ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 57 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 1121 - 1140 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1121 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา กรณีน้ำมันรั่วไหลบริเวณพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม จังหวัดเพชรบุรี และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ของคณะกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ กรณีน้ำมันรั่วไหลบริเวณพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม จังหวัดเพชรบุรี และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยหน่วยงานเกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ เช่น จัดตั้งคณะกรรมการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน (กปน.) ให้มีศูนย์การปฏิบัติงาน และศูนย์ประสานงาน เพื่อประสานงานให้การดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กรมเจ้าท่าอยู่ระหว่างการจัดทำร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมันและเคมีภัณฑ์ พ.ศ. .... เพื่อใช้แทนระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน พ.ศ. ๒๕๔๗ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และกองทัพเรืออยู่ระหว่างการปรับปรุงโครงสร้างของศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) ให้เป็นศูนย์อำนวยการปฏิบัติการในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เป็นต้น ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1122 | รายงานผลการพิจารณาที่มีข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน และข้อเสนอแนะในการปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคำสั่ง (กรณีชุมชนป้อมมหากาฬขอความเป็นธรรมจากการถูกกรุงเทพมหานครขับไล่ออกจากพื้นที่และขอให้มีการตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาชุมชนป้อมมหากาฬอย่างมีส่วนร่วม) | สม | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1123 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการแก้ไขอาคารที่มีสภาพ หรือมีการใช้ที่อาจเป็นภยันตรายต่อสุขภาพ ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สิน หรืออาจไม่ปลอดภัยจากอัคคีภัย หรือก่อให้เกิดเหตุรำคาญหรือกระทบกระเทือนต่อการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... | มท | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการแก้ไขอาคารที่มีสภาพหรือมีการใช้ที่อาจเป็นภยันตรายต่อสุขภาพ ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สิน หรืออาจไม่ปลอดภัยจากอัคคีภัยหรือก่อให้เกิดเหตุรำคาญหรือกระทบกระเทือนต่อการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการแก้ไขระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับอัคคีภัยของอาคารเก่า เพื่อให้มีความปลอดภัยในการใช้อาคารมากยิ่งขึ้นและมีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นเร่งรัดตรวจสอบสภาพหรือการใช้อาคารหรือระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับอัคคีภัยของอาคารเก่าที่อาจเป็นอันตราย เพื่อให้มีการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎกระทรวงอย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1124 | การดำเนินโครงการ Country Programme | กต | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับถ้อยคำของร่างบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการ Country Programme (CP) ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development : OECD) ฉบับภาษาอังกฤษและภาษาไทย ตามความเห็นเพิ่มเติมของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งการปรับถ้อยคำให้เป็นปัจจุบันในบางส่วน เช่น การปรับปรุงรูปแบบข้อความเกี่ยวกับสถานที่ วันที่ ภาษา เพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบการจัดทำสนธิสัญญาระหว่างประเทศของไทย และการปรับเปลี่ยนชื่อโครงการเพื่อให้เกิดความชัดเจนและสอดคล้องกับความต้องการของฝ่ายไทยยิ่งขึ้น ทั้งนี้ การปรับถ้อยคำดังกล่าวไม่ใช่ส่วนที่เป็นสาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้แล้วเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1125 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและการออกใบอนุญาตขับรถและการขอต่ออายุและการอนุญาตให้ต่ออายุใบอนุญาตขับรถ พ.ศ. .... | คค | 21/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและการออกใบอนุญาตขับรถและการขอต่ออายุและการอนุญาตให้ต่ออายุใบอนุญาตขับรถ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและการออกใบอนุญาตขับรถ รวมทั้งการขอต่ออายุและการอนุญาตให้ต่ออายุใบอนุญาตขับรถให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับไปพิจารณาความชัดเจนในการกำหนดโรคที่จะออกใบรับรองแพทย์เพื่อแสดงว่า มีโรคประจำตัวหรือสภาวะของโรคที่อาจเป็นอันตรายขณะขับรถ เพื่อสร้างความชัดเจนแก่ผู้ขอใบอนุญาตขับรถและผู้ขอต่ออายุใบอนุญาตขับรถ แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1126 | การปรับเปลี่ยนแหล่งเงินโครงการลงทุน การกู้เงินเพื่อดำเนินการทั่วไปและอื่น ๆ และการกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องของการประปาส่วนภูมิภาค | มท | 21/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ดังนี้ ๑.๑ ให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ปรับเปลี่ยนแหล่งเงินโครงการเพื่อการพัฒนา จำนวน ๕ โครงการ วงเงินเต็มโครงการทั้งสิ้น ๑,๒๒๔.๕๙๗ ล้านบาท จากเดิมเป็นเงินอุดหนุน ร้อยละ ๗๕ จำนวน ๙๑๘.๔๔๘ ล้านบาท และเงินรายได้ ร้อยละ ๒๕ จำนวน ๓๐๖.๑๔๙ ล้านบาท เปลี่ยนเป็นสัดส่วนเงินอุดหนุน ร้อยละ ๗๕ และเงินกู้ภายในประเทศ ร้อยละ ๒๕ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพคล่องทางการเงินในปัจจุบันของ กปภ. โดยวงเงินเพื่อดำเนินโครงการดังกล่าว จำนวน ๕๖.๑๓๐ ล้านบาท (กระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน) ได้รับการบรรจุในแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ เรียบร้อยแล้ว และ กปภ. จะกู้เงินได้ต่อเมื่อได้รับอนุมัติการปรับเปลี่ยนแหล่งเงินให้ใช้เงินกู้จากคณะรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว ๑.๒ ให้ กปภ. กู้เงินเพื่อดำเนินงานปกติ (แผนงานระยะยาว) จำนวน ๑๒ โครงการ วงเงิน ๒๗๗.๑๒๔ ล้านบาท (กระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน) สำหรับปีงบประมาณ ๒๕๖๑ เพื่อให้ กปภ. มีสภาพคล่องเพียงพอต่อการดำเนินงาน และ กปภ. จะกู้เงินได้ต่อเมื่อคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติการกู้เงินเรียบร้อยแล้ว สำหรับจำนวน ๖ โครงการ วงเงินทั้งโครงการ ๓,๒๖๐.๐๖๗ ล้านบาท ขณะนี้ กปภ. สามารถกู้เงินได้ เนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๑ อนุมัติให้ กปภ. พิจารณาดำเนินโครงการโดยใช้เงินรายได้เป็นลำดับแรก หาก กปภ. จำเป็นต้องกู้เงิน ให้พิจารณากู้เงินเป็นรายปีตามความจำเป็น (กระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน) ทั้งนี้ วงเงินเพื่อการดำเนินงานปกติ (แผนระยะยาว) จำนวน ๑,๐๐๒.๓๙๐ ล้านบาท ได้รับการบรรจุในแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ เรียบร้อยแล้ว ๑.๓ ให้ กปภ. กู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่อง จำนวน ๒,๐๐๐ ล้านบาท (กระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน) เพื่อให้ กปภ. มีสภาพคล่องทางการเงินเพียงพอต่อการดำเนินงาน โดยปรับเปลี่ยนจากการกู้เงินระยะสั้นเพื่อเสริมสภาพคล่องในรูป Credit Line จำนวน ๒,๐๐๐ ล้านบาท เป็นการกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่อง จำนวน ๒,๐๐๐ ล้านบาท แทน และให้ กปภ. เบิกจ่ายตามความจำเป็น โดย กปภ. จะกู้เงินได้ต่อเมื่อคณะรัฐมนตรีอนุมัติการกู้เงินของ กปภ. และการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๒ เรียบร้อยแล้ว ๒. ในส่วนของการกู้เงินเพื่อดำเนินการทั่วไปและอื่น ๆ กรอบวงเงิน ๑,๐๐๒.๓๙๐ ล้านบาท ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. พิจารณาใช้เงินรายได้เป็นลำดับแรก หากมีความจำเป็นต้องกู้เงินให้ดำเนินการกู้เงินด้วยความระมัดระวังตามความเหมาะสมของฐานะการเงินในแต่ละปี และเบิกจ่ายเงินกู้เท่าที่จำเป็น ตามนัยความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๓. การกู้เงินของ กปภ. ในคราวต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. พิจารณาความพร้อมและความก้าวหน้าของโครงการที่จะใช้เงินกู้ รวมทั้งพิจารณาเครื่องมือเงินกู้ที่สอดคล้องกับการใช้จ่ายเงินเพื่อลดต้นทุนการกู้เงินและควรหารือปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานที่ทำให้ กปภ. มีความไม่แน่นอนทางรายได้ร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหานอกเหนือไปจากการปรับเปลี่ยนแหล่งเงินโครงการลงทุนจากเงินรายได้เป็นเงินกู้เพียงอย่างเดียวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1127 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนกรรมการ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ และวิธีการสรรหา การเลือกประธานกรรมการและกรรมการ วาระการดำรงตำแหน่ง และการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการในคณะกรรมการการอาชีวศึกษา พ.ศ. .... | ศธ | 14/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนกรรมการ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ และวิธีการสรรหา การเลือกประธานกรรมการและกรรมการ วาระการดำรงตำแหน่ง และการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการในคณะกรรมการการอาชีวศึกษา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงองค์ประกอบ หลักเกณฑ์ และวิธีการสรรหาคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า (๑) มาตรา ๑๗ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ กำหนดให้คณะกรรมการการอาชีวศึกษา ประกอบด้วย กรรมการโดยตำแหน่งจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนองค์กรเอกชน ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนองค์กรวิชาชีพ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิฯ แต่ร่างกฎกระทรวงฯ ได้ตัดกรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวนหนึ่งคน ออก และไปกำหนดไว้ในข้อ ๓ (๕) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่าง ๆ โดยระบุด้านการจัดการอาชีวศึกษาท้องถิ่น จึงน่าจะไม่เป็นไปตามมาตรา ๑๗ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติฯ (๒) การกำหนดองค์ประกอบกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีจำนวนค่อนข้างมาก ควรคำนึงถึงความจำเป็น เหมาะสม ความคุ้มค่า ภาระงบประมาณ และ (๓) ร่างกฎกระทรวงฯ ไม่ปรากฏว่ามีการกำหนดองค์ประกอบกรรมการ ตลอดจนรายละเอียดอื่น ๆ ในส่วนของ “ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” ไว้ จึงอาจส่งผลให้องค์ประกอบของคณะกรรมการการอาชีวศึกษาไม่ครบถ้วนตามพระราชบัญญัติฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1128 | ร่างระเบียบคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะว่าด้วยหลักเกณฑ์การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. .... | กค | 14/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะว่าด้วยหลักเกณฑ์การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงแก้ไขระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และกรอบวินัยการคลังในการบริหารหนี้สาธารณะของคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ ยึดถือและใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1129 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวและจัดอบรมสัมมนาในจังหวัดท่องเที่ยวรอง) | กค | 14/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้พึงประเมินเท่าที่ผู้มีเงินได้ได้จ่ายไปเป็นค่าที่พักในสถานที่พักที่ไม่เป็นโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดท่องเที่ยวรอง หรือในเขตพื้นที่ท่องเที่ยวอื่นใดที่อธิบดีประกาศกำหนดโดยคำแนะนำของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกำหนดพื้นที่ในการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดแนวทางปฏิบัติในการแสดงหลักฐานและการตรวจสอบเอกสารที่จะใช้ประกอบการขอลดหย่อนภาษีให้ชัดเจน ตลอดจนประชาสัมพันธ์ให้เกิดความเข้าใจแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องและสาธารณชนทั่วไปด้วย และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการปรับปรุงมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้กำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน เพื่อใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลัง และควรมีการรายงานผลการดำเนินการและประโยชน์ที่ได้รับจากการดำเนินการตามมาตรการภาษีดังกล่าวที่ส่งผลต่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวสู่ชุมชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1130 | ข้อมูลประเด็นการศึกษาตามข้อสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี | นร04 | 14/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อมูลประเด็นการศึกษาตามข้อสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๑ ของกระทรวงศึกษาธิการ ดังนี้ (๑) การลดการบ้านนักเรียน เช่น ให้สถานศึกษาวางแผนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ครอบคลุมถึงการมอบการบ้านให้เหมาะสมทั้งปริมาณและสาระ (๒) การสอบเข้าเรียนระดับอนุบาล เช่น การรับเด็กก่อนประถมศึกษาอายุ ๓-๕ ปี ที่อยู่ในเขตพื้นที่บริการของโรงเรียนจะไม่มีการสอบ กรณีเป็นเด็กนอกพื้นที่ให้ใช้วิธีจับสลาก (๓) การสอบภาษาอังกฤษชั้น ป.๓ ไม่มีการสอบภาษาอังกฤษระดับชาติ แต่มีในชั้นเรียนเพื่อปรับปรุงพัฒนาและวัดผลการเรียน (๔) คูปองพัฒนาครู ยังมีปัญหาและอุปสรรค เช่น ครูขาดความเชี่ยวชาญในการใช้ IT ทำให้ขาดความคล่องตัวในการเข้าระบบ (๕) การปรับปรุงตำรา หนังสือเรียน และข้อสอบ ให้สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน (๖) การป้องกันการทุจริตโครงการอาหารกลางวัน มีแนวทางการดำเนินการและมาตรการกำกับติดตามอย่างเป็นระบบ เช่น ให้โรงเรียนจัดเมนูอาหารกลางวันโดยใช้โปรแกรม Thai School Lunch (๗) การสอนวิชาประวัติศาสตร์และวิชาศีลธรรม เช่น กำหนดให้สถานศึกษาทุกระดับชั้นจัดวิชาประวัติศาสตร์เป็นวิชาพื้นฐานเฉพาะอย่างน้อยสัปดาห์ละ ๑ ชั่วโมง (๘) การสอบ O-NET และการสอบอื่น ๆ ดำเนินการสอบประเมินคุณภาพผู้เรียน ๓ ระดับ คือ ระดับสถานศึกษา (การอ่าน และใช้สอบมาตรฐานกลาง) ระดับชาติ (NT และ O-Net) ระดับนานาชาติ (PISA และ TIMSS) (๙) การสอนให้นักเรียนคิดอย่างมีเหตุผล เช่น ดำเนินโครงการบ้านพักนักวิทยาศาสตร์ระดับปฐมวัย จัดโครงการสะเต็มศึกษา (๑๐) การแต่งตั้งที่เป็นธรรม ดำเนินการแต่งตั้งข้าราชการในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการที่เป็นธรรม ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ./ก.พ. กำหนด (๑๑) การประเมินครูและบุคลากรทางการศึกษาตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ. กำหนด (๑๒) การสอบ TCAS มีข้อปรับปรุง เช่น ต้องแยกกลุ่มสถาบันแพทย์ศาสตร์แห่งประเทศไทยออกเป็นรายสถาบัน (๑๓) ค่าตอบแทนอธิการบดี เช่น ให้สภามหาวิทยาลัยกำหนดค่าตอบแทนอธิการบดี (รวมค่ารถประจำตำแหน่ง) อยู่ระหว่าง ๑๒๐,๐๐๐-๒๐๐,๐๐๐ บาท ขึ้นอยู่กับผลงานและรายได้ของมหาวิทยาลัยโดยไม่มีค่าตอบแทนแปรผันอื่น และ (๑๔) มาตรการควบคุมการเสนอขอรับงบประมาณการก่อสร้างที่ไม่มีข้อจำกัด เช่น สถาบันอุดมศึกษา (ของรัฐ) พิจารณาความจำเป็นในการใช้ประโยชน์อาคาร ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1131 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินงบประมาณและเปลี่ยนแปลงรายการสายทางเข้าท่าอากาศยานอู่ตะเภา-ท่าเรือจุกเสม็ดจังหวัดชลบุรี รวมทั้งยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2552 เรื่อง การปรับปรุงแก้ไข มติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ข้อ 1.6 ของกรมทางหลวง | คค | 07/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เพิ่มวงเงินงบประมาณและเปลี่ยนแปลงรายการภายใต้แผนงานบูรณาการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก โครงการพัฒนาทางหลวงรองรับระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก งบลงทุน ค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง จากรายการสายทางเข้าท่าอากาศยานอู่ตะเภา-ท่าเรือจุกเสม็ด จังหวัดชลบุรี ระยะทาง ๗.๗๖๓ กิโลเมตร วงเงิน ๖๓๒ ล้านบาท มาดำเนินรายการค่าก่อสร้างและค่ารื้อย้ายสาธารณูปโภค รวมวงเงิน ๘๑๑.๙๕ ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากวงเงินเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้ว จำนวน ๑๗๙.๙๕ ล้านบาท) ๑.๒ ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ) ที่กำหนดให้รายจ่ายลงทุนที่จะขออนุมัติผูกพันข้ามปีงบประมาณทุกรายการต้องได้รับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินในปีแรก เป็นจำนวนเงินไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒๐ ของวงเงินรายจ่ายส่วนที่เป็นเงินงบประมาณทั้งสิ้นของรายจ่ายลงทุนนั้น ๆ โดยไม่รวมวงเงินเผื่อเหลือเผื่อขาด ๒. ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงบประมาณ เช่น ควรให้กระทรวงคมนาคมถือปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงการใช้จ่ายงบประมาณที่จำเป็นและเหมาะสม และควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามนัยมาตรา ๓๗ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมทั้งประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เกี่ยวข้อง และปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ในการริเริ่มแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ในอนาคต ให้กระทรวงคมนาคมถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) อย่างเคร่งครัดต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1132 | หลักเกณฑ์การจ่ายเงินค่าเช่าบ้านของพนักงานสำนักงานธนานุเคราะห์ | พม | 07/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑ เห็นชอบหลักเกณฑ์การจ่ายเงินค่าเช่าบ้านของพนักงานสำนักงานธนานุเคราะห์ ซึ่งหลักเกณฑ์ดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์แล้ว ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้พนักงานที่ได้รับบรรจุแต่งตั้งเป็นพนักงานครั้งแรกในกรุงเทพมหานคร หรือจังหวัดปริมณฑล (ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม) ที่ได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติงานในจังหวัดอื่นมีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านได้ตามอัตราที่กำหนด ๑.๒ ให้พนักงานที่ได้รับบรรจุแต่งตั้งเป็นพนักงานครั้งแรกนอกเขตกรุงเทพมหานคร หรือจังหวัดปริมณฑล (ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม) ที่ได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติงานในกรุงเทพมหานคร หรือจังหวัดปริมณฑล มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านได้ตามอัตราที่กำหนด ๑.๓ ให้พนักงานที่ได้รับบรรจุแต่งตั้งเป็นพนักงานครั้งแรกนอกเขตกรุงเทพมหานคร หรือจังหวัดปริมณฑล (ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม) ที่ได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติงานในจังหวัดอื่น ซี่งไม่ใช่จังหวัดที่ได้รับบรรจุแต่งตั้งครั้งแรกมีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านได้ตามอัตราที่กำหนด ๑.๔ กำหนดอัตราค่าเช่าบ้าน (๑) พนักงาน อันดับ ๑-๓ อัตราค่าเช่าบ้าน ๒,๕๐๐ บาท/เดือน (๒) พนักงาน อันดับ ๔ อัตราค่าเช่าบ้าน ๓,๐๐๐ บาท/เดือน (๓) พนักงาน อันดับ ๕-๖ อัตราค่าเช่าบ้าน ๓,๕๐๐ บาท/เดือน และ (๔) พนักงาน อันดับ ๗-๙ อัตราค่าเช่าบ้าน ๔,๐๐๐ บาท/เดือน ๑.๕ ให้หลักเกณฑ์นี้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยสำนักงานธนานุเคราะห์ รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นควรนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและการให้บริการ และควรมีการวางแผนพัฒนาและบริหารบุคลากรเพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายดังกล่าวให้เหมาะสม รวมทั้งในการกำหนดอัตราค่าเช่าบ้านตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวควรพิจารณาให้เหมาะสมและสะท้อนกับอัตราค่าครองชีพในแต่ละจังหวัด โดยอาจกำหนดเป็นอัตราขั้นต่ำและขั้นสูงของแต่ละระดับตามอัตราค่าเช่าบ้านที่เสนอในครั้งนี้ และควรมีการวางแผนการจัดการทางการเงินทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและไม่เป็นภาระกับงบประมาณในอนาคต ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการดำเนินการปรับปรุงแนวทางการกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนและสวัสดิการของพนักงานรัฐวิสาหกิจทั้งระบบให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การปรับปรุงค่าตอบแทน ระบบแรงจูงใจ และสวัสดิการต่าง ๆ ของรัฐวิสาหกิจในภาพรวม)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1133 | รายงานผลการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร01 | 07/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ (กขร.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) ประธาน กขร. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภารกิจของ กขร. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้แก่ (๑) สอดส่องดูแล และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าของรัฐ (๒) ให้คำปรึกษาแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ (๓) เสนอแนะในการตราพระราชกฤษฎีกา และการออกกฎกระทรวง หรือระเบียบของคณะรัฐมนตรี (๔) พิจารณาและให้ความเห็นเรื่องร้องเรียนตามมาตรา ๑๓ ของประชาชนที่มีต่อหน่วยงานของรัฐ (๕) พิจารณาวินิจฉัยเรื่องอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ (๖) เสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ (๗) ความร่วมมือกับต่างประเทศในด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และ (๘) ติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐ ๒. ข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาและการดำเนินงานในปี ๒๕๖๑ เช่น การส่งเสริมให้ทุกหน่วยงานของรัฐให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามประกาศของ กขร. การศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารของราชการที่สมควรจัดทำเป็นประกาศ กขร. ตามมาตรา ๙ (๘) เพิ่มเติม การเพิ่มช่องทางการร้องเรียน/อุทธรณ์ให้สามารถดำเนินการผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ การปรับปรุงแผนการดำเนินการเสริมสร้างและทดสอบความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการให้มีผลสัมฤทธิ์มากขึ้น และการศึกษา รวบรวม กฎกระทรวง ประกาศ ระเบียบและมติคณะรัฐมนตรี เพื่อปรับปรุงให้ทันสมัย ไม่ซ้ำซ้อน และเหมาะสมมากขึ้น เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1134 | รายงานผลการประเมินองค์การมหาชนและผู้อำนวยการองค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 (ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 5/2559 เรื่อง มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ) | นร12 | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ๑.๑ รับทราบรายงานผลการประเมินองค์การมหาชนและผู้อำนวยการองค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และผลการคัดเลือกโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์เป็นองค์การมหาชนดีเด่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ ผลการประเมินองค์การมหาชนและผู้อำนวยการองค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ มีองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ที่เข้ารับการประเมิน ๓๗ แห่ง มี ๒๙ แห่ง ที่จัดอยู่ในระดับ “คุณภาพ” อยู่ในระดับ “มาตรฐาน” จำนวน ๕ แห่ง และอยู่ในระดับ “ต้องปรับปรุง” จำนวน ๓ แห่ง ส่วนองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะที่เข้ารับการประเมินมี ๑๕ แห่ง อยู่ในระดับ “คุณภาพ” จำนวน ๘ แห่ง อยู่ในระดับ “มาตรฐาน” จำนวน ๕ แห่ง และอยู่ในระดับ “ต้องปรับปรุง” จำนวน ๒ แห่ง ๑.๑.๒ ผลการคัดเลือกองค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธาน เห็นชอบเกณฑ์การคัดเลือกองค์การมหาชนดีเด่นและคัดเลือกโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์เป็นองค์การมหาชนดีเด่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และเห็นควรเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนผันแปรแก่ผู้อำนวยการองค์การมหาชนเป็นแนวทางที่เป็นคำแนะนำในการควบคุมดูแลกิจการของคณะกรรมการองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมถึงให้เป็นคำแนะนำสำหรับคณะกรรมการขององค์การมหาชนที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ๑.๒ เห็นชอบให้เพิ่มเติมเรื่องการจ่ายค่าตอบแทนผันแปรของผู้อำนวยการองค์การมหาชน เป็นแนวทางที่เป็นคำแนะนำในการควบคุมดูแลกิจการของคณะกรรมการองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑ [ผลการดำเนินการตามมาตรา ๕/๘ แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ เรื่อง แนวทางการควบคุมดูแลกิจการของคณะกรรมการองค์การมหาชน] และให้เป็นคำแนะนำสำหรับคณะกรรมการขององค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะด้วย โดยให้ได้รับเต็มตามจำนวนเมื่อมีผลการประเมินองค์การมหาชนและผู้อำนวยการองค์การมหาชนอยู่ในระดับ “คุณภาพ” ขึ้นไป และให้เริ่มใช้ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงแรงงาน สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การพิจารณาเพิ่มค่าตอบแทนผันแปรของผู้อำนวยการองค์การมหาชนไม่ควรเกินกรอบวงเงินรวมค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรขององค์การมหาชน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. โดยคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน กำกับดูแลให้องค์การมหาชนที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเฉพาะนำแนวทางการประเมินผลการปฏิบัติงานขององค์การมหาชนที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง กรอบประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ) ไปปฏิบัติด้วย เพื่อให้เกิดการศึกษาและวิเคราะห์แนวทางการบริหารองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะที่เหมาะสมต่อไป รวมทั้งกำกับดูแลให้มีการประเมินองค์การมหาชนและผู้อำนวยการองค์การมหาชนให้ครบถ้วนทุกแห่งอย่างเคร่งครัดโดยพิจารณาถึงความเหมาะสมของเกณฑ์การประเมินอย่างต่อเนื่องด้วย ๔. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ผลการประเมินองค์การมหาชนและผู้อำนวยการองค์การมหาชนประจำปีเพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับประชาชนและเพื่อให้เป็นกลไกหนึ่งในการติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานขององค์การมหาชนต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1135 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษาข้อเสนอเชิงนโยบาย เรื่อง "ระบบการผลิต และพัฒนาครู" ของคณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาศึกษาข้อเสนอเชิงนโยบาย เรื่อง “ระบบการผลิตและพัฒนาครู” ของคณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซี่งกระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการตามข้อเสนอเชิงนโยบายของคณะกรรมาธิการฯ แล้ว โดยในส่วนของการผลิตครูได้ดำเนินการ เช่น การจัดทำโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น การจัดทำหลักสูตรการผลิตครูที่มีคุณภาพมาตรฐาน ฯลฯ สำหรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูได้ดำเนินการ เช่น เตรียมการทดสอบเพื่อขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตำแหน่งครูผู้ช่วยให้สอดคล้องกับคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๖/๒๕๖๐ และในส่วนของการพัฒนาครูได้ดำเนินการจัดตั้งสถาบันคุรุพัฒนา (Teacher Professional Development Institute : TPDI) โดยในระยะแรกเป็นการรับรองหลักสูตรพัฒนาผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา การปรับปรุงและพัฒนาเกี่ยวกับการประเมินวิทยฐานะของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เป็นต้น ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1136 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดท้องที่งดอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ พ.ศ. .... | มท | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดท้องที่งดอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการกำหนดเขตพื้นที่งดอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ โดยตัดจังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดหนองบัวลำภู และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๑๖ พฤษภคม ๒๕๖๐ และ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐) กำหนดให้เป็นเขตพื้นที่อนุญาตให้ตั้งสถานบริการได้ รวมทั้งกำหนดจังหวัดที่เป็นพื้นที่งดอนุญาตให้ตั้งสถานบริการที่เหลืออยู่ จำนวน ๒๒ จังหวัด ให้รวมอยู่ในร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้เพียงฉบับเดียว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นควบคุมการขออนุญาตตั้งสถานบริการให้เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้อย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1137 | รายงานผลการบริหารจัดการการทำงานของแรงงานต่างด้าวในประเทศไทยตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2561 และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2561 | รง | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการบริหารจัดการการทำงานของแรงงานต่างด้าวในประเทศไทย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๑ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๑ โดยผลการจัดทำ/ปรับปรุงทะเบียนประวัติ และอนุญาตทำงานแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ในระยะแรก (๕ กุมภาพันธ์-๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑) และระยะที่ ๒ (๒๓ เมษายน-๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑) สามารถดำเนินการตรวจลงตรา (Visa) ประทับตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร อนุญาตทำงาน และจัดทำ/ปรับปรุงทะเบียนประวัติให้กับแรงงานต่างด้าวได้ทั้งสิ้น จำนวน ๑,๑๘๗,๘๐๓ คน (กัมพูชา ๓๕๐,๘๔๐ คน ลาว ๕๙,๗๔๖ คน เมียนมา ๗๗๗,๒๑๗ คน) คิดเป็นร้อยละ ๙๐ จากเป้าหมาย ๑,๓๒๐,๐๓๕ คน โดยจำนวนแรงงานต่างด้าวคงเหลือที่ไม่ได้มาดำเนินการส่วนหนึ่งเป็นแรงงานต่างด้าวที่กลับประเทศแล้วไม่ต้องการกลับเข้ามาทำงานอีก ส่วนหนึ่งเป็นแรงงานต่างด้าวที่กลับเข้ามาทำงานอย่างถูกกฎหมายภายใต้บันทึกความตกลงหรือบันทึกความเข้าใจที่รัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศ (MoU) และอีกส่วนหนึ่งเป็นแรงงานต่างด้าวที่ทำงานกับนายจ้างซึ่งไม่ประสงค์จะพาไปดำเนินการจัดทำ/ปรับปรุงทะเบียนประวัติ ตรวจลงตรา (Visa) และขออนุญาตทำงาน สำหรับปัญหาอุปสรรค/การแก้ไขปัญหา เช่น ข้อจำกัดในการตรวจสุขภาพแรงงานของโรงพยาบาล แก้ปัญหาโดยกำหนดให้โรงพยาบาลเอกชนตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวแทน ความยุ่งยากด้านเอกสาร เช่น กรอกข้อมูลไม่สมบูรณ์ เอกสารหลักฐานไม่ครบถ้วน หรือไม่ถูกต้อง แก้ไขโดยการปรับปรุงขั้นตอนการดำเนินการให้กระชับ สั้น และสะดวก เป็นต้น ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1138 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ การดำเนินโครงการปรับปรุงพื้นฟูแหล่งน้ำ ประจำปีงบประมาณ 2561 (ความร่วมมือกองทัพบก - มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์) | กห | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๔๖๘,๙๑๒,๘๐๐ บาท ให้กองทัพบก เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ (ความร่วมมือกองทัพบก-มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์) จำนวน ๔๗ โครงการ ในพื้นที่ ๙ จังหวัด (ได้แก่ จังหวัดแพร่ พะเยา พิจิตร สุโขทัย เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ บุรีรัมย์ ปราจีนบุรี และพัทลุง) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ การเก็บกักน้ำ รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำชุมชน ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงกลาโหม โดยกองทัพบกรับความเห็นของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเกี่ยวกับกรณีที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้เสนอคำของบประมาณจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเพื่อดำเนินโครงการขุดลอกสระเก็บน้ำสาธารณะบึงหญ้า ตำบลหนองจิก อำเภอคีรีมาศ จังหวัดสุโขทัย ซึ่งเป็นโครงการที่ดำเนินการในพื้นที่เดียวกันกับโครงการที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นขอรับการสนับสนุนจากกองทัพบกด้วย จึงเห็นควรให้กองทัพบกประสานกับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเพื่อบูรณาการแนวทางในการดำเนินการไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนการเสนอของบประมาณ และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการขุดลอกแหล่งน้ำ คูคลองต่าง ๆ ในปีต่อ ๆ ไป กองทัพบกควรประสานมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ดำเนินโครงการขุดลอกแหล่งน้ำ คู คลองต่าง ๆ ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ ให้แล้วเสร็จก่อนเข้าสู่ฤดูฝน เพื่อให้การดำเนินโครงการเกิดประโยชน์สูงสุดตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงกลาโหมส่งแผนการดำเนินโครงการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ (ความร่วมมือกองทัพบก-มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์) เสนอต่อคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเพื่อนำไปประกอบเป็นแผนดำเนินการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศในภาพรวมต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1139 | ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ พ.ศ. 2560-2564 | ทส | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการของยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ฯ มีการกำหนดเป้าหมายในการพัฒนา คือ “การบริหารจัดการทรัพยากรแร่แบบองค์รวมเพื่อสนับสนุนวัตถุดิบให้เป็นฐานการผลิตเพื่อการพัฒนาประเทศ ยกระดับคุณภาพชีวิต เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน” โดยวางแนวนโยบายการบริหารจัดการแร่ในระยะ ๒๐ ปี ไว้ดังนี้ (๑) ประเทศมีความมั่นคงของฐานทรัพยากรแร่และวัตถุดิบเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรม และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน (๒) การนำแร่มาใช้ประโยชน์ต้องมีดุลยภาพทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชน (๓) การพัฒนากลไกในการอนุมัติอนุญาตให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ลดความซ้ำซ้อน การปรับปรุงระบบการจัดสรรผลประโยชน์ให้มีความเป็นธรรม และการเยียวยาปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตามหลักความรับผิดชอบ และ (๔) การเสริมสร้างและส่งเสริมการมีส่วนร่วมระหว่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกภาคส่วนเพื่อสร้างความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาอย่างเบ็ดเสร็จ ๑.๒ แผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ฯ มีการกำหนดประเด็นยุทธศาสตร์เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาให้มีความเชื่อมโยง สอดคล้อง สัมพันธ์ และส่งเสริมกับการปฏิรูปและขับเคลื่อนไปพร้อมกัน ประกอบด้วย ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การจำแนกเขตแหล่งแร่ เพื่อกำหนดพื้นที่แหล่งแร่อุดมสมบูรณ์และพื้นที่แหล่งแร่ เศรษฐกิจ เพื่อให้มีการรักษา ใช้ทรัพยากรแร่อย่างรอบคอบ ใช้ประโยชน์เท่าที่จำเป็นและคุ้มค่าสูงสุด ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การกำหนดนโยบายบริหารจัดการแร่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้เกิดความมั่นคงของฐานทรัพยากรแร่ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้มีความมั่นคั่งภายใต้ดุลยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชน ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การพัฒนากลไกระบบอนุญาตประทานบัตร ระบบหลักเกณฑ์และวิธีการจัดเก็บค่าภาคหลวงแร่ และระบบกำกับ ดูแล ติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผลการดำเนินงาน และยุทธศาสตร์ที่ ๔ การเสริมสร้างและส่งเสริมการมีส่วนร่วมระหว่างหน่วยงานของรัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนเกี่ยวกับการบริหารจัดการแร่ของประเทศ โดยทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมทุกขั้นตอน เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการแร่อย่างสมดุลและยั่งยืน ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงสาธารณสุข เช่น การกำหนดนโยบายบริหารจัดการแร่ ควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจการค้าและบริการในชุมชนอีกทางหนึ่งด้วย และก่อนยื่นคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนในกิจการสำรวจแร่หรือการทำเหมืองแร่ การพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการออกใบอนุญาตต่าง ๆ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการไปในทิศทางเดียวกันกับยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ฯ และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ฯ เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรแร่ของประเทศเป็นไปอย่างสอดคล้องและสนับสนุนให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรธรณี ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติเร่งรัดการดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติชุดใหม่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้นำความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับประเด็นการกำหนดพื้นที่เพื่อเป็นเขตอุตสาหกรรมสำหรับการทำเหมืองแร่และการจัดทำฐานข้อมูลทรัพยากรแร่ ควรนำประเด็นดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติเพื่อพิจารณาว่ามีความจำเป็นที่จะต้องปรับรายละเอียดของยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ฯ และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ฯ หรือไม่ก่อนที่จะนำไปสู่กระบวนการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้องต่อไป นอกจากนี้ แผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ฯ ที่เสนอในครั้งนี้ ยังไม่ได้มีการกำหนดอย่างชัดเจนว่า พื้นที่ใดสามารถใช้ดำเนินการทำเหมืองแร่ได้ พื้นที่ใดควรเป็นพื้นที่เพื่อการอนุรักษ์ หรือพื้นที่ใดที่เป็นพื้นที่เพื่อการสำรวจ ศึกษา วิจัยสำหรับการทำเหมืองแร่ในอนาคตได้ จึงควรนำประเด็นดังกล่าวเสนอคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ รวมทั้งความเห็นและข้อสังเกตของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติชุดใหม่เพื่อประกอบการพิจารณาความเหมาะสมในการปรับปรุงยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ฯ และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ฯ ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๖๐ และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐) ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1140 | ผลการเยือนญี่ปุ่นของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) | กต | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนญี่ปุ่นของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เมื่อวันที่ ๑๗-๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เพื่อเป็นประธานในการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมระดับสูงไทย-ญี่ปุ่น (High Level Joint Commission : HLJC) ครั้งที่ ๔ ร่วมกับเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับความร่วมมือยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ เช่น (๑) ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิกที่ครอบคลุมและก้าวหน้า (CPTPP) (๒) ความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยและญี่ปุ่นสำหรับความเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจ (JTEPA) (๓) ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) (๔) ความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมเพื่อ Thailand 4.0 และระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และ (๕) ความร่วมมือระบบราง เป็นต้น นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ได้หารือกับประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) เกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุนของญี่ปุ่นในไทย ซี่งประธาน JETRO มีข้อแนะนำที่ฝ่ายไทยควรพิจารณาปรับปรุงเพิ่มเติม เช่น การปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับ EEC ให้สามารถตอบสนองต่อการลงทุนในอุตสาหกรรมชั้นสูงใหม่ ๆ ของเอกชนญี่ปุ่นได้มากขึ้น เป็นต้น รวมทั้งได้เยือนจังหวัดมิเอะและจังหวัดไอจิเพื่อเข้าพบหารือผู้ว่าราชการจังหวัดและภาคเอกชน โดยได้หารือเกี่ยวกับการเชิญชวนให้บริษัทขนาดใหญ่รวมทั้ง SME และ Start Up ในสาขาที่มีศักยภาพและสอดคล้องกับอุตสาหกรรมเป้าหมาย รวมถึงนโยบาย Thailand 4.0 ของไทย เช่น ยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนอากาศยานและอวกาศเข้ามาลงทุนใน EEC เพิ่มมากขึ้น และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการเยือนดังกล่าวเพื่อให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
