ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 108 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 2141 - 2160 จากข้อมูลทั้งหมด 6672 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2141 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพาณิชย์) (นายวุฒิชัย ดวงรัตน์ และนายสุรศักดิ์ เรียงเครือ) | พณ | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. นายวุฒิชัย ดวงรัตน์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายสุรศักดิ์ เรียงเครือ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2142 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ การพาณิชย์และอุตสาหกรรม วุฒิสภา เรื่อง การศึกษาและติดตามการเชื่อมโยงเศรษฐกิจการค้าและการลงทุนของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน | สว | 05/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ การพาณิชย์และอุตสาหกรรม วุฒิสภา เรื่อง การศึกษาและติดตามการเชื่อมโยงเศรษฐกิจการค้าและการลงทุนของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมข้อสังเกตและข้อเสนอแนะกับผลการดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะตามรายงานที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุมิสภาทราบต่อไป โดยมีประเด็นสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การให้จังหวัดชายแดนได้พิจารณาความเหมาะสมในการเปิดจุดผ่านแดน ๒. การจัดสรรงบประมาณเพื่อพัฒนาด่านชายแดนที่มีอยู่กับประเทศเพื่อนบ้านให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริหารจัดการด่านชายแดนในลักษณะที่เป็นการให้บริการ ณ ที่เดียว (One stop Service) ๓. การพิจารณายกเลิกประกาศและกฎระเบียบของบางหน่วยงานที่อาจเป็นปัญหาอุปสรรคต่อการค้าชายแดนไทย โดยปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับความเป็นจริงและสถานการณ์ในปัจจุบัน ๔. การให้ความรู้และความเข้าใจในเรื่องกฎหมาย ระเบียบ และนโยบายของแต่ละหน่วยงานแก่เจ้าหน้าที่ในหน่วยปฏิบัติงานต่าง ๆ ในพื้นที่ ให้มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงบทบาทภารกิจและหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงาน ๕. การให้ทางจังหวัด ซึ่งปัจจุบันได้บริหารราชการแบบบูรณาการ (Chief Executive officer : CEO) เช่น การพิจารณาดำเนินการขอถอนสภาพป่าในพื้นที่ที่เป็นจุดผ่านแดนถาวรหรือจุดผ่อนปรนทางการค้า ๖. การเร่งดำเนินการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน ให้มีการปฏิบัติตามข้อตกลงหรือยกเลิกกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่มีลักษณะเป็นการกีดกันสินค้าไทยภายใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรี (AFTA) ๗. การขยายถนนให้มีขนาดเหมาะสมและสอดรับกันเพื่อเชื่อมโยงประเทศไทยกับประเทศสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เอเชียตะวันออก (จีน ญี่ปุ่น) และอินเดีย ๘. การพัฒนาท่าเรือในอินโดจีนจะต้องเร่งพัฒนาท่าเรือและสิ่งอำนวยความสะดวกในการจัดเก็บและกระจายสินค้า รวมทั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษในจังหวัดที่มีศักยภาพอย่างจริงจัง ๙. การเชื่อมโยงโครงข่ายเส้นทางรถไฟในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๑๐. การให้จังหวัดใดที่ได้พิจารณาความเหมาะสมในการเปิดจุดผ่านแดน หรือยกระดับด่านเปิดเป็นจุดผ่านแดนถาวร หากเห็นว่าพื้นที่ใดมีศักยภาพในการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านในการรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ๑๑. การพัฒนาด่านชายแดนให้มีมาตรฐานเดียวกันและมีการบริหารจัดการแบบ (One Stop Service) โดยการพัฒนาระบบข้อมูลระบบอิเล็กทรอนิกส์แบบบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลอดจนการนำเอาพิกัดระบบฮาโมไนซ์อาเซียนมากำหนดพิกัดศุลกากรและรหัสสถิติสินค้า เพื่อให้การเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์มีความรวดเร็วและสะดวกในการเข้าถึงข้อมูล และยกเลิกประกาศและกฎระเบียบของหน่วยงานที่เป็นปัญหาและอุปสรรคต่อการค้าขายชายแดน ๑๒. การแสวงหาแหล่งวัตถุดิบและปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพมากขึ้น และมีราคาที่ต่ำกว่าที่มีอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อการขยายประโยชน์จากการเชื่อมโยงในภูมิภาคต่อไป ๑๓. ภาคธุรกิจควรมีข้อมูลเชิงลึกด้านการตลาด เช่น รสนิยมของผู้บริโภค ช่องทางการจัดจำหน่าย นโยบายของรัฐ กฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ในประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น ๑๔. ภาคธุรกิจของไทยควรศึกษาและพัฒนาเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจ เช่น การเลือกจุดผลิตภัณฑ์ที่มีต้นทุนที่ต่ำสุดและได้ประโยชน์สูงสุด ซึ่งในบางธุรกิจอาจจำเป็นต้องย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีแหล่งวัตถุดิบ หรือมีแรงงานที่ถูกกว่า รวมไปถึงการใช้ประโยชน์ของประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม (CLMV) ในสถานะ Least Developed Countries : LCDs เป็นต้น ๑๕. ภาครัฐต้องคำนึงถึงศักยภาพและใช้ประโยชน์จากทำเลที่ตั้งของไทยที่เป็นศูนย์กลางของอาเซียน โดยการสร้างการเชื่อมโยงและพัฒนาระบบการขนส่งคมนาคมให้ทันสมัย สะดวก รวดเร็ว และคงทน ร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านและพัฒนาการเชื่อมโยงอย่างมีประสิทธิภาพ ๑๖. การผลิตสินค้าของไทยต้องเน้นการใช้เทคโนโลยีให้มากขึ้นเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมและเกษตรแปรรูป นอกจากนี้รัฐบาลควรส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา และการออกแบบสินค้าให้มากขึ้น ๑๗. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เพียงพอและเพิ่มศักยภาพให้แก่ประเทศ โดยเฉพาะการคมนาคมทางรถไฟระบบทางคู่ และระบบการเดินรถที่รวดเร็วตรงเวลามากขึ้น รวมไปถึงส่งเสริมการใช้ระบบรถไฟเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าจากนิคมอุตสาหกรรมมายังท่าเรือน้ำลึกเพื่อขนส่งต่อไปยังตลาดต่างประเทศ ๑๘. ธุรกิจไทยจำเป็นต้องปรับตัวควบคุมต้นทุนและสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยเฉพาะลดการเน้นธุรกิจที่ใช้แรงงานในสัดส่วนสูงหันมาพัฒนามาเป็นธุรกิจที่เน้นความรู้เข้มข้นหรือใช้เทคโนโลยีในการผลิตมากขึ้น ๑๙. การใช้แรงงานไทยจำเป็นต้องได้รับการฝึกฝนใหม่หรือฝึกฝนทักษะเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้สามารถแข่งขันด้านแรงงานและพัฒนาสินค้าและบริการให้มีมูลค่าและประสิทธิภาพเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงภาครัฐต้องจัดการดูแลอาชีพที่ขาดแคลนโดยการให้ข้อมูลแก่แรงงานรุ่นใหม่ให้เรียนสาขาที่ตลาดแรงงานมีความต้องการสูง ๒๐. ธุรกิจไทยต้องพยายามรักษาฐานมูลค่าเดิม โดยเน้นหลัก "ความคุ้มค่า" หรือ "Value for Money" อาศัยคุณภาพ รูปแบบ และความเชื่อถือได้ หรือ Reliability เป็นหลัก โดยราคายุติธรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2143 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 132) พ.ศ. 2541 พ.ศ. .... | พณ | 05/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๑๓๒) พ.ศ. ๒๕๔๑ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๑๓๒) พ.ศ. ๒๕๔๑ และให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา ๒. ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า ปัจจุบันกระทรวงพาณิชย์ได้เสนอร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การแก้ไขพิกัดอัตราศุลกากรของสินค้าที่มีมาตรการนำเข้าตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ให้เป็นไปตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๕๕ พ.ศ. .... ซึ่งแก้ไขพิกัดอัตราศุลกากรของเลื่อยโซ่ รวมทั้งส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของเลื่อยโซ่ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๑๓๒) พ.ศ. ๒๕๔๑ และอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี (คณะที่ ๔) หากร่างประกาศฯ ฉบับนี้ประกาศใช้บังคับก่อน เห็นควรแก้ไขพิกัดอัตราศุลกากรตามร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๑๓๒) พ.ศ. ๒๕๔๑ พ.ศ. .... ให้สอดคล้องกัน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2144 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงพาณิชย์) (นางสาวผ่องพรรณ เจียรวิริยะพันธ์) | พณ | 05/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางสาวผ่องพรรณ เจียรวิริยะพันธ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาการพาณิชย์ (นักวิชาการพาณิชย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2145 | แผนการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน (Contract Farming) ภายใต้ยุทธศาสตร์อิรวดี - เจ้าพระยา - แม่โขง (ACMECS) ประจำปี 2556 | พณ | 05/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนการลงทุนและแนวทางดำเนินโครงการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน (Contract Farming) ภายใต้ยุทธศาสตร์อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงโครงการฯ ให้กระทรวงพาณิชย์สามารถดำเนินการได้ โดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำหรับสาระสำคัญของแผนการลงทุนฯ ฯ ในยุทธศาสตร์ ACMECS ประกอบด้วย ๑.๑.๑ การกำหนดชนิดและปริมาณ พืชเกษตรเป้าหมาย ๑๐ ชนิด ปริมาณรวม ๑,๐๐๓,๒๐๐ ตัน ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ๒๐๐,๐๐๐ ตัน ถั่วเหลือง ๑๐๐,๐๐๐ ตัน ถั่วลิสง ๖,๕๐๐ ตัน ถั่วเขียวผิวมัน ๑๒,๐๐๐ ตัน งา ๑๐,๒๐๐ ตัน ข้าวโพดหวาน ๒๒,๐๐๐ ตัน ลูกเดือย ๕๐,๐๐๐ ตัน ละหุ่ง ๒,๕๐๐ ตัน มันสำปะหลัง (มันเส้น) ๒๐๐,๐๐๐ ตัน และไม้ยูคาลิปตัส ๔๐๐,๐๐๐ ตัน ๑.๑.๒ การนำเข้าผลผลิตพืชเป้าหมาย ระยะเวลานำเข้า สำหรับพืชเป้าหมาย จำนวน ๙ ชนิด ได้แก่ ข้าวโพดหวาน งา ลูกเดือย ละหุ่ง ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วเขียวผิวมัน มันสำปะหลัง (มันเส้น) และไม้ยูคาลิปตัส ผลผลิตตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ถึง ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ และระยะเวลานำเข้าผลผลิต สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ถึง ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ๑.๑.๓ เงื่อนไขการนำเข้า ให้ผลผลิตพืชที่นำเข้าประเทศไทยภายใต้แผนการลงทุนฯ ในยุทธศาสตร์ ACMECS ที่มีถิ่นกำเนิดจากราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) และสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ จะต้องมีหนังสือรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าแบบฟอร์ม Form D ATIGA ใบรับรองสุขอนามัยที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานที่มีอำนาจออกหนังสือรับรองดังกล่าวของประเทศที่ส่งออก และต้องรายงานการนำเข้าผลผลิตภายใต้โครงการ ACMECS Contract Farming รวมทั้งปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด ๑.๑.๔ สิทธิพิเศษที่ได้รับ กำหนดให้ผลผลิตพืชนำเข้าไทยภายใต้แผนการลงทุนฯ ในยุทธศาสตร์ ACMECS ที่มีถิ่นกำเนิดจากราชอาณาจักรกัมพูชา สปป.ลาว และสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ได้รับสิทธิพิเศษภาษีศุลกากรนำเข้าในอัตราร้อยละศูนย์ ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมพิเศษ (ถ้ามี) รวมทั้งได้รับความช่วยเหลือภายใต้ยุทธศาสตร์ ACMECS จากสาขาความร่วมมือด้านเกษตร และสาขาการอำนวยความสะดวกทางด้านการค้าและการลงทุน ๑.๒ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป้าหมายปฏิบัติงานตามแนวทางการดำเนินงานแผนการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้านภายใต้ยุทธศาสตร์ ACMECS ๑.๓ อนุมัติการยกเว้นค่าธรรมเนียมพิเศษสำหรับการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในอัตราน้ำหนักสุทธิเมตริกตันละศูนย์บาท สำหรับการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในโครงการความร่วมมือเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน ปี ๒๕๕๖ ภายใต้ยุทธศาสตร์ ACMECS โดยผู้นำเข้าจะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณารายละเอียดเพื่อบริหารจัดการช่วงเวลาและปริมาณการนำเข้าสินค้าเกษตรตามโครงการแผนการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน (Contract Farming) ภายใต้ยุทธศาสตร์อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS) ประจำปี ๒๕๕๖ ให้เหมาะสม โดยไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณและราคาของสินค้าเกษตรภายในประเทศของไทย และในกรณีสินค้าเกษตรที่จะนำเข้าชนิดใดมีคณะกรรมการเฉพาะที่มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลโดยตรงอยู่ด้วย เช่น คณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช เป็นต้น ให้นำเรื่องการนำเข้าสินค้าเกษตรชนิดนั้น ๆ เสนอคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องพิจารณาตามขั้นตอนก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการประชาสัมพันธ์การประกาศใช้แผนการลงทุนฯ ให้ครอบคลุมทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเห็นควรขยายระยะเวลาการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นตั้งแต่ ๑ มกราคม ถึง ๓๑ ธันวาคม เพื่อให้เท่าเทียมกับระยะเวลาการนำเข้าของพืชเป้าหมายอีก ๙ ชนิด โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อเกษตรกรภายในประเทศและความสอดคล้องกับการจัดระบบการนำเข้าภายในประเทศ รวมทั้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดปรับเป้าหมายปฏิบัติงานตามแนวทางดำเนินงานดังกล่าว นอกจากนี้ ให้ผู้นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2146 | ผลการเยือนสาธารณรัฐเกาหลีและเขตบริหารพิเศษฮ่องกง | นร04 | 27/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีรายงานเกี่ยวกับการเดินทางเยือนสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อเข้าร่วมในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดี ปัก กึน-ฮเย (Park Geun-Hye) ซึ่งเป็นผู้นำสตรีคนแรกของเกาหลีใต้ และเดินทางเยือนเขตบริหารพิเศษฮ่องกงตามคำเชิญของผู้บริหารสูงสุดฮ่องกง ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการเยือนสาธารณรัฐเกาหลี ๑.๑ การหารือกับประธานาธิบดี ปัก กึน-ฮเย เกี่ยวกับพัฒนาความสัมพันธ์ความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างไทย-สาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งเป็นเรื่องที่ได้ริเริ่มไว้ตั้งแต่สมัยประธานาธิบดี อี มยอง-บัก (Lee Myung-bak) โดยมุ่งส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน รวมทั้งจะขยายความร่วมมือระหว่างกันให้มากขึ้นทั้งในด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาธารณสุข และการศึกษา ๑.๒ การหารือเกี่ยวกับการพัฒนาบทบาทสตรีในภูมิภาคและให้ความสำคัญกับเด็ก สตรี และผู้สูงอายุ โดยให้กลุ่มคนเหล่านี้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี พร้อมทั้งผลักดันให้สตรีได้มีโอกาสและบทบาทในการพัฒนาประเทศมากยิ่งขึ้น ๑.๓ นายกรัฐมนตรีได้เรียนเชิญประธานาธิบดี ปัก กึน-ฮเย มาเยือนประเทศไทยและเข้าร่วมประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ๒. ผลการเยือนเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ๒.๑ การหารือกับนายเหลียง จุ้นอิง (Leung Chun-ying) ผู้บริหารสูงสุดฮ่องกงเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาความร่วมมือและแลกเปลี่ยนความรู้ด้านต่าง ๆ ระหว่างกัน รวมทั้งการส่งเสริมให้ด้านการค้า การลงทุน โดยเฉพาะการค้าพืชเกษตร เช่น ข้าว ผลไม้ ตลอดจนการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและสุขภาพ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปประสานงานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาในรายละเอียดของความร่วมมือด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป ๒.๒ การศึกษาดูงานที่ Hong Kong Station ซึ่งเป็นสถานีรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเพียบพร้อมในด้านต่าง ๆ สำหรับผู้มาใช้บริการ และเป็นสถานีที่เชื่อมต่อกับระบบขนส่งมวลชนอื่น ๆ เช่น รถไฟและรถโดยสาร รวมทั้งเป็นเส้นทางด่วนไปยังสนามบินซึ่งมีเคาน์เตอร์ของสายการบินต่าง ๆ สำหรับผู้ที่จะเดินทางโดยเครื่องบินสามารถ check in ได้ล่วงหน้า โดยให้กระทรวงคมนาคมนำรูปแบบการบริหารจัดการของ Hong Kong Station ไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประยุกต์ใช้กับการบริหารจัดการสถานีขนส่งมวลชนของไทย เช่น กรณี airport rail link ให้เหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป ๒.๓ การหารือกับกลุ่มสมาคมท่องเที่ยวเกี่ยวกับการที่นักท่องเที่ยวชาวฮ่องกงที่มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นทุกปี โดยขอให้แก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดในกรุงเทพมหานครและเมืองใหญ่ ๆ รวมทั้งหากประเทศไทยมีการจัดงานเฉลิมฉลองเทศกาลต่าง ๆ ขอให้แจ้งไปยังบริษัทท่องเที่ยวของฮ่องกงล่วงหน้าเพื่อจะได้เตรียมรายการท่องเที่ยวให้เหมาะสม โดยให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณากำหนดทิศทางรองรับการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวฮ่องกง สำหรับการดำเนินโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งของประเทศ (มูลค่า ๒.๒ ล้านล้านบาท) ให้มีการพัฒนาเส้นทางที่รองรับการเดินทางของนักท่องเที่ยวไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2147 | ข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ | กต | 27/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบต่อการดำเนินการตามข้อมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ ๒๐๘๗ (ค.ศ. ๒๐๑๓) เกี่ยวกับมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ รวมทั้งรายชื่อบุคคลที่ถูกห้ามการเดินทางและอายัดทรัพย์สินเพิ่มเติม และรายชื่อคณะบุคคลที่ถูกอายัดทรัพย์สินเพิ่มเติม ๒. ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องของไทย ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ การท่าเรือแห่งประเทศไทย สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ปฏิบัติตามข้อมติดังกล่าว และปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวให้เป็นไปตามรายชื่อล่าสุด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2148 | ขอแต่งตั้งอนุกรรมการเพิ่มเติมภายใต้คณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย - เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง | นร11 | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการแต่งตั้งอนุกรรมการเพิ่มเติมภายใต้คณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เสนอ ดังนี้
๑. คณะอนุกรรมการร่วมฯ ฝ่ายไทย สาขาโครงสร้างพื้นฐานและการก่อสร้าง ๑.๑ นายจุลพงศ์ อยู่เกษ ที่ปรึกษากฎหมายผู้ทรงคุณวุฒิของประธานที่ปรึกษานโยบายนายกรัฐมนตรี ๑.๒ ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๑.๓ ผู้แทนการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ๒. คณะอนุกรรมการร่วมฯ ฝ่ายไทย สาขาอุตสาหกรรมเฉพาะด้านและการพัฒนาธุรกิจ ๒.๑ ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ ๓. คณะอนุกรรมการร่วมฯ ฝ่ายไทย สาขากฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๓.๑ นายจุลพงศ์ อยู่เกษ ที่ปรึกษากฎหมายผู้ทรงคุณวุฒิของประธานที่ปรึกษานโยบายนายกรัฐมนตรี ๔. คณะอนุกรรมการร่วมฯ ฝ่ายไทย สาขาการเงิน ๔.๑ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ๔.๒ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2149 | การค้ำประกันเงินกู้โครงการรับซื้อลำไยสดเพื่อแปรรูปและการตลาดลำไยอบแห้ง ปี 2547 | กค | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการค้ำประกันเงินกู้โครงการรับซื้อลำไยสดเพื่อแปรรูปและการตลาดลำไยอบแห้ง ปี ๒๕๔๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบและจัดทำข้อมูลโครงการที่เกี่ยวกับสินค้าเกษตรชนิดต่าง ๆ ที่คาดว่าอาจจะเป็นหนี้สูญ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป สำหรับผลการดำเนินการค้ำประกันเงินกู้โครงการฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ได้ประชุมร่วมกับผู้แทนสำนักงบประมาณ และผู้แทนองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ เพื่อพิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ของโครงการรับซื้อลำไยสดเพื่อแปรรูปและการตลาดลำไยอบแห้งปี ๒๕๔๗ ที่ประชุมมีมติ ๑.๑ เห็นชอบแนวทางการบริหารและจัดการการปรับโครงสร้างหนี้โครงการฯ เพื่อชำระหนี้สินให้แล้วเสร็จภายใน ๔ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ สิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ๑.๒ เห็นชอบให้ อ.ต.ก. ขยายระยะเวลาการกู้เงินกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในอัตราต่ำสุดของเงินฝากประจำ ๖ เดือน ประเภทบุคคลธรรมดาของ ๔ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (FDR) เฉลี่ย บวกร้อยละ ๑.๓๕ ต่อปี หรือต่ำกว่า ๑.๓ เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการค้ำประกัน เป็นระยะเวลา ๔ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ สิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ตามประมาณการการชำระหนี้ที่สำนักงบประมาณจะจัดสรรเงินงบประมาณให้สำหรับโครงการฯ จนเสร็จสิ้น ๑.๔ ให้กระทรวงการคลังเจรจาเงื่อนไขการกู้เงินกับธนาคารกรุงไทยฯ เพื่อนำเสนอกระทรวงการคลังลงนามแก้ไขสัญญากู้เงินต่อไป ๒. กระทรวงการคลังได้เจรจาต่อรองเงื่อนไขการขยายระยะเวลาการชำระหนี้และการค้ำประกันเงินกู้สำหรับโครงการฯ กับธนาคารกรุงไทยฯ และได้พิจารณาเห็นชอบการขยายระยะเวลาการค้ำประกันโครงการฯ แล้ว ๓. อ.ต.ก. ได้ลงนามในสัญญาเงินกู้กับธนาคารกรุงไทยฯ เพื่อขยายระยะเวลาการชำระหนี้และปรับอัตราดอกเบี้ย ตามเงื่อนไขดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้ ในส่วนของการค้ำประกัน กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการดำเนินการเสนอลงนามในสัญญาค้ำประกัน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2150 | การลงนามข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างไทย - เขตบริหารพิเศษฮ่องกง | พณ | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างไทย-เขตบริหารพิเศษฮ่องกง โดยร่างข้อตกลงฯ มีสาระสำคัญครอบคลุมสาขาความร่วมมือทางเศรษฐกิจด้านต่าง ๆ ได้แก่ การอำนวยความสะดวกและส่งเสริมการค้าสินค้า การอำนวยความสะดวกและการส่งเสริมการค้าบริการ การอำนวยความสะดวกและการส่งเสริมการลงทุน การแลกเปลี่ยนข้อมูลและความร่วมมือในการดำเนินการตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการค้า การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ความร่วมมือด้านโลจิสติกส์และการขนส่ง ความร่วมมือและการส่งเสริมการท่องเที่ยว การส่งเสริมการพัฒนาและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและ R&D ความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาศักยภาพ ความร่วมมือด้านการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การอำนวยความสะดวกและส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และความร่วมมือในสาขาอื่นๆ ที่เห็นชอบร่วมกัน ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงเอกสารที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามในร่างข้อตกลงฯ หรือหากติดภารกิจ ให้มอบหมายผู้อื่นลงนามแทนต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรปรับแก้ถ้อยคำในร่างข้อตกลงฯ ใน Paragraph I (OBJECTIVE AND PRINCIPLE) วรรคแรก โดยแก้ไข “This arrangement” เป็น “This Arrangement” และโดยที่ Paragraph I (OBJECTIVE AND PRINCIPLE) ของร่างข้อตกลงฯ ระบุว่าข้อตกลงฉบับนี้ไม่มีเจตนาจะก่อให้เกิดความผูกพันทางกฎหมายระหว่างคู่ภาคี ("This arrangement is not intended to create any binding legal relations between the Participants.") ร่างข้อตกลงฯ จึงไม่เป็นสนธิสัญญาภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เข้าข่ายเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญฯ รวมทั้งกระทรวงพาณิชย์ควรใช้ประโยชน์จากความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างไทยกับฮ่องกงในการพัฒนาและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะในสาขาที่ฮ่องกงมีศักยภาพ เช่น สาขาโลจิสติกส์และการขนส่ง และสาขาบริการทางการเงิน เป็นต้น และจะเป็นช่องทางสำคัญให้ไทยสามารถหยิบยกปัญหาอุปสรรค ด้านการค้าการลงทุนระหว่างกันขึ้นหารือและติดตามผลได้อย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2151 | รายงานผลการดำเนินการ "โครงการธงฟ้าเคลื่อนที่เพื่อประชาชน" (Mobile Unit) | พณ | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการ “โครงการธงฟ้าเคลื่อนที่เพื่อประชาชน” (Mobile Unite) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ ๑๑-๑๗ มกราคม ๒๕๕๖ กรมการค้าภายในได้จัดรถเคลื่อนที่เพื่อนำสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพไปจำหน่ายในชุมชนที่มีรายได้น้อยและลูกจ้างในสถานประกอบการต่างๆ ไม่ต่ำกว่าวันละ ๑๐ จุด ในพื้นที่เขตกรุงเทพมหานคร (๕๐ เขต) ปริมณฑล (จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม) รวมทั้งจังหวัดใกล้เคียง ในราคาต่ำกว่าท้องตลาดร้อยละ ๒๐-๔๐ จำนวน ๗ ชนิด ได้แก่ น้ำมันพืช น้ำตาลทราย ข้าวสาร ไข่ไก่ เนื้อสุกรชำแหละ เนื้อไก่และผลิตภัณฑ์ รวมทั้งสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการครองชีพ เช่น ผงซักฟอก สบู่ ยาสีฟัน น้ำยาล้างจาน ฯลฯ มียอดจากการจำหน่ายสินค้ารวมทั้งสิ้น ๔,๐๘๐,๐๒๐ บาท ประชาชนให้การตอบรับโครงการธงฟ้าเคลื่อนที่เพื่อประชาชน (Mobile Unit) และให้ความสนใจซื้อสินค้าประมาณ ๑๑,๔๗๕ คน สินค้าที่ขายดี ได้แก่ น้ำมันพืช น้ำตาลทราย และสินค้าอุปโภคบริโภค สามารถลดภาระค่าครองชีพประชาชน ประมาณ ๑,๗๔๘,๕๘๐ บาท
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2152 | การแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มและราคาผลปาล์มตกต่ำปี 2555 - 2556 | พณ | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มและราคาผลปาล์มตกต่ำ ปี ๒๕๕๕-๒๕๕๖ ตามมาตรการดูดซับน้ำมันปาล์มดิบออกจากระบบตลาด ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดูดซับน้ำมันปาล์มออกจากระบบตลาดรอบที่ ๑ การรับซื้อผลปาล์มจากเกษตรกร ตั้งแต่วันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๕-๒๔ มกราคม ๒๕๕๖ มีโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มรับซื้อตามโครงการแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มและราคาผลปาล์มตกต่ำ ปี ๒๕๕๕-๒๕๕๖ รอบที่ ๑ จำนวน ๔๒ ราย รับซื้อผลปาล์มจากเกษตรกรตามโควตาที่ได้รับจัดสรรคิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบรวม ๔๓,๕๘๓ ตัน (คิดเป็นผลปาล์มอัตราน้ำมันร้อยละ ๑๗ ประมาณ ๒๕๕,๖๘๐ ตัน) และได้ส่งมอบน้ำมันปาล์มดิบเข้าคลังกลางขององค์การคลังสินค้า (อคส.) ณ วันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๖ แล้ว จำนวน ๒๗,๒๓๓.๘๔ ตัน ทั้งนี้ ผลต่อราคาตลาด ราคารับซื้อผลปาล์ม ณ หน้าโรงงาน เดือนมกราคม ๒๕๕๖ ปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ กิโลกรัมละ ๓.๓๕-๓.๘๐ บาท เป็นกิโลกรัมละ ๓.๘๐-๔.๐๐ บาท ๒. การดูดซับน้ำมันปาล์มออกจากระบบตลาดรอบที่ ๒ คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๕๖ มีมติ ๒.๑ เห็นชอบให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบจากโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มเพิ่มเติมอีก ๕๐,๐๐๐ ตัน รวมเป็น ๑๐๐,๐๐๐ ตัน ในราคากิโลกรัมละ ๒๕ บาท ระยะเวลาการรับซื้อ เดือนธันวาคม ๒๕๕๕-เมษายน ๒๕๕๖ ระยะเวลาจำหน่าย เดือนมกราคม-กันยายน ๒๕๕๖ ระยะเวลาโครงการแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มและราคาผลปาล์มตกต่ำ ปี ๒๕๕๕-๒๕๕๖ รอบที่ ๒ เดือนธันวาคม ๒๕๕๕-พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ๒.๒ อนุมัติเงินทุนหมุนเวียน จำนวน ๑,๒๕๐ ล้านบาท ให้ อคส. ใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบจากโรงงานสกัดเพิ่มเติมอีก ๕๐,๐๐๐ ตัน ในราคากิโลกรัมละ ๒๕ บาท ๒.๓ อนุมัติเงินจ่ายขาด จำนวน ๒๙๒.๕๙๖ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามที่เกิดขึ้นจริงของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการรับซื้อและระบายน้ำมันปาล์มดิบ ปริมาณ ๑๐๐,๐๐๐ ตัน (โดยยกเลิกมติ คชก. เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ ในส่วนของการอนุมัติวงเงินจ่ายขาดในการเก็บสต็อกน้ำมันปาล์มดิบรอบที่ ๑ ปริมาณ ๕๐,๐๐๐ ตัน) ประกอบด้วย วงเงิน ๒๘๒.๔๐ ล้านบาท ให้ อคส. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการฝากเก็บสต็อกน้ำมันปาล์มดิบ วงเงิน ๑.๙๙๖ ล้านบาท ให้กรมส่งเสริมการเกษตรเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการขึ้นทะเบียนและออกใบรับรองเกษตรกรของกรมส่งเสริมการเกษตรตามโครงการฯ และวงเงิน ๘.๒๐ ล้านบาท ให้กรมการค้าภายในเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการฯ ค่าเบี้ยประชุม ค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมคณะอนุกรรมการระบายน้ำมันปาล์มดิบตามโครงการฯ และค่าใช้จ่ายดำเนินงานของจังหวัดที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้ อคส. เบิกค่าใช้จ่ายในการเก็บสต๊อคน้ำมันปาล์มดิบตามปริมาณและระยะเวลาที่เกิดขึ้นจริง โดยให้เร่งระบายน้ำมันปาล์มดิบที่รับซื้อไว้ เพื่อนำเงินส่งคืนกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร สำหรับดำเนินการแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรอื่นต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2153 | ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (จัดตั้งสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์) | พณ | 05/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ ดังนี้ ๑.๑ เพิ่มเติม (๑๐) ของมาตรา ๒๙ เพื่อจัดตั้งสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า มีฐานะเป็นส่วนราชการระดับกรมในกระทรวงพาณิชย์ ๑.๒ ให้โอนบรรดาอำนาจหน้าที่ที่เป็นของสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ และอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง หรือมติของคณะรัฐมนตรี ที่เป็นของสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ และโอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน งบประมาณ สิทธิ หนี้และภาระผูกพันทั้งปวงของสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ ไปเป็นของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า แล้วแต่กรณี ๑.๓ ให้โอนบรรดาข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้าง และอัตรากำลังของสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ กรมการค้าต่างประเทศ กรมการค้าภายใน กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กรมส่งเสริมการส่งออก กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกรมทรัพย์สินทางปัญญา ตามจำนวนอัตราที่กำหนด ไปเป็นของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ กิจการ ทรัพย์สิน งบประมาณ สิทธิ หนี้และภาระผูกพัน รวมทั้งการโอนข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้าง และอัตรากำลัง ควรกำหนดให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามร่างพระราชบัญญัติฯ เพื่อบังคับการให้เป็นไปตามบทบัญญัติดังกล่าว ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งร่างพระราชบัญญัติฯ ให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดจำนวนอัตรากำลังที่เกลี่ยจากกรมต่าง ๆ ในกระทรวงพาณิชย์ไปเป็นของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า อาจจะก่อให้เกิดความไม่ยืดหยุ่นในทางปฏิบัติ จึงควรกำหนดในลักษณะที่ให้มีการโอนอัตรากำลังจากกรมต่าง ๆ ในกระทรวงพาณิชย์โดยการเกลี่ยอัตรากำลังและไม่เป็นการเพิ่มอัตรากำลังขึ้นใหม่ นอกจากนี้ ควรให้สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้าทำหน้าที่เป็นหน่วยงานด้านยุทธศาสตร์การพาณิชย์และเป็นฐานข้อมูลเศรษฐกิจการพาณิชย์ในเชิงลึกที่ทันสมัย โดยเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานอื่น ๆ และมีความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูล รวมทั้งควรพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจการพาณิชย์ในภาพรวม ทั้งกฎหมายภายในประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศ โดยบูรณาการการทำงานร่วมกับกลุ่มกฎหมายหรือสำนักนิติการของกรมต่าง ๆ ภายใต้กระทรวงพาณิชย์ที่ต่างมีกฎหมายในการกำกับดูแล ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2154 | การเสนอชื่อผู้สมัครจากประเทศไทยเข้ารับการคัดเลือกเป็นผู้อำนวยการบริหารของ International Trade Center (ITC) | พณ | 05/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเสนอชื่อ นายกฤษฎา เปี่ยมพงศ์สานต์ เป็นผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นผู้อำนวยการบริหารของ International Trade Center (ITC) โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไทย ๒. อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการให้นายกฤษฎาฯ เป็นผู้สมัครที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไทย เพื่อดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการบริหารของ ITC อย่างเป็นทางการ ๓. มอบให้กระทรวงการต่างประเทศประสานการสนับสนุนให้นายกฤษฎาฯ เข้ารับการคัดเลือกเป็นผู้อำนวยการบริหารขององค์กรดังกล่าว |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2155 | การจัดตั้งคณะกรรมการร่วมชายแดนไทย - กัมพูชา | นร04 | 05/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่ได้เดินทางเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาเพื่อเข้าร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ พระวรราชบิดา เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ได้มีโอกาสพบปะหารือกับสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา เพื่อให้มีความสงบเรียบร้อย ให้ประชาชนของทั้งสองประเทศได้มีการเชื่อมโยงทั้งด้านเศรษฐกิจการค้า การคมนาคม การท่องเที่ยว และการแลกเปลี่ยนด้านสังคมวัฒนธรรม รวมทั้งเป็นการรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี ค.ศ. ๒๐๑๕ โดยมีความเห็นร่วมกันว่าสมควรจัดตั้งคณะกรรมการร่วมชายแดนไทย-กัมพูชาขึ้นเพื่อเป็นกลไกการหารือและประสานการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมกัน จึงมอบให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณากำหนดองค์ประกอบและขอบเขตอำนาจหน้าที่เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การดำเนินงานร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2156 | การประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง ครั้งที่ 1/2556 วันที่ 28 มกราคม 2556 | นร04 | 29/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอการมอบนโยบายการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศ รวมทั้งชี้แจงแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้กับหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงเพื่อนำไปปฏิบัติให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ในการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง ครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๖ ณ กระทรวงการต่างประเทศ สรุปได้ ดังนี้
๑. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานต่าง ๆ จัดทำรายละเอียดวงเงินและคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศและนโยบายสำคัญของรัฐบาล ให้แล้วเสร็จภายใน ๑ สัปดาห์ เพื่อนำเสนอรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลหรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัดพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนส่งสำนักงบประมาณภายในวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ๒. กรณีเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องและต้องมีการบูรณาการการดำเนินการของหลายหน่วยงานร่วมกัน เช่น เรื่องการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด เป็นต้น ให้มีการจัดตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อร่วมกันพิจารณาดำเนินการก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป รวม ๘ คณะ ได้แก่ ๒.๑ คณะที่ ๑ คณะทำงานด้านการค้าชายแดนและความมั่นคง มีสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นเจ้าภาพหลัก จัดประชุมร่วมกับกระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๒.๒ คณะที่ ๒ คณะทำงานด้านการท่องเที่ยวและบริการ วัฒนธรรม สินค้าท้องถิ่น (OTOP) กิจการสปา (spa) และสุขภาพ มีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นเจ้าภาพหลัก ๒.๓ คณะที่ ๓ คณะทำงานด้านการแพทย์ชั้นสูง (Medical Hub) มีกระทรวงสาธารณสุขเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ ๒.๔ คณะที่ ๔ คณะทำงานด้านความมั่นคงทางพลังงานและพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Energy) และสิ่งแวดล้อม มีกระทรวงพลังงานเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงอุตสาหกรรม ๒.๕ คณะที่ ๕ คณะทำงานด้านการปฏิรูปการศึกษา แรงงานและอาชีวศึกษาให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากลและสอดคล้องกับความต้องการของประเทศ มีกระทรวงศึกษาธิการเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับกระทรวงแรงงาน ๒.๖ คณะที่ ๖ คณะทำงานด้านการแก้ไขปัญหาความไม่เท่าเทียมกันและความเหลื่อมล้ำทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง มีกระทรวงยุติธรรมเป็นผู้รับผิดชอบหลัก ๒.๗ คณะที่ ๗ คณะทำงานด้านการบริหารจัดการข้อมูลและการบูรณาการองค์ความรู้ในภาคราชการทั้งที่เป็นองค์ความรู้ในประเทศและของต่างประเทศ มีสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ๒.๘ คณะที่ ๘ คณะทำงานกำหนดสิทธิประโยชน์และแรงจูงใจแก่นักลงทุน (Incentive Scheme) เพื่อจูงใจให้นักลงทุนต่างประเทศมาลงทุนในประเทศไทย และให้นักลงทุนไทยไปลงทุนในต่างประเทศ รวมทั้งส่งเสริม SMEs ของไทยไปสู่อาเซียน มีกระทรวงการคลังเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรม ๓. ให้ปลัดกระทรวงหรือหัวหน้าส่วนราชการที่เป็นเจ้าภาพหลักในแต่ละเรื่องจัดทำกรอบยุทธศาสตร์การดำเนินงาน (scope) ในเรื่องที่รับผิดชอบดังกล่าว โดยให้คำนึงถึงการที่ประเทศไทยจะเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนด้วย และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติภายในวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2157 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ปัจจัยแวดล้อมที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มและแนวทางการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อความยั่งยืน" | สสป | 29/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “ปัจจัยแวดล้อมที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มและแนวทางการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อความยั่งยืน” และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจและประเมินสถานการณ์หลังจากการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำไปแล้วร้อยละ ๔๐ ตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๕๕ และทบทวนนโยบายก่อนการดำเนินการครั้งต่อไป อย่างน้อยควรชะลอการปรับครั้งต่อไปในอีก ๓ ปีข้างหน้า (สิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๘) ๒. สนับสนุนให้สถาบันการเงินช่วยเหลือผู้ประกอบการด้านเงินทุนหมุนเวียนและแหล่งเงินทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๓. ปรับลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานแก่ผู้ประกอบการ อาทิ การให้คงไว้หรือชะลอการขึ้นค่า FT ค่าไฟฟ้า อย่างน้อยควรชะลอเวลาจนถึงสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้น ๔. หามาตรการรองรับแรงงานที่ตกงานจากผู้ประกอบการที่ต้องปิดกิจการหรือย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ๕. เร่งรัดให้มีการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวเพิ่มเติมภายใต้ความสมดุลระหว่างการรักษาความมั่นคงภายในกับความต้องการแรงงาน ๖. สนับสนุนให้แรงงานต่างด้าวประเทศอื่น ๆ เข้ามาทำงานในประเทศไทยเพิ่มเติม เพื่อให้มีการแข่งขันระหว่างแรงงานต่างด้าวด้วยกัน และเพิ่มทางเลือกให้ผู้ประกอบการ ๗. สนับสนุนให้ภาคเอกชนทั้งไทยและต่างประเทศลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมชายแดน ในลักษณะเขตการปลอดอากรตามกฎหมายศุลกากร ๘. เจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน โดยให้ผู้ประกอบการของไทยเข้าไปลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมของประเทศ นั้น ๆ ในลักษณะเขตการปลอดอากร และสนับสนุนให้มีการอำนวยความสะดวกแบบ One Stop Service ด้านการลงทุนในต่างประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2158 | ขออนุมัติงบกลางเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตอบแทนเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำจุดรับจำนำ | พณ | 29/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการค่าใช้จ่ายตอบแทนเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำจุดรับจำนำโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปี ๒๕๕๕/๕๖ ค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำจุดรับจำนำ จุดละ ๒ คน ๆ ละ ๒๐๐ บาท ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๕-กันยายน ๒๕๕๖ ระยะเวลา ๘ เดือน จำนวน ๑,๓๐๐ จุด เป็นเงิน ๑๒๖,๓๖๐,๐๐๐ บาท และจุดรับจำนำโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๕/๕๖ ค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำจุดรับจำนำ จุดละ ๒ คน ๆ ละ ๒๐๐ บาท ตั้งแต่เดือนธันวาคม ๒๕๕๕-มีนาคม ๒๕๕๖ ระยะเวลา ๔ เดือน จำนวน ๖๕๐ จุด เป็นเงิน ๓๑,๔๖๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๕๗,๘๒๐,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และสำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำจุดรับจำนำดังกล่าว ให้เจียดจ่ายจากเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ก่อน หากไม่สามารถเจียดจ่ายได้ เห็นควรสนับสนุนเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเฉพาะในส่วนที่ไม่เพียงพอ และให้เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำจุดรับจำนำกำกับดูแลและให้ความเป็นธรรมแก่เกษตรกรที่นำข้าวเปลือกและมันสำปะหลังมาเข้าร่วมโครงการฯ นอกจากนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์กำหนดระบบตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำจุด เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้อย่างเต็มที่ และป้องกันการฮั้วระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าของโรงสี รวมทั้งประสานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน ให้มีการรายงานผลการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำจุดอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ตลอดจนให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำจุดเกี่ยวกับการรับจำนำ โดยเน้นด้านการตรวจสอบการทุจริต เช่น การตรวจวัดความชื้น การชั่งน้ำหนัก เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2159 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนธันวาคม 2555 | พณ | 29/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศ และรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๑๖.๘๖ เทียบกับเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๑๖.๔๑ ลดลง ร้อยละ ๐.๓๙ (เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ ลดลง ร้อยละ ๐.๓๕) จากการสูงขึ้นของราคาอาหารสดและน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นสำคัญ โดยดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้น ร้อยละ ๒๑.๙๕ สาเหตุจากสภาพภูมิอากาศแปรปรวนทำให้พืชผักหลายชนิดได้รับความเสียหาย นอกจากนี้ ไข่และผลิตภัณฑ์นม เครื่องประกอบอาหารและอาหารสำเร็จรูปมีราคาสูงขึ้นตามภาวะต้นทุนการผลิต ขณะที่สินค้าประเภทเนื้อสุกร ข้าวแป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง และผลไม้สดมีราคาลดลงตามปริมาณผลผลิตและภาวะตลาด สำหรับดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้น ร้อยละ ๐.๑๑ เนื่องจากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำประปา เป็นสำคัญ ๒. พิจารณาเทียบกับดัชนีราคาเดือนธันวาคม ๒๕๕๔ สูงขึ้น ร้อยละ ๓.๖๓ จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๔.๐๐ โดยดัชนีราคาหมวดปลาและสัตว์น้ำ ร้อยละ ๓.๙๓ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๑๖.๗๙ เครื่องประกอบอาหาร ร้อยละ ๒.๔๐ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๒.๕๘ และอาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๓.๓๒ สำหรับดัชนีราคาหมวดอื่นๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้น ร้อยละ ๓.๓๙ จากการสูงขึ้นของหมวดเคหสถาน ร้อยละ ๓.๓๘ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ร้อยละ ๐.๙๙ หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล ร้อยละ ๑.๒๕ หมวดพาหนะ การขนส่ง และการสื่อสาร ร้อยละ ๔.๔๑หมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๗.๕๙ หมวดการบันเทิงการอ่าน การศึกษาและการศาสนา ร้อยละ ๐.๔๙ ๓. พิจารณาดัชนีเฉลี่ยปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เทียบกับปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สูงขึ้น ร้อยละ ๓.๐๒ จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๔.๘๕ และดัชนีหมวดอื่นๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้น ร้อยละ ๑.๘๕ ตามการสูงขึ้นของหมวดข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง ร้อยละ ๒.๑๑ เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ ร้อยละ ๐.๙๐ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๑๒.๐๐ เครื่องประกอบอาหาร ร้อยละ ๕.๔๓ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๒.๗๓ อาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๕.๕๗ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ร้อยละ ๐.๙๖ หมวดเคหสถาน ร้อยละ ๒.๗๓ ค่าน้ำประปา ร้อยละ ๖.๖๔ ค่ากระแสไฟฟ้า ร้อยละ ๑๕.๗๘ ค่าเช่าบ้าน ร้อยละ ๐.๔๒ หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล ร้อยละ ๑.๐๙ หมวดยานพาหนะการขนส่งและการสื่อสาร ร้อยละ ๑.๕๖ หมวดบันเทิงการอ่าน การศึกษาและการศาสนา ร้อยละ ๐.๔๑ และหมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๒.๙๕ ๔. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๐๘.๘๘ เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ สูงขึ้น ร้อยละ ๐.๐๔ (เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ สูงขึ้น ร้อยละ ๐.๐๕) จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าและบริการ ได้แก่ ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำประปา วัสดุก่อสร้าง (แผ่นไม้อัด ปูนซีเมนต์) ค่าของใช้ส่วนบุคคล (สบู่ถูตัว ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ใบมีดโกน น้ำมันใส่ผม กระดาษชำระ ผ้าอนามัย) ค่าบริการส่วนบุคคล (ค่าแต่งผมบุรุษ-สตรี) สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด [ผงซักฟอก น้ำยาล้างห้องน้ำ ไม้กวาด ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้น (น้ำยาถูพื้น) สารกำจัดแมลง/ไล่แมลง] เครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ (เบียร์) สำหรับสินค้าและบริการที่ราคาลดลง เช่น บริภัณฑ์อื่นๆ ร้อยละ ๐.๐๑ (ตู้เย็น หม้อหุงข้าวไฟฟ้า เครื่องทำน้ำอุ่น พัดลม เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า) และค่าอุปกรณ์การบันเทิง ร้อยละ ๐.๐๒ (เครื่องรับโทรทัศน์)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2160 | ผลการเยือนคูเวตอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี | นร04 | 29/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนคูเวตอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๕ ภายหลังการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue : ACD) และให้หน่วยงานต่างๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการเยือนที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ความสัมพันธ์ในภาพรวม ผลการหารือ ๑.๑ นายกรัฐมนตรีย้ำความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนในตลาดทุน ความมั่นคงทางอาหาร พลังงาน การบริการทางสุขภาพ การท่องเที่ยวและอัญมณี หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ๑.๒ ไทยเสนอเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมาธิการร่วม (Joint Committee : JC) ไทย-คูเวต ครั้งที่ ๒ ที่จังหวัดภูเก็ต ในช่วงเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศ ๒. ด้านการค้า ผลการหารือ การพบปะระหว่างภาคเอกชนไทยกับคูเวตประสบผลสำเร็จ และส่งผลให้มีการสร้างเครือข่ายและการเจรจาธุรกิจรายสาขาต่าง ๆ ซึ่งน่าจะเพิ่มพูนมูลค่าการค้าระหว่างประเทศ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ๓. การก่อสร้าง ผลการหารือ ไทยขอให้ฝ่ายคูเวตพิจารณาสนับสนุนภาคเอกชนไทยเข้าร่วมการประมูลในโครงการเพื่อการพัฒนาแห่งชาติคูเวต หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงแรงงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ๔. ด้านสาธารณสุขและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ผลการหารือ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะขยายความร่วมมือด้านสาธารณสุขและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพผ่านความร่วมมือแบบรัฐต่อรัฐ และได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุข ไทย-คูเวต หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ๕. ด้านตลาดเงินทุน ผลการหารือ คูเวตพร้อมที่จะพิจารณาสนับสนุนไทยในโครงการพัฒนาแห่งชาติและสาธารณูปโภคต่างๆ ผ่านกองทุน Kuwait Fund for Arab Economic Development รวมทั้งการลงทุนในตลาดเงินทุนไทย หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กระทรวงการคลัง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ๖. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการปฏิบัติตามความตกลงที่ลงนามไปแล้ว และที่กำลังดำเนินการ ได้แก่ ความตกลงว่าด้วยการยกเว้นภาษีซ้อนระหว่างไทยและคูเวต และความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างไทยกับคูเวต หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานเจ้าของเรื่อง
|
.....