ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 54 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 1061 - 1080 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1061 | ร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กลุ่มที่ 2 บทบัญญัติเกี่ยวกับการเสริมสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงของบริษัท) | กค | 26/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงและแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวกับการกำกับดูแลบริษัทประกันภัย เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงของบริษัทตามหลักการของมาตรฐานการกำกับดูแลสากล ปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการกำกับดูแลบริษัทประกันภัยที่มีปัญหาในการดำเนินการให้เหมาะสมสอดคล้องกับมาตรฐานสากล และปรับปรุงกระบวนการในการแก้ไขปัญหาฐานะการเงินของบริษัทประกันภัยให้เป็นรูปธรรม ลดการใช้ดุลพินิจ รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติให้รองรับการเข้ารับการประเมินตามโครงการประเมินภาคการเงิน (Financial Sector Assessment Program : FSAP) ในส่วนที่เกี่ยวกับการกำกับดูแลบริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ที่เห็นควรมีการให้ความคุ้มครองกรรมการซึ่งนายทะเบียนแต่งตั้งให้ทำหน้าที่แทนกรรมการของบริษัทในช่วงระยะเวลาที่บริษัทประกันภัยประสบปัญหา เพื่อให้กรรมการดังกล่าวสามารถทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่และไม่ถูกแทรกแซงจากผู้ถือหุ้นของบริษัท และควรมีการยกเว้นหน้าที่ให้บริษัทประกันภัยที่เป็นบริษัทจดทะเบียนสามารถดำเนินการเรียกประชุมผู้ถือหุ้นได้โดยไม่ต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยควรมีอำนาจในการเปิดเผยหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลของบริษัทประกันภัยที่ประสบปัญหาให้แก่หน่วยงานกำกับดูแลภาคการเงินอื่น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติ รวม ๒ ฉบับดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยวางแนวทางในการปฏิบัติให้ชัดเจน และทำความเข้าใจร่วมกับผู้ประกอบธุรกิจประกันภัย ประชาชน และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยควรให้ความสำคัญกับการผลิตและพัฒนานักคณิตศาสตร์ประกันภัยในประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1062 | เอกสารที่จะมีการรับรองในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ครั้งที่ 18 | ดศ | 26/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบเอกสารที่จะมีการรับรองในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (ASEAN Telecommunications and Information Technology Ministers Meeting : TELMIN) ครั้งที่ ๑๘ ณ เมืองอูบุด สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารดังกล่าว ได้แก่ (๑) ร่างปฏิญญาอูบุด (Ubud Declaration) ว่าด้วยการมุ่งสู่การสร้างระบบนิเวศด้านดิจิทัลในอนาคตเพื่อความมั่นคงของอาเซียน ซึ่งจะครอบคลุมการปรับปรุงกฎระเบียบภายในประเทศสมาชิกอาเซียนให้มีความสอดคล้องและสนับสนุนการรวมตัวด้านดิจิทัลในภูมิภาค เพื่อเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล บริการดิจิทัล เสริมสร้างความร่วมมือและการพัฒนาระหว่างกันผ่านกรอบอาเซียน รวมถึงการส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศในอาเซียนให้เพิ่มมากขึ้น และ (๒) ร่างกรอบการกำกับดูแลข้อมูลดิจิทัล (Framework on Digital Data Governance) มีวัตถุประสงค์เป็นการกำหนดแนวทาง หลักการ และข้อริเริ่มเพื่อให้ประเทศสมาชิกอาเซียนสามารถนำไปกำหนดนโยบายและการกำกับดูแลข้อมูลดิจิทัล ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้ทุกหน่วยงานทำความเข้าใจและปฏิบัติให้สอดคล้องกับหลักการที่ระบุไว้ในเอกสารดังกล่าวด้วย เพื่อให้การพัฒนาระบบดิจิทัลของประเทศสอดคล้องกับหลักสากล ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร.
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1063 | ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....รวม 2 ฉบับ | มท | 26/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นเพื่อให้ประชาชนในท้องถิ่นสามารถเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นได้สะดวกและมีความเหมาะสมยิ่งขึ้น และร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมการใช้สิทธิเข้าชื่อเพื่อให้มีการลงคะแนนเสียงถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง และสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เช่น การกำหนดบทนิยามของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง การกำหนดผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเกี่ยวกับการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นและผู้มีสิทธิถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น การกำหนดอัตราโทษทางอาญาสำหรับความผิดฐานปลอมลายมือชื่อ การกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาให้มีการใช้สิทธิโต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของผู้ที่ถูกเข้าชื่อเพื่อลงคะแนนเสียงถอดถอน นั้น ควรกำหนดให้ผู้ที่ถูกเข้าชื่อเพื่อลงคะแนนเสียงถอดถอนในการทำคำชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อแก้ข้อกล่าวหาได้อย่างเต็มที่ และควรพิจารณาถึงความสอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาประกอบด้วย เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. .... ควรมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น และกำหนดหลักประกันว่าผู้พิการทางสายตาจะสามารถรับทราบเนื้อหาในข้อบัญญัติท้องถิ่นที่มีการเข้าชื่อเสนอแต่ละครั้งด้วย รวมทั้งควรกำหนดแบบฟอร์มเอกสารที่กำหนดรายละเอียดให้ประชาชนกรอกข้อมูลได้โดยง่ายและสะดวก และกำหนดช่องทางในการปิดประกาศรายชื่อผู้เข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นเพิ่มเติม นอกจากนี้ การพิจารณาร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นของสภาท้องถิ่น ควรมีการกำหนดให้ผู้แทนผู้เข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นมีสิทธิเข้าร่วมในการประชุมคณะกรรมการสภาท้องถิ่นในกรณีพิจารณาหลักการของข้อบัญญัติท้องถิ่น และควรมีหลักประกันความต่อเนื่องในการพิจารณาข้อบัญญัติท้องถิ่นที่มาจากการเข้าชื่อเสนอของประชาชน ส่วนร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ควรให้ผู้ถูกเข้าชื่อเพื่อลงคะแนนเสียงถอดถอนในการทำคำชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อแก้ข้อกล่าวหาได้อย่างเต็มที่ และการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นออกจากตำแหน่ง ควรคำนึงถึงจำนวนคะแนนเสียงที่ใช้ในการถอดถอนที่ต้องมาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนในท้องที่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1064 | ร่างระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการมอบอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งในสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการให้แก่บุคคลอื่น พ.ศ. .... | ศธ | 20/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการมอบอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งในสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการให้แก่บุคคลอื่น พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการมอบอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งในสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการให้แก่บุคคลอื่น พ.ศ. ๒๕๔๘ เพื่อให้การบริหารราชการมีความคล่องตัว เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และสอดคล้องกับโครงสร้างของการบริหารราชการในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการมอบอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งศึกษาธิการภาคและศึกษาธิการจังหวัดไว้ในร่างระเบียบฉบับนี้ ซึ่งตำแหน่งดังกล่าวมิใช่ตำแหน่งตามมาตรา ๔๕ (๑) ถึง (๖) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ ที่เป็นบทอาศัยอำนาจในการออกระเบียบฉบับนี้ ด้วยเหตุนี้ จึงอาจมีประเด็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับบทอาศัยอำนาจในการออกระเบียบ ซึ่งเป็นประเด็นที่ควรจะได้รับการพิจารณาเพื่อให้เกิดความชัดเจน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1065 | การปรับปรุงคำอธิบายประกอบขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าปัตตานี | ทส | 20/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับปรุงคำอธิบายประกอบขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าปัตตานี โดยสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดปัตตานีในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะอนุกรรมการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าปัตตานีมีหนังสือถึงสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแจ้งข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าปัตตานีเกี่ยวกับการปรับปรุงคำอธิบายขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าปัตตานี เพื่อให้มีความครบถ้วน โดยยังคงขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าปัตตานีบริเวณเดิม ซึ่งคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า [รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เป็นประธานกรรมการ] ได้มีมติเห็นชอบรายละเอียดข้อมูลคำอธิบายขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าปัตตานีด้วยแล้ว ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1066 | โครงการปรับปรุงขยายเพื่อรองรับพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะที่ 2 (เร่งด่วน) การประปาส่วนภูมิภาคสาขานครพนม | มท | 20/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ดำเนินโครงการปรับปรุงขยายเพื่อรองรับพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะที่ ๒ (เร่งด่วน) การประปาส่วนภูมิภาคสาขานครพนม (ฉบับปรับปรุง) จากเดิมก่อสร้างในที่ดินบริเวณโคกภูกระแต เป็นก่อสร้างในที่ดินของ กปภ. สาขานครพนม วงเงินเต็มโครงการ ๗๖.๙๘๙ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า โครงการดังกล่าวไม่เข้าข่ายโครงการที่ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และไม่ขัดต่อมาตรการที่ใช้ดินในเขตลุ่มน้ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ แต่ต้องคำนึงถึงการกัดเซาะพังทลายของพื้นที่ริมตลิ่งหากมีการนำน้ำจากแม่น้ำโขงมาใช้ประโยชน์ในการดำเนินการผลิตน้ำประปา เพราะในระยะยาวการปล่อยให้พื้นที่ริมตลิ่งถูกกัดเซาะจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทิศทางการไหลของกระแสน้ำ ส่งผลให้เกิดการทรุดตัวของดินและการสูญเสียแผ่นดินในบริเวณริมตลิ่งเพิ่มมากขึ้น และเห็นควรให้ กปภ. ดำเนินการตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ เช่น ควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการผลิต การบริหารจัดการ และลดอัตราน้ำสูญเสียให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนด้านการจราจรในช่วงระหว่างก่อสร้างโครงการ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับให้ กปภ. ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) สำหรับการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของ กปภ. ในคราวต่อ ๆ ไป อย่างเคร่งครัดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1067 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [การปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้รับจากการลงทุนตามโครงการจัดการลงทุนกลุ่มอาเซียน (ASEAN Collective Investment Scheme: ASEAN CIS)] | กค | 20/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [การปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้รับจากการลงทุนตามโครงการจัดการลงทุนกลุ่มอาเซียน (ASEAN Collective Investment Scheme : ASEAN CIS)] มีสาระสำคัญเป็นการลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ให้แก่ผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยและได้รับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรจากโครงการจัดการลงทุนกลุ่มอาเซียน โดยให้ผู้จ่ายเงินได้ในประเทศไทยหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ ๑๐.๐ ของเงินได้ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการลงทุนผ่านโครงการจัดการลงทุนกลุ่มอาเซียนและเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันในการจัดเก็บภาษี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้ในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1068 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร พ.ศ. .... | กค | 20/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงแก้ไขพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร พ.ศ. ๒๕๒๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยขยายความในคำนิยามของ “สถานศึกษาของเอกชน” และ “เงินค่าเล่าเรียน” รวมถึงสิทธิการได้รับเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาบุตรของข้าราชการที่ประจำในต่างประเทศให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และรองรับกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาที่มีการจัดตั้งขึ้นใหม่ เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิจัยและนวัตกรรม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดประเภทหลักสูตรต่าง ๆ ให้ครอบคลุมถึงการจัดการศึกษาในทุกระดับการศึกษา โดยเฉพาะหลักสูตรออนไลน์ที่กระทรวงศึกษาธิการหรือสำนักงาน ก.พ. รับรอง เพื่อให้ครอบคลุมกับบริบทการเปลี่ยนแปลงที่รอบด้านยิ่งขึ้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณากำหนดอัตราการจ่ายเงินสวัสดิการสำหรับหลักสูตรรูปแบบใหม่ดังกล่าว ให้สอดคล้องและเป็นไปแนวทางเดียวกันกับการกำหนดอัตราการจ่ายเงินสวัสดิการสำหรับการศึกษาประเภทต่าง ๆ ในปัจจุบัน รวมทั้งการดำเนินการดังกล่าวอาจก่อให้เกิดภาระงบประมาณได้ในอนาคต จึงควรที่จะต้องคำนึงถึงกฎหมายวินัยการคลังด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1069 | การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ช.ค.บ.) และการจ่ายบำเหน็จดำรงชีพ | กค | 20/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราและวิธีการรับบำเหน็จดำรงชีพ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... จำนวน ๒ ฉบับ รวมเป็น ๓ ฉบับ ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการปรับเพิ่มเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ช.ค.บ.) แก่ผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ ซึ่งได้รับเบี้ยหวัดบำนาญต่ำกว่า ๑๐,๐๐๐ บาท ให้ได้รับเบี้ยหวัดบำนาญรวมกับ ช.ค.บ. เป็นเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท และขยายเพดานวงเงินบำเหน็จดำรงชีพให้แก่ผู้รับบำนาญซึ่งมีอายุตั้งแต่ ๗๐ ปีบริบูรณ์ขึ้นไป เพิ่มขึ้น ๑๐๐,๐๐๐ บาท จากเดิมให้ขอรับได้ในอัตรา ๑๕ เท่าของบำนาญรายเดือนที่ได้รับ แต่ไม่เกิน ๔๐๐,๐๐๐ บาท เป็นให้ขอรับได้ในอัตรา ๑๕ เท่าของบำนาญรายเดือนที่ได้รับ แต่ไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้แก้ไขชื่อร่างกฎกระทรวง จำนวน ๒ ฉบับดังกล่าวจากที่เสนอให้ใช้ชื่อร่างในรูปแบบการแก้ไขเพิ่มเติมเสียใหม่ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้พิจารณาจัดทำแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อบรรจุไว้ในกรอบวงเงินรายจ่ายล่วงหน้าระยะปานกลาง ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป และควรมีการจัดทำประมาณการภาระทางการคลังที่จะเกิดขึ้นในระยะยาว เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี รวมทั้งพิจารณาหาแหล่งรายได้เพิ่มเติมและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้เพื่อลดความเสี่ยงต่อฐานะการคลัง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1070 | ร่างพระราชบัญญัติที่คณะรัฐมนตรีขอรับมาพิจารณาก่อนรับหลักการ [ร่างพระราชบัญญัติกีฬามวย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] | สว | 13/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาและข้อสังเกตเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติที่คณะรัฐมนตรีขอรับมาพิจารณาก่อนรับหลักการ [ร่างพระราชบัญญัติกีฬามวย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งพลเอก อดุลยเดช อินทะพงษ์ กับคณะ เป็นผู้เสนอ] ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ๒. ให้ส่งคืนร่างพระราชบัญญัติกีฬามวย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (พลเอก อดุลยเดช อินทะพงษ์ กับคณะ เป็นผู้เสนอ) ที่คณะรัฐมนตรีขอรับมาพิจารณาก่อนรับหลักการไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติภายในกำหนดเวลา พร้อมให้แจ้งข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปด้วยว่า ควรชะลอการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกีฬามวย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่เสนอโดยสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อรอร่างพระราชบัญญัติกีฬามวย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเพื่อพิจารณาไปในคราวเดียวกันต่อไป ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับข้อสังเกตของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ.ร. และการกีฬาแห่งประเทศไทย ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการยกร่างในบางประเด็น เช่น ความเหมาะสมของการกำหนดโทษผู้ที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนนักกีฬามวยและการออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ที่ประสงค์จะเป็นผู้จัดการนักกีฬามวย นายสนามมวย และผู้จัดรายการแข่งขันกีฬามวย ขอบเขตของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ เป็นต้น สำหรับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่าควรเปลี่ยนรูปแบบการยกร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้จากการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติกีฬามวย พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นการปรับปรุงพระราชบัญญัติกีฬามวย พ.ศ. ๒๕๔๒ ทั้งฉบับ รวมทั้งมีข้อสังเกตในประเด็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกีฬามวยและการกำหนดโทษสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติเกี่ยวกับการเข้าร่วมแข่งขันกีฬามวยของเด็กที่มีอายุต่ำกว่าสิบห้าปี แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1071 | ขอความเห็นชอบคณะรัฐมนตรีต่อเอกสารผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียนในการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 25 (The 25th ASEAN Labour Minister Meeting : ALMM) | รง | 13/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์ของรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน จำนวน ๒ ฉบับ ที่จะมีการรับรอง (โดยไม่มีการลงนาม) ในการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน ครั้งที่ ๒๕ (The 25th ASEAN Labour Minister Meeting : ALMM) ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ ประเทศมาเลเซีย และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายรับรองร่างเอกสารผลลัพธ์ดังกล่าว ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างแผนปฏิบัติการคณะกรรมการอาเซียนว่าด้วยการปฏิบัติให้เป็นไปตามปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิของแรงงานต่างด้าว (๒๕๖๑-๒๕๖๘) เพื่อขับเคลื่อนฉันทามติอาเซียน มีวัตถุประสงค์เพื่อขับเคลื่อนฉันทามติอาเซียนว่าด้วยการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิของแรงงานต่างด้าว โดยมุ่งเน้นการขับเคลื่อน ๕ ด้าน ได้แก่ (๑) การศึกษา/ข้อมูลข่าวสาร (๒) การคุ้มครอง (๓) การบังคับใช้กฎหมาย (๔) การขอความช่วยเหลือ และ (๕) การคืนสู่สังคม โดยร่างแผนปฏิบัติการฯ ได้กำหนดให้ประเทศสมาชิกอาเซียนระบุโครงการต่าง ๆ เพื่อผลักดันให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวอย่างน้อย ๑ โครงการ สำหรับประเทศไทยได้กำหนดโครงการต่าง ๆ เช่น การศึกษาเรื่องความสามารถในการรองรับการเคลื่อนย้ายสิทธิประกันสังคมสำหรับแรงงานต่างด้าวระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน เป็นต้น ๑.๒ ร่างแนวคิดริเริ่มเครือข่ายความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของอาเซียน (ASEAN Occupational Safety and Health Network : ASEAN-OSHNET) เพื่อขับเคลื่อนแถลงการณ์ของรัฐมนตรีแรงงานอาเซียนในการปรับปรุงความปลอดภัยและอาชีวอนามัย เป็นเอกสารแนวคิดเพื่อขับเคลื่อนแถลงการณ์รัฐมนตรีแรงงานอาเซียนในการปรับปรุงความปลอดภัยและอาชีวอนามัยเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์ดังกล่าว ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1072 | การปรับปรุงคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ และสิทธิประโยชน์สำหรับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ (Smart Visa) | นร13 | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบ ๑.๑ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ชี้แจงประเด็นเกี่ยวกับการเพิ่มเติมอุตสาหกรรมเป้าหมายสาขาการบริการด้านการระงับข้อพิพาททางเลือกว่า ปัจจุบันไทยมีสถาบันอนุญาโตตุลาการอยู่หลายแห่ง เช่น สถาบันอนุญาโตตุลาการ กระทรวงยุติธรรม สำนักอนุญาโตตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานการยุติการดำเนินคดีแพ่งและอนุญาโตตุลาการ สำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งจากการหารือกับประเทศสมาชิกอาเซียนหลายประเทศมีความต้องการตรงกันที่จะขอให้ไทยเป็นศูนย์กลาง (Hub) ของอาเซียนในด้านการอนุญาโตตุลาการ แต่เนื่องจากบุคลากรด้านการอนุญาโตตุลาการของไทยยังขาดแคลนและขาดความชำนาญและความเชี่ยวชาญในการดำเนินเรื่องเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาทอย่างรอบด้าน ดังนั้น หากมีการเพิ่มเติมอุตสาหกรรมเป้าหมายในสาขาดังกล่าว จะเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนและดึงดูดชาวต่างชาติที่จะเข้ามาดำเนินงานเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาท รวมทั้งจะทำให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญต่างชาติแก่บุคลากรไทย ซึ่งจะมีส่วนสนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วย ๑.๒ รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ชี้แจงว่า เนื่องจากเรื่องต่าง ๆ ที่เข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาไทยจะต้องส่งเรื่องดังกล่าวไปดำเนินการตามกระบวนการอนุญาโตตุลาการที่ประเทศสิงคโปร์เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ซึ่งทำให้มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการสูง ดังนั้น จึงเห็นด้วยกับข้อเสนอของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนในการเพิ่มเติมอุตสาหกรรมเป้าหมายสาขาดังกล่าวเพื่อให้ไทยสามารถดำเนินการตามกระบวนการอนุญาโตตุลาการได้เอง รวมทั้งเป็นการฝึกทักษะและเพิ่มศักยภาพของบุคลากรไทยด้วย ๒. เห็นชอบการปรับปรุงคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ และสิทธิประโยชน์ ภายใต้การตรวจลงตราประเทศคนอยู่ชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ (Smart Visa) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอ ทั้งนี้ ให้คงหลักเกณฑ์ที่กำหนดให้คนต่างชาติ (ผู้ได้รับสิทธิหลัก) ต้องไม่ทำงานต้องห้าม ตามที่กฎหมายกำหนดไว้เช่นเดิม และให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ชัดเจน และทั่วถึงด้วย ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานศาลยุติธรรม และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น ควรทำความเข้าใจแนวทางปฏิบัติและนิยามที่เกี่ยวข้องร่วมกันเพื่อให้สามารถนำไปปฏิบัติใช้ให้เกิดผลได้อย่างจริงจัง ควรมีการประชาสัมพันธ์ให้คนต่างชาติซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทักษะสูง นักลงทุน ผู้บริหารระดับสูง และผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้นรับทราบหลักเกณฑ์และแนวทางในการขอรับการรับรองในเรื่องที่เกี่ยวข้องในวงกว้าง ควรมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการรวบรวมและประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการ รวมทั้งวางระบบการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานเพื่อใช้ในการปรับปรุงโครงการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1073 | ร่างพระราชบัญญัติสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... | ดส | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทยขึ้น ซึ่งเป็นองค์กรที่เกิดจากการรวมตัวของภาคเอกชนผู้ประกอบกิจการดิจิทัล เพื่อเป็นกลไกในการผลักดันนโยบายภาครัฐ เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน และร่วมกำหนดทิศทางการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ซึ่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวสอดคล้องกับแผนพัมนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๗ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ และแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ยุทธศาสตร์ที่ ๒ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาโดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่เห็นควรให้ปรับปรุงวัตถุประสงค์ของสภาดิจิทัลฯ ให้ครอบคลุมถึงการคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้ใช้บริการเทคโนโลยีดิจิทัลให้ชัดเจน และการปรับปรุงอำนาจหน้าที่ของสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทยให้มีขอบเขตอำนาจหน้าที่ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นเพื่อป้องกันการสับสนในการดำเนินการตามภารกิจของแต่ละหน่วยงานในภายหลัง และข้อสังเกตเกี่ยวกับบทนิยามที่ยังไม่มีความชัดเจน การจัดตั้งสภาดิจิทัลฯ และความเป็นนิติบุคคลของสภาดิจิทัลฯ อำนาจหน้าที่ของสภาดิจิทัลฯ และคณะกรรมการสภาดิจิทัลฯ มีความซ้ำซ้อนกัน และยังขาดเนื้อหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของสำนักงานสภาดิจิทัลฯ และการกำหนดต้องสอดคล้องกับมาตรา ๗๗ วรรค ๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมติคณะรัฐมนตรี (๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑) เรื่อง หลักเกณฑ์การกำหนดโทษทางอาญาในกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรา ๗๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ๓. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. ที่มีความเห็นเพิ่มเติมว่า สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทยควรส่งเสริมการพัฒนาทักษะบุคลากรด้านดิจิทัลทั้งในภาครัฐและผู้ประกอบการธุรกิจ หรืออุตสาหกรรมดิจิทัลของประเทศไทยโดยให้มีมาตรฐานขององค์ความรู้และทักษะด้านดิจิทัลเพื่อเป็นแนวทางในการเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากรที่จะรองรับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ในระยะต่อไป ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับไปพิจารณาให้มีการแต่งตั้งประธานคณะกรรมการตามร่างพระราชบัญญัตินี้เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับด้านเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลเพื่อให้การประสานการดำเนินการระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเกี่ยวกับการขับเคลื่อนนโยบายด้านเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของประเทศเป็นไปอย่างมีเอกภาพ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1074 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 รวม 3 ฉบับ [การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ตามพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2560] | กค | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ รวม ๓ ฉบับ [การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ตามพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๐] มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการหักรายจ่ายของสำนักงานใหญ่และรายจ่ายเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมที่เรียกเก็บโดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน การถือเอาผลขาดทุนประจำปีคงเหลือของบริษัทผู้โอนเพื่อประโยชน์ของบริษัทผู้โอนในการหักลดหย่อนภาษี และการเฉลี่ยรายได้และรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ กรณีที่บริษัทมีแปลงสำรวจหลายแปลง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. รับทราบรายงานเหตุผลที่ไม่อาจดำเนินการออกกฎกระทรวง รวม ๓ ฉบับดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๐ มีผลบังคับใช้ได้ว่า กฎกระทรวงที่ต้องออกตามความในพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๐ นั้น มีจำนวนหลายฉบับ มีความซับซ้อน ประกอบกับต้องใช้เวลาในการพิจารณาหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงรอความชัดเจนการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียมฯ ในการกำหนดให้สามารถนำหลักประกันการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างมาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ เพื่อให้หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้ปิโตรเลียมตามกฎกระทรวงข้างต้นมีความเหมาะสม สอดคล้องกับสภาพการประกอบธุรกิจ และไม่เกิดผลเสียต่อรัฐและผลการประกอบการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรรายงานเหตุผลและความจำเป็นในการกำหนดหลักเกณฑ์ที่มีความแตกต่างกัน ตลอดจนข้อดี ข้อเสียเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี และสร้างความเข้าใจกับประชาชนทั่วไป รวมถึงควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วนและใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1075 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างราชอาณาจักรไทย - รัฐอิสราเอล | คค | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างพิธีสารระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอลว่าด้วยการแก้ไขความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอลว่าด้วยบริการเดินอากาศในจุดระหว่างและพ้นไปจากอาณาเขตของตน ลงนามย่อเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ และเห็นชอบบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทย-รัฐอิสราเอล ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงข้อตกลงเดิมให้มีความทันสมัยและสอดคล้องกับคำแนะนำขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในประเด็นการรักษาความปลอดภัยด้านการบิน การปรับปรุงจำนวนความจุความถี่ในการรับขนทางอากาศระหว่างกัน จากเดิมที่ไม่จำกัดจำนวนความจุความถี่ เป็นให้ทำการบินได้ไม่เกิน ๒๘ เที่ยว/สัปดาห์ การปรับปรุงสิทธิการรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ และการปรับปรุงข้อบทให้สามารถทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน (Code Share) ซึ่งจะเปิดโอกาสให้สายการบินทั้งสองฝ่ายสามารถขยายบริการและเครือข่ายการบินเพิ่มมากขึ้น ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามร่างพิธีสารฯ และให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ที่ได้รับมอบหมาย ๑.๓ มอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจฯ และร่างพิธีสารฯ ต่อไป โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างพิธีสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับประเด็นการดำเนินการตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1076 | การประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 | นร12 | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอกรอบการประเมิน เกณฑ์การประเมิน และรอบระยะเวลาในการประเมินส่วนราชการและจังหวัด ตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยได้ปรับปรุงใน ๓ ส่วนหลัก ได้แก่ ๑.๑ กรอบการประเมิน องค์ประกอบในการประเมินยังคงมี ๕ องค์ประกอบเช่นเดิม ประกอบด้วย (๑) ประสิทธิภาพในการดำเนินงานตามภารกิจพื้นฐาน (Functional base) (๒) ประสิทธิภาพในการดำเนินงานตามภารกิจยุทธศาสตร์หรือภารกิจที่ได้รับมอบหมายเป็นพิเศษ (Agenda base) (๓) การดำเนินงานตามหลักภารกิจพื้นที่/จังหวัด กลุ่มจังหวัด (Area Base) (๔) ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและพัฒนานวัตกรรม (Innovation base) และ (๕) ศักยภาพในการดำเนินการของส่วนราชการตามยุทธศาสตร์ชาติ (Potential base) โดยได้ปรับปรุงประเด็นการประเมินในองค์ประกอบที่ ๑ โดยเพิ่มเติมประเด็นการประเมินด้านการบูรณาการการดำเนินงานร่วมกันหลายหน่วยงาน เพื่อให้สะท้อนข้อเท็จจริงที่ว่า ในปัจจุบันส่วนราชการหลายแห่งมีการดำเนินงานตามภารกิจหลักโดยบูรณาการการดำเนินงานร่วมกัน ๑.๒ เกณฑ์การประเมิน ได้มีการปรับปรุงเกณฑ์การประเมิน เป็นการคำนวณคะแนนเฉลี่ยเป็นร้อยละของทุกองค์ประกอบ ๑.๓ รอบระยะเวลาในการประเมิน ได้ปรับปรุงรอบระยะเวลาในการประเมิน โดยกำหนดให้ส่วนราชการและจังหวัดต้องประเมินปีละ ๑ รอบ (ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม-๓๐ กันยายน) ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน สำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง เช่น ควรให้หน่วยงานกลางที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการประเมินส่วนราชการมีการกำหนดตัวชี้วัดในการประเมินส่วนราชการร่วมกัน ควรให้สำนักงาน ก.พ.ร. แจ้งผลการพิจารณาการประเมินผลการดำเนินงานของส่วนราชการเบื้องต้นต่อส่วนราชการ ก่อนนำเสนอผู้ประเมิน และในส่วนของกรอบการประเมินผลของจังหวัด ควรพิจารณาความสำเร็จของการผลักดันเป้าหมายสำคัญในแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด และแผนพัฒนาภาคประกอบด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1077 | ขอความเห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรองและลงนามระหว่างการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 24 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | คค | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑. เห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรองและลงนามระหว่างการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ ๒๔ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในวันที่ ๘-๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ กรุงเทพมหานคร โดยเป็นเอกสารที่จะมีการรับรอง จำนวน ๔ ฉบับ และเอกสารที่จะมีการลงนาม จำนวน ๒ ฉบับ รวม ๖ ฉบับ ได้แก่ (๑) แนวทางการกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยของเรือที่ไม่อยู่ภายใต้การบังคับของอนุสัญญา (๒) แผนป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมันของภูมิภาคอาเซียน (๓) มาตรฐานและวิธีการปฏิบัติการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยของสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (๔) แผนงานความร่วมมือด้านการขนส่งอาเซียน-จีน ปี ๒๕๖๑-๒๕๖๓ (๕) ร่างพิธีสาร ๔ ว่าด้วยสิทธิการบินเชื่อมจุดในประเทศสมาชิกอาเซียน และ (๖) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการปรับปรุงมาตรฐานความปลอดภัยและการตรวจควบคุมเรือที่ไม่อยู่ภายใต้การบังคับของอนุสัญญาระหว่างประเทศในประเทศสมาชิกอาเซียน ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารฯ ตามข้อ ๑.๑ (๑)-(๔) ๑.๓ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมลงนามในเอกสารฯ ตามข้อ ๑.๑ (๕) แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบเอกสารดังกล่าว ก่อนแสดงเจตนาการมีผลผูกพันของเอกสารต่อไป ๑.๔ ให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Power) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ๑.๕ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการมอบสัตยาบันสารของเอกสารตามข้อ ๑.๑ (๕) ให้แก่เลขาธิการอาเซียนเพื่อรับทราบการให้สัตยาบัน เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบเอกสารดังกล่าวแล้ว ๑.๖ ให้อธิบดีกรมเจ้าท่าหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามเอกสารตามข้อ ๑.๑ (๖) ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่าร่างเอกสารส่วนใหญ่เป็นเอกสารที่จะมีการรับรองโดยไม่มีการลงนาม ซึ่งเป็นเอกสารที่มิได้ใช้ถ้อยคำที่มุ่งหมายให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างกันตามกฎหมายระหว่างประเทศกับเป็นเอกสารการจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ ซึ่งเป็นเพียงเอกสารที่แสดงเจตนาเพื่อความร่วมมือระหว่างอาเซียน และไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย จึงไม่เข้าลักษระการเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย สำหรับร่างพิธีสาร ๔ ว่าด้วยสิทธิการบินเชื่อมจุดในประเทศสมาชิกอาเซียน เป็นเอกสารที่มีการใช้ถ้อยคำที่มุ่งหมายให้ให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ จึงเข้าลักษณะการเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ดังนั้นต้องได้รับความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ อย่างไรก็ตาม ในชั้นการให้สัตยาบันร่างพิธีสารฯ ซึ่งเป็นการแสดงเจตนาเพื่อให้มีผลผูกพัน คณะรัฐมนตรีจะต้องเสนอร่างพิธีสารฯ เพื่อขอความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติก่อนการให้สัตยาบันร่างพิธีสารฯ ไปดำเนินการต่อไป ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1078 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเพิ่มเติมเกี่ยวกับคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (จำนวน 6 คณะ) | กต | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี จำนวน 6 คณะ ได้แก่ คณะกรรมการความร่วมมือไทย-สหภาพยุโรป คณะกรรมการว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างประเทศไทยกับประเทศต่าง ๆ คณะกรรมการฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจไทย-เยอรมนี คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-รัสเซีย คณะกรรมการร่วมฝ่ายไทยว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการไทย-ตุรกี และคณะกรรมาธิการฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีระหว่างไทยกับยูเครน และอนุมัติองค์ประกอบของคณะกรรมการฝ่ายไทยในคณะกรรมการบริหารมูลนิธิการศึกษาไทย-อเมริกัน (ฟุลไบรท์) ประจำปี 2561 จำนวน 7 คน เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างกระทรวงการต่างประเทศของไทยกับกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (6 พฤศจิกายน 2561) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1079 | สรุปผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรเฉพาะกิจ | กษ | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ผลการดำเนินงานของคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรเฉพาะกิจ ห้วงระหว่างวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ถึงวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ซึ่งได้ปฏิบัติหน้าที่แก้ไขปัญหาหนี้สินและความเดือดร้อนเกษตรกรที่มีความจำเป็นเร่งด่วน รวมทั้งการเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาและการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๖/๒๕๖๐ ลงวันที่ ๑๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ เรียบร้อยแล้ว ๑.๒ การยุติภารกิจของคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรเฉพาะกิจ ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๖/๒๕๖๐ ลงวันที่ ๑๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ ข้อ ๘ และให้มีการดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร และคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องตามพระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งจะเป็นการดำเนินการตามภารกิจปกติต่อไป ทั้งนี้ คณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรเฉพาะกิจจะพิจารณาดำเนินการเจรจากับสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องต่อไปจนกว่าจะมีคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ตามพระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรฯ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า ในห้วงเวลาที่จะได้มาซึ่งคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร และคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องตามพระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรฯ คณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรเฉพาะกิจควรดำเนินการเท่าที่จำเป็นในส่วนที่เกี่ยวกับการเจรจากับสถาบันการเงิน เพื่อประโยชน์ต่อเกษตรกรและไม่ทำให้ราชการเสียหาย รวมถึงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรสร้างความรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับผลการแก้ไขปัญหาหนี้สินและความเดือดร้อนของเกษตรกรดังกล่าวให้กับเกษตรกรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรกด้วย ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1080 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 และร่างกฎกระทรวงยกเลิกกฎกระทรวงซึ่งออกตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภคบางฉบับที่ไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | นร03 | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒ และร่างกฎกระทรวงยกเลิกกฎกระทรวงซึ่งออกตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภคบางฉบับที่ไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมการกำหนดลักษณะข้อความโฆษณาที่ถือว่าเป็นข้อความที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคหรือเป็นข้อความที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสังคมเป็นส่วนรวมให้เหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ประกอบธุรกิจ และยกเลิกกฎกระทรวงว่าด้วยการโฆษณาเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มที่ผสมกาเฟอีนในโรงภาพยนตร์และทางป้ายโฆษณา พ.ศ. ๒๕๔๗ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้แก้ไขบทจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลและปรับรูปแบบการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงบางส่วน เป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงทั้งฉบับแทน ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
