระดับลง จึงมอบให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน เป็นต้น เร่งดำเนินการชี้แจงทำความเข้าใจกับต่างประเทศให้ถูกต้องและทั่วถึงเกี่ยวกับการใช้แรงงานในประเทศไทย รวมทั้งการที่ประเทศไทยให้ความสำคัญอย่างเต็มที่เกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ โดยเบื้องต้นได้แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าว เพื่อทำหน้าที่จัดระเบียบและแก้ไขปัญหาแรงงานทั้งระบบด้วยการบูรณาการอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นไปตามหลักมาตรฐานสากลและเป็นที่ยอมรับจากต่างประเทศและประชาคมโลก โดยไม่ถูกลดระดับความน่าเชื่อถือ และให้ฝ่ายความมั่นคงเร่งจัดทำแผนและแนวทางการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวอย่า
|
||||||||||||||||||||||||
1323 | การดำเนินการของฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม | สลธ.คสช. | 17/06/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมของฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๑.๑ การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นมี ๒ กรณี คือ กรณีครบวาระการดำรงตำแหน่ง และกรณีแทนตำแหน่งที่ว่าง เห็นสมควรให้มีการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นเฉพาะกรณีครบวาระการดำรงตำแหน่ง แต่เนื่องจากประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๗/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ กำหนดให้ห้ามมิให้มั่วสุม หรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใด ๆ ที่มีจำนวนตั้งแต่ ๕ คนขึ้นไป เป็นเหตุให้ไม่สามารถดำเนินการจัดการเลือกตั้งได้ ดังนั้น ให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมร่วมหารือกับคณะกรรมการการเลือกตั้งเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวเพื่อดำเนินการต่อไป รวมทั้งหามาตรการเพื่อสนับสนุนให้การเลือกตั้งระดับท้องถิ่นมีความโปร่งใส ยุติธรรม และไม่มีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงด้วย ๑.๒ การปรับปรุงกฎหมาย ได้แบ่งกลุ่มกฎหมายออกเป็น ๒ กลุ่ม คือ ๑.๒.๑ กลุ่มกฎหมายองค์กรอิสระ ๑.๒.๒ กลุ่มกฎหมายของกระทรวง กรม ซึ่งแบ่งย่อยออกได้เป็น ๔ ประเภท คือ ประกาศ หรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กฎหมายที่ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา กฎหมายที่ให้คณะรัฐบาลชุดใหม่พิจารณา และกฎกระทรวง ในชั้นนี้ กฎกระทรวงสามารถดำเนินการต่อไปได้ จึงขอให้ส่วนราชการต่าง ๆ รวบรวมกฎกระทรวงที่อยู่ในความรับผิดชอบ และส่งให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เพื่อจัดประเภทกฎกระทรวงที่ควรเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จในระยะที่ ๑ ต่อไป ๒. ให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมไปรวบรวมกฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวกับการค้า เศรษฐกิจ ที่ล้าสมัย หรือเป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะกฎหมายที่จำเป็นต้องดำเนินการในระยะเร่งด่วน และหากไม่สามารถเสนอกฎหมายได้ภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๗ ให้พิจารณาดำเนินการออกเป็นมาตรการชั่วคราวเพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคเบื้องต้นด้วย หรือให้ไปดำเนินการในระยะที่ ๒ หรือระยะที่ ๓ เมื่อมีสภานิติบัญญัติแห่งชาติแล้ว สำหรับกฎหมายที่เกี่ยวกับการปรับโครงสร้างกระทรวงยุติธรรมให้ไปดำเนินการในระยะที่ ๒ โดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||
1324 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 10/06/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติเห็นชอบข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ดังนี้
๑. เรื่องด้านงบประมาณ ๑.๑ เพื่อให้การอนุมัติใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเป็นไปตามขั้นตอนที่ถูกต้อง ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐเสนอเรื่องต่อปลัดกระทรวงเพื่อเสนอหัวหน้าฝ่ายที่รับผิดชอบการปฏิบัติราชการพิจารณาให้ความเห็นชอบ แล้วจึงเสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาอนุมัติหลักการหรือให้ความเห็นชอบแล้วแต่กรณีต่อไป โดยกรณีที่มีวงเงินไม่เกิน ๑๐๐ ล้านบาท ให้นำเสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อพิจารณาอนุมัติ หากวงเงินเกินกว่า ๑๐๐ ล้านบาท ให้เสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อพิจารณาอนุมัติ ๑.๒ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐในกรณีต่าง ๆ เช่น งบประมาณปกติ งบกลาง และงบประมาณผูกพันข้ามปี เป็นต้น เป็นไปในแนวทางเดียวกันและถูกต้อง มอบให้สำนักงบประมาณรับไปดำเนินการจัดทำสรุปขั้นตอนการใช้จ่ายงบประมาณในกรณีต่าง ๆ ให้ชัดเจน ครบถ้วน แล้วเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบอีกครั้งหนึ่งต่อไป ๑.๓ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ของแต่ละกระทรวงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ให้แต่ละกระทรวงพิจารณาทบทวนโครงการ/งานที่เป็นเรื่องเดียวกันและอาจซ้ำซ้อนกับของกระทรวงอื่น เพื่อนำมาบูรณาการร่วมกันให้เกิดประสิทธิภาพและไม่เกิดความซ้ำซ้อน สำหรับแผนงานหรือโครงการของส่วนราชการใดที่ยังไม่ดำเนินการ ให้ส่วนราชการพิจารณาทบทวนหรือปรับแผนงานหรือโครงการดังกล่าวให้เหมาะสม โดยให้คำนึงถึงความเป็นธรรม ทั่วถึง และเป็นไปตามวินัยการเงินการคลัง ๑.๔ มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาร่วมกับสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดเก็บรายได้ภาครัฐให้เป็นมาตรฐาน โดยพิจารณาในแง่ของประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์เป็นหลัก โดยกำหนดมาตรฐานให้เกิดความเป็นธรรมและให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปกำหนดกลไกการดำเนินการ โดยเริ่มจากการเก็บภาษีก่อน เช่น ภาษีที่ดิน ภาษีมรดก รายได้ของรัฐที่ได้จากสัมปทาน เป็นต้น ๑.๕ การพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ในส่วนของฝ่ายนิติบัญญัติ กรณีที่ยังไม่มีรัฐธรรมนูญใช้บังคับ ในขั้นตอนการตั้งคณะกรรมาธิการ ให้สำนักงบประมาณรับไปเตรียมการในเรื่องดังกล่าวไว้ล่วงหน้า โดยให้พิจารณาความเป็นไปได้ในการกำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมาธิการให้มีผู้แทนจากทุกภาคส่วนทั้งภาคเศรษฐกิจ ภาคประชาชน หรือผู้มีส่วนได้เสียได้เข้าร่วมพิจารณาให้ข้อคิดเห็นด้วย ๑.๖ ให้ปรับโครงสร้างการจัดส่วนของคณะรักษาความสงบแห่งชาติให้ครอบคลุมกรุงเทพมหานคร โดยให้เป็นหน่วยงานขึ้นตรงต่อหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ทั้งนี้ เพื่อให้มีการกำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณของกรุงเทพมหานครให้มีความโปร่งใสตรวจสอบได้ ๑.๗ มอบหมายรองเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (พลโท ชาตอุดม ติตถะสิริ) ร่วมกับสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี รวบรวมรายชื่อคณะกรรมการตามกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรี เพื่อกำหนดกลไก แนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การจัดทำงบประมาณ และมีการบูรณาการร่วมกันของหน่วยงาน ๑.๘ มอบหมายให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีรวบรวมหน่วยงานและคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อหาแนวทางในการบูรณาการการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การจัดทำงบประมาณและนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๒. เรื่องที่ต้องเร่งรัดดำเนินการ ๒.๑ กฎหมายที่เป็นเรื่องเร่งด่วนและเป็นข้อจำกัดต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ความมั่นคง สังคมจิตวิทยา ให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมไปรวบรวมและจัดทำแผนงานว่าเรื่องใดควรดำเนินการในระยะที่ ๑ ระยะที่ ๒ หรือระยะที่ ๓ โดยให้เร่งดำเนินการเรื่องที่อยู่ในระยะที่ ๑ ก่อน ๒.๒ โครงการโรงงานยาสูบ ระยะที่ ๒ ให้ดำเนินการตามแผนงานเดิม โดยให้ปรับพื้นที่โรงงานเดิมเป็นสวนสาธารณะ แต่หากจำเป็นจะต้องก่อสร้างที่จอดรถในพื้นที่ดังกล่าวให้ดำเนินการเป็นที่จอดรถใต้ดิน ๒.๓ การแต่งตั้งคณะกรรมการในรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ให้มีการพิจารณาคัดเลือกบุคคลที่มีความรู้ความสามารถและมีเวลาเพียงพอที่จะช่วยพัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น คณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เป็นต้น ๒.๔ การทำความเข้าใจกับต่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ภายในประเทศมีแนวโน้มที่ดีขึ้น อย่างไรก็ดี มอบหมายให้หัวหน้าฝ่ายความมั่นคงเร่งชี้แจงทำความเข้าใจกับองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน และการนิรโทษกรรมที่ยังมีข้อโต้แย้ง รวมทั้งติดตามสถานการณ์การแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในสื่อสังคมออนไลน์อย่างใกล้ชิด โครงการลงทุนต่าง ๆ ๒.๕ ให้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเร่งดำเนินการผลักดันโครงการต่าง ๆ โดยคำนึงถึงผลตอบแทนที่ประเทศจะได้รับเป็นสำคัญ เช่น การจ้างงานในประเทศ การใช้วัตถุดิบภายในประเทศ สนับสนุนให้เกิดวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของคนไทย ส่งเสริมการประหยัดพลังงานและไม่ก่อให้เกิดมลพิษและมีการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีให้กับคนไทย เป็นต้น ๒.๖ โครงการลงทุนทางด้านโครงสร้างพื้นฐานให้เร่งดำเนินการโครงการที่ได้รับอนุมัติและได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว รวมทั้งเป็นโครงการที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชน เช่น โครงการรถไฟรางคู่ โครงการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต สำหรับแผนงานหรือโครงการใดที่มีข้อร้องเรียนหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับการทุจริต ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) รับไปติดตาม ตรวจสอบ ก่อนดำเนินการต่อไป การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ๒.๗ มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งกำหนดมาตรการในการดูแลราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคให้มีความเหมาะสมและเป็นธรรมต่อทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค โดยให้พิจารณารายละเอียดกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ให้มีความสอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาผลิตผลทางการเกษตร มอบหมายให้หน่วยงานราชการดำเนินโครงการช่วยเหลือเกษตรกร โดยให้กองทัพบกเป็นหน่วยงานนำร่องในการรับซื้อผลิตผลจากเกษตรกรโดยตรง ๒.๘ มอบหมายให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา เพื่อลดความเดือดร้อนแก่ประชาชน กลุ่มผู้ค้ารายย่อย เช่น กลุ่มคนพิการ เป็นต้น ๒.๙ มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงอุตสาหกรรมเร่งกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาขยะ การกำจัดน้ำเสียจากโรงงาน รวมทั้งการสร้างมูลค่าเพิ่มจากขยะ โดยเริ่มต้นจากการให้ทุกส่วนราชการดำเนินมาตรการแยกประเภทและบริหารจัดการขยะให้เกิดประโยชน์สูงสุด ๒.๑๐ สำหรับโครงการบริหารจัดการน้ำ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินโครงการที่ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งการป้องกันน้ำท่วมและแก้ปัญหาภัยแล้ง เช่น การขุดลอกคูคลองแหล่งน้ำธรรมชาติที่มีอยู่แล้ว เป็นต้น การศึกษา ๒.๑๑ มอบหมายให้หัวหน้าฝ่ายสังคมจิตวิทยารับไปพิจารณาแก้ไขปัญหาเรื่องกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) การขาดแคลนครูในโรงเรียนพื้นที่ห่างไกล รวมทั้งการเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้แก่เด็ก เช่น การพัฒนาการเชื่อมโยงการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม โดยเชื่อมต่อกับโครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นต้น ๓. เรื่องด้านความมั่นคง การแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ ๓ หน่วยงาน ได้แก่ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และส่วนราชการปกติ บูรณาการการทำงานเพื่อให้เกิดเอกภาพ โดยให้ กอ.รมน. ภาค ๔ เป็นส่วนหน้าในการดำเนินการ ทั้งนี้ ให้มีการจัดทำแผนงานด้านความมั่นคง และให้มีคณะกรรมการฟื้นฟูเพื่อสันติภาพ เพื่อสร้างความไว้วางใจและเชื่อมั่นแก่ประชาชนด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
1325 | ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 8 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่ายอินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (IMT-GT) | นร11 | 06/05/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) รัฐมนตรีประจำแผนงาน IMT-GT เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๘ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Draft Joint Statement of the Eighth Summit of Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle) มีสาระสำคัญเป็นการชื่นชมการดำเนินงานนโยบายความร่วมมือ และการตกลงเจตนารมณ์ทางการเมืองของประเทศสมาชิกในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกัน โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสามารถปรับปรุงถ้อยคำในร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ได้ในกรณีที่มิใช่การเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบอีก ๑.๒ ให้เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้แทนพิเศษของนายกรัฐมนตรี (Special Envoy) เพื่อปฏิบัติหน้าที่ประธานที่ประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๘ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT) ในวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ณ กรุงเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ๑.๓ เห็นชอบการกำหนดองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยในการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๘ แผนงาน IMT-GT ณ กรุงเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ประกอบด้วยเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ผู้แทนพิเศษของนายกรัฐมนตรี) ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงานของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานสภาธุรกิจ IMT-GT ประเทศไทย ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่ายฯ ควรพัฒนาการเชื่อมโยงอย่างสอดคล้องกับความร่วมมือระดับภูมิภาคอื่น ๆ ด้วย และควรเร่งดำเนินการโครงการความร่วมมือภายใต้แผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่ายฯ โดยเฉพาะด้านการคมนาคมขนส่ง การค้าการลงทุน การเกษตร การท่องเที่ยว อุตสาหกรรมฮาลาล และทรัพยากรมนุษย์ เพื่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อประชาชนในท้องถิ่น ไปพิจารณาด้วย ๓. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ไม่เข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย การให้ความเห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมฯ จึงไม่มีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป อันเป็นข้อห้ามตามมาตรา ๑๘๑ (๓) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และสามารถเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาได้ |
||||||||||||||||||||||||
1326 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อผู้บริโภคจากการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบโทรทัศน์ดิจิตอล" | 28/04/2557 | ||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อผู้บริโภคจากการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบโทรทัศน์ดิจิตอล” ตามที่สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้รัฐบาลดำเนินการ ดังนี้
๑. ด้านการบริหารจัดการ ๑.๑ สร้างความชัดเจนเกี่ยวกับความคมชัดทั้งภาพและเสียงของระบบโทรทัศน์ดิจิตอลว่ามีความแตกต่างกับระบบโทรทัศน์อนาล็อกจนมีผลจำเป็นให้ประชาชนต้องปรับเปลี่ยนระบบ ๑.๒ มีมาตรการให้ทุกช่องสถานีโทรทัศน์รายเดิมที่ออกอากาศในระบบอนาล็อกเข้าสู่โทรทัศน์ระบบดิจิตอลพร้อมกัน ๑.๓ ให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ แก่ผู้ประกอบการที่ได้รับการประมูลระบบโทรทัศน์ดิจิตอล ตลอดจนเป็นผู้สนับสนุนการเยียวยาให้กับผู้บริโภคและผู้ประกอบการธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ๑.๔ มีมาตรการเยียวยาผู้บริโภคผู้มีรายได้น้อยที่ต้องรับภาระเกี่ยวกับเครื่องแปลงสัญญาณ (set-top box) และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ๑.๕ มีมาตรการในการควบคุมดูแลผู้ให้บริการเคเบิ้ลโทรทัศน์ท้องถิ่นให้สามารถบริการแก่ผู้บริโภคอย่างมีคุณภาพและเป็นธรรม โดยสามารถแพร่ภาพจากช่องโทรทัศน์สาธารณะหรือฟรีทีวีจากระบบดิจิตอลได้โดยผู้บริโภคต้องไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ๒. ด้านเทคนิคและเทคโนโลยี ๒.๑ มีมาตรการป้องกันหรือกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่อาจถูกทิ้งให้เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม หากมีการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีการออกอากาศโทรทัศน์จากระบบอนาล็อกไปสู่ระบบดิจิตอล ๒.๒ มีมาตรการช่วยเหลือในกรณีที่เกี่ยวกับประสิทธิภาพของแผงรับสัญญาณเดิมของผู้บริโภคไม่สามารถรับชมการแพร่ภาพในระบบดิจิตอลได้ ๒.๓ ให้ความรู้และความเข้าใจแก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับเทคโนโลยีระบบดิจิตอลอย่างทั่วถึง ๓. ด้านกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับ ๓.๑ เร่งรัดให้ กสทช. ออกกฎ ระเบียบและข้อบังคับต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องระบบสัญญาณโทรทัศน์ดิจิตอลให้มีความรวดเร็วขึ้น ๓.๒ ให้นโยบายกับองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการ การควบคุม และการอนุญาตคลื่นความถี่วิทยุและโทรทัศน์ให้ออกกฎ ระเบียบและข้อบังคับ ตลอดจนการบังคับใช้กฎ ระเบียบและข้อบังคับดังกล่าวอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในเรื่องของเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ๔. ด้านการประชาสัมพันธ์ ๔.๑ เร่งรัดให้ กสทช. จัดทำแผนและดำเนินการประชาสัมพันธ์และทำความเข้าใจกับผู้บริโภคให้รับทราบถึงความจำเป็นและผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบโทรทัศน์ดิจิตอล ๔.๒ ให้ความรู้และทำความเข้าใจทั้งในแง่ของประโยชน์และผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านจากโทรทัศน์ระบบอนาล็อกไปสู่โทรทัศน์ระบบดิจิตอลแก่ผู้บริโภค ๔.๓ เร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้ตระหนักถึงความสำคัญในการเปลี่ยนผ่านระบบโทรทัศน์อนาล็อกไปสู่โทรทัศน์ดิจิตอล
|
||||||||||||||||||||||||
1327 | การป้องกันและแก้ไขปัญหาขยะ | นร04 | 25/03/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอการป้องกันและแก้ไขปัญหาขยะ เนื่องจากในภาพรวมทั้งประเทศมีบ่อขยะอยู่รวมทั้งหมดหลายพันแห่ง ประกอบกับการบริหารจัดการปัญหาขยะให้มีประสิทธิภาพจะต้องดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาให้ครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เริ่มตั้งแต่การทิ้งขยะที่ควรจะมีการคัดแยกประเภทขยะอย่างเคร่งครัดตั้งแต่ต้น การเก็บรวบรวมและขนย้ายขยะ การนำไปใช้ประโยชน์ การกำจัด และทำลายขยะ ซึ่งมีหน่วยงานที่รับผิดชอบและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน ตลอดจนมีข้อกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องมากกว่า ๑๐ ฉบับ จึงขอมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับไปสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นเจ้าภาพบูรณาการการปฏิบัติงานกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น เพื่อตรวจสอบและกำหนดแนวทางและมาตรการในการดำเนินการบริหารจัดการขยะในจังหวัดในทุกขั้นตอนให้มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัย โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชน ทั้งนี้ การดำเนินการในเรื่องใดเกี่ยวกับเรื่องข้างต้นที่ไม่ขัดแย้งกับข้อกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร ก็ให้เร่งดำเนินการโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1328 | สรุปผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2557 | มท | 25/03/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๗ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประธานกรรมการและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ภาพรวมสถิติอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๗ เกิดอุบัติเหตุทางถนน ๓,๑๗๔ ครั้ง (ช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๖ เกิด ๓,๑๖๔ ครั้ง) เพิ่มขึ้น ๑๐ ครั้ง คิดเป็นร้อยละ ๐.๓๒ มีผู้เสียชีวิต ๓๖๗ ราย (ช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๖ ผู้เสียชีวิต ๓๖๖ ราย) เพิ่มขึ้น ๑ ราย คิดเป็นร้อยละ ๐.๒๗ มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ๓,๓๔๔ คน (ช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๖ ผู้ได้รับบาดเจ็บ ๓,๓๒๙ คน) เพิ่มขึ้น ๑๕ คน คิดเป็นร้อยละ ๐.๔๕ และเกิดอุบัติเหตุใหญ่ ๓๑ ครั้ง (ช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๖ เกิด ๓๙ ครั้ง) ลดลง ๘ ครั้ง คิดเป็นร้อยละ ๒๐.๕๑ ๑.๒ ปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๗ ได้แก่ ด้านบุคลากร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีบุคคลในการปฏิบัติงานไม่เพียงพอ ด้านงบประมาณ หน่วยงานที่รับผิดชอบได้รับงบประมาณไม่เพียงพอ ด้านเครื่องมืออุปกรณ์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายมีเครื่องมือและอุปกรณ์ในการปฏิบัติงานไม่เพียงพอ มีสภาพชำรุดและไม่พร้อมในการใช้งาน และด้านการบริหารจัดการ ผู้บริหารบางหน่วยงานไม่ได้ให้ความสำคัญในการดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนเท่าที่ควรทำให้การบริหารจัดการขาดประสิทธิภาพ ๑.๓ ข้อเสนอแนะ ได้แก่ การบูรณาการบุคลากรหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสนับสนุนการดำเนินงาน และกำหนดบทบาทหน้าที่ในการดำเนินงานให้มีความชัดเจน การนำข้อมูลสถิติการดำเนินงานช่วงเทศกาล ๓ ปีย้อนหลังมาวิเคราะห์สาเหตุ ปัญหาอุปสรรค และแนวทางมาตรการดำเนินงานให้มีความชัดเจนเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการขอจัดสรรงบประมาณ การจัดหาเครื่องมือ อุปกรณ์ในการปฏิบัติงานให้เพียงพอ และซ่อมแซมเครื่องมือ อุปกรณ์ที่ชำรุดให้มีความพร้อมในการใช้งาน รวมทั้งการให้ความสำคัญกับผู้บริหารทุกระดับ ทั้งระดับส่วนกลาง ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่น สร้างความเข้าใจและชี้ให้เห็นถึงความสำคัญและผลกระทบที่เกิดจากปัญหาอุบัติเหตุทางถนน เพื่อให้ผู้บริหารได้ตระหนักและเห็นถึงความสำคัญในการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนและเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่มากขึ้น ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับไปประสานงานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเกี่ยวกับการใช้สายด่วน ๑๙๑ เป็นศูนย์กลางในการรับแจ้งอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๕๗ และให้ดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบโดยทั่วกัน
|
||||||||||||||||||||||||
1329 | แผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2557 | นร09 | 18/03/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี ๒๕๕๗ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประธานกรรมการและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ ดังนี้
๑. หัวข้อในการรณรงค์ “ร่วมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย สงกรานต์ทั่วไทยไร้อุบัติเหตุ” ๒. ช่วงเวลาการรณรงค์ ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๗ เมษายน ๒๕๕๗ รวม ๗ วัน ๓. เป้าหมายการดำเนินการ สถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับสถิติในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี ๒๕๕๖ โดยให้จังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นผู้กำหนดเป้าหมายการดำเนินงานด้วยตัวเอง ๔. มาตรการทั่วไป ได้แก่ มาตรการด้านการบริหารจัดการ มาตรการด้านถนนและการสัญจรอย่างปลอดภัย มาตรการด้านยานพาหนะที่ปลอดภัย มาตรการด้านผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย และมาตรการด้านการตอบสนองหลังเกิดอุบัติเหตุ ๕. มาตรการเน้นหนัก ได้แก่ การควบคุมความเร็วและเมาสุราแล้วขับขี่ยานพาหนะและให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับรถจักรยานยนต์ รถโดยสารสาธารณะ และรถกระบะที่บรรทุกผู้โดยสารท้ายกระบะเพื่อเล่นน้ำสงกรานต์ในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดอันตราย การควบคุมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับขี่หรือโดยสารยานพาหนะ การควบคุมการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การควบคุมการใช้รถจักรยานยนต์เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุทางถนน การจัดพื้นที่เล่นน้ำสงกรานต์ที่มีความปลอดภัยและปลอดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด และการดูแลความปลอดภัยให้แก่ประชาชนทั้งคนไทยและชาวต่างชาติที่ผ่านเข้าออกบริเวณจุดผ่านแดนถาวรในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี ๒๕๕๗ ๖. ช่วงเวลาการดำเนินงาน แบ่งออกเป็น ๓ ช่วง ได้แก่ ช่วงเตรียมความพร้อม ระหว่างวันที่ ๑๕-๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ช่วงการรณรงค์ ระหว่างวันที่ ๑ มีนาคม-๑๐ เมษายน ๒๕๕๗ และช่วงควบคุม ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๗ เมษายน ๒๕๕๗
|
||||||||||||||||||||||||
1330 | เหตุการณ์เพลิงไหม้บ่อขยะ จังหวัดสมุทรปราการ | นร04 | 18/03/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่ได้เกิดเหตุการณ์เพลิงไหม้บ่อขยะขนาดใหญ่ พื้นที่ประมาณ ๑๕๐ ไร่ ในซอยสวัสดี ตำบลแพรกษา อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๗ ซึ่งเพลิงได้ลุกไหม้ขยะที่มีขยะอุตสาหกรรมปนอยู่จำนวนมากและขยายเป็นวงกว้าง เกิดควันสีดำและมีกลิ่นเหม็นฟุ้งกระจาย ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่และสุขอนามัยของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่และในละแวกใกล้เคียง จึงขอมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานเจ้าภาพรับไปประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการแผนการป้องกันและแก้ไขปัญหาในภาพรวมเพื่อดำเนินการและชี้แจงให้ประชาชนทราบต่อไป ทั้งนี้ รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเร่งลงพื้นที่เพื่อกำกับติดตามการดำเนินการแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนในพื้นที่โดยด่วนด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
1331 | รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2555 | พม | 11/03/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. ๒๕๕๕ ของคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ข้อเสนอเชิงนโยบาย การพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุเป็นเรื่องที่สำคัญต่อความมั่นคงและการพัฒนาของประเทศ สำหรับประเด็นเร่งด่วนและมีช่องทางเอื้อให้ดำเนินการได้ทันทีในระยะสั้น ได้แก่ การนำพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปดำเนินการให้เกิดผลโดยเร็วที่สุด โดยรัฐควรเร่งดำเนินการเรื่องกองทุนการออมแห่งชาติให้เป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด พร้อมทั้งเร่งพัฒนาระบบหลักประกันทางเศรษฐกิจในรูปแบบอื่น ๆ ด้วย และการผลักดันให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ขับเคลื่อนงานด้านผู้สูงอายุ โดยการกระตุ้นและส่งเสริมให้ อปท. เข้ามารับผิดชอบงานด้านการส่งเสริมพัฒนาศักยภาพและคุ้มครองผู้สูงอายุในชุมชนของตนเองอย่างเป็นระบบ ๒. การเปลี่ยนแปลงทางประชากร และข้อมูลสถิติที่สำคัญเกี่ยวกับผู้สูงอายุ จากผลการคาดประมาณประชากรของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๘๓ สัดส่วนของประชากรวัยเด็กและวัยแรงงานมีแนวโน้มลดลง ในขณะที่สัดส่วนของประชากรผู้สูงอายุมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากร้อยละ ๑๓.๒ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นร้อยละ ๓๒.๑ ในปี พ.ศ. ๒๕๘๓ ในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ จะเป็นปีที่สัดส่วนของประชากรวัยสูงอายุ สัดส่วนของผู้สูงอายุวัยปลายจะเพิ่มจากประมาณร้อยละ ๑๒.๗ ของประชากรสูงอายุทั้งหมดเกือบ ๑ ใน ๕ ของประชากรสูงอายุ ปัญหาสุขภาพประชากรสูงอายุ จากข้อมูลพบว่าในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ผู้สูงอายุมีปัญหาด้านการมองเห็น ร้อยละ ๔๗.๔ ปัญหาด้านการได้ยิน ประมาณร้อยละ ๑๕ นอกจากนี้ ยังพบปัญหาในด้านศักยภาพในการควบคุม การเคลื่อนไหว การพลัดตกหกล้ม การควบคุมระบบการขับถ่าย รวมทั้งข้อมูลการสำรวจประชากรสูงอายุในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ และ พ.ศ. ๒๕๕๔ สัดส่วนของผู้สูงอายุทั้งชายและหญิงที่เป็นโสดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แนวโน้มการอยู่อาศัยของผู้สูงอายุตามลำพังเพิ่มขึ้น ผู้สูงอายุไทยประมาณ ๑ ใน ๓ ของทั้งหมดยังคงทำงานเชิงเศรษฐกิจ แหล่งรายได้หลักของผู้สูงอายุ ๓ อันดับแรก คือ บุตร การทำงาน และเบี้ยยังชีพจากทางราชการ ๓. ความสำเร็จและความท้าทายในการดำเนินงานด้านผู้สูงอายุ จากการติดตามและประเมินแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๔๕-๒๕๖๔) ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๔) การดำเนินงานในภาพรวมของประเทศยังผ่านในระดับที่ค่อนข้างต่ำ ประเทศไทยยังต้องเร่งดำเนินงานตามแผนผู้สูงอายุต่อไป เพื่อให้สามารถรองรับอัตราการเปลี่ยนแปลงเป็นสังคมสูงวัย อุปสรรคปัญหาต่อการดำเนินงาน คือ การขาดความต่อเนื่องของนโยบายและการทำงานด้านผู้สูงอายุขึ้นกับผู้นำประเทศเป็นสำคัญ การขาดการแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมและขาดงบประมาณสนับสนุน ชมรมผู้สูงอายุยังขาดความเข้มแข็ง และ อปท. ยังมีข้อจำกัดด้านกำลังคน ความรู้ด้านผู้สูงอายุ และระเบียบข้อบังคับในการใช้จ่ายงบประมาณเพื่องานด้านผู้สูงอายุ เพื่อให้งานด้านผู้สูงอายุก้าวหน้าต่อไป ๔. สถานการณ์เด่นรอบปี ๔.๑ ผลของการประกาศใช้และการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ ส่งผลให้มีหลักประกันทางเศรษฐกิจเมื่อยามสูงวัยในหลากหลายรูปแบบ ๔.๒ การพัฒนาและปรับระบบบริการสาธารณสุขในการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ทั้งการบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การประเมินผู้สูงอายุที่ต้องได้รับการดูแลระยะยาว การอบรมให้ความรู้แก่ อปท. และผู้ดูแล เป็นต้น ๔.๓ การขยายสิทธิผู้สูงอายุตามพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. ๒๕๔๖ และเพิ่มหน่วยงานรับผิดชอบในการดำเนินการรองรับสิทธิที่เพิ่มขึ้นเพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับการคุ้มครอง ส่งเสริมการให้สิทธิประโยชน์ในด้านต่าง ๆ รวมทั้งประชาสัมพันธ์เพิ่มช่องทาง การรับรู้ และสามารถเข้าถึงสิทธิได้อย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||
1332 | รายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 (Annual Inspection : Fiscal Year 2013) | นร01 | 11/02/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ (Annual Inspection Report : Fiscal Year 2013) ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการตรวจราชการแบบบูรณาการในมิติของการบูรณาการภายใต้ประเด็นนโยบายสำคัญ (การบูรณาการการตรวจราชการเพื่อร่วมขับเคลื่อนประเด็นนโยบายสำคัญ) ของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีและผู้ตรวจราชการกระทรวง ๑.๑ นโยบายการพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิต ด้านปัญหายาเสพติด ผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานที่รับผิดชอบแผนยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๖ และการบูรณาการหรือเชื่อมโยงโครงการ/แผนงานตามปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด ด้านการป้องกัน การบำบัด ฟื้นฟู และการปราบปราม พบว่าแต่ละจังหวัดได้ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการดังกล่าว จากงบประมาณสนับสนุนของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ส่วนราชการ แผนพัฒนาจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และงบอื่น ๆ โดยภาพรวม ส่วนใหญ่การดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายรายไตรมาสที่กำหนดไว้ และมีบางกิจกรรมที่สามารถดำเนินการได้เกินเป้าหมาย สำหรับแผนงานที่ยังไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดไว้นั้น เป็นผลมาจากปัญหาในการทำงานร่วมกันของบางจังหวัด เนื่องจากแต่ละจังหวัดมีความสามารถในการบริหารจัดการกลไกที่กำหนดแตกต่างกัน อีกทั้งยังคงมีสถิติการจับกุมผู้ค้า ผู้จำหน่าย และจำนวนผู้บำบัดรักษาเพิ่มขึ้น มาโดยตลอด นอกจากนี้ การแพร่ระบาดของยาเสพติดยังได้ขยายไปยังกลุ่มเด็กและเยาวชน โดยมีแนวโน้มเด็กที่ติดสารเสพติดจะมีอายุลดน้อยลงทุกปี ๑.๒ นโยบายการเตรียมความพร้อมสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ พบว่าหน่วยงานในส่วนกลางและหน่วยงานในพื้นที่ได้ดำเนินแผนงาน/โครงการ/กิจกรรม มีความคืบหน้า สามารถสร้างโอกาสในการพัฒนาและรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนไทยให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นระดับหนึ่ง ๒. ผลการตรวจราชการแบบบูรณาการในมิติของการบูรณาการการตรวจราชการเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะพื้นที่ (Specific Area) ร่วมกันของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีและผู้ตรวจราชการกระทรวง ๒.๑ เศรษฐกิจการค้าชายแดน ในเรื่องการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำสินค้าด้านพลังงาน (LPG) ข้ามแดนบริเวณพื้นที่ชายแดนราชอาณาจักรไทย-สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ณ จุดผ่อนปรน บ้านสบรวก อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย มีการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงจากประเทศมาเลเซีย ณ จุดผ่านแดนถาวร ด่านสะเดา อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา และพบการซื้อก๊าซบรรจุในถังก๊าซหุงต้มของประชาชนหน้าด่านช่องจอม บริเวณพื้นที่ชายแดนระหว่างราชอาณาจักรไทย-ราชอาณาจักรกัมพูชา ณ จุดผ่านแดนช่องจอม อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ สำหรับเรื่องการอำนวยความสะดวกนำเข้า-ส่งออกสินค้าผ่านแดน มีการพัฒนาและปรับปรุงเพื่อรองรับการให้บริการแก่ผู้ประกอบการและประชาชนในการนำเข้า-ส่งออกสินค้าผ่านแดน และการขยายตัวของเศรษฐกิจการค้าชายแดน รวมทั้งเพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศเพื่อเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ๒.๒ พื้นที่ที่มีความเสี่ยงในการเกิดภัยพิบัติ พบว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบได้มีการเตรียมความพร้อมในแต่ละด้านเพื่อรับสถานการณ์ภัยพิบัติทั้ง ๔ ประเภท ได้แก่ ภัยแล้ง (พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ไฟป่าและหมอกควัน (พื้นที่ ๙ จังหวัดภาคเหนือ) อุทกภัยและดินโคลนถล่ม (พื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ) และคลื่นสึนามิ (พื้นที่ภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามัน)
|
||||||||||||||||||||||||
1333 | รายงานการพัฒนาเด็กและเยาวชน ประจำปี 2555 | พม | 28/01/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอรายงานการพัฒนาเด็กและเยาวชน ประจำปี ๒๕๕๕ ตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๒๐ โดยรายงานดังกล่าวมีสาระสำคัญ ๔ ส่วน ดังนี้
๑. ส่วนที่ ๑ ประชากรเด็กและเยาวชน เป็นการนำเสนอโครงสร้างและแนวโน้มประชากรเด็กและเยาวชน ตลอดจนความต้องการและสภาวการณ์ของเด็กและเยาวชนในอนาคต ๒. ส่วนที่ ๒ สภาพการณ์และแนวโน้ม ผลการดำเนินการ และแนวทางการแก้ไขปัญหาการพัฒนาเด็กและเยาวชน ประกอบด้วย เด็กและเยาวชนกับครอบครัว เด็กและเยาวชนกับสุขภาพและความปลอดภัย เด็กและเยาวชนกับการศึกษา เด็กและเยาวชนกับวัฒนธรรมคุณธรรม จริยธรรม เด็กและเยาวชนกับการนันทนาการ เด็กและเยาวชนกับสื่อ เด็กและเยาวชนกับการส่งเสริมการมีส่วนร่วม รวมถึงสภานักเรียน และการรวมกลุ่ม เด็กและเยาวชนกับการปกป้องคุ้มครองเป็นพิเศษ เด็กและเยาวชนกับการประกอบอาชีพและการมีงานทำ เด็กและเยาวชนกับกฎหมาย กฎ ระเบียบ เด็กและเยาวชนกับการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ๓. ส่วนที่ ๓ สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย เป็นการรายงานผลงานความก้าวหน้าของสภาเด็กและเยาวชน รวมทั้งวิเคราะห์ความสำเร็จ/ปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานของสภาเด็กและเยาวชน ๔. ส่วนที่ ๔ งบประมาณการพัฒนาเด็กและเยาวชนเป็นการวิเคราะห์การใช้งบประมาณเพื่อการพัฒนาเด็กและเยาวชน ทั้งนี้ ได้มีข้อเสนอแนะในการขับเคลื่อนงานพัฒนาเด็กและเยาวชน แบ่งเป็น ๔.๑ มาตรการเร่งด่วน ประกอบด้วย ด้านสุขภาพอนามัยและความปลอดภัย ด้านการส่งเสริมพัฒนาการเด็กเล็ก ด้านสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมและปลอดภัยสำหรับเด็ก ด้านมาตรการเร่งด่วนเพื่อลดปัญหาและผลกระทบจากการตั้งครรภ์ของกลุ่มเด็กและเยาวชน ด้านการปกป้องคุ้มครองเด็ก ด้านผลกระทบจากสื่อ ด้านการเข้าสู่ตลาดแรงงานของเยาวชน และด้านการดำเนินงานของสภาเด็กและเยาวชน ๔.๒ มาตรการระยะยาว ประกอบด้วย เสริมสร้างการพัฒนาศักยภาพของครอบครัวแบบองค์รวม พัฒนาระบบบริหารจัดการในการคุ้มครองและพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีการต่อเชื่อมกันมากขึ้น และสร้างความเข้มแข็งให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคีอื่น ๆ
|
||||||||||||||||||||||||
1334 | รายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2555 | ทส | 28/01/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงคุณภาพทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๕ ประเด็นปัญหาสำคัญ และแนวโน้มสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม ๑.๑ ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมของประเทศในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจและสังคมภายในประเทศ ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๔๑-๒๕๕๔ เศรษฐกิจของประเทศมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยสูงถึง ร้อยละ ๖ ต่อปี ในขณะที่จำนวนประชากรในประเทศเพิ่มอย่างต่อเนื่อง จาก ๖๒ ล้านคน ในปี พ.ศ. ๒๕๔๗ เป็น ๖๔.๑ ล้านคน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ คิดเป็นอัตราการเติบโต เฉลี่ยร้อยละ ๐.๕ ต่อปี โดยเฉพาะประชากรในเขตเทศบาลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในเกือบทุกภูมิภาค นอกจากนี้ ยังพบว่า การลงทุน การส่งออก จำนวนนักท่องเที่ยว เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน จากข้อมูลต่าง ๆ บ่งชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะมีความต้องการใช้ทรัพยากรเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งส่งผลให้เกิดของเสียและมลพิษเพิ่มมากขึ้นด้วย ๑.๒ ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๕ มีประเด็นทางสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติในแต่ละพื้นที่ที่น่าสนใจ ได้แก่ อุทกภัยปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สถานการณ์หมอกควันและไฟป่าในช่วงต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และการลักลอบค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมาย ๑.๓ แนวโน้มสถานการณ์ที่สำคัญในอนาคต ได้แก่ การบริหารจัดการน้ำที่ต้องดำเนินการอย่างบูรณาการและให้ความสำคัญกับการจัดการทั้งด้านปริมาณและคุณภาพน้ำ และแนวคิดเศรษฐกิจสีเขียวที่กำลังเข้ามาเป็นเครื่องมือหลักในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ๒. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และข้อเสนอแนะด้านมาตรการหรือเครื่องมือ ๒.๑ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ประกอบด้วย ระยะสั้น ได้แก่ การตั้งเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะต่าง ๆ อย่างชัดเจน การพัฒนาระบบช่วยการตัดสินใจ และระยะยาว ได้แก่ การลงทุนเพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจสีเขียว เศรษฐกิจพอเพียง และการพัฒนาที่ยั่งยืน การสนับสนุนและส่งเสริมการบูรณาการทางความคิด การวางแผนงาน และการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐ ๒.๒ ข้อเสนอแนะด้านมาตรการ ประกอบด้วย ระยะสั้น ได้แก่ การสร้างระบบตรวจสอบและติดตามการดำเนินงานเฝ้าระวัง ติดตามจับกุมผู้กระทำผิด การพัฒนาระบบประชาสัมพันธ์และการให้ความรู้ผ่านสื่อประเภทต่าง ๆ และการใช้กลไกงบประมาณเพื่อเป็นเครื่องมือในการยกระดับความสำคัญของปัญหาสิ่งแวดล้อมและป้องกันการดำเนินงานที่ซ้ำซ้อนกันระหว่างหน่วยงานทั้งในระดับรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น และระยะยาว ได้แก่ การพัฒนาระบบบูรณาการทางข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ และการสนับสนุนการใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์เพื่อสร้างแรงจูงใจในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
|
||||||||||||||||||||||||
1335 | รายงานประจำปี 2555 คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร01 | 28/01/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๕๕ คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ มีสาระสำคัญ ๓ ส่วน ดังนี้
๑. ส่วนที่ ๑ คณะกรรมการ/คณะอนุกรรมการเกี่ยวกับการกระจายอำนาจ ๒. ส่วนที่ ๒ ผลการดำเนินงานเกี่ยวกับการกระจายอำนาจ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประกอบด้วย การกระจายอำนาจด้านภารกิจและอำนาจหน้าที่ การกระจายอำนาจด้านการเงิน การคลัง และงบประมาณ การกำหนดสัดส่วนรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การกำหนดหลักการการจัดสรรรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรภาษีให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๓. ส่วนที่ ๓ การดำเนินงานเพื่อสนับสนุนการกระจายอำนาจ ประกอบด้วย การติดตามและประเมินผล การพัฒนาและฝึกอบรม การเผยแพร่การประชาสัมพันธ์ และการดำเนินการอื่น ๆ
|
||||||||||||||||||||||||
1336 | รายงานผลการปฎิบัติงานของคณะกรรมการวิธีปฎิบัติราชการทางปกครองตามพระราชบัญญัติวิธีปฎิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ประจำปี 2555 | นร09 | 21/01/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ประจำปี ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การให้คำปรึกษาแก่เจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ คณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองได้ให้คำปรึกษาและตอบข้อหารือแก่หน่วยงานของรัฐ อาทิ กรมบังคับคดี เรื่องที่ขอหารือ ได้แก่ การมอบอำนาจในการดำเนินการพิจารณาใช้มาตรการบังคับทางปกครอง สำนักงานประกันสังคม เรื่องที่ขอหารือ ได้แก่ บัญญัติมาตรา ๖๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ จะนำมาใช้ขยายกำหนดเวลาการนำส่งเงินสมทบของนายจ้างตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ได้หรือไม่ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เรื่องที่ขอหารือ ได้แก่ การสรรหาประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก เรื่องที่ขอหารือ ได้แก่ การใช้มาตรการบังคับทางปกครองในกรณีอนุโลมให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับกับพนักงานขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก เป็นต้น ๒. การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาซึ่งทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองได้จัดฝึกอบรมข้าราชการของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อเป็นวิทยากรออกไปเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามที่หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐร้องขอ ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นอย่างต่อเนื่องตลอดมา สำหรับปี ๒๕๕๕ ได้มีการจัดวิทยากรไปบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองให้แก่ กรมบัญชีกลาง กรมวิชาการเกษตร สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม สำนักบังคับคดีอาญาและบังคับใช้กฎหมาย กระทรวงยุติธรรม นอกจากนี้ได้จัดเจ้าหน้าที่ไว้ให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์แก่เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ และประชาชนที่ต้องการปรึกษาปัญหาเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง โดยในปี ๒๕๕๕ มีการให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์ จำนวนทั้งสิ้น ๑๓๒ ครั้ง และได้เผยแพร่เอกสารที่จัดพิมพ์ขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ และประชาชนที่สนใจเป็นระยะ ๆ
|
||||||||||||||||||||||||
1337 | รายงานผลการจัดนิทรรศการโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างอนาคตประเทศ ครั้งที่ 2 | นร04 | 25/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการจัดนิทรรศการ “สร้างอนาคตไทย ๒๐๒๐” ระหว่างวันที่ ๘ พฤศจิกายน-๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพชรบุรี เชียงใหม่ นครศรีธรรมราช และสงขลา (หาดใหญ่) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กิจกรรมหลักในการจัดนิทรรศการฯ ประกอบด้วย การแสดงปาฐกถาพิเศษ และการเสวนาของผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ส่วนรูปแบบนิทรรศการฯ แบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ ส่วนที่ ๑ ก้าวใหม่การพัฒนา เชื่อมไทยสู่โลก และส่วนที่ ๒ ยกระดับทุกมิติเพื่อคนไทยทุกคน รวมทั้งกิจกรรมประกอบการชมนิทรรศการฯ เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เข้าร่วมชมนิทรรศการฯ ได้ศึกษาและทำความเข้าใจโครงการต่าง ๆ ๒. ผลการจัดนิทรรศการฯ จำนวนผู้เข้าร่วมนิทรรศการฯ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพชรบุรี เชียงใหม่ และนครศรีธรรมราช มีจำนวนทั้งสิ้น ๒๒๙,๙๖๒ คน ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมชมนิทรรศการ มีความประทับใจนิทรรศการรถไฟความเร็วสูงมากที่สุด และมีข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ ได้แก่ ควรประชาสัมพันธ์การจัดนิทรรศการฯ เพิ่มขึ้นและให้เข้าถึงประชาชนทุกกลุ่ม เพิ่มเจ้าหน้าที่ตามจุดต่าง ๆ ภายในสถานที่จัดงาน และจัดสถานที่ให้มีขนาดเหมาะสมต่อปริมาณของผู้เข้าร่วมงาน สำหรับจังหวัดสงขลา (หาดใหญ่) มีกลุ่มผู้ชุมนุมที่ไม่เห็นด้วยมาคัดค้านการจัดนิทรรศการฯ ทำให้ไม่สามารถจัดงานต่อไปได้ ๓. การดำเนินการในระยะต่อไป ๓.๑ ควรกำหนดให้มีหน่วยงานของภาครัฐเปิดช่องทางการเผยแพร่ข้อมูลประชาสัมพันธ์ข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยอาจจัดทำเว็บไซต์เรื่องการปรับโครงสร้างคมนาคมของประเทศอย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งรวบรวมข้อมูลและเอกสารที่เกี่ยวข้องและให้บริการดาวน์โหลดเอกสารดังกล่าวเพื่อให้ประชาชนทุกภาคส่วนได้รับรู้ข่าวสารการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศอย่างต่อเนื่อง ๓.๒ ควรมอบหมายให้กรมการพัฒนาชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากลไกสนับสนุนให้มีการจัดกิจกรรม “จานด่วนไทย ไปครัวโลก” อย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับวิชาชีพการทำอาหารท้องถิ่นไปสู่ระดับมาตรฐานสากล ๓.๓ ควรมอบหมายให้หน่วยงานภาครัฐที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการสื่อสารมวลชนจัดให้มีการพัฒนาบุคลากรและระบบฐานข้อมูลเพื่อให้บุคลากรสามารถวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ได้อย่างเข้าใจและลึกซึ้งเช่นเดียวกับสถานีโทรทัศน์ของภาคเอกชน
|
||||||||||||||||||||||||
1338 | แนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร | นร05 | 10/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ๒. เห็นชอบแนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้พิจารณาร่วมกัน และให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติ ๓. เห็นชอบให้ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ถือปฏิบัติ ๓.๑ กำชับข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ในสังกัดทุกประเภททุกระดับ ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๓๙ [เรื่อง การปรับปรุง แก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการเลือกตั้ง (แจ้งตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร ๐๒๑๖/ว ๑๔๑ ลงวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๓๙)] โดยเคร่งครัด โดยเฉพาะการให้ความร่วมมือช่วยเหลือและสนับสนุน การดำเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อได้รับการร้องขอจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดหรือคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้ง รวมทั้งการวางตัวเป็นกลางของข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกประเภทและทุกระดับดังกล่าวด้วย ๓.๒ เห็นชอบในหลักการให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถนำงบประมาณมาสนับสนุนการเลือกตั้งได้ โดย ๓.๒.๑ กรณีเป็นการดำเนินการใด ๆ ที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้แต่ละหน่วยงานพิจารณาดำเนินการไปได้ตามความเหมาะสม ๓.๒.๒ กรณีเป็นการดำเนินการใด ๆ ที่ไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้แต่ละหน่วยงานเสนอขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ๓.๒.๓ เห็นชอบให้กระทรวง กรม รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้างของหน่วยงานต่าง ๆ ดังกล่าว ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๐ [เรื่อง สรุปผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการการเลือกตั้ง (แจ้งตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๕๐๖/ว ๑๔๗ ลงวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๐)]
|
||||||||||||||||||||||||
1339 | รายงานสรุปผลการประชุมประจำปี 2556 เรื่อง เส้นทางประเทศไทย....สู่ประชาคมอาเซียน | นร11 | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการประชุมประจำปี ๒๕๕๖ เรื่อง เส้นทางประเทศไทย...สู่ประชาคมอาเซียน เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๖ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี เพื่อติดตามความก้าวหน้า ปัญหา และอุปสรรคของการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในมิติต่าง ๆ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุม ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปความคิดเห็นของวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ๑.๑ การพัฒนาการศึกษาที่ต้องส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริง และการปรับเปลี่ยนระบบการประเมินคุณภาพจากการประเมินเฉพาะด้านวิชาการอย่างเดียว เป็นการประเมินที่ครบทั้งการพัฒนาด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม ๑.๒ การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาให้มากขึ้นเพื่อใช้ประกอบการดำเนินงานในกิจการภาครัฐ สร้างนวัตกรรม และพัฒนาสินค้าและบริการให้มีมูลค่าสูงขึ้น ๑.๓ การสร้างความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย ๑.๔ การพัฒนาคนทั้งด้านองค์ความรู้และทักษะการทำงานควบคู่ไปกับการเร่งสร้างความปรองดองของคนในชาติ ๒. สรุปความเห็นร่วมกันจากการประชุมกลุ่มย่อย ๒.๑ กลุ่มที่ ๑ : การเตรียมความพร้อมด้านการเงิน การคลัง และการค้าการลงทุนเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ได้แก่ การวางบทบาทหรือตำแหน่ง (Positioning) ของประเทศ และการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาที่มีความเชื่อมโยงระหว่างท้องถิ่น ประเทศ และโลก การปรับปรุงกฎ ระเบียบ และโครงสร้างภาษีที่เป็นอุปสรรคต่อการค้า การผลิต และการลงทุนให้เหมาะสมและเอื้อต่อการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว การให้ความสำคัญกับการค้าชายแดน และการอำนวยความสะดวกทางการค้า การกำหนดนโยบายการส่งเสริมการลงทุนของไทยในต่างประเทศเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีศักยภาพ การเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรทั้งในภาครัฐ ภาคการผลิต และภาคบริการ อย่างเหมาะสมและตรงตามความต้องการ การเฝ้าระวังและติดตามผลกระทบทางลบที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งเตรียมมาตรการเพื่อรองรับและบริหารจัดการผลกระทบ และการสร้างความร่วมมือกับประเทศนอกกลุ่มอาเซียนในการพัฒนาประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางทางด้านการเงินและการบริการในอนุภูมิภาค ๒.๒ กลุ่มที่ ๒ : สร้างสังคมผู้ประกอบการไทยก้าวอย่างมั่นใจสู่ประชาคมอาเซียน ได้แก่ การเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการ โดยคำนึงถึงการปรับแบบแผนธุรกิจด้วยการปรับปรุงผลิตภาพและลดต้นทุน หรือปรับปรุงกระบวนการผลิตโดยเลือกผลิตสินค้าและบริการที่มีความเชี่ยวชาญ การเร่งพัฒนาทักษะและความรู้ที่หลากหลายเพื่อยกระดับศักยภาพและสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจ การสนับสนุนผู้ประกอบการโดยการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทั้งระบบ และการพัฒนาต่อยอดด้านการศึกษาเพื่อให้เป็นผู้ประกอบการที่มีคุณภาพ และการส่งเสริมสินค้าไทยที่มีศักยภาพการแข่งขันสูงอยู่แล้ว ต้องมีการปรับตัวโดยนำเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาพัฒนาต่อยอดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แข่งขันได้ ๒.๓ กลุ่มที่ ๓ : สร้างสรรค์สังคมไทยสู่ประชาคมอาเซียน ได้แก่ การกระตุ้นให้สังคมไทยตื่นตัวและสร้างภูมิคุ้มกันให้สามารถเผชิญการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเปิดเสรีด้านต่าง ๆ ทั้งเงินทุน สินค้า บริการ และแรงงาน เพื่อมิให้คนไทยตกเป็นเหยื่อของภัยคุกคามที่มากับกระแสการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว การให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับการลงทุนระยะยาวเพื่อพัฒนาคุณภาพคน โดยต้องปฏิรูปวิธีเรียนการสอนให้นักเรียนรู้จักคิด วิเคราะห์และสังเคราะห์ มีความต้องการใฝ่เรียนรู้ที่จะนำไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต การสร้างจิตสำนึกที่ดี เป็นคนดีมีคุณธรรม จริยธรรม ซึ่งเป็นพื้นฐานการสร้างสังคมที่ดีและสร้างภูมิคุ้มกันให้สังคม การเน้นให้สมาชิกอาเซียนสร้างค่านิยมร่วม การเห็นประโยชน์ส่วนรวมและการเปิดใจกว้างยอมรับคนอื่นเพื่อลดความแตกแยกของสังคม และการมีระบบคุ้มครองทางสังคมให้กับคนไทยและประชาชนอาเซียนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ๒.๔ กลุ่มที่ ๔ : การเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานสู่อาเซียน ได้แก่ การเร่งรัดการปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบเพื่อการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและบริการให้สามารถใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานได้เต็มศักยภาพ การพัฒนาเชิงพื้นที่รองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งในเมืองหลักและเมืองชายแดน การส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและการใช้พลังงานทดแทนเพื่อลดความต้องการพลังงานในอนาคตบางส่วนที่ต้องจัดหาแหล่งพลังงานจากต่างประเทศและสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน และการสนับสนุนให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งภายในประเทศและในประเทศเพื่อนบ้าน ๒.๕ กลุ่มที่ ๕ : การเตรียมความพร้อมระดับจังหวัดและกลุ่มจังหวัดเพื่อรองรับประชาคมอาเซียน ได้แก่ บทบาทการพัฒนาเป็นศูนย์กลางการบริการหลัก บทบาทการพัฒนาตามแนวระเบียงเศรษฐกิจ บทบาทการพัฒนาเมืองชายแดนในแต่ละภูมิภาคที่มีเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน บทบาทการพัฒนาเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ และบทบาทการพัฒนาเป็นเครือข่ายสนับสนุนเชื่อมโยงกับเมือง ๒.๖ กลุ่มที่ ๖ : สู่ประชาคมอาเซียน : บริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างไรให้ยั่งยืน ได้แก่ การปฏิรูปกฎหมายและกฎ ระเบียบต่าง ๆ ในการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีการปรับประสานกฎ ระเบียบ และกฎหมายการป้องกันคุณภาพสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน การนำเสนอปัญหาด้านการท่องเที่ยวให้เป็นวาระแห่งชาติ และการส่งเสริมองค์ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมและการบริโภคอย่างยั่งยืนให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง การสร้างกลไกภาคประชาชน ประชาสังคม และนักวิชาการให้เข้ามามีส่วนร่วมในการติดตาม ตรวจสอบ และแก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบสารสนเทศฐานข้อมูลและเทคโนโลยีการติดตามตรวจสอบที่ทันสมัย และภาครัฐควรเป็นผู้นำในการสนับสนุน การสร้างจิตสำนึกด้านการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศสมาชิกอาเซียน
|
||||||||||||||||||||||||
1340 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนจักรเพชรกับถนนตรีเพชร พ.ศ. .... | มท | 25/11/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนจักรเพชรกับถนนตรีเพชร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่นสายเชื่อมระหว่างถนนจักรเพชรกับถนนตรีเพชร ในท้องที่แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
.....