ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 64 จากทั้งหมด 199 หน้า แสดงรายการที่ 1261 - 1280 จากข้อมูลทั้งหมด 3975 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1261 | การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการตามพระราชบัญญัติการอำนวยการความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 | นร | 27/01/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ รวมทั้งผู้ปฏิบัติงานของส่วนราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนอย่างแท้จริง ตลอดจนให้จัดทำคู่มือสำหรับประชาชนตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
1262 | การขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีการทำสัญญาเช่าอาคารที่ทำการสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย แห่งใหม่ | กต | 27/01/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๓ เพื่อเป็นค่าเช่าอาคารที่ทำการสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม วงเงินงบประมาณ ๕๑,๔๐๐,๘๐๐ บาท หรือไม่เกินวงเงินตามสกุลเงินท้องถิ่นสำหรับกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. สำหรับงบประมาณในการดำเนินการให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบดำเนินงาน รายการค่าเช่าอาคารสถานทูตสถานกงสุล จำนวน ๖,๘๕๓,๔๔๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๓ จำนวน ๔๔,๕๔๗,๓๖๐ บาท ทั้งนี้ การดำเนินการเช่าอาคารดังกล่าว ให้กระทรวงการต่างประเทศปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน รวมทั้งคำนึงถึงความคุ้มค่า ประหยัด และประโยชน์ของทางราชการเป็นสำคัญ และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมโดยสอดคล้องกับค่าเช่าที่จะต้องจ่ายจริงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
1263 | การดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | พณ | 20/01/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย สถานการณ์การคุ้มครองศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นในปัจจุบัน การคุ้มครองภายใต้ระบบกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา การดำเนินการของกรมทรัพย์สินทางปัญญาภายใต้ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี และปัญหากรณีที่มีการนำศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นไทยไปใช้ประโยชน์โดยต่างชาติ ๑.๒ เห็นชอบกับความเห็นแนวทางการดำเนินการ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองและส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นไทยดำเนินการต่อไป ในส่วนของการคุ้มครองศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นไทย ด้านศิลปวัฒนธรรม ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น ด้านพันธุ์พืช และด้านทรัพย์สินทางปัญญา การแก้ไขปัญหากรณีที่มีการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นและศิลปวัฒนธรรมไทยไปใช้ประโยชน์โดยต่างชาติ และการเพิ่มประสิทธิภาพในการคุ้มครองและส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นไทยในสาขาที่ไทยมีศักยภาพและอยู่ในความสนใจของต่างชาติ ตลอดจนมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน หรือมีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่สามารถพัฒนาและต่อยอดไปสู่สินค้าอุตสาหกรรม ๒. ให้หน่วยงานที่ได้รับมอบหมาย ได้แก่ ด้านศิลปวัฒนธรรม (กระทรวงวัฒนธรรม) ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น (กระทรวงสาธารณสุข) ด้านพันธุ์พืช (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) ด้านทรัพย์สินทางปัญญา (กระทรวงพาณิชย์) เร่งดำเนินการคุ้มครองและส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นไทยให้เป็นรูปธรรม เช่น การขึ้นทะเบียนปราชญ์ชาวบ้าน ภูมิปัญญาท้องถิ่นในเรื่องต่าง ๆ พร้อมทั้งจัดทำแผนปฏิบัติการที่จะดำเนินการในช่วงระยะเวลา ๓ เดือน ๖ เดือน ๙ เดือน และ ๑ ปี ให้ชัดเจน แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ตามแนวทางของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องประเภทนโยบาย แผนงาน โครงการต่อคณะรัฐมนตรี) ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีกฎหมายเฉพาะ (sui generis) ที่คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่เป็นศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ครอบคลุมภารกิจของทุกหน่วยงาน รวมทั้งผลักดันเรื่องดังกล่าวในเวทีองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) ให้มีผลผูกพันระหว่างประเทศและเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ควรเป็นเจ้าภาพหลักในการหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ทราบถึงปัญหา อุปสรรคการดำเนินงานที่ผ่านมา และเพื่อร่วมกันกำหนดขอบเขตและแนวทางในการดำเนินงาน ซึ่งจะทำให้สามารถลดระยะเวลา ขั้นตอนและกระบวนการทำงาน ตลอดจนความซ้ำซ้อนของงาน รวมทั้งการบูรณาการการดำเนินงานร่วมกันในการจัดทำฐานข้อมูลการคุ้มครองและส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทยในภาพรวมของประเทศ และการเผยแพร่และสร้างความตระหนักรู้ให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อให้เกิดเอกภาพและประสิทธิภาพในการจัดสรรงบประมาณด้านทรัพย์สินทางปัญญาของไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1264 | วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | นร07 | 20/01/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ นโยบายงบประมาณ วงเงินและโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ที่กำหนดนโยบายงบประมาณขาดดุลสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๓๙๐,๐๐๐ ล้านบาท และมีวงเงินงบประมาณรายจ่าย จำนวน ๒,๗๒๐,๐๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่กำหนดไว้ ๒,๕๗๕,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๑๔๕,๐๐๐ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕.๖ ๑.๒ แนวทางการจัดทำและเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ นโยบายความมั่นคงแห่งชาติ นโยบายสำคัญของรัฐบาล และจุดเน้นของยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ บูรณาการในระดับกระทรวง/หน่วยงาน และบูรณาการระดับพื้นที่ จัดลำดับความสำคัญของภารกิจ ให้ความสำคัญบูรณาการ ๑๙ เรื่อง ชะลอ ปรับลด หรือยกเลิกการดำเนินภารกิจที่มีความสำคัญในระดับต่ำหรือหมดความจำเป็น พิจารณาการใช้จ่ายให้ครอบคลุมทุกแหล่งเงิน และจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่ชัดเจน ๑.๓ การจัดสรรงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๒๖๗,๙๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่ได้รับการจัดสรร ๒๕๗,๖๖๓.๘ ล้านบาท เป็นจำนวน ๑๐,๒๓๖.๒ ล้านบาท ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ในลักษณะบูรณาการแผนงาน/โครงการเช่นเดียวกับการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และให้จัดทำแผนงาน/โครงการอย่างละเอียดรอบคอบ รวมทั้งกำหนดรายละเอียดแผนงาน/โครงการให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นเพื่อให้สามารถดำเนินการต่อไปได้โดยเร็ว ๓. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงบประมาณจัดทำรายละเอียดและแนวทางการบริหารจัดการหนี้สาธารณะที่คงค้างเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่องบประมาณเพื่อการลงทุนของภาครัฐ แล้วนำเสนอรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) ก่อนเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1265 | ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการนครแม่สอด พ.ศ. .... | นร01 | 13/01/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้ชะลอการดำเนินการร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการนครแม่สอด พ.ศ. .... ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีตามข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่า รัฐบาลมีนโยบายในการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษบริเวณชายแดนอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อรองรับการขยายตัวของภาคเศรษฐกิจระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน และเพื่อรองรับให้อำเภอแม่สอดเป็นเมืองเศรษฐกิจการค้าชายแดน-การลงทุน-การท่องเที่ยวระหว่างประเทศ เป็นศูนย์กลางภูมิภาคบนระเบียงเศรษฐกิจเส้นทางสายตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor) และเป็นพื้นที่รองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ที่จะเกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งหลักการของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ยังไม่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ๒. มอบให้รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) จัดให้มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเพื่อพิจารณากำหนดพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษในจังหวัดต่าง ๆ โดยเฉพาะ (๑) อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก (๒) อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว (๓) พื้นที่ชายแดนจังหวัดตราด (๔) พื้นที่ชายแดนจังหวัดมุกดาหาร และ (๕) อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ซึ่งการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษของแต่ละพื้นที่อาจพิจารณาใช้ประโยชน์จากพื้นที่ราชการเป็นลำดับแรก โดยคำนึงถึงกลไกในการส่งเสริมการลงทุน การอำนวยความสะดวกในการส่งออก การนำเข้า การผ่านแดน หรือการข้ามแดนของเอกชน โดยไม่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น |
||||||||||||||||||||||||
1266 | ผลการประชุมเวทีหารือระดับรัฐมนตรีเพื่อพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ ครั้งที่ 6 (The 6th Economic Corridor Forum : ECF) ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม และการประชุมระดับรัฐมนตรีเศรษฐกิจ กรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง - ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ 6 (The 6th Mekong - Japan Economic Ministers Meeting) ณ กรุงเนปยิดอ ประเทศเมียนมา | นร11 | 13/01/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมเวทีหารือระดับรัฐมนตรีเพื่อพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๖ (The 6th Economic Corridor Forum : ECF) ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ระหว่างวันที่ ๗-๘ สิงหาคม ๒๕๕๗ และการประชุมระดับรัฐมนตรีเศรษฐกิจ กรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๖ (The 6th Mekong-Japan Economic Ministers Meeting) ณ กรุงเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ระหว่างวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๗ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมเวทีหารือระดับรัฐมนตรีเพื่อพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๖ รัฐมนตรีแผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (GMS) ได้ร่วมกันทบทวนบทบาทเวทีหารือระดับรัฐมนตรีเพื่อพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจในอนาคต เพื่อเน้นการตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ โดยเสนอให้มีการจัดการประชุมสำหรับผู้ว่าราชการจังหวัดและเจ้าแขวง (Governors’ Forum) เพื่อเปิดโอกาสให้รัฐบาลท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ และมีการเชิญชวนให้ภาคเอกชนและนักลงทุนที่มีศักยภาพเข้าร่วมลงทุนเพื่อการพัฒนาด้วย รวมทั้งเห็นควรให้เพิ่มบทบาทคณะทำงานสาขาการอำนวยความสะดวกด้านการค้ามากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ รัฐมนตรีแผนงาน GMS ร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งสมาคมการรถไฟของประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Railway Association : GMRA) ระหว่างปลัดกระทรวงคมนาคมของไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการวางแผนและการลงทุนของเวียดนาม เป็นผลให้ทุกประเทศลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าวครบถ้วนทั้ง ๖ ประเทศแล้ว ๒. การประชุมระดับรัฐมนตรีเศรษฐกิจ กรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๖ รัฐมนตรีลุ่มแม่น้ำโขงและญี่ปุ่นรับทราบความคืบหน้าการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงและแนวทางในการดำเนินงานในอนาคต ประกอบด้วย โครงการภายใต้แนวทางการพัฒนาลุ่มน้ำโขง และการจัดทำวิสัยทัศน์การพัฒนาอุตสาหกรรมลุ่มแม่น้ำโขง รวมทั้งให้ความเห็นชอบต่อแถลงการณ์ร่วม (Joint Media Statement) ซึ่งมีสาระสำคัญในการรายงานผลลัพธ์การดำเนินงานตามที่ประชุมสุดยอดผู้นำ ครั้งที่ ๕ และนำเสนอความก้าวหน้าโครงการตามแนวทางการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง ระหว่างปี ๒๕๕๖-๒๕๕๗ ตลอดจนรับทราบความก้าวหน้าในการจัดทำวิสัยทัศน์การพัฒนาอุตสาหกรรมลุ่มแม่น้ำโขง (Mekong Industrial Development Vision)
|
||||||||||||||||||||||||
1267 | ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 4 | กต | 06/01/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๔ [4th Mekong-Republic of Korea (ROK) Foreign Ministers’ Meeting] ระหว่างวันที่ ๒๘-๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี โดยที่ประชุมฯ ได้รับรองร่างถ้อยแถลงประธานร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๔ และแผนปฏิบัติการความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ปี ๒๕๕๗-๒๕๖๐ (Mekong-ROK Plan of Action 2014-2017) โดยถ้อยแถลงประธานร่วมการประชุมฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการทบทวนและทิศทางในอนาคตของความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี การส่งเสริมความร่วมมือสำหรับประเด็นในระดับภูมิภาคและระดับโลก และการประชุมลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี สำหรับแผนปฏิบัติการความร่วมมือฯ มีสาระสำคัญระบุถึงเป้าหมายและโครงการความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกใน ๖ สาขา ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยีสารสนเทศ การพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การพัฒนาทรัพยากรน้ำ การเกษตรและการพัฒนาชนบท และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการความร่วมมือฯ จะได้รับการทบทวนอย่างสม่ำเสมอในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ และการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี และปรับปรุงให้ทันสมัยเมื่อจำเป็นเพื่อให้สอดรับกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปของความร่วมมือเพื่อการพัฒนาในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และความต้องการของประเทศลุ่มน้ำโขงอยู่เสมอ ๑.๒ มอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามตารางติดตามผลการประชุมฯ ได้แก่ ๑.๒.๑ ติดตามผลการดำเนินงานของโครงการศึกษาเพื่อพัฒนาโลจิสติกส์ตามแนวระเบียงเศรษฐกิจชายฝั่งตอนใต้ระหว่างไทย-กัมพูชา-เวียดนาม รวมทั้งโครงการจัดตั้ง Mekong Transportation Institute (Phase I) และเสนอโครงการในสาขานี้ โดยเน้นโครงการในลักษณะไตรภาคีระหว่างไทย-สาธารณรัฐเกาหลี-และประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ๑.๒.๒ เสนอโครงการในสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อสนับสนุนประเทศสมาชิกลุ่มน้ำโขงให้ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีฯ ในภาครัฐและภาคเอกชน ๑.๒.๓ ติดตามผลการดำเนินงานโครงการบุกเบิก ฟื้นฟู และบูรณะระบบนิเวศป่าไม้ที่เสื่อมโทรม ภายใต้ข้อตกลงความร่วมมือด้านป่าไม้ระหว่างอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลี และเสนอโครงการในสาขา Green Growth ที่เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ ภาคการผลิต และเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดยเน้นโครงการในลักษณะไตรภาคีระหว่างไทย-สาธารณรัฐเกาหลี-และประเทศ CLMV ๑.๒.๔ ร่วมดำเนินโครงการเกี่ยวกับการบริหารจัดการอุทกภัย การชลประทาน และการบริหารทรัพยากรน้ำอย่างบูรณาการในแม่น้ำโขง ๑.๒.๕ ดำเนินการโครงการอบรมครบวงจรเพื่อเพิ่มผลผลิตข้าวในประเทศลุ่มน้ำโขง ๑.๒.๖ ดำเนินงานและติดตามผลการฝึกอบรมบุคลากรในประเทศลุ่มน้ำโขงภายใต้โครงการ Freight and Transport Association (FRETA) Certified Logistics Master และโครงการ Promoting Regional Agriculture Value Chains on the GMS Southern Economic Corridor ๑.๒.๗ ร่วมมือในโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระดับประชาชนต่อประชาชน ๑.๒.๘ ประสานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย เข้าร่วมประชุม Mekong-ROK Business Forum ครั้งที่ ๓ ที่กัมพูชา ในปี ๒๕๕๘ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการความร่วมมือฯ ควรคำนึงถึงประเด็นการมีส่วนร่วมของประชาชนหรือชุมชนท้องถิ่น และการสื่อสารข้อมูลเพื่อสร้างความเข้าใจต่อชุมชน และในหัวข้อการเกษตรและการพัฒนาพื้นที่ชนบท ควรเพิ่มเติมเรื่องของการส่งเสริมเกษตรกรรมที่ปลอดการใช้สารเคมีในบริเวณพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง นอกจากนี้ ข้อเสนอของไทยจะดำเนินโครงการอบรมครบวงจรเกี่ยวกับการเพิ่มผลผลิตข้าวในร่างแผนปฏิบัติการความร่วมมือฯ ควรเน้นความสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืนทางด้านการจัดการน้ำไปพร้อมกันด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1268 | แผนงานทันตสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุประเทศไทย พ.ศ. 2558 - 2565 | สธ | 06/01/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของแผนงานทันตสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้สูงอายุเข้าถึงการบริการส่งเสริม ป้องกัน รักษาและฟื้นฟูสภาพช่องปากเพิ่มขึ้น สนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากด้วยตนเอง พัฒนาเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมด้านทันตสุขภาพที่จำเป็นสำหรับผู้สูงอายุ พัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านทันตกรรมผู้สูงอายุ รวมทั้งพัฒนาระบบบริหารจัดการ งบประมาณ การสนับสนุน การกำกับติดตาม และการประเมินผลการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาปรับปรุงแผนงานทันตสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุให้เน้นการดำเนินงานในเชิงป้องกันมากกว่าการแก้ไขปัญหาสุขภาพในช่องปาก โดยควรขยายกลุ่มเป้าหมายหลักให้ครอบคลุมถึงผู้มีอายุต่ำกว่า ๖๐ ปีด้วย โดยในการดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้กระทรวงสาธารณสุขกำหนดแผนปฏิบัติงาน เป้าหมาย และผลที่คาดว่าจะได้รับให้ชัดเจน เพื่อให้สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม สามารถชี้ให้เห็นชัดเจนว่า ประชาชนจะได้รับผลประโยชน์อย่างไรจากโครงการดังกล่าว ทั้งนี้ ให้จัดทำแผนปฏิบัติการ กำหนดตัวชี้วัดของผลสัมฤทธิ์เป็นรายไตรมาส รวมทั้งงบประมาณที่เกี่ยวข้องเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบก่อนการดำเนินการ ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมขององค์กรเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อร่วมกันพัฒนาและยกระดับคุณภาพสาธารณสุขและสุขภาพประชาชน การจัดทำแผนทันตกรรมทุกช่วงวัย ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยผู้สูงอายุ การเพิ่มมาตรการ/กลไก การติดตามและการประเมินผล การรายงานผล การกำหนดเป้าหมาย/งบประมาณตามแผนปฏิบัติการที่กำหนดไว้ตามยุทธศาสตร์ โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ในการดำเนินงาน จำนวนบุคลากรที่เพียงพอต่อการให้บริการ รวมทั้งมีแผนการผลิต การพัฒนา และการใช้บุคลากรด้านทันตกรรมและทันตสาธารณสุขที่สอดคล้องกับการดำเนินการแผนงานดังกล่าว การให้ความสำคัญกับการพัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมในการจัดบริการด้านทันตสุขภาพ การกำหนดตัวชี้วัดในเชิงคุณภาพควบคู่กับตัวชี้วัดเชิงปริมาณ การสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน รวมทั้งการให้ความสำคัญกับการส่งเสริมป้องกันในแผนระยะที่สองเพิ่มมากขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1269 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. 2542 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร01 | 06/01/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ประธานกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม กรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม กรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ และกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการกรุงเทพมหานครและบุคลากรกรุงเทพมหานคร เพื่อมีบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐตามกฎหมายว่าด้วยบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมทั้งกำหนดผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัว ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
1270 | รายงานผลการดำเนินโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา "หมู่บ้านรักษาศีล 5" | พศ | 06/01/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา “หมู่บ้านรักษาศีล ๕ ” และให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมสนับสนุนการดำเนินงานต่อไป ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปผลการดำเนินงานในช่วง ๔ เดือนแรก (มิถุนายน-กันยายน ๒๕๕๗) มีหมู่บ้านที่สมัครเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน ๙,๖๗๑ หมู่บ้าน ประชาชนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน ๒,๕๓๕,๙๒๔ คน ทุกจังหวัดได้ประสานความร่วมมือในการดำเนินงานกับภาคส่วนต่าง ๆ โดยมีการแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงานในแต่ละจังหวัด จัดทำข้อตกลงความร่วมมือ ประชาสัมพันธ์โครงการฯ และเชิญชวนให้ประชาชนประพฤติตามหลักศีล ๕ ครอบคลุมทุกจังหวัดแล้ว ทั้งนี้ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้ประเมินผลโครงการฯ ครั้งแรกพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีความพึงพอใจต่อโครงการฯ ที่เสริมสร้างความเข้าใจ ความปรองดองสมานฉันท์ และการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาใช้ปฏิบัติต่อตนเองและสังคมในระดับดีมาก ๒. การดำเนินงานตามโครงการ “หมู่บ้านรักษาศีล ๕” เน้นการรณรงค์ส่งเสริมและปลูกฝังให้เยาวชนและประชาชนทุกคนรักษาศีล ๕ ขยายไปในพื้นที่ทั่วประเทศ ภายในระยะเวลา ๔ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐) จำนวน ๗,๒๕๕ ตำบล ๗๔,๖๙๓ หมู่บ้าน ๖๑,๕๖๑,๙๓๓ คน โดยแบ่งระยะการดำเนินงานเป็น ๒ ระยะ คือ ๒.๑ ระยะเร่งด่วน มอบหมายให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดดำเนินการประชุมชี้แจงคณะสงฆ์ หัวหน้าส่วนราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาไปแก้ปัญหาความขัดแย้ง ความแตกแยกในสังคม ให้ประชาชนปรับเปลี่ยนทัศนคติ ให้เกิดจิตสำนึกรักถิ่นฐานของตนเอง หันหน้ามาพูดคุยกันอย่างมีเหตุผล ยอมรับความคิดเห็นซึ่งกันและกัน มีความตระหนัก รักเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ผ่านกลไกทางพระพุทธศาสนา คือ หลักศีล ๕ ให้ครอบคลุมทั้ง ๗๗ จังหวัดทั่วประเทศ ๒.๒ การดำเนินงานปกติ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้กำหนดแผนงานในการขับเคลื่อนโครงการ “หมู่บ้านรักษาศีล ๕” ในระยะ ๔ ปีงบประมาณ คือ เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐ เพื่อเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างยั่งยืน โดยเน้นการประชาสัมพันธ์ รณรงค์ เชิญชวน ให้พุทธศาสนิกชนสมัครเป็นสมาชิกครอบครัวรักษาศีล ๕ หมู่บ้านรักษาศีล ๕ สถานศึกษารักษาศีล ๕ และหน่วยงานรักษาศีล ๕
|
||||||||||||||||||||||||
1271 | รายงานผลการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนบวกสาม และการประชุมวิชาการเจ้าหน้าที่อาวุโส เรื่อง การเตรียมพร้อมและแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา รวมทั้งผลการดำเนินงานโครงการรวมพลังปันน้ำใจ ต้านภัยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา | สธ | 06/01/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนบวกสาม และการประชุมวิชาการเจ้าหน้าที่อาวุโส เรื่อง การเตรียมพร้อมและแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ในวันที่ ๑๔-๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ โรงแรมรอยัล ออร์คิด เชอราตัน กรุงเทพมหานคร และผลการดำเนินงานโครงการรวมพลังปันน้ำใจ ต้านภัยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนบวกสาม เรื่องการเตรียมพร้อมและแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ประกอบด้วย การประชุมวิชาการเจ้าหน้าที่อาวุโส ในวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๗ และการประชุมระดับรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนบวกสาม ในวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ มีประเด็นผลการประชุมเจรจาและประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับ คือ ๑.๑ คำแถลงการณ์ร่วมของสมาชิกอาเซียนบวกสาม เน้นนโยบาย ๓ ด้าน ได้แก่ (๑) การเตรียมความพร้อมรับการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาในประเทศ (๒) การเสริมสร้างความเข้มแข็งในภูมิภาค และ (๓) ร่วมกับประชาคมโลกในการหยุดยั้งการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ๑.๒ ความร่วมมือในระดับภูมิภาคอาเซียนบวกสาม ประกอบด้วย ๔ มาตรการ ได้แก่ (๑) เพิ่มความร่วมมือด้านการป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อข้ามพรมแดนต่าง ๆ โดยการแลกเปลี่ยนข้อมูล การฝึกอบรมบุคลากร และการแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญ เป็นต้น (๒) สร้างกลไกการเตรียมความพร้อมตอบโต้โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาและโรคติดต่ออุบัติใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยการสนับสนุนด้านวิชาการจากองค์การอนามัยโลก (๓) จัดช่องทางสื่อสารการเตือนภัยล่วงหน้า มีสายด่วนรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขและเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านสาธารณสุข และ (๔) ความร่วมมือด้านการศึกษาวิจัย เพื่อพัฒนาและเพิ่มความพร้อมเครื่องมือในการป้องกันโรค ตรวจจับสัญญาณการระบาด การรักษาพยาบาล และการควบคุมโรคติดต่ออุบัติใหม่ต่าง ๆ เป็นต้น ๑.๓ ข้อเสนอแนะจากการเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ ประเทศไทยควรมีการดำเนินงานตามข้อแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน เรื่อง การเตรียมความพร้อมและแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ได้แก่ (๑) พัฒนาศักยภาพของการเฝ้าระวังและตอบโต้ภาวะฉุกเฉินของโรคติดต่ออุบัติใหม่ ทั้งในระดับภูมิภาค ประเทศ และท้องถิ่น เช่น การอบรมนักระบาดวิทยาภาคสนามและผู้เชี่ยวชาญ การพัฒนาโปรแกรมในการเฝ้าระวังสอบสวนโรค การซ้อมแผนเมื่อมีการระบาดของโรคติดต่ออุบัติใหม่ เป็นต้น (๒) สนับสนุนความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาค เพื่อป้องกันและควบคุมโรคติดต่ออุบัติใหม่ เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางระบาดวิทยาผ่านกลไกของกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulations : IHR) ความร่วมมือของบุคลากรในหลายภาคส่วน การแบ่งปันการใช้ทรัพยากร ทั้งอุปกรณ์ป้องกันตนเองส่วนบุคคล เวชภัณฑ์และโลจิสติกส์ต่าง ๆ เป็นต้น และ (๓) สร้างระบบเครือข่ายและพัฒนาแนวทางในการป้องกันและควบคุมโรคติดต่ออุบัติใหม่ระหว่างประเทศในภูมิภาคอย่างยั่งยืน ๒. ผลการดำเนินงานโครงการรวมพลังปันน้ำใจ ต้านภัยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับสภากาชาดไทยจัดทำโครงการดังกล่าวขึ้นเพื่อระดมเงินทุนภายในประเทศ โดยมีการประชาสัมพันธ์และจัดให้มีการเปิดรับเงินบริจาคผ่านรายการปันน้ำใจต้านภัยอีโบลาทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง ๕ ในวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ หรือโอนเงินทางบัญชีกระแสรายวัน ๓ ธนาคาร สาขาโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ชื่อบัญชี “พลังน้ำใจเพื่อหยุดยั้งอีโบลา” ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารกรุงไทย โดยรับบริจาคถึงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗
|
||||||||||||||||||||||||
1272 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่วัดและที่ธรณีสงฆ์ วัดเพลง แขวงบางพรม เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร ให้แก่กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... | พศ | 06/01/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่วัดและที่ธรณีสงฆ์ วัดเพลง แขวงบางพรม เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร ให้แก่กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่วัดและที่ธรณีสงฆ์ของวัดเพลง แขวงบางพรม เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร ให้แก่กรุงเทพมหานคร เพื่อสร้างทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนจรัญสนิทวงศ์กับถนนพุทธมณฑลสาย ๔ ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
1273 | ขอเสนอคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 1/2557 เรื่อง การได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นเป็นการชั่วคราว มาเพื่อนายกรัฐมนตรีทราบ และคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 127/2557 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ มาเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบ | สลธ.คสช. | 06/01/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑/๒๕๕๗ เรื่อง การได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นเป็นการชั่วคราว ลงวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๗
|
||||||||||||||||||||||||
1274 | รายงานสถานภาพ ภาพรวมด้านงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร07 | 30/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานสถานภาพ ภาพรวมด้านงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ประกอบด้วย เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี เงินตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะ ๓ เดือนแรก เงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจ (ที่ไม่ได้เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ) เงินทุนหมุนเวียน (ที่ไม่ได้เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ) และเงินอื่น ๆ (เงินไทยเข้มแข็งเดิม และเงิน พ.ร.ก. น้ำ ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม-๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ มีการเบิกจ่ายเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแล้วทั้งสิ้น ๘๕๖,๗๐๒ ล้านบาท (ไม่รวมเงินลงทุนรัฐวิสาหกิจ และเงินทุนหมุนเวียนที่ไม่เบิกจ่ายจากงบประมาณ) โดยคาดการณ์ว่าไตรมาสที่ ๑ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๗) จะมีการเบิกจ่ายเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ จำนวน ๙๘๔,๒๕๖ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเสนอ ๒. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ในคราวประชุมเมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ ได้แก่ ๒.๑ มาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพิ่มเติม ๒.๑.๑ รายการที่ลงนามในสัญญาแล้ว ให้เร่งรัดการดำเนินงานเพื่อให้สามารถตรวจรับงานและเบิกจ่ายเงินได้ก่อนสิ้นงวดงานแต่ละงวดงาน หรือก่อนระยะเวลาสัญญาสิ้นสุด ๒.๑.๒ รายการที่ไม่สามารถก่อหนี้ได้ภายในไตรมาสที่ ๓ แต่อยู่ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างแล้ว (ตั้งแต่ขั้นตอนการประกาศเชิญชวน) ให้เร่งรัดการดำเนินงาน เพื่อให้สามารถลงนามในสัญญาได้ภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๘ ๒.๑.๓ รายการที่ยังไม่ดำเนินการ (ยังไม่เริ่มขั้นตอนการประกาศเชิญชวน) ให้เร่งรัดการประกาศจัดซื้อจัดจ้างภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๘ เพื่อให้สามารถลงนามในสัญญาได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ กรณีมีรายการที่ต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายละเอียดรายการ หรือเปลี่ยนแปลงงบประมาณ ให้ลงนามในสัญญาภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ หากหน่วยงานใดไม่สามารถดำเนินการได้ภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ ให้กรมบัญชีกลางรวบรวมรายชื่อหน่วยงานพร้อมปัญหาอุปสรรคของหน่วยงานดังกล่าวเสนอคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐพิจารณาภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๘ ๒.๑.๔ รายการที่มีวงเงินเกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท ที่อยู่ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างแล้ว (ตั้งแต่ขั้นตอนการประกาศเชิญชวน) ให้ลงนามในสัญญาภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ สำหรับรายการที่ยังไม่เริ่มกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ให้เร่งรัดดำเนินการประกาศจัดซื้อจัดจ้างภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๘ รวมทั้งให้เสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เพื่อให้สามารถลงนามในสัญญาได้ภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ ๒.๑.๕ การเบิกจ่ายงบฝึกอบรมและประชุมสัมมนา ให้หน่วยงานเร่งรัดการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนการฝึกอบรมและประชุมสัมมนาที่ได้กำหนดไว้โดยเคร่งครัด ๒.๒ มาตรการกระตุ้นการเบิกจ่ายเงินของท้องถิ่นโดยเฉพาะงบเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ ๒.๒.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดกำกับดูแลเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินของท้องถิ่นให้เป็นไปตามมาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายเงิน รวมทั้งมอบหมายให้คลังจังหวัดร่วมกับท้องถิ่นจังหวัดติดตามเร่งรัดการก่อหนี้และการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนเฉพาะกิจของท้องถิ่น และรวบรวมปัญหาอุปสรรคที่ทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ให้กรมบัญชีกลาง เพื่อเสนอคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐพิจารณา ๒.๒.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยสั่งการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรายงานผลการจัดซื้อจัดจ้างและการเบิกจ่ายผ่านเว็บไซต์ www.dla.go.th หัวข้อ ระบบสารสนเทศเพื่อการวางแผนและประเมินผลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (e-Plan) ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๕ ของทุกเดือน ไปจนกว่าการดำเนินการจะสิ้นสุด โดยให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นรายงานให้คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐทราบภายในวันที่ ๑๐ ของทุกเดือน ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับดูแลให้ส่วนราชการในกำกับ เร่งรัดการเบิกจ่ายเงินให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยให้นำผลการเบิกจ่ายงบประมาณไปใช้ประกอบการพิจารณาในการประเมินผลการปฏิบัติราชการของหัวหน้าส่วนราชการตั้งแต่ระดับอธิบดีขึ้นไป ๔. ให้สำนักงบประมาณนำผลการเบิกจ่ายงบประมาณปี ๒๕๕๙ ของแต่ละส่วนราชการไปใช้ประกอบการพิจารณาในการจัดสรรงบประมาณปี ๒๕๕๙ ของแต่ละส่วนราชการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1275 | สรุปผลการจัดงานสานเสวนาการปฏิรูป "On the Path to Reform" | กต | 30/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานสรุปผลการจัดงานสานเสวนาการปฏิรูป “On the Path to Reform” เมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ โรงแรมแชงกรีลา กรุงเทพมหานคร โดยสาระสำคัญของงานสานเสวนาฯ ในครั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา โปรตุเกส ญี่ปุ่น เกาหลี ออสเตรเลีย สวิตเซอร์แลนด์ และเยอรมนี และ ๑ องค์กร ได้แก่ Centre for Humanitarian Dialogue ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และบทเรียนด้านการปฏิรูปใน ๓ สาขา ได้แก่ การปฏิรูปด้านการเมือง การบริหารราชการแผ่นดิน และการปกครองส่วนท้องถิ่น โดยได้มีการนำเสนอบทเรียนจากต่างประเทศ อาทิ ระบบที่มาของนายกรัฐมนตรีและความเชื่อมโยงกับอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติของประเทศต่าง ๆ การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตยโดยอาศัยการจัดทำรัฐธรรมนูญและการประนีประนอมระหว่างกลุ่มการเมืองและกลุ่มทหารในโปรตุเกส พัฒนาการทางการเมืองในอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์เทียบเคียงกับไทย การพัฒนาประสิทธิภาพของระบบราชการโดยยึดหลักคุณธรรมในเกาหลี การปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดินของออสเตรเลีย รวมถึงตัวอย่างของการปกครองส่วนท้องถิ่นและการกระจายอำนาจในสวิตเซอร์แลนด์และเยอรมนี ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศทั้งหมดมีความเห็นร่วมกันว่า ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้การขับเคลื่อนการปฏิรูปสำเร็จได้จำเป็นต้องเปิดให้ทุกฝ่ายสามารถมีส่วนร่วม รวมทั้งส่งเสริมความปรองดองเพื่อให้ผลของการปฏิรูปเป็นที่ยอมรับ
|
||||||||||||||||||||||||
1276 | โครงการของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน พ.ศ. 2558 | นร | 30/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบโครงการของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน พ.ศ. ๒๕๕๘ ของหน่วยงานต่าง ๆ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอ ดังนี้
๑. กระทรวงยุติธรรม จำนวน ๕ โครงการ/กิจกรรม ได้แก่ ๑.๑ สำนักงาน ป.ป.ส จัดทำแผนการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๘ ๑.๒ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เปิดจุดบริการ One Stop Service ช่วยเหลือเยียวยาเหยื่ออาชญากรรม ณ สถานีตำรวจภูธรและนครบาลทั่วประเทศ ๑.๓ กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จัดตั้งคลินิกให้คำปรึกษาเด็กและครอบครัวอบอุ่น ๑.๔ กรมบังคับคดี จัดทำโครงการ/กิจกรรมเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน ประกอบด้วย กิจกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดี โครงการเร่งรัดผลักดันทรัพย์สินออกจากกระบวนการบังคับคดี กิจกรรมขายทอดตลาดในวันเสาร์ และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการแก่คู่ความและประชาชน ๑.๕ กรมราชทัณฑ์ จัดโครงการเยี่ยมญาติแบบใกล้ชิดเป็นกรณีพิเศษ ๒. สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี จำนวน ๔ โครงการ/กิจกรรม ได้แก่ ๒.๑ การคัดเลือกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ดี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๒.๒ โครงการ “ปลูกไทย... ในแบบพ่อ” ๒.๓ ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล ๒.๔ โครงการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ๓. กรมประชาสัมพันธ์ จำนวน ๒ โครงการ/กิจกรรม ได้แก่ ๓.๑ โครงการกรมประชาสัมพันธ์คืนความสุขให้ประชาชน “ดนตรีในสวน” ๓.๒ โครงการ “ช่วยเหลือประชาชนในภาคเหนือ” ๔. สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค จำนวน ๔ โครงการ/กิจกรรม ได้แก่ ๔.๑ โครงการตรวจกระเช้าของขวัญปีใหม่ ๔.๒ โครงการตรวจการให้บริการ ณ ท่าเรือ ในจังหวัดพังงา กระบี่ และตรัง ๔.๓ โครงการตรวจการให้บริการ ณ สถานีขนส่ง ๔.๔ โครงการจัดทำระบบ Mobile Application ๕. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จำนวน ๑ โครงการ คือ โครงการสวดมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ ๖. สำนักงาน ก.พ.ร. จำนวน ๓ โครงการ/กิจกรรม ได้แก่ ๖.๑ โครงการ "คืนความสะดวกให้ประชาชน" ๖.๒ โครงการจัดตั้งศูนย์บริการภาครัฐในห้างสรรพสินค้า (Government Plaza) ๖.๓ การเพิ่มประสิทธิภาพการบริการของหน่วยงานภาครัฐเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจของประเทศไทย ตามรายงานการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลก (Ease of Doing Business Report) ๗. บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) จำนวน ๔ โครงการ/กิจกรรม ได้แก่ ๗.๑ กิจกรรมเอ็มคอทเรดิโอสโมสร (MCOT RADIO SAMOSORN) ๗.๒ โครงการเวทีความคิด ช่วง ๙๖๕ เดินหน้าปฏิรูป ๗.๓ โครงการ SEED คสช คืนความสุขให้ชาวซี้ด ๗.๔ กิจกรรม MET is Every Where
|
||||||||||||||||||||||||
1277 | รายงานผลการดำเนินงานจัดกิจกรรม "คืนความสุขสู่ประชาชน" ของกระทรวงอุตสาหกรรม | อก | 30/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานจัดโครงการ/กิจกรรม “คืนความสุขสู่ประชาชน” เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน จำนวน ๗ กิจกรรม ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จัดกิจกรรมคาราวานสินค้าราคาโรงงาน โดยคัดสรรสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น ได้แก่ ข้าวสาร ไข่ไก่ น้ำมันพืช น้ำตาล ซอสปรุงรส อาหารจากบริษัทในเครือซีพี กระจายออกไปจำหน่ายใน ๙ ชุมชนใหญ่ ในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีราคาถูกกว่าท้องตลาดร้อยละ ๓๐-๔๐ ๒. ยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีแก่ผู้ประกอบกิจการโรงงาน โดยประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีแก่ผู้ประกอบกิจการโรงงาน จำพวกที่ ๒ และ ๓ ทุกขนาด ที่จะถึงกำหนดเรียกเก็บ ระหว่างวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗-๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ ๓. จัดกิจกรรมภายใต้ชื่องาน “นิคมอุตสาหกรรม ส่งความสุขให้ชุมชน” โดยการนิคมอุตสาหกรรมทุกแห่งทั่วประเทศ (๓๒ แห่ง) ได้แก่ ทำบุญตักบาตร กิจกรรมลานสัมพันธ์ชุมชนรอบนิคม ออกร้านจำหน่ายสินค้าราคาพิเศษ กีฬาสานสัมพันธ์ จัดคอนเสิร์ตและรำวงย้อนยุค เยี่ยมชมนิคมฯ นิทรรศการให้ความรู้ การรับสมัครงาน การให้บริการด้านอื่น ๆ การมอบทุนการศึกษา และจัดบริการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ตั้งแต่วันที่ ๑๒-๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ รวมทั้งกิจกรรมส่งแรงใจให้ทหารผู้กล้าเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับทหารที่เจ็บป่วย ๔. การจัดงานแฟร์ทั่วไทย รวม ๖ แห่ง เน้นสินค้าภูมิปัญญาท้องถิ่น สินค้าเอสเอ็มอี และสินค้าเด่นของจังหวัด โดยจัดในเมืองท่องเที่ยวช่วงเทศกาลปีใหม่ ประกอบด้วย (๑) งานจัดหัตถกรรมของขวัญที่ระลึก ครั้งที่ ๒๔ หรือ “GIFT FAIR 24th” ระหว่างวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน-๗ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ จังหวัดเชียงใหม่ (๒) งานเซรามิกส์แฟร์ ระหว่างวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน-๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ จังหวัดลำปาง (๓) งานอุตสาหกรรมแฟร์ ระหว่างวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน-๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ จังหวัดพิษณุโลก (๔) งานคืนความสุข ช็อปสนุก สินค้าไทย ระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (๕) งานคลัสเตอร์เครื่องหนัง “BIG GIFT FAIR” ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และ (๖) งานเทศกาลไหมไทย ระหว่างวันที่ ๙-๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ จังหวัดนครราชสีมา ๕. มอบอุปกรณ์ช่วยพ่นยาโรคหอบหืดสำหรับเด็กเล็ก โดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมและสถาบันพลาสติกได้ร่วมมือกับภาคเอกชนในการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ต้นแบบอุปกรณ์ช่วยพ่นยาโรคหอบหืดให้สามารถผลิตได้ในเชิงพาณิชย์ โดยกำหนดให้มีการผลิตเพื่อแจกจ่ายให้แก่เด็กด้อยโอกาส ในวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ เฉลิมพระเกียรติ เป็นจำนวน ๑,๐๐๐ ชิ้น ๖. โครงการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมครบวงจร โดยจัดทำโครงการบริหารจัดการกากของเสียอันตราย (เตาเผา) เพื่อศึกษาความเหมาะสมในการสร้างโรงงานกำจัดขยะของเสียอันตราย รวมถึงความสามารถในการรองรับการกำจัดของเสียในปริมาณที่เพียงพอต่อการขยายตัวทางอุตสาหกรรม ๗. โครงการสร้างความสามารถในการดำเนินการด้านระบบการบริหารจัดการและแข่งขันได้ในตลาดโลกสำหรับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความรู้และทักษะบุคลากรของผู้ประกอบการ SMEs ในการนำมาตรฐานระบบการบริหารจัดการไปปฏิบัติและเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ผู้เข้าร่วมโครงการไม่เสียค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม (ยกเว้นค่าที่พักและค่าเดินทาง) โดยจะมีการเปิดตัวและชี้แจงโครงการในวันศุกร์ที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๘ ณ ห้องแคทลียา โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพมหานคร
|
||||||||||||||||||||||||
1278 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 23/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และรายงานผลการดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ แล้วแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีข้อสังเกตว่า กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบ ควรกำหนดมาตรการและหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเพื่อควบคุมกำกับการใช้ดุลพินิจในการตรวจสอบของนายตรวจ ชั่งตวงวัด พนักงานเจ้าหน้าที่ และผู้ผลิตหรือผู้ซ่อมที่ได้รับใบอนุญาตตามมาตรา ๔๑ ดังนี้
๑. กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการตรวจสอบเครื่องชั่งตวงวัด รวมทั้งจัดให้มีการฝึกอบรมนายตรวจชั่งตวงวัด และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อการควบคุมกำกับดูแลการใช้ดุลพินิจของนายตรวจชั่งตวงวัดและผู้ตรวจสอบให้ถูกต้องตามกฎหมาย ๒. การกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ตรวจสอบเครื่องชั่งตวงวัดมีการกำกับดูแลอย่างเข้มงวด ๓. การกระจายอำนาจให้ผู้ผลิตหรือผู้ซ่อมที่ได้รับใบอนุญาตตามมาตรา ๔๑ เป็นผู้ตรวจสอบและให้คำรับรองเครื่องชั่งตวงวัดที่ตนผลิตหรือซ่อม ต้องมีการกำกับดูแลอย่างเข้มงวดเช่นเดียวกัน
|
||||||||||||||||||||||||
1279 | แผนอำนวยความสะดวกและปลอดภัย รองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2558 ของกระทรวงคมนาคม และแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2558 ของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน | คค | 23/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแผนอำนวยความสะดวกและปลอดภัย รองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๘ ของกระทรวงคมนาคม ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยมีเป้าหมายหลักให้บริการประชาชนเดินทางกลับบ้านและท่องเที่ยวอย่างมี “ความสุข สะดวก และปลอดภัย” โดยกำหนดช่วงระยะเวลาดำเนินการระหว่างวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๗-๕ มกราคม ๒๕๕๘ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ แผนการให้บริการและอำนวยความสะดวกในการเดินทาง แผนงานบริหารด้านความปลอดภัย ประกอบด้วย การบริการการขนส่งสาธารณะ การอำนวยความสะดวกด้านโครงข่ายถนน การจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกภายในท่าเรือ/สถานีขนส่ง/ท่าอากาศยานและอาคารผู้โดยสาร/สถานีรถไฟ และการอำนวยความสะดวกในด้านข้อมูลการจราจร ๑.๒ แผนงานบริหารด้านความปลอดภัย ประกอบด้วย มาตรการด้านการบริหารจัดการผู้ขับขี่/ผู้โดยสารปลอดภัย มาตรการยานพาหนะปลอดภัย มาตรการถนนปลอดภัย มาตรการบังคับใช้กฎหมาย มาตรการด้านสังคม และมาตรการด้านการประชาสัมพันธ์ ๒. รับทราบแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๘ ตามที่ศูนย์อำนวยความปลอดภัยทางถนนเสนอ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จังหวัด และอำเภอใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๘ โดยใช้ชื่อในการรณรงค์ว่า “มอบความสุขทั่วไทย สัญจรปีใหม่ ปลอดภัยทุกคน” และกำหนดช่วงระยะเวลาดำเนินการระหว่างวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗-๕ มกราคม ๒๕๕๘ สรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ มาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ประกอบด้วย มาตรการด้านการบริหารจัดการ มาตรการด้านถนนและการสัญจรอย่างปลอดภัย มาตรการด้านยานพาหนะที่ปลอดภัย มาตรการด้านผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย และมาตรการด้านการตอบสนองหลังเกิดอุบัติเหตุ ๒.๒ มาตรการเน้นหนัก ประกอบด้วย มาตรการป้องกัน มาตรการแก้ไขปัญหา และมาตรการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ ๓. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรายงานเพิ่มเติมว่า กระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมความพร้อมในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๘ ได้แก่ ขอความร่วมมือสถานีโทรทัศน์ต่าง ๆ ในการประชาสัมพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงของประชาชนจากการขับขี่ยานพาหนะ เตรียมความพร้อมในส่วนของแพทย์และพยาบาลตลอด ๒๔ ชั่วโมง เพื่อรองรับกรณีมีประชาชนประสบอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บ ขอความร่วมมือไปยังหน่วยงานระดับท้องถิ่นเพื่อตั้งจุดตรวจในชุมชน รวมทั้งกระทรวงการคลังได้เสนอให้คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบร่างกฎกระทรวงเพื่อปรับปรุงวงเงินค่ารักษาพยาบาลของผู้ประสบภัยจากรถในส่วนของค่าเสียหายเบื้องต้นกรณีความเสียหายต่อร่างกาย โดยเพิ่มจากจำนวนเงินไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ บาทต่อคน เป็นจำนวนเงินไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ บาทต่อคน โดยให้ได้รับเงินค่าเสียหายเบื้องต้นรวมกันแล้วต้องไม่เกิน ๖๕,๐๐๐ บาทต่อคน ซึ่งเป็นมาตรการหนึ่งในการช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลแก่ผู้ประสบภัยจากรถ ๔. ให้กระทรวงคมนาคมและศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนรับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการในการนำข้อมูลสถิติการดำเนินงานช่วงเทศกาลย้อนหลังมาวิเคราะห์สาเหตุ ปัญหาอุปสรรค และแนวทางมาตรการดำเนินงานให้มีความชัดเจนเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการขอจัดสรรงบประมาณ การจัดหาเครื่องมือ อุปกรณ์ในการปฏิบัติงานให้เพียงพอ และซ่อมแซมเครื่องมืออุปกรณ์ที่ชำรุดให้มีความพร้อมในการใช้งาน รวมทั้งการให้ความสำคัญกับผู้บริหารทุกระดับ ให้ตระหนักและเห็นถึงความสำคัญในการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนและเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ให้มากขึ้น และความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขซึ่งพิจารณาแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๘ แล้ว สืบเนื่องจากในรอบ ๕ ปีที่ผ่านมา ตัวเลขของผู้เสียชีวิตไม่ได้ลดลงมากนัก และเมื่อพิจารณาดัชนีความรุนแรง พบว่ามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จึงควรทบทวนสาเหตุที่เฉพาะเจาะจง พร้อมทั้งกำหนดมาตรการเฉพาะ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1280 | การดำเนินโครงการที่มีประโยชน์ต่อประชาชน ที่กระทรวงมหาดไทยมอบให้เป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน | มท | 23/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินงานโครงการที่มีประโยชน์ต่อประชาชน ที่กระทรวงมหาดไทยมอบให้เป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน ซึ่งส่วนราชการและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดได้เร่งรัดดำเนินโครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ประกอบด้วยงานต่าง ๆ ดังนี้
๑. ศูนย์ดำรงธรรม นำสุข แก้ทุกข์ ๒๔ ชั่วโมง ๒. ท้องถิ่นโปร่งใส จัดสรรงบประมาณใหม่ ทั่วถึงเป็นธรรม ๓. อยุธยาเมืองประวัติศาสตร์ เมืองสะอาดปลอดขยะต้นแบบ ๔. ติดต่อราชการทันใจ ไม่ต้องใช้สำเนาบัตรประชาชน ๕. OTOP ทั่วไทย ส่งความสุขปีใหม่ สร้างรายได้ ขยายตลาดสู่อาเซียน ๖. ตลาดนัดชุมชน ไทยช่วยไทย คนไทยยิ้มได้ ๗. สำนักงานที่ดินทั่วไทย รวดเร็ว โปร่งใส ใส่ใจบริการ ๘. ๒๕๕๘ ปีทองผังเมือง พัฒนาทั่วไทย ก้าวไกลสู่อาเซียน ๙. มอบความสุขทั่วไทย สัญจรปีใหม่ ปลอดภัยทุกคน ๑๐. รวมพลคนกู้ชีพกู้ภัย เพื่อคนไทยมีความสุข ๑๑. คลองสวยน้ำใส คนไทยมีความสุข ๑๒. ถนนสวย เดินได้ ปั่นได้ ค้าขายคล่องตัว ๑๓. สว่างไสวทั่วไทย จ่ายไฟทุกครัวเรือน ๑๔. LED สว่างไสว รับปีใหม่มหานคร ๑๕. ประปาสร้างสุข ทุกคนมีน้ำใช้ ๑๖. ประปาทันใจ คนไทยมีสุข ๑๗. ปากคลองตลาดโฉมใหม่ สะอาด ปลอดภัย สินค้าสดใหม่ทุกวัน
|
.....