ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 102 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 2021 - 2040 จากข้อมูลทั้งหมด 6672 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2021 | จัดการประชุมข้าวนานาชาติ ปี 2557 (International Rice Congress 2014 : IRC 2014) ร่วมกับสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ (IRRI) | กษ | 01/10/2556 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้จัดงานประชุมข้าวนานาชาติ ปี ๒๕๕๗ (International Rice Congress 2014 : IRC 2014) ร่วมกับสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ (International Rice Research Institute : IRRI) โดยให้กรมการข้าว สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบจัดประชุม ๑.๒ เห็นชอบค่าใช้จ่ายการจัดงานประชุม IRC 2014 ร่วมกับ IRRI ได้แก่ ๑.๒.๑ งบประมาณรายจ่ายประจำปี ๒๕๕๗ ของกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๘๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับใช้ดำเนินการเตรียมการจัดการประชุม IRC 2014 ๑.๒.๒ จัดตั้งคำของบประมาณรายจ่ายประจำปี ๒๕๕๘ ของกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำหรับใช้ในการจัดงานการประชุม IRC 2014 ร่วมกับ IRRI วงเงินทั้งสิ้น ๙,๒๕๐,๐๐๐ ล้านบาท แยกเป็น ค่าใช้จ่ายที่ต้องสนับสนุนงบประมาณให้กับ IRRI สำหรับจัดประชุม IRC 2014 รวมทั้งสนับสนุนการจัดการประชุมสภาความร่วมมือการวิจัยข้าวแห่งเอเชีย (Council for Partnership in Rice Research in Asia : CORRA) วงเงิน ๑๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท (โอนเงินให้ IRRI โดยตรง) และค่าดำเนินการจัดประชุมข้าวนานาชาติโครงการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน ๖,๒๕๐,๐๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรใช้โอกาสดังกล่าวเป็นเวทีในการสร้างความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยในฐานะผู้ผลิตข้าวชั้นนำของโลกที่ได้คุณภาพและมาตรฐาน แสวงหาความร่วมมือด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการตลาดกับประเทศต่าง ๆ การผลักดันให้เกิดความร่วมมือที่ส่งเสริมเทคโนโลยีสีเขียวเพื่อปกป้องสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศ และการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ผลิตข้าวและผู้บริโภคข้าวที่ยากจนได้อย่างแท้จริง การบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ข้าวไทยที่มุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าข้าว ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต การแปรรูป ตลอดจนไปถึงการส่งออกข้าวคุณภาพดี ผลิตภัณฑ์ข้าว และนวัตกรรมที่ทำจากข้าวไปสู่ตลาดโลก เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมข้าวไทยอย่างยั่งยืน และเปิดโอกาสให้ผู้แทนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวได้เข้าร่วมและนำเสนอผลงานวิจัยในระดับท้องถิ่นในการประชุมในครั้งนี้ด้วย เพื่อสร้างโอกาสในการนำเสนอผลงานด้านการพัฒนาสินค้าข้าวในระดับท้องถิ่นของปราชญ์ชาวบ้าน รวมทั้งใช้โอกาสจากการจัดงานเพื่อสร้างความร่วมมือในด้านการตลาดให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น โดยเฉพาะประชาคมอาเซียนซึ่งมีการผลิตข้าวเช่นเดียวกัน เพื่อเชื่อมโยงการค้าระหว่างประชาคมอาเซียนกับประเทศต่างๆ ของโลก เพื่อนำไปสู่การสร้างผลประโยชน์โดยรวมร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายในการจัดงานให้กรมการข้าวเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||
2022 | การใช้ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการในบันทึกความเข้าใจเรื่อง Memorandum of Understanding for Collaboration in the Deployment and Exploitation of the Worldwide LHC Computing Grid (เพื่อความร่วมมือในการพัฒนาและใช้งาน) | วท | 01/10/2556 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติและให้ใช้ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการสำหรับการระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นจากบันทึกความเข้าใจเรื่อง Memorandum of Understanding for Collaboration in the Deployment and Exploitation of the Worldwide LHC Computing Grid (เพื่อความร่วมมือในการพัฒนาและใช้งาน) ระหว่างสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีกับองค์กรเพื่อการวิจัยนิวเคลียร์แห่งยุโรป (European Organization for Nuclear Research : CERN) ได้ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอโดยบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับนี้เป็นการลงนามระหว่าง CERN ในฐานะ “ห้องปฏิบัติการเจ้าภาพ” (Host Laboratory) ในการดำเนินงานของเครือข่ายกริดคอมพิวเตอร์ (Worldwide LHC Computing Grid : WLCG) ฝ่ายหนึ่ง กับ สวทช. ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ในนามของภาคีโครงสร้างพื้นฐานระดับชาติด้าน e-Science (National e-Science Infrastructure Consortium) ของประเทศไทย ในฐานะ “ผู้ให้บริการ” อีกฝ่ายหนึ่ง โดยมีระยะเวลาความร่วมมือในเบื้องต้นคือ จากวันที่ลงนาม จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ และขยายระยะเวลาความร่วมมือโดยอัตโนมัติครั้งละ ๕ ปี จนสิ้นสุดการดำเนินงานของเครื่องเร่งอนุภาค LHC โดยในส่วนของประเทศไทยในฐานะผู้ให้บริการจะทำหน้าที่ในการให้บริการระบบจัดเก็บและให้บริการข้อมูล รวมทั้งหน่วยประมวลผลแก่เครือข่าย WLCG ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับการใช้ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการนั้น จะเป็นการเปิดโอกาสให้เอกชนมีช่องทางในการฟ้องร้องรัฐได้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรดำเนินการจัดทำหนังสือสัญญาที่มีการใช้ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการอย่างรัดกุม ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||
2023 | กรอบการเจรจาความตกลงการค้าบริการอาเซียน | พณ | 01/10/2556 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบกรอบการเจรจาความตกลงการค้าบริการอาเซียน เพื่อเป็นการกำหนดกฎเกณฑ์และกติกาด้านการค้าบริการระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อใช้แทนที่กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าบริการอาเซียน (ASEAN Framework Agreement on Services : AFAS) โดยประเทศไทยจะร่วมกับสมาชิกอาเซียน ๑.๑.๑ กำหนดกฎและกติกาในความตกลง โดยอ้างอิงจากความตกลงทั่วไป ว่าด้วยการค้าบริการ (General Agreement on Trade in Services : GATS) ภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) และความตกลงอื่น ๆ ที่ประเทศสมาชิกอาเซียนเป็นภาคี ๑.๑.๒ ความตกลงมีหลักการสำคัญ ๆ เช่น หลักการไม่เลือกปฏิบัติ (Non-discrimination Principle) การประติบัติเยี่ยงคนชาติ (National treatment) การเข้าสู่ตลาดการค้าบริการ (Market Access) และการจัดทำข้อผูกพันการค้าบริการ (Scheduling) เป็นต้น ๑.๑.๓ เพื่อรักษาและปกป้องผลประโยชน์ของประเทศไทยภายใต้ความตกลง ประเทศไทยจะเสนอให้มีแนวทางในการรักษาสิทธิของประเทศไทยในการใช้มาตรการที่จำเป็น เพื่อรักษาเสถียรภาพทางระบบการเงิน การธนาคาร การเคลื่อนย้ายเงินทุน อัตราแลกเปลี่ยน และสิทธิในการใช้มาตรการเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่อาจกระทบต่อดุลการชำระเงิน รวมทั้งความมั่นคง วัฒนธรรม ประเพณี และผลประโยชน์ต่อผู้บริโภคภายในประเทศ ๑.๒ เสนอกรอบการเจรจาฯ เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการหารือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชนโดยให้ความสำคัญกับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากการเจรจาภายใต้ความตกลงฯ ในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีระยะเวลาในการปรับตัวของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ความพร้อมของกฎหมายภายในประเทศ และการกำหนดมาตรการรองรับผลกระทบ เพื่อให้กรอบการเจรจาฯ สนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการภาคการค้าบริการ และเกิดประโยชน์สูงสุดในภาพรวมกับประเทศอย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||
2024 | ขออนุมัติงบประมาณเพิ่มเติม ตามมาตรการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2556/57 | พณ | 01/10/2556 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมสำหรับมาตรการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี ๒๕๕๖/๕๗ จำนวน ๒,๓๙๐.๒๕ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ซึ่งได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว และให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอรับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณตามขั้นตอนและดำเนินการให้ถูกต้องตามระเบียบและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยไปดำเนินการติดตามและตรวจสอบการดำเนินงานของผู้รวบรวมและสหกรณ์ผู้รวบรวมในการจ่ายเงินรับซื้อผลผลิตให้กับเกษตรกรตามคุณภาพและราคาเป้าหมายที่กำหนดไว้ให้ถึงมือเกษตรกรที่เดือดร้อนและเกิดความเป็นธรรม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดและติดตามการดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ ในทุกขั้นตอนของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แล้วรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยเร็วต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย เพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการระยะยาวเพื่อยกระดับรายได้ของเกษตรกรที่ปลูกพืชเกษตรชนิดต่าง ๆ โดยให้มีการเพาะปลูกพืชเกษตรในพื้นที่ที่เหมาะสมตามนโยบายการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (zoning) และเพื่อป้องกันการบุกรุกพื้นที่ป่าด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||
2025 | เอกสารสำคัญที่จะรับรองในการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 21 และการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 25 | กต | 24/09/2556 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๑ และอนุมัติให้นายกรัฐมนตรีรับรองเอกสารดังกล่าวในช่วงการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๑ ระหว่างวันที่ ๗-๘ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ เกาะบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ๑.๒ เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๕ และอนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมรับรองเอกสารดังกล่าว ในช่วงการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๕ ระหว่างวันที่ ๔-๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ เกาะบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ทั้งนี้ ร่างปฏิญญาฯ และร่างถ้อยแถลงร่วมฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงเจตนารมณ์ในเชิงนโยบายเกี่ยวกับความร่วมมือและส่งเสริมการเปิดตลาดการค้า การลงทุน และการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของภูมิภาค รวมทั้งส่งเสริมความเชื่อมโยงในด้านต่าง ๆ ระหว่างเขตเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการรับรอง เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เกี่ยวกับการปฏิบัติตามปฏิญญาผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคฯ ที่จะลดอัตราภาษีรายการสินค้าสิ่งแวดล้อมของเอเปคให้เหลือร้อยละ ๕ หรือต่ำกว่า ภายในปี ๒๕๕๘ โดยในส่วนของประเทศไทยอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะทำงานจัดทำแผนการปรับปรุงภาษีศุลกากรเพื่อเปิดเสรีทางการค้า เพื่อพิจารณาความเหมาะสมและแนวทางในการดำเนินการลดภาษีรายการสินค้าดังกล่าวแต่ละรายการ ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวจะต้องคำนึงถึงผลกระทบโดยรวมต่ออุตสาหกรรม เนื่องจากการดำเนินการลดภาษีสินค้าสิ่งแวดล้อมตามแถลงการณ์ของผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค จะลดเป็นการทั่วไป ไม่ใช่เฉพาะกับเขตเศรษฐกิจที่เป็นสมาชิกเอเปคเท่านั้น และในการดำเนินการลดภาษีสินค้าสิ่งแวดล้อมเอเปคดังกล่าว ให้รับฟังความเห็นจากภาคอุตสาหกรรมและภาคเอกชน รวมทั้งพิจารณามาตรการเยียวยาเพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||
2026 | การจัดทำสัญญาเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศและเช่าบ้านพักข้าราชการประจำในต่างประเทศ | พณ | 24/09/2556 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๕๙ รายการค่าเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศและค่าเช่าบ้านพักข้าราชการประจำในต่างประเทศ โดยมีวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น ๓๐,๘๘๔,๔๐๐ บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๒๒,๘๑๐,๔๐๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๘,๐๗๔,๐๐๐ บาท หรือไม่เกินวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาเช่าตามสกุลเงินท้องถิ่นของแต่ละแห่งกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ในการทำสัญญาเช่าให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ) กำหนดเงื่อนไขในการยกเลิกสัญญาเช่าก่อนกำหนดได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในกรณีที่จะย้ายไปใช้พื้นที่ร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ของไทยในอนาคตตามนโยบายการใช้พื้นที่ร่วมกัน (One Roof Policy) ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณกรณีเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานเศรษฐกิจการลงทุน ณ นครนิวยอร์ก) และให้กระทรวงพาณิชย์นำสำเนาสัญญาเช่าเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไปด้วย |
|||||||||||||||
2027 | การจัดทำสัญญาเช่าที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย | พณ | 24/09/2556 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๕๙ รายการค่าเช่าที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย ถนนรัชดาภิเษก ๑ แห่ง โดยมีวงเงินก่อหนี้ผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น ๔๓,๑๑๐,๔๖๒ บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ผลผลิตการพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ งบดำเนินงาน (ค่าตอบแทน ใช้สอยและวัสดุ) จำนวน ๑๔,๓๗๐,๑๕๔ บาท ส่วนงบประมาณที่เหลือให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามสัญญาเช่าต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการทำบันทึกต่อท้ายสัญญาเช่าที่ดินและการเบิกค่าใช้จ่ายในการเช่าที่ดิน และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้เร่งพิจารณาแนวทางการพัฒนาพื้นที่ที่มีอยู่ของการรถไฟแห่งประเทศไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ) เน้นการดำเนินงานและใช้ประโยชน์อาคารที่ตั้งอยู่ในที่ดินที่เช่าจากการรถไฟแห่งประเทศไทยดังกล่าว เพื่อเป็นศูนย์กลางในการส่งเสริม สนับสนุน และบ่มเพาะผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้มีความเข้มแข็ง รวมทั้งเป็นศูนย์แสดงสินค้าและผลิตภัณฑ์ของ SMEs และของโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) เพื่อสนับสนุนการส่งออกด้วย ๔. ให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางในการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากพื้นที่ว่างใต้เขตทางพิเศษในสายทางต่าง ๆ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและสอดคล้องกับบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||
2028 | การประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 16 (CITES CoP16) และการประชุมคณะกรรมการบริหารอนุสัญญาฯ ครั้งที่ 63 และครั้งที่ 64 | ทส | 24/09/2556 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบสรุปผลการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ ๑๖ (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora : CITES CoP16) และการประชุมคณะกรรมการบริหารอนุสัญญาฯ ครั้งที่ ๖๓ และครั้งที่ ๖๔ ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมดังกล่าวในระหว่างวันที่ ๓-๑๔ มีนาคม ๒๕๕๖ โดยมีผลการประชุมที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย ได้แก่ ข้อเสนอให้บรรจุไม้พะยูง (Dalbergia cochinchinensis) อยู่ในบัญชี ๒ ข้อเสนอขอปรับลดบัญชีจระเข้น้ำจืด (Crocodylus siamensis) และจระเข้น้ำเค็ม (Crocodylus porosus) ของประเทศไทยจากบัญชี ๑ เป็นบัญชี ๒ การควบคุมการค้างาช้างภายในประเทศ การจัดทำรายงานผลการจับกุมการลักลอบฆ่าและค้าสัตว์ตระกูลแมวใหญ่ของเอเชีย (Asian big cats) เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร ครั้งที่ ๖๕ (กรกฎาคม ๒๕๕๖) การปรับคำนิยามในเรื่องการขยายพันธุ์เทียมที่จำเพาะสำหรับไม้กฤษณา การกำหนดให้วันที่ ๓ มีนาคมของทุกปี ซึ่งตรงกับวันที่อนุสัญญา CITES ถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๑๖ เป็นวันสัตว์ป่าโลก (World Widlife Day) และการเพิ่มประสิทธิภาพของเครือข่ายการบังคับใช้กฎหมายภูมิภาคอาเซียนในเรื่องการป้องกันการค้าสัตว์ป่าที่ผิดกฎหมายหรือ ASEAN-WEN รวมทั้งการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าที่ผิดกฎหมาย ๑.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการตามผลการประชุม CITES CoP16 และให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการเสนอต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ ๖๘ กำหนดให้วันที่ ๓ มีนาคมของทุกปี เป็นวันสัตว์ป่าโลก (World Wildlife Day) ๑.๓ เห็นชอบต่อร่างแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ ซึ่งจัดทำโดยคณะทำงานจัดทำร่างแผนปฏิบัติการงาช้างฯ เพื่อแก้ไขปัญหาการค้างาช้างที่ผิดกฎหมายตามพันธกรณีแห่งอนุสัญญา CITES โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานเพื่อการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการดังกล่าว และให้ปรับแก้ร่างแผนปฏิบัติการดังกล่าวในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญได้ พร้อมทั้งมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนปฏิบัติการดังกล่าวต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับเป้าหมายของแผนปฏิบัติการฯ ส่วนหนึ่งมุ่งไปสู่การยุติการค้างาช้างในอนาคต ซึ่งข้อมูลจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ระบุว่า ปัจจุบันมีผู้เกี่ยวข้องซื้อขายงาช้างที่ไม่เห็นด้วยในการห้ามซื้อขายงาช้างเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ในร่างแผนปฏิบัติการฯ ควรจะมีการศึกษาในเชิงลึกเกี่ยวกับธุรกิจการค้างาช้างในปัจจุบัน เพื่อประเมินความเป็นไปได้ในการยุติการค้างาช้าง หรือเสนอทางออกที่เป็นที่ยอมรับจากนานาชาติและผู้ที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||
2029 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ 45 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 24/09/2556 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ ๔๕ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๘-๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ ณ บันดาเสรีเบกาวัน ประเทศบรูไนดารุสซาลาม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินการภายในอาเซียนไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ๑.๑.๑ ที่ประชุมรับทราบการดำเนินการตามแผนงานการไปสู่ประชาคมอาเซียน โดยประเทศที่ดำเนินการคืบหน้าได้มาก ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย รวมทั้งได้เน้นย้ำถึงความสำคัญในการดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ ที่ตกลงไว้เพื่อไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี ๒๐๑๕ ๑.๑.๒ ที่ประชุมมีมติให้ทุกประเทศเสนอมาตรการทางการค้าของตนเองที่ถูกร้องเรียนว่าเป็นปัญหาอุปสรรคทางการค้าจำนวนหนึ่งเรื่องเพื่อเป็นกรณีศึกษาตัวอย่างของการแก้ไข หรือยกเลิกมาตรการที่เป็นอุปสรรคทางการค้าในอนาคต โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๑ ปี ๑.๑.๓ ที่ประชุมได้หารือความคืบหน้าการจัดทำพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันการเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ ๙ ภายใต้กรอบความตกลงด้านการค้าบริการของอาเซียน ซึ่งจะครอบคลุมสาขาบริการเพิ่มมากขึ้น โดยขอให้แต่ละประเทศสมาชิกเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๕๖ เพื่อให้ข้อผูกพันมีผลใช้บังคับโดยเร็วที่สุด ๑.๑.๔ ที่ประชุมรับทราบว่าอาเซียนได้ตกลงรับร่างพิธีสารสำหรับการปรับปรุงแก้ไขความตกลงด้านการลงทุนอาเซียน เพื่อกำหนดกระบวนการเปลี่ยนแปลงข้อจำกัดในการให้อาเซียนเข้ามาลงทุน ๑.๒ ความคืบหน้าในการสร้างเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา ๑.๒.๑ ที่ประชุมได้หารือเพื่อเตรียมการเยือนจีนและฮ่องกงของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๖ เพื่อประชาสัมพันธ์อาเซียนให้เป็นที่รู้จัก และขยายการค้าและการลงทุนกับจีนและฮ่องกงให้มากยิ่งขึ้น โดยไทยได้รับความไว้วางใจจากประเทศสมาชิกอาเซียนให้เป็นประเทศผู้ประสานงานของอาเซียนกับฮ่องกงในการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง ที่จะเริ่มต้นเจรจาในต้นปี ๒๕๕๗ ๑.๒.๒ การเจรจาความตกลงเปิดเสรีการค้าบริการและการลงทุนระหว่างอาเซียนกับอินเดีย ทั้งสองฝ่ายสามารถสรุปการเจรจาความตกลงฯ ได้แล้ว โดยประเทศสมาชิกจะดำเนินกระบวนการภายในเพื่อลงนามความตกลงฯ ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน-อินเดีย ในเดือนตุลาคม ศกนี้ ๑.๒.๓ ที่ประชุมอยู่ระหว่างการเจรจาสรุปความตกลงเปิดเสรีการค้าบริการและการลงทุนกับญี่ปุ่น โดยขอให้ทุกฝ่ายมีความยืดหยุ่นในการเจรจาให้มากขึ้น เพื่อให้สรุปการเจรจาได้ก่อนการฉลองครบรอบความสัมพันธ์อาเซียน-ญี่ปุ่น ๔๐ ปี ในช่วงเดือนธันวาคม ศกนี้ ๑.๒.๔ การเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP : Regional Comprehensive Economic Partnership) หรือความตกลงอาเซียน+๖ (อาเซียน ๑๐ ประเทศ จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์) เป็นการประชุมระดับรัฐมนตรีเป็นครั้งแรก โดยไทยได้ร่วมผลักดันให้ที่ประชุมเห็นพ้องในหลักการพื้นฐานสำคัญว่าประเทศสมาชิก RCEP ต้องมีตารางการเปิดตลาดเพียงตารางเดียว (single schedule of commitments) ที่เปิดให้กับทุกประเทศ ๑.๒.๕ รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนและรัสเซียได้ให้การรับรองแผนปฏิบัติการความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับรัสเซีย โดยที่ประชุมเห็นด้วยกับไทยว่าควรจัดลำดับความสำคัญของความร่วมมือเพื่อเร่งดำเนินการก่อน เช่น การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เป็นต้น ๑.๓ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ได้หารือแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับประเทศต่าง ๆ ได้แก่ การหารือกับรัฐมนตรีการค้าอาเซียน รัฐมนตรีกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์ รัฐมนตรีกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมฟิลิปปินส์ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าอินโดนีเซีย การหารือกับรัฐมนตรีการค้าในภูมิภาคเอเชียและอเมริกาเหนือ ได้แก่ การหารือกับรัฐมนตรีเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น และผู้แทนการค้าสหรัฐ รวมทั้งการหารือกับคณะผู้แทนจากสภาธุรกิจอาเซียน-สหรัฐ (USABC) ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับประเด็นการหารือกับผู้แทนสหรัฐฯ ในการเข้าร่วมความตกลง TPP (Trans Pacific Partnership) ไม่น่าจะก่อให้เกิดประโยชน์ในการเปิดตลาดสินค้าเพิ่มเติมให้กับภาคอุตสาหกรรมไทยมากนัก การตัดสินใจเข้าร่วม TPP ควรตั้งอยู่บนผลประโยชน์สุทธิที่จะเกิดขึ้นกับประเทศ โดยพิจารณาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในทุกมิติ ส่วนประเด็นเรื่องการลด/เลิกมาตรการที่มิใช่ภาษี (NTMs) ควรผลักดันให้สมาชิกอาเซียนอื่นที่มีการบังคับใช้มาตรการ NTMs ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อปกป้องผู้ผลิตในประเทศเป็นจำนวนมากให้มีการลด/ยกเลิกมาตรการกีดกันทางการค้า เพิ่มความโปร่งใส เป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||
2030 | การจัดทำสัญญาเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ | พณ | 24/09/2556 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๖๐ รายการค่าเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ สาธารณรัฐอินเดีย โดยมีวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น ๒๕,๕๖๖,๓๐๐ บาท หรือเท่ากับ ๔๗,๓๔๔,๙๑๗.๑๒ รูปี คิดอัตราแลกเปลี่ยน ๑ รูปี เท่ากับ ๐.๕๔๐ บาท หรือไม่เกินวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาเช่าตามสกุลเงินท้องถิ่น กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๑๑,๘๓๖,๒๒๙.๒๘ รูปี หรือเท่ากับ ๖,๓๙๑,๖๐๐ บาท ที่ได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ รองรับไว้แล้ว จำนวน ๓,๔๙๕,๙๐๐ บาท สำหรับงบประมาณในส่วนที่ขาดอยู่ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๒,๘๙๕,๗๐๐ บาท ให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ส่วนงบประมาณที่เหลือให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๐ ตามสัญญาเช่าต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ในการทำสัญญาเช่าให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ) กำหนดเงื่อนไขในการยกเลิกสัญญาเช่าก่อนกำหนดได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในกรณีที่จะย้ายไปใช้พื้นที่ร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ของไทยในอนาคตตามนโยบายการใช้พื้นที่ร่วมกัน (One Roof Policy) ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณกรณีเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานเศรษฐกิจการลงทุน ณ นครนิวยอร์ก) และให้กระทรวงพาณิชย์นำสำเนาสัญญาเช่าเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไปด้วย |
|||||||||||||||
2031 | ขอความเห็นชอบการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกับองค์กรส่งเสริมการค้าของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน | พณ | 24/09/2556 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกับองค์กรส่งเสริมการค้าของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียน โดยมีขอบเขตความร่วมมือที่สำคัญ ได้แก่ การแลกเปลี่ยนข้อมูล การจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้าร่วมกัน การส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าระหว่างประเทศซึ่งจัดโดยองค์กรพันธมิตรแต่ละฝ่าย การส่งเสริมและอำนวยความสะดวกในการจัดคณะผู้แทนการค้าระหว่างกัน การส่งเสริมให้ผู้ประกอบการใช้ประโยชน์จากสื่อออนไลน์ในการทำธุรกิจการค้า การอำนวยความสะดวกทางการค้า เช่น การช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคทางการค้าให้กับผู้ประกอบการ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ บันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกับ Trade Promotion Department ของราชอาณาจักรกัมพูชา ๑.๒ บันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกับ Directorate General of National Export Development ของสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ๑.๓ บันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกับ Trade and Product Promotion Department ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ๑.๔ บันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกับ Center for International Trade Expositions and Missions ของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ๑.๕ บันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกับ International Enterprise Singapore ของสาธารณรัฐสิงคโปร์ ๑.๖ บันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกับ Vietnam Trade Promotion Agency ของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาความสอดคล้องของรายละเอียดระหว่างข้อตกลงความร่วมมือฯ กับยุทธศาสตร์ในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนของประเทศไทย เพื่อสร้างความชัดเจนในการสร้างกลไกในการขับเคลื่อนร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกระดับ ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งสร้างความเข้าใจในขอบเขตความร่วมมือระหว่างประเทศดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ในการพัฒนาศักยภาพทางธุรกิจให้แข่งขันในตลาดอาเซียนได้อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||
2032 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (จำนวน 9 ราย 1. นางศรีรัตน์ รัษฐปานะ ฯลฯ) | พณ | 24/09/2556 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๙ ราย ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. นางศรีรัตน์ รัษฐปานะ ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงพาณิชย์ ๒. นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ๓. นางพิรมล เจริญเผ่า ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ๔. นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต คณะผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลก ณ นครเจนีวา ๕. นายสมชาติ สร้อยทอง ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการค้าภายใน ๖. นายวุฒิชัย ดวงรัตน์ ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ๗. นางสาวอุรวี เงารุ่งเรือง ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ๘. นายสุรศักดิ์ เรียงเครือ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ๙. นางสาวผ่องพรรณ เจียรวิริยะพันธ์ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
|
|||||||||||||||
2033 | ขอเปลี่ยนแปลงกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการลิขสิทธิ์ (นายจรัญ หอมเทียมทอง) | พณ | 17/09/2556 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายจรัญ หอมเทียนทอง ผู้แทนสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการลิขสิทธิ์ แทนนายวรพันธ์ โลกิตสถาพร ที่ขอลาออก ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๑๗ กันยายน ๒๕๕๖) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||
2034 | ผลการเยือนสมาพันธรัฐสวิส สาธารณรัฐอิตาลี และสาธารณรัฐมอนเตเนโกร | นร04 | 17/09/2556 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีรายงานผลการเยือนสมาพันธรัฐสวิส สาธารณรัฐอิตาลี และสาธารณรัฐมอนเตเนโกร ในระหว่างวันที่ ๘-๑๕ กันยายน ๒๕๕๖ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเยือนสมาพันธรัฐสวิส ได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ และได้หารือกับผู้แทนขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) และการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (United Nations Conference on Trade and Development : UNCTAD) เกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา สิทธิมนุษยชน การค้ามนุษย์และการช่วยเหลือแรงงานต่างด้าวในประเทศไทย รวมทั้งได้หารือกับสถาบันเพื่อการพัฒนาการจัดการ (Institute for Management Development : IMD) ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาที่มีการจัดศักยภาพด้านการแข่งขันของประเทศต่าง ๆ โดยได้ศึกษาเกี่ยวกับวิธีการจัดการข้อมูลของ IMD ในการจัดศักยภาพการแข่งขัน ซึ่งสามารถจะนำมาปรับใช้กับการวัดขีดความสามารถในการแข่งขันของ SMEs ไทย โดยให้หน่วยงานต่าง ๆ รับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามเรื่องที่เกี่ยวกับการจดทรัพย์สินทางปัญญาแก่สินค้าและบริการ เนื่องจากเมื่อประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียนแล้ว การจดทรัพย์สินทางปัญญาต่าง ๆ โดยเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์และวัฒนธรรมท้องถิ่นจะมีความสำคัญและจำเป็นมาก และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักดำเนินการร่วมกับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการติดต่อประสานงานกับ IMD เกี่ยวกับการดำเนินการวัดขีดความสามารถในการแข่งขันของ SMEs ไทยต่อไป ๒. การเยือนสาธารณรัฐอิตาลี ได้หารือกับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอิตาลีเกี่ยวกับการเจรจาผลักดันเขตการค้าเสรี (Free Trade Area : FTA) ไทย-สหภาพยุโรป การพัฒนาร่วมกันทางด้านอาหารและการตลาดในลักษณะเป็นพันธมิตรในการทำการค้าสินค้า OTOP ของสาธารณรัฐอิตาลีในตลาดเอเชีย การออกแบบและแฟชั่น รวมทั้งได้ศึกษาดูงานที่ห้างสรรพสินค้า (Eataly Roma) ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าที่มีการพัฒนาการขายสินค้าเกษตรเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถซื้อสินค้าจากผู้ผลิตต้นทางที่ให้ได้รับสินค้าที่สดใหม่ มีคุณภาพ และราคาที่เป็นธรรม และยังมีการถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้บริโภคเกี่ยวกับการเลือกสินค้าและการปรุงอาหารด้วย โดยให้หน่วยงานต่าง ๆ รับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปดำเนินการเกี่ยวกับการสนับสนุนธุรกิจ SMEs และการส่งเสริมการลงทุน และกระทรวงมหาดไทยรับไปดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาสินค้า OTOP ในภาพรวม และการพัฒนาในแต่ละจังหวัด รวมทั้งให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาการขายสินค้าในห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ของประเทศไทยให้สามารถสนองตอบต่อความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างมีคุณภาพ ทั่วถึง และในราคาที่เหมาะสม ๓. การเยือนสาธารณรัฐมอนเตเนโกร ได้เข้าหารือกับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐมอนเตเนโกรเกี่ยวกับการค้าการลงทุนระหว่างกัน ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นควรที่จะสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นประตูการค้าสู่เอเชีย และสาธารณรัฐมอนเตเนโกรเป็นประตูการค้าสู่ภูมิภาคบอลข่านและยุโรปตะวันออก ซึ่งจะทำให้ทั้งสองประเทศสามารถขยายความร่วมมือทั้งด้านการท่องเที่ยว การประมง และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ได้ นอกจากนี้ สาธารณรัฐมอนเตเนโกรยังต้องการการสนับสนุนในด้านการเกษตรและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีการนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารทะเลร้อยละ ๘๐ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการเพื่อส่งเสริมการพัฒนาความร่วมมือในด้านการค้าการลงทุนดังกล่าวในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||
2035 | การแก้ไขปัญหาการชุมนุมของกลุ่มเกษตรกรสวนยางพาราในพื้นที่ภาคใต้ | นร04 | 17/09/2556 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติรายงานว่า ตามที่ได้มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงในการแก้ไขปัญหาราคายางพาราระหว่างผู้แทนภาครัฐ และภาคีเครือข่ายเกษตรกรสวนยางพาราและปาล์มน้ำมันในวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๖ กลุ่มเกษตรกรสวนยางพาราในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชที่ยังมีความไม่พอใจได้ปิดเส้นทางจราจรสายหลัก ๒ จุด คือ บริเวณแยกควนหนองหงส์ อำเภอชะอวด และแยกบ้านเตาปูน อำเภอจุฬาภรณ์ ซึ่งเมื่อได้มีการเจรจากันแล้วในวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๖ สถานการณ์ได้คลี่คลายลง คงเหลือจุดชุมนุมแห่งเดียว คือ บริเวณแยกควนหนองหงส์ โดยมีผู้ร่วมชุมนุมจำนวนประมาณ ๒๐๐ คน และในวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๖ หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าคลี่คลายสถานการณ์และขอคืนพื้นที่บริเวณแยกควนหนองหงส์ เพื่อเปิดการจราจรให้เป็นปกติได้ในช่วงเช้า ในช่วงบ่ายได้มีกลุ่มชายวัยรุ่นรวมตัวกันปฏิบัติการตอบโต้และปิดล้อมเจ้าหน้าที่ ใช้ก้อนหินขว้างปา ใช้ขวดน้ำมันจุดไฟ และใช้หนังสติ๊กยิงหัวน็อตและลูกแก้ว เจ้าหน้าที่ได้ตอบโต้ด้วยแก๊สน้ำตาเท่าที่จำเป็นและถอยออกจากจุดปะทะประมาณ ๑๐ กิโลเมตร เพื่อลดการสูญเสีย ผลการปะทะทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บ ๗๖ นาย บาดเจ็บสาหัส ๔ นาย รถยนต์ถูกไฟไหม้ ๙ คัน และอาวุธปืนสูญหาย ๒ กระบอก ทั้งนี้ การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าวได้พยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าอันจะก่อให้เกิดสถานการณ์รุนแรงบานปลาย และได้ดำเนินการต่อผู้ชุมนุมในกรอบของกฎหมาย เป็นไปตามขั้นตอนและมาตรฐานสากล เพื่อให้เป็นที่ยอมรับได้ของสังคมโดยทั่วไป ซึ่งนายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่ปฏิบัติงานกันด้วยความเสียสละและย้ำว่า การแก้ไขปัญหาการชุมนุมของกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางพาราดังกล่าวต้องใช้ความอดทน ดำเนินการด้วยความละมุนละม่อม และบริหารจัดการให้เป็นไปตามกฎหมายและมาตรฐานสากล รวมทั้งให้เป็นที่ยอมรับของสังคมโดยรวม อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของโลกมีการชะลอตัว ซึ่งส่งผลกระทบต่อสถานการณ์เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวของประเทศ และปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าวก่อให้เกิดผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศ ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการรับรู้ข้อมูลข้อเท็จจริงที่คลาดเคลื่อน ล่าช้า และไม่ทั่วถึง ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานทางด้านเศรษฐกิจทุกหน่วยงานควรเร่งชี้แจงข้อมูล ข้อเท็จจริงต่าง ๆ เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและสาธารณชนทั่วไปได้รับทราบข้อเท็จจริงที่ถูกต้องอย่างรวดเร็วและเป็นที่เข้าใจตรงกัน ๒. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายวราเทพ รัตนากร) เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการประสานงานกับโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โฆษกประจำกระทรวงต่าง ๆ เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการชี้แจงข้อเท็จจริง ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เกี่ยวกับมาตรการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราที่รัฐบาลได้ดำเนินการไปแล้ว ให้สื่อมวลชนและประชาชนได้ทราบอย่างถูกต้อง ทั่วถึง และทันต่อสถานการณ์ต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์บูรณาการการดำเนินงานร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับการบริหารจัดการยางพาราที่อยู่ในสต็อกให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ สนับสนุนการใช้ประโยชน์จากยางธรรมชาติให้เพิ่มมากขึ้น โดยให้แจ้งความจำนงไปยังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) และรองนายกรัฐมนตรี (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการศึกษาภาพรวมของอุตสาหกรรมยางพาราทั้งระบบ (value chain) เพื่อกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาราคายางพาราในระยะยาวต่อไป
|
|||||||||||||||
2036 | การลงนามบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือด้านลิขสิทธิ์และสิทธิข้างเคียงระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญาและสำนักงานลิขสิทธิ์เกาหลี | พณ | 17/09/2556 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการลงนามบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือด้านลิขสิทธิ์และสิทธิข้างเคียงระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญาและสำนักงานลิขสิทธิ์เกาหลี [Memorandum of Understanding on cooperation in the field of Copyright and Neighboring Rights between the Department of Intellectual Property (Ministry of Commerce of the Kingdom of Thailand) and the Korea Copyright Office (Ministry of Culture, Sports and Tourism of Republic of the Korea)] โดยบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการคุ้มครองลิขสิทธิ์และการป้องปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ ตลอดจนส่งเสริมอุตสาหกรรมวัฒนธรรม (cultural industries) ของทั้งสองประเทศผ่านการหารือแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจระหว่างผู้เกี่ยวข้อง โดยให้อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ทั้งนี้ ก่อนการลงนามมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ ให้อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาเป็นผู้พิจารณาใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และกรมทรัพย์สินทางปัญญารับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการติดตามและประเมินผลความร่วมมือดังกล่าว โดยรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ เพื่อพิจารณาขยายขอบเขตความร่วมมือในมิติอื่นกับสาธารณรัฐเกาหลี รวมทั้งการทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญากับประเทศอื่น ๆ เพิ่มเติมต่อไป นอกจากนี้ เห็นควรพิจารณาให้เจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องของสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีส่วนร่วมในการดำเนินกิจกรรมภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์และครอบคลุมทุกมิติของการส่งเสริมความร่วมมือทางด้านคุ้มครองลิขสิทธิ์และการป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||
2037 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนสิงหาคม 2556 | พณ | 17/09/2556 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ เท่ากับ ๑๐๕.๔๑ เทียบกับเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ (เท่ากับ ๑๐๕.๔๒) ลดลงร้อยละ ๐.๐๑ จากการลดลงของดัชนีราคาหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลงร้อยละ ๐.๑๐ จากการลดลงของหมวดพาหนะ การขนส่ง และการสื่อสาร ลดลงร้อยละ ๐.๓๑ ตามการลดลงของดัชนีราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ร้อยละ ๑.๐๑ สาเหตุจากการลดลงของราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ยภายในประเทศตามภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลก ขณะที่ดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๖ จากการสูงขึ้นของราคาหมวดเนื้อสัตว์ เป็ดไก่ และสัตว์น้ำ สูงขึ้นร้อยละ ๑.๓๒ หมวดไข่และผลิตภัณฑ์นม สูงขึ้นร้อยละ ๐.๙๖ หมวดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๗ หมวดข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๖ ๒. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ เท่ากับ ๑๐๓.๑๔ เทียบกับเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๗ สินค้าและบริการที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ หมวดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ หมวดอาหารสำเร็จรูป หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า หมวดเคหสถาน หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล และหมวดการบันเทิงการอ่าน การศึกษา และการศาสนา
|
|||||||||||||||
2038 | ผลการประชุมแผนความร่วมมือระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่ง สปป. ลาว และกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทย ครั้งที่ 5 | พณ | 10/09/2556 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมแผนความร่วมมือระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) และกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทย ครั้งที่ ๕ เมื่อวันที่ ๘-๙ สิงหาคม ๒๕๕๖ ณ นครเวียงจันทน์ สปป.ลาว ๑.๒ เห็นชอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ เพื่อให้มีการทำงานอย่างบูรณาการและเกิดผลเป็นรูปธรรม โดยกระทรวงพาณิชย์จะติดตามความคืบหน้าในด้านการปฏิบัติตามผลการประชุมฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องทุกเรื่อง ๑.๒.๑ เป้าหมายการค้าและการลงทุน ได้แก่ การศึกษาแผนยุทธศาสตร์และแผนงานเพื่อสนับสนุนการเพิ่มขึ้นของการค้าไทย-สปป.ลาว ให้ถึง ๘,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี ๒๕๕๘ และการส่งเสริมการขยายตัวของการลงทุนระหว่างกัน ๑.๒.๒ การแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านกฎระเบียบทางการค้าและการลงทุน ๑.๒.๓ การอำนวยความสะดวกทางการค้า ได้แก่ การเร่งรัดขั้นตอนในประเทศและเตรียมความพร้อมด้านต่าง ๆ เพื่อให้สามารถดำเนินงานพิธีการศุลกากรตรวจแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (Single Stop Inspection : SSI) ได้ทันภายในปี ๒๕๕๖ การหารือกับ สปป.ลาว เพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ในการเปิด/ยกระดับด่านตามความเหมาะสม ตามที่ได้ตกลงกันในการประชุมคณะผู้ว่าราชการจังหวัดและเจ้าแขวงชายแดน ไทย-สปป.ลาว ครั้งที่ ๙ การพัฒนาและการใช้เส้นทางหมายเลข ๘ และ ๑๒ ให้เป็นประโยชน์มากขึ้น การจัดกิจกรรมการพบปะหารือระหว่างภาคเอกชนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยและ สปป.ลาว เพื่อหาแนวทางความร่วมมือการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ บนเส้นทางหมายเลข ๘ และ ๑๒ และการจัดทำแผนปฏิบัติการการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน เพื่อรองรับการขยายตัวทางการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ๑.๒.๔ แผนความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนไทย-ลาว ปี ๒๕๕๖-๒๕๕๗ ได้แก่ การดำเนินงานโครงการ ICT เพื่อพัฒนาระบบฐานข้อมูลการค้าใน ๕ แขวงนำร่องของ สปป.ลาว (นครหลวงเวียงจันทน์ สะหวันนะเขต จำปาสัก หลวงพระบาง และหลวงน้ำทา) ให้เป็นไปตามเป้าหมายภายในปี ๒๕๕๘ การจัดโครงการฝึกอบรมและศึกษาดูงานตามแผนงานประจำปี การจัดงานแสดงสินค้า และกิจกรรมการจับคู่ธุรกิจไทย-สปป.ลาว การส่งเสริมให้ภาคเอกชนไทยออกไปลงทุนใน สปป.ลาว โดยเฉพาะในเขตอุตสาหกรรม เขตเศรษฐกิจพิเศษ และเขตเศรษฐกิจเฉพาะต่าง ๆ การแลกเปลี่ยนข้อมูลกฎระเบียบทางการค้ากับหัวหน้าแผนกอุตสาหกรรมและการค้าแขวงตามแนวชายแดนไทย-สปป.ลาว อย่างสม่ำเสมอ การส่งเสริม อำนวยความสะดวก และแก้ไขปัญหาการค้าชายแดน ความร่วมมือด้าน ODOP/OTOP โดยพิจารณาให้ความช่วยเหลือการจัดฝึกอบรมให้แก่ สปป.ลาว และความร่วมมือด้านเกษตรกรรม ได้แก่ การดำเนินงานตามบันทึกความเข้าใจร่วม (MOU) ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาล สปป.ลาว ว่าด้วยความร่วมมือในการส่งเสริมโครงการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญาภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS) และการให้ความช่วยเหลือด้านการเสริมสร้างขีดความสามารถด้านวิชาการและเทคนิคในการประเมินความเสี่ยงและการตรวจสอบสุขอนามัยพืช รวมทั้งมาตรฐานและคุณภาพของสินค้าเกษตรของ สปป.ลาว ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามผลการประชุมฯ โดยเร็ว โดยเฉพาะเรื่องการยกเลิกมาตรการจำกัดระยะเวลาการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จาก สปป.ลาว และการดำเนินงานด้านพิธีการศุลกากรตรวจแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (Single Stop Inspection : SSI) รวมทั้งการเพิ่มบทบาทการเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือทางด้านวิชาการแก่ สปป.ลาว ในด้านการเงิน การธนาคาร การบริการ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||
2039 | การลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทย และกรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานควบคุมคุณภาพตรวจสอบ และกักกันโรคแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ | พณ | 03/09/2556 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทย และกรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานควบคุมคุณภาพ ตรวจสอบ และกักกันโรคแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ๑.๒ ให้อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ทั้งนี้ หากก่อนลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขบันทึกความเข้าใจฯ ที่มิใช่สาระสำคัญ ให้อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. การลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ให้ดำเนินการได้นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓ กันยายน ๒๕๕๖) เป็นต้นไป และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรตรวจสอบการสะกดคำและตัวบทภาษาไทยให้ถูกต้อง มีความสอดคล้องกัน และแก้ไขถ้อยคำที่เป็นคำเฉพาะบางที่ อาทิ วรรคสองของอารัมภบท “ความตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาด้านการค้า” ควรแก้ไขเป็น “ความตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับการค้า” นอกจากนี้ ควรมีการติดตามและประเมินผลความร่วมมือดังกล่าว โดยรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ เพื่อนำไปสู่การพิจารณาขยายขอบเขตความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญาในมิติอื่นกับสาธารณรัฐประชาชนจีน รวมทั้งการทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์กับประเทศอื่น ๆ เพิ่มเติม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||
2040 | โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2556/57 | พณ | 03/09/2556 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบกรอบ ชนิด ราคา ปริมาณ ระยะเวลา หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๖/๕๗ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก (นาปี) ภายใต้กรอบวงเงินของโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๖/๕๗ จำนวน ๒๗๐,๐๐๐ ล้านบาท ให้มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ได้ให้ความเห็นชอบไว้ เพื่อให้ข้าวเปลือกที่เข้าร่วมโครงการฯ เป็นไปตามคุณภาพมาตรฐานที่กำหนดและเกษตรกรได้เข้าร่วมโครงการฯ อย่างทั่วถึงและได้รับราคาจำนำอย่างเป็นธรรมตามเป้าหมาย ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับแหล่งเงินทุนหมุนเวียนที่ใช้ในโครงการฯ ควรประกอบด้วยเงินทุนที่กระทรวงการคลังจัดหาให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ตลอดจนเงินที่ได้รับจากการระบายผลิตผลของกระทรวงพาณิชย์ตามความจำเป็นและเหมาะสม และให้ ธ.ก.ส. สำรองจ่ายเงินเพื่อดำเนินโครงการฯ ไปก่อน ในช่วงระยะเวลาที่รอการจัดหาเงินทุนของกระทรวงการคลัง หรือเงินที่ได้รับจากการระบายผลิตผล โดยชดเชยต้นทุนเงินให้ ธ.ก.ส. ในอัตรา FDR+1 และให้กระทรวงพาณิชย์เร่งระบายข้าวให้ได้เร็วและมากขึ้นเพื่อให้มีพื้นที่ในการเก็บผลผลิตข้าวเปลือกที่จะเข้าสู่โครงการฯ ในเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ รวมทั้งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พัฒนาและปรับปรุงระบบฐานข้อมูลเกษตรกรที่มีความถูกต้องและเป็นปัจจุบันเพื่อใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนการดำเนินงานและตรวจสอบความถูกต้องของการแจ้งลงทะเบียนต่าง ๆ นอกจากนี้ ในระยะต่อไป กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ควรสนับสนุนให้เกษตรกรลดต้นทุน พัฒนาคุณภาพข้าว เพื่อยกระดับการส่งออกสินค้าข้าวไปสู่ตลาดบนที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ตลอดจนเร่งพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตข้าวเพื่อให้เกษตรกรสามารถแข่งขันได้เมื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยการจัดทำโซนนิ่งภาคเกษตร และการทำประกันภัยพืชผลการเกษตร เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับติดตาม ตรวจสอบ และรายงานผลการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก (นาปี) ต่อ กขช. เพื่อพิจารณาผลการดำเนินการดังกล่าว แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีก่อนดำเนินโครงการฯ ต่อไป |
.....