ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 103 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 2041 - 2060 จากข้อมูลทั้งหมด 6672 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2041 | ความตกลงการค้าเสรีระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐชิลีและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและเอกสารที่เกี่ยวข้อง และการแก้ไขความคลาดเคลื่อนในตารางข้อผูกพันการเปิดตลาดสินค้าของไทย | พณ | 03/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบตามความตกลงการค้าเสรีระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐชิลีและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และเอกสารที่เกี่ยวข้องที่แนบท้ายกับความตกลงฯ ฉบับภาษาอังกฤษ ภาษาไทย และภาษาสเปนทั้งหมด (ฉบับภาษาอังกฤษคือ ฉบับเดิมที่ให้ความเห็นชอบไว้แล้ว มีแก้เฉพาะภาคผนวกเท่านั้น) ๑.๒ เห็นชอบตารางข้อผูกพันการเปิดตลาดสินค้าของไทยที่แก้ไขแล้ว ได้แก่ แก้ไขอัตราภาษีฐาน (base rate) ที่ใช้ในการคำนวณการลดภาษี จำนวน ๒๐๒ รายการ แก้ไขรายการสินค้าโควตาภาษี จำนวน ๓ รายการ และตัดรายการสินค้าที่แตกย่อยออกมาจากรายการสินค้าหลัก ซึ่งไม่จำเป็นต้องใส่ จำนวน ๑,๐๖๓ รายการ ๑.๓ นำเสนอความตกลงฯ เอกสารที่เกี่ยวข้องที่แนบท้ายความตกลงฯ และตารางข้อผูกพันฯ ต่อรัฐสภาตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญฯ ต่อไป ๑.๔ อนุมัติการลงนามในความตกลงฯ ทั้งสามภาษา เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ได้รับมอบหมายอื่นเป็นผู้ลงนามในความตกลงการค้าเสรีระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐชิลีและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญในความตกลงฯ และไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้ผู้ลงนามใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ ได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๑.๕ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ได้รับมอบหมายอื่น เป็นผู้ลงนามความตกลงฯ ๑.๖ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งการมีผลใช้บังคับของความตกลงฯ เมื่อได้มีการลงนามและดำเนินการตามกระบวนการภายในเสร็จสิ้นแล้ว ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ความตกลงในเรื่องนี้ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถดำเนินการรองรับในส่วนที่เกี่ยวข้อง และไม่ให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ รวมทั้งสร้างความเข้าใจกับภาคเอกชนเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
2042 | มาตรการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 2556/57 | พณ | 03/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในฤดูกาลปี ๒๕๕๖/๕๗ อย่างเร่งด่วน ภายในกรอบวงเงินงบประมาณไม่เกิน ๑,๙๐๗.๒๕ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๑.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกันกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี ๒๕๕๖/๕๗ แต่ละขั้นตอนให้มีความรัดกุม ตามแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำของรัฐบาลที่มุ่งเน้นให้เกษตรกรได้รับประโยชน์โดยตรงอย่างแท้จริง โดยให้รับข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติและการบริหารจัดการอุปสงค์และอุปทานที่เหมาะสมและชัดเจน เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๓ ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเตรียมความพร้อมตามกระบวนการให้ครบถ้วน เพื่อให้ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในปีต่อไปจะสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและรัดกุม ๒. เห็นชอบให้ดำเนินการตามมาตรการและแนวทางที่กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้หารือร่วมกันแล้ว โดยมีความเห็นว่ามาตรการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี ๒๕๕๖/๕๗ ที่คณะกรรมการนโยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เสนอ เป็นมาตรการที่มีประสิทธิภาพและมีมาตรการกำกับดูแลรัดกุมให้เม็ดเงินตกถึงเกษตรกร และมีการวางแนวทางการกำกับดูแลที่ชัดเจน ซึ่งจำเป็นต้องเร่งดำเนินการ เพื่อแก้ไขปัญหาให้แก่เกษตรกรโดยเร็ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอเพิ่มเติม โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นต้นไป (๓ กันยายน-๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖) ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลการดำเนินการให้เป็นไปอย่างถูกต้อง รอบคอบ รัดกุม เพื่อให้ได้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มีคุณภาพมาตรฐานตามที่กำหนด และเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดได้รับราคาจำหน่ายอย่างเป็นธรรม ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่เห็นควรให้ความสำคัญต่อการเร่งระบาย/จำหน่าย/ผลักดันการส่งออกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ให้สอดคล้องกับการดำเนินการตามกรอบการค้าระหว่างประเทศ และในอนาคตควรมีมาตรการเชิงป้องกัน อาทิ การพัฒนาไซโลและอุปกรณ์ไล่ความชื้นเพื่อยืดอายุการเก็บข้าวโพดไม่ให้เสื่อมสภาพก่อนเวลา นอกจากนี้ เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการต้องมีเอกสารสิทธิ์ในที่ดินหรือที่ได้รับการผ่อนผันตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง มาตรการเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ปี ๒๕๕๓) เท่านั้น รวมทั้งการจ่ายเงินชดเชยราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ผ่านผู้รวบรวมในพื้นที่ต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้ตามระเบียบราชการ และต้องมีการกำหนดขั้นตอนการดำเนินการที่ชัดเจน รัดกุม รอบคอบ และตรวจสอบได้ เพื่อให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้รับประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
2043 | การแต่งตั้งผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (นายชนุตร์ปกรณ์ วงศ์สีนิล) | พณ | 03/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนายชนุตร์ปกรณ์ วงศ์สีนิล ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||
2044 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำสินค้าเกษตรตามโครงการความร่วมมือเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน ภายใต้ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี - เจ้าพระยา - แม่โขง (ACMECS) เข้ามาในราชอาณาจักร ประจำปี 2556 พ.ศ. .... | พณ | 27/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำสินค้าเกษตรตามโครงการความร่วมมือเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้านภายใต้ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS) เข้ามาในราชอาณาจักร ประจำปี ๒๕๕๖ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้การนำเข้าสินค้าเกษตรทั้ง ๑๐ ชนิด ได้แก่ ข้าวโพดหวาน ถั่วเขียวผิวมัน มันสำปะหลัง (มันเส้น) ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ลูกเดือย ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ละหุ่ง งา และไม้ยูคาลิปตัส ซึ่งมีถิ่นกำเนิดและส่งตรงมาจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ราชอาณาจักรกัมพูชา และสหภาพเมียนมาร์ ตามโครงการความร่วมมือเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองตามที่กำหนดแสดงต่อกรมศุลกากรในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับบทอาศัยอำนาจ และความถูกต้องของรายละเอียดต่าง ๆ เช่น การระบุชื่อประเทศสหภาพเมียนมาร์หรือพิกัดอัตราศุลกากร โดยเฉพาะถั่วเหลืองและไม้ยูคาลิปตัส ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. เห็นชอบข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการให้คณะกรรมการจัดทำแผนการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้านพิจารณาจัดสรรสินค้าเกษตร โดยคำนึงถึงช่วงระยะเวลาที่ผลผลิตสินค้าเกษตรออกสู่ท้องตลาด การดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ครอบคลุมทุกภาคส่วนเพื่อให้การดำเนินโครงการฯ ไม่เกิดการร้องเรียนในภายหลัง การบูรณาการในการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การกำกับดูแลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล การเร่งพัฒนาศักยภาพการให้บริการของด่านสินค้าเกษตรชายแดนให้มีระบบตรวจสอบสินค้าเกษตรให้ได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับของต่างประเทศ การพัฒนาระบบการติดตามและตรวจสอบสินค้าเกษตรที่นำเข้าให้ปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันการนำเข้าสินค้าเกษตรที่ไม่ได้คุณภาพ การป้องกันโรคพืชที่อาจจะติดมากับสินค้าเกษตรนำเข้า รวมทั้งการติดตามการนำเข้าสินค้าเกษตรอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่มีผลผลิตเกินความต้องการใช้ภายในประเทศ อาทิ มันสำปะหลัง เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อปริมาณและราคาสินค้าเกษตรภายในประเทศ และให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
2045 | ร่างหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติปลีกย่อยเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือด้านการเกษตรผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2556 | กษ | 27/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๖ ที่รับทราบร่างหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติปลีกย่อยเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือด้านการเกษตรผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปรับปรุงแก้ไขร่างหลักเกณฑ์ฯ ข้อ ๕.๑ (๓) โดยตัดข้อความ “ยกเว้นรายการสินค้าควบคุมที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด” เนื่องจากกระทรวงพาณิชย์มิได้มีกฎหมายกำหนดราคาจำหน่ายปลีก เพียงแต่กำหนดให้ผู้จำหน่ายปลีกปิดป้ายแสดงราคาจำหน่ายปลีกให้ชัดเจนและเปิดเผย และกำกับดูแลให้ราคาจำหน่ายเป็นไปตามกลไกตลาด สำหรับราคาจำหน่าย ณ โรงงาน จะกำหนดให้ผู้ผลิต ผู้ว่าจ้างผลิต ผู้นำเข้า เพื่อจำหน่ายแจ้งราคาจำหน่าย และรายละเอียดของสินค้า ห้ามจำหน่ายแตกต่างจากที่แจ้งไว้ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเลขาธิการคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการเท่านั้น ตามความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ แล้วดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไปได้ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับไปดำเนินการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติปลีกย่อยในการให้ความช่วยเหลือด้านการเกษตรผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินให้ประชาชนในแต่ละพื้นที่ได้รับทราบอย่างถูกต้องและทั่วถึงต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
2046 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนกรกฎาคม 2556 | พณ | 27/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ เทียบกับเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๐ (เดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๕) จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๘ (เดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๗) ได้แก่ หมวดพาหนะ การขนส่ง และการสื่อสาร รวมทั้งสินค้าและบริการอื่น ๆ ที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า หมวดเคหสถาน และหมวดเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ในขณะที่ดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ลดลงร้อยละ ๐.๒๑ (เดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ ลดลงร้อยละ ๐.๐๗) จากการลดลงของราคาหมวดผักและผลไม้ และหมวดไข่และผลิตภัณฑ์นมเป็นสำคัญ ๒. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ เทียบกับเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ ดัชนีโดยเฉลี่ยไม่เปลี่ยนแปลง แต่มีบางรายการสินค้าและบริการที่ปรับตัวสูงขึ้นและลดลง ประกอบด้วย สินค้าและบริการที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ หมวดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า หมวดเคหสถาน และหมวดเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ขณะที่สินค้าและบริการที่มีราคาลดลง ได้แก่ หมวดเครื่องประกอบอาหาร หมวดอาหารสำเร็จรูป หมวดค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล และหมวดเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์
|
||||||||||||||||||
2047 | การจัดทำพิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรี อาเซียน - ออสเตรเลีย - นิวซีแลนด์ | พณ | 27/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างพิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรี อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (First Protocol to Amend the Agreement Establishing the ASEAN-Australia-New Zealand Free Trade Area) โดยสาระสำคัญของร่างพิธีสารฯ ได้เพิ่มเติมแนวทางการตรวจสอบความถูกต้องของตารางข้อผูกพันภาษีของแต่ละประเทศภายใต้ความตกลงเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรี อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (Agreement Establishing the ASEAN-Australia-New Zealand Free Trade Area : AANZFTA) แก้ไขข้อบทเรื่องกฎถิ่นกำเนิดสินค้า รวมทั้งแก้ไขระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า และนำเสนอร่างพิธีสารฯ ต่อรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบในโอกาสแรกต่อไป ๑.๒ อนุมัติการลงนามร่างพิธีสารฯ เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว โดยมอบอำนาจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนาม ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างพิธีสารฯ ๑.๔ ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามพันธกรณีที่กำหนดในพิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงฯ ๑.๕ ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานกระทรวงการต่างประเทศแจ้งประเทศภาคีความตกลงฯ ว่าไทยพร้อมที่จะให้พิธีสารฯ มีผลผูกพันต่อไปหลังจากที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินกระบวนการภายในเสร็จสิ้นแล้ว ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการแก้ไขระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า ซึ่งมีการปรับลดข้อมูลเท่าที่จำเป็นสำหรับระบุในหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า เห็นควรมีการตรวจสอบว่าเป็นไปตามหลักการตามกระบวนการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง (Self Certification) ซึ่งมีกำหนดการจัดทำโครงการการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองรวม (ASEAN-wide Implementation of Self-Certification) ให้แล้วเสร็จภายใน ค.ศ. ๒๐๑๕ ซึ่งปัจจุบันยังเป็นโครงการนำร่อง (Pilot Project) จึงควรมีการพิจารณาระเบียบปฏิบัติดังกล่าวให้มีความสอดคล้องเพื่อรองรับระบบ Self Certification ต่อไปด้วย และควรเร่งเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เรื่องการจัดทำพิธีสารฯ ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถดำเนินการรองรับในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ รวมทั้งสร้างความเข้าใจกับภาคเอกชนเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากการแก้ไขความตกลงเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรี อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
2048 | การจัดทำสัญญาเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก | พณ | 27/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๓ รายการค่าเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก โดยมีวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น ๖๒,๙๖๐,๙๐๐ บาท หรือเท่ากับ ๑,๙๖๗,๕๒๖ ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดอัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ๓๒ บาท หรือไม่เกินวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาเช่าตามสกุลเงินท้องถิ่นกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ รายการค่าเช่าอาคารสำนักงานในต่างประเทศ (ผูกพันใหม่) จำนวน ๒๑๔,๔๓๔ ดอลลาร์สหรัฐ หรือเท่ากับ ๖,๘๖๑,๙๐๐ บาท ส่วนงบประมาณที่เหลือให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๓ ตามความจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ในการทำสัญญาเช่าให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ) กำหนดเงื่อนไขในการยกเลิกสัญญาเช่าก่อนกำหนดได้ในกรณีที่จะย้ายเข้าไปใช้พื้นที่ในอาคารที่ทำการคณะผู้แทนถาวรฯ/สถานกงสุลใหญ่ฯ (หลังปัจจุบัน) ในอนาคตตามนโยบายการใช้พื้นที่ร่วมกัน (One Roof Policy) ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดซื้ออาคารสถานที่แห่งหนึ่งแห่งใดแทนวิธีการเช่าเพื่อใช้เป็นที่ทำการถาวรร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆ ของไทย ณ นครนิวยอร์ก เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายการใช้พื้นที่ร่วมกัน (One Roof Policy) ต่อไป |
||||||||||||||||||
2049 | สรุปผลการดำเนินงานเรื่อง ผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐเกาหลีอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี | อก | 20/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางความร่วมมือกับสาธารณรัฐเกาหลีในการพัฒนาด้านพลังงานทดแทนและอุตสาหกรรมผลิตอะไหล่ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ประเทศไทยควรผลิตพลังงานทดแทนที่มีวัตถุดิบในประเทศมากเพื่อทดแทนน้ำมันและลดการพึ่งพา รวมทั้งเพิ่มความต้องการใช้พลังงานทดแทนในประเทศ เช่น การนำพลังงานทดแทนมาแปรรูปเป็นพลังงานไฟฟ้าเพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าในรถไฟฟ้าสาธารณะหรือรถไฟฟ้าส่วนบุคคล การพัฒนาหรือแปรรูปเป็นพลังงานชนิดใหม่ ๆ เพื่อรองรับการใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมหรือในภาคครัวเรือน ๑.๒ กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรร่วมกันลดอุปสรรคที่ไม่เอื้อต่อการสนับสนุนพลังงานทดแทนในประเทศลงและปรับปรุงนโยบาย/กฎระเบียบเพื่อให้เกิดความชัดเจนต่อนักลงทุน ๑.๓ ควรมีความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาร่วมกับสาธารณรัฐเกาหลีซึ่งเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านพลังงานทดแทนและการผลิตอะไหล่ เพื่อหาเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับประเทศไทยและตรงกับความต้องการใช้ของภาคอุตสาหกรรม รวมถึงวิจัยเพื่อหาพลังงานทดแทนชนิดใหม่ ๆ หรือหาเทคโนโลยีในการพัฒนาวัสดุศาสตร์เพื่ออุตสาหกรรมการผลิตอะไหล่ รวมทั้งเพิ่มการให้สิทธิประโยชน์เป็นกรณีพิเศษในรูปแบบที่เหมาะสมแก่นักลงทุนที่เข้ามาร่วมทำวิจัยหรือถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ผู้ผลิตในประเทศโดยยอมรับเงื่อนไขของไทยอย่างเคร่งครัดเพื่อเป็นการยกระดับศักยภาพผู้ผลิตของไทยให้ได้มาตรฐานสากล นอกจากนี้ ควรมีการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีระหว่างกันเพื่อให้ได้ประโยชน์ร่วมกันทั้ง ๒ ฝ่าย ๑.๔ ควรให้การส่งเสริมโดยให้สิทธิประโยชน์เป็นกรณีพิเศษแก่นักลงทุนต่างประเทศตามสัดส่วนมูลค่าการใช้วัตถุดิบ/ชิ้นส่วนในประเทศที่พัฒนาจนได้มาตรฐานสากลแล้ว เพื่อสร้างบรรยากาศในการลงทุนและจูงใจให้นักลงทุนต่างประเทศสนใจใช้วัตถุดิบ/ชิ้นส่วนในประเทศเพิ่มขึ้น และเพื่อลดข้ออ้างทางการค้าที่ประเทศที่มีวัฒนธรรมชาตินิยมมักนำมาอ้าง รวมทั้งควรส่งเสริมและให้โอกาสแก่นักลงทุนจากต่างประเทศเท่าเทียมกันทุกประเทศ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่เห็นควรระมัดระวังการกำหนดเงื่อนไขการให้สิทธิประโยชน์ที่อาจขัดต่อพันธกรณีภายใต้องค์การการค้าโลก อาทิ การกำหนดเงื่อนไขส่งเสริมการลงทุน/การรับสิทธิประโยชน์ที่เชื่อมโยงกับการกำหนดสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศ (Local Content Requirement) หรือการเลือกปฏิบัติระหว่างสินค้าที่ผลิตในประเทศกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ หรือการเลือกปฏิบัติต่อสินค้าที่นำเข้าจากแหล่งประเทศต่าง ๆ ส่วนประเด็นปัญหาอุปสรรคจากกฎระเบียบของรัฐ ปัญหาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการลงทุน หากภาครัฐลดกฎระเบียบหรือลดขั้นตอนต่าง ๆ หรือกระชับขั้นตอนบางส่วนที่เป็นอุปสรรคลง อาจเป็นสาเหตุให้ประเทศคู่ค้าอื่นของไทยมองว่าประเทศไทยใช้ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมมาเอื้ออำนวยประโยชน์ทางการค้าและอาจนำไปสู่การกีดกันทางการค้า จึงควรเลือกการส่งเสริมการนำเทคโนโลยีขั้นสูงที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยจากสาธารณรัฐเกาหลีมาใช้ประโยชน์มากกว่า นอกจากนี้ การลงทุนผลิตผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต่าง ๆ อาทิ อะไหล่ ชิ้นส่วนยานยนต์ ควรมีความร่วมมือในการพัฒนาหน่วยงานตรวจสอบคุณภาพภายในประเทศและการรับรองผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
2050 | การติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนมิถุนายน 2556 | นร | 20/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) รายงานผลการติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ ประกอบด้วย การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ สร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค การปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน (กองทุนหมู่บ้าน SML) การยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการปฏิรูปการจัดการที่ดิน (นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ซึ่งจากรายงานผลการดำเนินงานของส่วนราชการต่าง ๆ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) พิจารณาแล้วมีความเห็น และเห็นควรให้หน่วยงานที่รับผิดชอบในแต่ละด้านรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ดังนี้
๑. โครงการกำกับดูแลการชั่งตวงวัดและสินค้าหีบห่อเพื่อสร้างความเป็นธรรมในการซื้อขายพลังงานเชื้อเพลิง ผลผลิตทางการเกษตร และสินค้าทั่วไปต่าง ๆ มีการตรวจพบการกระทำความผิดเพิ่มขึ้น กระทรวงพาณิชย์ควรพิจารณาหามาตรการในการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวเพื่อให้การกระทำความผิดมีจำนวนลดลง ๒. การตรวจสอบโครงการรับจำนำสินค้าเกษตร ยังพบการกระทำความผิดอยู่มาก ให้กระทรวงพาณิชย์เพิ่มมาตรการป้องกัน ตรวจสอบ และลงโทษผู้กระทำความผิดโดยเด็ดขาด ๓. โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๕/๒๕๕๖ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรประชาสัมพันธ์อย่างเร่งด่วน เพื่อชี้แจงให้ประชาชนทราบถึงประโยชน์ที่ชาวนาได้รับโดยตรงจากราคาตลาดที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งเกษตรกรที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการและเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการได้รับผลประโยชน์ โดยราคาข้าวเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ๒,๕๐๐ บาท/ตัน และ ๔,๐๐๐ บาท/ตัน รวมทั้งผลประโยชน์ทางอ้อมต่อรัฐบาล โดยเกษตรกรจะมีการใช้จ่ายมากขึ้นทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ส่งผลให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ธุรกิจมีกำไรและรัฐเก็บภาษีเงินได้เพิ่มขึ้น เกิดการขยายตัวของธุรกิจเพื่อรองรับกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น รวมถึงมีการจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น มูลค่ารวม ๘๓,๒๓๘ ล้านบาท ๔. โครงการพัฒนาศักยภาพกองทุนหมู่บ้านและชุมชน (SML) และการดำเนินการตามโครงการเพิ่มทุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ระยะที่ ๓ ยังดำเนินการได้ค่อนข้างล่าช้า ให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติจัดทำกรอบระยะเวลาในการดำเนินการให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายและชัดเจน
|
||||||||||||||||||
2051 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ตะกั่วในสีทาอาคาร ภัยที่ป้องกันได้" | สสป | 20/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ตะกั่วในสีทาอาคาร ภัยที่ป้องกันได้" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์ และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค) กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค สภาสถาปนิก สมาคมผู้ผลิตสีไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องควรดำเนินการในการแก้ไขปัญหาทั้งเร่งด่วน และรณรงค์เพื่อป้องกันปัญหาในระยะยาว โดย ๑.๑ เร่งรัดการออกกฎหมายความปลอดภัยของผู้บริโภค (Consumer Product safety Improvement Act) ๑.๒ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมควรออกมาตรฐานบังคับสำหรับมาตรฐานผลิตภัณฑ์กำหนดมาตรฐานปริมาณตะกั่วในสีน้ำมันที่อนุญาตให้มีได้ไม่เกินร้อยละ ๐.๐๖ หรือ 600 ppm เป็นมาตรฐานบังคับเพื่อประกันความปลอดภัยแก่ผู้บริโภค ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๓ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคควรประกาศให้มีการแสดงปริมาณสารตะกั่วในสีตกแต่งหรือสีทาอาคาร และมีฉลากคำเตือนบนภาชนะบรรจุสีตกแต่งหรือสีทาอาคารที่มีสารตะกั่วเจือปน เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้บริโภคในการตัดสินใจซื้อ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๔ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรออกข้อกำหนดให้ผู้รับเหมาใช้สีที่ควบคุมปริมาณสารตะกั่วในสีทาอาคาร และสีทาเคลือบผิววัสดุที่ใช้ในอาคารและใช้ในโรงเรียนโดยมีปริมาณสารตะกั่วน้อยกว่า 90 ppm หรือร้อยละ ๐.๐๐๙ ๑.๕ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ควรร่วมกันออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้ผลิตขนาดกลางและขนาดเล็กให้สามารถผลิตสีที่ไม่มีตะกั่วหรือมีในระดับค่ามาตรฐานออกจำหน่ายแข่งขันในท้องตลาดได้ ๑.๖ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ควรมีมาตรการตรวจสอบสีทาอาคารที่วางจำหน่ายในท้องตลาดเป็นประจำเพื่อติดตามความก้าวหน้าในการควบคุมปริมาณการใช้ตะกั่วในสี ๑.๗ สถาปนิก และสมาคมสถาปนิกสยาม ควรกำหนดให้สีทาอาคาร และสีทาเคลือบผิว วัสดุที่ใช้ในอาคารอยู่ในมาตรฐานความปลอดภัย ๒. ผู้ประกอบการควรมีจิตสำนึกต่อสังคม โดยดำเนินการ ๒.๑ ในระหว่างที่ยังไม่มีประกาศจากรัฐ ผู้ประกอบการควรตระหนักถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค เช่น ไม่ใช้สารที่มีส่วนผสมของตะกั่วในการผลิตสี ติดฉลากแสดงปริมาณตะกั่ว และคำเตือนบนภาชนะบรรจุสีทุกชนิดที่มีสารตะกั่ว ๒.๒ สนับสนุนมาตรการของภาครัฐในการดำเนินการให้มีการใช้สีทาอาคารที่ไม่มีสารตะกั่ว ๓. สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคควรเข้ามามีส่วนสนับสนุนและติดตามการดำเนินงานของทุกภาคส่วน โดย ๓.๑ สนับสนุนการดำเนินงานของภาคประชาสังคมในการรณรงค์คุ้มครองความปลอดภัยของทารก เด็กเล็ก และผู้บริโภค จากสารตะกั่วในสีทาอาคาร ๓.๒ สนับสนุนและร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรพัฒนาเอกชนรณรงค์และประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวางเพื่อให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจถึงผลกระทบจากสารตะกั่วในสีและเลือกใช้สีทาอาคารที่ปลอดภัยจากสารตะกั่ว ๓.๓ ประสานส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดทำรายงานผลการดำเนินงาน ความก้าวหน้า ปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะในการคุ้มครองความปลอดภัยของทารก เด็กเล็ก และผู้บริโภค จากสารตะกั่วในสีทาอาคารเพื่อเผยแพร่ให้สาธารณะทราบ
|
||||||||||||||||||
2052 | แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาโคนมและผลิตภัณฑ์อย่างครบวงจร | นร04 | 13/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาโคนมและผลิตภัณฑ์อย่างครบวงจร ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยมีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ ดังนี้
๑. องค์ประกอบของคณะกรรมการฯ ประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรี (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) เป็นประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ได้รับมอบหมาย ประธานสภาหอการค้าไทย ประธานสภาอุตสาหกรรม ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ประธานชุมนุมสหกรณ์โคนมแห่งประเทศไทย จำกัด นายกสมาคมกลุ่มเกษตรกรผู้รวบรวมน้ำนมดิบ นายกสมาคมผู้ประกอบการแปรรูปอาหารนม นายกสมาคมผู้ผลิตนมพาสเจอร์ไรส์ ผู้ทรงคุณวุฒิที่ประธานกรรมการแต่งตั้ง ๒ ท่าน เป็นกรรมการ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เป็นเลขานุการ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ และผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย เป็นผู้ช่วยเลขานุการ ๒. อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ ศึกษา และจัดทำแนวทางรวมทั้งมาตรการในการพัฒนาโคนมและผลิตภัณฑ์ รวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมนม ที่เชื่อมโยงเป็นระบบครบวงจรตลอดห่วงโซ่การผลิต (Value Chain) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก เชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงหรือขอเอกสารหลักฐาน โดยให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของทางราชการให้ความร่วมมือ และสนับสนุนการดำเนินการของคณะกรรมการ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ คณะทำงาน เพื่อการดำเนินงานได้ตามความเหมาะสม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานต่อนายกรัฐมนตรี และดำเนินการอื่นตามที่นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย
|
||||||||||||||||||
2053 | ร่างกรอบการเจรจาความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (European Free Trade Association : EFTA) | พณ | 13/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างกรอบการเจรจาความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (European Free Trade Association : EFTA) เพื่อสร้างโอกาสให้แก่ไทยในการเป็นศูนย์กลางของ EFTA ด้านการค้าและการลงทุนในอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป เทคโนโลยีชีวภาพ เวชภัณฑ์และเภสัชกรรม และเคมีภัณฑ์ รวมทั้งภาคบริการทางการเงินและการธนาคาร และเปิดโอกาสให้ไทยเป็นฐานในการผลิตและแหล่งรองรับการลงทุนของ EFTA ซึ่งจะช่วยให้ไทยได้ประโยชน์จากประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) มากขึ้น ๑.๒ เสนอร่างกรอบการเจรจาฯ เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นและข้อสังเกตของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรพิจารณามาตรการรองรับภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบจากการเจรจาภายใต้กรอบความตกลงไทย-สหภาพยุโรป และกรอบความตกลงไทย-EFTA โดยมีทิศทางที่สอดคล้องกันเพื่อให้เกิดความชัดเจนและลดความซ้ำซ้อนในทางปฏิบัติของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งหารือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะภาคเอกชนเพื่อพิจารณาผลกระทบในทุกมิติอย่างรอบคอบ โดยให้ความสำคัญกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในภาคประมงและทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะประเด็นการเข้าถึงยาที่จำเป็นของประชาชนทั้งในด้านบริการ โทรคมนาคมและการสื่อสาร การเงิน การธนาคาร ประกันภัย และการขนส่ง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
2054 | การลงนามพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันชุดที่ 9 ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าบริการของอาเซียน | พณ | 13/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การลงนามพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันชุดที่ ๙ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าบริการของอาเซียน ก่อนนำเสนอพิธีสารเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาตามมาตรา ๑๙๐ เพื่อให้ความเห็นชอบเพื่อผูกพันไทยต่อไป โดยใช้เนื้อหาของข้อผูกพันชุดที่ ๘ ไปก่อน ซึ่งเป็นข้อผูกพันที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ และเมื่อจัดทำชุดที่ ๙ แล้วเสร็จ จะนำเสนอรัฐมนตรีและรัฐสภาให้ความเห็นชอบก่อนยื่นต่อสำนักเลขาธิการอาเซียนต่อไป ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ได้รับมอบหมายอื่น เป็นผู้ลงนามพิธีสารฯ ในช่วงการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM Consultations) ครั้งที่ ๔๕ ระหว่างวันที่ ๑๘-๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ ณ ประเทศเนการาบรูไนดารุสซาลาม และหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญในพิธีสารฯ ให้ผู้ลงนามใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ ได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายอื่นลงนามพิธีสารฯ ๑.๔ เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันชุดที่ ๙ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าบริการของอาเซียนแล้ว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินกระบวนการภายในประเทศเพื่ออนุวัติการให้เป็นไปตามพิธีสารฯ และให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งเลขาธิการอาเซียนว่าประเทศไทยได้ดำเนินการตามกระบวนการภายในเสร็จสิ้นแล้วเพื่อให้พิธีสารมีผลใช้บังคับ ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จะลงนามในพิธีสารฯ ได้ต่อเมื่อรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบพิธีสารและภาคผนวกแล้ว |
||||||||||||||||||
2055 | ผลการประชุมเชิงปฏิบัติเพื่อปรับปรุงการบริหารจัดการและกำหนดทิศทางการดำเนินกิจการในอนาคตของการรถไฟแห่งประเทศไทย | นร04 | 13/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีรายงานว่า ตามที่ได้ประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อปรับปรุงการบริหารจัดการและกำหนดทิศทางการดำเนินกิจการในอนาคตของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๖ และเห็นควรมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปศึกษารายละเอียดในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
๑. การจัดทำแบบจำลองทางการเงิน (financial model) เพื่อบริหารจัดการทรัพย์สินและหนี้สินของ รฟท. ให้เกิดประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุด ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ๒. การดำเนินการด้านเทคนิคในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจการรถไฟ โดยพิจารณาถึงความจำเป็นเหมาะสม ความพร้อม องค์ความรู้ ทักษะ และความชำนาญ โดยให้พิจารณาทั้งในส่วนที่ รฟท. มีความพร้อมและมีศักยภาพในการดำเนินการได้เอง และในส่วนที่จะให้หน่วยงานภายนอกรับไปดำเนินการ (outsource) ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ๓. รูปแบบการให้บริการ (service design) เพื่อพิจารณาความพร้อมและรูปแบบในการให้บริการแก่ผู้โดยสาร รวมทั้งการสร้างมูลค่าเพิ่มในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ รฟท. มีรายได้เพิ่มขึ้น เช่น การนำผลิตภัณฑ์ OTOP ที่เป็นสินค้าและอาหารที่เป็นที่นิยมและมีชื่อเสียงของแต่ละจังหวัดมาจัดจำหน่าย ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ๔. การบริหารจัดการด้านราคา (pricing) เพื่อพิจารณาแนวทางการกำหนดราคาค่าโดยสารและบริการให้สอดคล้องกับต้นทุน โดยให้นำการกำหนดราคาของเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีแดง บางซื่อ-รังสิต มาประกอบการพิจารณา รวมทั้งการกำหนดผลตอบแทนจากการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินต่าง ๆ ของ รฟท. เช่น การใช้ที่ดินบริเวณมักกะสันและบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นต้น ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ทั้งนี้ จะได้มีการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาในรายละเอียดในประเด็นดังกล่าวข้างต้นต่อไป สำหรับการดำเนินงานในชั้นต้น ให้ รฟท. เร่งรัด ปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์ของสถานีรถไฟต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของห้องน้ำ การอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้พิการและผู้สูงอายุ รวมทั้งการจัดทำป้ายบอกทางในสายทางที่มีผู้ใช้บริการจำนวนมาก เช่น กรุงเทพฯ-หัวหิน และกรุงเทพฯ-อยุธยา ให้มีความเหมาะสม ชัดเจนด้วย
|
||||||||||||||||||
2056 | รายงานผลการเดินทางไปราชการต่างประเทศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | กษ | 06/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางไปราชการต่างประเทศของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) ระหว่างวันที่ ๓-๕ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ณ สาธารณรัฐโปแลนด์ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) ได้ร่วมลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร (Letter of Intent) ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทแห่งสาธารณรัฐโปแลนด์ จำนวน ๖ ฉบับ ได้แก่ หนังสือแสดงเจตจำนงว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตรระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทแห่งสาธารณรัฐโปแลนด์ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งกลไกสำหรับการหารือเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐโปแลนด์ บันทึกความเข้าใจระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และ Polish Agency for Enterprise Development (PARP) บันทึกความเข้าใจระหว่างคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกับ Polish Information and Foreign Investment Agency (PAlilZ) บันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย) กับสภาหอการค้าโปแลนด์ และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงเศรษฐกิจแห่งสาธารณรัฐโปแลนด์ ๒. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) ได้หารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทแห่งสาธารณรัฐโปแลนด์ โดยมีประเด็นหารือสำคัญ ๆ ได้แก่ การเรียนรู้ด้านการพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจสีเขียวของโปแลนด์ ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยมีความสนใจในด้านนี้ จึงขอให้มีคณะของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยมาหารือและเรียนรู้ในด้านดังกล่าวจากโปแลนด์ ในขณะที่ฝ่ายโปแลนด์ได้แสดงความสนใจในการส่งออกผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์ไปยังประเทศไทย และขอให้ฝ่ายไทยจัดส่งคณะเจ้าหน้าที่จากกรมปศุสัตว์มาตรวจโรงงานในประเทศโปแลนด์ นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับระบบสหกรณ์ โดยเห็นว่าน่าจะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านสหกรณ์ เพื่อยกระดับสหกรณ์ของทั้งสองประเทศ และเห็นชอบให้มีการจัดทำการค้นคว้าวิจัยและพัฒนาในด้านการเกษตรระหว่างกัน รวมทั้งการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อหารือในแนวทางความร่วมมือที่เป็นที่สนใจของทั้งสองฝ่ายเพื่อนำไปสู่การจัดทำบันทึกความเข้าใจด้านความร่วมมือด้านการเกษตรต่อไป
|
||||||||||||||||||
2057 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานเศรษฐกิจการลงทุน ณ นครนิวยอร์ก | อก | 06/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศนำเรื่อง ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานเศรษฐกิจการลงทุน ณ นครนิวยอร์ก ของกระทรวงอุตสาหกรรม และเรื่อง การจัดทำสัญญาเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก ของกระทรวงพาณิชย์ ไปพิจารณาทบทวนร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเกี่ยวกับนโยบายการใช้พื้นที่ร่วมกัน (One Roof Policy) ของหน่วยงานดังกล่าว และหากเป็นทำเลที่เหมาะสมให้พิจารณาถึงความคุ้มค่าในการจัดซื้ออาคารที่ทำการฯ แทนวิธีการเช่าเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งเป็นการประหยัดและลดภาระงบประมาณของประเทศในระยะยาว แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๒ สัปดาห์ต่อไป
|
||||||||||||||||||
2058 | การลงนามในร่างพิธีสารสรุปความตกลงเปิดตลาดทวิภาคีระหว่างประเทศไทยและอัฟกานิสถานภายใต้กระบวนการภาคยานุวัติเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกของอัฟกานิสถาน | พณ | 06/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในสารัตถะของร่างพิธีสารสรุปความตกลงเปิดตลาดทวิภาคีระหว่างประเทศไทยและอัฟกานิสถานภายใต้กระบวนการภาคยานุวัติเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกของอัฟกานิสถาน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเร่งรัดกระบวนการลงนามในพิธีสารสรุปความตกลงฯ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ประเทศอื่น ๆ เข้าใจผิดว่าการดำเนินการล่าช้าของไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อกีดกันการเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกของอัฟกานิสถาน ๒. ให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างพิธีสารฯ |
||||||||||||||||||
2059 | มาตรการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพ | กค | 06/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพ ได้แก่ มาตรการด้านการบริโภคภาคเอกชน มาตรการด้านการลงทุนภาคเอกชน มาตรการด้านการใช้จ่ายภาครัฐ และมาตรการด้านการส่งออก ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพในภาพรวมและการดำเนินงานในแต่ละด้าน ควรคำนึงถึงผลประโยชน์และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบด้าน เพื่อให้การดำเนินมาตรการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และส่งผลต่อการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และประชาชน อย่างแท้จริง และให้กระทรวงการคลังประสานกับหน่วยงานเจ้าภาพเพื่อร่วมกันกำหนดเป้าหมายและกรอบระยะเวลาการดำเนินการที่ชัดเจน รวมทั้งติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานเจ้าภาพ เพื่อรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบอย่างสม่ำเสมอ และจัดส่งข้อมูลดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกรอบการรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจปี ๒๕๕๖ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้หน่วยงานและผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมาตรการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพเพิ่มเติม ๓.๑ ให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักเพิ่มเติมร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงการคลังในการดำเนินการเกี่ยวกับมาตรการภาษีเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาแก้ไขระเบียบที่เป็นอุปสรรคหรือปัญหาในทางปฏิบัติของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมท่องเที่ยวด้วย ๓.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) รับไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการในการเร่งรัดการจ่ายเงินของกองทุนตั้งตัวได้ตามมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายในปีงบประมาณ ๒๕๕๖ เพื่อให้ขบวนการขับเคลื่อนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเร็วขึ้น รวมทั้งให้สำนักงบประมาณรายงานสถานภาพและความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินการตามมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายในปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ของกองทุนนอกงบประมาณให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นรายไตรมาสด้วย ๓.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยรับไปพิจารณารายละเอียดและหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเบิกจ่ายงบประมาณของจังหวัดในส่วนที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่างประเทศให้มีความเหมาะสม สอดคล้องกับข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๓.๔ ให้สำนักงบประมาณรับไปดำเนินการชี้แจงกับกระทรวงต่าง ๆ เกี่ยวกับการจัดสัมมนา โดยขอความร่วมมือให้กระทรวงจัดสัมมนากระจายไปตามจังหวัดต่าง ๆ ที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว ภายในไตรมาส ๑ และไตรมาส ๒ ของปีงบประมาณ ๓.๕ ให้กระทรวงที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณเกี่ยวกับการจัดนิทรรศการไว้แล้ว ดำเนินการจัดนิทรรศการส่งเสริมสินค้าไทยให้มากขึ้น เช่น สินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ของกระทรวงมหาดไทย โครงการธงฟ้าของกระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศและส่งเสริมการใช้สินค้าไทย ๓.๖ ให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ในการจัดทำวีซ่าเพื่อสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวจากต่างชาติ |
||||||||||||||||||
2060 | สถานการณ์สินค้าอาหารสดและสินค้าอุปโภคบริโภคที่สำคัญ (ณ วันที่ 1 สิงหาคม 2556) | พณ | 06/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานการณ์สินค้าอาหารสดและสินค้าอุปโภคบริโภคที่สำคัญ (ณ วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๖) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ราคาขายปลีกขายส่งสินค้าอาหารสดและสินค้าอุปโภคบริโภค เทียบกับสัปดาห์ก่อน (๑ สิงหาคม ๒๕๕๖) สินค้าอาหารสด หมวดโปรตีน สุกร ราคาเนื้อแดง-สะโพก ๑๓๐-๑๓๕ บาท/กก. สูงขึ้นร้อยละ ๒.๗๑ ไก่ ราคาไก่สดทั้งตัว (รวมเครื่องใน) ๗๐-๗๕ บาท/กก. ราคาทรงตัว และไข่ไก่ ราคาฟองละ ๓.๓๕-๓.๔๕ บาทสูง ขึ้นร้อยละ ๓.๐๓ หมวดผัก คะน้า ราคา ๑๕-๑๘ บาท/กก. ลดลงร้อยละ ๒๑.๔๓ กะหล่ำปลี และถั่วฝักยาว ราคาทรงตัว อยู่ที่ กก.ละ ๑๘-๒๐ บาท และ ๒๒-๒๕ บาท/กก. สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภค ราคาทรงตัว ๒. ราคาขายปลีกขายส่งสินค้าอาหารสดและสินค้าอุปโภคบริโภค เทียบกับสัปดาห์นี้ปีก่อน (๑ สิงหาคม ๒๕๕๕) สินค้าอาหารสด คะน้า ราคาลดลงร้อยละ ๑๓.๑๖ กะหล่ำปลี ราคาทรงตัว ในขณะที่สุกร ไก่ไข่ ถั่วฝักยาว ราคาสูงขึ้นร้อยละ ๔.๔๔-๒๖.๑๙ สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภค น้ำมันพืชราคาลดลง
|
.....