ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 161 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 3201 - 3220 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 3201 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลุ่มน้ำท่าจีน โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน | สสป | 25/08/2552 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลุ่มน้ำท่าจีน โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน" และรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอความ เห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยว ข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอและของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. จัดทำแผนการพัฒนาจังหวัดในแม่น้ำท่าจีน โดยการมีส่วนร่วมของประชาชนให้สอดคล้องกับศักย ภาพของพื้นที่ และกำหนดให้เป็นพื้นที่สำคัญที่จะเป็นครัว และปอดของภาคกลาง และเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงนิ เวศน์ 2. ศึกษาและทดลองการปรับปรุงกลุ่มจังหวัดบูรณาการใหม่ตามลุ่มน้ำหลักโดยจัดให้จังหวัดในลุ่มน้ำ ท่าจีนเป็นกลุ่มจังหวัดบูรณาการนำร่อง ประกอบด้วยจังหวัดชัยนาท สุพรรณบุรี นครปฐม และสมุทรสาครเพื่อ ให้กลุ่มจังหวัดสามารถประสานการพัฒนา และจัดระบบการบริหารจัดการลุ่มน้ำท่าจีนร่วมกันอย่างมีประสิทธิ ภาพ มีการพัฒนาที่สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ วิถีวัฒนธรรมของท้องถิ่น และรักษาระบบนิเวศน์แม่น้ำท่า จีน 3. ให้กรมชลประทาน และจังหวัดนครปฐมสร้างกระบวนการวางแผน โดยการมีส่วนร่วมของประชา ชนในการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากประตูระบายน้ำอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการป้องกันไม่ให้เกิดสภาพน้ำเน่าเสีย และการเกิดปัญหาน้ำท่วมที่เกิดจากการขวางกั้นของประตูระบายน้ำ 4. เร่งรัดจัดทำผังเมืองโดยการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างเร่งด่วนในจังหวัดลุ่มน้ำท่าจีน 5. จัดให้มีแผนงานและมาตรการคุ้มครองพื้นที่ชุ่มน้ำแม่น้ำท่าจีน ตามกรอบมติคณะรัฐมนตรีว่าด้วย พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับชาติ
|
|||||||||||||||||||||
| 3202 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การติดตามประเมินผลการพัฒนาประเทศในปีแรกของแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 | สสป | 25/08/2552 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง การติดตามประเมินผลการพัฒนาประเทศในปีแรกของแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 และรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าว ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. ให้กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการ และปรับปรุงแผนบริหารราชการแผ่น ดินให้สอดคล้องกับเป้าหมาย แนวทางพัฒนา และแผนงานในแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 10 รวมทั้งในกรณีที่มีการ ปรับปรุงครึ่งแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 10 (Mid Plan Review) โดยเฉพาะแผนงานและโครงการพัฒนาที่เกี่ยวข้อง กับดัชนีชี้วัดที่ไม่เป็นไปตามแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 10 หรือต่ำกว่าเป้าหมายของแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 10 และใน การปรับปรุงครึ่งแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 10 ควรสนับสนุนให้มีหลักประกันสุขภาพตลอดชีวิต เพื่อการยกระดับ ความอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันในสังคมไทย 2. ให้ส่วนราชการระดับจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ให้ความสำคัญกับความสอด คล้องกันระหว่างแผนพัฒนาจังหวัดและแผนของ อปท. กับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้มากขึ้นเพื่อ ให้เป็นประโยชน์ต่อการบรรลุความสำเร็จของแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 10 ในระดับต่าง ๆ 3. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้รับผิดชอบการจัดทำแผน พัฒนาระดับภูมิภาค แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด แผนพัฒนาพื้นที่เฉพาะ รวมทั้งแผนพัฒนาที่เป็นนโยบายสำคัญ ของรัฐบาล และให้พิจารณาความเหมาะสมในการปรับปรุงพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน โดย เพิ่มเติมบทบัญญัติว่าด้วยการจัดทำนโยบายของรัฐบาล การแถลงนโยบายและผลงานของรัฐบาลต่อรัฐสภาต้อง แสดงความสอดคล้องระหว่างนโยบายของรัฐบาลกับวิสัยทัศน์และแนวคิดในการพัฒนาประเทศตามแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||
| 3203 | เงินกู้จากรัฐบาลญี่ปุ่นสำหรับโครงการปรับปรุงกิจการประปาแผนหลัก ครั้งที่ 8 | กค | 25/08/2552 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. รับหลักการของร่างหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่นสำหรับ โครงการปรับปรุงกิจการประปาแผนหลัก ครั้งที่ 8 และร่างสัญญาเงินกู้และร่างสัญญาค้ำประกันเงินกู้สำหรับโครง การปรับปรุงกิจการประปาแผนหลัก ครั้งที่ 8 และเอกสารที่เกี่ยวข้อง แล้วเสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบต่อไป 2. ให้การประปานครหลวงเป็นผู้ลงนามในสัญญาเงินกู้ และกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ 3. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนาม ในนามรัฐบาลไทยในหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น สัญญาค้ำประกัน เงินกู้กับองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น และเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับโครงการ
|
|||||||||||||||||||||
| 3204 | ข้อเสนอเพื่อการจัดตั้งสำนักกิจการฮัจย์ประเทศไทย และกงสุลฮัจย์ ประจำประเทศซาอุดีอาระเบีย | มท | 18/08/2552 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศจัดตั้งกงสุลฮัจย์ ประจำประเทศซาอุดิอาระเบีย ตามที่กระทรวง การต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของที่ประชุม ก.พ.ร. ครั้งที่ 6/2552 เมื่อวัน ที่ 27 กรกฎาคม 2552 เกี่ยวกับการจัดตั้งฝ่ายกงสุลด้านกิจการฮัจย์ในสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองเจดดาห์ ประเทศ ซาอุดีอาระเบียเพื่อรับผิดชอบกิจการฮัจย์โดยเฉพาะ และการปรับปรุงสำนักงานชั่วคราวของคณะผู้แทนฮัจย์ไทย ที่ เมืองเจดดาห์ เมกกะ และมาดีนะห์ ไปพิจารณาด้วย 2. ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และศูนย์ อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทย เกี่ยวกับการจัดตั้ง ศูนย์บริการประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อทำหน้าที่ดูแลและอำนวยความสะดวกในการดำเนิน กิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการฮัจย์ของชาวไทยผู้นับถือศาสนาอิสลามในพื้นที่ดังกล่าว |
|||||||||||||||||||||
| 3205 | ผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 3/2552 | นร | 18/08/2552 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ) ประธานกรรมการกำกับ
นโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) เสนอผลการประชุมคณะกรรมการ กนร. ครั้งที่ 3/2552 เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2552 โดยมีผลการประชุมสรุปได้ดังนี้ 1. ที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจประจำช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม 2552 และการ เพิ่มบทบาทภาคเอกชนในรัฐวิสาหกิจ (Public-Private Partnership : PPP) และมอบให้คณะอนุกรรมการกำกับการ ดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์การปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการเพื่อฟื้นฟูฐานะทางการเงินของการรถไฟ แห่งประเทศไทย ติดตามกำกับการดำเนินงานตามแผนฟื้นฟูทางการเงินของการรถไฟ ฯ เพื่อเป็นไปตามแผนที่ได้ กำหนดไว้ 2. ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมี ข้อสังเกตเกี่ยวกับบทบาทขององค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ควรเป็นผู้สนับสนุนการดำเนินงานหรือเป็นผู้ ประกอบการโดยตรง และความซ้ำซ้อนในการดำเนินงานของ อ.ต.ก. และองค์การคลังสินค้า (อคส.) และพิจารณา ความสอดคล้องในการจัดตั้งบริษัทลูกเพื่อดำเนินการด้านผลิตภัณฑ์นมกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งขอบเขตการ ดำเนินงาน การปรับปรุงสะพานปลาและท่าเทียบเรือให้ได้มาตรฐาน และการยุบเลิกกิจการบริษัท ส่งเสริมธุรกิจ เกษตรกรไทย จำกัด ไปประกอบการพิจารณาด้วย 3. ที่ประชุมเห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ร่วม กันดำเนินการแก้ไขปัญหาบริษัท ไม้อัดไทย จำกัด รวมทั้งการพิจารณาสถานภาพการดำเนินงานของบริษัท ฯ ใน ระยะต่อไป ให้พิจารณาถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับพนักงาน หากต้องมีการยุบเลิกกิจการ และกำหนดมาตรการ รองรับในกรณีดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 3206 | สรุปผลการประเมินองค์การมหาชนตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 | นร | 18/08/2552 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบผลการประเมินองค์การมหาชนและข้อเสนอการปรับปรุงองค์การมหาชน ตามมติคณะกรรม การพัฒนาระบบราชการ ครั้งที่ 5/2552 วันที่ 30 มิถุนายน 2552 ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ โดยมอบหมาย ให้ ก.พ.ร. รับข้อเสนอการปรับปรุงเกี่ยวกับการเร่งแก้ไขพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 เพื่อสนับสนุน การปฏิบัติการของหน่วยงานรูปแบบองค์การมหาชนให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น ไปดำเนินการต่อไป และมอบหมาย ให้รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายจัดตั้งขององค์การมหาชน 3 แห่ง ได้แก่ ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (ศ.ศ.ป.) สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (สบร.) และสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (สอซช.) รับข้อเสนอการปรับปรุงในส่วนที่เกี่ยวข้อง ไปดำเนินการร่วมกับคณะกรรมการองค์การมหาชนแต่ละแห่ง ต่อไป 2. ส่วนองค์การมหาชน (กลุ่มที่ 3) อีก 3 แห่ง ได้แก่ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (สคพ.) สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (สพพ.) และองค์การบริหารการพัฒนาพื้น ที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) ให้ดำเนินการดังนี้ 2.1 กรณี สคพ. และ สพพ. มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่าง ประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปพิจารณาร่วมกันเพื่อบูรณาการ องค์การมหาชนทั้งสองแห่ง และกำหนดรูปแบบการบริหารจัดการองค์การมหาชนดังกล่าวให้เหมาะสม 2.2 กรณี อพท. มอบหมายผู้บริหาร อพท. หารือการปรับปรุงองค์กรในรายละเอียดร่วมกับ ก.พ.ร. และเสนอให้คณะอนุกรรมการการพัฒนารูปแบบการให้บริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีที่ ปรึกษานายกรัฐมนตรี (นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน) เป็นประธานคณะอนุกรรมการ ฯ พิจารณาด้วยเพื่อกำหนดแนว ทางการบริหารและพัฒนา อพท. ให้สามารถดำเนินงานตามอำนาจหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีผลเป็นรูป ธรรมมากยิ่งขึ้น 3. ให้ ก.พ.ร. และผู้เกี่ยวข้องตามข้อ 1. และข้อ 2. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องแล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีก ครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||
| 3207 | การปรับปรุงค่าห้องและค่าอาหารในการรักษาพยาบาลสำหรับผู้ปฏิบัติงานการเคหะแห่งชาติ | พม | 05/08/2552 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ปรับปรุงค่าห้องและค่าอาหารในการรักษาพยาบาลผู้ปฏิบัติงานของการเคหะแห่ง
ชาติ จากเดิม "เบิกได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินวันละ 800 บาท" เป็น "เบิกได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินวันละ 1,200 บาท" และให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับไปดำเนินการให้ถูกต้องตามข้อกฎหมายต่อไป ด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 3208 | ขอความเห็นชอบการปรับปรุงสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของการประปานครหลวงในส่วนของอัตราค่าห้องและค่าอาหาร | มท | 05/08/2552 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบให้การประปานครหลวงปรับอัตราค่าห้องและค่าอาหารประเภทคนไข้ในของโรงพยาบาล สำหรับผู้ปฏิบัติงาน จากเดิม "เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินวันละ 800 บาท" เป็น "เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงแต่ไม่ เกินวันละ 1,200 บาท" ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ในคราวประชุมครั้งที่ 3/2552 เมื่อ วันที่ 3 เมษายน 2552 ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ 2. ให้การประปานครหลวงรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันอาจ ส่งผลกระทบต่อรายได้จากการดำเนินงานของการประปานครหลวงในอนาคต เห็นควรให้การประปานครหลวง พิจารณาหามาตรการประหยัดค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานให้ครอบคลุมกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการปรับปรุง สวัสดิการในครั้งนี้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 3209 | ผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2552 | ทส | 28/07/2552 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2552 เมื่อวันที่ 15
กรกฎาคม 2552 ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีผลการประชุมสรุปได้ดังนี้ 1. ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้กรมทรัพยากรน้ำดำเนินการศึกษา สำรวจ ออกแบบโครงการบริหารจัดการ ทรัพยากรน้ำภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 รวมทั้งให้กรมทรัพยากรน้ำบาดาลดำเนินการสำรวจและพัฒนา แหล่งน้ำบาดาลตามที่ได้เสนอของบประมาณภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 (SP 2) รอบที่ 2 โดยกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสามารถปรับปรุงรายละเอียดให้เหมาะสม และให้เสนอขอแปรญัตติงบประมาณ ปี พ.ศ. 2553 2. ที่ประชุมมีมติเรื่อง การโอนกิจการบางอย่างให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในส่วนที่เกี่ยวกับ ระบบ ดังนี้ 2.1 จัดทำระบบฐานข้อมูลสารสนเทศการบริหารจัดการน้ำอุปโภคบริโภคในภาพรวมของประเทศโดย มีกรมทรัพยากรน้ำเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการ 2.2 จัดทำแผนการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคในภาพรวมของประเทศทั้งระบบ ได้แก่ การสำรวจออกแบบ ก่อสร้าง การปรับปรุงซ่อมแซม ดูแล และบำรุงรักษา รวมทั้งการบริหารจัดการ โดยให้กรม ทรัพยากรน้ำเสนอของบประมาณดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 2.3 ให้กรมทรัพยากรน้ำบาดาลสามารถให้ความช่วยเหลือแก่ท้องถิ่นในการจัดหาแหล่งน้ำในพื้นที่หา น้ำยาก โดยพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลและจัดทำระบบประปาหมู่บ้าน 2.4 ให้ฝ่ายเลขานุการ ฯ เสนอเรื่องขอทบทวนการถ่ายโอนภารกิจที่เกี่ยวกับการก่อสร้างและปรับปรุง ซ่อมแซมระบบประปาให้คณะกรรมการกระจายอำนาจ ฯ พิจารณา ในกรณีที่ อปท. ไม่สามารถดำเนินการได้หรือ ดำเนินการได้แต่ไม่มีประสิทธิภาพ ให้กรมทรัพยากรน้ำและกรมทรัพยากรน้ำบาดาลดำเนินการแทน
|
|||||||||||||||||||||
| 3210 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982" | สสป | 28/07/2552 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การเข้าเป็นภาคี อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982" ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เสนอ สรุปได้ดังนี้ 1.1 การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2550 ที่เห็นชอบในหลักการการเข้า เป็นภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 โดยการจัดทำกฎหมายกลางให้ครอบคลุมทุกเรื่อง ที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา ฯ ควรดำเนินการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา ฯ และออกกฎหมายกลาง เพื่อรองรับการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา ฯ ให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2553 เป็นอย่างช้า 1.2 ตั้งคณะกรรมการดำเนินการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา ฯ ขึ้นเป็นการเฉพาะ รวมทั้งจัดงบประมาณให้ เพียงพอต่อการดำเนินการ โดยให้ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานกรรมการ อธิบดีกรมสนธิสัญญาและ กฎหมาย เป็นกรรมการและเลขานุการ และให้มีกรรมการจากภาครัฐ ภาคเอกชน และนักวิชาการที่เกี่ยวข้อง 1.3 การดำเนินการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 190 เนื่องจากประเทศไทยได้มีการ ลงนามในอนุสัญญานี้ตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2525 ดังนั้น โดยบทเฉพาะกาลในมาตรา 305 (5) จึงไม่ต้องดำเนิน การตามมาตรา 190 วรรคสาม แต่ต้องดำเนินการเพื่อให้รัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา ฯ และก่อนการให้สัตยาบันอนุสัญญา ฯ รัฐบาลต้องดำเนินการตามมาตรา 190 วรรคสี่ 1.4 การดำเนินการเพื่อให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา ฯ เนื่องจากอนุสัญญานี้ เกี่ยวกับกฎหมายทะเลค่อนข้างเป็นเรื่องทางเทคนิคเฉพาะทาง ในการชี้แจงรายละเอียดหรือตอบคำถามในรัฐสภาจึง ควรขออนุญาตรัฐสภาให้ดำเนินการโดยคณะผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ 1.5 การทำคำประกาศ (Declaration) ประกอบการให้สัตยาบันอนุสัญญา ฯ รัฐควรทำคำประกาศดัง กล่าวประกอบไปด้วย โดยสาระสำคัญของคำประกาศให้คณะกรรมการดำเนินการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา ฯ ทำการ ศีกษาและร่างคำประกาศเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศไทยมากที่สุด 1.6 ให้คณะกรรมการดำเนินการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา ฯ และคณะอนุกรรมการจัดการความรู้เพื่อผล ประโยชน์แห่งชาติทางทะเลดำเนินการให้ความรู้ และช่วยเหลือด้านเทคนิคที่เกี่ยวกับอนุสัญญา ฯ เพื่อจะได้สามารถ ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขหรือออกกฎหมายในการรองรับกฎหมายกลางที่ออกเพื่ออนุวัติการตามอนุสัญญา ฯ 1.7 ดำเนินการจัดการผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเลอย่างเป็นระบบและบูรณาการเพื่อประโยชน์สูงสุด ของประเทศ โดยทำการศึกษาและตั้งหน่วยงานกลางทำหน้าที่เสนอแนะและกำกับดูแลนโยบายผลประโยชน์แห่งชาติ ทางทะเลในภาพรวมทั้งระบบ 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา ผลการดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวง กลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานอัยการสูง สุด และผู้แทนคณะอนุกรรมการจัดการความรู้เพื่อผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล
|
|||||||||||||||||||||
| 3211 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง กระบวนการคุ้มครองสิทธิของประชาชน กรณีหน่วยงานของรัฐกระทำการอันไม่ชอบด้วยกฎหมาย | สสป | 28/07/2552 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง กระบวนการ คุ้มครองสิทธิของประชาชนกรณีหน่วยงานของรัฐกระทำการอันไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ดังนี้ 1.1 ด้านการสร้างแนวความคิดพื้นฐาน 1.1.1 สร้างแนวความคิดพื้นฐานที่เกี่ยวกับกฎหมายมหาชน โดยเฉพาะแนวความคิดที่เกี่ยวกับกฎ หมายปกครอง ประโยชน์สาธารณะ ตลอดจนการมีส่วนร่วมของประชาชนให้กับหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐอันจะ นำไปสู่ความเข้าใจและการปรับใช้บัญญัติแห่งกฎหมายให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ที่วางไว้และสร้างแนวความคิดพื้น ฐานดังกล่าวให้กับประชาชนต่าง ๆ เพื่อให้สามารถใช้สิทธิของตนตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายรับรองไว้ได้อย่าง ถูกต้องและเหมาะสม 1.2 ด้านการสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจากกระบวนการใช้สิทธิของประชาชน 1.2.1 สร้างกระบวนการเรียนรู้ให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการใช้สิทธิของประชาชนเพื่อ ประโยชน์ต่อการคุ้มครองสิทธิของประชาชนตามรัฐธรรมนูญและการบริหารราชการแผ่นดิน 1.2.2 สร้างกระบวนการเรียนรู้ในการใช้สิทธิให้กับประชาชนและสังคม เนื่องจากการใช้สิทธิของ ประชาชนในการโต้แย้งหน่วยงานของรัฐอาจก่อให้เกิดผลเสียทางด้านต่าง ๆ ได้ 1.2.3 ให้ความรู้กับประชาชนในเรื่องของการควบคุมการใช้อำนาจรัฐเพื่อให้ประชาชนมีความเข้า ใจว่าเรื่องใดเป็นเรื่องทางนโยบาย เรื่องใดเป็นเรื่องทางปกครองที่อยู่ภายใต้นโยบายของรัฐ เพื่อให้ประชาชนรู้ว่าใน กรณีที่ประชาชนได้รับผลกระทบจากเรื่องดังกล่าวกลไกหรือวิธีการโต้แย้งจะสามารถทำอย่างไรได้บ้าง 1.3 ด้านการปรับปรุงวิธีการคิดและวิธีการทำงานของหน่วยงานของรัฐ 1.3.1 ปรับปรุงวิธีการคิดและวิธีการทำงานของเจ้าหน้าที่ เนื่องจากกฎหมายและกฎเกณฑ์ หรือ ระเบียบต่าง ๆ และวิธีในการปฏิบัติงานของหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐที่กำหนดขึ้นมา โดยหน่วยงานของรัฐเหล่านั้น บางเรื่องถูกกำหนดขึ้นมาไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายหรือไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม 1.4 ด้านการกำหนดให้มีกฎหมายที่เหมาะสม 1.4.1 กำหนดให้มีองค์กรที่มีลักษณะเป็นองค์กรสาธารณะ องค์กรภาคประชาชน องค์กรพัฒนา ภาคเอกชน โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐทางด้านงบประมาณในการที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการให้ความรู้ ตลอด จนการใช้สิทธิของประชาชนในการโต้แย้งการกระทำทางปกครองของหน่วยงานของรัฐ รวมทั้งสามารถที่จะเป็นตัว แทนของประชาชนในการที่จะเป็นกระจกสะท้อนปัญหาให้กับรัฐ 1.4.2 ความเป็นผู้เดือดร้อนเสียหาย หรืออาจเดือนร้อนเสียหายของประชาชน ตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 จะต้องมีการเปิดกว้างมากขึ้นไม่ว่า จะเป็นการเปิดโอกาสให้มีการฟ้องคดีโดยองค์กรภาคประชาชน หรือองค์กรที่เป็นอิสระจากหน่วยงานของรัฐ 1.4.3 มีกฎหมายที่เข้ามาจัดการกับข้อร้องเรียนของประชาชนที่เป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นกระบวน การเก็บข้อมูล ระยะเวลาการดำเนินการ วิธีการแก้ไขปัญหา หรือการดำเนินการต่อข้อร้องเรียน 1.4.4 มีกฎหมายที่ชัดเจนในการกำหนดให้มีการดำเนินการทางวินัยกับเจ้าหน้าที่ในหน่วยงาน ของรัฐเองที่มีการกระทำที่เป็นการละเมิดสิทธิของประชาชนอย่างชัดแจ้ง และแสดงให้เห็นถึงการไม่เคารพสิทธิของ ประชาชนอย่างที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น 1.4.5 มีกฎหมายที่เปิดโอกาสให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎ หมายจากหน่วยงานของรัฐมีสิทธิที่จะเป็นผู้ที่จะร้องขอให้ผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานดังกล่าวดำเนินการตั้งกรรม การสอบสวนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ และถ้าผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่ที่มีการกระทำทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎ หมายดังกล่าวไม่ดำเนินการจะต้องชี้แจงให้ประชาชนผู้ร้องขอทราบว่ามีเหตุผลใดในการไม่ดำเนินการ 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงยุติธรรมร่วมกับกระทรวง ทุกกระทรวง หน่วยงานอิสระ ศาลปกครอง และศาลยุติธรรม
|
|||||||||||||||||||||
| 3212 | รายงานผลการประชุม UNEP High-level Ministerial Conference on Strengthening Transboundary Freshwater Governance | ทส | 28/07/2552 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานผลการประชุม UNEP High-level Ministerial Conference on Strengthening
Transboundary Freshwater Governance ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับสำนักเลขาธิการสิ่ง แวดล้อมแห่งสหประชาติ (United Nations Environment Program : UNEP) จัดการประชุมดังกล่าวขึ้นระหว่างวันที่ 20 22 พฤษภาคม 2552 โดยสาระสำคัญของการประชุมในครั้งนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาแผนการดำเนินงานกรุงเทพ ฯ และตกลงรับรอง "แผนการดำเนินงานกรุงเทพ ฯ" เพื่อให้มีการนำไปดำเนินการเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งในการ บริหารจัดการน้ำพรมแดนในแต่ละภูมิภาค โดยที่ประชุมขอให้รัฐบาลชาติต่าง ๆ ตระหนึกถึงข้อเสนอแนะที่ได้รับจาก การประชุมระดับรัฐมนตรีในครั้งนี้ ที่ปรากฏอยู่ใน Chair''s Summary และทำงานร่วมกับ UNEP และหุ้นส่วนอื่น ๆ ในการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะดังกล่าว รวมทั้งทบทวนและพิจารณาการประชุมของสหประชาชาติ เรื่อง Non- Navigational Uses of International Watercourses และร่างสนธิสัญญาน้ำบาดาลข้ามพรมแดน กับให้ UNEP จัด เวทีการหารือสำหรับลุ่มน้ำพรมแดน เพื่อช่วยให้มีการปรับปรุงความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งให้มีการแลก เปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างองค์กรลุ่มน้ำโดยการจัดเวทีครั้งแรกจะจัดในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2554 และให้ UNEP ส่งเสริมการตระหนักรู้ถึงมิติด้านสิ่งแวดล้อมในกรอบกฎหมายน้ำในทุกระดับและให้เกิดความสมานฉันท์ในระดับลุ่ม น้ำพรมแดน ตลอดจนเกิดการพัฒนากรอบความร่วมมือด้านการบริหารจัดการระบบนิเวศน้ำลุ่มน้ำพรมแดน กับให้ UNEP ส่งเสริมมิติด้านสิ่งแวดล้อมของชั้นน้ำบาดาลในระดับวิชาการและระดับการเมือง เพื่อสนับสนุนความพยายาม ของกรรมาธิการกฎหมายนานาชาติ UNESCO และอื่น ๆ นอกจากนี้ ให้ UNEP UNESCO และองค์กรนานาชาติที่ เกี่ยวข้องส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบผสมผสานในระดับลุ่มน้ำพรมแดน
|
|||||||||||||||||||||
| 3213 | รายงานผลการดำเนินการแผนพัฒนาหอสมุดแห่งชาติให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ทันสมัย | วธ | 21/07/2552 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวัฒนธรรมรายงานผลการดำเนินการแผนพัฒนาหอสมุด
แห่งชาติให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ทันสมัย โดยมีร้อยละของการดำเนินการตามเป้าหมาย สรุปได้ดังนี้ 1. ปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 1.1 การขนย้ายหนังสือและสิ่งของเสร็จเรียบร้อยแล้ว 1.2 จัดทำแผนพัฒนางานสารสนเทศสำนักหอสมุดแห่งชาติ และได้รับการอนุมัติจากอธิบดีกรม ศิลปากรเพื่อของบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 1.3 ดำเนินการออกแบบรูปรายการในการปรับปรุงอาคารหลังเดิมเสร็จเรียบร้อยแล้วเพื่อของบ ประมาณในปี พ.ศ. 2554 2. ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 2.1 ดำเนินการประมูลการจ้างด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2551 มีบริษัท ที่ให้ราคาต่ำสุดเสนอราคาที่ 438,000,000 บาท และได้ทำสัญญาจ้างเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2552 3. ปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 3.1 ดำเนินการสำรวจสถานที่เพื่อเตรียมดำเนินการก่อสร้างอาคาร เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2552
|
|||||||||||||||||||||
| 3214 | รายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี (มาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากการปิดท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง) | กก | 21/07/2552 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเกี่ยวกับผลการดำเนินงานตามมติคณะ
รัฐมนตรีเกี่ยวกับมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากการปิด ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง โดยมีผลการดำเนินงานที่สำคัญดังนี้ 1. ยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่านักท่องเที่ยว 3 เดือน กระทรวงมหาดไทย ได้ออกประกาศกระทรวงมหาด ไทยเรื่อง การยกเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราประเภทนักท่องเที่ยวแก่คนต่างด้าวเป็นการชั่วคราว ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2552 โดยให้มีผลเมื่อพ้นกำหนดเวลาสามวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา (ประกาศในราชกิจ จานุเบกษา เล่ม 126 ตอนพิเศษ 87 ง ลงวันที่ 22 มิถุนายน 2552 เพื่อให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน 2552-4 มีนาคม 2553) 2. ยกเว้นค่าธรรมเนียมการประกอบธุรกิจโรงแรม ปี พ.ศ. 2553 คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 23 มิถุนา ยน 2552 อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการประกอบธุรกิจโรงแรมทุกประเภท พ.ศ. .... และ ให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ 3. ลดหย่อนค่าประกันการใช้ไฟฟ้าสำหรับผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม การไฟฟ้านครหลาง และการไฟฟ้า ส่วนภูมิภาคได้ปรับลดอัตราค่าประกันการใช้ไฟฟ้าเหลือ 1.25 เท่าของเดือนสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีประวัติการชำระดี โดยคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน 4. ลดหย่อนค่าธรรมเนียม Landing & Parking Fee กรมการขนส่งทางอากาศ ได้ออกประกาศกรมการ ขนส่งทางอากาศ เรื่อง ขยายระยะเวลาการลดค่าธรรมเนียมในการขึ้นลงของอากาศยานและค่าธรรมเนียมที่เก็บ อากาศยานและสนามบินที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมการขนส่งทางอากาศ ลงวันที่ 9 มิถุนายน 2552 โดยลด อัตราค่าธรรมเนียมลงร้อยละ 50 และขยายระยะเวลาออกไปจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2553 ส่วนบริษัท ท่าอากาศ ยานไทย จำกัด (มหาชน) ได้กำหนดมาตรการให้ความช่วยเหลือระยะยาวแก่สายการบินและผู้ประกอบการร้านค้า และบริการต่าง ๆ ณ ท่าอากาศยาน 5. ลดค่าธรรมเนียมเข้าชมอุทยานแห่งชาติเป็นเวลา 3 เดือน กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ออกประกาศกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ลงวันที่ 12 มิถุนายน 2552 ต่ออายุประกาศฉบับเดิม ออกไปจนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2552 6. ปรับแผนการฝึกอบรม จัดประชุมสัมมนา และการดูงาน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐ กิจและสังคมแห่งชาติได้แจ้งให้ส่วนราชการปรับงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2552 มาใช้ในการประชุม อบรม สัมมนา โดยเน้นจัดในต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น โดยให้ส่วนราชการปรับปรุงแผนการจัดประชุมสัมมนาภายในประเทศมากขึ้น แทนการฝึกอบรมดูงานในต่างประเทศ
|
|||||||||||||||||||||
| 3215 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2552 ครั้งที่ 4 | กค | 14/07/2552 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและอนุมัติในหลักการการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบ
ประมาณ พ.ศ. 2552 ครั้งที่ 4 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้กระทรวงการคลังดำเนินการให้เป็นไปตามพระ ราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 ด้วย ส่วน ค่าดอกเบี้ยสำหรับการกู้เงินภายใต้พระราชกำหนด ฯ จำนวน 15,300 ล้านบาท ที่สำนักงบประมาณจัดสรรจาก เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 เพิ่มเติมนั้น ให้กระทรวงการคลังเสนอขอเพิ่มงบประมาณ รายจ่าย ในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2553 ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 3216 | ขออนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี | สธ | 14/07/2552 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ 1.1 อนุมัติให้โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี เปลี่ยนแปลงรายละเอียดของราย การงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 ค่าก่อสร้างอาคารผู้ป่วยใน อาคาร คสล. 7 ชั้น และชั้น จอดรถใต้ดิน พื้นที่ใช้สอยประมาณ 13,950 ตารางเมตร พร้อมอุปกรณ์ประกอบอาคาร 1 หลัง และอาคารห้อง เครื่อง 1 หลัง ตามแบบเลขที่ 10108 เอกสารเลขที่ ข.133/ก.ย./51 ซึ่งทำให้ราคากลางสูงกว่าวงเงินงบประมาณ ที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันไว้เกินกว่าร้อยละ 5 1.2 อนุมัติให้โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเกิน กว่าที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ และอนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณค่าก่อสร้างของโรงพยาบาลสรรพ สิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี จากอาคารผู้ป่วยใน เป็นอาคาร คสล. 7 ชั้น และชั้นจอดรถใต้ดิน พื้นที่ใช้สอย ประมาณ 13,950 ตารางเมตร พร้อมอุปกรณ์ประกอบอาคาร 1 หลัง เป็นอาคารผู้ป่วยใน อาคาร คสล. 7 ชั้น และ ชั้นจอดรถใต้ดิน พื้นที่ใช้สอยประมาณ 13,950 ตารางเมตร พร้อมอุปกรณ์ประกอบอาคาร 1 หลัง และอาคารห้อง เครื่อง 1 หลัง ตามแบบเลขที่ 10108 เอกสารเลขที่ ข.133/ก.ย./51 เป็นวงเงินรวมทั้งสิ้น 203,500,000 บาท 2. อนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุขยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2552 (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่ เกี่ยวข้อง) กรณีที่เปลี่ยนแปลงแบบรูปรายการทำให้ประมาณการราคาสูงกว่าวงเงินงบประมาณที่คณะรัฐมนตรีได้ อนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันไว้เกินกว่าร้อยละ 5
|
|||||||||||||||||||||
| 3217 | รายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ สมาพันธรัฐสวิส ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (ระหว่างวันที่ 10 - 14 มิถุนายน 2552) | รง | 09/07/2552 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ สมาพันธรัฐสวิส ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (นายไพฑูรย์ แก้วทอง) ระหว่างวันที่ ๑๐ - ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๒ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้เข้าร่วมการประชุมประจำปีองค์การแรงงานระหว่างประเทศ สมัยที่ ๙๘ และได้ปราศรัยในนามของผู้แทนฝ่ายรัฐบาล โดยกล่าวสนับสนุนข้อเสนอของผู้อำนวยการใหญ่สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศโดยเฉพาะในส่วนของ Global Jobs Pact ซึ่งเป็นแนวทางบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ โดยเน้นเรื่องการจ้างงานและการคุ้มครองทางสังคมซึ่งประเทศสมาชิกสามารถนำไปปรับใช้ได้ตามสถานการณ์และความเหมาะสมของแต่ละประเทศเพื่อให้ก้าวพ้นวิกฤตไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนตามแนวนโยบายของการสร้างงานที่มีคุณค่า พร้อมทั้งได้นำเสนอบทบาทของประเทศไทยในฐานะพันธมิตรที่สำคัญในเวทีขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ ในฐานะสมาชิกแรกเริ่มก่อตั้งองค์การและเป็นที่ตั้งของสำนักงานประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ซึ่งพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับองค์การแรงงานระหว่างประเทศให้เกิดความยุติธรรมทางสังคมในโลกของการทำงาน ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและคณะได้เข้าพบหารือข้อราชการกับผู้อำนวยการใหญ่สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศ โดยกล่าวถึงความร่วมมือของกระทรวงแรงงานในการจัดงานฉลองครบรอบ ๙๐ ปี การก่อตั้งองค์การแรงงานระหว่างประเทศ พร้อมกับได้จัดให้มีการประชุมไตรภาคีเรื่องแผนงานระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่า ซึ่งข้อคิดเห็นที่ได้จากการประชุม และข้อมูลจากการเข้าร่วมการประชุมองค์การแรงงานระหว่างประเทศในสมัยที่ ๙๘ นี้ กระทรวงแรงงานจะนำมาประกอบการปรับปรุงร่างแผนงานฯ ระยะที่หนึ่ง (พ.ศ. ๒๕๕๓ - พ.ศ. ๒๕๕๔) โดยขั้นตอนต่อไปจะจัดประชุมเพื่อประชาพิจารณ์ร่างแผนงานฯ ในปลายเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๒ นี้ และจะได้จัดทำแผนงานระดับชาติฯ ในระยะที่สอง ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ถึง พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อให้บรรลุผลก่อนสิ้นสุดทศวรรษแห่งวาระงานที่มีคุณค่า ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้พบหารือข้อราชการกับเลขาธิการองค์การการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (United Nations Conference on Trade and Development - UNCTAD) โดยกล่าวถึงนโยบายของรัฐบาลและแนวทางการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ รวมทั้งมาตรการด้านแรงงานที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้ริเริ่มขึ้น ได้แก่ มาตรการ “๓ ลด ๓ เพิ่ม” กล่าวคือ ลดการว่างงาน ลดค่าครองชีพ และลดการเคลื่อนย้ายแรงงาน ส่วน ๓ เพิ่ม ได้แก่ เพิ่มทางเลือกการประกอบอาชีพ เพิ่มทักษะความรู้ และเพิ่มโอกาสในการทำงาน ทั้งนี้ เลขาธิการ UNCTAD มีความเห็นว่าประเทศไทยยังมีภาพลักษณ์ที่ดีและเป็นที่ยอมรับในสายตาของนานาชาติ นโยบายและแนวทางการดำเนินการเพื่อเรียกความเชื่อมั่นและแก้ไขปัญหาที่ผ่านมาของรัฐบาลเป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับแนวทางสากล และคาดว่าจะช่วยกอบกู้และฟื้นฟูสภาวะเศรษฐกิจและสังคมของประเทศได้ในไม่ช้า |
|||||||||||||||||||||
| 3218 | ยุทธศาสตร์ทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ | พณ | 09/07/2552 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการยุทธศาสตร์ด้านทรัพย์สินทางปัญญาที่มีวิสัยทัศน์ให้เศรษฐกิจไทยอยู่บนพื้นฐาน การสร้างสรรค์ (creative economy) สามารถพึ่งพาตนเองและแข่งขันได้ในเวทีโลกภายในปี พ.ศ. 2555 ประกอบ ด้วยยุทธศาสตร์สร้างสรรค์ทรัพย์สินทางปัญญา ยุทธศาสตร์ทรัพย์สินทางปัญญาเชิงพาณิชย์ ยุทธศาสตร์การคุ้ม ครองทรัพย์สินทางปัญญา ยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ยุทธศาสตร์ การปลูกจิตสำนึกและการศึกษาด้านทรัพย์สินทางปัญญา และยุทธศาสตร์ด้านการเงิน และมอบหมายให้หน่วย งานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป ตามมติคณะกรรมการนโยบายด้านการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์ สินทางปัญญา ครั้งที่ 2/2552 เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2552 ตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นาย อลงกรณ์ พลบุตร) รองประธานคณะกรรมการ ฯ เสนอ 2. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยที่เห็นควรปรับเพิ่มรายชื่อหน่วยงานใน ประเด็นยุทธศาสตร์ ฯ โดยเพิ่มกระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงการต่างประเทศในรายชื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำหรับยุทธศาสตร์สร้างสรรค์ทรัพย์สินทางปัญญา กลยุทธข้อ 1.3 พัฒนาฐานข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญาทั้งของ ไทยและต่างประเทศ รวมทั้งฐานข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่นและทรัพยากรทางชีวภาพเพื่อให้นักวิจัย นักประดิษฐ์ ทั้ง ของรัฐและเอกชนเข้าถึงได้ และบรรจุกระทรวงการต่างประเทศในรายชื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำหรับยุทธศาสตร์ สร้างสรรค์ทรัพย์สินทางปัญญา กลยุทธข้อ 1.4 ส่งเสริมความร่วมมือกับต่างประเทศในการพัฒนาและผลิตสินค้า และบริการที่ไทยมีศักยภาพบนพื้นฐานการสร้างสรรค์ นอกจากนี้ ควรมีกลยุทธ์การสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ ผู้สร้างผลงานอย่างชัดเจนโดยกำหนดว่าผู้สร้างผลงานภายใต้หน่วยงานราชการหรือองค์การของรัฐหรือรัฐวิสาห กิจต้องมีสิทธิที่จะได้รับการจัดสรรผลประโยชน์อันพึงได้ และรณรงค์และประชาสัมพันธ์เพื่อให้เกิดความตระหนัก ในเรื่องดังกล่าว และควรกำหนดแผนการดำเนินงานในด้านต่าง ๆ ที่ชัดเจนสอดคล้องกับวิสัยทัศน์และพันธกิจ และการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งแผนงบประมาณและแผนการบริหารกำลังคน โดย การเตรียมความพร้อมในด้านกำลังคน ตลอดจนส่งเสริมการพัฒนาการสร้างองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญให้กับ บุคลากรด้านทรัพย์สินทางปัญญาขององค์กรต่าง ๆ ให้เกิดการบูรณาการระหว่างหน่วยงานอย่างต่อเนื่อง และ ในยุทธศาสตร์สร้างสรรค์ทรัพย์สินทางปัญญา ควรเพิ่มบทบาทของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในการสนับสนุนให้มี การสร้างทรัพย์สินทางปัญญามากขึ้น เนื่องจากมหาวิทยาลัยเป็นแหล่งวิชาการใหญ่ที่สุดที่มีโอกาสสร้างและใช้ ประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญาในรูปแบบต่าง ๆ ไปพิจารณาต่อไป 3. สำหรับการปรับปรุงกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานกับสำนักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกาโดยตรงเกี่ยวกับการกำหนดความรับผิดของผู้ครอบครองและเจ้าหน้าที่หรือผู้ให้เช่าพื้นที่ เพื่อ ให้การดำเนินการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญามีประสิทธิภาพและเกิดผลเป็นรูปธรรม ยิ่งขึ้น |
|||||||||||||||||||||
| 3219 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2552 ครั้งที่ 3 | กค | 09/07/2552 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอเรื่อง การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ครั้งที่ 3 ตามมติคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ เมื่อวัน ที่ 30 เมษายน 2552 โดยการปรับปรุงแผน ฯ เป็นการปรับปรุงแผนงานย่อย จำนวน 2 แผน ดังนี้ 1. แผนการบริหารและจัดการเงินกู้ในประเทศของรัฐบาล เป็นการเพิ่มวงเงินกู้ จำนวน 94,000 ล้านบาท เพื่อชดเชยการขาดดุลหรือกรณีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2552 ที่อนุมัติให้ กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อรองรับกรณีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ จำนวน 94,000 ล้านบาท ซึ่งดำเนินการตามมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยกำหนดให้ในปีงบประมาณ หนึ่ง ๆ กระทรวงการคลังจะกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล หรือกรณีรายจ่ายสูงกว่ารายได้เป็นเงินบาทได้ไม่เกินวงเงิน (1) ร้อยละ 20 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น และงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม และ (2) ร้อยละ 80 ของงบประมาณรายจ่ายที่ตั้งไว้สำหรับชำระคืนเงินต้น ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 มีกรอบวงเงินตาม กฎหมายดังกล่าวเท่ากับ 441,280.88 ล้านบาท จึงมีความจำเป็นต้องปรับเพิ่มวงเงินกู้ดังกล่าวในแผน ฯ เพื่อให้ กระทรวงการคลังสามารถดำเนินการกู้เงินได้ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ 2. แผนการบริหารและจัดการเงินกู้เพื่อชดใช้ความเสียหายให้ FIDF เป็นการปรับลดวงเงินการทำ Swap Arrangement พันธบัตร FIDF1 จำนวน 10,000 ล้านบาท ในแผนการบริหารและจัดการเงินกู้เพื่อชดใช้ความเสีย หายให้ FIDF สำหรับพันธบัตรรัฐบาล เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 จำนวน 10,000 ล้าน บาท ซึ่งเป็นแผนการทำ Interest Rate Swap จากอัตราดอกเบี้ยคงที่เป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว เนื่องจากพันธบัตร รุ่นนี้มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่ารุ่นอื่น ๆ 3. จากการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 ครั้งที่ 3 จะทำให้วง เงินรวมของแผน ฯ เพิ่มขึ้น 84,000.00 ล้านบาท จากวงเงินเดิม 1,312,882.70 ล้านบาท เพิ่มเป็น 1,396,882.70 ล้านบาท ซึ่งวงเงินดังกล่าวยังคงอยู่ภายใต้กรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้เพื่อเป็นกรอบสำหรับการปรับปรุง แผน ฯ จำนวน 1,400,000 ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||
| 3220 | แผนเร่งรัดการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา | พณ | 09/07/2552 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมติคณะกรรมการนโยบายด้านการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์
สินทางปัญญา ในการประชุมครั้งที่ 3/2552 เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2552 ตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง พาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) รองประธานคณะกรรมการนโยบายด้านการป้องกันและปราบปรามการละเมิด ทรัพย์สินทางปัญญาเสนอ ดังนี้ 1. แผนเร่งรัดการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ได้แก่ 1.1 การบังคับใช้กฎหมาย 1.1.1 การปราบปรามการละเมิดอย่างต่อเนื่อง บูรณาการ แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน 1.1.2 แก้ปัญหาการแอบถ่ายในโรงภาพยนตร์ 1.1.3 แก้ปัญหาการละเมิดสิทธิ์รายการเคเบิล ทีวี 1.1.4 แก้ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์หนังสือ 1.1.5 ปราบปรามการละเมิด ณ จุดนำเข้า ส่งออก 1.2 การปรับปรุงกระบวนการดำเนินคดี 1.2.1 การออกหมายค้น หมายจับ และการลงโทษ 1.2.2 พัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินคดี 1.3 ด้านสิทธิบัตร 1.3.1 แก้ปัญหาการจดทะเบียนล่าช้า 1.4 แก้ไขปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 1.5 ด้านกฎหมาย 1.5.1 การแก้ไขกฎหมายลิขสิทธิ์ 1.5.2 ปรับปรุงบังคับใช้กฎหมายควบคุมการผลิตผลิตภัณฑ์ซีดี 1.5.3 ปรับปรุงกฎหมายสิทธิบัตร 1.5.4 เร่งรัดการแก้ไขกฎหมายเอาเจ้าของพื้นที่ขายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และให้การ ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อการค้าเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายป้องกันการฟอกเงิน 2. การปรับปรุงคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายด้านการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สิน ทางปัญญา
|
|||||||||||||||||||||
.....
