ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 61 จากทั้งหมด 199 หน้า แสดงรายการที่ 1201 - 1220 จากข้อมูลทั้งหมด 3975 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1201 | สรุปผลการดำเนินงานด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (เดือนเมษายน - พฤษภาคม 2558) | กก | 02/06/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานผลการดำเนินงานด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยว (เดือนเมษายน-พฤษภาคม ๒๕๕๘) และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเร่งดำเนินการจัดกลุ่มการท่องเที่ยว (Cluster) ในแต่ละพื้นที่ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมด้วย สรุปรายงานผลการดำเนินงานได้ ดังนี้ ๑.๑ การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน (Asean Connect) การท่องเที่ยวเชื่อมโยงไทย-เมียนมา เป็นการนำเสนอการท่องเที่ยววิถีไทยและเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยได้นำร่องด้วยการจัด Mega Joint Fam Trip Thailand-Myanmar วันที่ ๑๔-๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ เป็นการนำคณะบริษัทนำเที่ยวและสื่อมวลชนจากยุโรป ตะวันออกกลาง สหรัฐอเมริกา และแคนาดา จาก ๔๐ บริษัท มาสำรวจเส้นทางท่องเที่ยวเชียงใหม่ มัณฑะเลย์ พุกาม เนปิดอว์ และพบปะเจรจาธุรกิจกับภาคเอกชนในจังหวัดเชียงใหม่ ๘๐ บริษัท ๑.๒ การกระจายโอกาสทางการท่องเที่ยวสู่ชุมชนท้องถิ่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อกระจายรายได้จากการท่องเที่ยว การกระจายโอกาสทางการท่องเที่ยวสู่ชุมชนท้องถิ่น การใช้ผ้าไทย ส่งเสริมการเรียนรู้การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและการส่งเสริมโอกาสของชุมชนทอผ้าในท้องถิ่นเพื่อการพัฒนาฝีมือและผลิตภัณฑ์ผ้าไทย โดยการจัดทำโครงการ Thailand Academy ระหว่างวันที่ ๑๘-๒๓ เมษายน ๒๕๕๘ ซึ่งมีคณะดีไซเนอร์และสื่อมวลชนจากยุโรปและตะวันออกกลาง รวม ๔๙ คน ร่วมทำกิจกรรมผ้าไทยและใช้ชีวิตร่วมกับชาวบ้านในชุมชน ได้แก่ ชุมชนบ้านคีรีวง จังหวัดนครศรีธรรมราช ชุมชนบ้านหนองบัว จังหวัดน่าน ชุมชนบ้านทุ่งโฮ้ง จังหวัดแพร่ ชุมชนผ้าไหม จังหวัดสุรินทร์ ๑.๓ การส่งเสริมการท่องเที่ยวกลุ่มมุสลิม เป็นการขยายตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มมุสลิมเข้าร่วมงาน Arabian Travel Mart ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยในระหว่างวันที่ ๖-๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ได้นำผู้ประกอบการไทย จำนวน ๕๙ บริษัท ไปเจรจาธุรกิจกับฝ่ายตะวันออกกลางเพื่อจัดทำความร่วมมือกับสายการบินสำคัญของภูมิภาคตะวันออกกลาง คือ เอมิเรตส์และเอทิฮัด (Etihad) ซึ่งสายการบินดังกล่าวพร้อมที่จะผลักดันให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางหลักของภูมิภาค (Main Destination) และเอทิฮัดตกลงที่จะจัดงาน Thailand Week of Etihad Pavilion ที่งานมิลาน เอ็กซ์โป ในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ ๑.๔ การรุกเปิดตลาดใหม่ที่มีคุณภาพและศักยภาพ การนำผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวจากประเทศไทยเปิดตลาดท่องเที่ยวละตินอเมริกา โดยเข้าร่วม World Travel Mart Latin America ณ นครเซาเปาโล สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๔ เมษายน ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงสุดในภูมิภาค เพื่อเปิดตลาดใหม่ให้แก่ประเทศไทยในอนาคต ๑.๕ การส่งเสริมการปั่นจักรยานท่องเที่ยวไทย-มาเลเซีย ได้มีการจัดกิจกรรมปั่นจักรยานข้ามแดนจากสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาสไปยังรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ระหว่างวันที่ ๑๖-๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ระยะทางรวม ๕.๕ กิโลเมตร โดยมีผู้เข้าร่วมงานทั้งชาวไทยและมาเลเซีย รวม ๔๕๐ คน เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างสองประเทศ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการเพื่อให้มีการเปิดเที่ยวบินตรง (Direct Flight) จากเมืองสำคัญในประเทศต่าง ๆ มายังประเทศไทยเพื่ออำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสามารถเดินทางไปยังจังหวัดต่าง ๆ ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศไทยได้โดยตรง ๓. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดดำเนินการจัดให้มีรถโดยสารสาธารณะ (รถแท็กซี่) เพื่อให้บริการแก่นักท่องเที่ยวอย่างเพียงพอ พร้อมจัดหาสถานที่พักรอผู้โดยสาร ณ จุดรับส่งผู้โดยสารในสถานีขนส่งผู้โดยสารต่าง ๆ เพื่อให้บริการนักท่องเที่ยวในระหว่างที่รอรถด้วย ๔. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) พิจารณาหามาตรการในการแก้ไขปัญหาความล่าช้าในการตรวจหนังสือเดินทางของนักท่องเที่ยวทั้งขาเข้าและขาออกบริเวณด่านตรวจคนเข้าเมืองภายในสนามบิน เพื่อให้เกิดความรวดเร็วในการตรวจลงตราในหนังสือเดินทางและเป็นที่ประทับใจของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนประเทศไทยด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
1202 | รายงานผลการดำเนินงานของกรมการขนส่งทางบก เรื่อง การยกระดับการบริการประชาชนรถโดยสารสาธารณะ (รถแท็กซี่ไทย DLT Check in) และการยกระดับมาตรฐานห้องน้ำ สถานีขนส่งทั่วประเทศ | คค | 26/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานผลการดำเนินงานของกรมการขนส่งทางบก เรื่อง การยกระดับการบริการประชาชน รถโดยสารสาธารณะ (รถแท็กซี่ไทp DLT Check in) และการยกระดับมาตรฐานห้องน้ำสถานีขนส่งทั่วประเทศ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การยกระดับการบริการประชาชน รถโดยสารสาธารณะ (รถแท็กซี่ไทย DLT Check in) กรมการขนส่งทางบกได้เร่งพัฒนาการให้บริการด้วยรถแท็กซี่ โดยให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการยกระดับคุณภาพมาตรฐานการให้บริการด้วยการประเมินผ่านแอปพลิเคชัน DLT Check in ร่วมประเมินความพึงพอใจในการใช้บริการรถแท็กซี่ โดยตั้งแต่เปิดใช้บริการวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์-๑๔ เมษายน ๒๕๕๘ มีผู้ดาวน์โหลดรวมกว่า ๒๐,๐๐๐ ราย ในจำนวนนี้มีการแสดงความคิดเห็นและเรื่องร้องเรียนที่ได้ดำเนินการไปแล้วทั้งหมด ๙๘๖ เรื่อง และจากข้อมูลพบว่าค่าเฉลี่ยความพึงพอใจของผู้โดยสารอยู่ที่ ๒.๘ จากคะแนนเต็ม ๔ นอกจากนี้ ยังมีการวิเคราะห์เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล DLT Check in กับฐานข้อมูลทะเบียนและเรื่องร้องเรียนของกรมการขนส่งทางบกเพื่อวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่มีผลกระทบในการประเมินความพึงพอใจการให้บริการรถแท็กซี่ พร้อมจัดกลุ่มรถแท็กซี่ที่มีปัญหาเพื่อทำการปรับปรุงแก้ไขต่อไป ทั้งนี้ ศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะ ๑๕๘๔ ของกรมการขนส่งทางบกได้ดำเนินการตอบรับและจัดการเรื่องร้องเรียนทุกเรื่องที่เป็นปัญหาเกี่ยวกับการปฏิเสธผู้โดยสารมากที่สุดถึงร้อยละ ๒๖ ซึ่งข้อมูลทั้งหมดจะถูกนำมาใช้เพื่อพัฒนาแท็กซี่และสร้างแรงจูงใจยกระดับมาตรฐานแท็กซี่ที่ทำดี โดยให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ เพื่อกำหนดทิศทางการจัดระเบียบการให้บริการด้วยรถแท็กซี่อย่างมีมาตรฐานเทียบเท่าสากล ๑.๒ การยกระดับมาตรฐานห้องน้ำสถานีขนส่งทั่วประเทศ กรมการขนส่งทางบกได้ยกระดับมาตรฐานการให้บริการด้วยการพัฒนาห้องน้ำตามสถานีขนส่งผู้โดยสารทั่วประเทศให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยการออกแบบห้องน้ำตัวอย่างมาตรฐานสำหรับสถานีขนส่งผู้โดยสารเพื่อใช้เป็นแนวทางในการซ่อมแซม ปรับปรุง หรือก่อสร้างห้องน้ำใหม่ภายในสถานีขนส่งผู้โดยสารทั่วประเทศ พร้อมทั้งกำหนดให้จำนวนห้องน้ำมาตรฐานประเภทต่าง ๆ มีเพียงพอกับผู้ใช้บริการในสถานีทุกระดับ และสามารถให้ผู้ป่วยที่นั่งรถเข็นใช้งานได้สะดวกปลอดภัย นอกจากนี้ สุขภัณฑ์และวัสดุก่อสร้างเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกโดยต้องอยู่ภายใต้เกณฑ์มาตรฐานส้วมสาธารณะระดับประเทศ (Healthy Accessibility Safety : HAS) ของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข โดยเปิดให้ใช้บริการฟรี และมีมาตรฐานการดูแลและบำรุงรักษาห้องน้ำในสถานีขนส่งผู้โดยสารทั่วประเทศให้อยู่ในสภาพดี ตอบสนองความพึงพอใจต่อผู้ใช้บริการ ปัจจุบันสถานีขนส่งผู้โดยสารในการควบคุมดูแลของกรมการขนส่งทางบก จำนวน ๖๐ แห่ง พร้อมกับสถานีขนส่งผู้โดยสารที่บริหารงานโดยบริษัท ขนส่ง จำกัด และเอกชนอีก ๙ แห่ง จะปรับปรุงเสร็จสมบูรณ์ภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ ส่วนสถานีขนส่งผู้โดยสารที่บริหารโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๔๘ แห่ง อยู่ระหว่างรอการพิจารณางบประมาณ ทั้งนี้ เป้าหมายของกรมการขนส่งทางบก คือ สถานีขนส่งผู้โดยสารต้องมีห้องน้ำที่สะอาดถูกสุขลักษณะ พร้อมใช้งานตลอดเวลา มีความพร้อมสามารถรองรับประชาชนผู้ใช้บริการ รวมทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติอย่างเต็มภาคภูมิ เพื่อก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ๒. ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการจัดหาสถานที่พักรอผู้โดยสาร ณ จุดรับส่งผู้โดยสารรถโดยสารสาธารณะ (รถแท็กซี่) ในสถานีขนส่งผู้โดยสารต่าง ๆ เพื่อให้บริการประชาชนในระหว่างที่รอรถและจัดให้มีรถแท็กซี่ให้บริการประชาชนอย่างเพียงพอ รวมทั้งจัดให้มีเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในช่วงเทศกาลต่าง ๆ และให้ประชาสัมพันธ์ช่องทางในการร้องเรียนการให้บริการ แนะนำการให้บริการผ่านศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะ ๑๕๘๔ ให้ประชาชนทราบ ทั้งนี้ ในกรณีที่ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการให้บริการหรือการปฏิเสธผู้โดยสารของรถแท็กซี่ ให้กระทรวงคมนาคมตรวจสอบและดำเนินการบังคับใช้กฎหมายเพื่อลงโทษผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง เช่น การยึดใบอนุญาตขับรถ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
1203 | การแก้ไขปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา | กก | 26/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานว่า ในช่วง ๑๐ ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจของสาธารณรัฐประชาชนจีนเติบโตจนเป็นเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ระดับหนึ่งในสิบของโลก ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนที่เดินทางไปต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีนักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนนิยมเข้ามาท่องเที่ยว ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เกิดการแข่งขันและแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดจากประเทศต่าง ๆ และมีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวในประเทศไทยยกเว้นการเก็บค่าใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวแบบเหมาจ่ายจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากสาธารณรัฐประชาชนจีน และผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนบางรายเสนอค่าใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวแบบเหมาจ่ายในรูปแบบซื้อบริการนำเที่ยวเสริมและนำเที่ยวในราคาที่ต่ำกว่าต้นทุนที่เรียกว่า ทัวร์ศูนย์เหรียญ สำหรับปัญหานักท่องเที่ยวแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม ไม่ได้เกิดเพียงในกลุ่มนักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเท่านั้น แต่เกิดได้กับนักท่องเที่ยวทุกเชื้อชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นครั้งแรก เนื่องจากนักท่องเที่ยวเหล่านั้นยังไม่ทราบและไม่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมและประเพณีไทย ส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจึงได้แก้ปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน โดยได้ดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ จัดทำคู่มือ “Useful Tips for a Happy Holiday in Thailand” เพื่อประชาสัมพันธ์ข้อมูลประเพณีและวัฒนธรรมอันดีของไทยแจกจ่ายผ่านหลายช่องทางสำคัญ อาทิ สถานทูต สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยทั่วประเทศ ศูนย์การค้า และโรงแรมต่างๆ ให้แก่นักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนได้รับทราบ ๑.๒ ออกตรวจการปฏิบัติตามกฎหมายของผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวและตรวจการปฏิบัติหน้าที่ของมัคคุเทศก์ตามแหล่งต่าง ๆ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการบริการ ๑.๓ จัดสัมมนาให้ความรู้แก่มัคคุเทศก์เกี่ยวกับสิ่งที่นักท่องเที่ยวควรทำและไม่ควรทำ หรือ Do and Don’t ๑.๔ จัดอาสาสมัครนักท่องเที่ยวใน ๕ จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ เชียงราย ชลบุรี และภูเก็ต เพื่อให้คำแนะนำช่วยเหลือนักท่องเที่ยวแก่หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๑.๕ จัดอบรมสร้างเครือข่ายแก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวมัคคุเทศก์ โดยจัดให้มีการสร้างเครือข่ายสอดส่องผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว ๑.๖ ดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาการประกอบธุรกิจนำเที่ยวโดยให้คนไทยเป็นตัวแทน (nominee) ร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและกรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน หากนักท่องเที่ยวพบปัญหาสามารถโทรแจ้งสายด่วนตำรวจท่องเที่ยว ๑๑๕๕ ได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาดำเนินการ ๒.๑ จัดให้มีสถานที่จอดรถโดยสารท่องเที่ยวบริเวณชานเมืองเพื่อแก้ปัญหาการจราจร และโบราณสถานชำรุดเสื่อมโทรมอันเนื่องมาจากแรงสั่นสะเทือนของรถโดยสาร และจัดให้มีรถโดยสารขนาดเล็กรับส่งนักท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งจะก่อให้เกิดการสร้างงานแก่ประชาชนที่อยู่ในท้องที่นั้น ๆ ด้วย ๒.๒ รณรงค์และผลักดันให้เกิดความตื่นตัวในการปรับปรุง พัฒนา และสร้างมาตรฐานห้องน้ำสะอาด ปลอดภัยในแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อสร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยว ๒.๓ พิจารณาจัดสรรเงินรายได้ที่ได้จากการจำหน่ายบัตรเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีงบประมาณเพียงพอในการดูแลบริเวณโดยรอบโบราณสถานหรือแหล่งท่องเที่ยวนั้น ๆ ด้วย ๓. โดยที่ปัจจุบันธุรกิจการท่องเที่ยวประสบปัญหาสำคัญ คือ การขาดแคลนมัคคุเทศก์ที่มีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ และมีทักษะภาษาอังกฤษที่สามารถสื่อสารกับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ จึงเห็นควรให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดจัดเตรียมหลักสูตรฝึกอบรมมัคคุเทศก์ให้แก่ผู้ที่จบการศึกษาแล้วและยังไม่มีงานทำเป็นเป้าหมายแรก และกลุ่มผู้ที่มีความสนใจพัฒนาทักษะ ความรู้ ความสามารถเพื่อพัฒนาเป็นมัคคุเทศก์มืออาชีพต่อไป และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบความก้าวหน้าในการดำเนินการภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๘ ๔. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดฝึกอบรมบุคลากรในท้องถิ่นให้เป็นอาสาสมัครตำรวจท่องเที่ยว เพื่อสนับสนุนการให้บริการและดูแลความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ
|
|||||||||||||||||||||||||||
1204 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น รวม 3 เรื่อง (การยกฐานะเทศบาลนครแม่สอดเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ พร้อมทั้งข้อเสนอแนะ ปัญหาและอุปสรรคในการบริหารงานของเมืองพัทยาและแนวทางการแก้ไข พร้อมทั้งข้อเสนอแนะ และกรณีให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นสมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับตำบลโดยตำแหน่ง พร้อมทั้งข้อสังเกต) | สว | 26/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น พร้อมข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ ได้แก่ เรื่อง การยกฐานะเทศบาลนครแม่สอดเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ เรื่อง ปัญหาและอุปสรรคในการบริหารงานของเมืองพัทยาและแนวทางการแก้ไข และกรณีให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นสมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับตำบลโดยตำแหน่ง รวม ๓ เรื่อง มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น การจัดระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา และลักษณะการปกครองท้องที่ ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับรายงานของคณะกรรมาธิการฯ พร้อมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะไปพิจารณาว่าสมควรจะดำเนินการในเรื่องใดได้หรือไม่ประการใดก่อน โดยให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมผลการดำเนินการ แล้วแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
1205 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 6 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2557 - 31 มีนาคม 2558) | นร | 26/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๖ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๗-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ได้แก่ โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น โครงการส่งเสริมสนับสนุนการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกคณะกรรมการหมู่บ้าน โครงการส่งเสริมวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยเพื่อเสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เป็นต้น และจากการประเมินผลสำเร็จในการดำเนินงาน ขณะนี้ไม่มีปัญหาความขัดแย้งรุนแรงถึงแม้ว่าได้มีการยกเลิกการประกาศใช้กฎอัยการศึกไปแล้ว แต่ยังมีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ควบคุมการชุมนุมอยู่ ๒. การปฏิรูปประเทศ สภาปฏิรูปแห่งชาติได้พิจารณาเรื่องที่สำคัญและเป็นประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชนในหลายเรื่อง เช่น การส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย การปฏิรูประบบผังเมืองและการใช้พื้นที่เพื่อรองรับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แนวทางการกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งเห็นควรให้กำหนดเป็นร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ แนวทางการแก้ไขและข้อเสนอในการปฏิรูปการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันอย่างเป็นรูปธรรม การปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม โดยการปรับปรุงแนวทางบริหารองค์กรก่อนชั้นศาลให้เหมาะสม รวมถึงกรอบแนวคิดในการปฏิรูประบบสาธารณสุข และกรอบแนวคิดในการปฏิรูประบบภาษีอากร ซึ่งรัฐบาลควรจะต้องให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การสนับสุนนการดำเนินการที่ผ่านการพิจารณาของสภาปฏิรูปแห่งชาติ เป็นต้น ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ได้แก่ (๑) การปกป้องเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ (๒) การรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ (๓) การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม (๔) การศึกษาและเรียนรู้ การทะนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม (๕) การยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุขและสุขภาพของประชาชน (๖) การบริหารเศรษฐกิจ (๗) การส่งเสริมบทบาทและการใช้โอกาสในประชาคมอาเซียน (๘) การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม สนับสนุนการเพิ่มค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาของประเทศ (๙) การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร และการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน (๑๐) การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ และ (๑๑) การปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||
1206 | การพิจารณาแผนงาน/โครงการ ตามความต้องการของกลุ่มเกษตรกร 7 กลุ่ม จังหวัดนครราชสีมา ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | มท | 12/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการแผนงาน/โครงการของจังหวัดนครราชสีมา จำนวน ๕ โครงการ ประกอบด้วย (๑) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวบรวม และแปรรูปข้าวหอมมะลิทุ่งสัมฤทธิ์ (๒) โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งสัมฤทธิ์ในเขตพื้นที่นำร่อง (ระยะสั้น) (๓) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมันสำปะหลัง (๔) โครงการพัฒนาศักยภาพการผลิตอ้อย และ (๕) โครงการเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลบัวใหญ่ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ส่วนงบประมาณในการดำเนินการโครงการตาม (๑) (๒) (๓) และ (๕) ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๕๗,๑๙๐,๒๗๕ บาท โดยให้หน่วยงานที่รับผิดชอบในแต่ละโครงการจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายและขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง สำหรับโครงการตาม (๔) ให้ใช้จ่ายจากกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายหรือปรับแผนจากงบปกติของสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายดำเนินการก่อน ซึ่งตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับภารกิจดังกล่าวไว้แล้ว จำนวน ๓๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และหากเป็นแผนงาน/โครงการที่จะต้องขอรับการจัดสรรจากเงินงบประมาณเนื่องจากการถ่ายโอนภารกิจจากส่วนกลาง ให้เสนอคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาก่อนดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์บูรณาการการทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งด้านการผลิตและการตลาดเพื่อลดความซ้ำซ้อนและมีความเชื่อมโยงกัน และควรคำนึงถึงความเชื่อมโยงสอดคล้องกับสถานการณ์ด้านการตลาดเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาราคาตกต่ำ ควรส่งเสริมการปลูกในเขตที่เหมาะสมกับพืชนั้น ๆ ควรกำหนดพื้นที่เป้าหมาย จำนวนเกษตรกร/กลุ่มเกษตรกร/สหกรณ์ที่จะเข้าร่วมโครงการ รวมทั้งภาคเอกชนที่จะรับซื้อผลผลิต ควรมีการเพิ่มศักยภาพการผลิตทั้งการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ การลดต้นทุนการผลิต การพัฒนาคุณภาพ และสร้างมูลค่าเพิ่ม และควรให้ความสำคัญกับคุณภาพดินและปริมาณเมล็ดพันธุ์ดีที่เพียงพอกับความต้องการของเกษตรกร และให้กระทรวงมหาดไทยหารือในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาแหล่งเงินงบประมาณที่เหมาะสมและไม่ก่อให้เกิดเป็นภาระด้านงบประมาณให้กับรัฐบาล และขอความร่วมมือภาคเอกชนในพื้นที่ที่จะรับซื้อผลผลิต อาทิ อ้อย มันสำปะหลังจากเกษตรกรในโครงการและให้การสนับสนุนเงินทุนแก่เกษตรกรด้วย รวมถึงมอบหมายจังหวัดนครราชสีมาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ดำเนินการติดตามประเมินผลความก้าวหน้าของโครงการและรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบ และพิจารณาขยายผลโครงการในพื้นที่อื่น ๆ โดยบรรจุเป็นแผนงานโครงการในแผนพัฒนาจังหวัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๓. อนุมัติให้กรมชลประทานเข้าไปดำเนินการในพื้นที่กิจกรรมขุดลอกแหล่งน้ำเพื่อการผลิต จำนวน ๔๓ แห่ง ของโครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งสัมฤทธิ์ในเขตพื้นที่นำร่อง (ระยะสั้น) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ ในการดำเนินการดังกล่าว ให้กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์วิธีการที่กฎหมายกำหนด ๔. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่รับผิดชอบแผนงาน/โครงการตามความต้องการของกลุ่มเกษตรกร ๗ กลุ่ม จังหวัดนครราชสีมา ดำเนินการอย่างละเอียด รอบคอบ และรัดกุม เนื่องจากเป็นการใช้จ่ายเงินงบประมาณของแผ่นดิน ทั้งนี้ เพื่อให้แผนงาน/โครงการดังกล่าวบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ และให้เกษตรกร กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ หรือชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการเพื่อเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
1207 | ขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า และกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า เมืองเก่าเชียงราย เมืองเก่าสุพรรณบุรี เมืองเก่าระยอง เมืองเก่าบุรีรัมย์ และเมืองเก่าตะกั่วป่า | ทส | 12/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าเชียงราย เมืองเก่าสุพรรณบุรี เมืองเก่าระยอง เมืองเก่าบุรีรัมย์ และเมืองเก่าตะกั่วป่า เพื่อประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่า ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า พ.ศ. ๒๕๔๖ รวมทั้งกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปพิจารณาและจัดทำรายละเอียดเพื่อดำเนินการต่อไป ตามมติคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการพิจารณาแนวทางและกรอบเวลาให้ชัดเจนเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถวางแผนงาน/โครงการได้ การออกประกาศและระเบียบเพื่อใช้บังคับในเขตเมืองเก่าดังกล่าวควรสอดคล้องกับบทบัญญัติของพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ การเปิดโอกาสให้คณะกรรมการที่จะจัดตั้งขึ้นโดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนได้มีโอกาสกำหนดแนวทางดำเนินการอนุรักษ์และพัฒนาของตนเองภายใต้บริบทของแต่ละพื้นที่ เพื่อให้การดำเนินการอนุรักษ์และพัฒนามีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าประสานความร่วมมือกับภาคประชาชนและหน่วยงานในระดับพื้นที่หรือท้องถิ่นเพื่อให้มีความเข้าใจและมีส่วนร่วมในการดำเนินการตามกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าดังกล่าว ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
1208 | การดำเนินโครงการนำร่องเพื่อแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอยในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา | มท | 12/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินโครงการก่อสร้างสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างและคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ รวมทั้งความก้าวหน้าเบื้องต้นในการดำเนินการกำหนดพื้นที่ที่มีศักยภาพที่ใช้เป็นศูนย์กลางจัดตั้งโรงกำจัดขยะมูลฝอยในภาพรวมของประเทศที่จะรองรับปริมาณขยะมูลฝอยของทุกจังหวัด โดยกระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการสำรวจข้อมูลขยะมูลฝอยในพื้นที่จังหวัดจำนวน ๗๖ จังหวัด เพื่อคัดเลือกพื้นที่จังหวัดที่เหมาะสมในการก่อสร้างโรงกำจัดขยะมูลฝอย และได้กำหนดพื้นที่จังหวัดที่มีความเหมาะสมในการก่อสร้างโรงกำจัดขยะมูลฝอย โดยพิจารณาพื้นที่ตาม Roadmap การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตรายของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และองค์ประกอบอื่นที่สำคัญ พบว่า พื้นที่ที่มีศักยภาพที่ใช้เป็นศูนย์กลางในการแปรรูปขยะเป็นพลังงาน จำนวน ๒๔ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี อุดรธานี บุรีรัมย์ สงขลา ภูเก็ต กระบี่ นครราชสีมา ขอนแก่น สุรินทร์ มหาสารคาม เลย ชลบุรี ระยอง สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี นครสวรรค์ พิษณุโลก พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี ยะลา เชียงใหม่ นครพนม และพัทลุง ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอยในภาพรวมของประเทศ โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นหน่วยงานสนับสนุนในการดำเนินการ และให้พิจารณาแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินการดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดหาเตาเผาขยะให้แก่ชุมชนหรือท้องถิ่นต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
1209 | รายงานผลการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2555 - 2559 ระยะครึ่งแผน | สธ | 12/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ ระยะครึ่งแผน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การพัฒนาระบบบริหารจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม มีความก้าวหน้าการดำเนินงานด้านพัฒนากฎหมาย กฎระเบียบ มาตรฐาน มาตรการและแนวทางปฏิบัติในการบริหารจัดการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม รวม ๕ ด้าน ได้แก่ ด้านคุณภาพอากาศ ด้านน้ำ การสุขาภิบาล และสุขอนามัย ด้านสารเคมีเป็นพิษและสารอันตราย ด้านการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ และด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งนี้ อยู่ระหว่างการพัฒนามาตรการทางกฎหมายด้านขยะมูลฝอยและแนวทางปฏิบัติในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมในภาวะฉุกเฉินและสาธารณภัย รวมทั้งพัฒนาระบบการเฝ้าระวัง ติดตามตรวจสอบ การรายงานผล และแจ้งเตือนสถานการณ์ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ๔ ด้าน คือ ด้านคุณภาพอากาศ ด้านน้ำ สุขาภิบาล และสุขอนามัย ด้านการดำเนินงานอนามัยสิ่งแวดล้อมในภาวะฉุกเฉิน และด้านขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย ๒. ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การป้องกันและลดความเสี่ยงจากปัจจัยด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ด้านคุณภาพอากาศ ผลการตรวจวัดมลพิษทางอากาศในบรรยากาศของพื้นที่เสี่ยงในบางพื้นที่ ส่วนใหญ่มีฝุ่นละออง สารเบนซีน และสาร ๑,๓-บิวตาไดอีนในบรรยากาศเกินค่ามาตรฐาน การเข้าถึงน้ำบริโภคอุปโภคอย่างเพียงพอของครัวเรือนไทยและคุณภาพน้ำบริโภค ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ครัวเรือนมีน้ำบริโภคอุปโภคเพียงพอตลอดปีร้อยละ ๙๙.๕๕ การพัฒนาสถานประกอบการอาหารได้มาตรฐานสุขาภิบาลอาหาร มีการดำเนินโครงการพัฒนาตลาดและโครงการสนับสนุนและติดตามการดำเนินงานด้านสุขาภิบาลอาหารและน้ำอย่างต่อเนื่อง ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ มีสถานประกอบการอาหารได้มาตรฐานมากกว่าร้อยละ ๘๐ ด้านการจัดการขยะมูลฝอย ของเสียอันตราย และมูลฝอยติดเชื้อ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ขยะมูลฝอยได้รับการกำจัดถูกต้องตามหลักวิชาการร้อยละ ๒๓.๕๗ นำไปใช้ประโยชน์ร้อยละ ๒๑.๓๕ มูลฝอยติดเชื้อถูกกำจัดในเตาเผาร้อยละ ๗๘.๗๕ และ ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ขยะมูลฝอยได้รับการจัดการอย่างถูกต้องเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ ๒๘ แต่การนำไปใช้ประโยชน์ลดลงเหลือร้อยละ ๑๙ และมูลฝอยติดเชื้อถูกกำจัดด้วยวิธีที่เหมาะสมลดลงเหลือร้อยละ ๗๕ ๓. ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาคีเครือข่าย และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนและประชาชนในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม ปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ มีแผนงานโครงการที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมทั้ง ๖ ด้านเพิ่มขึ้น ด้านส่งเสริมพฤติกรรมอนามัยสิ่งแวดล้อม พบว่า มีการดำเนินการโครงการส่งเสริมพฤติกรรมอนามัยสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง เช่น กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ เพื่อลดการสัมผัสเชื้อโรคต่าง ๆ รณรงค์การคัดแยกขยะ ๔. ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การส่งเสริมบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม ด้านการบริหารจัดการเพื่อรองรับการดำเนินงานด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม หน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พบว่า มีการดำเนินงานทั้งด้านการบริหารจัดการ การพัฒนาศักยภาพบุคลากร การพัฒนาระบบงานอนามัยสิ่งแวดล้อม เกิดความร่วมมือและเชื่อมโยงการดำเนินงานร่วมกันระหว่างส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ทั้งในรูปแบบที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ๕. ยุทธศาสตร์ที่ ๕ การพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ มีงานวิจัยและองค์ความรู้ใหม่หรือการประยุกต์ใช้องค์ความรู้เดิมและเทคโนโลยีด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นทุกด้าน ทั้งนี้ การพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมอย่างน้อยภาคละ ๑ แห่ง พบว่า ภาคเหนือ มีศูนย์การเรียนรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านการสุขาภิบาล และด้านขยะมูลฝอย และของเสียอันตราย ภาคกลาง มีศูนย์การเรียนรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และด้านการสุขาภิบาล ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีศูนย์การเรียนรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านการสุขาภิบาล และด้านขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย และภาคใต้ มีศูนย์การเรียนรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และด้านการสุขาภิบาล |
|||||||||||||||||||||||||||
1210 | รายงานผลการดำเนินการในรอบ 6 เดือน ของกระทรวงคมนาคม | คค | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการในรอบ ๖ เดือน ของกระทรวงคมนาคม ดังนี้
๑. การปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยกระทรวงคมนาคมได้ร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผ่านการจัดกิจกรรมในโอกาสต่าง ๆ ๒. การนำยุทธศาสตร์จากกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ สู่แผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย ระยะ ๘ ปี เพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ๓. กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานแรกที่นำข้อตกลงคุณธรรมมาใช้ในการประกวดราคาใช้ระบบ Construction Sector Transparency Initiative (CoST) ในโครงการส่วนต่อขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ ๒ เพื่อการดำเนินงานที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน ๔. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ กระทรวงคมนาคมได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี จำนวน ๑๔๔,๔๐๖ ล้านบาท แบ่งเป็นรายจ่ายประจำ ๓๖,๐๙๖.๕๑ ล้านบาท และรายจ่ายลงทุน ๑๐๘,๕๐๙.๔๙ ล้านบาท โดยผลการเบิกจ่ายภาพรวม ณ เดือนมีนาคม ๒๕๕๘ มีการเบิกจ่ายไปแล้ว ๕๘,๓๐๘.๔๔ ล้านบาท และก่อหนี้ผูกพัน ๖๓,๑๘๗ ล้านบาท ๕. การให้บริการยกระดับจัดระเบียบรถตู้โดยสารสาธารณะ รถแท็กซี่มิเตอร์ และรถจักรยานสาธารณะเพื่อความสะดวกปลอดภัยของผู้ใช้บริการ รวมทั้งสร้างการมีส่วนร่วมในการควบคุมการให้บริการของรถแท็กซี่ผ่านแอปพลิเคชัน DLT Check in และปรับปรุงเส้นทางเดินรถโดยสารประจำทางเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ นอกจากนี้มีการปรับปรุงห้องน้ำในสถานีขนส่งผู้โดยสารทั่วประเทศ และสถานีรถไฟหัวลำโพงให้ได้มาตรฐาน ถูกสุขลักษณะ และการส่งเสริมความปลอดภัยในการสัญจรทางน้ำ โดยจัดให้มีโครงการเสื้อชูชีพเก่าแลกใหม่ปลอดภัยได้มาตรฐาน ๖. ในการขับเคลื่อนกฎหมาย ได้สนับสนุนรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาเรือประมงที่ทำผิดกฎหมายทำให้เกิดการค้ามนุษย์ Illegal Unreported and Unregulated Fishing (IUU Fishing) และเร่งรัดการดำเนินงานด้านกฎหมาย ซึ่งมีกฎหมายที่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วจำนวน ๑๐ ฉบับ ๗. เชื่อมโยงโครงข่ายสู่สากลพัฒนาโครงข่ายถนนและการคมนาคมขนส่งให้ได้มาตรฐานรองรับพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ๕ แห่ง ปรับปรุงเส้นทางรถไฟช่วงชุมทางแก่งคอย-คลองสิบเก้า-สุดสะพานคลองลึก ระยะทาง ๑๗๔ กิโลเมตร ๘. ได้มีการลงนามบันทึกความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟระหว่างไทย-จีน พัฒนาเส้นทางรถไฟทางคู่ ๔ สายทาง ลงนามบันทึกแสดงเจตจำนงว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาระบบรางระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ลงนามความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางอากาศระหว่างอาเซียนและสาธารณรัฐประชาชนจีน ๙. ก่อตั้งท่าอากาศยานเพิ่มเติม ๑ แห่ง ที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา และพัฒนาท่าอากาศยานแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อเพิ่มศักยภาพการรองรับปริมาณผู้โดยสารจากปีละ ๘๐,๐๐๐ คน เป็นปีละ ๓๖๐,๐๐๐ คน ๑๐. เปิดทางลอดดาราสมุทร จังหวัดภูเก็ต บริเวณจุดตัดทางหลวงหมายเลข ๔๐๒ กับทางหลวงหมายเลข ๔๐๒๐ เพื่อบรรเทาปัญหาจราจร รองรับปริมาณรถยนต์ในช่วงเทศกาล และเปิดถนนเลี่ยงเมืองสันป่าตอง-หางดง ตอนที่ ๒ อำเภอสันป่าตอง อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมทางจักรยาน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่การเดินทางในท้องถิ่น รวมทั้งเร่งดำเนินการแก้ปัญหาจราจรในเขตกรุงเทพบริเวณจุดวิกฤติ เช่น ถนนวิภาวดีรังสิต และเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางด้วยการปรับปรุงท่าเทียบเรือโดยสารในบริเวณฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ๑๗ ท่า ซึ่งจะเริ่มดำเนินการทันทีในปีนี้ ๓ ท่า ๑๑. ขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางอีก ๖ เดือน ๑๒. ลงนามร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรื่องการป้องกันและลดความเสี่ยงอันตรายต่อการบินและอากาศยานจากการปล่อยโคมลอย โคมควัน และการจัดงานบั้งไฟ ๑๓. การดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล โดยได้มีการพัฒนาเส้นทางจักรยานที่ได้มาตรฐานทั้งในกรุงเทพมหานครและภูมิภาค การใช้ยางพาราเป็นส่วนประกอบในการทำถนนของหน่วยงานในสังกัด ปรับปรุงการให้บริการ Visa on Arrival ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เดินหน้าพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูง ระยะแรก ๒ เส้นทาง คือ กรุงเทพ-หัวหิน และกรุงเทพ-พัทยา-ระยอง ส่งเสริมการท่องเที่ยวทางทะเลโดยพัฒนาศูนย์กลาง Marina ของอาเซียน และเร่งรัดการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของไทยในทุก ๆ ด้าน ด้วยความโปร่งใส ว่องไว ใส่ใจพัฒนา และจะยังคงมุ่งมั่นทำต่อไปเพื่อนำความสุขมาสู่ประชาชน
|
|||||||||||||||||||||||||||
1211 | รายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการ ของผู้ตรวจราชการ ประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2557 (Annual Inspection Report : Fiscal Year 2014) ประเด็นนโยบายครัวไทยสู่ครัวโลก และการดำเนินการก่อนเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ปี 2558 | นร01 | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ (Annual Inspection Report : Fiscal Year 2014) ในประเด็นนโยบายครัวไทยสู่ครัวโลก และการดำเนินการก่อนเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ปี ๒๕๕๘ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ นโยบายครัวไทยสู่ครัวโลก ผลการติดตามแผนงาน/โครงการที่เสนอไว้ในแผนการตรวจราชการฯ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ของผู้ตรวจราชการกระทรวง จำนวน ๑๖ โครงการ พบว่า หน่วยงานระดับพื้นที่ส่วนใหญ่สามารถจัดการความเสี่ยงตามหลักธรรมาภิบาลของโครงการ ตามข้อเสนอแนะที่ผู้ตรวจราชการกระทรวงต่าง ๆ กำหนดไว้ได้อย่างครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ สำหรับผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีได้ตรวจติดตามการบูรณาการเชื่อมโยงแผนงานโครงการสำคัญ ระหว่างกระทรวง (Function) จังหวัด (Area) และท้องถิ่น (Local) และได้ให้ข้อเสนอแนะหน่วยรับผิดชอบในพื้นที่ประสานการดำเนินงานร่วมกันในการแก้ไขปัญหาอุปสรรค ทำให้เกิดความคุ้มค่า และนำไปสู่การขยายผลโครงการ การประหยัดงบประมาณ และประชาชนได้รับประโยชน์ในวงกว้าง ๑.๒ นโยบายการดำเนินการก่อนเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ปี ๒๕๕๘ คณะผู้ตรวจราชการได้กำหนดจุดเน้นการตรวจติดตาม รวม ๘ จุดเน้น โดยตรวจติดตาม ๕ จุดเน้น ในพื้นที่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ การท่องเที่ยวและบริการโลจิสติกส์ การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์และพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการ แรงงาน และสาธารณสุข ส่วนอีก ๓ จุดเน้น มอบหมายให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงที่เกี่ยวข้องตรวจติดตามเนื่องจากเป็นภารกิจที่เกี่ยวข้องโดยตรง คือ ภัยพิบัติหมอกควัน การศึกษา และพัฒนากฎหมาย โดยสรุปผลการตรวจติดตามและผลการดำเนินการ พบว่า ส่วนราชการต่าง ๆ ได้ดำเนินการในระดับหนึ่งแล้ว ๒. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดกรอบการติดตามประเมินผลการดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมายและแนวทางที่กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์ครัวไทยสู่ครัวโลก พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔ และควรให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์จากกลไกการดำเนินงานทั้งของภาครัฐและเอกชนที่มีอยู่ในปัจจุบันอย่างเต็มที่ รวมทั้งให้ความสำคัญเพิ่มเติมในเรื่องการให้ความรู้และข้อมูลเชิงลึกด้านเศรษฐกิจและข้อมูลที่เกี่ยวข้องจำเป็นในการใช้โอกาสจากอาเซียนของผู้ประกอบการและประชาชนในพื้นที่ นอกจากนี้ ควรสร้างความเข้มแข็งของภาคีเครือข่ายเฝ้าระวังตั้งแต่ระดับชุมชน ทั้งในเรื่องสาธารณสุข การเกิดไฟป่าและภัยพิบัติหมอกควัน รวมถึงปัญหาความมั่นคงในระดับพื้นที่ เพื่อเฝ้าระวังเหตุการณ์และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในชุมชนจากการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ในส่วนของการดำเนินการติดตามการขับเคลื่อนนโยบายครัวไทยสู่ครัวโลกในระยะต่อไป ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งรัดดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๘ [เรื่อง (ร่าง) ยุทธศาสตร์ครัวไทยสู่ครัวโลก พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔] ที่ได้เห็นชอบยุทธศาสตร์ครัวไทยสู่ครัวโลก พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔ แล้ว ต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
1212 | มาตรการในการกำกับดูแลการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ | นร09 | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบมาตรการในการกำกับดูแลการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ดังนี้ ๑.๑ คณะรัฐมนตรีอาจมีมติให้ทุกกระทรวงดำเนินการให้เจ้าหน้าที่ต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและกำหนดแนวทางในการใช้อำนาจดุลยพินิจโดยประกาศให้ประชาชนทราบ และหากเจ้าหน้าที่มิได้ดำเนินการใช้ดุลยพินิจตามแนวทางที่กำหนดไว้โดยไม่มีเหตุผลให้ถือเป็นความผิดทางวินัย ๑.๒ เมื่อมีมติคณะรัฐมนตรีแล้ว นายกรัฐมนตรีอาจใช้อำนาจตามมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ยับยั้งการปฏิบัติราชการใด ๆ ที่ขัดต่อมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว และมีอำนาจสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการปฏิบัติราชการของราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่น ๑.๓ ในกรณีที่เป็นเรื่องที่มีความสำคัญและจำเป็นจะต้องใช้อำนาจพิเศษเหนือกว่าอำนาจตามข้อ ๑.๑ และข้อ ๑.๒ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติอาจใช้อำนาจตามมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ กำหนดมาตรการในการกวดขันการบังคับใช้กฎหมาย การแก้ไขหรือยกเลิกการใช้อำนาจดุลยพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายได้ แต่วิธีการนี้จำเป็นจะต้องกำหนดรายละเอียดให้ชัดเจน และมีข้อจำกัดหรือมีความไม่เหมาะสมอยู่บ้าง กล่าวคือ เมื่อมีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติในกรณีนี้แล้ว คำสั่งดังกล่าวจะก่อให้เกิดภาระหน้าที่แก่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติในการบังคับการให้เป็นไปตามคำสั่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการสอดส่องดูแลหรือการแก้ไขการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อให้มีการปฏิบัติการตามคำสั่งนั้นได้อย่างทั่วถึง ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามแนวทางดังกล่าว โดยเลือกใช้มาตรการให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาและระยะเวลา
|
|||||||||||||||||||||||||||
1213 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายสำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาล (กขน.) ครั้งที่ 2/2558 | นร11 | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายสำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาล (กขน.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๘ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยที่ประชุมมีมติและข้อสั่งการ ดังนี้ ๑.๑ มอบหมายรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) และศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (PMOC) ในการสร้างความเข้าใจกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อให้เกิดความเข้าใจและสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลในระยะที่สองเพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม (โดยเฉพาะการสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างรายได้ สร้างความเข้มแข็ง และสร้างความเชื่อมโยงกับต่างประเทศ) โดยยึดหลักการสร้างความเข้าใจร่วมกัน ลดความขัดแย้ง และการดำเนินการตามกรอบกฎหมาย รวมทั้งการสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนในเรื่องการบังคับใช้มาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ๑.๒ มอบหมายรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) แก้ไขปัญหาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยเร่งขึ้นทะเบียน SMEs ให้ครอบคลุมและครบถ้วนโดยเร็ว และส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุน รวมทั้งพิจารณาขยายเพดานวงเงินกู้ให้เหมาะสม โดยแบ่งกลุ่มเป้าหมายเป็น ๔ กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มธุรกิจใหม่ กลุ่มส่งออก กลุ่มที่ต้องการขยายการผลิตในประเทศ และกลุ่มที่ต้องการฟื้นฟูศักยภาพ ๑.๓ มอบหมายรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) ร่วมกันเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผนการเบิกจ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเบิกจ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยให้กระทรวงมหาดไทยสนับสนุนการดำเนินการเพื่อการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๑.๔ มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษสนับสนุนและผลักดันการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ ๖ แห่ง (๕+๑) ให้สำเร็จในปีนี้ รวมทั้งดำเนินการให้สิทธิการเช่าพื้นที่การลงทุนสำหรับเอกชนเป็นไปตามพระราชบัญญัติการเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๔๒ (กำหนดเวลาเช่าไม่เกิน ๓๐ ปี แต่ไม่เกิน ๕๐ ปี และสามารถต่อระยะเวลาการเช่าออกไปอีกได้ไม่เกิน ๔๙ ปี) ๑.๕ มอบหมายคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐตรวจสอบการรับซื้อยางพาราในโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนเพื่อรักษาเสถียรภาพยางพาราให้มีความเป็นธรรมและทั่วถึง ๑.๖ มอบหมายกระทรวงการคลังตรวจสอบปัญหาความล่าช้าของโครงการสนับสนุนสินเชื่อสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางพาราที่ดำเนินการโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ๒. ในส่วนที่มอบหมายให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐตรวจสอบการรับซื้อยางพาราในโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนเพื่อรักษาเสถียรภาพยางพาราให้มีความเป็นธรรมและทั่วถึง นั้น ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐประสานการดำเนินการกับคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (กขย.) เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
1214 | รายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปี 2556 | ผผ | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปี ๒๕๕๖ ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับผลการพิจารณาสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องต่างๆ พร้อมข้อสังเกตหรือข้อเสนอแนะที่เสนอต่อหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น ผลการปฏิบัติของหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจหรือราชการส่วนท้องถิ่นหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้ดำเนินการหรือไม่ดำเนินการตามข้อสังเกตหรือข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน ความร่วมมือของหน่วยงานในการชี้แจงข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียน ผลการดำเนินงานด้านจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผลการดำเนินงานด้านการติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ และแนวทางการพัฒนาดำเนินงานของผู้ตรวจการแผ่นดิน ตามที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
1215 | การกำหนดให้วันที่ 4 กรกฎาคมของทุกปีเป็น "วันอนามัยสิ่งแวดล้อมไทย" | สธ | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดให้วันที่ ๔ กรกฎาคมของทุกปีเป็น “วันอนามัยสิ่งแวดล้อมไทย” เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี และเพื่อสร้างความตระหนักของสังคมและหน่วยงานทุกภาคส่วนให้มีส่วนร่วมในการดำเนินงานอนามัยสิ่งแวดล้อมเพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชน และการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขจะเป็นหน่วยงานประสานความร่วมมือทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมจัดกิจกรรมรณรงค์ สร้างความตระหนัก และการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานอนามัยสิ่งแวดล้อม โดย ๑.๑ กำหนดนโยบายส่งเสริมและรณรงค์ให้ประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกระดับ ตระหนักถึงความสำคัญของวันอนามัยสิ่งแวดล้อมไทย และมีส่วนร่วมดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี ๑.๒ ประสานความร่วมมือกับองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคท้องถิ่น ในการจัดกิจกรรมรณรงค์ส่งเสริมงานอนามัยสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพอย่างยั่งยืน และร่วมแก้ไขหรือลดปัญหาอนามัยสิ่งแวดล้อมของชุมชนและประเทศ โดยสอดคล้องกับสถานการณ์ปัญหาแต่ละปี ๑.๓ ส่งเสริม สนับสนุนการจัดกิจกรรมรณรงค์ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมของภาคีเครือข่าย ตลอดจนชุมชนในการพัฒนาอนามัยสิ่งแวดล้อม การจัดการมลพิษ และการจัดสภาพแวดล้อม ดูแลชุมชนและที่อยู่อาศัยให้สะอาดถูกสุขลักษณะ ๑.๔ ส่งเสริมความรู้ และปลูกจิตสำนึกและความตระหนักให้แก่เด็ก เยาวชน และประชาชนในการร่วมดูแลอนามัยสิ่งแวดล้อม และร่วมกันเฝ้าระวัง แก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชนให้น่าอยู่อย่างยั่งยืน ๒. มอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมจัดกิจกรรมส่งเสริมการอนามัยสิ่งแวดล้อม เนื่องใน “วันอนามัยสิ่งแวดล้อมไทย” ของทุกปีโดยพร้อมเพรียงกัน |
|||||||||||||||||||||||||||
1216 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (รายงานของคณะกรรมาธิการปฏิรูปพลังงาน เรื่อง การส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย พร้อมสรุปความเห็นและข้อเสนอแนะของสมาชิกสภาปฏิรูป แห่งชาติ) | สผ | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานของคณะกรรมาธิการปฏิรูปพลังงาน เรื่อง การส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย พร้อมสรุปความเห็นและข้อเสนอแนะของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ตามที่สภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ พิจารณากำหนดนโยบายสนับสนุนส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยและส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าในอาเซียน (ASEAN BEV HUB) ๑.๒ กำหนดมาตรการส่งเสริมการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าในแผนอนุรักษ์พลังงาน ๒๐ ปี และแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าระยะยาว (PDP 2558-2579) ให้เกิดมาตรการส่งเสริมการใช้งานของยานยนต์ไฟฟ้า และเกิดการสร้างสถานีประจุไฟฟ้าให้เพียงพอต่อจำนวนยานยนต์ไฟฟ้าที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และกำหนดมาตรการปรับปรุงแก้ไขกฎ ระเบียบ เพื่อให้มีมาตรฐานที่ปลอดภัยและการใช้งานอย่างเหมาะสมกับการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าบนถนนทั่วไปและบนถนนในท้องถิ่น ตลอดจนเตรียมความพร้อมของระบบสายส่ง สายจำหน่ายไฟฟ้า นอกจากนี้ ในช่วงเริ่มต้นควรกำหนดพื้นที่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าให้ชัดเจน เพื่อวัตถุประสงค์ในการบรรเทาปัญหามลพิษและสิ่งแวดล้อม ๑.๓ กำหนดมาตรการส่งเสริมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่ใช้งานบนถนนทั่วไปและบนถนนในท้องถิ่น โดยส่งเสริมให้มีการลงทุนในการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อการใช้งานในประเทศและส่งออกไปต่างประเทศ รวมทั้งจัดทำมาตรฐานยานยนต์ไฟฟ้าและสถานีประจุไฟฟ้า จัดทำมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำของยานยนต์ที่ใช้งานบนถนนทั่วไปและบนถนนในท้องถิ่น ตลอดจนออกมาตรการในการจัดการแบตเตอรี่ซึ่งหมดอายุจากการใช้งานหรือไม่สามารถใช้งานได้ ๑.๔ กำหนดมาตรการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะมอเตอร์ แบตเตอรี่ และสถานีประจุไฟฟ้าอย่างครบวงจรในสถาบันการศึกษาและหน่วยงานวิจัยร่วมกับผู้ประกอบการของไทย เพื่อให้สามารถนำมาใช้และผลิตจริงขึ้นในประเทศ ๑.๕ กำหนดมาตรการส่งเสริมด้านภาษีศุลกากร ภาษีสรรพสามิต ภาษีเงินได้และภาษีอื่น ๆ เพื่อส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยให้สามารถดำเนินการไปได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงการพัฒนาและต่อยอดอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ใช้งานบนถนนทั่วไปและบนถนนในท้องถิ่นที่มีอยู่ในประเทศ ๒. มอบหมายให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานหลักรับรายงานของคณะกรรมการปฏิรูปพลังงาน เรื่อง การส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย พร้อมสรุปความเห็นและข้อเสนอแนะของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อประชุมหารือกำหนดวิธีการและแนวทางในการปฏิบัติเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อการปฏิรูปพลังงานอันจะเป็นการช่วยลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงนำเข้าจากต่างประเทศ เพิ่มทางเลือกการใช้พลังงานของประเทศและยังเป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และให้กระทรวงพลังงานจัดทำรายงานผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวมเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาและมีมติแล้ว สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะได้แจ้งผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีต่อสภาปฏิรูปแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
1217 | การตั้งงบประมาณด้านการจัดการขยะมูลฝอย ภายใต้แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ | ทส | 28/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการตั้งงบประมาณด้านการจัดการขยะมูลฝอย ภายใต้แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด จำนวน ๙๐ โครงการ วงเงินงบประมาณทั้งสิ้น ๕,๖๒๐.๓๕๒๑ ล้านบาท จำแนกเป็นงบประมาณแผ่นดิน จำนวน ๕,๑๕๒.๙๓๔๔ ล้านบาท เงินกองทุนสิ่งแวดล้อม จำนวน ๓.๙๐ ล้านบาท และงบท้องถิ่นสมทบ จำนวน ๔๖๓.๕๑๗๗ ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๘ เรื่อง แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เพิ่มเติม และได้จัดส่งรายละเอียดวงเงินและคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ สำหรับโครงการจัดการขยะมูลฝอย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๘ (เรื่อง ขอขยายระยะเวลาการจัดทำคำของบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ภายใต้งบประมาณในลักษณะบูรณาการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ด้านการบริหารจัดการขยะและสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการจัดการขยะมูลฝอย) ให้สำนักงบประมาณ เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๘ แล้ว ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
1218 | ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริหารงานของรัฐบาล ครบ 4 เดือน พ.ศ. 2557 | ทก | 28/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริหารงานของรัฐบาล ครบ ๔ เดือน พ.ศ. ๒๕๕๗ ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ เพื่อนำผลการสำรวจไปใช้ในการวางแผนปรับปรุงนโยบาย และติดตามประเมินผลการดำเนินงานแก้ไขปัญหาให้ตรงกับความต้องการของประชาชน ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การรับชม/รับฟังรายการคืนความสุขให้คนในชาติ ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ ๙๑.๓ รับชม/รับฟัง และไม่ได้รับชม/รับฟัง ร้อยละ ๘.๗ ส่วนการรับชม/รับฟังรายการเดินหน้าประเทศไทย ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ ๘๙.๐ รับชม/รับฟัง และไม่ได้รับชม/รับฟังร้อยละ ๑๑.๐ ๒. ความพึงพอใจต่อผลการดำเนินงานในภาพรวมของรัฐบาล ประชาชนเกินครึ่ง หรือร้อยละ ๕๙.๙ พึงพอใจในระดับมากถึงมากที่สุด และร้อยละ ๓๖.๓ มีความพึงพอใจในระดับปานกลาง ส่วนความเชื่อมั่นต่อการบริหารงานของรัฐบาล ประชาชนร้อยละ ๖๑.๑ มีความเชื่อมั่นในระดับมากถึงมากที่สุด และร้อยละ ๓๔.๘ มีความเชื่อมั่นในระดับปานกลาง ๓. การรับทราบการบริหารงานโครงการเร่งด่วนที่สำคัญของรัฐบาล ประชาชนทราบเรื่องการบริหารงานโครงการเร่งด่วนที่สำคัญของรัฐบาลในรอบ ๔ เดือนที่ผ่านมา ๕ อันดับแรก คือ การปราบปรามและหยุดยั้งการแพร่ระบาดของยาเสพติด ร้อยละ ๙๕.๙ การช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำ ร้อยละ ๙๔.๒ การแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน ร้อยละ ๙๒.๘ การบริหารจัดการและกำหนดราคาเชื้อเพลิง ร้อยละ ๙๒.๒ และการสร้างความปรองดอง/คืนความสุขให้กับคนในชาติ ร้อยละ ๙๑.๐ ๔. ความพึงพอใจการบริหารงานโครงการเร่งด่วนที่สำคัญของรัฐบาล ๕ อันดับแรกที่ประชาชนพึงพอใจในระดับปานกลางถึงมากที่สุด คือ การปราบปรามและหยุดยั้งการแพร่ระบาดของยาเสพติด ร้อยละ ๙๒.๒ การดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชน ร้อยละ ๘๙.๓ การบริหารจัดการและกำหนดราคาเชื้อเพลิง ร้อยละ ๘๘.๔ การป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ร้อยละ ๘๗.๕ และการสร้างความปรองดอง/คืนความสุขให้กับคนในชาติ ร้อยละ ๘๗.๓ ๕. ข้อเสนอแนะต่อการบริหารงานของรัฐบาล ประชาชนมีข้อเสนอแนะต่อการบริหารงานของรัฐบาล ๕ อันดับแรก คือ ให้บริหารงานต่อไป ทำดีแล้ว บริหารงานรวดเร็ว จริงใจ ร้อยละ ๓๔.๕ ต้องการให้แก้ไขปัญหาสินค้าราคาแพง ร้อยละ ๓๐.๖ แก้ไขปัญหาราคาสินค้าทางการเกษตรตกต่ำ ร้อยละ ๒๕.๖ แก้ไขปัญหายาเสพติด ร้อยละ ๑๕.๒ และแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชันของนักการเมืองและข้าราชการ ร้อยละ ๑๕.๑ ๖. การรับทราบแนวทางการปฏิรูปประเทศไทยและแหล่งที่ทราบ ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ ๙๒.๒ ทราบเกี่ยวกับแนวทางการปฏิรูประเทศไทย โดยระบุแหล่งที่ทราบ ๓ อันดับแรก คือ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์/เอกสาร/สิ่งพิมพ์ และการบอกเล่าของคนในชุมชน/หมู่บ้าน ๗. เรื่องที่ต้องการให้ปฏิรูปประเทศไทย เรื่องที่ประชาชนต้องการให้มีการปฏิรูปประเทศไทย ๕ อันดับแรก คือ เศรษฐกิจ ร้อยละ ๘๓.๙ การเมือง ร้อยละ ๗๐.๔ การศึกษา ร้อยละ ๕๓.๖ กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ร้อยละ ๓๘.๘ และการปกครองท้องถิ่น ร้อยละ ๓๓.๙ ๘. ความต้องการมีส่วนร่วมในการปฏิรูปประเทศไทย ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ ๗๔.๐ ต้องการที่จะมีส่วนร่วมในการปฏิรูปประเทศไทย โดยระบุช่องทาง/วิธีการที่ต้องการมีส่วนร่วม ๕ อันดับแรก ได้แก่ ประชามติ ร้อยละ ๓๐.๕ จัดประชุมสัมมนา/เวทีเสวนา ร้อยละ ๒๕.๖ กล่องรับความคิดเห็นที่วางไว้ที่ไปรษณีย์ ร้อยละ ๑๖.๐ ผ่านช่องทางเว็บไซต์/e-mail ร้อยละ ๑๒.๘ และสายด่วน ๑๗๔๓ ร้อยละ ๗.๗
|
|||||||||||||||||||||||||||
1219 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | นร07 | 28/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ วงเงิน ๒.๗๒ ล้านล้านบาท และการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๖/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๘ โดยปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ดังนี้ ๑.๑ ปรับปรุงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพิ่มขึ้น จำนวน ๘,๒๗๕.๐๔ ล้านบาท และปรับเพิ่มให้สภากาชาดไทยเป็นค่าก่อสร้างอาคารศูนย์ก้าวหน้าทางวิชาการ จำนวน ๒๖๔.๙๖ ล้านบาท ๑.๒ ปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ในส่วนของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ภายในกรอบวงเงินที่ได้รับจัดสรร เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างและปรับปรุงอาคาร จำนวน ๒ โครงการ จำนวน ๒๐ ล้านบาท ๑.๓ โครงสร้างงบประมาณ มีการปรับปรุงในส่วนรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุนภายในวงเงินเดิม ๑.๔ การจำแนกยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ โดยปรับปรุงวงเงินใน ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์เร่งรัดวางรากฐานการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ ยุทธศาสตร์การศึกษา สาธารณสุข คุณธรรม จริยธรรม และคุณภาพชีวิต ยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและเป็นธรรม และรายการค่าดำเนินการภาครัฐภายในกรอบวงเงินงบประมาณ ๒.๗๒ ล้านล้านบาท ๒. เห็นชอบการทบทวนค่าใช้จ่ายด้านการวิจัย ซึ่งมีงบประมาณของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยและพัฒนา อีกจำนวน ๑,๐๖๘.๐๙ ล้านบาท (กระทรวงกลาโหมและสภากาชาดไทย) รวมเป็นเงินงบประมาณด้านการวิจัย จำนวน ๒๕,๓๗๓.๑๙ ล้านบาท และยังมีเงินรายได้ด้านการวิจัยของหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ได้แก่ รัฐวิสาหกิจ มหาวิทยาลัยของรัฐต่าง ๆ อีกจำนวน ๗,๘๕๑.๓๙ ล้านบาท รวมทุกแหล่งเงิน เป็นจำนวน ๓๓,๒๒๔.๖๐ ล้านบาท (ไม่รวมภาคเอกชน) คิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP ร้อยละ ๐.๒๕ ๓. เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ให้มีจำนวนเพิ่มขึ้นอีก จำนวน ๘,๕๔๐ ล้านบาท โดยลดงบประมาณรายการเงินอุดหนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สอดคล้องด้วย ๔. เห็นชอบให้สำนักงบประมาณนำมติคณะรัฐมนตรี (ตามข้อ ๑-๓) ไปจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และเอกสารประกอบงบประมาณ และให้ส่งร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ดังกล่าว ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน และแจ้งผลการพิจารณาให้สำนักงบประมาณทราบโดยตรง ก่อนไปจัดพิมพ์เป็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และเอกสารประกอบ และนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบภายในวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ และนำเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๕. ให้ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เตรียมการให้เกิดความพร้อมในการจัดซื้อจัดจ้าง สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อให้สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันได้เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
1220 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยอัตราค่าธรรมเนียมการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย พ.ศ. .... | สธ | 20/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยอัตราค่าธรรมเนียมการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอยที่ราชการส่วนท้องถิ่นมีอำนาจออกข้อกำหนดของท้องถิ่นได้ไม่เกินอัตราค่าธรรมเนียมที่กำหนดในกฎกระทรวงนี้ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
.....