ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 55 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 1081 - 1100 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1081 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การแลกเปลี่ยนข้อมูลตามคำขอระหว่างประเทศและการแลกเปลี่ยนข้อมูลอัตโนมัติระหว่างประเทศ) | กค | 30/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร เพื่อให้บุคคลผู้มีหน้าที่รวบรวมและนำส่งข้อมูลทางภาษีและข้อมูลอื่น ๆ ตามที่ได้รับการร้องขอจากเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจหรือรวบรวมและนำส่งแบบอัตโนมัติ และให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจสามารถเปิดเผยและแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ได้รับจากการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประเทศตามสัญญาที่รัฐบาลไทยได้ทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศหรือตามสัญญาที่สำนักงานการค้าและเศรษฐกิจได้ทำไว้กับหน่วยงานของต่างประเทศ รวมทั้งกำหนดบทลงโทษในกรณีที่ผู้มีหน้าที่รายงานผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งหรือแจ้งความเท็จต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการรวบรวมและนำส่งข้อมูล ตลอดจนกำหนดบทลงโทษในกรณีที่ผู้ล่วงรู้ข้อมูลที่ต้องรายงานหรือข้อมูลที่ได้รับมาจากต่างประเทศแล้วนำไปเปิดเผยหรือแลกเปลี่ยนแก่บุคคลอื่น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและสำนักงานศาลยุติธรรมที่เห็นควรกำหนดคำนิยามให้สอดคล้องกับคำนิยามของพระราชบัญญัติการปฏิบัติการตามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อความร่วมมือในการปรับปรุงการปฏิบัติตามการภาษีอากรระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๖๐ และควรเพิ่มหลักการเพื่อให้มีมาตรการในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการสูญหาย เข้าถึง ใช้ เปลี่ยนแปลง แก้ไข หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล โดยปราศจากอำนาจหรือโดยมิชอบ สำหรับการสั่งให้บุคคลมีหน้าที่รวบรวมและนำส่งข้อมูลทางภาษีและข้อมูลอื่น ๆ อาจกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้กำหนดบทลงโทษในกรณีไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ดังนั้น การให้ความหมายที่ชัดเจนในเรื่องเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจและบุคคลที่จะต้องมีหน้าที่ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว จึงเป็นเรื่องที่ควรพิจารณาในชั้นจัดทำกฎหมายลำดับรอง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานศาลยุติธรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้มีการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทราบ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1082 | ผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2561 | นร | 30/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๖๑ ประกอบด้วย (๑) เรื่องทราบ จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ รายงานผลการดำเนินงานคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ จำนวน ๔ คณะ ความก้าวหน้าแผนงานโครงการด้านทรัพยากรน้ำที่เสนอในคณะรัฐมนตรีสัญจร และงานนโยบายที่นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ ความก้าวหน้าการปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พ.ศ. .... และความก้าวหน้า (ร่าง) พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. .... (๒) เรื่องพิจารณา ๑ เรื่อง ได้แก่ แผนงานโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญ จำนวน ๗ โครงการ และ (๓) เรื่องอื่น ๆ ได้แก่ การแต่งตั้งที่ปรึกษาคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ตามที่คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1083 | การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (เชียงราย น่าน พะเยา และ แพร่) | คค | 30/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน ๒ (เชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน) ภายใต้แนวคิด “เหนือสุดแห่งสยาม คมนาคมเชื่อมทาง เชื่อมน้ำ เชื่อมฟ้า เชื่อมประชา ร่วมสร้างฐานเศรษฐกิจไทย สู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ประกอบด้วยยุทธศาสตร์สำคัญ ๔ ด้าน คือ (๑) ยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงข่ายถนน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน (๒) ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบรางไทย ให้เป็นโครงข่ายหลักของประเทศ (๓) ยุทธศาสตร์เปิด Gateway ทางน้ำ สนับสนุนท่าเรือหลักเชื่อมโยงอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และ (๔) ยุทธศาสตร์เปิดห้วงอากาศ ให้เป็นประตูแห่งโอกาสการเดินทาง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งการดำเนินการปรับปรุงเส้นทางเข้าสู่วนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ให้เหมาะสมเพื่อให้ผู้ใช้เส้นทางได้รับความสะดวก คล่องตัว และมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นโดยเร็ว ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการจัดระเบียบการพัฒนาพื้นที่และเส้นทางการจราจรในการเดินทางเข้าสู่วนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ในภาพรวม รวมถึงการกำหนดพื้นที่เพื่อใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น พื้นที่สำหรับขายสินค้าและบริการ พื้นที่จอดรถ เป็นต้น เพื่อให้วนอุทยานดังกล่าวเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกที่ยังคงอนุรักษ์สภาพธรรมชาติและสามารถรองรับการเดินทางมาเยี่ยมชมของนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นได้อย่างเหมาะสมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1084 | ขอความเห็นชอบต่อเอกสารยกระดับกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย - จีน ที่จะมีการลงนามในระหว่างการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) | พณ | 30/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบต่อเอกสารยกระดับกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีน ที่จะมีการลงนามในระหว่างการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ระหว่างวันที่ ๑-๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน และอนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายลงนามในเอกสารยกระดับกรอบความร่วมมือฯ โดยเอกสารยกระดับกรอบความร่วมมือฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับความร่วมมือทางเศรษฐกิจในสาขาสำคัญที่มีผลต่อการพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทยและจีนในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายมีความสนใจร่วมกัน ได้แก่ ความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมและการลงทุน ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร ความร่วมมือด้านการเงิน ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว และความร่วมมือด้านการค้าและเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารยกระดับความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดผลักดันการอำนวยความสะดวกคมนาคมขนส่งและการค้าตามแนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ (North-South Economic Corridor : NSEC) ภายใต้ความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS Cross Border Transport Facilitation Agreement : CBTA) โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนเส้นทางถนน R3A เชื่อมไทย-จีน ผ่าน สปป.ลาว ให้เกิดผลทางปฏิบัติโดยเร็ว สำหรับการระบุถึงกรอบและแผนงานความร่วมมือในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงในร่างเอกสารยกระดับกรอบความร่วมมือฯ ควรมีการปรับปรุง โดยขึ้นต้นด้วยแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (GMS) ที่เริ่มดำเนินงานในปี ๒๕๓๕ มีขอบเขตกว้างกว่ายุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS) ที่เริ่มดำเนินงานในปี ๒๕๔๖ และจึงตามด้วยกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (MLC) ในปี ๒๕๕๘ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1085 | สรุปผลการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 4/2561 | นร10 | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๑ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการมอบหมายให้คณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่ารับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องรวม ๙ ประเด็น เช่น (๑) การเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์แนวทางการทำงาน การบริหารราชการแผ่นดิน การให้บริการประชาชน รวมถึงผลงานของหน่วยงานผ่านช่องทางการสื่อสารที่หลากหลายและเข้าถึงทุกพื้นที่ (๒) การกำกับ ดูแล ตรวจสอบการปฏิบัติงานของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานให้เป็นไปด้วยความโปร่งใส ถูกต้องตามกฎระเบียบของทางราชการ และ (๓) จัดทำผลการดำเนินงานในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑ โดยให้ระบุข้อมูลต่าง ๆ เช่น ปัญหา อุปสรรคที่ผ่านมาก่อนปี พ.ศ. ๒๕๕๗ แนวทางการแก้ไขปัญหาหลังจากปี พ.ศ. ๒๕๕๗ กฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้องที่ได้มีการปรับปรุงแก้ไข เพื่อแก้ไขปัญหา กลุ่มประชาชนผู้ได้รับประโยชน์และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นที่เป็นรูปธรรม โดยขอให้จัดส่งข้อมูล ณ เดือนกันยายน ๒๕๖๑ ไปยังสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นต้น ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1086 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการกลับเป็นผู้ประกันตน พ.ศ. .... | สว | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการกลับเป็นผู้ประกันตน พ.ศ. .... โดยการได้สิทธิและหน้าที่ของผู้กลับมาเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๖ ได้มีการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ตามสื่อต่าง ๆ ให้ทราบแล้ว และได้มีการขยายระยะเวลาแสดงความจำนงเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๙ ให้ยาวกว่า ๑๘๐ วัน เพื่อให้ผู้ที่สิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ในกรณีต่าง ๆ ต่อไปอีก ๖ เดือน นับแต่วันที่สิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตน สำหรับการปรับปรุงแก้ไขมาตรา ๔๑ (๔) (๕) ได้มีมาตรการผ่อนปรนเพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาการสิ้นสภาพความเป็นผู้ประกันตน ส่วนการจัดสรรเงินกองทุนใช้ประโยชน์ทดแทนตามมาตรา ๒๔ อยู่ระหว่างดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ของการจัดสรรเงินกองทุนดังกล่าว โดยเห็นควรที่จะลดลงและยึดหลักธรรมาภิบาลเพื่อมิให้เกิดปัญหาในการใช้จ่ายเงินกองทุนในอนาคต นอกจากนี้ การปรับเปลี่ยนเงื่อนไขเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ในกรณีชราภาพได้มีแนวทางและมาตรการรองรับเพื่อให้เกิดความเหมาะสมและเป็นธรรม รวมทั้งได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ และพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ ให้สามารถนำเงินจากกองทุนประกันสังคมมาใช้ในกรณีที่ลูกจ้างจะต้องได้รับการรักษาหรือฟื้นฟูสมรรภาพ เมื่อสิทธิตามกองทุนเงินทดแทนของลูกจ้างหมดไปแล้ว ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1087 | การกำหนดแนวทาง/มาตรการป้องกันหรือแก้ไขปัญหากรณีที่หน่วยงานของรัฐผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้ปรับอัตราค่าเช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่หน่วยงานราชการอื่นได้เช่าใช้ประโยชน์ โดยปรับอัตราค่าเช่าเพิ่มสูงมากขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น | กค | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดแนวทางการดำเนินการกรณีหน่วยงานของรัฐผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้จัดให้ส่วนราชการเช่าใช้ประโยชน์ โดยปรับปรุงอัตราค่าเช่าเพิ่มขึ้นไม่เกินร้อยละ ๓ ต่อปี โดยอ้างอิงจากค่าเฉลี่ยดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index : CPI) ในกรอบระยะเวลา ๕ ปี และให้มีการทบทวนอัตราค่าเช่าทุก ๕ ปี เพื่อให้สอดคล้องกับดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่เปลี่ยนแปลง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมง นำแนวทางการดำเนินการปรับปรุงอัตราค่าเช่าตามข้อ ๑ ไปทำความตกลงกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเพื่อให้ได้อัตราค่าเช่าที่ดินที่เหมาะสมและเป็นธรรมอันจะเป็นการลดภาระงบประมาณของรัฐ และเป็นการดำเนินการที่ถูกต้องตามขั้นตอน ตามกฎหมาย ตามนัยของระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของส่วนราชการภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๕๓ และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังนำประเด็นการกำหนดให้มีคณะกรรมการพิจารณาอัตราค่าเช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง กรณีหน่วยงานราชการขอใช้งบประมาณแผ่นดินในการเช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของหน่วยงานของรัฐเพื่อเป็นที่ตั้งหน่วยงานราชการ เพื่อทำหน้าที่จัดทำหลักเกณฑ์กลางเกี่ยวกับความเหมาะสมของอัตราค่าเช่าที่หรือสิ่งปลูกสร้างของหน่วยงานของรัฐเพื่อเป็นที่ตั้งของหน่วยงานราชการ และพิจารณากลั่นกรอง ให้ความเห็น และข้อเสนอแนะประกอบการอนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเช่าอาคารและที่ดินเพื่อเป็นที่ตั้งหน่วยงานราชการ ไปพิจารณาร่วมกับสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนก่อนดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วเห็นว่า สามารถกำหนดให้มีคณะกรรมการดังกล่าวได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ก็ให้กระทรวงการคลังดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการฯ ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1088 | ร่างพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. .... | ยธ | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. .... ของกระทรวงยุติธรรม ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีกฎหมายกลางว่าด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท โดยการนำกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางแพ่งซึ่งมีทุนทรัพย์ไม่มากนัก และข้อพิพาททางอาญาบางประเภทมากำหนดเป็นกฎหมายกลาง เพื่อให้หน่วยงานของรัฐหรือศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนใช้ในการยุติหรือระงับข้อพิพาท และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ๓. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับประเด็นการปรับปรุงทะเบียนประวัติอาชญากรไปพิจารณาดำเนินการ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาและคู่กรณีได้ทำข้อตกลงระงับข้อพิพาททางอาญาแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1089 | ร่างพระราชบัญญัติกระจายหน้าที่และอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... | นร01 | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติกระจายหน้าที่และอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการการกระจายหน้าที่และอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่และอำนาจดูแลและจัดทำบริการสาธารณะและกิจกรรมสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่น ตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. เช่น การกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละแห่งหรือตั้งแต่ ๒ แห่งขึ้นไป อาจดำเนินกิจการที่มีลักษณะเป็นการพาณิชย์หรือการบริการสาธารณะขององค์ปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบรัฐวิสาหกิจท้องถิ่นหรือองค์การมหาชนท้องถิ่น ตามร่างมาตรา ๒๗ และการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการการกระจายหน้าที่และอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๒ เรื่อง การปรับปรุงหลักการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร และควรจะมีการสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความเหมาะสมและรูปแบบเฉพาะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่และรูปแบบ และควรจะต้องคำนึงถึงภารกิจและอำนาจหน้าที่โดยไม่ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานภาครัฐที่ให้บริการ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๒ เกี่ยวกับการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการการกระจายหน้าที่และอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว แล้วแจ้งผลการดำเนินการการจัดตั้งสำนักงานดังกล่าวไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1090 | ร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และการสมัครเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาว่าด้วยลิขสิทธิ์ขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO Copyright Treaty) | พณ | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาว่าด้วยลิขสิทธิ์ขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก และให้ส่งสนธิสัญญาฯ ให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป โดยสนธิสัญญาฯ มีสาระสำคัญเป็นการคุ้มครองสิทธิแก่ผู้สร้างสรรค์ในการนำงานลิขสิทธิ์ออกเผยแพร่ต่อสาธารณชนบนสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ และกำหนดให้คุ้มครองงานภาพถ่ายตลอดอายุผู้สร้างสรรค์และต่อไปอีก ๕๐ ปี นับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย ตลอดจนกำหนดหลักเกณฑ์การคุ้มครองมาตรการทางเทคโนโลยี และการคุ้มครองข้อมูลบริหารสิทธิที่อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับการคุ้มครองมาตรการทางเทคโนโลยี ปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับข้อจำกัดความรับผิดของผู้ให้บริการ และสร้างกลไกความร่วมมือระหว่างผู้ให้บริการและเจ้าของลิขสิทธิ์ในการส่งเสริมการค้าที่เป็นธรรมบนสื่ออินเทอร์เน็ต เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางสากลและสนธิสัญญาขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานอัยการสูงสุดที่เห็นควรปรับถ้อยคำในร่างพระราชบัญญัติฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ เช่น เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์มีการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจแก่เจ้าของลิขสิทธิ์ ผู้ประกอบการ และประชาชน รับทราบ และภายหลังการเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาฯ กรมทรัพย์สินทางปัญญา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการกำกับดูแลให้มีการดำเนินการตามสนธิสัญญาฯ อย่างจริงจัง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1091 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการยกระดับและพัฒนากีฬามวยไทย ของคณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการยกระดับและพัฒนากีฬามวยไทย ซึ่งการกีฬาแห่งประเทศไทยได้รับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ในการปรับปรุงโครงสร้างหน่วยงานภายในสำนักงานคณะกรรมการกีฬามวยให้เอื้อต่อการบริหารจัดการต่อไป และรับจะไปปรับปรุงระบบฐานข้อมูลของบุคคลในวงการกีฬามวยให้มีข้อมูลรายละเอียดครบถ้วน รวมทั้งจะจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อให้ระบบทันสมัยมากขึ้น สำหรับการจัดสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์ให้กับบุคคลในวงการกีฬามวยและอดีตนักมวยที่ได้สร้างชื่อเสียงให้ประเทศชาตินั้น การกีฬาแห่งประเทศไทยมีงบประมาณอุดหนุนเป็นประจำทุกปีในโครงการ ๖ กุมภาพันธ์ วันมวยไทย ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1092 | การปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งอัตราข้าราชการพลเรือนประจำ กอ.รมน. | นร51 | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งอัตราข้าราชการพลเรือนประจำปีกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ซึ่งเดิมคณะรัฐมนตรีมีมติ (๙ มีนาคม ๒๕๕๓) เห็นชอบอัตรากำลังประจำ กอ.รมน. จำนวน ๒๐๐ อัตรา และมีมติ (๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖) แต่งตั้งให้มีคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนประจำ กอ.รมน. ที่มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน/คณะอนุกรรมการสามัญประจำกรม และ/หรือคณะอนุกรรมการสามัญประจำกระทรวง ตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ และมีอำนาจหน้าที่พิจารณากำหนดระเบียบเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการพลเรือนประจำ กอ.รมน. ได้ และต่อมาคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนประจำ กอ.รมน. ได้มีการปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งอัตราข้าราชการพลเรือนประจำ กอ.รมน. จำนวน ๒ ครั้ง ซึ่งเป็นการปรับปรุงภายใต้กรอบอัตรา จำนวน ๒๐๐ อัตรา โดยไม่เพิ่มงบประมาณด้านบุคลากรตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ ตามที่ กอ.รมน. เสนอ ๒. ให้ กอ.รมน. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. และฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐที่เห็นว่า การปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งอัตราข้าราชการพลเรือนประจำ กอ.รมน. ควรพิจารณาควบคู่ไปกับโครงสร้างการบริหารงานของ กอ.รมน. ในภาพรวม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารและการปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายมากยิ่งขึ้น และเนื่องจากการปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งระดับสูงโดยไม่เพิ่มงบประมาณด้านบุคลากรมีผลให้ต้องยุบเลิกตำแหน่งระดับปฏิบัติงาน กอ.รมน. จึงควรพิจารณาด้วยความรอบคอบเพื่อให้มีอัตรากำลังที่เพียงพอและเหมาะสมสำหรับการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ กอ.รมน. ควรพิจารณาบริหารจัดการอัตรากำลังในภาพรวมที่มีอยู่ให้สามารถตอบสนองต่อการปฏิบัติงานของ กอ.รมน. ตามยุทธศาสตร์และเป้าหมายที่กำหนดอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1093 | การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง | นร05 | 10/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง จำนวน ๗ มติ ดังนี้ ๑.๑ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๔๗ (เรื่อง การสถาปนาความสัมพันธ์เมืองคู่แฝดระหว่างจังหวัดนครพนมกับจังหวัดฮาติงห์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม) เฉพาะในส่วนของข้อ ๒ ๑.๒ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๔๙ (เรื่อง การกำหนดแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง) ๑.๓ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๔๙ (เรื่อง การเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีกรณีเป็นเรื่องเกี่ยวกับความตกลงเมืองพี่เมืองน้อง และความร่วมมือระหว่างหน่วยงานของไทยกับต่างประเทศ) ๑.๔ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง การรวบรวมข้อมูลการทำความตกลงเมืองพี่เมืองน้อง) ๑.๕ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๘ [เรื่อง การสถาปนาความสัมพันธ์บ้านพี่เมืองน้อง (Sister City) ระหว่างแม่สอดและเมียวดีเพื่อผลักดันการค้าชายแดนไทย-เมียนมา ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด จังหวัดตาก] เฉพาะในส่วนของข้อ ๒ ๑.๖ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๐ [เรื่อง การสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง (ระหว่างจังหวัดอุบลราชธานีกับกรุงทิมพู ราชอาณาจักรภูฏาน)] เฉพาะในส่วนของข้อ ๒ และข้อ ๓ ๑.๗ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง) ๒. เห็นชอบแนวทางปฏิบัติในการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง ให้กระทำในระดับจังหวัดของไทยกับจังหวัดหรือหน่วยการปกครองของต่างประเทศที่มีฐานะเทียบเท่าจังหวัดของไทย กรณีการสถาปนาความสัมพันธ์ฯ ในระดับที่ต่ำกว่าจังหวัดของไทยอาจอนุโลมได้เป็นรายกรณี โดยให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้พิจารณาความเหมาะสมร่วมกันเป็นรายกรณีไป ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ๓. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding) และร่างหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) เพื่อการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้องฉบับมาตรฐาน (ฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ) ที่ยกร่างโดยกระทรวงการต่างประเทศเพื่อใช้ดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1094 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 4 ฉบับ (การปรับปรุงมาตรการภาษีเกี่ยวกับสำนักงานใหญ่) | กค | 10/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๔ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงมาตรการภาษีเกี่ยวกับสำนักงานใหญ่ที่เป็นการยกเลิกมาตรการภาษีเกี่ยวกับสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค (Regional Operating Headquarters หรือ ROH1) สำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค (ROH2) สำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ (International Headquarters หรือ IHQ) และบริษัทการค้าระหว่างประเทศ (International Trading Center หรือ ITC) รวมทั้งออกมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ (International Business Centre หรือ IBC) มาทดแทน เพื่อให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศควบคู่กับการให้ความร่วมมือแก่นานาประเทศ อันจะส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีเกี่ยวกับความโปร่งใสด้านภาษี การจัดเก็บภาษีอย่างเป็นธรรม การต่อต้าน BEPS และป้องกันไม่ให้ถูกมาตรการตอบโต้จากประเทศอื่น ๆ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมถึงควรแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้สามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้องเมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1095 | ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... | ดศ | 10/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ฉบับที่ ...) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงให้กฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นไปตามมาตรฐานสากล รวมทั้งปรับปรุงกลไกในการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจบริการเกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ให้ชัดเจนและสอดคล้องกับการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และปรับปรุงสถานะและอำนาจหน้าที่ของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) เพื่อให้สามารถรองรับการปฏิบัติงานตามภารกิจได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนา ส่งเสริมและสนับสนุนการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแก้ไขถ้อยคำในร่างพระราชบัญญัติสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... จากคำว่า “อำนาจหน้าที่” เป็น “หน้าที่และอำนาจ” และแก้ไขถ้อยคำในตอนท้ายร่างพระราชบัญญัติทั้ง ๒ ฉบับดังกล่าว จากคำว่า “ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ” เป็น “ผู้รับสนองพระราชโองการ” ตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้เสนอคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติรวม ๒ ฉบับดังกล่าว ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ๓. ให้ยุติการดำเนินการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1096 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณการเช่าที่ดินจากการรถไฟแห่งประเทศไทย | พณ | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณค่าเช่าที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) บริเวณริมถนนรัชดาภิเษก ลาดพร้าว เพื่อเป็นสถานที่ก่อสร้างอาคารกรมพาณิขย์สัมพันธ์และศูนย์แสดงสินค้าถาวร ภายในกรอบวงเงิน ๑๒๐,๖๕๕,๑๐๗ บาท และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้คงอัตราค่าเช่าในอัตราเดิมก่อนที่ รฟท. จะมีหนังสือแจ้งยืนยันค่าเช่าที่ดินบริเวณดังกล่าวไปยังกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศไปเจรจากับ รฟท. ให้ได้ข้อยุติก่อนดำเนินการทำสัญญาตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาดำเนินการตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของ รฟท. ในรายละเอียดโดยเคร่งครัด และเห็นควรที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจะได้พิจารณาประเมินความคุ้มค่าในการเช่าที่ดินสำหรับเป็นที่ตั้งอาคารสำนักงานและส่วนจัดแสดงสินค้าในพื้นที่บริเวณดังกล่าว และควรพิจารณาจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้ารูปแบบใหม่ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการผลิตและผู้ส่งออก นอกจากนี้ ควรมุ่งเน้นการจัดกิจกรรมการแสดงสินค้าที่มีความหลากหลายและกระจายโอกาสให้ผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้ากลุ่มต่าง ๆ สามารถเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในพื้นที่อาคารแสดงสินค้าได้อย่างทั่วถึง รวมทั้งควรมีการประเมินความคุ้มค่าของการจัดกิจกรรมต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐและการใช้ประโยชน์ที่ดินดังกล่าวมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ในการดำเนินการต่อสัญญาเช่าที่ดิน รฟท. ในครั้งต่อไป ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรขอความร่วมมือ รฟท. ในการปรับปรุงอัตราค่าเช่าสำหรับหน่วยงานราชการในลักษณะผ่อนปรนต่ำสุด โดยการปรับปรุงค่าเช่าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕ ของอัตราที่เคยเรียกเก็บอยู่ก่อนหมดอายุสัญญาหรือการพิจารณาให้ต่ออายุสัญญาเช่าระยะยาว (มากกว่า ๓ ปี) เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงในกรณีที่ราคาประเมินมูลค่าที่ดิน ณ ปีที่ต่ออายุสัญญาเพิ่มสูงขึ้นมาก ไปเจรจากับ รฟท. ให้ได้ข้อยุติก่อนดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1097 | ผลการดำเนินงานของคณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ | ศธ | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินงานของคณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การวางแผนการผลิตกำลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ ระยะที่ ๑ การวางแผนการผลิตกำลังคนในสาขาช่างอากาศยาน ได้ดำเนินการปรับปรุงแผนแม่บทขับเคลื่อนการพัฒนากำลังคนด้านช่างอากาศยาน และนำสู่การปฏิบัติในสถานศึกษา ๗ แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยนครพนม วิทยาลัยเทคนิคถลาง วิทยาลัยเทคนิคอุบลราชธานี วิทยาลัยเทคนิคดอนเมือง วิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ วิทยาลัยเทคนิคสมุทรปราการ และวิทยาลัยการอาชีพขอนแก่นดำเนินการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนให้มีมาตรฐานตามข้อกำหนดของ ICAO Doc. 7192 และสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย โดยจะแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการเพื่อกำกับดูแลให้เป็นไปตามแผนแม่บทฯ ต่อไป สำหรับระยะที่ ๒ การวางแผนผลิตกำลังคนใน ๗ กลุ่มสาขาอาชีพ ได้แก่ กลุ่มสาขาอาชีพด้านโลจิสติกส์โครงสร้างพื้นฐาน กลุ่มสาขาอาชีพโลจิสติกส์และซัพพลายเชน กลุ่มสาขาอาชีพหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ กลุ่มสาขาอาชีพเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และดิจิทัลคอนเทนต์ กลุ่มสาขาอาชีพอาหารและเกษตร กลุ่มสาขาอาชีพปิโตรเคมี เคมีภัณฑ์ พลังงานและพลังงานทดแทน และกลุ่มสาขาอาชีพแม่พิมพ์ อยู่ระหว่างคณะอนุกรรมการผลิตกำลังคนทั้ง ๗ กลุ่มสาขาอาชีพจัดทำแผนปฏิบัติการ พัฒนาหลักสูตร ทำประชาพิจารณ์ และจัดหาครุภัณฑ์ที่จำเป็นสำหรับจัดการเรียนการสอน ก่อนนำเสนอสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๑ และระยะที่ ๓ การวางแผนผลิตกำลังคนเพิ่มเติม ได้ผลิตกำลังคนเพิ่มเติม ๒ สาขาอาชีพ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยางพารา และการท่องเที่ยวเชิงส่งเสริมสุขภาพ (Wellness Tourism) และมอบหมายฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคัดเลือกสาขาเพิ่มเติมอีก ๒ กลุ่มสาขาอาชีพ โดยมุ่งเน้นไปที่สาขาอาชีพด้านศิลปวัฒนธรรม และให้เสนอคณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป ๒. การเทียบเคียงกรอบคุณวุฒิแห่งชาติกับกรอบคุณวุฒิอ้างอิงอาเซียน ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพร่วมกับสำนักเลขาธิการอาเซียนจัดประชุมคณะกรรมการกรอบคุณวุฒิอ้างอิงอาเซียน ครั้งที่ ๔ เมื่อวันที่ ๑๔-๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๑ และได้นำเสนอ (ร่าง) รายงานการเทียบเคียงกรอบคุณวุฒิแห่งชาติกับกรอบคุณวุฒิอ้างอิงอาเซียนของประเทศไทย ตามเกณฑ์การเทียบเคียงที่ประเทศสมาชิกร่วมกันกำหนดขึ้น โดยที่ประชุมฯ ได้ให้ข้อคิดเห็นต่อ (ร่าง) รายงานฯ ของประเทศไทยว่า มีการนำเสนอข้อมูลในส่วนของการศึกษาและฝึกอบรมที่ชัดเจน และเป็นตัวอย่างที่ดีของประเทศสมาชิกอาเซียน และได้เสนอแนะให้ประเทศไทยเพิ่มเติมข้อมูลให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ซึ่งสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาอยู่ระหว่างดำเนินการทบทวนและปรับแก้ไขข้อมูลตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการกรอบคุณวุฒิอ้างอิงอาเซียน โดยเมื่อปรับแก้แล้วเสร็จจะเชิญผู้เชี่ยวชาญชาวต่างประเทศเข้าร่วมกระบวนการพิจารณา และจัดทำเป็นรายงานการเทียบเคียงฯ ฉบับสมบูรณ์ เพื่อนำเสนอในที่ประชุมคณะกรรมการกรอบคุณวุฒิอ้างอิงอาเซียนครั้งต่อไป ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ บรูไนดารุสซาลาม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1098 | ขอความเห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน | พณ | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ส่งร่างความตกลงว่าด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน (ASEAN Agreement on Electronic Commerce) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีการพัฒนาและส่งเสริมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งประเทศสมาชิกต้องพัฒนาสภาพแวดล้อมด้านกฎหมายหรือกฎระเบียบ สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างความสามารถในการแข่งขันทางการค้า และการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ โดยอาเซียนได้กำหนดให้มีการลงนามร่างความตกลงฯ ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ ๓๓ ซึ่งจะมีขึ้นในระหว่างวันที่ ๑๑-๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในร่างความตกลงฯ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบร่างความตกลงฯ แล้ว ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในร่างความตกลงฯ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบร่างความตกลงฯ แล้ว ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามพันธกรณีที่กำหนดในร่างความตกลงฯ ๕. ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งต่อสำนักเลขาธิการอาเซียนว่าไทยพร้อมที่จะให้ร่างความตกลงฯ มีผลผูกพันต่อไป เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบร่างความตกลงฯ ๖. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การเร่งยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในไทยทั้งกลุ่มที่มีอยู่ และกลุ่มที่มีศักยภาพจะเข้ามาใช้เป็นผู้ประกอบการใหม่เพื่อให้ทันต่อการพัฒนาของอาเซียน การส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาและการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในมิติต่าง ๆ ที่จะเสริมให้เกิดความเข้มแข็งและความเชื่อมั่นต่อระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ อาทิ เทคโนโลยีด้านการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) เทคโนโลยีด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) และเทคโนโลยีการระบุตัวตนและการรักษาข้อมูลส่วนบุคคล (Identification and Privacy) รวมทั้งการพิจารณาศึกษาการนำมาตรฐานในการคุ้มครองผู้บริโภคในระดับสากลมาประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงกฎหมายให้มีประสิทธิภาพ ทันสมัย และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1099 | ร่าง มาตรฐานการศึกษาของชาติ พ.ศ. .... | ศธ | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่าง มาตรฐานการศึกษาของชาติ พ.ศ. .... เป็นการปรับปรุงมาตรฐานการศึกษาของชาติ ฉบับ พ.ศ. ๒๕๔๗ ซึ่งใช้มาเป็นระยะเวลานานแล้ว โดยร่าง มาตรฐานการศึกษาของชาติ พ.ศ. .... เป็นการกำหนดผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ ๓ ด้าน ได้แก่ ผู้เรียนรู้ ผู้ร่วมสร้างสรรค์นวัตกรรม และพลเมืองที่เข้มแข็ง และมีการกำหนดรายละเอียดของผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ดังกล่าวตามระดับการศึกษา ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาถึงระดับอุดมศึกษา เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องเชื่อมโยงกันในแต่ละระดับการศึกษา โดยให้อิสระสถานศึกษาในการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับบริบทของสถานศึกษาและตามความถนัดของผู้เรียน ซึ่งจะก่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการจัดการการศึกษาที่เหมาะสมกับช่วงวัย สภาพแวดล้อม ความพร้อม และศักยภาพของผู้เรียนและสถานศึกษาแต่ละพื้นที่ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณากำหนดรายละเอียดตามร่าง มาตรฐานการศึกษาของชาติ พ.ศ. .... ให้ครอบคลุมมาตรฐานด้านต่าง ๆ เพิ่มเติม เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปการศึกษาด้วย เช่น มาตรฐานครูและบุคลากรทางการศึกษา โรงเรียน หนังสือและแบบเรียน การจัดทำแบบทดสอบ การประเมินผลการจัดการเรียนการสอน การใช้จ่ายงบประมาณ การผลิตบุคลากรให้ตรงกับความต้องการด้านแรงงานของประเทศ การศึกษาทวิภาคี เป็นต้น และดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา) เร่งดำเนินการชี้แจงแนวทางการดำเนินงานตามมาตรฐานการศึกษาของชาติให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเข้าใจอย่างชัดเจน ถูกต้องตรงกัน และสามารถแปลงกรอบผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ไปสู่การปฏิบัติได้อย่างสอดคล้อง เชื่อมโยงและเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษาที่เห็นควรระบุช่วงอายุของการศึกษาหรือกรอบนิยามที่ชัดเจนของทั้ง ๕ ระดับ ได้แก่ ปฐมวัย ประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย/อาชีวศึกษา อุดมศึกษา ประกอบกับการอธิบายกรอบและนิยามของผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ของการศึกษา เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันมากยิ่งขึ้น ควรพิจารณาเพิ่มความรู้พื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (Science Technology Engineering and Mathematics : STEM) ในส่วนของผู้เรียนรู้ด้วย เพื่อให้สามารถติดตามความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของศาสตร์ทั้ง ๔ ด้านได้ทันหรือเพียงพอสำหรับการดำรงชีวิตประจำวัน ควรพิจารณากำหนดทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ของระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย/ระดับอาชีวศึกษาด้วย ควรมีการสร้างความรู้ความเข้าใจร่วมกันระหว่างผู้กำหนดนโยบายและผู้ปฏิบัติ เพื่อให้การกำหนดมาตรฐานการศึกษา การกำหนดตัวชี้วัดในแต่ละระดับการศึกษา การประกันคุณภาพการศึกษา นำไปสู่ผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ของการศึกษาในทางปฏิบัติได้ นอกจากนี้ การกำหนดแนวทางในการจัดการศึกษาและจัดทำมาตรฐานการศึกษาในระดับปฐมวัย ควรมีการบูรณาการให้เป็นมาตรฐานเดียวกันและสอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. .... ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษานำมาตรฐานการศึกษาของชาติไปเป็นกรอบในการกำหนดมาตรฐานการศึกษาและหลักสูตรการศึกษาในแต่ละระดับและประเภทการศึกษา รวมทั้งการส่งเสริม กำกับดูแล การตรวจสอบ การประเมินผล และการประกันคุณภาพการศึกษาด้วย ๔. ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามมาตรฐานการศึกษาของชาติให้เกิดผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน รวมทั้งให้ประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและชัดเจนแก่ประชาชนเกี่ยวกับผลลัพธ์ของการดำเนินการและประโยชน์ที่จะได้รับด้วย ๕. ให้กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา) กำกับ ติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาของชาติเป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถนำผลการประเมินมาปรับปรุงการดำเนินการให้เหมาะสมและสามารถยกระดับการศึกษาของไทยได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1100 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันค่าเช่าที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทยบริเวณแนวทางรถไฟสายบางซื่อ - คลองตัน | วธ | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงวัฒนธรรม (กรมส่งเสริมวัฒนธรรม) เพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณค่าเช่าที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) บริเวณแนวทางรถไฟสายบางซื่อ-คลองตัน ภายในกรอบวงเงิน ๒๘,๑๙๘,๔๓๔ บาท และให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้คงอัตราค่าเช่าในอัตราเดิมก่อนที่ รฟท. จะมีหนังสือแจ้งยืนยันค่าเช่าที่ดินบริเวณดังกล่าวไปยังกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ไปเจรจากับ รฟท. ให้ได้ข้อยุติก่อนดำเนินการทำสัญญาตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้กระทรวงวัฒนธรรมพิจารณาดำเนินการตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของ รฟท. ในรายละเอียดโดยเคร่งครัด และ รฟท. ควรนำรายได้จากการคิดอัตราค่าเช่าที่ดินมาใช้ในการบริหารกิจการเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระงบประมาณที่รัฐจะต้องอุดหนุนในรูปแบบต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ในการดำเนินการต่อสัญญาเช่าที่ดิน รฟท. ในครั้งต่อไป ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรขอความร่วมมือ รฟท. ในการปรับปรุงอัตราค่าเช่าสำหรับหน่วยงานราชการในลักษณะผ่อนปรนต่ำสุด โดยการปรับปรุงค่าเช่าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕ ของอัตราที่เคยเรียกเก็บอยู่ก่อนหมดอายุสัญญา หรือการพิจารณาให้ต่ออายุสัญญาเช่าระยะยาว (มากกว่า ๓ ปี) เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงในกรณีที่ราคาประเมินมูลค่าที่ดิน ณ ปีที่ต่ออายุสัญญาเพิ่มสูงขึ้นมาก ไปเจรจากับ รฟท. ให้ได้ข้อยุติก่อนดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
