ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 59 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 1161 - 1180 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1161 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองมหาสารคาม พ.ศ. .... | มท | 12/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองมหาสารคาม พ.ศ. ... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองมหาสารคาม ในท้องที่ตำบลท่าสองคอน ตำบลเกิ้ง ตำบลตลาด ตำบลแก่งเลิงจาน ตำบลเขวา และตำบลแวงน่าง อำเภอเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม เพื่อประโยชน์ในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดแนวเขตปฏิรูปที่ดินและสัญลักษณ์สีแสดงการใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมไว้ในแผนผังกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดิน และมีข้อกำหนดให้ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมไว้ในกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมือง รวมทั้งให้ผู้ที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการควบคุมการวางผังเมืองให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎกระทรวงดังกล่าว และเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมากที่สุด โดยคำนึงถึงการควบคุมการก่อสร้างต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เป็นอุปกสรรคกับการระบายน้ำในพื้นที่ ควรพิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อมและพื้นที่ชุ่มน้ำ ควรจัดทำฐานข้อมูลที่เป็นปัจจุบันเผยแพร่ต่อสาธารณะให้ทราบการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่นไปแล้วเท่าใดและใช้ฐานข้อมูลดังกล่าวเป็นฐานในการกำหนดผังเมืองรวมฉบับที่จะมีการปรับปรุงของแต่ละเมือง ควรให้มีการยกเว้นให้สามารถติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนขนาดเล็กเพื่อสนับสนุนภาคการเกษตรและใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ได้ ควรเพิ่มประเภทโรงงานและกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมสำหรับอุตสาหกรรมบางประเภท และควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองพิจารณาสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นกำกับดูแลและควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเข้มงวดเพื่อรักษาฐานเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตที่ดีของชุมชนให้คงอยู่อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1162 | ผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2561 | นร | 12/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ โดยผลการประชุมฯ มีเรื่องสำคัญ ๕ เรื่อง ได้แก่ (๑) ปรับปรุงกระบวนการจัดทำแผนงาน โครงการ และงบประมาณ เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำทั้งระบบ (๒) แผนงานโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญ ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๕ (๓) โครงการระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ในจังหวัดหนองบัวลำภู (๔) การปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ๒๕๕๐ และ (๕) การประสานความร่วมมือระหว่างประเทศและองค์กรระหว่างประเทศ ด้านนโยบายการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ตามที่คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการประชุมฯ ต่อไป โดยรายละเอียดของงบประมาณในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ตามแผนงานเร่งด่วน ให้หน่วยงานพิจารณาดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ก่อนเป็นลำดับแรก สำหรับโครงการตามแผนงานโครงการขนาดใหญ่ และโครงการสำคัญ ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๕ โครงการที่มีความพร้อม สำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ รองรับไว้แล้วบางส่วน ส่วนโครงการที่อยู่ระหว่างการสำรวจ ออกแบบ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการ โดยพิจารณาถึงความจำเป็น เหมาะสม ประโยชน์ที่จะได้รับ และเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณตามแผนที่กำหนดไว้ในแต่ละปีตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการปฏิบัติตามนัยของกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการปรับปรุงโครงสร้างสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ระยะที่ ๒ เห็นควรให้ดำเนินการตามแนวทางการขอจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ ตามหนังสือสำนักงาน ก.พ.ร. ที่ นร ๑๒๐๐/ว๑๓ ลงวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๐ เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ ไปดำเนินการด้วย ทั้งนี้ ในกรณีเรื่องใดที่เป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรีในการให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติ ให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเร่งรัด/ขับเคลื่อนการดำเนินงานและโครงการต่าง ๆ ในความรับผิดชอบที่มีความจำเป็นเร่งด่วน โครงการตามพระราชดำริที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ และโครงการตามแผนงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดที่มีความพร้อมและได้รับอนุมัติงบประมาณแล้ว ให้แล้วเสร็จโดยด่วน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1163 | ผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกร เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 2 | นร11 | 12/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกร เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ (จังหวัดกำแพงเพชร นครสวรรค์ พิจิตร และอุทัยธานี) ระหว่างวันที่ ๓๑ พฤษภาคม-๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๑ และข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีประเด็นสำคัญ ได้แก่ (๑) ด้านการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพครบวงจร (Bio Hub) อย่างยั่งยืน (๒) ด้านการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร (๓) ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (๔) ด้านโครงสร้างพื้นฐาน และ (๕) ด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเพิ่มเติมเกี่ยวกับการขอรับการสนับสนุนการปรับปรุงสนามบินเกษตรนครสวรรค์เพื่อเป็นสนามบินเชิงพาณิชย์ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามผลการประชุมดังกล่าว แล้วรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ในการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ครั้งต่อ ๆ ไป ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกร เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ประสานงานกับภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพของภาค กลุ่มจังหวัด และจังหวัด ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคมเพื่อนำมาเป็นข้อมูลหลักสำหรับจัดทำข้อเสนอในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของกลุ่มจังหวัดและจังหวัด โดยข้อเสนอดังกล่าวต้องมีความเชื่อมโยงกับโครงการ/แผนงานตามนโยบายของรัฐบาลทั้งโครงการ/แผนงานที่รัฐบาลได้ดำเนินการแล้วหรืออยู่ระหว่างดำเนินการ ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1164 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561 (ครั้งที่ 14) | พน | 05/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ (ครั้งที่ ๑๔) เมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดยคณะกรรมการฯ มีมติ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และน้ำมันดีเซลหมุนช้า ลง ๐.๑๕ บาทต่อลิตร เป็นระยะเวลา ๒ ปี และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดอัตราการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร และน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ๑.๒ รับทราบการกำหนดแนวทางการบริหารจัดการแหล่งก๊าซธรรมชาติที่สัมปทานจะสิ้นสุดอายุในปี พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๖๖ ได้แก่ (๑) การใช้ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิตในการประมูลแปลงสำรวจ G๑/๖๑ และแปลงสำรวจ G๒/๖๑ (๒) หลักการสำคัญที่ต้องกำหนดในข้อตกลงการส่งมอบสิ่งติดตั้ง (๓) เงื่อนไขของการประมูล ได้แก่ การกำหนดแปลง การกำหนดปริมาณก๊าซธรรมชาติ การเสนอราคาก๊าซธรรมชาติตามสูตรราคาอ้างอิง และการเสนอร้อยละของปิโตรเลียมส่วนที่เป็นกำไรที่รัฐจะได้รับ และ (๔) แผนการบริหารจัดการการประมูลแปลงสัมปทานที่จะสิ้นสุดอายุ ๒. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภท หรือขนาดของอาคาร และมาตรฐาน หลักเกณฑ์ และวิธีการในการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงกำหนดประเภท หรือขนาดของอาคาร และมาตรฐาน หลักเกณฑ์ และวิธีการในการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๒ เพื่อประโยชน์ในการกำกับดูแลและควบคุมการออกแบบอาคารก่อสร้าง หรือดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคาร ให้เป็นไปตามมาตรฐาน หลักเกณฑ์ และวิธีการในการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน และเพื่อให้การใช้พลังงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับกฎข้อบังคับใช้ควรเอื้อต่อระบบเศรษฐกิจและสามารถปฏิบัติได้จริง และควรนำเกณฑ์การประเมินอาคารเขียวภาครัฐมาพิจารณาประกอบการจัดทำร่างกฎกระทรวงฯ รวมทั้งการนำเทคโนโลยีมาใช้ควรคำนึงถึงความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ และควรมีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์กฎกระทรวงดังกล่าวให้เกิดการรับรู้อย่างกว้างขวาง เพื่อเป็นการสร้างความตระหนักในด้านการประหยัดพลังงานให้กับประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1165 | สรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 40 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2560-31 มีนาคม 2561) | นร | 05/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๔๐ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๐-๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น การดำเนินโครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์ การจัดกิจกรรมเพื่อสร้างความปรองดองสมานฉันท์ การจัดกิจกรรมส่งเสริมวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยเพื่อสร้างความปรองดอง และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียน ร้องทุกข์ ของศูนย์ดำรงธรรม ๒. การปฏิรูปประเทศ กขร. มีมติเห็นชอบการเพิ่มประสิทธิภาพของสถานีตำรวจ เช่น การจัดให้มีเกณฑ์การวิเคราะห์โครงสร้างขนาดของสถานีตำรวจในมาตรฐานเดียวกัน การปรับปรุงการทำงานของแต่ละสถานีตำรวจให้มีความเป็นมาตรฐาน และให้วางระบบการประเมินผลงานตามพันธสัญญาการให้บริการประชาชน ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ประกอบด้วย (๑) ด้านความมั่นคง เช่น การเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยความจงรักภักดีและปกป้องรักษาพระบรมเดชานุภาพ โดยใช้มาตรการทางกฎหมายในการตรวจสอบเว็บไซต์ที่เข้าข่ายกระทำความผิดตามกฎหมาย (๒) ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น การประกาศวาระแห่งชาติ “สิทธิมนุษยชนร่วมขับเคลื่อน Thailand 4.0 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” การกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ ๔ กลุ่มอุตสาหกรรม ๑๖ สาขาอาชีพ (๓) ด้านเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ การดำเนินโครงการ Startup Club ในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา/อาชีวศึกษา การจัดทำระบบจดทะเบียนให้กับนักลงทุน (Angel Investor) (๔) การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เช่น การจัดทำโครงการส่งเสริมความสามารถทางนวัตกรรมสำหรับผู้ประกอบการในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประจำปี ๒๕๖๑ การเปิดตัวสถาบันวิทยาการนวัตกรรม (NIA Academy) (๕) ด้านการต่างประเทศ เช่น การหารือทวิภาคีระหว่าง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กับนายกรัฐมนตรีเครือรัฐออสเตรเลีย เพื่อส่งเสริมให้มีการขยายตัวทางการค้าการลงทุน และการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ [Greater Mekong Subregion (GMS) Summit] ครั้งที่ ๖ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี (๖) การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร และการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน เช่น การบริหารจัดการน้ำตามแผนการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาล ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และ (๗) ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การพัฒนาบุคลากรภาครัฐเพื่อรองรับ Thailand 4.0 การสร้างการรับรู้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมให้แก่ประชาชนและหน่วยงานของรัฐ และการปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัย ไม่เป็นธรรม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1166 | การปรับปรุงชื่อหน่วยงานขององค์ประกอบภายใต้คณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงคมนาคม พ.ศ. 2560 (เพิ่มเติม) | คค | 05/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับปรุงชื่อหน่วยงานขององค์ประกอบภายใต้คณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงคมนาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๔ คณะ ประกอบด้วย (๑) คณะกรรมการแห่งชาติเพื่อประสานงานกับองค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (๒) คณะกรรมการร่วมถาวรไทย-มาเลเซีย ว่าด้วยการขนส่งสินค้าเน่าเสียง่ายผ่านแดนมาเลเซียไปยังสิงคโปร์ (๓) คณะกรรมการผู้แทนรัฐบาลเพื่อพิจารณาทำความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางอากาศกับรัฐบาลต่างประเทศเป็นประจำ และ (๔) คณะกรรมการแห่งชาติในการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานและเรือที่ประสบภัย ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1167 | ร่างข้อบังคับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าโดยสาร วิธีการจัดเก็บค่าโดยสาร และการกำหนดประเภทบุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน พ.ศ. .... | คค | 05/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบร่างข้อบังคับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าโดยสาร วิธีการจัดเก็บค่าโดยสาร และการกำหนดประเภทบุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้อัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ราคาเริ่มต้น ๑๖ บาท ราคาสูงสุด ๔๒ บาท แต่เนื่องจากการปรับปรุงอัตราค่าโดยสารดังกล่าวจะมีผลใช้บังคับในวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ซึ่งตามสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินกำหนดให้ต้องประกาศราชกิจจานุเบกษาให้ประชาชนทราบก่อนวันใช้บังคับไม่น้อยกว่า ๓๐ วัน (โดยจะต้องประกาศให้ทราบก่อนวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๖๑) ประกอบกับตามสัญญาฯ กำหนดให้หากภาครัฐไม่ดำเนินการหรือดำเนินการล่าช้า คู่สัญญาสามารถใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากภาครัฐได้ ดังนั้น จึงเห็นควรให้กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยไปดำเนินการเจรจากับคู่สัญญาในการยืดระยะเวลาการปรับอัตราค่าโดยสาร โดยรัฐบาลไม่ต้องชดเชยแต่ประการใด ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ไปดำเนินการเจรจากับคู่สัญญาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน รวมทั้งการแบ่งเบาภาระประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล โดยต้องดำเนินการให้ถูกต้องครบถ้วนตามกฎหมายและสัญญาที่เกี่ยวข้อง แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1168 | การปรับปรุงกรอบวงเงินลงทุนของแผนพัฒนาระบบไฟฟ้า ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555 - 2559) | มท | 05/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินการปรับปรุงกรอบวงเงินลงทุนของแผนพัฒนาระบบไฟฟ้า ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙) ประกอบด้วย ๑๒ โครงการ ๒ แผนงาน วงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น ๙๙,๙๔๓.๖๘ ล้านบาท และโครงการลงทุนด้านการพัฒนาพลังงานทดแทนของบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กรอบวงเงินร่วมลงทุน ๗,๗๕๒.๐๐ ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนในส่วนของบริษัท พีอีเอฯ ในวงเงิน ๗๗๙.๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ กฟภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงิน การบริหารความเสี่ยงและควบคุมการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ การพิจารณาความเป็นไปได้ในการบริหารและใช้ประโยชน์สินทรัพย์ที่เกิดจากการดำเนินโครงการต่าง ๆ การเร่งรัดการดำเนินโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้วให้เป็นไปตามแผนพัฒนาระบบไฟฟ้าฯ (ปรับแผนการลงทุน) การคำนึงถึงผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากการปรับปรุงการลงทุนดังกล่าว และการเตรียมความพร้อมในขั้นตอนการดำเนินงานและการมีส่วนร่วมกับชุมชนในพื้นที่ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ในการจัดทำแผนพัฒนาระบบไฟฟ้าของ กฟภ. ในระยะต่อไป ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. ร่วมกับกระทรวงพลังงานบูรณาการรวมแผนระบบไฟฟ้าดังกล่าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแผนพลังงานในภาพรวมของประเทศ (ประกอบด้วย ๕ แผนหลัก) และเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาในคราวเดียวกัน เพื่อให้การพัฒนาระบบไฟฟ้าในภาพรวมของประเทศเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ตลอดจนเพื่อส่งเสริมให้การพัฒนาระบบไฟฟ้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีต้นทุนการผลิตที่เหมาะสมและเกิดความมั่นคงทางด้านพลังงาน ทั้งนี้ ให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดกลไกในการประเมินและทบทวนแผนพลังงานในภาพรวมทั้ง ๕ แผนหลักอย่างต่อเนื่องด้วย เพื่อให้สามารถปรับปรุงแผนพลังงานให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับให้ กฟภ. ดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้แผนพัฒนาระบบไฟฟ้าที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ซึ่งรวมถึงการดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ก่อนนำโครงการดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรี รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยกำกับให้ กฟภ. เร่งพิจารณาแนวทางแก้ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะโครงการที่มีวงเงินลงทุนสูง เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ตลอดจนติดตาม ประเมินผล แล้วรายงานผลการดำเนินงานต่อกระทรวงพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติอย่างต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1169 | ร่างยุทธศาสตร์ชาติ | นร11 | 05/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างยุทธศาสตร์ชาติที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติได้พิจารณาและแก้ไขตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๑ แล้ว โดยได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขร่างยุทธศาสตร์ชาติตามความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและตามมติคณะรัฐมนตรีที่ให้คำนึงถึงสภาวการณ์ทั้งภายในและภายนอกประเทศที่อาจเปลี่ยนแปลงไปและอยู่นอกเหนือการควบคุมและอาจส่งผลต่อร่างยุทธศาสตร์ชาติที่กำหนดไว้ เช่น สถานการณ์การเมืองโลก ภาวะเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด เป็นต้น รวมทั้งมีการปรับปรุงแก้ไขตัวชี้วัด ประเด็นยุทธศาสตร์ และการใช้คำศัพท์ให้ถูกต้อง เหมาะสม และสามารถดำเนินการได้ในทางปฏิบัติแล้ว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติปรับแก้ไขถ้อยคำตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีให้ถูกต้อง ชัดเจน แล้วให้นำเสนอประธานกรรมการยุทธศาสตร์ชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการนำเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อจัดทำยุทธศาสตร์ชาติฉบับภาษาอังกฤษสำหรับใช้ในการเผยแพร่และสร้างการรับรู้แก่ประเทศต่าง ๆ และองค์การระหว่างประเทศต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1170 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการบริหารองค์การมหาชน และขอจัดกลุ่มองค์การมหาชน | นร | 28/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๗ (เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนฯ หลักเกณฑ์การกำหนดเบี้ยประชุมฯ และการพัฒนาการดำเนินงาน และการประเมินผลองค์การมหาชน) วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง แนวทางการบริหารของคณะกรรมการองค์การมหาชน) และวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๖ [เรื่อง การจัดกลุ่มองค์การมหาชนกรณีสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน)] เกี่ยวกับการบริหารองค์การมหาชน และขอจัดกลุ่มองค์การมหาชน ตามความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ และครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๑ ซึ่งมีสาระสำคัญครอบคลุมใน ๓ ประเด็นหลัก ได้แก่ (๑) การปรับหลักเกณฑ์การกำหนดกรอบวงเงินรวมสำหรับค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรสำหรับองค์การมหาชนใหม่ (๒) การจัดกลุ่มใหม่สำหรับสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ และสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) และ (๓) กำหนดให้สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เป็นองค์การมหาชนกลุ่มที่ ๑ พัฒนาและดำเนินการตามนโยบายสำคัญเฉพาะด้าน ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. จัดให้มีกลไกในการทบทวนความเหมาะสมของสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรขององค์การมหาชนแต่ละแห่งอย่างต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงภารกิจ รายได้ และเงินทุนสะสมของแต่ละองค์การมหาชน รวมทั้งยึดหลักการที่มิให้มีค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรเกินกว่าความจำเป็นและไม่เป็นภาระงบประมาณของประเทศ และให้นำเสนอคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนพิจารณาเป็นประจำทุกปี เพื่อให้การบริหารทรัพยากรบุคคลขององค์การมหาชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การปรับกรอบวงเงินรวมค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรเป็นไม่เกินร้อยละ ๔๐ ของแผนการใช้จ่ายเงินประจำปี การยกเว้นการกำหนดให้องค์การมหาชนที่มีค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรต่อแผนการใช้จ่ายเงินประจำปีเกินกว่าที่กำหนดไว้ต้องส่งแผนการปรับปรุงค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรเป็นเวลา ๓ ปี เสนอคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนพิจารณา การทบทวนหลักเกณฑ์และปรับปรุงการจัดกลุ่มองค์การทั้งหมดโดยรวมใหม่ตามสภาพการณ์เปลี่ยนแปลงของสถานการณ์และนโยบายปัจจุบัน การกำหนดนโยบายหรือหลักเกณฑ์ในการให้ผู้บริหารลำดับที่ ๑ และ ๒ ขององค์การมหาชนเข้าดำรงตำแหน่งและหมดวาระการดำรงตำแหน่งพร้อมกันเพื่อประโยชน์ในการบริหารองค์การต่อไป และการให้หน่วยงานจัดทำแผนอัตรากำลังและแผนการใช้จ่ายงบประมาณด้านบุคลากรให้สอดคล้องกับภารกิจและบทบาทของหน่วยงาน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) และกระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) เร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินการโอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณของศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบพระชนมพรรษา เสร็จสิ้นภายในระยะเวลาที่กำหนดตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๑ [เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (องค์การสวนสัตว์) ร่วมกับสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) เร่งศึกษาแนวทางการโอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณของสำนักงานเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีไปเป็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (องค์การสวนสัตว์) รวมทั้งการแก้ไขกฎหมายขององค์การสวนสัตว์ให้สอดรับกับแนวทางการโอนสำนักงานเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้เป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๐ (เรื่อง รายงานการประเมินผลองค์การมหาชนตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๘ เรื่อง การทบทวนความจำเป็นในการมีอยู่ขององค์การมหาชน) ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1171 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตราการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร พ.ศ. .... | รง | 28/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตราการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตราการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร พ.ศ. ๒๕๔๙ และที่แก้ไขเพิ่มเติมให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน โดยกำหนดให้ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรเหมาจ่ายเป็นเงินในอัตรา ๖๐๐ บาทต่อเดือน ต่อบุตร ๑ คน จำนวนคราวละไม่เกิน ๓ คน ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นควรมีการรองรับในเรื่องจำนวนเงินของกองทุนประกันสังคมที่จะลดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของกองทุนประกันสังคมในระยะยาว รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการและกำหนดกลไกการตรวจสอบอย่างเป็นระบบ เพื่อให้การใช้จ่ายเงินสงเคราะห์บุตรเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตราที่กำหนด และสามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1172 | สรุปผลการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 2/2561 | นร10 | 28/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๑ โดยนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานการประชุมได้มีประเด็นข้อสั่งการให้คณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่ารับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น (๑) การปรับปรุงระบบการให้บริการประชาชน โดยทดแทนการใช้สำเนาเอกสารทางราชการ อาทิ สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน ด้วยเลขประจำตัวประชาชน ๑๓ หลัก (๒) การจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีตามแนวทาง อาทิ กรณีส่วนราชการกำหนดแผนงาน/โครงการขนาดใหญ่ หรือมีระยะเวลาดำเนินการผูกพันมากกว่าหลายปีงบประมาณ ให้จัดทำเป็นแผนแม่บท โดยแบ่งเป็นแผนงาน/โครงการย่อยที่จะดำเนินการในแต่ละปี เพื่อจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปี และกำหนดแผนงาน/โครงการต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ (๓) ให้ทุกส่วนราชการ โดยกระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพหลักในการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับโครงการประชารัฐ โครงการไทยนิยม ยั่งยืน ให้แก่ข้าราชการในพื้นที่ และข้าราชการท้องถิ่น เพื่อให้สามารถชี้แจงข้อมูลให้กับประชาชนในพื้นที่ได้ เป็นต้น ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1173 | การลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมภายใต้โครงการไทยนิยม ยั่งยืน ในกลุ่มผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้ที่ไม่สามารถเดินทางมาลงทะเบียนได้ในปี 2560 | กค | 28/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการลงทะเบียนโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี ๒๕๖๐ และเห็นชอบในหลักการและแนวทางการดำเนินการการลงทะเบียนโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี ๒๕๖๐ โดยผลการลงทะเบียนโครงการลงทะเบียนฯ ปี ๒๕๖๐ ซึ่งเปิดให้ลงทะเบียนระหว่างวันที่ ๓ เมษายน ถึงวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๐ มีผู้มาลงทะเบียนทั้งสิ้น ๑๔.๒ ล้านคน ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติทั้งสิ้น ๑๑.๔ ล้านคน (เป็นผู้สูงอายุ ๓.๖ ล้านคน และเป็นผู้พิการ ๓.๘ แสนคน) ซึ่งทั้งหมดเป็นผู้มีสิทธิได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยปัจจุบันมีผู้รับบัตรสวัสดิการฯ แล้ว ๑๑.๑ ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ ๙๖ ของผู้ที่ผ่านคุณสมบัติทั้งหมด และมีรายการใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการฯ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ ถึงวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๑ แล้ว ๒๗,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับแนวทางการดำเนินการการลงทะเบียนเพิ่มเติมฯ เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้ที่ไม่สามารถเดินทางมาลงทะเบียนโครงการลงทะเบียนฯ ปี ๒๕๖๐ สามารถลงทะเบียนเพิ่มเติมฯ ได้ โดยผ่านกลไกการดำเนินงานของโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ทั้งนี้ ผู้ที่ลงทะเบียนในโครงการลงทะเบียนฯ ปี ๒๕๖๐ ที่ไม่ผ่านคุณสมบัติและไม่มีสิทธิได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่สามารถมาลงทะเบียนในการลงทะเบียนเพิ่มเติมฯ ได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ และธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรพิจารณาวิธีการลงทะเบียนและวิธีการตรวจสอบการลงทะเบียนที่เหมาะสม รวมถึงการอำนวยความสะดวกที่จะเอื้อต่อการเข้าร่วมโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมภายใต้โครงการไทยนิยม ยั่งยืน ของกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว และเมื่อกระทรวงการคลังดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ลงทะเบียนเพิ่มเติม และได้จำนวนผู้ลงทะเบียนที่มีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์แล้ว ให้ดำเนินการตามนัยมาตรา ๒๗ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ในโอกาสแรก แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง รวมทั้งควรประเมินจำนวนผู้ที่จะลงทะเบียนเพิ่มเติมและงบประมาณที่ต้องใช้ในเบื้องต้น ตลอดจนควรมีการติดตามผลภาระต่องบประมาณที่เกิดขึ้นจริงและผลสัมฤทธิ์ของโครงการลงทะเบียนฯ ปี ๒๕๖๐ เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงโครงการลงทะเบียนฯ ปี ๒๕๖๐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1174 | รายงานการเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | กค | 22/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ประกอบด้วย งบรายได้และค่าใช้จ่าย และงบแสดงฐานะการเงิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. งบรายได้และค่าใช้จ่าย ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๑๗๖,๕๗๓.๕๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘.๑๖ ส่วนใหญ่เป็นรายได้จากภาษีอากรและค่าธรรมเนียม และรัฐบาลมีค่าใช่จายเพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๑๓๒,๖๕๐.๐๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๕.๓๘ ส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายจากเงินงบประมาณจากหน่วยงาน โดยเป็นค่าใช้จ่ายจากงบลงทุน งบอุดหนุน และงบบุคลากรที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ รัฐบาลมีรายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่ายสุทธิน้อยกว่าปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๔๓,๙๒๓.๔๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑๔.๕๙ ๒. งบแสดงฐานะการเงิน รัฐบาลมีสินทรัพย์สุทธิหรือส่วนทุน ณ วันสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๒,๐๒๐,๒๙๙.๔๓ ล้านบาท สินทรัพย์สุทธิลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๔๗๐,๐๗๑.๑๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑๘.๘๘ เป็นผลจากการปรับปรุงลดทุนของหน่วยงาน การดำเนินงานประจำปีที่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่ารายได้สะสม การปรับปรุงมูลค่าเงินลงทุนในหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดระยะยาว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1175 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารกิจการอวกาศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ดศ | 22/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารกิจการอวกาศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารกิจการอวกาศ พ.ศ. ๒๕๕๒ เพื่อปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ และแก้ไขชื่อส่วนราชการให้สอดคล้องกับการปรับปรุงส่วนราชการในปัจจุบันตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ. ๒๕๕๙ และกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1176 | ร่างยุทธศาสตร์ชาติ | นร11 | 22/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบร่างยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งกำหนดให้วิสัยทัศน์ของประเทศไทย คือ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” และกำหนดแนวทางการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยมุ่งสู่เป้าหมายได้ภายในระยะเวลา ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐) ด้วยยุทธศาสตร์ ๖ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านความมั่นคง กำหนดให้มีการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการักษาความสงบภายในประเทศและมีความพร้อมในการเผชิญภัยคุกคามในอนาคต (๒) ด้านความสามารถในการแข่งขัน กำหนดให้มีการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศทั้งในด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยวและบริการ (๓) ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ กำหนดให้มีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทางด้าน ใจ สติปัญญา กาย และสภาพแวดล้อม ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา เพื่อให้เป็นคนคุณภาพของสังคม (๔) ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาค กำหนดให้มีกลไกการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี (๕) ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กำหนดให้มีการใช้ รักษา และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนบนหลักการของการมีส่วนร่วมและธรรมาภิบาล และ (๖) ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ กำหนดให้มีการปรับปรุงกลไกภาครัฐให้มีขีดสมรรถนะสูง สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติรับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมร่างยุทธศาสตร์ชาติอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ในการแก้ไขเพิ่มเติมร่างยุทธศาสตร์ชาติดังกล่าว ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคำนึงถึงสภาวการณ์ทั้งภายในและภายนอกประเทศที่อาจเปลี่ยนแปลงไปและอยู่นอกเหนือการควบคุม และอาจส่งผลต่อร่างยุทธศาสตร์ชาติที่กำหนดไว้ เช่น สถานการณ์การเมืองโลก ภาวะเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด เป็นต้น และให้พิจารณาแนวทางหรือกำหนดกลไกที่ทำให้ร่างยุทธศาสตร์ชาติสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้อย่างเหมาะสมด้วย ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตินำร่างยุทธศาสตร์ชาติที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้วเสนอคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบตามขั้นตอน ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายในวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๑ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1177 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 3/2561 | อื่นๆ | 22/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๖๑ ประกอบด้วย รับทราบแนวทางการพัฒนาเมืองใหม่อัจฉริยะน่าอยู่ และแผนการพัฒนาเมืองใหม่อัจฉริยะตัวอย่างในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) การให้ความเห็นชอบการปรับปรุงประกาศคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการ ในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๑ และรับทราบการแต่งตั้งกรรมการเพิ่มเติมในคณะกรรมการนโยบายและคณะกรรมการบริหาร ๒. รับทราบ (ร่าง) ประกาศคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมาตรา ๗๑ แห่งพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยกำหนดให้การดำเนินการใด ๆ ที่คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกได้อนุมัติให้ความเห็นชอบ หรือดำเนินการไปแล้ว ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒/๒๕๖๐ เรื่อง การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ลงวันที่ ๑๗ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๘/๒๕๖๐ เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ลงวันที่ ๒๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ ยังคงมีผลใช้บังคับได้ต่อไปจนกว่าคณะกรรมการนโยบายตามพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ๒๕๖๑ จะได้มีมติให้ยกเลิกหรือกำหนดเป็นอย่างอื่น ๓. มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนดำเนินการตามผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ ในส่วนที่เกี่ยวข้องและรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกทราบต่อไป ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการปรับปรุงประกาศคณะกรรมการฯ เห็นควรดำเนินการตามกระบวนการด้วยความละเอียดรอบคอบตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง อย่างถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่ภาครัฐและภาคเอกชนจะได้รับ เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และความคุ้มค่าของการลงทุนเป็นสำคัญ และในการพัฒนาเมืองใหม่อัจฉริยะน่าอยู่ ควรให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงพื้นที่โดยรอบ ผลประโยชน์ของชุมชนและสังคมโดยรวม รวมทั้งผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นด้วย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1178 | รายงานมาตรการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ไตรมาสที่ 2 | นร07 | 22/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมาตรการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น รวมทั้งสิ้น ๖ กระทรวง ๑๔ หน่วยงาน ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐-๓๐ มีนาคม ๒๕๖๑ เป็นเงินทั้งสิ้น ๒,๔๗๙.๙๐ ล้านบาท โดยดำเนินการจากการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และ/หรือโอนเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๒,๔๒๖.๒๖ ล้านบาท และดำเนินการจากการโอนเปลี่ยนแปลงรายการเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี จำนวน ๕๓.๖๔ ล้านบาท มีประชาชนและเกษตรกรได้รับการช่วยเหลือ เยียวยา ฟื้นฟู จำนวน ๓๐๕,๗๕๐ ราย พื้นที่การเกษตรได้รับการฟื้นฟู จำนวน ๑,๐๖๕,๙๕๑ ไร่ เส้นทางคมนาคม ถนนได้รับการปรับปรุง ซ่อมแซม จำนวน ๒๕๑ สายทาง ระบบส่งน้ำ พนัง ฝาย และแหล่งน้ำได้รับการซ่อมแซม ฟื้นฟู จำนวน ๓๑๑ แห่ง รวมทั้งอาคารสถานที่ ทรัพย์สินทางราชการได้รับการซ่อมแซม ปรับปรุง จำนวน ๒๗๕ รายการ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. ให้สำนักงบประมาณประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินการตามมาตรการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยให้ประชาชนทราบโดยทั่วถึงด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1179 | ร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. .... ร่างประมวลกฎหมายยาเสพติดและร่างพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ | ยธ | 15/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. .... ร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด และร่างพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๓ ฉบับ ของกระทรวงยุติธรรม ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว เป็นการปรับปรุงบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยการป้องกัน ปราบปราม และควบคุมยาเสพติด รวมทั้งการบำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ซึ่งกระจายอยู่ในกฎหมายหลายฉบับ ทำให้การบังคับใช้กฎหมายไม่มีความสอดคล้องกัน โดยได้รวบรวมและปรับปรุงบทบัญญัติในกฎหมายดังกล่าวมาจัดทำเป็นร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. .... และร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด นอกจากนี้ ยังได้ปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๐ บางประการ เพื่อให้สอดคล้องกับร่างประมวลกฎหมายยาเสพติดในประเด็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของกรรมการ ป.ป.ส. เลขาธิการ ป.ป.ส. รองเลขาธิการ ป.ป.ส. และเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. รวมทั้งการดำเนินการเกี่ยวกับยาเสพติดที่ถูกยึดไว้ตามกฎหมาย และการอุทธรณ์และฎีกาของจำเลยในคดียาเสพติด และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรอง ซึ่งต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. .... ร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด และร่างพระบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1180 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานการทบทวนสถานการณ์ประเทศไทยเชื่อมโยงหลายมิติ (Multi-dimensional Country Review : Thailand's MDCR) | นร11 | 15/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานการทบทวนสถานการณ์ประเทศไทยเชื่อมโยงหลายมิติ (Multi-dimensional Country Review : Thailand’s MDCR) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดทำรายงานในระยะที่ ๑ การประเมินสถานการณ์ประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ร่วมกับทีม MDCR ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development : OECD) จัดทำข้อมูลเพื่อประเมินสถานการณ์ของประเทศไทย ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม การเมืองและการปกครอง รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นจากที่ประชุม Economic Development and Review Committee (EDRC Meeting) (ซึ่งมีผู้แทนประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีเป็นผู้วิจารณ์หลัก) และที่ประชุม Mutual Learning Group for Multidimensional Country Reviews (MLG-MDCRs) (ซึ่งมีผู้แทนประเทศเปรูและคาซัคสถานเป็นผู้วิจารณ์หลัก) โดยมีประเด็นความคิดเห็นที่สำคัญต่าง ๆ เช่น ควรวิเคราะห์ปัจจัยสนับสนุนและปัจจัยเสี่ยง รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจโลก จีน และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในส่วนการคาดการณ์และประมาณการเศรษฐกิจสำหรับประเทศไทย ควรวิเคราะห์การเพิ่มผลิตภาพการผลิตของภาคเกษตร และควรวิเคราะห์เพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณและแผนการใช้จ่ายในอนาคต ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญของการวิเคราะห์ความยั่งยืนทางการคลัง เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันได้ดำเนินการจัดทำรายงานฯ เสร็จเรียบร้อยแล้ว และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล) และเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้แถลงข่าวเปิดตัวรายงานฯ เมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๖๑ ๒. การจัดทำรายงานในระยะที่ ๒ การวิเคราะห์เชิงลึกในประเด็นเชื่อมโยงหลากหลายมิติพร้อมข้อเสนอนโยบาย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ประชุมหารือกับทีม MDCR ของ OECD และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อเลือกประเด็นการพัฒนาที่ต้องการศึกษาในเชิงลึกระยะที่ ๒ โดยมี ๓ ประเด็น ได้แก่ (๑) รูปแบบการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยังพึ่งพาโครงสร้างนอกระบบในสังคมไทยสูง (๒) การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติเข้มข้นเป็นความเสี่ยงด้านภัยพิบัติที่เป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจ และ (๓) การบริหารจัดการและการให้บริการภาครัฐที่ยังขาดการบริหารจัดการให้เกิดความเชื่อมโยงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยทีมงาน MDCR ของ OECD จะเดินทางมาเก็บข้อมูลเพื่อจัดทำรายงานระยะที่ ๒ ในช่วงครึ่งหลังของเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๑ และจะมีการประชุม MLG-MDCRs ณ OECD สำนักงานใหญ่ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เพื่อพิจารณาร่างรายงานระยะที่ ๒ รวมทั้งการปรับปรุงร่างรายงานฯ ร่วมกับ OECD ในวันที่ ๒๔-๒๖ กันยายน ๒๕๖๑
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
