ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 163 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 3241 - 3260 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 3241 | ขอปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2541 เรื่อง มาตรการในการควบคุมการก่อสร้างอาคารของภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐอย่างอื่นที่อาจพึงมีในบริเวณกรุงรัตนโกสินทร์ | ทส | 19/05/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติให้ปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2541 เรื่อง มาตรการในการควบคุมการก่อ สร้างอาคารของภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐอย่างอื่นที่อาจพึงมีในบริเวณกรุงรัตนโกสินทร์ ตามที่ รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) ประธานกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมือง เก่า เสนอ โดยมติที่ปรับปรุงใหม่จะปรับเปลี่ยน ดังนี้ 1.1 ชื่อคณะกรรมการ จากเดิม คณะกรรมการโครงการกรุงรัตนโกสินทร์ เป็น คณะกรรมการอนุรักษ์ และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า 1.2 หน่วยงาน จากเดิม กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม เป็น กระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 2. ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ให้ควรปรับปรุง ข้อความจาก "ส่งเรื่องและแบบแปลนให้คณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า" เป็น "ส่ง เรื่องและแบบแปลนที่จะทำการก่อสร้างให้คณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า" และให้ กำหนดกรอบระยะเวลาให้คณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนา ฯ พิจารณาให้ความเห็นถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ภายในระยะเวลาสองเดือนเพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถวางแผนการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมอบหมายให้ หน่วยงานหรือสถาบันการศึกษาประเมินผลมาตรการในการควบคุมการก่อสร้างในบริเวณกรุงรัตนโกสินทร์นับตั้ง แต่ ปี พ.ศ. 2542 จนถึงปัจจุบันว่ามีผลดี หรือผลกระทบอย่างไรเกิดขึ้นบ้าง รวมทั้งกลไกการขับเคลื่อนมาตรการ ดังกล่าวโดยพิจารณาความเหมาะสมในการปรับปรุงและเสริมบทบาทของกรุงเทพมหานครซึ่งปัจจุบันมีความพร้อม ในการควบคุมการก่อสร้างอาคารในเชิงอนุรักษ์และพัฒนาอยู่แล้ว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 3242 | การปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 | นร | 19/05/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ของกระทรวง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่น (หนังสือสำนักงบประมาณ ลับ ด่วนที่สุด ที่ นร 0716/201 ลงวันที่ 18 พฤษภาคม 2552) 2. เห็นชอบให้สำนักงบประมาณนำข้อเสนอเกี่ยวกับการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ไปจัดทำเป็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 และเอกสารประกอบงบประมาณ โดยให้ส่งร่างพระราชบัญญัติงบประมาณราย จ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน และ แจ้งผลการพิจารณาให้สำนักงบประมาณทราบโดยตรง ก่อนนำไปจัดพิมพ์เป็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณราย จ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 และเอกสารประกอบงบประมาณ และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ ความเห็นชอบในวันอังคารที่ 2 มิถุนายน 2552 เพื่อนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3243 | แนวทางการบริหารของคณะกรรมการองค์การมหาชน | นร | 19/05/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบแนวทางการบริหารของคณะกรรมการองค์การมหาชน และให้องค์การมหาชนทุกแห่งนำไป ใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ 2. เห็นชอบปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2547 (เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์การ กำหนดอัตราเงินเดือน ฯ หลักเกณฑ์การกำหนดเบี้ยประชุม ฯ และการพัฒนาการดำเนินงานและการประเมินผล องค์การมหาชน) ที่อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 8 (ฝ่ายกฎหมาย ระบบ ราชการและการประชาสัมพันธ์) ข้อ 2.4 จากเดิม ที่กำหนดว่า "เห็นควรกำหนดกรอบวงเงินรวมสำหรับค่าใช้จ่าย ด้านบุคลากรสำหรับองค์การมหาชน เช่น เงินเดือน ค่าตอบแทน เบี้ยประชุม เป็นต้นไป ไว้ไม่เกินร้อยละ 30 ของ เงินอุดหนุนประจำปี หากองค์การมหาชนใดไม่สามารถดำเนินการให้อยู่ในกรอบวงเงินดังกล่าวได้ ให้เสนอคณะ รัฐมนตรีพิจารณายกเว้นเป็นราย ๆ ไป" เป็น "เห็นควรกำหนดกรอบวงเงินรวมสำหรับค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร สำหรับองค์การมหาชน เช่น เงินเดือน ค่าตอบแทน เบี้ยประชุม เป็นต้น ไว้ไม่เกินร้อยละ 30 ของเงินอุดหนุน ประจำปี หากองค์การมหาชนใดไม่สามารถดำเนินการให้อยู่ในกรอบวงเงินดังกล่าวได้ ให้นำเสนอต่อ ก.พ.ร. เพื่อ พิจารณาเป็นรายกรณี โดยให้ขอความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเพื่อประกอบการพิจารณา ด้วย" 3. ให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับข้อสังเกตของคณะ กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ว่า ในการ ดำเนินงานขององค์การมหาชน รวมถึงกองทุนและเงินทุนหมุนเวียนบางแห่งมีแนวทางการดำเนินงานที่คล้ายคลึง กับส่วนราชการ แต่มีการใช้จ่ายเกี่ยวกับบุคลากรและการดำเนินงานในอัตราที่สูงและมีลักษณะไม่ประหยัด จึงเห็น ควรพิจารณาทบทวนภารกิจ ผลการดำเนินงาน โครงสร้างองค์กร และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ขององค์กร รวมทั้งอาจ พิจารณายุบเลิกหน่วยงานดังกล่าวอย่างจริงจัง ไปพิจารณาด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3244 | ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องรวม 3 ฉบับ | ศธ | 13/05/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ รวม 3 ฉบับ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนัก งานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ดังนี้ 1.1 ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แยกเขตพื้นที่การ ศึกษาออกเป็นของประถมศึกษาและของมัธยมศึกษา 1.2 ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระ สำคัญคือ แยกเขตพื้นที่การศึกษาออกเป็นของประถมศึกษาและของมัธยมศึกษา 1.3 ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มี สาระสำคัญคือ ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการข้าราชการครู และบุคลากรทาง การศึกษา 2. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับข้อสังเกตของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาด้วยว่าใน การปรับปรุงการกำหนดเขตพื้นที่การศึกษาและการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการและคณะอนุกรรม การดังกล่าวไม่ควรเพิ่มอัตรากำลังและงบประมาณของหน่วยงาน และเนื่องจากปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐานมีเขตพื้นที่การศึกษาทั้งสิ้น 185 เขต ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ในชั้นต้นควรปรับเกลี่ย ความรับผิดชอบของเขตพื้นที่การศึกษาที่มีอยู่เดิมยังไม่ควรกำหนดให้มีสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเพิ่มขึ้นโดย ไม่จำเป็น ทั้งนี้ ควรเน้นเรื่องศักยภาพความพร้อมของบุคลากรที่เหมาะสมกับการปฏิบัติภารกิจแต่ละระดับการ ศึกษาและขนาดของพื้นที่ที่เขตพื้นที่การศึกษาจะสามารถดูแลได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3245 | ร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย พ.ศ. .... | นร | 13/05/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะ
กรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้นำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติ ฯ มีสาระสำคัญดังนี้ 1. ให้มีคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายที่ดำเนินการเป็นอิสระ มีหน้าที่หลักในการปรับปรุงและพัฒนากฎ หมายของประเทศให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ สำรวจ ศึกษา และวิเคราะห์ทางวิชาการต่าง ๆ เพื่อวางเป้าหมาย นโยบาย พร้อมทั้งจัดทำแผนโครงการ และมาตรการต่าง ๆ ในการปฏิรูปกฎหมายอย่างเป็นระบบ 2. ให้มีสำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายมีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐที่เป็นนิติบุคคลและอยู่ภาย ใต้การกำกับดูแลของประธานกรรมการ มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับกิจการทั่วไปของคณะกรรมการ และงานด้าน ธุรการของคณะกรรมการ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3246 | ขอเปลี่ยนแปลงวงเงินงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ของกระทรวงมหาดไทย | มท | 13/05/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอขอเปลี่ยนแปลงวงเงินงบประมาณ
รายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ของกระทรวงมหาดไทย โดยให้มีวงเงินเป็นค่าใช้จ่ายตามโครงการสนับ สนุนงบบริหารจัดการผู้ว่าราชการจังหวัดแบบบูรณาการ (งบผู้ว่า ฯ CEO) ของสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย จำนวน 750 ล้านบาท แยกเป็นวงเงินจำนวน 375 ล้านบาท ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาปรับปรุงรายการ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 รองรับแล้ว ให้ส่งข้อเสนอการปรับปรุงดังกล่าวให้สำนักงบ ประมาณตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2552 (เรื่อง การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2553) โดยด่วนต่อไป ส่วนวงเงินส่วนที่เหลืออีกจำนวน 375 ล้านบาท ให้กระทรวงมหาดไทยได้ รับสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมจากกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 (งบกลาง)
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3247 | สรุปผลการเข้าประชุมคณะกรรมการพัฒนาการของธนาคารโลก ครั้งที่ 78 | นร | 06/05/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
สรุปผลการเข้าประชุมคณะกรรมการพัฒนาการของธนาคารโลก (Development Committee) ครั้งที่ 78 ระหว่าง วันที่ 24-26 เมษายน 2552 ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีประเด็นสำคัญสรุปได้ดังนี้ ที่ประชุม คณะกรรมการ ฯ พิจารณาเห็นว่า ธนาคารโลกควรดำเนินการตามข้อสรุปของ G20 ในการระดมทุน และกระจาย เงินกู้และเงินช่วยเหลือต่อประเทศที่เดือดร้อนโดยให้ปรับวิธีการดำเนินงานให้มีความรวดเร็ว และทบทวนข้อกำหนด ต่าง ๆ เช่น single borrower limit เป็นต้น ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ สำหรับการใช้เงินของธนาคารโลกเพื่อฟื้นฟู เศรษฐกิจของประเทศสมาชิกควรจะมีแผนงานที่มีความสมดุลระหว่างการพยุงเศรษฐกิจในระยะสั้น และการสร้างพื้น ฐานที่เข้มแข็งเพื่อการพัฒนาในระยะยาว โดยพิจารณาให้แผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจช่วยสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรม และผลิตภาพการผลิต การสร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ การส่งเสริมความมั่นคงและประสิทธิ ภาพการใช้พลังงาน และการรักษาสิ่งแวดล้อม เป็นต้น รวมทั้งทบทวนความพอเพียงของทุน (Capital Adequacy) ในการดำเนินการ และแนวทางการปรับปรุงการมีส่วนร่วมของประเทศสมาชิก (Voice and Participation) ในการ บริหารธนาคารโลกให้มีความเป็นธรรมมากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3248 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การกระจายรายได้ด้วยการสร้างสังคมสวัสดิการ" | สสป | 06/05/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะของ สภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "การกระจายรายได้ด้วยการสร้างสังคมสวัสดิการ" ดังนี้ 1.1 กำหนดการสร้างสังคมสวัสดิการให้เป็นวาระแห่งชาติ 1.2 สร้างภาคีสังคมสวัสดิการจากภาคส่วนต่าง ๆ ของสังคมใน 3 รูปแบบ ได้แก่ 1.2.1 สวัสดิการโดยรัฐ (pubilc welfare) แบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ - การบริการสังคม (social service) ประกอบด้วย การบริการด้านการศึกษา สาธารณสุข ที่อยู่อาศัย บริการด้านสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน เช่น ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ เป็นต้น บริการจัดหางานทำ และ การได้รับความยุติธรรมจากกระบวนการยุติธรรม - การประกันสังคม (social insurance) ประกอบด้วย การประกันเจ็บป่วย และประสบอัน ตราย ประกันทุพพลภาพ การประกันคลอดบุตร การสงเคราะห์บุตร การประกันชราภาพ การประกันการเสียชีวิต และการประกันการว่างงาน - การสงเคราะห์สังคม หรือการช่วยเหลือทางสังคม (social assistance) ได้แก่ การให้ความ ช่วยเหลือแก่คนที่อยู่ในภาวะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เช่น การช่วยเหลือเด็ก คนชรา คนพิการ คนเร่ร่อน เป็นต้น หรือผู้ ที่ตกอยู่ในภาวะวิกฤต เช่น ผู้ประสบภัยพิบัติ ไฟไหม้ น้ำท่วม เป็นต้น ทั้งนี้ แนวทางการสร้างสวัสดิการพื้นฐาน โดยรัฐให้มีบทบาทหลัก สามารถดำเนินการได้ 3 วิธี คือ การจัดการงบประมาณ การคลังเพื่อการกระจายรายได้ และการจัดให้มีระบบความมั่นคงทางสังคม (social security) 1.2.2 สวัสดิการโดยภาคธุรกิจ โดยการจัดสวัสดิการให้กับแรงงานลูกจ้างและแรงงานคล้ายลูกจ้าง เช่น ผู้รับงานไปทำที่บ้าน และเกษตรกรภายใต้พันธสัญญา โดยผ่านการปรับปรุงกฎระเบียบของทางราชการใน 3 ด้าน คือ - การคุ้มครองแรงงาน โดยการขยายการคุ้มครองแรงงานตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรง งานให้ครอบคลุมลูกจ้างทุกประเภท รวมถึงผู้รับงานไปทำที่บ้านด้วย - การประกันสังคม โดยให้มีการประกันสังคมถ้วนหน้าครอบคลุมแรงงานลูกจ้าง และคล้าย ลูกจ้างทุกประเภท - สวัสดิการแรงงานในลักษณะอื่น ๆ เป็นสวัสดิการแรงงานที่จัดขึ้นโดยนายจ้าง เช่น ที่พัก อาหารกลางวัน บริการรถโดยสาร เป็นต้น 1.2.3 สวัสดิการโดยชุมชน (Community welfare) รูปแบบในการจัดสวัสดิการสำหรับกลุ่มนี้ ได้แก่ การที่รัฐส่งเสริมและสนับสนุน โดยภาคชุมชนร่วมสมทบ สามารถจำแนกตามฐานการจัดสวัสดิการได้ดังนี้ - ขยายผลสวัสดิการบนฐานทรัพยากรและวัฒนธรรม - สนับสนุนสถาบันแรงงานที่ไม่เป็นทางการ - ส่งเสริมงบประมาณเพื่อการส่งเสริมสถาบันสวัสดิการชุมชน - สวัสดิการอื่น ๆ 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่น คงของมนุษย์ ร่วมกับสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรง งาน สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3249 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 | นร | 06/05/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบการกำหนดวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 จำนวน 1,700,000 บาท โดยเป็นนโยบายงบประมาณขาดดุล จำนวน 350,000 ล้านบาท รายได้จำนวน 1,350,000 ล้านบาท โดย อนุมัติให้ปรับโครงสร้างหนี้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 เพิ่มขึ้นอีกจำนวน 12,000 ล้านบาท 2. เห็นชอบรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ของกระทรวง ส่วนราช การ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น 3. เห็นชอบการยกเว้นมติคณะรัฐมนตรี กรณีรายจ่ายลงทุนที่ขออนุมัติผูกพันข้ามปีงบประมาณในปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2553 4. เห็นชอบการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 5. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นใดที่มีโครงการจำนวนมาก ให้ส่งผลการพิจารณาข้อ เสนอการปรับปรุงให้สำนักงบประมาณได้ภายในวันที่ 15 พฤษภาคม 2552
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3250 | โครงการจัดทำข้อเสนอประเทศไทยเพื่อผลักดันเป็นข้อกำหนดเพิ่มเติมของสหประชาชาติสำหรับการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำ | ยธ | 06/05/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
1. รับทราบการจัดงานเทิดพระเกียรติ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ในวโรกาสที่ได้รับ การทูลเกล้า ฯ ถวายรางวัลเกียรติยศสูงสุดจากสหประชาชาติ ภายใต้หัวข้อหลัก (theme) "เจ้าหญิงนักกฎหมาย" ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ระหว่างวันที่ 7-10 พฤษภาคม 2552 โดยมีกิจกรรมประกอบด้วยการจัดนิทรรศการ จำลองบรรยากาศของเรือนจำ และการใช้สื่อแบบ multimedia ในการถ่ายทอดแง่มุมต่าง ๆ เกี่ยวกับปัญหาของผู้ ต้องขังหญิง และเด็กติดผู้ต้องขัง รวมทั้งเผยแพร่สื่อสิ่งพิมพ์เรื่อง (1) ร่างข้อกำหนดของสหประชาชาติสำหรับการ ปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำ (2) โครงการกำลังใจในพระดำริ ฯ และ (3) โครงการหนึ่งเสียงเพื่อยุติความรุน แรงต่อสตรีของพระเจ้าหลานเธอ ฯ ในฐานะทูตสันถวไมตรีของ United Nations Development Fund for Women (UNIFEM) ประจำประเทศไทย 2. เห็นชอบให้กระทรวงยุติธรรม เป็นหน่วยงานหลักในการผลักดันโครงการ ELEI ในพระดำริ ฯ ให้ สำเร็จลุล่วงต่อไป ซึ่งมีกิจกรรมที่ต้องดำเนินการต่อเนื่อง อาทิ การเจรจาโน้มน้าวทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี การเข้าร่วมประชุมในระดับภูมิภาคตามกรอบที่สหประชาชาติกำหนด ไปจนถึงการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชา ชาติประจำปี (UN General Assembly) เพื่อให้ความเห็นชอบร่างข้อกำหนดที่ประเทศไทยนำเสนอ รวมถึงการเดิน ทางไปชี้แจงทำความเข้าใจในการประชุมสมาคมวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติผู้ต้องขัง เช่น American Society of Criminology, International Corrections and Prisons Association ฯลฯ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติให้การสนับสนุนต่อไป 3. ให้จัดตั้งคณะทำงานระดับชาติ (National Preparatory Committee) โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ยุติธรรมเป็นประธาน เพื่อเตรียมการด้านสารัตถะในนามประเทศไทยสำหรับการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการ ป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา ครั้งที่ 12 (Twelfth United Nations Congress on Crime Preven tion and Criminal Justice) ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนเมษายน พ.ศ. 2553 ณ ประเทศบราซิล 4. อนุมัติในหลักการให้มีการพิจารณาสนับสนุนงบประมาณให้กับกรมราชทัณฑ์สำหรับการปรับปรุง โครงสร้างพื้นฐานและพัฒนาระบบบริหารจัดการเรือนจำหญิงที่สอดคล้องกับร่างข้อกำหนดเพิ่มเติมของสหประชา ชาติสำหรับการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำที่ประเทศไทยนำเสนอ ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นแบบอย่างแก่ประเทศอื่น หรืออาจปรับปรุงเรือนจำที่มีอยู่เดิมให้เป็นเรือนจำต้นแบบ จำนวน 1 แห่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3251 | ขออนุมัติดำเนินการโครงการอ่างเก็บน้ำคลองหลวง จังหวัดชลบุรี | กษ | 28/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติในหลักการการดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำคลองหลวง จังหวัดชลบุรี เพื่อใช้เป็นแหล่งน้ำต้น ทุนให้แก่พื้นที่ชลประทาน รวมทั้งเป็นแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค การอุตสาหกรรมให้แก่พื้นที่ท้ายอ่าง เก็บน้ำ และบรรเทาอุทกภัยที่เกิดขึ้นเป็นประจำในพื้นที่อำเภอพานทอง อำเภอพนัสนิคม อำเภอเกาะจันทร์ อำเภอบ่อทอง และอำเภอเมืองชลบุรี งบประมาณดำเนินงานทั้งสิ้น 6,700 ล้านบาท แผนงานดำเนินงานโครง การ ระยะเวลา 7 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553-พ.ศ. 2559) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ 2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะ กรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเกี่ยวกับการเร่งรัดประชาสัมพันธ์ และสร้างความรู้ ความเข้าใจแก่ประชาชนใน การดำเนินโครงการ ฯ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมและรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกำหนด มาตรการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการ ฯ และดำเนินการปรับปรุงต้นทุน ค่าก่อสร้างโครงการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เนื่องจากต้นทุนค่าก่อสร้างมีแนวโน้มลดลง นอกจาก นี้ ให้ความสำคัญกับเรื่องการบริหารจัดการน้ำให้กับประชาชนที่ได้รับประโยชน์จากโครงการ ฯ เพื่อลดปัญหา ความขัดแย้งและให้เกิดความเป็นธรรมในเรื่องของการใช้น้ำในฤดูแล้ง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 3252 | ขอเบิกค่าใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ส่วนตัวในการประสานงานสำหรับการประชุมสุดยอดอาเซียนและการประชุมที่เกี่ยวข้อง | กต | 28/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศเบิกค่าใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ส่วนตัวของ
เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยซึ่งสังกัดส่วนราชการภายในประเทศ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ เฉพาะค่าใช้จ่ายใน รอบเดือนที่มีการติดต่อประสานงานเกี่ยวกับการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 15 การประชุมสุดยอดผู้นำกับคู่ เจรจา การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 42 รวมทั้งการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนกับ ประเทศคู่เจรจา ในช่วงก่อนและระหว่างการประชุม ทั้งนี้ ให้หัวหน้าส่วนราชการเจ้าของงบประมาณควบคุมดูแล รับผิดชอบการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวให้เป็นไปโดยถูกต้องเท่าที่จำเป็นเพื่อไม่ให้เป็นภาระกับงบประมาณ และ สำหรับส่วนราชการที่มีหน่วยงานประจำในต่างประเทศ ให้ถือปฏิบัติตามหนังสือกระทรวงการคลัง ที่ กค 0409. 5/ว49 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2549 ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง และให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะ รัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2550 (เรื่องการปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการติดตั้งและใช้โทรศัพท์ของ ทางราชการ) เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3253 | สรุปผลการดำเนินงานสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร | นร | 28/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) เสนอสรุปผลการ
ดำเนินงานสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.) โดยผลการดำเนินงานของ กฟก. ระหว่างวันที่ 24 กรกฎาคม 2551 ถึงวันที่ 10 มีนาคม 2552 ได้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารสำนักงาน โดยกระจาย บุคลากรตามที่มีอยู่ในโครงสร้างเดิมในจังหวัดที่ตั้งสำนักงานสาขา 13 สาขา ให้กระจายพนักงานทั้งระดับบริหาร และปฏิบัติการไปอยู่ในพื้นที่บริการแก่เกษตรกรสมาชิก 76 จังหวัด และปรับปรุงระบบบริหารสำนักงานใหม่ โดย จัดให้มีการทำแผนแม่บทการบริหารบุคคล และวางระบบบัญชี การเงิน และงบประมาณ เพื่อให้สามารถรายงาน งบดุลต่อคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาได้ รวมทั้งได้ปรับปรุงระเบียบหลักเกณฑ์ ที่เป็นอุปสรรคในการปฏิบัติงาน โดย เฉพาะระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงประสิทธิภาพบุคลากรและการใช้จ่ายงบประมาณของกองทุนเพื่อให้เกิด การประหยัดงบประมาณรายจ่าย นอกจากนี้ ได้จัดสวัสดิการให้แก่พนักงานและลูกจ้างสำนักงาน โดยจัดตั้งกอง ทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงาน ปรับปรุงหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลแก่พนักงาน ลูกจ้าง จัดค่าเบี้ยเสี่ยง ภัยให้กับพน้กงานที่ปฏิบัติงานใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และจัดค่าครองชีพให้กับพนักงานที่มีเงินเดือนต่ำกว่า 11,700 บาท รายละ 1,500 บาท ต่อเดือน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3254 | การประเมินผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการและการจัดสรร เงินรางวัลประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ของส่วนราชการจังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา | นร | 28/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สำนักงาน ก.พ.ร.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบผลการประเมินตามคำรับรองการปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ของส่วน ราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา และเห็นชอบหลักเกณฑ์ วิธีการ แนวทางการจัดสรรสิ่งจูงใจการจ่ายเงิน รางวัลสำหรับผู้ปฏิบัติและเงินเพิ่มพิเศษสำหรับผู้บริหารของส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษาที่มีการ จัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 2. รับทราบการดำเนินงานของสำนักงาน ก.พ.ร. ในการประสานสำนักงบประมาณเพื่อจัดงบประมาณ ไปตั้งจ่ายที่กรมบัญชีกลาง จำนวน 6,735 ล้านบาท สำหรับจ่ายเป็นเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ให้แก่หน่วยงานเพื่อหน่วยงานจัดสรรให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน จำนวน 5,550 ล้านบาท รวมทั้งจ่ายเป็นเงินเพิ่มพิเศษ สำหรับผู้บริหาร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 จำนวน 1,185 ล้านบาท 3. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธี การ แนวทางการจัดสรรสิ่งจูงใจการจ่ายเงินรางวัลสำหรับผู้ปฏิบัติและเงินเพิ่มพิเศษสำหรับผู้บริหารของส่วนราช จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษาที่มีการจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ต่อไป ด้วย ดังนี้ 3.1 เงินรางวัลและเงินเพิ่มพิเศษดังกล่าว ควรเป็นกลไกที่ช่วยลดปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบ ในวงราชการด้วย 3.2 การประเมินผลการปฏิบัติราชการเพื่อจ่ายเงินรางวัลหรือเงินเพิ่มพิเศษ นั้น ควรพิจารณาจาก การปฏิบัติราชการที่ได้ผลลัพธ์หรือผลผลิตไม่ต่ำกว่าเดิมแต่สามารถประหยัดงบประมาณค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น 3.3 การประเมินผลการปฏิบัติราชการเพื่อจ่ายเงินรางวัลหรือเงินเพิ่มพิเศษไม่ควรจะซ้ำซ้อนกับการ ปฏิบัติราชการที่ได้มีการจ่ายเงินรางวัลให้กับผู้ปฏิบัติราชการตามระเบียบ ข้อบังคับ หรือกฎหมายต่าง ๆ ไปแล้ว เช่น กรณีเจ้าหน้าที่ศุลกากรได้รับรางวัลนำจับแล้วจากผลงานการจับกุมสินค้าผิดกฎหมาย เป็นต้น 3.4 นอกเหนือจากการใช้เงินรางวัลและเงินเพิ่มพิเศษเพื่อเป็นแรงจูงใจในการปฏิบัติราชการแล้วควร พิจารณาหาแนวทางอื่นในการสร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้ปฏิบัติราชการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 3255 | ข้อเสนอมาตรการเพื่อลดผลกระทบจากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจต่อภาคอุตสาหกรรมไทย (การใช้พัสดุที่ผลิตในประเทศหรือเป็นกิจการของคนไทย) | อก | 21/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. ให้ส่วนราชการถือปฏิบัติเกี่ยวกับการใชัพัสดุที่ผลิตในประเทศหรือเป็นกิจการของคนไทย ตามข้อ 16 ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่า ด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2539 และ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2541 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2550 เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง หลักเกณฑ์การใชัพัสดุที่ผลิตในประเทศ อย่างเคร่งครัด 2. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมประสานขอความร่วมมือรัฐวิสาหกิจและองค์การมหาชนนำระเบียบ ฯ และ มติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวมาปรับใช้ตามความเหมาะสม และหาแนวทางและมาตรการในการรณรงค์ส่งเสริมการใช้ ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศ ตลอดจนการลดการใช้ผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศในอีกทางหนึ่ง 3. ให้กระทรวงมหาดไทยประสานขอความร่วมมือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ใช้พัสดุที่ผลิตในประเทศ หรือเป็นกิจการของคนไทย ทั้งนี้ ในการปฏิบัติดังกล่าวส่วนราชการควรระมัดระวังมิให้ขัดหรือแย้งกับข้อตกลงระหว่างประเทศต่าง ๆ เช่น ข้อตกลงขององค์การการค้าโลก การประกวดราคานานาชาติ เป็นต้น โดยอาจประสานกับกระทรวงพาณิชย์ ก่อนดำเนินการ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 3256 | ขออนุมัติขายเครื่องบิน Beechjet 400A และขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการชำระหนี้ส่วนต่างจากการขายเครื่องบิน ของสถาบันการบินพลเรือน | คค | 21/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติในหลักการให้สถาบันการบินพลเรือน (สบพ.) ขายเครื่องบิน Beechjet 400A เพื่อนำเงินที่ ได้รับจากการขายไปชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยให้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยให้ สบพ. ดำเนินการ ตามระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้พิจารณากำหนดราคาขายให้เหมาะสม เป็น ประโยชน์สูงสุด และสอดคล้องกับราคามาตรฐานกลาง (Aircraft Blue Book) และนำเงินที่ได้จากการขายเครื่อง บินดังกล่าวไปชำระหนี้เงินกู้ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ 2. เห็นชอบการสนับสนุนด้านงบประมาณเพื่อชำระหนี้ส่วนต่างจากการขายเครื่องบินดังกล่าวโดยให้ สบพ. ขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามความจำเป็นที่ต้องใช้ในแต่ละปี ส่วนค่าเสียหายที่จะเรียกเก็บได้จาก บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ให้ สบพ. นำไปชำระหนี้ค่าเครื่องบินที่ยังค้างอยู่ในเวลานั้นเป็นลำดับแรก และหากมีเงินคงเหลือให้ส่งคืนคลังเพื่อเป็นรายได้แผ่นดินต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ 3. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่ให้ สบพ. จัดทำและดำเนินการตาม แผนการปรับปรุงการบริหารจัดการเพื่อฟื้นฟูฐานะทางการเงินให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งให้กระทรวง คมนาคมกำหนดแนวทางการพัฒนา สบพ. ให้ชัดเจนในเรื่องบทบาทและหน้าที่ของการเป็นสถาบันหลักในการ ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรด้านการบินและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องของประเทศ และพิจารณาแนวทางระดมทุนใน รูปแบบอื่นเพื่อการสนับสนุนการดำเนินการของ สบพ. ให้สอดคล้องกับการเป็นสถาบันหลักดังกล่าวเพื่อสร้าง ความเชื่อมั่นต่อมาตรฐานการฝึกอบรมของ สบพ. ให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล รวมทั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมของ สำนักงบประมาณ ที่ให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลให้ สบพ. จัดทำแผนธุรกิจในการเพิ่มรายได้ของ สบพ. ทั้งใน ระยะสั้น และระยะปานกลาง เพื่อแก้ไขปัญหาสภาพคล่องทางการเงินให้มีความมั่นคง รวมทั้งการหาพันธมิตร การแลกเปลี่ยนความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้ผลประโยชน์ด้านเทคนิค วิชาการที่ทันสมัย และ แหล่งทุนอื่น ๆ เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระการลงทุนอีกทางหนึ่ง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 3257 | การปรับปรุงโครงสร้างส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ | ตช | 21/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา และร่างกฎกระทรวง จำนวน 2 ฉบับ ตามที่สำนัก
งานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ 1. ร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ 1.1 ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการและกำหนดอำนาจหน้าที่ของแต่ละส่วนราชการในสำนักงานตำรวจ แห่งชาติ โดยสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแบ่งเป็นส่วนราชการที่มีฐานะเทียบเท่ากองบัญชาการ จำนวน 8 หน่วยงาน และกองบัญชาการแบ่งเป็น 14 หน่วยงาน 1.2 ในระหว่างที่ยังไม่ได้ประกาศกำหนดหน่วยงานและเขตอำนาจการรับผิดชอบหรือเขตพื้นที่การปก ครองของส่วนราชการตามมาตรา 6 ให้นำพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง และประกาศที่ใช้อยู่ในวันก่อนวันที่พระ ราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับมาใช้บังคับโดยอนุโลม 2. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่ง ชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ 2.1 แบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 15 หน่วยงาน 2.2 การแบ่งส่วนราชการในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นกองกำกับการ ฝ่าย กลุ่มงาน ศูนย์ สถานี ตำรวจ หรือส่วนราชการอย่างอื่นที่มีฐานะต่ำกว่าระดับกองบังคับการและการกำหนดอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ ดังกล่าวให้ออกเป็นระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3258 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "นโยบายส่งเสริมศาสนาในการพัฒนาสังคม" | สสป | 21/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะ ของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "นโยบายส่งเสริมศาสนาในการพัฒนาสังคม" สรุปได้ดังนี้ 1.1 นโยบายเร่งด่วนที่ควรรีบดำเนินการ มีดังนี้ 1.1.1 ควรถือการส่งเสริมศาสนาเป็นนโยบายที่สำคัญของชาติ โดยการจัดทำแผนทำนุบำรุง ส่งเสริมศาสนาแห่งชาติ เพื่อเป็นกรอบและแนวทางในการทำนุบำรุงส่งเสริมศาสนาให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด ไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 79 1.1.2 ควรจัดทำยุทธศาสตร์การส่งเสริมบทบาทของศาสนาซึ่งรวมทั้งศาสนสถาน ศาสนวัตถุ ศาสนพิธี ศาสนบุคคล ศาสนธรรม ในการป้องกันแก้ไขปัญหาสังคม การพัฒนาสังคม การส่งเสริมความสามัคคี ของประชาชนในชาติ รวมทั้งการส่งเสริมศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม และการพัฒนาชีวิตตามที่บัญญัติไวัในรัฐ ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปี พ.ศ. 2550 มาตรา 79 1.1.3 ควรเร่งรัดพระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา 1.1.4 ควรจัดให้มีการสอนวิชาศีลธรรม หน้าที่พลเมืองดี และประวัติศาสตร์ไทย ในหลักสูตร การศึกษาทุกระดับ 1.1.5 ควรเพิ่มงบประมาณในการส่งเสริมศาสนา ศีลธรรม คุณธรรม และจริยธรรมให้มากขึ้น 1.2 นโยบายที่ควรเร่งดำเนินการในระยะยาว มีดังนี้ 1.2.1 ควรจัดให้มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับนโยบายการส่งเสริมศาสนาในการพัฒนาสังคม โดย ให้ครอบคลุมมากขึ้นทั้งในเชิงกว้างและเชิงลึกเพื่อศึกษาปัญหาการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ 1.2.2 ควรจัดให้มีการประชุมสัมมนาและการอบรมผู้บริหารสถานศึกษา ครู และอาจารย์ของ สถานศึกษาในทุกระดับเกี่ยวกับการบูรณาการศาสนาและการศึกษาเพื่อให้ศาสนาเป็นรากฐานของการศึกษาให้ เยาวชนมีคุณธรรมนำความรู้สู่การพัฒนา 1.2.3 ควรสนับสนุนการจัดตั้งและการดำเนินงานของโรงเรียนวิถีพุทธ และโรงเรียนที่ส่งเสริม การสอนศาสนา ศีลธรรม คุณธรรม และจริยธรรม 1.2.4 รัฐบาล รวมทั้งหน่วยงานและองค์การที่เกี่ยวข้องควรปรับปรุงยุทธศาสตร์และกลวิธีการ เผยแพร่ศาสนา ศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรมจากการดำเนินงานในเชิงรับเป็นเชิงรุก 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ทั้งนี้ ให้กระทรวงวัฒนธรรมไปดำเนิน การตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2551 (เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง แนวทางการ ดำเนินการของคณะรัฐมนตรีในเรื่องที่สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้คำปรึกษา ข้อเสนอแนะ หรือ ความเห็นต่อคณะรัฐมนตรี) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3259 | ข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ของรัฐวิสาหกิจ | กค | 07/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบต่อข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ของรัฐ วิสาหกิจ 3 แห่ง ได้แก่ การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และองค์การขนส่งมวล ชนกรุงเทพ (ขสมก.) ตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในการประชุมครั้งที่ 1/2552 เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2552 โดยคณะกรรมการ ฯ เห็นชอบกรอบวงเงินอุดหนุนทางการเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 สำหรับ กปภ. จำนวน 1,174.711 ล้านบาท และ รฟท. จำนวน 2,355 ล้านบาท ตามที่กระทรวง การคลังเสนอ ส่วนกรณีของ ขสมก. เนื่องจากกระทรวงคมนาคมแจ้งว่า ขสมก. ไม่สามารถให้บริการรถโดยสารตาม โครงการเช่ารถ NGV จำนวน 4,000 คัน ได้ทันในปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 จึงเห็นชอบกรอบวงเงินอุดหนุนบริการ สาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ของ ขสมก. จำนวน 1,128 ล้านบาท ตามข้อเสนอของกระทรวงคมนา คม 2. ให้กระทรวงมหาดไทย (การประปาส่วนภูมิภาค) และกระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย และ ขสมก.) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ให้ กปภ. จัดทำ ระบบบัญชี โดยแยกบัญชีรายได้และค่าใช้จ่ายของการให้บริการเชิงพาณิชย์และเชิงสังคม เพื่อให้การคำนวณต้นทุน และประมาณการทางการเงินมีความชัดเจน และให้ความสำคัญในการบริหารต้นทุนการผลิตและการดำเนินงานให้ มีประสิทธิภาพ กับให้ รฟท. เร่งนำเสนอแผนฟื้นฟูกิจการต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูป ธรรมโดยเร็วทั้งในการปรับองค์กร การบริหารจัดการเพื่อเพิ่มรายได้และลดรายจ่าย รวมทั้งสร้างมูลค่าเพิ่มจากสิน ทรัพย์ของ รฟท. และให้ ขสมก. พิจารณาดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2551 ที่เห็นชอบ การปรับปรุงการบริหารจัดการและการบริการของระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพโดยเฉพาะการปรับโครงสร้างองค์กร และอัตรากำลังเพื่อลดค่าใช้จ่ายดำเนินงานในภาพรวม และทบทวนประมาณการฐานะการเงินให้สอดคล้องกับแนว ทางการดำเนินงานดังกล่าว รวมทั้งให้รับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับขั้นตอนการขอรับการจัดสรรงบ ประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ของรัฐวิสาหกิจทั้ง 3 แห่ง จะต้องแสดงเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ในการเสนอขออนุมัติปรับราคาที่เป็นธรรมในทุกมิติ ทั้งในมิติความเป็นธรรมของประชาชน มิติความเป็นธรรมของ องค์กร และมิติความเป็นธรรมของรัฐ และแสดงให้เห็นว่าหากปรับราคาค่าบริการอย่างเป็นธรรมและหากจำเป็น ต้องปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาล องค์กรจะมีรายได้และการบริหารจัดการเป็นอย่างไร นอกจากนี้ ให้มีการประเมิน ผลการดำเนินงานเพื่อประโยชน์ในการพิจารณาการขอรับเงินอุดหนุนในปีต่อ ๆ ไป และปรับโครงสร้างราคาค่า บริการให้สอดคล้องกับต้นทุนการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ เพื่อลดวงเงินอุดหนุนการบริการสาธารณะในปี ต่อ ๆ ไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 3260 | รายงานผลการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่จังหวัดปทุมธานีของรองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) | นร | 07/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอรายงานผลการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่จังหวัดปทุมธานีของรองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2552 โดยมีผลการกำกับและติดตาม สรุปได้ ดังนี้
1.1 การดำเนินงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล 1.1 การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด 1.2 การสร้างความสมานฉันท์และความปรองดองของคนในชาติ 1.3 การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมษณ 1.4 การขึ้นทะเบียนและเตรียมการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 1.5 การแก้ไขปัญหาการเลิกจ้างแรงงาน 1.6 การช่วยเหลือค่าครองชีพแก่ผู้ประกันตนที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท 1.7 การส่งเสริมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) 1.8 การสนับสนุนการจัดการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 1.2 การพิจารณาแก้ไขปัญหาเร่งด่วนที่จังหวัดปทุมธานีขอรับการสนับสนุน ได้แก่ การแก้ไขปัญหาการประกอบอาชีพของราษฎร โดยการปรับปรุงพื้นที่สวนให้เป็นพื้นที่นาข้าวและปรับปรุงสภาพดินเปรี้ยว และการแก้ไขปัญหาประชาชนไม่มีน้ำดื่มสะอาดของอำเภอธัญบุรี 1.3 การมอบนโยบายแก่ผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าหน้าที่ของจังหวัดในเรื่องการสร้างความมั่นคงของประเทศ การเทิดทูน ปกป้อง รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมทั้งการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมและผู้มีอิทธิพล
|
|||||||||||||||||||||||||||
.....
