ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 56 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 1101 - 1120 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1101 | การมอบหมายผู้แทนหน่วยงานภาครัฐเป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการในคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 2/2561 | ปปท. | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒/๒๕๖๑ เรื่อง การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ลงวันที่ ๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๑ และคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓/๒๕๖๑ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ลงวันที่ ๑๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ ๒. มอบหมายให้ผู้แทนสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการในคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติภายในคณะรักษาความสงบแห่งชาติในส่วนของผู้แทนหน่วยงานภาครัฐตามข้อ ๒ (๘) ของคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒/๒๕๖๑ เรื่อง การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ลงวันที่ ๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๑
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1102 | การรับรองการปรับปรุงรายการข้อสงวนของสหพันธรัฐมาเลเซีย ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการลงทุนอาเซียน (ASEAN Comprehensive Investment Agreement) | นร13 | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในจดหมายรับรองการปรับปรุงรายการข้อสงวนของสหพันธรัฐมาเลเซีย ภายใต้ความตกลงว่าด้วยการลงทุนอาเซียน (ASEAN Comprehensive Investment Agreement : ACIA ) เพื่อให้กระบวนการปรับปรุงรายการข้อสงวนของมาเลเซียเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งการปรับปรุงรายการข้อสงวนดังกล่าวมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้รายการข้อสงวนมีความชัดเจนโปร่งใสมากยิ่งขึ้น โดยมีรายละเอียด เช่น ทุกบริษัทที่จัดตั้งในมาเลเซียจะต้องมีผู้บริหารอย่างน้อย ๒ ราย ที่มีถิ่นที่อยู่หลักหรือมีถิ่นที่อยู่เพียงแห่งเดียวในมาเลเซีย การกำหนดคำนิยามของเรือประมงและน่านน้ำประมง และการเปิดเสรีให้กิจการผลิตเหล็กเส้น เหล็กแท่ง และการผ่อนปรนในกิจการผลิตน้ำตาลทรายให้อยู่ในรายการที่เปิดเสรีแต่มีเงื่อนไขเฉพาะ เป็นต้น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอ โดยกระทรวงการต่างประเทศไม่ต้องจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการที่รัฐบาลมาเลเซียแจ้งว่า จะดำเนินนโยบายในการสนับสนุนบุคคล/นิติบุคคลที่มีเชื้อชาติพื้นเมืองมาเลเซีย (Bumiputera) เหนือกว่าเชื้อชาติอื่นทั้งหมดนั้น เป็นกิจการภายในของรัฐบาลมาเลเซีย ซึ่งรัฐบาลไทยไม่ควรแสดงความคิดเห็น ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุน (ให้การรับรอง) หรือคัดค้าน (ไม่ให้การรับรอง) ก็ตาม และในส่วนของรายการข้อสงวนที่ ๗ ซึ่งมาเลเซียได้เสนอขอปรับเพิ่มข้อความเพื่ออธิบายมาตรการที่จะสนับสนุน Bumiputera นั้น ข้อความที่ปรับเพิ่มขึ้นมาจะส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมไทยในทุกสาขาอุตสาหกรรม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1103 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง สาเหตุการตายของปลากระเบนราหูในแม่น้ำแม่กลอง ของคณะกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง สาเหตุการตายของปลากระเบนราหูในแม่น้ำแม่กลอง โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วเห็นว่า ยังไม่มีความจำเป็นต้องแต่งตั้งคณะกรรมการระงับอุบัติเหตุจากมลพิษในขณะนี้ แต่อาจต้องมีการดำเนินการปรับปรุงมาตรการ แนวทางหรือแผนงานในการแก้ไขเหตุฉุกเฉิน ในแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ แผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด แผนปฏิบัติการในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มาตรการป้องกันและแผนฉุกเฉินเพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่แก้ไขไว้ล่วงหน้า และแผนปฏิบัติการเพื่อป้องกันและแก้ไขอันตรายอันเกิดจากการแพร่กระจายมลพิษหรือภาวะมลพิษตามมาตรา ๕๓ (๑) แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ให้ชัดเจนและครอบคลุมมากขึ้น ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1104 | ขอความเห็นชอบและลงนามพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน ฉบับที่ 8 ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าบริการของอาเซียน | กค | 18/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน ฉบับที่ ๘ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าบริการของอาเซียน (ASEAN Framework Agreement on Services : AFAS) และตารางข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน ซึ่งเป็นภาคผนวกแนบท้ายพิธีสารฯ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงตารางข้อผูกพันในสาขาหลักทรัพย์ สาขาย่อยบริการจัดการลงทุน (Asset Management) ในการอนุญาตให้มีสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติในบริษัทจัดการลงทุน (Asset Management Company) ได้ถึงร้อยละ ๑๐๐ ของทุนที่ชำระแล้ว โดยยกเลิกเงื่อนไขที่กำหนดให้ต้องมีสถาบันการเงินที่จัดตั้งภายใต้กฎหมายไทยถือหุ้นอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๐ ของทุนที่ชำระแล้ว ในระยะ ๕ ปีแรก หลังจากที่ได้รับใบอนุญาต เป็นการยกระดับข้อผูกพันให้เทียบเท่ากฎหมายและแนวปฏิบัติที่ใช้บังคับในปัจจุบัน ทั้งนี้ จะมีการลงนามในร่างพิธีสารฯ ในช่วงการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี ๒๕๖๑ ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๑ ณ เกาะบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังลงนามในร่างพิธีสารฯ และตารางข้อผูกพันฯ ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญ และไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) และเมื่อลงนามแล้วให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา แล้วเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบพิธีสารฯ และตารางข้อผูกพันฯ ก่อนแสดงเจตนาเพื่อให้มีผลผูกพัน ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังลงนามในร่างพิธีสารฯ ๔. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดดำเนินการเพื่อให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและได้รับการเยียวยาที่จำเป็นอันเกิดจากผลกระทบของการทำหนังสือสัญญาดังกล่าวตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสี่ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ก่อนเสนอคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ๕. ให้กระทรวงการคลังประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามพันธกรณีที่กำหนดในร่างพิธีสารฯ และตารางข้อผูกพันฯ ๖. ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งต่อสำนักเลขาธิการอาเซียนว่าไทยพร้อมที่จะให้พิธีสารฯ มีผลผูกพันต่อไป เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบต่อพิธีสารฯ และตารางข้อผูกพัน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1105 | การขับเคลื่อนโครงการชุมชนไม้มีค่า | นร | 18/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขับเคลื่อนโครงการชุมชนไม้มีค่า เพื่อให้ประเทศไทยมีชุมชนไม้มีค่า ๒๐,๐๐๐ ชุมชน ใน ๑๐ ปี รวมทั้งมีการปรับปรุงร่างกฎหมาย กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานโครงการชุมชนไม้มีค่าเพื่อนำไปสู่ผลสัมฤทธิ์ โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) กรมป่าไม้ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการการขับเคลื่อนโครงการชุมชนไม้มีค่า และมอบหมายหน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางในการส่งเสริมการปลูกไม้มีค่าในพื้นที่ต่าง ๆ ที่มีความพร้อมและมีศักยภาพให้เพิ่มมากยิ่ง ๆ ขึ้น เพื่อเป็นการเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ในภาพรวมของประเทศและเป็นการเพิ่มรายได้ของประชาชน ทั้งนี้ ให้พิจารณาถึงการปลูกป่าในพื้นที่เขาหัวโล้นและพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมด้วย โดยให้พิจารณากำหนดเงื่อนไข/หลักเกณฑ์ ให้ถูกต้องและเหมาะสมด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1106 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง สิทธิของผู้ต้องขังหญิง การคุ้มครองสวัสดิภาพ ของผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำ และการนำข้อกำหนดกรุงเทพ (Bangkok Rules) ไปสู่การปฏิบัติ ของคณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง สิทธิของผู้ต้องขังหญิง การคุ้มครองสวัสดิภาพของผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำ และการนำข้อกำหนดกรุงเทพ (Bangkok Rules) ไปสู่การปฏิบัติ ของคณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ แล้ว เช่น กรมราชทัณฑ์โดยความร่วมมือของสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทยได้จัดทำโครงการส่งเสริมการปฏิบัติที่ดีต่อผู้ต้องขังหญิงและผู้กระทำผิดหญิง (โครงการเรือนจำต้นแบบ) สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณเพื่อการปรับปรุงเรือนจำทั่วประเทศ รวมทั้งก่อสร้างเรือนจำใหม่ กรมราชทัณฑ์ได้ระบุ “ข้อกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำสำหรับปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง หรือข้อกำหนดของสหประชาชาติสำหรับการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำ และมาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำผิดหญิง” ไว้ในเหตุผลของพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ แล้ว เป็นต้น ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1107 | สรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 42 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2560 - 31 พฤษภาคม 2561) และครั้งที่ 43 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2560 - 30 มิถุนายน 2561) [สรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 42 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2560 - 31 พฤษภาคม 2561)] | นร | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๔๒ ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๐-๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์ การจัดกิจกรรมส่งเสริมวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยเพื่อสร้างความปรองดอง การจัดกิจกรรมให้ความรู้แก่ประชาชน เรื่อง โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริและหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียน ร้องทุกข์ ของศูนย์ดำรงธรรม ๒. การปฏิรูปประเทศ กขร. เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการปฏิรูปประเทศพิจารณาจัดทำรายงานผลการดำเนินงานของหน่วยงานตามแผนการปฏิรูปประเทศ และรายงานต่อนายกรัฐมนตรีเป็นประจำทุกเดือน ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ประกอบด้วย (๑) ด้านความมั่นคง เช่น การเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยความจงรักภักดีและปกป้องรักษาพระบรมเดชานุภาพ โดยการใช้มาตรการทางกฎหมายในการตรวจสอบเว็บไซต์ที่เข้าข่ายกระทำความผิดตามกฎหมาย (๒) ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม และการสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของภาครัฐ การศึกษาและการเรียนรู้ การทำนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม (๓) ด้านเศรษฐกิจ เช่น เร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ การประกาศใช้พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๑๙) พ.ศ. ๒๕๖๑ (การจัดเก็บภาษีจากสินทรัพย์ดิจิทัล) และพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. ๒๕๖๑ (๔) การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เช่น การจัดงาน “Startup Thailand 2018” ภายใต้แนวคิด “โอกาสที่ไม่สิ้นสุดของทุกคน (Endless Opportunities)” การสร้าง “ระบบนิเวศ” สตาร์ทอัพไทย โดยการปรับปรุงกฎหมายที่เอื้ออำนวยต่อการทำธุรกิจสตาร์ทอัพ การจัดทำบัญชีนวัตกรรม (๕) ด้านการต่างประเทศ เช่น การเร่งส่งเสริมความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ในภูมิภาคอาเซียน และขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งการส่งเสริมความสัมพันธ์กับประเทศที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ (๖) การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร และการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน โดยการพัฒนาระบบภูมิสารสนเทศน้ำระดับตำบล ได้มีการพัฒนาศักยภาพการใช้งานแผนที่และจัดเก็บข้อมูลด้วยระบบภูมิสารสนเทศ ทำให้มีข้อมูลแหล่งน้ำขนาดเล็กที่ถูกต้องมากยิ่งขึ้น และ (๗) ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1108 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบ้านสวนและตำบลหนองข้างคอก อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... | คค | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบ้านสวน และตำบลหนองข้างคอก อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงชนบท ตามโครงการก่อสร้างทางต่างระดับข้ามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๖๑ และทางรถไฟสายตะวันออก และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจ และเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาผลกระทบด้านการระบายน้ำภายหลังจากการก่อสร้าง เพื่อมิให้เกิดปัญหาเรื่องการระบายน้ำในพื้นที่บริเวณดังกล่าวในอนาคต และควรมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่มีแผนปรับปรุง/ก่อสร้างทางต่างระดับข้ามทางรถไฟในระยะต่อไปประสานกับการรถไฟแห่งประเทศไทยเพื่อพิจารณากำหนดรูปแบบโครงสร้างทางต่างระดับที่มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับรูปแบบการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบรถไฟก่อนดำเนินการปรับปรุง/ก่อสร้าง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1109 | ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการประมงน้ำจืดในที่จับสัตว์น้ำที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการประมงพื้นบ้าน พ.ศ. .... | กษ | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการประมงน้ำจืดในที่จับสัตว์น้ำที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการประมงพื้นบ้าน พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาต และการอนุญาตให้ทำการประมงน้ำจืดในที่จับสัตว์น้ำที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และทำการประมงพื้นบ้าน โดยใช้เครื่องมือทำการประมงที่ต้องใช้วิธีลงหลัก ปัก ผูก ขึง รั้ง ถ่วง หรือวิธีการอื่นใดอันทำให้เครื่องมือนั้นอยู่กับที่ขณะทำการประมง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการดำเนินการภายใต้กฎกระทรวงฯ ทั้ง ๒ ฉบับ อย่างทั่วถึง และบังคับใช้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามขั้นตอนอย่างเคร่งครัด รวมทั้งควรมีการติดตามผลกระทบจากการดำเนินงานตามข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถพิจารณาปรับปรุงแนวทางการดำเนินงานให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1110 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 2/2561 | กค | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๑ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และข้อสั่งการเพิ่มเติมของนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจในคราวประชุมดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจมีมติมอบหมายให้รัฐวิสาหกิจ ๖ แห่ง ได้แก่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) การรถไฟแห่งประเทศไทย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย เร่งรัดดำเนินการตามแผนการฟื้นฟูองค์กร และให้กระทรวงที่กำกับการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจกำกับและติดตามการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง รวมทั้งนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจได้มีข้อสั่งการเพิ่มเติมในประเด็นต่าง ๆ เช่น (๑) การจัดทำแผนยุทธศาสตร์ระบบคมนาคมขนส่งในภาพรวม (๒) การกำหนดมาตรการรองรับการเกษียณอายุก่อนกำหนดของบุคลากรรัฐวิสาหกิจ และบุคลากรที่จะเข้าสู่กลุ่มผู้เกษียณอายุ และ (๓) การสร้างการรับรู้ให้กับพนักงานให้ตระหนักถึงความจำเป็นในการดำเนินการตามแผนการแก้ไขปัญหาองค์กร ๑.๒ คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจมีมติเห็นชอบกรอบหลักการและแนวทางการกำกับดูแลกิจการที่ดีในรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นการปรับปรุงแนวทางการกำกับดูแลกิจการที่ดีในรัฐวิสาหกิจในปี ๒๕๕๒ (ฉบับเดิม) โดยได้พิจารณาให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและตามมาตรฐานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยหลักการและแนวทางการกำกับดูแลกิจการที่ดีในรัฐวิสาหกิจ ฉบับปรับปรุง จะมีทั้งสิ้น ๑๐ หมวด ประกอบด้วย (๑) การดำเนินงานของภาครัฐในฐานะเจ้าของ (๒) การดำเนินงานตามกฎหมาย (๓) สิทธิและความเท่าเทียมกันของเจ้าของกิจการ/ผู้ถือหุ้น (๔) ว่าด้วยเรื่องคณะกรรมการ (๕) บทบาทของผู้มีส่วนได้เสีย (๖) นวัตกรรมและความยั่งยืน (๗) การเปิดเผยข้อมูล (๘) การบริหารความเสี่ยงและการควบคุมภายใน (๙) จรรยาบรรณ และ (๑๐) การติดตามผลการดำเนินงาน ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและข้อสังเกตของธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับกรณีการเพิ่มทุนให้ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยว่า ภายหลังการเพิ่มทุนให้กับธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จำนวน ๑๘,๑๐๐ ล้านบาท ส่วนของทุนของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยก็จะยังติดลบอยู่ เนื่องจากที่ผ่านมาธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยมีผลประกอบการขาดทุนเพิ่มขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1111 | รายงานผลการบูรณาการขับเคลื่อนโครงการตลาดประชารัฐ ครั้งที่ 3 | มท | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการบูรณาการขับเคลื่อนโครงการตลาดประชารัฐ ครั้งที่ ๓ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ ถึงปัจจุบัน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การขับเคลื่อนตลาดประชารัฐในแต่ละประเภท กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลตลาดประชารัฐทั้ง ๑๐ ประเภท จำนวนตลาดทั้งหมด ๖,๖๑๐ แห่ง ได้ดำเนินการเปิดตลาดประชารัฐ โดยส่วนใหญ่เป็นการขยายพื้นที่ค้าขายในตลาดที่เปิดทำการอยู่แล้ว และจัดสรรพื้นที่จำหน่ายสินค้าให้กับผู้ลงทะเบียนเป็นผู้ประกอบการโครงการตลาดประชารัฐทั่วประเทศและกรุงเทพมหานคร ๒. การจัดสรรพื้นที่จำหน่ายสินค้าและรายได้ของผู้ประกอบการ กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลตลาดประชารัฐทั้ง ๑๐ ประเภท ขยายพื้นที่ค้าขายเพื่อรองรับผู้ประกอบการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการตลาดประชารัฐ จำนวน ๖,๖๑๐ แห่ง โดยมีผู้ลงทะเบียน ๑๐๕,๓๙๘ ราย ปัจจุบันได้ดำเนินการจัดสรรจำหน่ายสินค้าแล้วร้อยละ ๙๑.๓๒ (จำนวน ๙๖,๒๔๖ ราย) มีจังหวัดที่ดำเนินการจัดสรรพื้นที่ให้ผู้ประกอบการเสร็จสิ้นแล้ว ๕๑ จังหวัด ยังคงเหลือผู้ประกอบการที่รอการจัดสรรพื้นที่ค้าขาย ๙,๑๕๒ ราย และนับตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ มีการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากทั้งประเทศ ๑,๒๑๙.๓๓ ล้านบาท สร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นเฉลี่ย ๑,๘๑๐ บาท ต่อเดือน (ข้อมูล ณ วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑) ๓. การปรับปรุงตลาดให้ได้มาตรฐานตลาดประชารัฐ หน่วยงานที่กำกับดูแลตลาดประชารัฐได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลตลาดทุกประเภทโดยผู้บริหารจัดการตลาดประชารัฐ (Chief Marketing Officer : CMO) กระทรวงสาธารณสุข กรมอนามัย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการตรวจประเมินตลาด โดยได้ดำเนินการประเมินแล้ว จำนวน ๑,๗๗๖ แห่ง คิดเป็นร้อยละ ๓๗.๓๐ ของจำนวนตลาดประชารัฐ ผลจากการประเมิน พบว่า มีตลาดที่อยู่ในระดับดีมาก ๒๕๓ แห่ง (ร้อยละ ๑๔.๒๕) และต้องปรับปรุง ๓๔๙ แห่ง (ร้อยละ ๑๙.๖๕) ทั้งนี้ อยู่ระหว่างการปรับปรุงตลาดอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้คุณภาพที่ยั่งยืนต่อไป ๔. หลักสูตรและจัดการอบรมผู้บริหารจัดการตลาดประชารัฐ (CMO) องค์การบริหารส่วนจังหวัดได้จัดทำหลักสูตรอบรมการบริหารจัดการตลาดให้กับ CMO และผู้ประกอบการ โดยได้ดำเนินการจัดอบรมแล้ว จำนวน ๒๕ จังหวัด มีผู้เข้าร่วมอบรม ๓,๐๓๙ คน ๕. คลินิกผู้ประกอบการตลาดประชารัฐ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการพัฒนาชุมชน ได้จัดทำคลินิกผู้ประกอบการตลาดประชารัฐ ในระดับอำเภอ เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการที่ไม่มีประสบการณ์ค้าขาย ปัจจุบันได้พัฒนาไปแล้ว ๖,๒๙๘ ราย แบ่งเป็นการพัฒนาด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ ๒,๑๑๑ ราย ด้านประสบการณ์ค้าขาย ๒,๑๙๑ ราย ด้านประสานแหล่งทุนเพื่อต่อยอดการผลิตสินค้าให้ได้คุณภาพมาตรฐาน ๑,๙๐๔ ราย และด้านอื่น ๆ (ภาษาอังกฤษ การลงทะเบียน OTOP) ๙๒ ราย ๖. การส่งเสริมตลาดประชารัฐเพื่อการท่องเที่ยว ตลาดประชารัฐได้รับการยกระดับเป็นตลาดเพื่อการท่องเที่ยวจังหวัด ดำเนินการร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โดยจังหวัดคัดเลือกตลาดประชารัฐที่มีศักยภาพเพื่อเสนอเป็นกิจกรรมในการปฏิทิน “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน” จำนวนตลาด ๑๗๑ แห่ง จาก ๗๐ จังหวัด โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้รับข้อมูลตลาดประชารัฐเพื่อบรรจุในปฏิทิน “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน” แล้ว และบูรณาการร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในการประชาสัมพันธ์ตลาดประชารัฐในช่องทางสื่อต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง และมีการบรรจุตลาดประชารัฐไว้ในโปรแกรมแนะนำนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ๗. การสนับสนุนพื้นที่ในตลาดประชารัฐช่วยเหลือเกษตรกรนำสินค้าเกษตรมาจำหน่ายในตลาดประชารัฐ หน่วยงานที่กำกับดูแลตลาดประชารัฐได้สนับสนุนการรับสินค้าเกษตรเพื่อเป็นแหล่งระบายสินค้าทางการเกษตรตามฤดูกาลช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบภาวะสินค้าล้นตลาด โดยในเดือนมิถุนายน ๒๕๖๑ ได้ดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรในการจำหน่ายสินค้าข้าว ผักผลไม้ เกษตรอินทรีย์ และสินค้าแปรรูป มีเกษตรกร ๕,๗๐๒ ราย สร้างรายได้ ๒,๔๓๓,๓๖๔ บาท ๘. การประเมินโครงการเพื่อติดตามประเมินผลความสำเร็จโครงการตลาดประชารัฐ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการพัฒนาชุมชนได้จัดทำแบบสอบถามออนไลน์เพื่อติดตามประเมินผลความสำเร็จโครงการตลาดประชารัฐ ซึ่งผลการสำรวจพบว่า ผู้ซื้อมีความพึงพอใจในการใช้บริการตลาดประชารัฐ ๙. ก้าวต่อไปของโครงการตลาดประชารัฐ ได้แก่ ขยายตลาดประชารัฐในพื้นที่ให้เป็นตลาดกลางพืชผลทางการเกษตรของจังหวัดหรืออำเภอ และคัดเลือกตลาดประชารัฐที่มีการดำเนินการเป็นเลิศ (Best Practice) ของจังหวัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1112 | ผลการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2561 | ดศ | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เรื่องสืบเนื่อง จำนวน ๓ เรื่อง ได้แก่ โครงการติดตั้งระบบโครงข่ายโทรคมนาคมของการรถไฟแห่งประเทศไทย การทบทวนการขยายโครงข่ายเน็ตประชารัฐเพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ และการปรับปรุงหลักเกณฑ์การให้บริการโครงข่ายแบบเปิด (Open Access Network) ในการใช้งานโครงข่ายเน็ตประชารัฐ ๒. เรื่องเพื่อพิจารณา จำนวน ๓ เรื่อง ได้แก่ แนวทางการเตรียมโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเพื่อขับเคลื่อน 5G การจัดตั้งสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย และมาตรการสร้างและพัฒนากำลังคนภาครัฐเชิงกลยุทธ์เพื่อไปสู่ดิจิทัลไทยแลนด์ ๓. เรื่องเพื่อทราบ จำนวน ๕ เรื่อง ได้แก่ ผลการดำเนินงานของคณะกรรมการภายใต้พระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. ๒๕๖๐ ผลการดำเนินงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายเพื่อใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ศูนย์ข้อมูล (Data Center) และคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) รายงานการเป็นสมาชิกและผลการประชุมองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) (ร่าง) พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. .... และผลกระทบจาก EU General Data Protection Regulation (GDPR) และการบริหารกิจการดาวเทียมสื่อสารของประเทศไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1113 | ขอความเห็นชอบการจัดทำโครงการและลงนามหนังสือยืนยันการเข้าร่วมโครงการกับองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) | อก | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม (กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่) ร่วมกับองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Industrial Development Organization : UNIDO) ดำเนินโครงการส่งเสริมการนำแนวทางด้านเทคนิคที่ดีที่สุดและแนวการปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดมาใช้ลดการปลดปล่อยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนานประเภทปลดปล่อยโดยไม่จงใจจากโรงงานหลอมโลหะผ่านการปรับปรุงห่วงโซ่อุปทานของเศษโลหะให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Greening the Scrap Metal Value Chain through Promotion of BAT/BEP to Reduce U-POPs Releases from Recycling Facilities) เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก (Global Environment Facility : GEF) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการนำแนวทางด้านเทคนิคที่ดีที่สุดและแนวการปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดมาใช้ลดการปลดปล่อยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนานประเภทปลดปล่อยโดยไม่จงใจ เช่น ไดออกซินและฟิวแรนจากโรงงานหลอมโลหะ โดยกำหนดเป้าหมายการลดการปลดปล่อยต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ ๒๐ ภายในระยะเวลา ๕ ปี ๑.๒ ร่างหนังสือยืนยันการเข้าร่วมโครงการฯ กับ UNIDO ๑.๓ ให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้ลงนามหนังสือยืนยันการเข้าร่วมโครงการฯ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาผลสัมฤทธิ์ที่ได้จากโครงการฯ ทั้งระหว่างดำเนินการและเมื่อสิ้นสุดโครงการฯ เพื่อนำมาพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมในการขยายผลการดำเนินโครงการในระยะต่อไปหลังสิ้นสุดโครงการไปยังกลุ่มเป้าหมายในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่มีการปลดปล่อยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนานประเภทปลดปล่อยโดยไม่จงใจ (U-POPs) อื่น โดยส่งเสริมการดำเนินการร่วมกันระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรม (กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่) และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมควบคุมมลพิษ) รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และควรพิจารณากำหนดงบประมาณแบบบูรณาการในการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยไม่ก่อให้เกิดภาระงบประมาณหรือภาระทางการคลังในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายที่ฝ่ายไทยต้องร่วมสนับสนุนในการดำเนินการผ่านหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ที่ได้รับจัดสรรไว้แล้ว โดยให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเป็นลำดับแรก ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1114 | การทบทวนโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2561/62 | พณ | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการปรับปรุงสัดส่วนการแบ่งค่ารักษาข้าวเปลือก และรับทราบการปรับปรุงวิธีการเก็บรักษาข้าวเปลือกของสถาบันเกษตรกรในการดำเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๑/๖๒ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ กรณีเกษตรกรฝากเก็บข้าวไว้ที่สหกรณ์หรือสถาบันเกษตรกร ให้ปรับปรุงให้ค่าเก็บรักษาข้าวเปลือกตันละ ๑,๕๐๐ บาท จากมติคณะรัฐมนตรี (๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑) เดิมให้สหกรณ์ตันละ ๑,๐๐๐ บาท และเกษตรกรได้รับตันละ ๕๐๐ บาท ปรับเป็น “ให้เกษตรกรได้รับตันละ ๑,๐๐๐ บาท และสหกรณ์ได้รับตันละ ๕๐๐ บาท” ๑.๒ เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร ต้องเก็บรักษาข้าวเปลือกหลักประกันไว้ในยุ้งฉางหรือสถานที่เก็บของตนเองเท่านั้น ๑.๓ ปรับปรุงวิธีการเก็บรักษาข้าวเปลือกของสถาบันเกษตรกร ต้องเก็บรักษาข้าวเปลือกโดยบรรจุข้าวเปลือกในกระสอบป่านหรือถุง Big bag และวางเรียงในยุ้งฉางหรือสถานที่เก็บเพื่อสะดวกในการตรวจสอบ หรือเก็บข้าวในยุ้งฉางที่ยกพื้นสูง หรือไซโล (SILO) ยกเว้นกรณีเทกองจะต้องมีระบบการระบายอากาศเพื่อการรักษาคุณภาพข้าวเปลือกไม่ให้เสื่อมสภาพ ตลอดระยะเวลาโครงการ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีมาตรการเพื่อรองรับให้เกษตรกรในภาคกลางมีพื้นที่ในการเก็บข้าวด้วย เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าวให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ และควรมีการประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ได้มีการทบทวนใหม่อย่างทั่วถึงและก่อนการดำเนินโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1115 | ข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมทั้งการปรับปรุงกฎหมาย กรณีการขายฝากตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ | สม | 04/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมทั้งการปรับปรุงกฎหมาย กรณีการขายฝากตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยกระทรวงยุติธรรมได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมายพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเสนอแนะของ กสม. สอดคล้องกับหลักการที่กำหนดในแผนการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมายที่กำหนดให้มีกลไกทางกฎหมายเพื่อขจัดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมในสังคม โดยกำหนดให้มีการพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมในการดำเนินการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวกับธุรกรรมการขายฝาก จึงได้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วนรับไปประกอบการพิจารณาดำเนินการแล้ว ซึ่งคณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วนได้จัดทำร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองประชาชนในการทำสัญญาขายฝากที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมหรือที่อยู่อาศัย พ.ศ. .... เสนอต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว รวมทั้งได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและหน่วยงานของรัฐต่อร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามนัยมาตรา ๗๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว และจะได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้แจ้ง กสม. ทราบต่อไป โดยให้แจ้งเพิ่มเติมไปด้วยว่า คณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วนได้จัดทำร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองประชาชนในการทำสัญญาขายฝากที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมหรือที่อยู่อาศัย พ.ศ. .... เสนอต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลพิจารณาให้ความเห็นชอบ รวมทั้งได้จัดให้มีการรับฟังความเห็นของประชาชนและหน่วยงานของรัฐต่อร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามนัยมาตรา ๗๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว และจะได้พิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1116 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ พ.ศ. .... | มท | 04/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลตาสัง ตำบลเจริญผล ตำบลตาหงาย และตำบลท่างิ้ว อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการจัดทำฐานข้อมูลที่เป็นปัจจุบันและเผยแพร่ต่อสาธารณะให้ทราบว่ามีการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่นไปแล้วเท่าใด และใช้ฐานข้อมูลดังกล่าวเป็นฐานในการกำหนดผังเมืองรวมฉบับที่จะมีการปรับปรุงของแต่ละเมือง รวมทั้งควรมีการยกเว้นให้สามารถติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนขนาดเล็กเพื่อสนับสนุนภาคการเกษตรและใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ได้ นอกจากนี้ ควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองพิจารณาสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นของเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบลในพื้นที่ กำกับ ดูแล และอนุมัติการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะบริเวณริมฝั่งแม่น้ำปิงซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่ม รวมถึงพื้นที่ชนบทและเกษตรกรรม เพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมและรักษาสภาพแวดล้อมที่ดีของชุมชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1117 | ร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. .... และร่างกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวม 6 ฉบับ | นร09 | 04/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ รวม ๖ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการในการจัดการเลือกตั้ง การได้มาซึ่งผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้ง รวมทั้งกำหนดวิธีการดำเนินการตรวจสอบการเลือกตั้งเพื่อให้คณะกรรมการการเลือกตั้งสามารถดำเนินการตรวจสอบการเลือกตั้งได้ในเชิงรุก และปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นดังกล่าว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างพระราชบัญญัติเทศบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๕ ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๖ ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติในข้อ ๑.๑ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอ และที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติในข้อ ๑.๒ ถึงข้อ ๑.๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติฯ ทั้ง ๖ ฉบับ โดยคำนึงถึงการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามนัยมาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ กรณีตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจะก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณหรือภาระทางการคลังในอนาคต รวมถึงความคุ้มค่า ต้นทุน และประโยชน์ของภาครัฐและประชาชนที่จะได้รับ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1118 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พ.ศ. .... | นร | 04/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐ โดยปรับปรุงโครงสร้าง หน้าที่ และอำนาจของคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และคณะกรรมการลุ่มน้ำ และกำหนดให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติทำหน้าที่สำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการลุ่มน้ำ ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติให้ครอบคลุมถึงการป้องกันสาธารณภัย และให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดโครงสร้าง หน้าที่ และอำนาจของคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติและคณะกรรมการลุ่มน้ำควรสอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1119 | ขอขยายระยะเวลาการดำเนินงานโครงการภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี 2560/61 | กษ | 04/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขอขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี ๒๕๖๐/๖๑ จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ (๒) โครงการขยายการปลูกพืชปุ๋ยสด ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ และ (๓) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชอาหารสัตว์ ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ จากสิ้นสุดเดือนมิถุนายน ๒๕๖๑ เป็นสิ้นสุดในวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดติดตามให้การจ่ายเงินอุดหนุนเสร็จสิ้นภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๑ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาเร่งรัดการจ่ายเงินให้เกษตรกรโดยเร่งด่วน และเร่งรัดดำเนินโครงการในส่วนที่เหลือและกำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่า ประหยัด และทันต่อสถานการณ์ โดยพิจารณาเป้าหมายและประโยชน์ที่ได้รับตามที่กำหนดอย่างรอบคอบ รวมทั้งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน ตลอดจนประเมินผลการดำเนินการโครงการและรายงานให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวและคณะรัฐมนตรีทราบ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ในการดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในระยะต่อไป ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำผลการประเมินการดำเนินโครงการที่ผ่านมาเพื่อประกอบการปรับปรุงโครงการและกำหนดเงื่อนไขของโครงการให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของเกษตรกร เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายของโครงการอย่างแท้จริงด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1120 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 28/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๑.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รับไปประสานกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อพิจารณาแนวทางการร่างและตรวจพิจารณาร่างกฎหมายต่าง ๆ ที่จะต้องให้ความสำคัญกับการกำหนดบทลงโทษต่ำสุดและสูงสุดแก่ผู้ที่กระทำผิดกฎหมายทั้งที่เป็นโทษปรับและโทษทางอาญาให้เหมาะสมกับบริบทของการกระทำผิด โดยต้องคำนึงถึงผลกระทบต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อประชาชนในภาพรวม รวมทั้งการยอมรับของสังคมด้วย นอกจากนี้ ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้กระทำผิดเสียเอง ก็ควรจะกำหนดให้ต้องรับโทษสูงกว่าประชาชนโดยทั่วไปด้วย ๑.๒ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง เป็นต้น ศึกษาข้อมูลและพิจารณากำหนดแนวทางการชดเชยค่าที่ดินและทรัพย์สินที่ถูกเวนคืนอันเนื่องมาจากการดำเนินแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ของรัฐให้เหมาะสมและเป็นธรรมแก่เจ้าของทรัพย์สินหรือผู้ถือกรรมสิทธิ์นอกเหนือจากการจ่ายเป็นเงิน เพื่อลดภาระงบประมาณเพื่อการนี้ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นมาก และให้รายงานผลให้นายกรัฐมนตรีทราบด้วย ๒. ด้านสังคม มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยจัดให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ในทุกหมู่บ้านทั่วประเทศเพื่อตรวจสอบและติดตามผลการดำเนินโครงการเน็ตประชารัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นประสิทธิภาพของสัญญาณอินเทอร์เน็ต การเข้าใช้งาน จำนวนผู้ใช้งาน ปัญหา/อุปสรรคที่เกิดขึ้น และความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของประชาชน เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงและพัฒนาโครงการฯ ให้มีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้มากยิ่งขึ้นและมีความยั่งยืนในการดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยรวบรวมข้อมูลและรายงานผลให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยด่วนด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
