ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 58 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 1141 - 1160 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1141 | มาตรการลดภาระหนี้เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้เกษตรกรรายย่อย | กค | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบโครงการขยายเวลาชำระหนี้ให้แก่เกษตรกรลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาและลดภาระหนี้สินของเกษตรกรลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และส่งเสริมเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ฟื้นฟูการประกอบอาชีพ โดยเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ที่เข้าร่วมโครงการฯ จะได้รับสิทธิ์ขยายระยะเวลาชำระหนี้ต้นเงินกู้เป็นระยะเวลา ๓ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ตามความสมัครใจ และจะได้รับการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อเพิ่มศักยภาพการประกอบอาชีพ สินเชื่อเพื่อปรับโครงสร้างการผลิต หรือสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉินและจัดหาปัจจัยการผลิตได้ รวมทั้ง ธ.ก.ส. จะส่งเสริมการออมที่เหมาะสมให้กับเกษรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ด้วย ๒. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. ดำเนินโครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่เกษตรกรรายย่อย สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน ๒,๗๒๔.๘๕ ล้านบาท โดย ธ.ก.ส. จะต้องคำนึงถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการฯ อย่างรอบคอบ ตลอดจนรักษาวินัยทางการเงินการคลังอย่างเคร่งครัดตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และขอทำความตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามผลการดำเนินการจริงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ให้กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลัง ธ.ก.ส. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น (๑) มอบหมายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการโครงการต่าง ๆ ที่รัฐบาลได้มุ่งเน้นการฟื้นฟูอาชีพเกษตรกร การปรับปรุงระบบการผลิตให้เข้าสู่ระบบการเกษตรแบบผสมผสานโดยเปลี่ยนจากการผลิตพืชเชิงเดี่ยวมาสู่การปลูกพืชหลากหลายชนิด รวมถึงกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ ตลอดจนมีการประเมินผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่จะได้รับจากมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้มีการดำเนินการในรูปแบบต่าง ๆ ที่ผ่านมาว่ามีประสิทธิผลมากน้อยเพียงใด และ (๒) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรพิจารณาแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยอื่นที่เป็นหนี้สถาบันเกษตรกร เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยที่มีภาระหนี้และไม่ได้เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. ตามมาตรการลดภาระหนี้เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้เกษตรกรรายย่อยให้ได้รับความช่วยเหลือที่เท่าเทียมและทั่วถึงเช่นกันด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1142 | ขอความเห็นชอบท่าทีของฝ่ายไทยในการประชุมคณะกรรมการจัดทำหลักเขตแดนร่วมระหว่างไทย-มาเลเซีย ครั้งที่ 25 | กต | 24/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบท่าทีของไทยในการเจรจากับฝ่ายมาเลเซียในการประชุมคณะกรรมการจัดทำหลักเขตแดนร่วมระหว่างไทย-มาเลเซีย (Joint Thailand-Malaysia Land Boundary Committee : LBC) ครั้งที่ ๒๕ โดยสาระสำคัญของร่างท่าทีของไทยฯ ครอบคลุมการพิจารณาเรื่องต่าง ๆ เช่น (๑) การพิจารณาบัญชีหลักเขตแดนที่ตั้งอยู่นอกสันปันน้ำ (๒) การพิจารณาร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการก่อสร้างและบำรุงรักษารั้วเดี่ยวบนเส้นเขตแดนที่บ้านด่านนอก/บูกิตกายูฮิตัม อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา และ (๓) การพิจารณาร่างความตกลงว่าด้วยการรับรองผลการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนแบบคงที่ตามแม่น้ำโก-ลก (พื้นที่เร่งด่วน ๘) เป็นต้น ๑.๒ เห็นชอบให้ LBC (ฝ่ายไทย) เจรจากับฝ่ายมาเลเซียบนพื้นฐานของท่าทีของไทยฯ และจัดทำบันทึกการประชุม LBC ครั้งที่ ๒๕ ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศจะรายงานผลการประชุมดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีทราบในโอกาสแรกต่อไป ๑.๓ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการก่อสร้างและบำรุงรักษารั้วเดี่ยวบนเส้นเขตแดนที่บ้านด่านนอก/บูกิตกายูฮิตัม [Memorandum of Understanding between the Government of Malaysia and the Kingdom of Thailand for the Construction and Maintenance of a Single Barrier on Certain Boundary related matters in the Area between BP 20A/12 and BP 23/104 in Area III (BP 16-BP 27)] ๑.๔ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้นายวศิน ธีรเวชญาณ [ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศ (ด้านกฎหมายเขตแดน)] ประธาน LBC (ฝ่ายไทย) หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากนายวศินฯ ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๕ เห็นชอบร่างคำสั่งจัดตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อก่อสร้างและบำรุงรักษารั้วเดี่ยวบนเส้นเขตแดนที่บ้านด่านนอก/บูกิตกายูฮิตัม อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา โดยให้นายวศินฯ ลงนามในร่างคำสั่งดังกล่าว ทั้งนี้ เป็นไปตามผลการประชุมส่วนราชการซึ่งจัดโดยสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ๑.๖ รับทราบการจัดการประชุม LBC ครั้งที่ ๒๕ ที่กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ ๓๐ กรกฎาคม-๓ สิงหาคม ๒๕๖๑ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ในส่วนของการจัดตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อก่อสร้างและบำรุงรักษารั้วเดี่ยวบนเส้นเขตแดนที่บ้านด่านนอก/บูกิตกายูฮิตัม อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการภายใต้อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการจัดทำหลักเขตแดนระหว่างไทย-มาเลเซีย (ฝ่ายไทย) ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ [เรื่อง คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงการต่างประเทศ)] และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมาธิการและคณะกรรมการซึ่งรับผิดชอบเรื่องเขตแดนทางบกระหว่างไทย-ลาว ไทย-เมียนมา และไทย-มาเลเซีย) ต่อไป ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับร่างบันทึกความเข้าใจฯ กำหนดไว้ชัดเจนว่ามีวัตถุประสงค์ในทางบริหารและไม่กระทบกับตำแหน่งที่ถูกต้องของเขตแดนระหว่างกัน จึงไม่เข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาประเภทอื่นตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ไปพิจารณาด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1143 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ข้อเสนอเชิงนโยบายในการบริหารจัดการกิจการลูกเสืออย่างมีประสิทธิภาพ ของคณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง ข้อเสนอเชิงนโยบายในการบริหารจัดการกิจการลูกเสืออย่างมีประสิทธิภาพ โดยกระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ เช่น การปรับโครงสร้างการบริหารงานกิจการลูกเสือส่วนกลาง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ สำหรับส่วนภูมิภาคได้สนับสนุนเงินเพื่อจ้างเจ้าหน้าที่ลูกเสือในจังหวัดที่มีค่ายลูกเสือตั้งอยู่เพื่อสนับสนุนการดำเนินการรองรับกิจการลูกเสือโดยเฉพาะ และการปรับปรุงระบบสารสนเทศให้มีความทันสมัย รวมทั้งจะดำเนินการแก้ไขกฎ ระเบียบ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บรายได้ให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน เป็นต้น ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1144 | การขอขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และจังหวัดชลบุรี พ.ศ. 2553 รวม 2 ฉบับ ออกไปอีก 2 ปี | ทส | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบางละมุง และอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๕๓ มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบางละมุง และอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๕๓ ออกไปอีก ๒ ปี นับแต่วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้ส่งร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบ้านแหลม อำเภอเมืองเพชรบุรี อำเภอท่ายาง และอำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี อำเภอหัวหิน และอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๓ คืนให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เนื่องจากไม่มีความจำเป็นต้องดำเนินการ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการโดยเร่งด่วนเพื่อป้องกันมิให้เกิดช่องว่างของการใช้บังคับกฎหมาย และควรให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำแผนงานและเร่งรัดดำเนินการปรับปรุงการกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมทั้งหมดที่รับผิดชอบให้แล้วเสร็จก่อนสิ้นสุดอายุการใช้บังคับ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1145 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ สรุปได้ว่า ปัจจุบันธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจในการกำกับดูแลความมั่นคงของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) โดยมีหน้าที่ครอบคลุมถึงการออกเกณฑ์กำกับดูแลการตรวจสอบความเหมาะสมของผู้บริหาร และการติดตามและตรวจสอบ รวมถึงการสั่งการให้มีการแก้ไขปัญหา ส่วนการกำกับดูแลด้านโยบายและผู้ถือหุ้น กระทรวงการคลังมอบหมายให้ธนาคารแห่งประเทศไทยกำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง ๘ แห่ง ซึ่งธนาคารหงประเทศไทยได้ออกหลักเกณฑ์กำกับดูแล โดยได้ปรับปรุงเพิ่มเติมจากหลักเกณฑ์การกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ เพื่อให้สอดคล้องตามลักษณะการดำเนินธุรกิจและลักษณะเฉพาะของ SFIs นอกจากนี้ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยมีกระบวนการให้สินเชื่อที่รัดกุมยิ่งขึ้น และสามารถดูแลบริหารความเสี่ยงได้ดีขึ้น และประเด็นโครงสร้างคณะกรรมการธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยที่เห็นควรกำหนดให้ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยมีกรรมการซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิควรเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม นั้น กระทรวงการคลังจะนำข้อสังเกตดังกล่าวไปประกอบการพิจารณาการแต่งตั้งต่อไป สำหรับการแก้ไขพระราชบัญญัติธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๕ ในครั้งนี้ ไม่มีการออกกฎหมายลำดับรอง อย่างไรก็ดี ในการป้องกันไม่ให้ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยประสบปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Financing : NPF) เพิ่มสูงขึ้น ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยได้มีการทบทวนและการปรับปรุงข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่งที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการด้านสินเชื่อและการกำกับลูกหนี้รายใหญ่ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1146 | รายงานผลการจัดระดับประเทศไทยในรายงานการค้ามนุษย์ของสหรัฐอเมริกา ประจำปี 2561 | พม | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการจัดระดับประเทศไทยในรายงานการค้ามนุษย์ของสหรัฐอเมริกา ประจำปี ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้เผยแพร่รายงานการค้ามนุษย์ (Trafficking in Persons Report : TIP Report) ประจำปี ๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๑ ระบุว่าประเทศไทยยังไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นต่ำในการขจัดปัญหาการค้ามนุษย์อย่างเต็มที่ แต่รัฐบาลได้เพิ่มความพยายามมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับรอบรายงานที่แล้ว ดังนั้น ประเทศไทยจึงได้รับการเลื่อนขั้นขึ้นเป็นกลุ่มที่ ๒ (Tier 2) ดีขึ้นจากปีที่แล้ว ที่อยู่ในระดับ ๒ ที่ต้องจับตามอง (Tier 2 Watch List) ๒. ผลการดำเนินงานที่สำคัญของประเทศไทย เช่น การลดระยะเวลาในการดำเนินคดีและพิพากษาลงโทษคดีค้ามนุษย์ การออกระเบียบให้องค์กรพัฒนาเอกชนสามารถจัดตั้งสถานคุ้มครองในการช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการควบคุมการขอทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเด็กมาขอทาน เป็นต้น ๓. ข้อเสนอแนะต่อการดำเนินงานของประเทศไทย เช่น การเพิ่มศักยภาพเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย พนักงานตรวจแรงงาน และผู้ปฏิบัติงานในการตรวจคัดกรองและคัดแยกผู้เสียหาย และรับรองว่าผู้เสียหายจะไม่ถูกจับกุม กักขัง หรือส่งกลับ อันเนื่องมาจากการกระทำผิดที่เป็นผลมาจากการเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ (เช่น การค้าประเวณี และการหลบหนีเข้าเมือง) การเพิ่มศักยภาพเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายในการดำเนินคดีและพิพากษาลงโทษผู้กระทำผิดฐานค้ามนุษย์ด้านแรงงานและเพศ และการปรับปรุงสิทธิแรงงานต่างด้าวเพื่อลดความเสี่ยงต่อการค้ามนุษย์ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1147 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงหอประชุมกองทัพเรือตามนโยบายรัฐบาล | กห | 10/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๓๔๓,๒๘๘,๐๐๐ บาท ให้กองทัพเรือ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงหอประชุมกองทัพเรือ ตามนโยบายรัฐบาล ระยะแรก (ส่วนที่เหลือ) ตามแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่จะดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ๒. ให้กระทรวงกลาโหม (กองทัพเรือ) เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาแนวทางการใช้ประโยชน์ของหอประชุมกองทัพเรือให้เหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งให้พิจารณาเกี่ยวกับการปรับปรุงพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณหอประชุมกองทัพเรือและบริเวณใกล้เคียงให้มีทัศนียภาพที่เหมาะสม สวยงาม และมีพื้นที่ใช้สอยมากยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถรองรับผู้เข้าร่วมงาน/ผู้เข้าร่วมเฝ้ารับเสด็จในงานพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ บริเวณริมฝั่งแม่น้ำได้เป็นจำนวนมาก เช่น การทำทุ่นลอยริมแม่น้ำ เป็นต้น ๓. ให้กระทรวงกลาโหมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1148 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 10/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านการต่างประเทศ ให้กระทรวงกลาโหมพิจารณาแนวทางการจัดทำความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศกับราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดนในเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายมีความพร้อมและอยู่ในความสนใจร่วมกัน เช่น การปรับปรุงเครื่องยนต์สำหรับการผลิตยุทโธปกรณ์และยานรบ เป็นต้น ทั้งนี้ ในการจัดทำความร่วมมือดังกล่าวให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. ด้านสังคม ๒.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินโครงการอาหารกลางวัน โดยส่งเสริมให้มีการทำการเกษตรชุมชนเพื่อนำผลผลิตมาบริโภคเป็นอาหารกลางวันในโรงเรียนเสริมจากงบประมาณที่รัฐได้จัดสรรให้ด้วย นั้น จากการเดินทางไปตรวจราชการ ณ จังหวัดระยอง พบว่า โรงเรียนวัดเกาะได้มีการจัดการเรียนการสอนให้นักเรียนทำการเกษตรแบบผสมผสานและนำผลผลิตมาประกอบเป็นอาหารกลางวันให้กับนักเรียนและส่งจำหน่ายด้วย ทำให้นักเรียนได้รับประทานอาหารกลางวันที่มีคุณภาพ ถูกหลักโภชนาการ โดยสามารถจัดหาวัตถุดิบสำหรับประกอบอาหารกลางวันเพิ่มเติมจากงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรได้อย่างเหมาะสม จึงขอให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแนวทางของโรงเรียนดังกล่าวไปเป็นต้นแบบขยายผลให้โรงเรียน/สถาบันการศึกษาอื่น ๆ ในสังกัดนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น เร่งส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับการทำการเกษตรในลักษณะต่าง ๆ เช่น เกษตรแบบผสมผสาน เกษตรอินทรีย์ Smart Farmer เป็นต้น ให้แพร่หลายมากยิ่งขึ้นด้วย ๒.๒ ให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น ดำเนินการส่งเสริมและสร้างการรับรู้เกี่ยวกับเอกลักษณ์ สถานที่สำคัญ เกร็ดความรู้ หรือเรื่องราวที่น่าสนใจของแต่ละจังหวัดผ่านสื่อในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งที่ทำเป็นเอกสารและสื่ออิเล็กทรอนิกส์ แล้วให้นำไปเผยแพร่ในแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ให้ทั่วถึง เช่น โรงเรียน/สถาบันการศึกษา วัด ห้องสมุดประชาชน เป็นต้น เพื่อสร้างการรับรู้และปลูกฝังให้ประชาชนเกิดความภาคภูมิใจในท้องถิ่นของตน รวมทั้งเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้และการท่องเที่ยวด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งเสริมให้มีการจัดตั้งห้องสมุดประชาชนในท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วประเทศให้มากขึ้นเพื่อให้เป็นแหล่งเผยแพร่ข้อมูลความรู้สำหรับชุมชนต่อไปด้วย ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๙ วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๐ และวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เกี่ยวกับการกำหนดมาตรการในการกำจัดขยะมูลฝอยให้สอดคล้องกับแนวทางประชารัฐ นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอยทั้งระบบให้เกิดผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนโดยเร็ว และให้เร่งจัดตั้งศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยแบบครบวงจรในทุกกลุ่มพื้นที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีการรวมกลุ่มเพื่อกำจัดขยะมูลฝอย (Cluster) ทั่วประเทศ (จำนวน ๓๒๔ กลุ่ม) ให้แล้วเสร็จภายใน ๑ เดือน โดยให้พิจารณาขนาดและที่ตั้งให้เหมาะสมกับสภาพของแต่ละพื้นที่ โดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อมเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๓.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม เป็นต้น รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับสถานการณ์เรือนักท่องเที่ยวล่มที่จังหวัดภูเก็ตต่อนายกรัฐมนตรี โดยให้บันทึกข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ชัดเจน ผ่านศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (Prime Minister Operation Center : PMOC) เป็นประจำทุกวัน เช่น จำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บ จำนวนผู้เสียชีวิต การพิสูจน์สัญชาติ การดูแลให้ความช่วยเหลือเยียวยา สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่ให้แก่นักท่องเที่ยวที่ประสบเหตุ เป็นต้น ๓.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นต้น ดำเนินการตรวจสอบพื้นที่/สถานที่ต่าง ๆ ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติทั่วประเทศ เช่น ถ้ำ น้ำตก เป็นต้น ให้ครบถ้วน และเร่งดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามและมีความปลอดภัย โดยให้กำหนดมาตรการด้านความปลอดภัยที่ชัดเจนและเผยแพร่ให้นักท่องเที่ยวทราบอย่างทั่วถึงด้วย ๓.๔ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) เป็นเจ้าภาพรับผิดชอบเกี่ยวกับการพัฒนาคูคลองเพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจ โดยให้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาคัดเลือกคูคลองที่มีศักยภาพที่สามารถพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจได้ นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาดำเนินการพัฒนาคูคลองเพิ่มเติมในทุกจังหวัดอย่างน้อย ๑ คลอง ๑ จังหวัด ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว/พักผ่อนที่สะดวกและสะอาด ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๑ ๓.๕ ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐให้ความสำคัญ เร่งรัด ขับเคลื่อน และติดตามการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ตามนโยบายรัฐบาลที่อยู่ในความรับผิดชอบของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐนั้น ๆ ให้มีความคืบหน้าและเกิดผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนภายในปี ๒๕๖๑ เช่น (๑) การดำเนินการตามประเด็นปฏิรูปตามรัฐธรรมนูญ เช่น การปฏิรูปการศึกษา การปฏิรูปตำรวจ เป็นต้น (๒) การปฏิรูประบบราชการที่ครอบคลุมทุกด้าน ทั้งการสรรหา บรรจุ แต่งตั้ง ปรับย้าย สิทธิประโยชน์ อัตรากำลัง ตลอดจนการจ้างงานในลักษณะชั่วคราว (Ad-hoc) (๓) การบริหารจัดการภัยพิบัติที่ต้องบูรณาการร่วมกันระหว่างทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) และศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (Prime Minister Operation Center : PMOC) โดยให้มีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการกลางเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักด้วย (๔) การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำระยะสั้น (๑-๒ ปี) การจัดที่ดินทำกิน การเพาะปลูกพืช โดยต้องมีการบริหารจัดการที่สอดคล้องกับระบบแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map) ด้วย (๕) การบริหารจัดการขยะทั่วประเทศ (๖) การติดตามความคืบหน้าการดำเนินโครงการต่าง ๆ ทั้งที่เป็นโครงการมาจากการลงพื้นที่ตรวจราชการของคณะรัฐมนตรี และโครงการที่ใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก (๗) การพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับส่วนราชการระดับท้องถิ่น รวมทั้งการกำหนดขอบเขตอำนาจหน้าที่ในการบริหารจัดการเรื่องต่าง ๆ ของท้องถิ่นที่สมควรกำหนดให้เป็นอำนาจของส่วนท้องถิ่นที่จะสามารถดำเนินการได้เองตามความเหมาะสมและที่สมควรกำหนดให้เป็นอำนาจของส่วนกลางในการดำเนินการ (๘) การผลิตและพัฒนาทรัพยากรบุคคลในด้านต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพให้รองรับและสอดคล้องกับความต้องการของประเทศ เช่น ด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เป็นต้น (๙) การเตรียมการเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ โดยพิจารณากำหนดแนวทางการจัดให้มีอาชีพเสริมให้แก่ผู้สูงอายุเพื่อให้มีรายได้ในการดำรงชีวิตที่ดีได้ (๑๐) การประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการต่าง ๆ เช่น วิสาหกิจตั้งต้น (Start up) วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ทั้งในเรื่องเงินทุน ความรู้ และเทคโนโลยี (๑๑) การกำกับดูแลหน่วยงาน/องค์กรที่กำกับดูแลระบบสาธารณูปโภคและระบบคมนาคมขนส่งไม่ให้เกิดข้อติดขัด เช่น การเดินรถไฟฟ้าเฉลิมพระเกียรติ ๖ รอบพระชนมพรรษา (รถไฟฟ้า BTS) เป็นต้น และ (๑๒) การแก้ไขปัญหาและพัฒนาระบบสหกรณ์ โดยเฉพาะสหกรณ์การเกษตรให้มีความเข้มแข็งสามารถเป็นศูนย์รวมสินค้าและผลผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1149 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ 3/2561 | นร04 | 03/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๑ ซึ่งมีความคืบหน้าการติดตามเร่งรัดการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล ๓ เรื่อง ตามที่ กขร. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองประชาชนในการทำสัญญาขายฝากที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมหรือที่อยู่อาศัย พ.ศ. .... เห็นควรให้คณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วนเร่งรัดดำเนินการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๓ เดือน ๒. ร่างพระราชบัญญัติรัฐบาลดิจิทัล พ.ศ. .... เห็นควรให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมร่วมกับสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) เร่งรัดดำเนินการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๑ เดือน ๓. การแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการปลูกไม้มีค่าในที่ดินกรรมสิทธิ์ เห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งรัดดำเนินการโดยประสานสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแนวทางการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๓ เดือน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1150 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2561 ครั้งที่ 2 | กค | 03/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๒ ที่มีวงเงินปรับลดลงสุทธิ ๔,๒๔๙.๒๕ ล้านบาท จากเดิม ๑,๕๘๘,๘๘๓.๔๘ ล้านบาท เป็น ๑,๕๘๔,๖๓๔.๖๔ ล้านบาท ๑.๒ รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ ที่มีวงเงินปรับเพิ่มขึ้น ๑๓,๐๒๔.๐๘ ล้านบาท จากเดิม ๑๗๑,๒๖๓.๕๖ ล้านบาท เป็น ๑๘๔,๒๘๗.๒๓ ล้านบาท ๑.๓ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งขออนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อดำเนินโครงการลงทุนและการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ปรับปรุงครั้งที่ ๒ ๑.๔ อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ปรับปรุงครั้งที่ ๒ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๕ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงิน และ/หรือการค้ำประกันเงินกู้ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะรายงานผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ๑.๖ รับทราบแนวทางการปรับโครงสร้างหนี้ตั๋วเงินคลัง วงเงิน ๘๐,๐๐๐ ล้านบาท เป็นตราสารหนี้ระยะยาว ๑.๗ รับทราบประมาณการการคลังในระยะปานกลางและระยะยาว และพื้นที่ทางการค้า (Fiscal Space) ในช่วงปีงบประมาณ ๒๕๖๑-๒๕๗๐ และแนวทางการบริหารหนี้สาธารณะภายใต้กรอบการบริหารหนี้สาธารณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนด ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรกำกับ ติดตาม และเร่งรัดหน่วยงานเจ้าของโครงการใช้จ่ายเงินและเบิกจ่ายเงินกู้ให้สอดคล้องและบรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังพิจารณาแนวทางในการบริหารเงินคลังในแต่ละช่วงเวลาให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการคลังของประเทศและลดภาระดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ๔. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งผลักดันมาตรการสร้างแรงจูงใจและส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทและเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้มากยิ่งขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1151 | การจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรม | นร12 | 03/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรม โดยควบรวมบางส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ไปตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปประกอบการพิจารณาด้วย โดยรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เห็นด้วยในการจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิจัยและนวัตกรรม โดยเห็นควรให้เสริมงานวิจัยและนวัตกรรม เพื่อช่วยขับเคลื่อนผลงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์ในทุกมิติอย่างเป็นรูปธรรม และในกรณีที่มีสภานโยบายวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวนช.) เป็นหน่วยงานระดับนโยบาย และมีกระทรวงการอุดมศึกษา วิจัยและนวัตกรรม ดำเนินการควบคู่กันไป อาจมีข้อขัดข้องในทางปฏิบัติจึงต้องมีการกำหนดกรอบอำนาจหน้าที่ให้ชัดเจน เป็นต้น ส่วนรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) มีความเห็นเพิ่มเติมว่า การจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรม โดยการควบรวมบางหน่วยงานและจัดแบ่งส่วนงานภายในจะต้องเป็นไปเพื่อการปฏิรูปโครงสร้างระบบราชการใหม่ และจะต้องทบทวนโครงสร้าง หน้าที่และอำนาจของส่วนงานเดิมและส่วนงานใหม่ให้มีความเชื่อมโยงและสอดคล้องกัน รวมทั้งมีการกำหนดกลไกและเป้าหมายในแต่ละส่วนงานรองรับอย่างชัดเจนไปพร้อมกับการดำเนินการจัดตั้งกระทรวง อีกทั้งควรพิจารณาความเหมาะสมของชื่อกระทรวงที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ให้สะท้อนภารกิจและบริบททางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการวิจัย และนวัตกรรมในศตวรรษที่ ๒๑ เช่น "กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการอุดมศึกษา (Science Technology and Higher Education Ministry : STEM)" และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมีความเห็นว่า การปรับปรุงโครงสร้างดังกล่าวยังคงมีความจำเป็นที่ต้องมีหน่วยงานสนับสนุนทุนวิจัยที่มีความเป็นอิสระและเป็นกลาง เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ประเด็นการพัฒนาที่หลากหลาย ขณะเดียวกันก็มีความเป็นกลางในการจัดสรรทุนวิจัยที่ครอบคลุมทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิชาการอิสระ และประชาชนทั่วไป และให้สำนักงาน ก.พ.ร. นำร่างพระราชบัญญัติฯ ไปดำเนินการตามมาตรา ๗๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แล้วส่งผลการดำเนินการดังกล่าวไปประกอบการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. เห็นชอบแผนการดำเนินการและจัดให้มีกลไกคณะทำงานเตรียมการจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรม ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1152 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 03/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น จัดทำแผนการพัฒนาท่าเรือเพื่อเพิ่มศักยภาพการขนส่งสินค้าและการค้าขายในภาพรวมของประเทศ โดยให้ครอบคลุมทั่งฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทย โดยให้เร่งจัดทำแผนฯ ให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๖๑ ทั้งนี้ ให้รับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนในพื้นที่เพื่อประกอบการจัดทำแผนฯ รวมทั้งให้สร้างการรับรู้แก่สาธารณชนให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลประโยชน์ที่ประชาชนและประเทศชาติจะได้รับเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการและรายงานผลการปฏิรูปการศึกษาในประเด็นต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน นั้น ให้กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการปฏิรูปการศึกษาดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วในคราวประชุมครั้งต่อไป ทั้งนี้ ให้ครอบคลุมถึงประเด็นสำคัญต่าง ๆ เช่น ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเด็กนักเรียน ผู้ปกครอง ครู และบุคลากรทางการศึกษา หลักสูตรและตำราเรียน การศึกษานอกระบบ การอาชีวศึกษา การปรับปรุงโครงสร้างหน่วยงาน การปรับปรุงกระบวนการทำงาน เป็นต้น ๒.๒ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรายงานความคืบหน้าการดำเนินการเพื่อการปฏิรูปตำรวจต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้ครอบคลุมถึงประเด็นสำคัญต่าง ๆ เช่น การปรับปรุงการปฏิบัติงานภายในองค์กร การแต่งตั้งโยกย้าย กลไกการรับเรื่องร้องเรียน การจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ ระบบและการปฏิบัติงานของสถานีตำรวจ เป็นต้น ๒.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ดำเนินการสำรวจและจัดทำฐานข้อมูลการทำการเกษตรในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศที่อาจก่อให้เกิดผลเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือทำให้เกิดการบุกรุกและตัดไม้ทำลายป่า โดยให้นำข้อมูลจากระบบแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map) มาใช้ประกอบการดำเนินการด้วย พร้อมนี้ให้พิจารณากำหนดมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการบุกรุกทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมเป็นรูปธรรม แล้วให้นำเสนอนายกรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1153 | สัญญาความตกลงทวิภาคีว่าด้วยการแลกเปลี่ยนเงินตรา (Bilateral Swap Arrangement) ระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังญี่ปุ่น | กค | 27/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับปรุงสัญญาความตกลงทวิภาคีว่าด้วยการแลกเปลี่ยนเงินตรา (Bilateral Swap Arrangement : BSA) ระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังญี่ปุ่น ซึ่งกระทรวงการคลังญี่ปุ่นได้เสนอให้มีการปรับปรุงสัญญาความตกลง BSA เพื่อให้การแก้ไขปัญหาสภาพคล่องที่เกิดจากปัญหาการขาดดุลการชำระเงินมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยมีการเจรจาปรับปรุงสัญญาความตกลง BSA มาอย่างต่อเนื่องจนสามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกัน และคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๖๑ อนุมัติให้ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับปรุงสัญญาความตกลง BSA โดยจัดทำเป็นสัญญาความตกลงฉบับใหม่ (ร่างสัญญาความตกลง BSA ฉบับปรับปรุง) และมีกำหนดลงนามในช่วงเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๑ ทั้งนี้ ร่างสัญญาความตกลง BSA ฉบับปรับปรุง มีสาระสำคัญที่เปลี่ยนแปลงจากฉบับปัจจุบัน เช่น (๑) ขยายสัดส่วนวงเงินการเบิกถอนในกรณีที่ไม่เชื่อมโยงกับความช่วยเหลือของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF De-linked Portion : IDLP) เพิ่มขึ้นจากร้อยละ ๓๐ (๙๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เป็นร้อยละ ๔๐ ของวงเงินสุดสุด (๑,๒๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และ (๒) ปรับแก้สัญญาโดยกำหนดเพิ่มให้ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถเลือกเบิกถอนเป็นเงินสกุลเงินเยนได้ นอกเหนือจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เป็นต้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1154 | การปรับปรุงค่าตอบแทนของผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง [สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน 2561)] | นร | 27/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วัน คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๑ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติ รวม ๕ ฉบับ ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ดังนี้
๑. ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๒. ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๓. ร่างพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานกรรมการและกรรมการในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. .... ๔. ร่างพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. .... ๕. ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1155 | รายงานผลการปฏิบัติงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | ปง | 19/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ มีรายละเอียดที่สำคัญรวม ๗ ด้าน คือ (๑) ผลการปฏิบัติงานด้านการปราบปรามการฟอกเงิน (๒) ผลการปฏิบัติงานด้านการป้องกันการฟอกเงิน (๓) ผลการปฏิบัติงานด้านการกำกับและตรวจสอบผู้มีหน้าที่รายงาน (๔) ผลการปฏิบัติงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (๕) ผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการ ๔ คณะตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้แก่ คณะกรรมการ ปปง. คณะกรรมการธุรกรรม คณะอนุกรรมการในคณะกรรมการ ปปง. และคณะกรรมการเปรียบเทียบ (๖) ผลการปฏิบัติงานด้านการแก้ไขกฎหมายและออกกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง (๗) ผลการประเมินการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลด้านการป้องกันปราบปรามการฟอกเงิน และการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ตามที่สำนักงาน ปปง. เสนอ ๒. เห็นชอบให้นำข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเป็นข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี ซึ่งได้แก่ การที่สำนักงาน ปปง. ยังคงมีภารกิจต้องรายงานความคืบหน้าในการปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องต่อ [Asia-Pacific Group on Money Laundering (APG)] ทุกปี ประกอบกับคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ดังนั้น สำนักงาน ปปง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรเร่งดำเนินการตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ดังกล่าวเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาอุปสรรคดังกล่าว อันจะส่งผลเป็นการยกระดับการดำเนินงานตามมาตรฐานสากลด้าน AML/CFT ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนปัญหาอุปสรรคด้านการประชาสัมพันธ์ในการเสริมสร้างภาพลักษณ์ ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบนั้น สำนักงาน ปปง. อาจขอให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมเพื่อรองรับการประชาสัมพันธ์ดังกล่าว และให้นำรายงานดังกล่าวพร้อมทั้งข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๓. ให้สำนักงาน ปปง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1156 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบ้านโคก-ม่วงเจ็ดต้น จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. .... | มท | 19/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบ้านโคก-ม่วงเจ็ดต้น จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลม่วงเจ็ดต้นและตำบลบ้านโคก อำเภอบ้านโคก จังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะและสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรมีการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ให้พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม และพื้นที่ลุ่มน้ำ พื้นที่ชุ่มน้ำ รวมถึงควรมีการตรวจสอบพื้นที่เพื่อไม่ให้ทับซ้อนกับป่าสงวนแห่งชาติ และควรจัดทำฐานข้อมูลที่เป็นปัจจุบันเผยแพร่ต่อสาธารณะให้ทราบว่ามีการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่นไปแล้วเท่าใด และใช้เป็นฐานในการกำหนดผังเมืองรวมฉบับที่จะมีการปรับปรุงของแต่ละเมืองด้วย ควรมีการยกเว้นให้สามารถติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนขนาดเล็กเพื่อสนับสนุนภาคการเกษตรและใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ได้ รวมทั้งควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองพิจารณาสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นกำกับดูแลและควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการบุกรุกพื้นที่อนุรักษ์ป่าไม้ ตลอดจนพื้นที่ชนบทและเกษตรกรรม และบริเวณริมฝั่งแหล่งน้ำสาธารณะเพื่อรักษาฐานเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมของชุมชนให้มีคุณภาพดีอย่างยั่งยืน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1157 | การรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2561 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2561 | กค | 19/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รายงานสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑ มียอดหนี้สาธารณะคงค้าง จำนวนทั้งสิ้น ๖,๔๕๔,๑๖๘.๘๙ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๑.๐๔ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) โดยเป็นหนี้รัฐบาล จำนวน ๕,๑๔๕,๐๒๘.๙๘ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจ จำนวน ๙๑๘,๘๙๘.๑๖ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินซึ่งรัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ จำนวน ๓๘๑,๐๔๖.๙๔ ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ จำนวน ๙,๑๙๔.๘๑ ล้านบาท ๒. ผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะได้จัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ เพื่อใช้เป็นกรอบในการบริหารจัดการหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ ซึ่งได้มีการปรับปรุงแผนฯ ครั้งที่ ๑ มีวงเงินรวมในแผนฯ ๑,๗๖๐,๑๔๗.๐๔ ล้านบาท โดย ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑ กระทรวงการคลังและหน่วยงานต่าง ๆ ได้ดำเนินการกู้เงินและบริหารหนี้ เป็นวงเงินทั้งสิ้น ๗๕๐,๑๒๑.๐๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๒.๖๒ ของแผนฯ ๓. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการลงทุนตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ของรัฐวิสาหกิจ จากการติดตามผลการดำเนินโครงการลงทุนของรัฐวิสาหกิจพบว่า มีรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๓ แห่ง ได้แก่ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทศไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ มีการดำเนินการล่าช้ากว่าแผน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1158 | ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กห | 19/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ยกเลิกอัตราเงินเดือนข้าราชการทหารของนายทหารสัญญาบัตรยศจอมพล จอมพลเรือ จอมพลอากาศ หรือพลเอก พลเรือเอก พลอากาศเอก ที่ครองอัตราจอมพล จอมพลเรือ จอมพลอากาศ รับเงินเดือนระดับ น.๙ เป็นกำหนดให้นายทหารสัญญาบัตรยศพลเอก พลเรือเอก พลอากาศเอก อัตราเงินเดือนพลเอกพิเศษ พลเรือเอกพิเศษ พลอากาศเอกพิเศษ ให้ได้รับเงินเดือนระดับ น.๙ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและสอดคล้องกับโครงสร้างและการบริหารจัดการกำลังพลของกระทรวงกลาโหม ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงกลาโหมรับข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับ ระเบียบ และอัตราตำแหน่งเฉพาะกิจที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติฯ ซึ่งการปรับปรุงแก้ไขยศทหาร อัตรา และระดับเงินเดือนของนายทหารสัญญาบัตรนั้น อาจส่งผลกระทบต่อข้าราชการตำรวจและข้าราชการประเภทอื่นโดยรวม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1159 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | นร09 | 19/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ ที่ตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการ รวมทั้งอำนาจและหน้าที่ของสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม และกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจที่เพิ่มขึ้นและเหมาะสมกับสภาพงานที่เปลี่ยนแปลงไป อันจะทำให้การปฏิบัติภารกิจตามหน้าที่และอำนาจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1160 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ ในส่วนค่าสิทธิที่ได้รับจากวิสาหกิจในเครือ) | กค | 19/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงเงื่อนไขการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีของบริษัทของห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งประกอบกิจการสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ (International Headquarters หรือ IHQ) จากเดิมซึ่งเป็นการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี สำหรับรายได้ค่าสิทธิที่ได้รับจากวิสาหกิจในเครือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยหรือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ เป็น การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี สำหรับค่าสิทธิที่ได้รับจากวิสาหกิจในเครือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยหรือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ เฉพาะค่าสิทธิที่เกิดจากผลการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่กระทำขึ้นในประเทศไทย ไม่ว่าการวิจัยและพัฒนานั้นจะกระทำโดย IHQ หรือโดยการจ้างผู้อื่น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการปรับปรุงมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการจัดทำประมาณการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่จะได้รับในครั้งนี้ให้ชัดเจน โดยจัดทำประมาณการรายได้อย่างน้อย ๓ ปี เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ ตามนัยของกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐต่อไป นอกจากนี้ กรมสรรพากรควรเร่งออกกฎหมายลำดับรองกำหนดวิธีการและเงื่อนไขการได้สิทธิประโยชน์เมื่อพระราชกฤษฎีกาฯ มีผลบังคับใช้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
