ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 53 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 1041 - 1060 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1041 | มาตรการเพิ่มขีดความสามารถและส่งเสริมความรู้ให้กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ระยะต่อไป | นร | 25/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานตามมาตรการเพิ่มขีดความสามารถและส่งเสริมความรู้ให้กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนในระยะแรก โดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมร่วมกับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และธนาคารพาณิชย์ ๘ แห่ง ได้ดำเนินโครงการตามมาตรการเพิ่มขีดความสามารถและส่งเสริมความรู้ให้กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนในระยะแรก โดยจัดการอบรมเสริมสร้างความรู้ให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และออกคูปองเพื่อซื้อขายเงินตราต่างประเทศสำหรับการทำธุรกรรมซื้อขายเงินต่างประเทศ FX Options วงเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท เป้าหมาย ๕,๐๐๐ ราย แต่ผลการดำเนินการพบว่า มีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการน้อยกว่าเป้าหมาย ซึ่งเป็นผลจากหลายปัจจัย เช่น ผู้ประกอบการบางส่วนเห็นว่า เงื่อนไขคุณสมบัติที่จะได้วงเงินเข้มงวดเกินไป รวมทั้งวงเงินไม่จูงใจ และผู้ประกอบการบางส่วนไม่จำเป็นต้องป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงการดำเนินงานในระยะต่อไป โดยจะขยายการดำเนินโครงการให้ครอบคลุมองค์ความรู้ด้านการเงิน (Financial Literacy) ในด้านอื่น ๆ ที่จำเป็นสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ๓ ด้าน ได้แก่ ด้านการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ด้านการเงินและภาษี และด้านการเงินสำหรับการค้าระหว่างประเทศ และปรับปรุงรายละเอียดโครงการส่งเสริมความรู้ให้กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเสนอ ๒. เห็นชอบการปรับปรุงมาตรการเพิ่มขีดความสามารถและส่งเสริมความรู้ให้กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับการดำเนินงานในระยะต่อไป ๓. ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำแผนบริหารจัดการกรณีการปรับปรุงการดำเนินงานตามมาตรการเพิ่มขีดความสามารถและส่งเสริมความรู้ให้กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมดังกล่าว รวมทั้งควรกระตุ้นให้ธนาคารพาณิชย์ที่เข้าร่วมโครงการตามมาตรการเพิ่มขีดความสามารถและส่งเสริมความรู้ให้กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมดังกล่าวเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการให้กับพนักงานสาขาของธนาคารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ และควรมีการประเมินผลสัมฤทธิ์การดำเนินงาน โดยเฉพาะการจัดฝึกอบรมให้ความรู้ด้านการเงินและการบริหารความเสี่ยงให้แก่ผู้ประกอบการ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงมาตรการ/โครงการ ให้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1042 | ผลการประชุมคณะกรรมการจัดทำหลักเขตแดนร่วมระหว่างไทย - มาเลเซีย ครั้งที่ 25 | กต | 25/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. ผลการประชุมคณะกรรมการจัดทำหลักเขตแดนร่วมระหว่างไทย-มาเลเซีย (Land Boundary Committee : LBC) ครั้งที่ ๒๕ เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม-๒ สิงหาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงเทพมหานคร มีสาระสำคัญครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ เช่น (๑) การรับรองแนวทางในการปฏิบัติสำหรับการกำหนดระยะห่างที่เหมาะสมจากแนวเส้นเขตแดนของโครงการพัฒนาฝ่ายเดียวบริเวณใกล้เขตแดนไทย-มาเลเซีย (๒) การปรับปรุงบัญชีหลักเขตแดนที่อยู่นอกสันปันน้ำ โดยเป็นการเพิ่มรายละเอียดของหลักเขตแดนที่ ๔๓ ในบริเวณ ๑ (อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา) และหลักเขตแดนที่ 49C ในบริเวณ ๑๖ (อำเภอเบตง จังหวัดยะลา) ให้ทันสมัย และสะท้อนผลการสำรวจล่าสุด และ (๓) การพิจารณาร่างบันทึกความเข้าใจ/ร่างความตกลงว่าด้วยการรับรองผลการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนแบบคงที่ตามแม่น้ำโก-ลก (พื้นที่เร่งด่วน ๘) (พื้นที่จังหวัดนราธิวาส) เป็นต้น ๒. การลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการก่อสร้างและบำรุงรักษารั้วเดี่ยวบนเส้นเขตแดนที่บ้านด่านนอก/บูกิตกายูฮิตัม จังหวัดสงขลา [MOU for the Construction and Maintenance of a Single Barrier in the Area between BP 20A/12 and BP 23/104 in Area III (BP 16-BP27)] ซึ่งมีการปรับแก้หมายเลขหลักเขตแดนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามผังสนาม ซึ่งเป็นการปรับแก้ทางเทคนิคให้สอดคล้องกับตำแหน่งของหลักเขตแดน โดยยังคงมีสาระสำคัญตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ที่เห็นชอบไว้แล้ว ๓. คำสั่งจัดตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อก่อสร้างและบำรุงรักษารั้วเดี่ยวบนเส้นเขตแดนที่บ้านด่านนอก/บูกิตกายูฮิตัม จังหวัดสงขลา (ฝ่ายไทย) สั่ง ณ วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๑
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1043 | แผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2563 - 2565) | กค | 25/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ ๒๕๖๓-๒๕๖๕) เพื่อให้หน่วยงานของรัฐนำไปใช้ประกอบการพิจารณาในการจัดเก็บหรือหารายได้ การจัดทำงบประมาณ และการก่อหนี้ของหน่วยงานของรัฐ ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐเสนอ โดยแผนการคลังระยะปานกลางฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งรัดกฎหมายที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลที่อยู่ระหว่างดำเนินการให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว เช่น การปรับปรุงประมวลรัษฎากรเพื่อรองรับระบบภาษีและเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ประกอบการอิเล็กทรอนิกส์ (e-Business) ในต่างประเทศ การจัดเก็บภาษีเงินได้จากการลงทุนในตราสารหนี้ผ่านกองทุนรวม เป็นต้น รวมถึงศึกษาแนวทางปฏิรูปการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลทั้งระบบ ทั้งในส่วนของรายได้ภาษีและรายได้จากทรัพย์สิน ตลอดจนปรับปรุงระบบอิเล็กทรอนิกส์และพัฒนาฐานข้อมูลที่ใช้ติดตามการจัดเก็บภาษี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ ขยายฐานภาษี และปรับปรุงโครงสร้างภาษีให้มีความเป็นธรรม ความเท่าเทียม และความเหมาะสมกับโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป ๑.๒ สำนักงบประมาณจะต้องควบคุมรายจ่ายของรัฐบาลที่เป็นรายจ่ายประจำ โดยเฉพาะรายจ่ายด้านบุคลากรเพื่อเพิ่มสัดส่วนรายจ่ายลงทุนต่อวงเงินงบประมาณรายจ่าย ทั้งนี้ การจัดสรรงบประมาณควรคำนึงถึงความจำเป็น ความเร่งด่วน ความคุ้มค่า ศักยภาพของหน่วยงาน ความพร้อมในการดำเนินงาน และขีดความสามารถในการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อให้สามารถจัดสรรงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ๑.๓ รัฐบาลจะต้องผลักดันให้มีการระดมทุนในรูปแบบใหม่สำหรับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพื่อช่วยลดภาระการลงทุนจากงบประมาณ เช่น การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public Private Partnership : PPP) การระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund : TFF) เป็นต้น ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณรับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นว่า ในระยะข้างหน้าภายใต้ปัญหาเชิงโครงสร้างของความไม่สมดุลระหว่างรายได้และรายจ่าย ภาระการคลังที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องตามการเข้าสู่สังคมสูงวัย ความเสี่ยงจากภาระการคลังแอบแฝง รวมถึงความผันผวนของเศรษฐกิจโลก รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการเตรียมจัดทำงบประมาณสมดุลให้เกิดขึ้นจริงโดยเร็ว เพื่อให้มีวงเงินเหลือ (Fiscal Space) สำหรับจัดทำนโยบายที่จำเป็นเพื่อรองรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ โดยเร่งปฏิรูปโครงสร้างรายได้และรายจ่าย รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ควบคู่กับการลดรายจ่ายของรัฐบาลอย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1044 | รายงานผลการดำเนินการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 (One Map) | ปปท. | 25/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบผลการดำเนินการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน ๑: ๔๐๐๐ (One Map) ของคณะกรรมการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน ๑ : ๔๐๐๐ (One Map) (คณะกรรมการ กปนร.) โดยให้คณะกรรมการ กปนร. รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยในประเด็นการให้หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการดูแลที่ดินของรัฐแต่ละประเภทตรวจสอบแนวเขตที่ดินของรัฐอีกครั้ง โดยเฉพาะแนวเขตที่ดินของรัฐที่ทับซ้อนกับที่ดินของประชาชน และข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในประเด็นการกำหนดพื้นที่บางส่วนให้เป็นพื้นที่ป่าไม้ยังไม่สอดคล้องกับหลักการตามกฎหมายที่ใช้ในการดำเนินงานและมติคณะรัฐมนตรีเดิมในพื้นที่นั้น ๆ ไปหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย ให้ได้ข้อยุติในแต่ละประเด็นที่ชัดเจนโดยเร็ว แล้วให้หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการดูแลที่ดินของรัฐแต่ละประเภทนำข้อยุติดังกล่าวไปประกอบการดำเนินการตรวจสอบเส้นแนวเขตที่ดินของรัฐให้ถูกต้อง ตรงกัน และเห็นชอบร่วมกันก่อน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในการรับรองเส้นแนวเขตที่ดินของรัฐอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ การดำเนินการต่าง ๆ ดังกล่าวให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย กฎ คำสั่ง ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการแก้ไขหรือปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และแก้ไขแผนที่แนบท้ายกฎหมายให้สอดคล้องกับผลการดำเนินการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน ๑ : ๔๐๐๐ (One Map) โดยให้คณะกรรมการ กปนร. เป็นฝ่ายประสานงานและให้ข้อเสนอแนะในการดำเนินการ ทั้งนี้ หน่วยงานของรัฐดังกล่าวต้องเร่งรัดดำเนินการแก้ไขหรือปรับปรุงกฎหมายในความรับผิดชอบให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในสามร้อยหกสิบวันนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบในการรับรองเส้นแนวเขตของรัฐแล้ว โดยอาจเสนอขอขยายระยะเวลาการดำเนินการต่อคณะกรรมการ กปนร. ได้ตามเหตุผลความจำเป็น แต่ทั้งนี้ไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน ๓. เห็นชอบในหลักการการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการแนวเขตที่ดินของรัฐ เพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการแนวเขตที่ดินของรัฐ ให้คณะกรรมการ กปนร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น การกำหนดอำนาจหน้าที่และองค์ประกอบของคณะกรรมการดังกล่าวให้ชัดเจน ไม่ซ้ำซ้อนกับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตามกฎหมายเฉพาะอื่น การนำแนวทางการพิจารณาการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้โดยกฎหมาย ระเบียบ หรือมติคณะรัฐมนตรีของแต่ละหน่วยงานมาประกอบการพิจารณา เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นสามารถขับเคลื่อนการดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารจัดการแนวเขตที่ดินของรัฐร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติด้วย ๔. ในการดำเนินการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือแผนที่แนบท้ายกฎหมายของหน่วยงานของรัฐ หากมีกรณีใดประสบปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการ ให้หน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่องรายงานสภาพปัญหา พร้อมข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขต่อคณะกรรมการบริหารจัดการแนวเขตที่ดินของรัฐที่จะได้แต่งตั้งขึ้น เพื่อพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1045 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 18/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งกระทรวงการคลังได้ดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ แล้ว โดยประเด็นการกันเงินเหลื่อมปีตามร่างพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. .... เห็นว่า หากเพิ่มเติมข้อยกเว้นในกรณีอื่น ๆ เป็นกรณีพิเศษเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินงบประมาณเหลื่อมปีแล้ว อาจทำให้หลักเกณฑ์การกันเงินเหลื่อมปีมีความยืดหยุ่นเกินไป และอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการใช้จ่ายเงินงบประมาณของประเทศได้ สำหรับประเด็นการเพิ่มเติมบทเฉพาะกาลสำหรับวงเงินกันเหลื่อมปีที่ได้รับอนุมัติภายใต้กฎหมายวิธีการงบประมาณ เห็นว่า ร่างพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. .... ซึ่งอยู่ระหว่างการนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย (ขณะนี้มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว) ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมบทเฉพาะกาล โดยกฎหมายได้ให้ระยะเวลาแก่หน่วยงานในการดำเนินการก่อหนี้และเบิกจ่ายเงินงบประมาณที่กันไว้ตามกฎหมายเดิมเท่าที่จำเป็นและตามสมควรแล้ว ส่วนประเด็นการกำหนดตัวชี้วัดในการเบิกจ่ายให้กับส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ เพื่อให้มีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อต้นทุนการบริหารเงินสดของรัฐบาล หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีข้อสังเกตเกี่ยวกับการกำหนดเป้าหมายหรือตัวชี้วัดการเบิกจ่ายภายใต้ร่างพระราชบัญญัติวิธีการงประมาณ พ.ศ. .... โดยควรพิจารณากำหนดตัวชี้วัดการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อวัดผลการปฏิบัติราชการของหน่วยงานที่เบิกจ่ายโดยตรง และควรให้ความสำคัญกับการเบิกจ่ายงบประมาณตามแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณที่หน่วยงานเบิกจ่ายมีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริงในระหว่างปีงบประมาณ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป ๒. ให้สำนักงบประมาณร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตเกี่ยวกับการกำหนดตัวชี้วัดการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อใช้ประกอบการพิจารณากำหนดตัวชี้วัดการเบิกจ่ายงบประมาณเป็นตัวชี้วัดหลักของหน่วยรับงบประมาณ เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1046 | การปรับปรุงรายละเอียดโครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคสาขาพัทยา - แหลมฉบัง - ศรีราชา ระยะที่ 1 | มท | 18/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1047 | รายงานผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับโทษประหารชีวิตและหลักสิทธิมนุษยชน | ยธ | 18/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับโทษประหารชีวิตและหลักสิทธิมนุษยชน ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ซึ่งกระทรวงยุติธรรมได้จัดประชุมหารือร่วมกับผู้แทนจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและหน่วยงานภายในกระทรวงยุติธรรม เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๑ โดยที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์และการดำเนินการเกี่ยวกับการลงโทษและการบังคับโทษประหารชีวิตในประเทศไทย และข้อเสนอแนะของกระทรวงยุติธรรมที่ได้เสนอต่อนายกรัฐมนตรีไปแล้วเมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๑ รวมทั้งได้พิจารณาข้อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายโทษประหารชีวิต ของ กสม. เปรียบเทียบกับข้อเสนอจากรายงานสถานการณ์ ของกระทรวงยุติธรรม ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และแจ้งให้ กสม. ทราบด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1048 | ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. .... | นร09 | 18/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. .... ที่ตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ เพื่อคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินของประชาชนที่อาจถูกเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ และเพื่อประโยชน์ของรัฐในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เพื่อประโยชน์สาธารณะอื่น และเพื่อให้มีหลักเกณฑ์ในการเวนคืน เพื่อชดเชยให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกเวนคืน ตลอดจนกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการคืนอสังหาริมทรัพย์ให้แก่เจ้าของเดิมหรือทายาท ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญในการประสานกับภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมมือประชาสัมพันธ์ร่างกฎหมายฉบับนี้ให้ประชาชนทุกคนได้รับรู้และเข้าใจอย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1049 | รายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ 4 (12 กันยายน 2560-12 กันยายน 2561) | นร | 18/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดทุกกระทรวงรับไปพิจารณารายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ ๔ (วันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๐-๑๒ กันยายน ๒๕๖๑) และส่งการปรับปรุงแก้ไขให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการภายในวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจัดพิมพ์รายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ ๔ (วันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๐-๑๒ กันยายน ๒๕๖๑) จำนวน ๕,๐๐๐ เล่ม เพื่อเผยแพร่และนำเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศแปลบทสรุปสำหรับผู้บริหารเป็นฉบับภาษาอังกฤษเพื่อเผยแพร่ในต่างประเทศ ๔. ให้สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จัดพิมพ์บทสรุปสำหรับผู้บริหารฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1050 | ผลการพิจารณาและผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาวิกฤตน้ำเสียในคลองแม่ข่า จังหวัดเชียงใหม่ | สว | 18/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาและผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาวิกฤตน้ำเสียในคลองแม่ข่า จังหวัดเชียงใหม่ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ไปแล้วบางส่วน ได้แก่ (๑) การแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำเฉพาะหน้าในช่วงที่มีการร้องเรียน เช่น ขุดลอกคลองแม่ข่า กำจัดวัชพืชและผักตบชวาในพื้นที่เทศบาลนครเชียงใหม่ และองค์การบริหารส่วนตำบลสบแม่ข่า (๒) แผนการปรับปรุงการบำบัดน้ำเสียและการระบายน้ำ เช่น ศึกษาปรับปรุงแนวท่อรวบรวมน้ำเสียเดิม และขยายพื้นที่รวบรวมน้ำเสียให้ครอบคลุมพื้นที่เทศบาล (๓) การจัดทำรายงานแหล่งกำเนิดมลพิษขนาดใหญ่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น จัดทำรายงานสรุปผลการจัดส่งแบบรายงานสรุป (ทส.๒) ของแหล่งกำเนิดมลพิษขนาดใหญ่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ (๔) การควบคุมการทำงานเพื่อการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน เช่น แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาและแก้ไขปัญหาคลองแม่ข่า จังหวัดเชียงใหม่ และคณะทำงานสนับสนุนการพัฒนาและแก้ไขปัญหาคลองแม่ข่า จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาและแก้ไขปัญหาคลองแม่ข่าให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ จังหวัดเชียงใหม่รับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ และผลักดันให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการเพิ่มมากขึ้นในอนาคต รวมทั้งยินดีให้คณะอนุกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมชุมชนเมืองเป็นที่ปรึกษา กำกับ และติดตามในภาพรวม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1051 | ร่างพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. .... | นร09 | 13/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. .... ของกระทรวงการคลัง ซึ่งมีสาระสำคัญเพื่อให้มีการกำหนดนโยบายของรัฐที่ชัดเจนและแน่นอนในการจัดทำโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ โดยมุ่งเน้นการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นหุ้นส่วนระหว่างรัฐและเอกชน และมีมาตรการส่งเสริมการร่วมลงทุนอย่างเหมาะสม โดยกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนในการจัดทำโครงการร่วมลงทุนที่กระชับ โปร่งใส และตรวจสอบได้ และสามารถสร้างแรงจูงใจให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา โดยให้นำความเห็นของกระทรวงคมนาคมเกี่ยวกับการเพิ่มข้อกำหนดภายหลังการพ้นจากตำแหน่งของคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนในเรื่องการดำรงตำแหน่งและสัดส่วนการเข้าถือหุ้นในกิจการของเอกชนที่ได้รับคัดเลือกให้ร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ การปรับปรุงถ้อยคำในมาตรา ๒๙ ๓๐ และ ๓๖ เป็น “คณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการร่วมลงทุน” แทน “คณะรัฐมนตรีอนุมัติในหลักการของโครงการร่วมลงทุน” และการนำแนวทางตามบทบัญญัติในมาตรา ๒๕ มาใช้บังคับแก่หน่วยงานเจ้าของโครงการและคณะกรรมการคัดเลือก เพื่อให้การปรับเปลี่ยนรูปแบบการคัดเลือกเอกชนมีความรอบคอบ โปร่งใส และเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และมีข้อมูลที่ครบถ้วน รวมทั้งการให้คณะกรรมการคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนในฐานะคณะกรรมการที่มีอำนาจและหน้าที่ในการกำกับดูแลการร่วมลงทุนของรัฐพิจารณาให้ความเห็นชอบผลการคัดเลือกเอกชน ร่างสัญญาร่วมลงทุน และเงื่อนไขสำคัญของสัญญาร่วมลงทุน ไปประกอบการพิจารณาด้วย ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวที่จัดทำโดยกระทรวงการคลัง ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการปรับเพิ่มบทบาทของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนให้สามารถทำหน้าที่เป็นกลไกการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ (Check and Balance) และการกำหนดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และกรอบระยะเวลาในการดำเนินโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนของคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถปฏิบัติงานบนหลักการของการทำงานที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใสและตรวจสอบได้ตามเจตนารมณ์ของร่างกฎหมายที่เสนอในครั้งนี้ต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1052 | ขอให้พิจารณานำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จำนวน 2 ฉบับ) | สลธ.คสช. | 13/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๑/๒๕๖๑ เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ลงวันที่ ๑๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยให้อำนาจหน้าที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติในการพิจารณาใช้ดุลยพินิจกำหนดตำแหน่งซึ่งมีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญอันเป็นส่วนสำคัญของการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย ๒. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๒/๒๕๖๑ เรื่อง การให้ประชาชนและพรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ลงวันที่ ๑๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ มีสาระสำคัญเป็นการให้พรรคการเมืองสามารถรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งเพื่อนำเสนอนโยบายที่ใช้ในการบริหารประเทศต่อประชาชน และเพื่อให้ประชาชนและพรรคการเมืองสามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้ในช่วงที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1053 | ขอให้พิจารณานำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จำนวน 2 ฉบับ) | สลธ.คสช. | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๙/๒๕๖๑ เรื่อง กลไกในการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง ลงวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๑ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงบทบาทและภารกิจของหน่วยงานเพื่อไม่ให้มีความซ้ำซ้อนกัน และกำหนดกลไกการขับเคลื่อนภารกิจในการปฏิรูปและการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อเร่งรัดการดำเนินการตามนโยบายสำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาลให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิรูปและการบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ๒. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๐/๒๕๖๑ เรื่อง มาตรการสนับสนุนการบริหารราชการแผ่นดินให้มีความต่อเนื่อง ลงวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๑ มีสาระสำคัญเป็นการได้มาและรักษาไว้ซึ่งบุคลากรตั้งแต่ระดับผู้ปฏิบัติไปจนถึงข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารที่มีศักยภาพ เพื่อรองรับและขับเคลื่อนการดำเนินการตามแผนแม่บท นโยบายสำคัญของรัฐบาลและแผนการปฏิรูปประเทศ ตลอดจนการรักษาความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงของชาติ ให้เป็นไปอย่างยั่งยืน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1054 | ร่างพระราชกฤษฎีกาประโยชน์ตอบแทนคณะกรรมการเลขานุการคณะกรรมการ และผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. .... | ศย | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการแก้ไขเพิ่มเติมบัญชีอัตราประโยชน์ตอบแทนท้ายร่างพระราชกฤษฎีกา โดยกำหนดอัตราประโยชน์ตอบแทน ประธานกรรมการ จำนวน ๑๕,๐๐๐ บาท กรรมการ จำนวน ๑๒,๐๐๐ บาท เลขานุการ จำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท และผู้ช่วยเลขานุการ จำนวน ๕,๐๐๐ บาท ตามมติของที่ประชุมที่มีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธาน เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาประโยชน์ตอบแทนคณะกรรมการ เลขานุการ คณะกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงอัตราประโยชน์ตอบแทนประธานกรรมการ กรรมการ เลขานุการ และกำหนดอัตราประโยชน์ตอบแทนผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้แก้ไขเพิ่มเติมบัญชีอัตราประโยชน์ตอบแทนท้ายร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ให้เป็นไปตามมติของที่ประชุมที่มีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธาน เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้ร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้มีผลใช้บังคับไม่ก่อนวันที่ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีผลใช้บังคับ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1055 | การปรับปรุงแนวทางการกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนและสวัสดิการของพนักงานรัฐวิสาหกิจตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2560 | กค | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๐ เกี่ยวกับการปรับปรุงค่าตอบแทน ระบบแรงจูงใจ และสวัสดิการต่าง ๆ ของรัฐวิสาหกิจในภาพรวม ของกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเห็นชอบการปรับปรุงแนวทางการกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเงินค่าตอบแทนและสวัสดิการของพนักงานรัฐวิสาหกิจ ตามความเห็นของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ คงหลักการให้รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำเสนอข้อมูลประกอบการพิจารณาในเรื่องการปรับปรุงสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ ๒๕๔๓ โดยปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ฯ ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๐ ต่อไป ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงแรงงานกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจให้เป็นไปตามหน้าที่และอำนาจของพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ กฎหมาย กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงสิทธิขั้นพื้นฐานที่พนักงานรัฐวิสาหกิจควรได้รับและแนวนโยบายของรัฐบาลแต่ละเรื่อง พร้อมทั้งให้เร่งรัดดำเนินการปรับปรุงมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต) เพื่อมิให้เป็นอุปสรรคต่อการใช้สิทธิรักษาพยาบาลของพนักงานรัฐวิสาหกิจในกรณีเจ็บป่วยวิกฤตฉุกเฉินต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงบประมาณที่เห็นควรเร่งรัดดำเนินการเรื่องกฎระเบียบเกี่ยวกับสิทธิสวัสดิการของรัฐวิสาหกิจที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งยังไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยวิกฤตฉุกเฉิน และควรปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุของพนักงานรัฐวิสาหกิจ เพื่อจูงใจให้บุคลากรที่มีศักยภาพสูงเข้ามาปฏิบัติงาน โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ตอบแทนที่เป็นตัวเงินหรือสภาพการจ้างในท้องถิ่นด้วย โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจที่ไม่สามารถกำหนดโครงสร้างค่าตอบแทนได้เอง นอกจากนี้ การจ่ายค่าตอบแทนและสวัสดิการหรือประโยชน์อื่นของพนักงานรัฐวิสาหกิจในภาพรวม ควรคำนึงถึงความจำเป็นและความเหมาะสม ตลอดจนสถานะการเงิน และผลการดำเนินงานของแต่ละรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งการกำหนดมาตรการเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายควรให้สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้นจากการปรับปรุงแนวทางดังกล่าว โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อไม่ให้เป็นภาระงบประมาณในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1056 | มาตรการป้องกันการทุจริตเชิงนโยบายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | มท | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาตามมาตรการป้องกันการทุจริตเชิงนโยบายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประกอบด้วยมาตรการ ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) มาตรการด้านกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (๒) มาตรการด้านการบริหาร (๓) มาตรการด้านการตรวจสอบ กำกับดูแล และการมีส่วนร่วมของประชาชน และ (๔) มาตรการด้านคุณธรรมจริยธรรม ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้หารือกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นต้น โดยส่วนราชการดังกล่าวเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ อย่างไรก็ตาม กระทรวงมหาดไทยเห็นว่าข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติในบางประเด็นอาจจะขัดแย้งกับบทบัญญัติของกฎหมายในปัจจุบัน เช่น ประเด็นการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับปรุงโครงสร้าง/องค์ประกอบของสภาท้องถิ่นให้อยู่ในรูปแบบผสมผสานโดยมาจากการเลือกตั้งและสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นการดำเนินการที่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๕๒ วรรคหนึ่ง บัญญัติให้สมาชิกสภาท้องถิ่นต้องมาจากการเลือกตั้ง เป็นต้น ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไปด้วย ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น มาตรการด้านกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในประเด็นการแก้ไขกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น และแก้ไขกฎหมายจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่กำหนดให้สมาชิกสภาท้องถิ่นมาจากการเลือกตั้งและการสรรหา นั้น ปัจจุบันได้มีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๕๒ วรรคหนึ่ง บัญญัติให้สมาชิกสภาท้องถิ่นต้องมาจากการเลือกตั้ง ดังนั้น มาตรการดังกล่าวจึงไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และในประเด็นมาตรการปรับปรุงโครงสร้าง/องค์ประกอบของสภาท้องถิ่นให้อยู่ในรูปแบบผสมผสานที่มาจากการเลือกตั้งและสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิ อาจไม่สอดคล้องกับนโยบายการกระจายอำนาจให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เห็นควรให้ความสำคัญกับประชาชนในพื้นที่ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1057 | โครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง พ.ศ. 2561 - 2562 และหลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีการจ่ายเงิน | กษ | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒ และอนุมัติกรอบวงเงินเพื่อดำเนินโครงการฯ ภายในวงเงินทั้งสิ้น ๑๗,๕๑๒,๗๓๔,๖๑๘ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๑.๑ ค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง ในกรอบวงเงิน ๑๗,๐๐๗,๒๐๔,๖๐๐ บาท โดยให้ความช่วยเหลือตามพื้นที่สวนยางเปิดกรีดจริง ในอัตราไร่ละ ๑,๘๐๐ บาท รายละไม่เกิน ๑๕ ไร่ จำนวนพื้นที่เปิดกรีดแล้วรวม ๙,๔๔๘,๔๔๗ ไร่ โดยให้ใช้จากเงินทุนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สำรองจ่ายไปก่อน และให้ ธ.ก.ส. จัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒ ค่าใช้จ่ายในส่วนของ ธ.ก.ส. ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ค่าธรรมเนียมการโอนเงินและชดเชยต้นทุนเงิน ในอัตรา FDR+1 ในกรอบวงเงิน ๓๗๙,๐๓๐,๐๑๘ บาท เห็นควรให้ ธ.ก.ส. เสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป เพื่อชดเชยตามผลการจ่ายเงินที่เกิดขึ้นจริง หรือให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๑.๓ ค่าบริหารจัดการโครงการของการยางแห่งประเทศไทย ในกรอบวงเงิน ๑๒๖,๕๐๐,๐๐๐ บาท เห็นควรให้ใช้จากเงินกองทุนพัฒนายางพารา ตามนัยมาตรา ๔๙ (๓) แห่งพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการส่งเสริม สนับสนุน การดำเนินงานของโครงการฯ ตามความจำเป็นและผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นจริง ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมของโครงการฯ ในทุกขั้นตอน รวมถึงการประชาสัมพันธ์และการให้ข้อมูลอย่างถูกต้องกับเกษตรกร เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างรวดเร็วและสามารถเริ่มเบิกจ่ายให้กับเกษตรกรได้ตั้งแต่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๑ ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ พร้อมทั้งเร่งพิจารณานำเสนอโครงการ ๑ หมู่บ้าน ๑ กิโลเมตร และโครงการบริหารจัดการรักษาเสถียรภาพราคายางพาราของสถาบันเกษตรกรที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติแล้วให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเพื่อสนับสนุนการดูดซับปริมาณยางออกจากระบบในช่วงเวลาดังกล่าว และควรเร่งพิจารณาปรับปรุงแผนยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยให้ความสำคัญกับการลดพ้นที่การปลูกยางและการวิจัย พัฒนา และขับเคลื่อนการแปรรูปสินค้าและผลิตภัณฑ์ยางพารา ตลอดจนการปรับปรุงสาระสำคัญของแผนยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) เพื่อให้การแก้ไขปัญหาและการพัฒนาอุตสาหกรรมยางดำเนินการไปอย่างเป็นระบบและเกิดความยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1058 | การปรับโครงสร้างองค์กร [บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)] | นร | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีเห็นสมควรให้มีการปรับปรุงพัฒนาการบริหารจัดการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ลดต้นทุนค่าใช้จ่าย และสามารถแข่งขันได้อย่างเต็มศักยภาพในธุรกิจการขนส่งทางอากาศในปัจจุบัน จึงมีมติมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าภาพหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทาง/มาตรการในการปรับโครงสร้างและการบริหารจัดการองค์กรของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ให้เหมาะสมและเป็นไปตามเจตนารมณ์ข้างต้น ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้นำเสนอนายกรัฐมนตรีภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๑ ต่อไป ทั้งนี้ การกำหนดแนวทาง/มาตรการดังกล่าว ให้คำนึงถึงปัญหาพื้นฐานต่าง ๆ ที่สำคัญขององค์กรด้วย เช่น ความซ้ำซ้อนของการจัดโครงสร้างองค์กรในระดับบริหารและความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ (Career Path) ของบุคลากรระดับปฏิบัติการ การกำหนดสิทธิประโยชน์ของบุคลากร ผู้บริหาร และคณะกรรมการ การลดต้นทุนค่าใช้จ่ายและเพิ่มรายได้จากทรัพย์ที่มีอยู่ขององค์กร เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1059 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 3/2561 | กค | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๑ ประกอบด้วย (๑) การปรับปรุงแนวทางการกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนและสวัสดิการของพนักงานรัฐวิสาหกิจตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๐ (๒) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของรัฐวิสาหกิจ และ (๓) การแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ ๖ แห่ง ได้แก่ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) การรถไฟแห่งประเทศไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และมอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจในคราวประชุมดังกล่าวต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1060 | รายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ | นร01 | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ ประจำเดือนสิงหาคม-กันยายน ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กิจกรรมจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” ในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค มีการดำเนินกิจกรรมจิตอาสาในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยการพัฒนาคลอง คู และลำรางในเขตต่าง ๆ ๒๒ คู คลอง เพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมและลดปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นมลพิษ รวมทั้งทำความสะอาดสถานที่สำคัญที่อยู่ริมคลอง และได้นำแนวทางการพัฒนาดังกล่าวไปปรับใช้ในพื้นที่ส่วนภูมิภาคด้วย ซึ่งที่ผ่านมามีการดำเนินกิจกรรมไปแล้ว จำนวน ๑๓,๓๖๒ กิจกรรม มีจิตอาสารวมทั้งสิ้น ๔,๕๒๕,๒๒๖ คน ๒. การปรับปรุงร่างคู่มือการดำเนินโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ ๒.๑ กระทรวงมหาดไทยร่วมกับศูนย์อำนวยการใหญ่โครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ (ศอญ.) ได้แต่งตั้งคณะทำงานจัดทำร่างคู่มือการดำเนินโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ และได้ปรับปรุงหัวข้อและเนื้อหาในร่างคู่มือการดำเนินโครงการฯ ๒.๒ ผู้ตรวจราชการพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ) และผู้ตรวจราชการพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายพศิน โกมลวิชญ์) ในฐานะผู้แทนของรัฐบาลได้ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินโครงการฯ ร่วมกับส่วนราชการ ภาคประชาชน และหน่วยงานในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดต่าง ๆ เช่น การพัฒนาและปรับปรุงคลองเปรมประชากร การก่อสร้างท่อลอดบนถนนวิภาวดีรังสิตของกรมทางหลวง และให้กำลังใจจิตอาสาที่จัดกิจกรรมเก็บผักตบชวาและทำความสะอาดคลอง ๑ บริเวณวัดคุณหญิงส้มจีน อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
