ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 63 จากทั้งหมด 199 หน้า แสดงรายการที่ 1241 - 1260 จากข้อมูลทั้งหมด 3975 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1241 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. .... | สว | 10/03/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. .... เกี่ยวกับกรณีที่ร่างพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. .... ประกาศใช้บังคับแล้วจะมีผลให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลการประกอบกิจการหอพักซึ่งเป็นการโอนภารกิจจากส่วนราชการเดิม คือ ๑.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีโครงสร้างอัตรากำลัง บุคลากร และงบประมาณที่จะปฏิบัติภารกิจนี้อย่างเพียงพอ ๑.๒ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการถ่ายโอนภารกิจ ตลอดจนบรรดาทะเบียน ข้อมูล และเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลกิจการหอพักทั้งของหอพักที่ได้รับอนุญาตและไม่ได้รับอนุญาตที่อยู่ในความครอบครองให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ครบถ้วนสมบูรณ์ การจัดทำคู่มือการปฏิบัติราชการที่รวบรวมบรรดากฎหมาย กฎ ระเบียบ คำสั่ง แนวปฏิบัติ แนวคำวินิฉัย แบบพิมพ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติราชการในการกำกับดูแลกิจการหอพัก การเตรียมความพร้อมและจัดฝึกอบรมให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้บริหาร ข้าราชการ และพนักงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การเป็นพี่เลี้ยงให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน ให้คำปรึกษา แนะนำและช่วยแก้ปัญหาให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งดำเนินการอื่น ๆ ให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ตามแผนปฏิบัติการเพื่อกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจตามแผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ตามข้อ ๑.๑ และให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ตามข้อ ๑.๒ โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมผลการดำเนินการ แล้วแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||
1242 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงกลาโหม) (จำนวน 22 คณะ) | กห | 10/03/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้
๑. แต่งตั้งคณะกรรมการ จำนวน ๒๒ คณะ ได้แก่ ๑.๑ คณะกรรมการพิจารณาการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ซึ่งผลิตภัณฑ์ของเอกชนตามพระราชบัญญัติโรงงานผลิตอาวุธของเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ ในความควบคุมของกระทรวงกลาโหม ๑.๒ คณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป ไทย-ลาว ๑.๓ คณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนระดับจังหวัด-แขวง ชายแดนไทย-ลาว ๑.๔ คณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-มาเลเซีย ๑.๕ คณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชา ๑.๖ คณะกรรมการยีออเดซี่และยีออฟิสิกส์แห่งชาติ ๑.๗ คณะกรรมการชื่อภูมิศาสตร์แห่งชาติ ๑.๘ คณะกรรมการสภาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ๑.๙ คณะกรรมการพิจารณาสิทธิกำลังพลกรณีพิเศษกองทัพไทย ๑.๑๐ คณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณชายแดน ไทย-กัมพูชา ๑.๑๑ คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ไทย-กัมพูชา ๑.๑๒ คณะกรรมการระดับสูง ไทย-มาเลเซีย ๑.๑๓ คณะกรรมการระดับสูง ไทย-อินโดนีเซีย ๑.๑๔ คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ไทย-พม่า ๑.๑๕ คณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น ไทย-พม่า ๑.๑๖ คณะกรรมการระดับสูง ไทย-เมียนมาร์ ๑.๑๗ คณะกรรมการพิจารณาบำเหน็จพิเศษสำหรับการสู้รบของศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก ๑.๑๘ คณะกรรมการขอพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชนของศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก ๑.๑๙ คณะกรรมการพิจารณาสิทธิกำลังพลปฏิบัติราชการพิเศษของศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก ๑.๒๐ คณะกรรมการพิจารณาสิทธิด้านกำลังพลให้แก่เจ้าหน้าที่กองทัพเรือที่ออกปฏิบัติการตามแผนป้องกันประเทศ แผนรักษาความสงบภายในประเทศหรือออกปฏิบัติราชการรักษาความสงบในเวลาฉุกเฉิน (พิจารณาเงินทดแทนและบำเหน็จความชอบ) ๑.๒๑ คณะกรรมการพิจารณาสิทธิด้านกำลังพลให้แก่เจ้าหน้าที่กองทัพเรือที่ออกปฏิบัติการตามแผนป้องกันประเทศ แผนรักษาความสงบภายในประเทศหรือออกปฏิบัติราชการรักษาความสงบในเวลาฉุกเฉิน (พิจารณาบำเหน็จพิเศษสำหรับการสู้รบ) ๑.๒๒ คณะกรรมการพิจารณาสิทธิด้านกำลังพลให้แก่เจ้าหน้าที่กองทัพเรือที่ออกปฏิบัติการตามแผนป้องกันประเทศ แผนรักษาความสงบภายในประเทศหรือออกปฏิบัติราชการรักษาความสงบในเวลาฉุกเฉิน (ขอพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชน) ๒. ยกเลิกคณะกรรมการที่หมดความจำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่ ๑ คณะ คือ คณะกรรมการเพื่อพิจารณาการได้รับสิทธิต่าง ๆ ของเจ้าหน้าที่กองทัพอากาศ (ขอพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชน)
|
||||||||||||||||||
1243 | แผนพัฒนาจังหวัด แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด (พ.ศ. 2557 - 2560) ฉบับทบทวน แผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด และคำของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | นร12 | 10/03/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแผนพัฒนาจังหวัด จำนวน ๗๖ จังหวัด และแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด จำนวน ๑๘ จังหวัด (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐) ฉบับทบทวน และแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด และคำของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ตามที่เลขาธิการ ก.พ.ร. กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการเสนอ ๒. มอบให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ของแผนพัฒนาจังหวัด แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด โดยให้ทุกจังหวัดและกลุ่มจังหวัดเร่งจัดทำงบประมาณที่เป็นการใช้จ่ายลงทุน ซ่อมสร้าง รายการหลัก ๆ ให้เป็นรูปธรรม และให้ทุกจังหวัดและกลุ่มจังหวัดจัดลำดับความเร่งด่วน กำกับดูแล เพื่อให้เกิดเป็นรูปธรรม และดำเนินการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณ ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ โดยถือเป็นความรับผิดชอบของผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ อธิบดี องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนราชการทุกกระทรวง และส่วนราชการประจำจังหวัด ทั้งนี้ ให้ดำเนินการตามกฎ ระเบียบหรือหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ส่วนงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้ดำเนินการจัดทำรายละเอียดเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไปด้วย โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับเลขาธิการ ก.พ.ร. กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ กำกับดูแลการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
1244 | รายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการที่มีประโยชน์ต่อประชาชนที่กระทรวงมหาดไทยมอบเป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน | มท | 10/03/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการที่มีประโยชน์ต่อประชาชนที่กระทรวงมหาดไทยมอบเป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน ของส่วนราชการและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัด รวม ๑๗ โครงการ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการที่ดำเนินการแล้วเสร็จ (สิ้นสุดโครงการ) จำนวน ๔ โครงการ คือ ๑.๑ มอบความสุขทั่วไทย สัญจรปีใหม่ ปลอดภัยทุกคน ๑.๒ ถนนสวย เดินได้ ปั่นได้ ค้าขายคล่องตัว ๑.๓ ประปาสร้างสุข ทุกคนมีน้ำใช้ ๑.๔ ประปาทันใจ คนไทยมีสุข ๒. โครงการที่ดำเนินการแล้วเสร็จบางกิจกรรม (ยังไม่สิ้นสุดโครงการ) และดำเนินการต่อเนื่องในปี ๒๕๕๘ จำนวน ๖ โครงการ คือ ๒.๑ ศูนย์ดำรงธรรม นำสุข แก้ทุกข์ ๒๔ ชั่วโมง ๒.๒ ท้องถิ่นโปร่งใส จัดสรรงบประมาณใหม่ทั่วถึงเป็นธรรม ๒.๓ ติดต่อราชการทันใจ ไม่ต้องใช้สำเนาบัตรประชาชน ๒.๔ OTOP ทั่วไทย ส่งความสุขปีใหม่ สร้างรายได้ ขยายตลาดสู่อาเซียน ๒.๕ รวมพลคนกู้ชีพกู้ภัย เพื่อคนไทยมีความสุข ๒.๖ LED สว่างไสว รับปีใหม่มหานคร ๓. โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน ๗ โครงการ คือ ๓.๑ อยุธยาเมืองประวัติศาสตร์ เมืองสะอาด ปลอดขยะ ต้นแบบ ๓.๒ ตลาดนัดชุมชนไทยช่วยไทย คนไทยยิ้มได้ ๓.๓ สำนักงานที่ดินทั่วไทย รวดเร็ว โปร่งใส ใส่ใจบริการ ๓.๔ ๒๕๕๘ ปีทองผังเมือง พัฒนาทั่วไทย ก้าวไกลสู่อาเซียน ๓.๕ คลองสวยน้ำใส คนไทยมีความสุข ๓.๖ สว่างไสวทั่วไทย จ่ายไฟทุกครัวเรือน ๓.๗ ปากคลองตลาดโฉมใหม่ สะอาด ปลอดภัย สินค้าสดใหม่ทุกวัน
|
||||||||||||||||||
1245 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 และไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร01 | 10/03/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อมูลสรุปผลการดำเนินการฯ ไปประกอบการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ มีการแจ้งเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็น รวมทั้งสิ้น ๑๔๒,๘๘๒ ครั้ง จำนวน ๑๐๔,๖๐๕ เรื่อง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ รองลงมาคือ ขอให้แก้ไขปัญหากระแสไฟฟ้าขัดข้องกับขยายเขตการให้บริการไฟฟ้า การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเมืองในประเด็นที่หลากหลาย แจ้งเบาะแสการลักลอบจำหน่ายและเสพยาเสพติด และปัญหาหนี้สินนอกระบบ ตามลำดับ ๑.๒ สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ มีการแจ้งเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็น รวมทั้งสิ้น ๖๑,๒๓๐ ครั้ง จำนวน ๔๐,๖๔๗ เรื่อง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ รองลงมาคือ ปัญหาหนี้สินนอกระบบ แจ้งเบาะแสการลักลอบจำหน่ายและเสพยาเสพติด แจ้งเบาะแสการลักลอบเปิดบ่อนและเล่นการพนัน และการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการรัฐ ตามลำดับ ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งรัดดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ในส่วนที่อยู่ในความรับผิดชอบให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว โดยให้ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการตามขั้นตอนและมาตรฐานเวลาในการจัดการเรื่องร้องทุกข์ และรายงานผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดทราบทุกเดือนเพื่อเร่งรัดการดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||
1246 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 10/03/2558 | |||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านการต่างประเทศ ให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเร่งดำเนินการขยายความร่วมมือกับสาธารณรัฐเกาหลีให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน ๖ เดือน ได้แก่ ความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนศึกษาดูงาน การดำเนินโครงการวิจัยร่วมกัน การฝึกอบรมระยะสั้นและระยะยาวร่วมกัน การยกระดับสิ่งประดิษฐ์ไปสู่เชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะในประเด็นที่ฝ่ายไทยมีความต้องการในขณะนี้ เช่น การแปรรูปวัตถุดิบทางการเกษตรให้มีมูลค่าสูงขึ้น โดยเฉพาะการแปรรูปยางพารา การพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่สาธารณรัฐเกาหลีประสบความสำเร็จ ตลอดจนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ดนตรี และละคร การพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านความงามร่วมกันซึ่งไทยมีสมุนไพรที่สามารถนำมาพัฒนาในด้านนี้ได้ และอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศและชิ้นส่วน ๒. ด้านความมั่นคง ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับกระทรวงกลาโหม สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและหน่วยงานด้านความมั่นคงติดตามและประเมินผลการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น และวิเคราะห์สถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อนำมาประกอบการจัดทำแผนการดำเนินงานเพื่อรองรับการบริหารสถานการณ์ความไม่สงบเรียบร้อยภายในประเทศ โดยให้ครอบคลุมทุกสถานการณ์ ๓. ด้านเศรษฐกิจ ๓.๑ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาสินค้าส่งออกสำคัญของประเทศ โดยเฉพาะชิ้นส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความทันสมัยและประสิทธิภาพสูง เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและศักยภาพในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ ๓.๒ ให้คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประสานให้ทุกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณานำรายได้สะสมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมาใช้ในการดำเนินโครงการที่มีลักษณะเป็นการช่วยเหลือประชาชนระดับรากหญ้าในพื้นที่ โดยให้เสนอโครงการให้คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาก่อนดำเนินการ ทั้งนี้ ในการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย ๓.๓ ตามที่รัฐบาลได้จัดงานวิถีข้าว : วิถีไทย ระหว่างวันที่ ๕ มีนาคม-๕ เมษายน ๒๕๕๘ บริเวณข้างคลองผดุงกรุงเกษม เพื่อเป็นช่องทางทางการตลาดสำคัญที่เชื่อมโยงผู้ผลิตกับผู้ส่งออก และผู้ผลิตกับผู้บริโภค ตลอดจนเปิดโอกาสให้ประชาชนได้บริโภคข้าวที่มีคุณภาพ นั้น ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกลาโหม จัดสถานที่เพิ่มเติมเพื่อให้เกษตรกร สหกรณ์ และผู้ประกอบการได้พบปะกันเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้มีช่องทางการตลาดเพิ่มเติมและมีผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มขึ้น และจัดให้มีร้านค้าขายอาหารจานเดียว โดยให้ประชาชนที่เข้าชมงานสามารถเลือกข้าวที่จำหน่ายในงานมาเป็นวัตถุดิบปรุงเป็นอาหารเพื่อจำหน่าย รวมทั้งจัดกิจกรรมเพิ่มเติมเพื่อดึงดูดความสนใจแก่ประชาชนทั่วไปให้มาร่วมเที่ยวงานดังกล่าว นอกจากนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดให้เอกอัครราชทูตหรือแขกต่างประเทศเข้าร่วมชมงานดังกล่าว และให้ทุกหน่วยงานร่วมกันประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไปเข้าร่วมชมงานดังกล่าวด้วย ๓.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงยุติธรรม รวมทั้งภาคเอกชนพิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือในการรับซื้อผลผลิตทางการเกษตรตามความต้องการของแต่ละหน่วยงาน โดยให้พิจารณากำหนดระดับราคาและวิธีการจัดซื้อที่เหมาะสม เป็นไปตามระเบียบ หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องด้วย ๓.๕ ให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณากำหนดแนวทางการหารือความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กลุ่มประเทศกัมพูชา-ลาว-เมียนมา-เวียดนาม (CLMV) และอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ในด้านต่าง ๆ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียนร่วมกัน โดยเฉพาะในด้านการค้า การลงทุน พลังงาน รวมทั้งพิจารณาหามาตรการให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการค้าและแนวทางเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทยเนื่องจากค่าจ้างในตลาดแรงงานไทยสูงกว่ากลุ่มประเทศ CLMV ค่อนข้างมาก ๓.๖ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งจัดตั้งคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ๕ พื้นที่ชายแดน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๘ โดยนำเสนอนายกรัฐมนตรีภายในสัปดาห์หน้า ๔. ด้านสังคม ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม (กองทัพบก) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดให้ทุกจังหวัดมีกิจกรรมสร้างเสริมความรู้และประสบการณ์ที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละช่วงวัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปิดภาคเรียน เช่น การจัดค่ายฤดูร้อน การจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะวิชาการ โดยขอความร่วมมือจากภาคเอกชนในการสนับสนุนสถานที่ฝึกงานหรือหารายได้พิเศษที่เหมาะสม ทั้งนี้ ให้ศึกษาตัวอย่างจากประเทศที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาบุคลากร เช่น ประเทศญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี ๕. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๕.๑ ปัจจุบันการดำเนินแผนงาน/โครงการ เพื่อช่วยเหลือประชาชนและพัฒนาประเทศยังมีความล่าช้า ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งรัดการดำเนินการและรายงานความก้าวหน้าให้คณะรัฐมนตรีได้รับทราบโดยเร็ว และต่อเนื่อง รวมทั้งให้กรมประชาสัมพันธ์และสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร่วมกับหน่วยงานเจ้าของโครงการเก็บข้อมูลและภาพผลงานโครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น โครงการบริหารจัดการน้ำ การขุดเจาะบ่อบาดาล งานด้านสาธารณสุข เพื่อนำมาใช้ประกอบการสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนได้รับทราบความคืบหน้าในแต่ละขั้นตอน อีกทั้งยังเป็นการสร้างความโปร่งใสในการดำเนินการด้วย และให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ติดตามผลการดำเนินการในเรื่องที่รับผิดชอบเพื่อรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และช่วยขับเคลื่อนโครงการสำคัญของรัฐบาล ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ ๕.๒ ให้กรมประชาสัมพันธ์ปรับกำหนดการเผยแพร่การดำเนินงานหรือผลงานของหน่วยงานต่าง ๆ จากทุก ๑ เดือน เป็นทุก ๑๕ วัน โดยให้แต่ละฉบับมีการนำเสนอการดำเนินงานหรือผลงานของทั้ง ๑๙ กระทรวง และระบุชื่อบรรณาธิการแต่ละเรื่องให้ชัดเจนด้วย ๕.๓ ให้ทุกหน่วยงานติดตามผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการทำงานของรัฐบาล เพื่อนำมาพิจารณาแก้ไขและปรับปรุงการดำเนินงานของหน่วยงาน พร้อมทั้งสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนด้วย ๕.๔ ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) กำกับให้ส่วนราชการต่าง ๆ ติดตามความคืบหน้าในการจัดเวทีสาธารณะเพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดในเรื่องต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด และในกรณีที่มีการเชิญผู้แทนจากส่วนราชการเข้าร่วม ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาส่งผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนั้น ๆ และมีความสามารถในการอธิบายและสื่อสารเข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ชี้แจงทำความเข้าใจ และสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องกับประชาชนให้เป็นไปตามแนวทางของรัฐบาลด้วย ๕.๕ โดยที่กระทรวงมหาดไทยมีระบบฐานข้อมูลบัตรประจำตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ (Smart Card) ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานและมีความพร้อมในการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานแล้ว นั้น ให้หน่วยงานที่ประสงค์จะใช้ข้อมูลดังกล่าวประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยเพื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ประกอบการดำเนินงานตามภารกิจที่รับผิดชอบต่อไป
|
||||||||||||||||||
1247 | การปรับปรุงการปฏิบัติราชการและหลักเกณฑ์การปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ของสำนักงบประมาณ | นร07 | 03/03/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับปรุงการปฏิบัติราชการและหลักเกณฑ์การปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. การปรับปรุงการดำเนินการตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๑.๑ ให้หัวหน้าส่วนราชการ/ผู้ว่าราชการจังหวัด สามารถเปลี่ยนแปลงสถานที่ดำเนินรายการค่าที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างภายในเขตพื้นที่จังหวัดเดียวกันได้ รวมถึงให้แก้ไขข้อความที่ผิดพลาด คลาดเคลื่อนให้ถูกต้องได้ โดยไม่ต้องขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ ๑.๒ ให้ส่วนราชการเร่งรัดจัดสรรงบประมาณไปยังหน่วยงานภูมิภาคภายใน ๓ วันทำการ ๑.๓ ให้อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น/ผู้ว่าราชการจังหวัด มีอำนาจอนุมัติให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเปลี่ยนแปลงสถานที่ดำเนินการได้ โดยอยู่ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเดิม และไม่เป็นการเปลี่ยนวัตถุประสงค์ของรายการ สำหรับกรณีเปลี่ยนวัตถุประสงค์ให้ดำเนินการตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณฯ ๑.๔ กำหนดให้หัวหน้าส่วนราชการฯ/ผู้ว่าราชการจังหวัด โอนงบประมาณไปสมทบรายการค่าครุภัณฑ์/ที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างที่มีผลการจัดซื้อจัดจ้างเกินกว่าวงเงินงบประมาณที่ได้รับ ได้อีกไม่เกินร้อยละ ๒๐ ของวงเงินที่ได้รับจัดสรร ๒. การปรับปรุงขั้นตอนการดำเนินการตามระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๒.๑ กำหนดให้สำนักงบประมาณพิจารณาความเหมาะสมของราคาควบคู่ไปกับกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของส่วนราชการ ๒.๒ ให้ส่วนราชการฯ สามารถเปลี่ยนแปลงสถานที่ดำเนินการที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ซึ่งกระทบต่อวัตถุประสงค์ของรายการภายในเขตพื้นที่จังหวัดเดียวกันได้โดยไม่ต้องขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ ๓. ให้ส่วนราชการฯ ขอทำความตกลงแบบรูปรายการมาตรฐานสิ่งก่อสร้างที่กำหนดขึ้นเฉพาะหน่วยงาน กับสำนักงบประมาณให้เป็นปัจจุบัน ๔. การเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณที่กันเงินไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปี ให้ส่วนราชการฯ ดำเนินการตามแนวทางข้อ ๑ และข้อ ๒ โดยอนุโลม ๕. การเร่งรัดขั้นตอนการดำเนินการของสำนักงบประมาณ ประกอบด้วย การพิจารณาให้ความเห็นชอบแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ การพิจารณาอนุมัติงบประมาณรายจ่ายงบกลาง การพิจารณาความเหมาะสมของราคารายการผูกพันข้ามปีงบประมาณ การพิจารณาอนุมัติโอนเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณ จัดสรรงบประมาณตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
|
||||||||||||||||||
1248 | การเดินทางไปศึกษาดูงาน ประชุม สัมมนา อบรม ณ ต่างประเทศ | นร | 03/03/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ทุกส่วนราชการถือปฏิบัติเกี่ยวกับการเดินทางไปศึกษาดูงาน การจัดประชุม อบรม สัมมนาในต่างประเทศ ดังนี้
๑. ให้หัวหน้าส่วนราชการ (กระทรวง/กรม) หรือเทียบเท่า ผู้บริหารของส่วนราชการทั้งส่วนกลาง ภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น กรรมการและผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ นิติบุคคลที่รัฐถือหุ้น งดเว้นการเดินทางไปศึกษาดูงานต่างประเทศในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ยกเว้นกรณีเข้าร่วมประชุม อบรม สัมมนาตามพันธกรณี ข้อตกลงระหว่างประเทศหรือหลักสูตรการศึกษาที่ได้กำหนดไว้แล้ว โดยหากมีความจำเป็นให้ขออนุมัติต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเป็นรายกรณี และให้รวบรวมเสนอคณะรัฐมนตรีทราบเป็นรายเดือน ทั้งนี้ ขอความร่วมมือหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาปฏิรูปแห่งชาติปฏิบัติในแนวทางเดียวกันด้วย ๒. หากหน่วยงานเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องมีการศึกษาดูงาน อบรม หรือสัมมนา ให้ปรับเปลี่ยนเป็นการศึกษาดูงานภายในประเทศแทน โดยเฉพาะการศึกษาดูงานที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และโครงการตามแนวพระราชดำริต่าง ๆ หรือให้พิจารณาเชิญวิทยากร ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาบรรยาย ซึ่งจะได้ประโยชน์และเป็นการประหยัดงบประมาณยิ่งขึ้น ๓. ให้กระทรวงการคลังดำเนินการปรับปรุงแก้ไขระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดให้ข้าราชการเดินทางด้วยเครื่องบินในชั้นโดยสาร ดังนี้ ๓.๑ ผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (อธิบดีหรือเทียบเท่าผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ตรวจราชการ เอกอัครราชทูต รองปลัดกระทรวง) ผู้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ ให้เดินทางภายในประเทศในชั้นประหยัดและเดินทางต่างประเทศในชั้นธุรกิจ ๓.๒ ผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับต้น ประเภทอำนวยการ ระดับสูง ประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ ให้เดินทางทั้งภายในประเทศและต่างประเทศในชั้นประหยัด ทั้งนี้ ในระหว่างที่กระทรวงการคลังดำเนินการปรับปรุงระเบียบฯ ให้ข้าราชการถือปฏิบัติตามแนวทางข้างต้นตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
|
||||||||||||||||||
1249 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 03/03/2558 | |||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ตามที่รัฐบาล (คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) ได้มีนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (ECO-Car) นั้น ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเป็นไปได้ในการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle-EV Car) ต่อไปด้วย ๑.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ เช่น ผลผลิตทางการเกษตร ๑.๓ ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายกระชับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับกลุ่มประเทศกัมพูชา-ลาว-เมียนมา-เวียดนาม (CLMV) เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนไปสู่ประชาคมอาเซียนด้วยกันนั้น ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจัดทำ Website เพื่อสร้างการรับรู้ให้ประชาชนทราบถึงความสำคัญและการดำเนินการต่าง ๆ ของรัฐบาลในเรื่องนี้ รวมทั้งเป็นช่องทางการสื่อสารระหว่างกัน โดยอาจเชื่อมโยง Website ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกลุ่มประเทศ CLMV และให้ทุกหน่วยงานที่มีแผนดำเนินการต่าง ๆ ร่วมกับประเทศในกลุ่ม CLMV ตรวจสอบว่ามีความร่วมมือใด ๆ ตามแผนที่จะต้องจัดทำเป็นบันทึกความเข้าใจหรือไม่ แล้วให้ดำเนินการจัดทำเพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือให้เป็นรูปธรรมต่อไป ๒. ด้านสังคม ๒.๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการกำหนดเป้าหมายการพัฒนานักเรียน โดยนักเรียนที่จบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ จะต้องอ่านออกเขียนได้ และนักเรียนในระดับมัธยมศึกษาตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นจะต้องมีวิชาเลือกเป็นวิชาชีพเสริม เพื่อเป็นทางเลือกให้นักเรียนมีโอกาสได้รับรู้ถึงความถนัดของตนเอง โดยให้เริ่มดำเนินการได้ภายใน ๖ เดือน รวมทั้งในการกำหนดหลักสูตรการสอนทุกระดับจะต้องมีความสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศและการพัฒนาในพื้นที่ เช่น การกำหนดหลักสูตรอาชีวะด้านเทคโนโลยีการขนส่ง เพื่อรองรับการพัฒนาระบบขนส่งทางราง เป็นต้น ๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุที่เกิดบริเวณเส้นทางที่เป็นจุดตัดทางรถไฟ ด้วยการติดตั้งเครื่องกั้น ป้ายหยุด ป้ายเตือน เนินชะลอความเร็ว ไฟสัญญาณเตือนต่าง ๆ เป็นต้น ให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ทั้งนี้ หากมีงบประมาณไม่เพียงพอให้ประสานสำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณตามความเร่งด่วนและจำเป็นต่อไปด้วย รวมทั้งให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการก่อสร้างอุโมงค์รถไฟลอดผ่านถนนตามแยกต่าง ๆ ที่มีการจราจรคับคั่ง เช่น บริเวณสี่แยกยมราช เป็นต้น ๒.๓ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เกี่ยวกับการดูแลและเยียวยาเหยื่อจากการค้ามนุษย์หรือจากการใช้แรงงานประมงโดยผิดกฎหมาย รวมทั้งให้มุ่งเน้นการดูแลและเยียวยาเหยื่อจากการค้ามนุษย์ด้วย ๓. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ให้กระทรวงยุติธรรมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติดูแลความเหมาะสมของสถานที่ใช้ควบคุมผู้ต้องขังสตรี สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน หรือสถานที่ควบคุมผู้ต้องหาที่เป็นเด็กและเยาวชน สตรี โดยจัดสวัสดิการที่เหมาะสมกับกลุ่มบุคคลดังกล่าวไว้โดยเฉพาะ และควรสอดคล้องกับมาตรฐานขั้นต่ำของสหประชาชาติเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อกลุ่มบุคคลดังกล่าวด้วย ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ ตามที่คณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติได้มีมติว่า การดำเนินโครงการต่าง ๆ ของส่วนราชการต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส มีการปฏิบัติกับทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติต้องทำงานด้วยความซื่อสัตย์ ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ จึงให้หน่วยงานตระหนักและให้ความสำคัญกับแนวทางข้างต้น หากพบว่ามีการละเว้นการปฏิบัติ ผู้ที่เกี่ยวข้องจะถูกดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายจนถึงที่สุด ๔.๒ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) สอบสวนหาข้อเท็จจริงกรณีมีการร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตในการดำเนินงานของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) นั้น ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐให้การสนับสนุนการดำเนินการข้างต้นด้วย ๔.๓ ในการแต่งตั้งประธานกรรมการบริหาร รวมถึงผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ให้ทุกส่วนราชการให้ความสำคัญกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดไว้สำหรับรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ และตามที่บัญญัติในกฎหมายอย่างเคร่งครัด รวมทั้งพิจารณาระยะเวลาในการดำรงตำแหน่ง ซึ่งควรมีระยะเวลามากกว่า ๑ ปี เพื่อให้การบริหารงานเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ ๔.๔ ให้ทุกหน่วยงานให้ความสำคัญกับการปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operation) โดยจัดทำข้อมูลในภารกิจสำคัญของหน่วยงานที่แสดงให้เห็นถึงผลการดำเนินการที่เป็นการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของประชาชน หรือทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และแผนการดำเนินการในระยะต่อไป และส่งให้กรมประชาสัมพันธ์และสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สำนักโฆษก) ใช้ในการสื่อสารกับประชาชนเพื่อสร้างการรับรู้อย่างกว้างขวาง รวมทั้งให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล) และกรมประชาสัมพันธ์ดำเนินการเร่งสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชน เช่น การเปรียบเทียบค่าจ้างแรงงานในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับต้นทุนแรงงานที่แตกต่างกัน สาเหตุของการส่งออกที่ลดลงในช่วงที่ผ่านมา แนวทางการพัฒนาคนโดยมุ่งสร้างเยาวชนที่รักการอ่านและสามารถวิเคราะห์ได้ การส่งเสริมธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) แนวทางการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ผ่านช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ ๔.๕ ให้ทุกหน่วยงานส่งเรื่องที่เป็นนโยบายสำคัญที่รัฐบาลดำเนินการ เช่น โครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา การส่งเสริมการใช้จักรยานในการสัญจร การแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย การพัฒนาคูคลอง การแก้ไขปัญหาการจราจรในกรุงเทพมหานคร ให้คณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาเพื่อบูรณาการแนวทางการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี และให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกรุงเทพมหานครพิจารณากำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาการจราจรในเขตกรุงเทพมหานครเสนอคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณา เช่น การขยายเส้นทางจักรยานริมน้ำ การขยายเส้นทางสัญจรทางน้ำ โดยให้เชื่อมกับเส้นทางบนบก เช่น การสัญจรโดยเรือเล็ก เรือพาย ระหว่างสองฝั่งของเมืองหรือระหว่างเส้นทางที่มีปัญหาการจราจรติดขัดมาก และให้ดำเนินการจัดระเบียบการค้าขายริมทางเท้า โดยอาจจะจัดการค้าขายทางน้ำเพิ่มขึ้น รวมทั้งการดูแลความสะอาดของพื้นที่ทางบกและทางน้ำด้วย ๔.๖ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๗ เกี่ยวกับการกำหนดมาตรการจัดระเบียบและแก้ไขปัญหาชุมชนแออัดและการสร้างที่อยู่อาศัยรุกล้ำแนวลำคลองและทางระบายน้ำ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เกี่ยวกับการจัดหาที่อยู่ใหม่ให้แก่ประชาชนกลุ่มดังกล่าว ให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน ๔.๗ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล) ร่วมกันพิจารณาประเมินผลการกระจายอำนาจทางการบริหารให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ผ่านมาว่าทำให้การบริหารราชการแผ่นดินของประเทศมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นอย่างไร มีกรณีใดที่ประสบปัญหาและควรปรับปรุงแก้ไข และเสนอแนวทางการปรับปรุงต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||
1250 | โครงการจัดงานประชุมวิชาการกล้วยไม้เอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ 12 | กษ | 24/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการจัดงานประชุมวิชาการกล้วยไม้เอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ ๑๒ (The 12th Asia Pacific Orchid Conference) จำนวน ๑๒๑,๓๑๐,๙๐๐ บาท โดยค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ รองรับไว้แล้ว จำนวน ๔,๓๔๕,๕๐๐ บาท สำหรับค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๑๑๖,๙๖๕,๔๐๐ บาท ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมวิชาการเกษตร) เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. เห็นชอบให้ภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน ทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือในการจัดงาน ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ เกี่ยวกับการใช้งบประมาณต้องเป็นไปตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม การจัดงาน และการประชุมระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๕ และคำนึงถึงผลสัมฤทธิ์ของงานเป็นสำคัญ และควรศึกษาเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในการจัดงานในลักษณะเดียวกันของหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อให้เกิดความชัดเจนและเกิดความคุ้มค่าในการใช้งบประมาณ รวมทั้งดำเนินการด้วยความประหยัด เหมาะสม สวยงาม การปฏิบัติทุกขั้นตอนกระทำด้วยความโปร่งใส ถูกต้อง และพร้อมรับการตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
1251 | แผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือ | ทส | 24/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติต่อไป โดยแผนปฏิบัติการดังกล่าวมีกรอบแนวคิด "๑๒๐ วัน คืนฟ้าใส อากาศบริสุทธิ์ ให้ชุมชน" โดยให้จังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบหลักตามระบบศูนย์สั่งการแบบเบ็ดเสร็จ (Single Command) เน้นการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุในลักษณะพื้นที่-หน้าที่-การมีส่วนร่วม (Area-Function-Participation) ตามภารกิจความรับผิดชอบของหน่วยงาน และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้นำ แกนนำ อาสาสมัคร และประชาชน ระยะเวลาดำเนินงานแบ่งเป็น ๓ ระยะ ได้แก่ ระยะเร่งด่วน (มกราคม-เมษายน ๒๕๕๘) ระยะกลาง (๒๕๕๘-๒๕๖๒) และระยะยาว (๒๕๕๘-๒๕๖๗) พื้นที่เป้าหมาย ๙ จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา แม่ฮ่องสอน และตาก กรอบงบประมาณทั้งสิ้นจำนวน ๖,๒๘๕,๔๗๓ ล้านบาท ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยการดำเนินการตามแผนปฏิบัติดังกล่าวให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ความสำคัญในการสร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชนให้ตระหนักถึงอันตรายและผลกระทบจากไฟป่าและหมอกควัน และบูรณาการการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ให้สามารถดำเนินการไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ที่เห็นควรมีการวิจัยเพื่อพัฒนาปรับปรุงระบบคาดการณ์ความเสี่ยงจากการเกิดไฟป่าและการเคลื่อนที่ของหมอกควันล่วงหน้าให้มีความแม่นยำขึ้น ควรส่งเสริมให้มีการนำเทคโนโลยีของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น เครื่องผลิตเชื้อเพลิงจากเศษวัสดุ ไปเผยแพร่และใช้งานในระดับท้องถิ่น ควรให้ความสำคัญกับการสร้างความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนตระหนักถึงอันตรายและผลกระทบจากไฟป่าและหมอกควัน และควรให้ความสำคัญ รวมถึงสนับสนุนเครือข่ายอาสาสมัครต่าง ๆ เครือข่ายชุมชนในเรื่องการเฝ้าระวัง ลาดตระเวน และแจ้งเตือนให้กับหน่วยงานหลักได้ทราบเมื่อพบจุดเกิดเหตุตั้งแต่ต้น ตลอดจนการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดในช่วงเวลาห้ามเผา เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายตามแผนปฏิบัติการฯ ระยะเร่งด่วน (มกราคม-เมษายน ๒๕๕๘) ให้จังหวัดที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนปฏิบัติการดังกล่าว โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๘๘.๕๐๒๕ ล้านบาท และให้สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานเจ้าภาพขอทำความตกลงในรายละเอียดด้านงบประมาณตามขั้นตอนกับสำนักงบประมาณแทนจังหวัดดังกล่าวต่อไป สำหรับค่าใช้จ่ายส่วนที่เหลือและที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตามแผนระยะกลางและระยะยาว ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนใช้จ่ายงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และหรือขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๔. มอบหมายให้หัวหน้าฝ่ายความมั่นคง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ รับไปศึกษารายละเอียดร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการจัดหาเครื่องมืออุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพและทันสมัยเพื่อการดำเนินการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าทั้งทางพื้นดินและทางอากาศ เช่น การปรับปรุงเครื่องบินที่หน่วยงานต่าง ๆ มีอยู่ให้มีศักยภาพและความพร้อมในการนำมาใช้ในการดับไฟป่า เป็นต้น |
||||||||||||||||||
1252 | การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2556 - 2560) ไปสู่การปฏิบัติ | ปช | 24/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้หน่วยงานภาครัฐแปลงแนวทางและมาตรการตามยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐) สู่การปฏิบัติ โดยกำหนดไว้ในแผนปฏิบัติราชการ ๔ ปี และแผนปฏิบัติราชการประจำปี โดยให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นหน่วยงานหลักในการสนับสนุนการขับเคลื่อน ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และของประธานคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ที่เห็นควรให้มีการรณรงค์ปลูกฝังค่านิยมในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันทั้งในระดับบุคคลจนถึงระดับองค์กร โดยให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในระดับท้องถิ่นดำเนินการขับเคลื่อนและปลูกฝังค่านิยมดังกล่าวอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมทั้งให้ความสำคัญกับการกำหนดตัวชี้วัดการประเมินผลการดำเนินการตามแผนปฏิบัติราชการ ๔ ปี และแผนปฏิบัติราชการประจำปีให้สอดคล้องและสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายหลัก ตามที่กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติฯ ระยะที่ ๒ และพิจารณากำหนดไว้ในกรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการประจำปี โดยให้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
1253 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 3 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน - 31 ธันวาคม 2557) | นร | 24/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๓ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน-๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ผลงานที่สำคัญ ได้แก่ ๑.๑.๑ โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น ๑.๑.๒ โครงการส่งเสริมสนับสนุนการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกคณะกรรมการหมู่บ้าน ๑.๑.๓ โครงการส่งเสริมวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยเพื่อเสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ๑.๑.๔ การแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียน ร้องทุกข์ ๑.๒ การปฏิรูปประเทศ ผลงานที่สำคัญ ได้แก่ ๑.๒.๑ รัฐบาลได้ให้การสนับสนุนการปฏิบัติงานของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ๑.๒.๒ มีการเชื่อมโยงการดำเนินการระหว่าง สปช. กับส่วนราชการต่าง ๆ โดยให้ส่วนราชการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเห็นของ สปช. เกี่ยวกับเรื่อง หลักประกันความมั่นคงด้านรายได้เพื่อการยังชีพของผู้สูงอายุ : การเร่งรัดดำเนินงานตามพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ และเรื่อง การนำเสนอพื้นที่อนุรักษ์ในทะเลอันดามันเป็นเขตมรดกโลก ๑.๒.๓ กระทรวงศึกษาธิการได้เร่งดำเนินการปฏิรูปในเรื่องที่เป็นนโยบายรัฐบาลและอยู่ในอำนาจหน้าที่ของกระทรวง ๑.๓ การบริหารราชการแผ่นดิน ผลงานที่สำคัญ ได้แก่ ๑.๓.๑ การปกป้องเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่น การจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เผยแพร่ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและเป็นจริงเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์และพระราชกรณียกิจ เร่งขยายผลตามโครงการและแบบอย่างที่ทรงวางรากฐานไว้ เป็นต้น ๑.๓.๒ การรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ เช่น การจัดทำนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงต่าง ๆ ดำเนินการโครงการการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน การแก้ไขปัญหายาเสพติด เป็นต้น ๑.๓.๓ การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม เช่น เร่งสร้างโอกาส อาชีพ และการมีรายได้ที่มั่นคง การจัดหาที่ดินทำกิน เป็นต้น ๑.๓.๔ การศึกษาและเรียนรู้ การทะนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม เช่น การเสริมสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางการศึกษาให้แก่ผู้ยากจนหรือด้อยโอกาส การส่งเสริมการอาชีวศึกษา ปรับภาพลักษณ์ และเร่งผลิตและพัฒนากำลังคนเพื่อตอบสนองความต้องการพัฒนาประเทศ โดยพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนอาชีวศึกษา เป็นต้น ๑.๓.๕ การยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุข และสุขภาพของประชาชน เช่น สร้างความครอบคลุมของหลักประกันสุขภาพ โดยจัดบริการการรักษาพยาบาลแก่ผู้ประกันตน พัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ โดยพัฒนาทีมหมอครอบครัวเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความจำเป็นด้านสุขภาพของประชาชน เป็นต้น ๑.๓.๖ การบริหารเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการเบิกจ่าย ด้านการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคประชาชน เป็นต้น ๑.๓.๗ การส่งเสริมบทบาทและการใช้โอกาสในประชาคมอาเซียน เช่น ด้านการเชื่อมโยงระบบขนส่งคมนาคม กฎระเบียบและการอำนวยความสะดวกด้านการค้า ซึ่งรัฐบาลได้เร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการปรับปรุงถนนสายนาทวี-บ้านประกอบ/ชายแดนไทยมาเลเซีย เป็นต้น ๑.๓.๘ การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม สนับสนุนการเพิ่มค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาของประเทศ เช่น การปฏิรูประบบการให้สิ่งจูงใจ ระเบียบและกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการนำงานวิจัยและพัฒนาไปต่อยอดหรือใช้ประโยชน์ การปรับปรุงและจัดเตรียมให้มีโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านการวิจัยและพัฒนา และด้านนวัตกรรม เป็นต้น ๑.๓.๙ การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร และการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน เช่น เร่งปกป้องและฟื้นฟูพื้นที่อนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า เร่งปกป้องและฟื้นฟูพื้นที่อนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า การแก้ไขปัญหาภัยแล้ง เป็นต้น ๑.๓.๑๐ การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ เช่น จัดทำโครงการวางระบบป้องกันการทุจริตในโครงการสำคัญตามนโยบายของรัฐบาลในการช่วยเหลือประชาชน และการปรับปรุงระบบราชการ เป็นต้น ๑.๓.๑๑ การปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การปรับปรุงประมวลกฎหมายที่ล้าสมัยไม่เป็นธรรม การนำมาตรการทางการเงิน ภาษี และการป้องกันการฟอกเงินมาใช้ในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิด เป็นต้น ๒. ให้หน่วยงานที่ประสงค์จะปรับปรุง แก้ไข หรือเพิ่มเติมข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงานในความรับผิดชอบแจ้งไปยังฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลโดยตรง เนื่องจากคณะกรรมการมีผู้แทนทุกกระทรวงเป็นกรรมการและมีหน้าที่ในการปรับปรุงรายงานให้ทันสมัยและเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเป็นประจำเดือนละ ๑ ครั้ง อยู่แล้ว
|
||||||||||||||||||
1254 | ขอความเห็นชอบการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ (Convention for the Safeguarding of the Intangible Cultural Heritage) และร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ พ.ศ. .... | วธ | 18/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ (Convention for the Safeguarding of the Intangible Cultural Heritage) เพื่อเป็นการแสดงเจตจำนงทางนโยบายของประเทศไทยที่ต้องการเข้าไปมีส่วนร่วมในเวทีระหว่างประเทศเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศไทย และให้เสนออนุสัญญาฯ ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๒๓ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ต่อไป ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมหรือคุ้มครองการใช้ประโยชน์จากวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ซึ่งสืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ รวมทั้งเป็นการออกกฎหมายเพื่ออนุวัติการตามอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๓. ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการตั้งงบประมาณรายจ่ายค่าบำรุงสมาชิกที่ต้องจ่ายให้แก่กองทุนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ทุกสองปี ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการเกี่ยวกับการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ ต่อไป เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบอนุสัญญาฯ และเมื่อร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ พ.ศ. .... มีผลบังคับใช้แล้ว ๕. ให้กระทรวงวัฒนธรรมทำแผนปฏิบัติการที่จะดำเนินการในช่วงระยะเวลา ๓ เดือน ๖ เดือน ๙ เดือน และ ๑ ปี เกี่ยวกับการคุ้มครองและส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นไทยให้เป็นรูปธรรม เช่น การขึ้นทะเบียนปราชญ์ชาวบ้าน ภูมิปัญญาท้องถิ่นในเรื่องต่าง ๆ ให้ชัดเจนตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๘ (เรื่อง การดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) รวมทั้งกำหนดมาตรการเพื่อคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาในเรื่องดังกล่าวด้วย แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๑ เดือน ต่อไป |
||||||||||||||||||
1255 | การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ | นร | 10/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ประธานในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดการจัดทำสัญญาการจัดซื้อจัดจ้างให้แล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ เพื่อเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณให้ได้ตามเป้าหมาย และให้สำนักงบประมาณรวบรวมและรายงานผล ให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะเพื่อคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติจะได้ติดตามการดำเนินการต่อไป ๒. ให้กรมทางหลวง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมทางหลวงชนบท กรมชลประทาน กรมโยธาธิการและผังเมือง สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมทรัพยากรน้ำ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายลงทุนจำนวนมาก จัดทำแผนการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณส่งให้สำนักงบประมาณรวบรวมเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับดูแลหน่วยงานให้ดำเนินการตามข้อ ๑ และ ๒ ตามแผนและกรอบเวลาที่กำหนด โดยให้นำผลการดำเนินการในเรื่องนี้ไปใช้ประกอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการของหัวหน้าส่วนราชการตั้งแต่ระดับอธิบดีขึ้นไป
|
||||||||||||||||||
1256 | รายงานประจำปี 2556 คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร01 | 10/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๕๖ คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีสาระสำคัญเกี่ยวกับผลการปฏิบัติงานกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้แก่ ผลการปฏิบัติงานกระจายอำนาจด้านการถ่ายโอนภารกิจและอำนาจหน้าที่ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๕๖ การกระจายอำนาจด้านการเงิน การคลัง และงบประมาณ การดำเนินการแก้ไขกฎหมาย และการติดตามและประเมินผล ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||
1257 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2557 ด้านสังคม เรื่อง การยกระดับสถาบันการศึกษาทางด้านวิชาชีพ | ศธ | 10/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ ด้านสังคม เรื่อง การยกระดับสถาบันการศึกษาทางด้านวิชาชีพ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ดำเนินการยกระดับสถาบันการศึกษาทางด้านวิชาชีพในวิทยาลัยเทคนิคตัวอย่างที่เน้นความเป็นเลิศในด้านช่างฝีมือ โดยกำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาและได้คัดเลือกสถานศึกษาดำเนินการเป็น ๒ ระยะ คือ ระยะที่ ๑ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๑๖ กลุ่มอาชีพ อาทิ กลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับ ดำเนินการที่กาญจนาภิเษกวิทยาลัยช่างทองหลวง กลุ่มยานยนต์บริการ ดำเนินการที่วิทยาลัยเทคนิคอุตสาหกรรมยานยนต์ และวิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ และกลุ่มพาณิชย์นาวี ดำเนินการที่วิทยาลัยเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมการต่อเรือนครศรีธรรมราช เป็นต้น และระยะที่ ๒ เริ่มดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยคัดเลือกกลุ่มอาชีพได้ ๑๗ กลุ่มอาชีพ อาทิ เชฟ โลจิสติกส์ เทคโนโลยีการเกษตร และเมล็ดพันธุ์พืช เป็นต้น ๑.๒ ดำเนินการทบทวนการจัดระบบการศึกษาและกำหนดแผนการผลิตและพัฒนาทักษะของบุคลากรในสาขาวิชาชีพต่าง ๆ ให้สามารถรองรับความต้องการและแข่งขันการค้าบริการกับประเทศอื่น ๆ ได้ โดยขยายการจัดอาชีวศึกษาทวิภาคีต่อเนื่อง จัดทำมาตรฐานการจัดอาชีวศึกษาทวิภาคี และส่งเสริมความร่วมมือในการผลิตและการพัฒนากำลังคนร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (Public Private Partnership : PPP) และคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนกลุ่มอาชีพ ๑.๓ ดำเนินการแก้ไขปัญหาการว่างงานของผู้จบการศึกษาทุกระดับ และจัดทำฐานข้อมูลผู้จบการศึกษาระดับอาชีวศึกษา รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้จบการศึกษาระดับอาชีวศึกษามีงานทำ ได้แก่ จัดทำ Web Service (www.v-cop.net) ซึ่งดำเนินการโดยศูนย์กำลังคนอาชีวศึกษา เพื่อให้บริการสารสนเทศด้านกำลังคนอาชีวศึกษาแก่สถานประกอบการและผู้สำเร็จอาชีวศึกษา ตลอดจนจัดตลาดนัดแรงงานอาชีวศึกษาพื้นที่ที่มีการจ้างงานสูงเขตอุตสาหกรรม ๑.๔ ดำเนินการส่งเสริมสถาบันอาชีวศึกษาในด้านต่าง ๆ เพิ่มเติม โดยกระทรวงศึกษาธิการได้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติอัตราค่าเครื่องมือประจำตัวผู้เรียนเฉพาะอาชีพของนักเรียนสายอาชีพอาชีวศึกษาต่อคน ตามประเภทวิชาในหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช ๒๕๕๖ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบใน ๙ ประเภทวิชา ได้แก่ ประเภทวิชาเกษตรกรรม ประเภทวิชาคหกรรม ประเภทวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ประเภทวิชาพาณิชยกรรม ประเภทวิชาประมง ประเภทวิชาศิลปกรรม ประเภทวิชาอุตสาหกรรม ประเภทวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และประเภทวิชาอุตสาหกรรมสิ่งทอ ซึ่งครอบคลุมหน่วยงานที่เปิดสอนหลักสูตร ปวช. ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสถานศึกษาในสังกัดกระทรวงกลาโหมทั้ง ๓ เหล่าทัพ ๒. มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการประสานกระทรวงแรงงานเพื่อดำเนินการส่งเสริมหลักสูตรการเรียนการสอน โดยให้มุ่งเน้นความเชื่อมโยงกับความต้องการของตลาดแรงงานไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาอาชีวศึกษา ซึ่งในปัจจุบันมีความต้องการเป็นจำนวนมาก
|
||||||||||||||||||
1258 | การดำเนินงานตาม Roadmap การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย | ทส | 10/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการดำเนินงานตาม Roadmap การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้บูรณาการการทำงานเกี่ยวกับการกำจัดขยะมูลฝอยและของเสียอันตรายร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน เป็นต้น รวมทั้งได้จัดกิจกรรมรณรงค์เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ สร้างค่านิยมในการทิ้งขยะของประชาชนให้ถูกต้องและกำหนดมาตรการเกี่ยวกับการจัดการขยะมูลฝอยทั้งต้นทาง กลางทาง และปลายทาง และจะมีการยกร่างกฎหมาย ระเบียบต่าง ๆ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนการดำเนินการกำจัดขยะมูลฝอยและของเสียอันตรายต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอเพิ่มเติมความคืบหน้าในการดำเนินงานตาม Roadmap การกำจัดขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย ดังนี้ ๑.๑ การกำจัดขยะค้างสะสม (ขยะเก่า) จำนวน ๓๐.๘๓ ล้านตัน มีการดำเนินการกำจัดขยะ ๓ วิธี ได้แก่ การฝังกลบชั่วคราว การขนย้ายไปกำจัดอย่างถูกต้อง และการนำขยะไปผลิตเชื้อเพลิง (Refuse Derived Fuel : RDF) คาดว่าจะสามารถกำจัดขยะค้างสะสม (ขยะเก่า) ได้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๖๐ ๑.๒ การกำจัดขยะใหม่จะดำเนินการ ๓ มาตรการ ได้แก่ การลดขยะและคัดแยกขยะมูลฝอยจากต้นทาง การจัดการขยะมูลฝอยแบบศูนย์รวม และการกำจัดขยะโดยเทคโนโลยีแบบผสมผสานที่เน้นการแปรรูปเป็นพลังงาน โดยส่งเสริมให้ภาคเอกชนร่วมลงทุน ๑.๓ มีแผนจะดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าจากขยะจำนวนทั้งสิ้น ๕๓ แห่ง ขณะนี้เปิดดำเนินการแล้ว ๒ แห่ง อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ๓ แห่ง อยู่ระหว่างลงนามในสัญญา/บันทึกความเข้าใจ (MOU) ๒ แห่ง และอยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสม ๑ แห่ง และอยู่ระหว่างการเจรจา ๔๕ แห่ง ๑.๔ การดำเนินการตาม Roadmap การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตรายจะดำเนินการใน ๖ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นครปฐม สระบุรี ลพบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ ขณะนี้อยู่ระหว่างการขับเคลื่อนการดำเนินการตามแผนในทุกจังหวัดดังกล่าว ซึ่งจะต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ๑.๔.๑ กระทรวงมหาดไทย กำหนดนโยบายให้จังหวัด/องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดำเนินการลดคัดแยกขยะมูลฝอย ณ แหล่งกำเนิด กำกับดูแลให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกข้อบัญญัติท้องถิ่นเกี่ยวกับคัดแยกขยะมูลฝอยและค่าธรรมเนียมเก็บขนและกำจัด รวมทั้งกำกับ ดูแลจังหวัด/องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ดำเนินการจัดการขยะมูลฝอยอย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๔.๒ กระทรวงสาธารณสุข ออกกฎกระทรวง เรื่อง การคัดแยก เก็บขนแบบแยกประเภท/สุขลักษณะการจัดการมูลฝอยทั่วไป/อัตราค่าธรรมเนียมการให้บริการ (เก็บขนและกำจัด) และออกคำแนะนำ เรื่อง แนวทางการควบคุมการประกอบกิจการรับเก็บขน หรือกำจัดขยะมูลฝอยทั่วไป ที่ทำเป็นธุรกิจหรือได้รับผลตอบแทนจากการคิดค่าบริการ ๑.๔.๓ กระทรวงศึกษาธิการ กำหนดให้มีหลักสูตรการเรียนเกี่ยวกับการลด การคัดแยกขยะมูลฝอย และการจัดการขยะมูลฝอย ตั้งแต่ระดับเยาวชน และส่งเสริมสถานศึกษาดำเนินกิจกรรมลด คัดแยก และนำขยะมูลฝอยไปใช้ประโยชน์ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนให้การขับเคลื่อนการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นไปตาม Roadmap ต่อไป ๓. เห็นชอบให้ถอนข้อเสนอเกี่ยวกับการแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจัดระบบบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๗ ไปได้ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอเพิ่มเติม ๔. เห็นชอบแผนปฏิบัติการการแก้ไขปัญหาในพื้นที่วิกฤติที่ต้องเร่งแก้ไขปัญหากำจัดขยะมูลฝอยไม่ถูกต้องและตกค้างสะสมของจังหวัดอยุธยา ฉบับแก้ไขปรับปรุงเพิ่มเติม โดยสาระสำคัญในการขอปรับแผนปฏิบัติการฯ (ระยะเร่งด่วน ๖ เดือน) คือ การขนย้ายขยะมูลฝอยตกค้างสะสมของเทศบาล จำนวน ๑๔ แห่ง (จากเดิม ๓ แห่ง) จำนวนปริมาณขยะมูลฝอยตกค้างสะสมรวม ๑๘๘,๒๒๐ ตัน และเพิ่มการจัดตั้งศูนย์รวบรวมของเสียอันตรายของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะใช้ในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ ให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น รายการค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่วิกฤติที่ต้องเร่งแก้ไขปัญหากำจัดขยะมูลฝอยไม่ถูกต้องและตกค้างสะสม (ระยะเร่งด่วน ๖ เดือน) ที่กรมควบคุมมลพิษได้รับจัดสรรงบประมาณแล้ว ภายในกรอบวงเงิน ๑๑๖,๔๙๔,๐๐๐ บาท โดยให้กรมควบคุมมลพิษขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้สำนักงบประมาณพิจารณาสนับสนุนงบประมาณสำหรับการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการและตาม Roadmap ดังกล่าวให้เหมาะสมเพียงพอด้วย ๕. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ เกี่ยวกับการจัดการของเสียอันตรายอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ มีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งก่อให้เกิดภาระต่อประเทศ จึงควรเร่งออกกฎหมายโดยใช้หลักการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต ส่วนการฝึกอบรมและจัดกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ ควรมีการดำเนินการอย่างทั่วถึงและครอบคลุมประเด็นสำคัญของการจัดการของเสียอันตรายอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ รวมทั้งควรมีการจัดเตรียมอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของพนักงานและศูนย์รวบรวมของเสียอันตรายชุมชนของจังหวัด ตลอดจนอุปกรณ์เพื่อการจำกัดขอบเขตการรั่วไหลของสารอันตรายสู่ชุมชนข้างเคียงกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน และมีมาตรการฟื้นฟูพื้นที่วิกฤตเดิมหลังจากขนย้ายขยะมูลฝอยตกค้างเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ เห็นควรเร่งรัดติดตามการปฏิบัติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ปฏิบัติตาม Roadmap ในส่วนที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงาน มีการรายงานผลความคืบหน้าตามห้วงเวลา การปฏิบัติเร่งด่วนตามแนวทางที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำหนด เช่น การปรับปรุงฟื้นฟูสถานที่กำจัดขยะมูลฝอย การนำขยะมูลฝอยมากำจัดในลักษณะรวมศูนย์ การจัดตั้งโรงกำจัดขยะมูลฝอย และการจัดตั้งโรงกำจัดขยะมูลฝอยแบบเตาเพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้า ให้มีผลอย่างเป็นรูปธรรม สามารถนำมาเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไปทราบได้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๖. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์) เร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการดำเนินการตาม Roadmap การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตรายให้ประชาชนได้รับทราบการดำเนินงานของรัฐบาลในเรื่องดังกล่าวอย่างถูกต้องโดยทั่วกันด้วย |
||||||||||||||||||
1259 | ผลการหารือข้อราชการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เมียนมา และการเข้าร่วมงานมหกรรมการค้าชายแดน ณ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก | พณ | 03/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการหารือข้อราชการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เมียนมา และการเข้าร่วมงานมหกรรมการค้าชายแดน ณ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ระหว่างวันที่ ๒๘-๒๙ มกราคม ๒๕๕๘ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาใช้ข้อมูลดังกล่าวประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการหารือข้อราชการระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เมียนมา ฝ่ายไทยได้เสนอแนวทางการขับเคลื่อนการค้าชายแดนแม่สอด-เมียวดี ซึ่งเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลในการเชื่อมโยงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และนโยบายกระทรวงพาณิชย์ในการส่งเสริมการค้าชายแดน ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันที่จะเร่งผลักดันให้เกิดการดำเนินการ (๑) ตั้งเป้ามูลค่าการค้าชายแดนระหว่างกันในปี ๒๕๕๙ ให้เพิ่มขึ้นเท่าตัว (๒) จัดตั้งคณะกรรมการร่วมการค้าชายแดนไทย-เมียนมา เพื่อขับเคลื่อนการค้าชายแดนสองฝ่าย และ (๓) จัดตั้งสภาธุรกิจเพื่อขยายการค้าและการลงทุนบริเวณชายแดนของภาคเอกชน ในขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เมียนมาได้เสนอให้มีการเร่งรัดการเปิดด่านมูต่อง จังหวัดมะริด-ด่านสิงขร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ การจัดตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาท้องถิ่น การควบคุมราคาสินค้าตามแนวชายแดน และเน้นว่ากระทรวงพาณิชย์ของทั้งสองฝ่ายต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น พร้อมทั้งยินดีจะร่วมมือกับฝ่ายไทยในการพัฒนาเศรษฐกิจการค้าของแม่สอด และเมียวดีให้เป็นประตูหลักในการพัฒนาการค้าชายแดนไทยเมียนมาต่อไป นอกจากนี้ ฝ่ายไทยได้ยื่นข้อเสนอยุทธศาสตร์ “แม่สอด-เมียวดี โมเดล” ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เมียนมาพิจารณาเพื่อร่วมดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ซึ่งจะมีการหารือรายละเอียดในการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมทางการค้า (Joint Trade Commission : JTC) ไทย-เมียนมา ครั้งที่ ๗ ในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ ๒. การเข้าร่วมงานมหกรรมการค้าชายแดน ณ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในพื้นที่ที่เป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยกระทรวงพาณิชย์ได้ใช้ศักยภาพความพร้อมของหน่วยงานในสังกัดนำผู้ซื้อและตัวแทนห้างสรรพสินค้าจากกรุงย่างกุ้ง จังหวัดเมียวดี ผาอัน และเมาะลำไย เข้าร่วมงาน มีผู้เข้าร่วมจำหน่ายรวมทั้งสิ้น ๓๐๐ คูหา มีการจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ มีนักธุรกิจจากไทยเข้าร่วม ๑๑๒ ราย และจากเมียนมา ๗๐ ราย โดยบริษัท Jaroon-Sawai Engineering Limited Partnership กับ บริษัท Apex World International Co., Ltd สามารถตกลงร่วมทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เงินลงทุนเริ่มต้นประมาณ ๖๐ ล้านบาท (๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ) |
||||||||||||||||||
1260 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ | นร | 27/01/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๘ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รับข้อสังเกตดังกล่าวประสานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป และ
๑. ให้เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมการอุทธรณ์ฎีกา) ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน โดยให้แก้ไขถ้อยคำในส่วนเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติฯ ตามข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาเป็นเรื่องด่วนต่อไป ๒. มอบหมายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ รวมทั้งผู้ปฏิบัติงานของส่วนราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนอย่างแท้จริง ตลอดจนให้จัดทำคู่มือสำหรับประชาชนตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ด้วย
|
.....