ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 106 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 2101 - 2120 จากข้อมูลทั้งหมด 6672 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2101 | การติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจประจำเดือนเมษายน 2556 | นร | 04/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) รายงานผลการติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนเมษายน ๒๕๕๖ ประกอบด้วย การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ การสร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค การปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน (กองทุนหมู่บ้าน SML) การยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน การปฏิรูปการจัดการที่ดิน (นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) และให้หน่วยงานที่รับผิดชอบในแต่ละด้านรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง โดยที่ขณะนี้ยังมีการตรึงราคา LPG ภาคครัวเรือน จึงทำให้อาจมีการลักลอบนำแก๊สหุงต้มมาจำหน่ายให้กับภาคอุตสาหกรรมและภาคขนส่ง ซึ่งจะทำให้เกิดผลเสียต่อภาคเศรษฐกิจ จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาตรวจสอบ และรายงานสภาพปัญหาและผลกระทบ รวมถึงการกำหนดมาตรการในการป้องกันแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วย ๒. การดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลในเรื่อง แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ในส่วนของราคาสินค้ามีหลายโครงการที่สิ้นสุดระยะเวลาในการดำเนินการแล้ว จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาศึกษาหามาตรการ/โครงการที่จะช่วยป้องกันและบรรเทาผลกระทบเพื่อรองรับปัญหาราคาสินค้าที่มีการขยับตัวสูงขึ้น ๓. นโยบายยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน ในส่วนของการเยียวยาและการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรจากภัยพิบัติ ซึ่งการดำเนินการให้ความช่วยเหลือค่อนข้างล่าช้า ดังนั้น เพื่อให้เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติได้รับความช่วยเหลือเยียวยาอย่างรวดเร็ว จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการหารือและบูรณาการการทำงานในเรื่องดังกล่าวร่วมกัน ๔. การรับซื้อยางพารา ตามโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางนั้น เกิดปัญหาสวมสิทธิ์การขายยางพาราให้กับโครงการ เนื่องจากแหล่งที่มาของยางพาราซึ่งมาขายให้กับโครงการไม่สามารถตรวจสอบได้ จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาตรวจสอบ และรายงานสภาพปัญหาและผลกระทบ รวมถึงการกำหนดมาตรการในการป้องกันแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วย ๕. การแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตร ผักและผลไม้ ตามที่กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการขอความร่วมมือให้ภาคเอกชนช่วยรับซื้อผักและผลไม้เพื่อนำไปจำหน่าย พร้อมทั้งผลักดันให้มีการส่งออกเพิ่มขึ้น รวมถึงการเชื่อมโยงการจำหน่ายผักและผลไม้จากกลุ่มเกษตรกรและผู้ค้าในแหล่งผลิตมาจำหน่ายผลผลิตให้กับผู้บริโภคโดยตรงนั้น เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงมหาดไทย ได้มีการหารือและบูรณาการการทำงานในเรื่องดังกล่าวร่วมกัน เพื่อนำแนวทางดังกล่าวไปปรับใช้ในการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรอื่น ๆ ด้วย
|
||||||||||||||||||
2102 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนเมษายน 2556 | พณ | 28/05/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนเมษายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนเมษายน ๒๕๕๖ เทียบกับเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๖ จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ ๑.๑๒ สาเหตุจากการสูงขึ้นของราคาหมวดผักและผลไม้ ร้อยละ ๖.๓๐ โดยเฉพาะหมวดผักสด ดัชนีสูงขึ้นร้อยละ ๑๐.๙๔ หมวดผลไม้สด สูงขึ้นร้อยละ ๓.๓๓ และสินค้าอื่น ๆ ที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ หมวดเนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ ดัชนีสูงขึ้นร้อยละ ๑.๒๓ หมวดอาหารสำเร็จรูป ได้แก่ อาหารบริโภค-ในบ้าน สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๖ อาหารบริโภค-นอกบ้าน สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๔ หมวดข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๖ หมวดเครื่องประกอบอาหาร ได้แก่ เครื่องปรุงอาหาร สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๔ เครื่องปรุงรส สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๗ หมวดนมและผลิตภัณฑ์นม สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๘ สำหรับดัชนีราคาหมวดอื่นๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลงร้อยละ ๐.๓๓ จากการลดลงของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงขายปลีกโดยเฉลี่ยในประเทศ ร้อยละ ๒.๘๔ ตามภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลก สินค้าและบริการอื่น ๆ ที่มีราคาลดลง ได้แก่ ค่าอุปกรณ์การบันเทิง ลดลงร้อยละ ๐.๐๙ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางโอกาสพิเศษและท่องเที่ยว ร้อยละ ๐.๐๖ และเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ลดลงร้อยละ ๐.๐๑ ๒. พิจารณาเทียบกับดัชนีราคาเดือนเมษายน ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๒.๔๒ จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๔.๑๕ โดยดัชนีหมวดข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง สูงขึ้นร้อยละ ๐.๗๔ เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ สูงขึ้นร้อยละ ๖.๑๕ ไข่และผลิตภัณฑ์นม สูงขึ้นร้อยละ ๓.๑๑ ผักและผลไม้ สูงขึ้นร้อยละ ๑๓.๑๔ เครื่องประกอบอาหาร สูงขึ้นร้อยละ ๐.๕๒ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ ๑.๕๗ และอาหารสำเร็จรูป สูงขึ้นร้อยละ ๑.๗๐ สำหรับดัชนีราคาหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๑.๔๒ จากการสูงขึ้นของหมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า สูงขึ้นร้อยละ ๐.๖๘ หมวดเคหสถาน สูงขึ้นร้อยละ ๓.๑๒ หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล สูงขึ้นร้อยละ ๐.๙๖ หมวดการบันเทิงการอ่าน การศึกษา และการศาสนา สูงขึ้นร้อยละ ๐.๖๑ หมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ ๗.๔๖ ขณะที่หมวดพาหนะ การขนส่ง และการสื่อสาร ลดลงร้อยละ ๐.๐๘ ๓. พิจารณาดัชนีเฉลี่ย ๔ เดือนของปี ๒๕๕๖ เทียบกับระยะเดียวกันของปี ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๒.๙๒ จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๔.๐๔ และดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๒.๒๐ ตามการสูงขึ้นของหมวดข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง ร้อยละ ๐.๖๑ เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ ร้อยละ ๔.๕๘ ไข่และผลิตภัณฑ์นม สูงขึ้นร้อยละ ๒.๖๗ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๑๒.๒๙ เครื่องประกอบอาหาร ร้อยละ ๐.๔๙ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๑.๙๘ อาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๒.๑๘ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ร้อยละ ๐.๘๐ หมวดเคหสถาน ร้อยละ ๓.๒๒ หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล ร้อยละ ๐.๑๔ หมวดพาหนะ การขนส่ง และการสื่อสาร ร้อยละ ๑.๗๑ หมวดการบังเทิง การอ่าน การศึกษา และการศาสนา ร้อยละ ๐.๕๙ และหมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๗.๕๕ ๔. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนเมษายน ๒๕๕๖ เท่ากับ ๑๐๒.๙๓ เทียบกับเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๖ จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าและบริการ ได้แก่ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า หมวดค่าที่พักอาศัย หมวดค่าบริภัณฑ์อื่น ๆ สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด หมวดค่าตรวจรักษาและค่ายา สำหรับสินค้าและบริการที่ราคาลดลง ได้แก่ หมวดการบันเทิง การอ่าน การศึกษา และการศาสนา และหมวดเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์
|
||||||||||||||||||
2103 | การลงนามข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างไทย - สาธารณรัฐมัลดีฟส์ | พณ | 28/05/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบต่อร่างข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างไทย-สาธารณรัฐมัลดีฟส์ มีสาระสำคัญเพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างกัน โดยมีสาขาความร่วมมือครอบคลุมด้านต่าง ๆ ประกอบด้วย การอำนวยความสะดวกและส่งเสริมการค้าและการลงทุน การส่งเสริมการลงทุนร่วมระหว่างภาคเอกชนสองฝ่าย และความร่วมมือทางเศรษฐกิจในสาขาที่สองฝ่ายมีศักยภาพ อาทิ เกษตร ประมง อาคารแปรรูป การพัฒนาผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม การท่องเที่ยว ธุรกิจก่อสร้าง การบริการ สุขภาพ โลจิสติกส์ สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และการศึกษา รวมทั้งเปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายหารือเพื่อเพิ่ม/ขยายความร่วมมือด้านอื่น ๆ ด้วย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงเอกสารที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามในร่างข้อตกลงฯ หรือหากติดภารกิจ ให้มอบหมายผู้อื่นลงนามแทนต่อไป ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับข้อสังเกตของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับการกำหนดสาขาแบบกว้าง ๆ โดยเฉพาะด้านการสาธารณสุข อาจทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนและมีผลในทางปฏิบัติ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
2104 | กรอบการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยปี 2556 | นร11 | 28/05/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสถานการณ์ความเสี่ยงในเศรษฐกิจโลกและภาวะเศรษฐกิจไทย ซึ่งจะมีผลกระทบต่อแนวโน้มเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในช่วงต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ ๒. เห็นชอบกรอบการรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจปี ๒๕๕๖ โดยการสร้างความเชื่อมั่นและเสถียรภาพระยะสั้น และการรักษาศักยภาพการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจให้สามารถขยายตัวได้ร้อยละ ๕ อย่างต่อเนื่อง และมาตรการรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ ประกอบด้วย มาตรการด้านการเงิน มาตรการด้านการคลัง และมาตรการเฉพาะด้าน ซึ่ง สศช. ได้ดำเนินการร่วมกับกระทรวงการคลัง ตามที่ สศช. เสนอ โดยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังได้พิจารณาแล้วเห็นว่า มีความชัดเจน เหมาะสม ครอบคลุมครบถ้วน ทั้งนี้ ในส่วนที่เกี่ยวกับมาตรการทางการเงิน ซึ่งประกอบด้วย ๗ มาตรการ ได้แก่ (๑) ซื้อขายเงินตราต่างประเทศเพื่อดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพและไม่แข็งค่ามากกว่าความสามารถในการปรับตัวของภาคการผลิตและบริการ (๒) ดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยอย่างเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและการรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ (๓) ดำเนินมาตรการกำกับดูแลสถาบันการเงิน (Macro Prudential Measures) เพื่อดูแลเสถียรภาพของสถาบันการเงินและเศรษฐกิจโดยรวม (๔) พิจารณาใช้มาตรการจำกัดเงินทุนไหลเข้าอย่างระมัดระวังเมื่อมีความจำเป็น โดยมีการประเมินผลผลกระทบอย่างรอบคอบก่อนการดำเนินการ และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด (๕) บริหารจัดการเงินทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ เพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์โดยเพิ่มประเภทสินทรัพย์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถลงทุนได้ (๖) ช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้สามารถบรรเทาผลกระทบของค่าเงินบาท และ (๗) สร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาคเพื่อดูแลอัตราแลกเปลี่ยนให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน นั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยพร้อมที่จะดำเนินการและจะประสานงานกับกระทรวงการคลังอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกและเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจและความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างมีเสถียรภาพต่อไป ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตเพิ่มเติม ได้แก่ ๒.๑ มาตรการส่งเสริมการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ให้ปรับเป็นการดำเนินการภายในระยะเวลา ๖ เดือน ๒.๒ ให้เพิ่มมาตรการส่งเสริมการออมของประชาชน โดยให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานเจ้าภาพในการดำเนินการ เพื่อให้มีการวางแผนการใช้จ่ายในปัจจุบันและในอนาคตซึ่งจะช่วยสร้างรากฐานชีวิตของประชาชนและครอบครัวให้มีความมั่นคงเพื่อนำไปสู่การสร้างฐานชุมชนที่เข้มแข็ง ๒.๓ มาตรการการค้าชายแดน ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งรัดการผลักดันการใช้เงินบาทเป็นสกุลหลัก (settlement currency) สำหรับการค้าชายแดนเพื่อลดความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนในการทำการค้า รวมทั้งให้กำหนดมูลค่าเป้าหมายของการค้าชายแดนให้ชัดเจนเหมาะสมด้วย ๒.๔ มาตรการเฉพาะด้านเพื่อสนับสนุนการผลิตสินค้าและบริการ การส่งออก การลงทุน และรายได้ของประชาชน ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการกำหนดมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) และเกษตรกรผู้มีรายได้น้อย ๓. ให้หน่วยงานเจ้าภาพหลักรับมาตรการรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ (มาตรการด้านการเงิน การคลัง และมาตรการเฉพาะด้าน) ตามที่ สศช. เสนอ รวมทั้งที่เพิ่มเติมตามข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปจัดทำแผนปฏิบัติการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๔. ให้ สศช. ติดตามผลการดำเนินการตามมาตรการรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจดังกล่าวเพื่อเสนอต่อคณะทำงานกำกับการบริหารนโยบายเศรษฐกิจที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานทุกสัปดาห์และรวบรวมผลการดำเนินการดังกล่าวเสนอให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกเดือนต่อไป ๕. ให้ สศช. นำกรอบการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมตามข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีให้ชัดเจนครบถ้วนแล้วเผยแพร่ให้สาธารณชนทราบต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||
2105 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการลิขสิทธิ์ (จำนวน 12 คน 1. นายสมพร มณีรัตนะกูล ฯลฯ) | พณ | 28/05/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการลิขสิทธิ์ จำนวน ๑๒ คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิชุดเดิมได้ดำรงตำแหน่งมาครบกำหนดสองปีตามวาระแล้ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยมีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายสมพร มณีรัตนะกูล ผู้แทนสมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย ๒. นายเทียนชัย ปิ่นวิเศษ ผู้แทนสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ ๓. นายบูรพา อารัมภีร ผู้แทนสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ๔. นางสาวอ่อนอุษา ลำเลียงพล ผู้แทนสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย ๕. นายวรพันธ์ โลกิตสถาพร ผู้แทนสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย ๖. นายบารมี เรืองกาญจนเศรษฐ์ ผู้แทนสมาคมโรงแรมไทย ๗. นายวิรัช อยู่ถาวร ผู้ทรงคุณวุฒิ ๘. นางสาวอรพรรณ พนัสพัฒนา ผู้ทรงคุณวุฒิ ๙. นายสุชาติ ธรรมาพิทักษ์กุล ผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๐. นายเศรษฐา ศิระฉายา ผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๑. นายพิเศษ จียาศักดิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๒. นางมรกต กุลธรรมโยธิน ผู้ทรงคุณวุฒิ
|
||||||||||||||||||
2106 | การยุติบริจาคข้าวให้สาธารณรัฐเฮติในส่วนที่เหลือ จำนวน 1,599.39 ตัน | พณ | 14/05/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ยุติการบริจาคข้าวให้สาธารณรัฐเฮติในส่วนที่เหลือ จำนวน ๑,๕๙๙.๓๙ ตัน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดทำข้อตกลงซื้อขายข้าวระหว่างรัฐต่อรัฐ เพื่อจำหน่ายข้าวราคามิตรภาพให้กับสาธารณรัฐเฮติ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||
2107 | รายงานผลการประชุมเกี่ยวกับผลกระทบของค่าเงินบาทต่อเศรษฐกิจไทย | กค | 14/05/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมเกี่ยวกับผลกระทบของค่าเงินบาทต่อเศรษฐกิจไทย ระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ประกอบด้วย กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ คณะกรรมการนโยบายการเงิน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ณ ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมได้ปรึกษาหารือถึงผลกระทบของค่าเงินบาทที่มีต่อเศรษฐกิจโดยรวม รวมทั้งแนวทางการลดผลกระทบที่มีต่อภาคการส่งออก และมีความเห็นร่วมกันว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่าเกินไป โดยแข็งค่ากว่าค่าเงินของคู่แข่งในภูมิภาคนี้และขาดเสถียรภาพจะมีผลเสียต่อการส่งออก การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งภาคเอกชนได้ขอให้ภาครัฐพิจารณาให้ความช่วยเหลือเพื่อแก้ปัญหาการชะลอตัวของการส่งออกทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ได้แก่ การผลักดันให้ใช้เงินบาทเป็นเงินสกุลสำหรับการค้าขายในภูมิภาคนี้ การลดอุปสรรคในการเคลื่อนย้ายแรงงานในภูมิภาคนี้ การสนับสนุนให้มีผู้เรียนสายอาชีพเพิ่มมากขึ้น และการจัดทำโครงการพื้นฐานต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านพลังงานเพื่อรองรับภาคการผลิต การพิจารณามาตรการเพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการใช้วัตถุดิบในประเทศเพิ่มขึ้น การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ขายสินค้าให้กับผู้ส่งออกและสามารถใช้เงินตราต่างประเทศเพื่อชำระค่าสินค้าภายในประเทศโดยไม่ต้องแลกเป็นเงินบาท การจัดหาสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนเพื่อสนับสนุนการพัฒนาสินค้าในด้านต่าง ๆ การลดหย่อนภาษีสำหรับการนำอัญมณีและเครื่องประดับที่เข้ามาแสดงและซื้อขายในประเทศ และการให้ธนาคารแห่งประเทศไทยจัดทำข้อมูลเผยแพร่เกี่ยวกับการเปรียบเทียบค่าเงินบาทกับเงินสกุลอื่น ๆ ๒. ที่ประชุมเห็นควรให้มีการประชุมในลักษณะนี้ขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง โดยอาจเปลี่ยนหน่วยงานที่เป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมในครั้งต่อไป
|
||||||||||||||||||
2108 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนมีนาคม 2556 | พณ | 07/05/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ เทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๗ จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๖ สาเหตุจากการสูงขึ้นของราคาผักและผลไม้ ร้อยละ ๒.๘๐ โดยเฉพาะหมวดผักสด ดัชนีสูงขึ้นร้อยละ ๔.๒๒ หมวดผลไม้สด สูงขึ้นร้อยละ ๒.๑๔ สินค้ากลุ่มข้าว สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๕ กลุ่มปลาและสัตว์น้ำ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๗๔ สำหรับดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลงร้อยละ ๐.๐๔ จากการลดลงของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงขายปลีกโดยเฉลี่ยในประเทศ ร้อยละ ๐.๔๐ ตามภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลก รวมทั้งสินค้าและบริการอื่นที่มีราคาลดลง ได้แก่ ค่าของใช้ส่วนบุคคล ร้อยละ ๐.๑๓ ๒. พิจารณาเทียบกับดัชนีราคาเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๒.๖๙ จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๓.๖๖ โดยดัชนีหมวดข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง สูงขึ้นร้อยละ ๐.๖๔ หมวดเนื้อสัตว์ เป็ดไก่ และสัตว์น้ำ สูงขึ้นร้อยละ ๖.๖๓ ผักและผลไม้ สูงขึ้นร้อยละ ๙.๐๑ เครื่องประกอบอาหาร สูงขึ้นร้อยละ ๐.๔๙ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ ๑.๘๘ และอาหารสำเร็จรูป สูงขึ้นร้อยละ ๑.๕๖ สำหรับดัชนีราคาหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๒.๐๑ จากการสูงขึ้นของหมวดเคหสถาน สูงขึ้นร้อยละ ๓.๑๔ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า สูงขึ้นร้อยละ ๐.๕๔ หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล สูงขึ้นร้อยละ ๑.๑๒ หมวดพาหนะ การขนส่ง และการสื่อสาร สูงขึ้นร้อยละ ๑.๓๘ หมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ ๗.๕๗ หมวดการบันเทิงการอ่าน การศึกษาและการศาสนา สูงขึ้นร้อยละ ๐.๖๗ ๓. พิจารณาดัชนีราคาเฉลี่ยไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๖ เทียบกับไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๓.๐๙ จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๔.๐๑ และดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๒.๔๖ ตามการสูงขึ้นของหมวดข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง ร้อยละ ๐.๕๕ เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ ร้อยละ ๔.๐๖ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๑๒.๐๐ เครื่องประกอบอาหาร ร้อยละ ๐.๔๙ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๒.๑๒ อาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๒.๓๔ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ร้อยละ ๐.๘๓ ค่าน้ำประปา ร้อยละ ๑๐.๙๘ ค่ากระแสไฟฟ้า ร้อยละ ๑๙.๐๒ ค่าเช่าบ้าน ร้อยละ ๐.๓๕ หมวดยานพาหนะ ร้อยละ ๑.๐๘ และน้ำมันเชื้อเพลิง ร้อยละ ๕.๕๗ ๔. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ เท่ากับ ๑๐๒.๘๗ เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ลดลงร้อยละ ๐.๐๑ (เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๙) จากการลดลงของราคาสินค้าและบริการ ได้แก่ สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด และค่าของใช้ส่วนบุคคล
|
||||||||||||||||||
2109 | การขออนุมัติงบประมาณในการเข้าร่วมงาน Universal Exhibition Milano 2015 | กษ | 07/05/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๖ ที่เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณการจัดงาน Universal Exhibition Milano 2015 (Expo Milano 2015) ณ เมืองมิลาน สาธารณรัฐอิตาลี ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ วงเงินรวม ๘๓๐,๙๓๕,๖๐๐ บาท โดยใช้จ่ายตามรายการและก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการ วงเงิน ๕๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ค่าใช้จ่ายในการจ้างที่ปรึกษาดูแล ควบคุมงาน ออกแบบ ก่อสร้าง และการจัดการนิทรรศการ ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙ วงเงิน ๓๙,๐๔๕,๖๐๐ บาท และค่าใช้จ่ายในการจ้างออกแบบ ก่อสร้าง ตกแต่งอาคารจัดนิทรรศการ รื้อถอน และการจัดการนิทรรศการ ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙ ในวงเงิน ๗๓๖,๘๙๐,๐๐๐ บาท ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น เพื่อจัดทำแผนงานโครงการในการเข้าร่วมงานดังกล่าว โดยเน้นการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวและการเร่งรัดการผลิตสินค้าเพื่อส่งเสริมการส่งออกของประเทศ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ OTOP
|
||||||||||||||||||
2110 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ยางรถที่ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องขออนุญาตและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... | พณ | 30/04/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ยางรถที่ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องขออนุญาตและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างประกาศฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำยางรถที่ใช้แล้วเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๔๖ ลงวันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ ๒. กำหนดบทนิยาม “ยางรถที่ใช้แล้ว” หมายความว่า ยางรถที่หล่อดอกใหม่ ยางรถที่ใช้งานแล้ว และให้หมายความรวมถึงเศษ เศษตัดและของที่ใช้ไม่ได้ที่เป็นยางรถตามที่กำหนด ๓. ให้ยางรถที่ใช้แล้วชนิดที่ใช้กับรถยนต์นั่ง (รวมถึงสเตชั่นแวกอนและรถแข่ง) ยางชนิดที่ใช้กับรถจักรยานยนต์ ยางชนิดที่ใช้กับรถจักรยาน เศษ เศษตัดและของที่ใช้ไม่ได้ที่เป็นยางของรถ ตามพิกัดอัตราศุลกากรที่กำหนด เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ๔. ให้ยางรถที่ใช้แล้วชนิดที่ใช้กับรถบัสหรือรถบรรทุก ตามพิกัดอัตราศุลกากรที่กำหนด เป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ๕. ความในข้อ ๓ และข้อ ๔ มิให้ใช้บังคับแก่กรณีที่นำยางรถที่ใช้แล้วเข้ามาเพื่อการศึกษาวิจัย เพื่อเป็นตัวอย่าง เพื่อการแข่งขันรถ เพื่อการท่องเที่ยว หรือยานพาหนะนำติดมาเพื่อใช้กับยานพาหนะนั้น ๆ ในปริมาณเท่าที่จำเป็น |
||||||||||||||||||
2111 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนมีนาคม 2556 | อก | 30/04/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนมีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า สถานการณ์การผลิตคาดว่า การผลิตเหล็กทรงแบนจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ และการที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศใช้มาตรการเซฟการ์ดในส่วนของเหล็กแผ่น alloy จะมีผลทำให้การนำเข้าเหล็กดังกล่าวลดลงและส่งผลให้ผู้ผลิตของไทยมีการผลิตเพิ่มขึ้น สำหรับเหล็กทรงยาวคาดว่าการผลิตจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากสถานการณ์อุตสาหกรรมก่อสร้างเริ่มส่งสัญญาณดีขึ้น เป็นผลมาจากผู้ประกอบการมีแนวโน้มเปิดขายโครงการอาคารชุดที่มีราคาไม่สูงมากนัก โดยเน้นการเปิดขายในกรุงเทพฯ ชั้นใน ชั้นกลางและแนวส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ๒. อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ภาพรวมมาตรการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานของภาครัฐ และการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างรวดเร็วและต่อเนื่องของภาคเอกชน ส่งผลให้ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศอยู่ในระดับสูง คาดว่าการผลิตและการจำหน่ายในประเทศของอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์จะปรับตัวสูงขึ้นตาม สำหรับแนวโน้มการส่งออก คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากอุปสงค์ต่อปูนซีเมนต์ในตลาดหลักของไทย รวมทั้งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศและสาธารณรัฐโตโกยังอยู่ในระดับที่สูงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม คาดว่าการส่งออกจะปรับตัวสูงขึ้นไม่มากนัก เนื่องจากความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีการสำรองปูนซีเมนต์ไว้ใช้ในประเทศมากขึ้น
|
||||||||||||||||||
2112 | ข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ | กต | 30/04/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบต่อการดำเนินการตามข้อมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ที่ ๒๐๙๔ (ค.ศ. ๒๐๑๓) เกี่ยวกับมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ รวมทั้งรายชื่อบุคคลที่ถูกห้ามการเดินทางและอายัดทรัพย์สินเพิ่มเติม รายชื่อคณะบุคคลที่ถูกอายัดทรัพย์สินเพิ่มเติม รายการสิ่งของ วัสดุ เครื่องมือ สินค้า และเทคโนโลยี และรายการสินค้าฟุ่มเฟือย ๒. ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องของไทย ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ การท่าเรือแห่งประเทศไทย สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย คณะกรรมการการบินพลเรือน และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ปฏิบัติตามข้อมติดังกล่าว และปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวให้เป็นไปตามรายชื่อล่าสุด |
||||||||||||||||||
2113 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (จำนวน 12 คน 1. นางพฤฒิพร เนติโพธิ์ ฯลฯ) | พณ | 30/04/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าชุดใหม่ จำนวน ๑๒ คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิชุดเดิมได้ดำรงตำแหน่งมาครบกำหนดสองปีตามวาระ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓๐ เมษายน ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ ประกอบด้วย ๑.๑ นางพฤฒิพร เนติโพธิ์ ๑.๒ นายมนตรี โสคติยานุรักษ์ ๑.๓ พันตำรวจโท ไพโรจน์ ปัญจประทีป ๑.๔ นายกุลิศ สมบัติศิริ ๑.๕ นางดนุชา ยินดีพิธ ๑.๖ นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ๒. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน ประกอบด้วย ๒.๑ นายพงษ์ศักดิ์ อัสสกุล ๒.๒ นายไพรัช บูรพชัยศรี ๒.๓ นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล ๒.๔ นายกิตติ ตั้งจิตรมณีศักดา ๒.๕ นายเจน นำชัยศิริ ๒.๖ นายเกรียงไกร เธียรนุกุล
|
||||||||||||||||||
2114 | รายงานผลการดำเนินการ "โครงการธงฟ้าเคลื่อนที่เพื่อประชาชน" (Mobile Unit) | พณ | 23/04/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการ “โครงการธงฟ้าเคลื่อนที่เพื่อประชาชน” (Mobile Unite) ระหว่างวันที่ ๑๑ มกราคม-๑๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายในเสนอ สรุปได้ว่า ได้มีการจำหน่ายสินค้าจำเป็นต่อการครองชีพในราคาต่ำกว่าท้องตลาดร้อยละ ๒๐-๔๐ ในแหล่งชุมชนผู้มีรายได้น้อยและลูกจ้างในสถานประกอบการต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๖๒๗ จุด แยกเป็นพื้นที่กรุงเทพมหานคร ๕๐๙ จุด ปริมณฑล (จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม) ๙๕ จุด และจังหวัดใกล้เคียง (จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) ๒๓ จุด สินค้าที่จำหน่าย ได้แก่ น้ำมันพืช จำหน่ายราคาขวดละ ๓๓ บาท (ราคาตลาดขวดละ ๔๒ บาท) น้ำตาลทราย จำหน่ายราคากิโลกรัมละ ๒๐ บาท (ราคาตลาดกิโลกรัมละ ๒๓.๕๐ บาท) ข้าวสารขาว จำหน่ายราคาถุง (๕ กิโลกรัม) ละ ๗๐ บาท (ราคาตลาดถุงละ ๑๒๐ บาท) ข้าวสารหอมมะลิ จำหน่ายราคากิโลกรัมละ ๓๘-๓๙ บาท (ราคาตลาดกิโลกรัมละ ๔๔ บาท) ไข่ไก่ จำหน่ายต่ำกว่าราคาตลาดประมาณแผงละ ๑๕-๒๐ บาท เนื้อสุกรชำแหละ จำหน่ายต่ำกว่าราคาตลาดประมาณกิโลกรัมละ ๑๕-๒๕ บาท เนื้อไก่และผลิตภัณฑ์ จำหน่ายต่ำกว่าราคาตลาดร้อยละ ๑๐-๕๐ และสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการครองชีพ เช่น ผงซักฟอก สบู่ ยาสีฟัน น้ำยาล้างจาน ฯลฯ จำหน่ายต่ำกว่าราคาตลาดร้อยละ ๒๐-๔๐ โดยมีผู้ให้ความสนใจซื้อสินค้าประมาณ ๙๘,๔๗๔ คน มูลค่าการจำหน่ายประมาณ ๓๔.๗๑ ล้านบาท สามารถลดภาระค่าครองชีพประชาชนได้ประมาณ ๑๔.๖๗ ล้านบาท ทั้งนี้ ประชาชนในแต่ละพื้นที่ได้ร้องขอให้นำสินค้าไปจำหน่ายยังจุดต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องทั้งในสถานที่จำหน่ายเดิมและสถานที่ใหม่ เนื่องจากสามารถลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปซื้อสินค้า รวมทั้งสินค้าที่ได้นำไปจำหน่ายมีราคาต่ำกว่าราคาตลาดประมาณร้อยละ ๒๐-๔๐ ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนโดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยตามแหล่งชุมชนต่าง ๆ
|
||||||||||||||||||
2115 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พณ | 23/04/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขข้อ ๔ แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยเพิ่มรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มอบหมายเป็นรองประธานกรรมการอีกหนึ่งคน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา ๒. ให้รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการเพิ่มรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มอบหมาย เป็นรองประธานกรรมการอีกตำแหน่งหนึ่ง จะมีผลทำให้คณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญา (คทป.) มีรองประธานกรรมการสองคน จึงจำเป็นต้องกำหนดรองประธานกรรมการคนที่หนึ่ง และรองประธานกรรมการคนที่สองให้ชัดเจน รวมทั้งควรแก้ไขเพิ่มเติมเรื่องการประชุมของ คทป. ตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๗ วรรคสอง ของระเบียบฯ เพื่อให้รองรับกันด้วยว่า “ในการประชุมคณะกรรมการ ถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้รองประธานกรรมการคนที่หนึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ถ้ารองประธานกรรมการคนที่หนึ่งไม่มาประชุมหรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้รองประธานกรรมการคนที่สองทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ถ้ารองประธานกรรมการทั้งสองคนไม่มาประชุมหรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมฯ นอกจากนี้ เนื่องจากองค์ประกอบของ คทป. มีจำนวนมาก การใช้รูปแบบการจัดเรียงลำดับโดยแยกกรรมการโดยตำแหน่งแต่ละตำแหน่งอย่างชัดเจนจะทำให้เนื้อหาไม่กระชับ ซึ่งแตกต่างไปจากรูปแบบแบบการร่างกฎหมายของสำนักงานฯ ที่จะจัดเรียงลำดับตำแหน่งกรรมการตามประเภทของกรรมการซึ่งจะทำให้เนื้อหากระชับขึ้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||
2116 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (AEM Retreat) ครั้งที่ 19 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 23/04/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอย่างไม่เป็นทางการ [ASEAN Economic Ministers (AEM) Retreat] ครั้งที่ ๑๙ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-คณะกรรมาธิการการค้าสหภาพยุโรป และการประชุมภาคธุรกิจอาเซียน-สหภาพยุโรป ครั้งที่ ๓ ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ณ กรุงเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ ๑๙ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับรองเอกสารมาตรการสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economics Community : AEC) ให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๕๖ และปี ๒๕๕๘ เพื่อเสนอต่อที่ประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ ๑๐ พิจารณาในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ และเห็นว่าสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์และประเทศมาเลเซียซึ่งจะเป็นประธานอาเซียนในปี ๒๕๕๗ และปี ๒๕๕๘ ควรเป็นผู้ขับเคลื่อนหลักเพื่อให้การดำเนินการสู่ AEC เป็นไปตามกำหนด รวมทั้งอาเซียนจะเริ่มหารือแนวทางการดำเนินการด้านเศรษฐกิจภายหลังปี ๒๕๕๘ เพื่อให้ผู้นำอาเซียนพิจารณาในปี ๒๕๕๘ ๒. ที่ประชุมมอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสทางเศรษฐกิจของอาเซียน (Senior Economic Officials Meetings : SEOM) และคณะกรรมการประสานงานการดำเนินการภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (Committee on ASEAN Trade in Goods Agreement : CCA) เร่งจัดทำแผนการดำเนินงานในเรื่องมาตรการที่มิใช่ภาษีของอาเซียน (Work Programme on ASEAN NTMs) รวมทั้งหารือแนวทางในการแจ้ง ประเมิน และยกเลิกอุปสรรคทางการค้า จัดตั้งกลไกดูแลมาตรการที่มิใช่ภาษีในแต่ละประเทศ และปรับปรุงฐานข้อมูลเรื่อง NTM ของอาเซียน โดยใช้ระบบการจำแนกมาตรการ NTMs ของการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (United Nations Conference on Trade and Development : UNCTAD) เพื่อให้รัฐมนตรีเศรษฐกิจพิจารณารับรองระหว่างการประชุม AEM ในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ ๓. ตามที่รัฐมนตรีเศรษฐกิจได้ลงนามความตกลงว่าด้วยการเคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดาในช่วงการประชุมผู้นำอาเซียน ครั้งที่ ๒๑ (วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕) ซึ่งความตกลงฯ กำหนดให้อาเซียนดำเนินการให้ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับภายใน ๑๘๐ วันหลังการลงนาม (วันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖) ขณะนี้อาเซียนอยู่ระหว่างการจัดทำข้อผูกพันเพื่อผนวกกับความตกลงฯ ให้แล้วเสร็จ ที่ประชุมจึงมอบหมายให้คณะทำงานด้านการค้าบริการ (Coordinating Committee on Services : CCS) ดำเนินการดังกล่าวให้แล้วเสร็จ เพื่อนำเสนอให้ที่ประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Council) ครั้งที่ ๙ ให้การรับรองในวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๖ ๔. ที่ประชุมเห็นชอบให้ภาคเอกชนหารือร่วมกันในประเด็นและข้อเสนอแนะและเสนอต่อภาครัฐก่อนเพื่อพิจารณาความจำเป็นในการจัดประชุมหารือร่วมกัน โดยในช่วงการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Ministers Meeting : AEM) ครั้งที่ ๔๕ ในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ จะมีการหารือกับภาคธุรกิจสาขาสุขภาพ นอกจากนี้ เพื่อให้เกิดการบูรณาการการทำงานร่วมกับภาคเอกชน ควรให้สภาธุรกิจของอาเซียน (ASEAN Business Council : ABAC) เป็นกลไกหลักในการดำเนินการหารือกับภาครัฐ ๕. รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนได้ลงนามพิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงด้านเศรษฐกิจอื่นที่เกี่ยวข้องกับการค้าสินค้าของอาเซียน (Protocol to Amend Certain ASEAN Economic Agreements) ซึ่งมีสาระสำคัญคือ ให้ความตกลงด้านเศรษฐกิจอื่น ๆ ดังกล่าวอ้างอิงถึงความตกลงด้านสินค้าของอาเซียนในปัจจุบัน (ASEAN Trade in Goods Agreement : ATIGA) แทนการอ้างอิงความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (Common Effective Preferential Tariff Scheme-ASEAN Free Trade Area : CEPT-AFTA)
|
||||||||||||||||||
2117 | โครงการโชห่วยช่วยชาติ "ร้านถูกใจ" | พณ | 23/04/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้ใช้เงินงบประมาณคงเหลือจากวงเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม จำนวน ๑๙๔.๗๑ ล้านบาท (งบอุดหนุน ๑๐๐.๗๒ ล้านบาท และงบดำเนินงาน ๙๓.๙๙ ล้านบาท) เพื่อเป็นงบดำเนินงานในการบริหารจัดการโครงการโชห่วยช่วยชาติ “ร้านถูกใจ” ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ศูนย์สั่งซื้อสินค้า (Call Center) ในระยะ ๓ เดือนแรก เพื่อจัดระบบการสั่งซื้อสินค้าของร้านถูกใจก่อนส่งมอบให้ภาคเอกชนที่ดำเนินการศูนย์กระจายสินค้าดำเนินการต่อไป ๑.๒ การจัดหาสินค้าที่จำเป็นในราคาต่ำกว่าราคาตลาดให้แก่ศูนย์กระจายสินค้าเพื่อจำหน่ายให้ร้านถูกใจ ๑.๓ การเชื่อมโยงสินค้าทางการเกษตรและสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ให้มีจำหน่ายในร้านถูกใจเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ประกอบธุรกิจรายย่อย ๑.๔ พัฒนาระบบสารสนเทศการบริหารร้านถูกใจและระบบบัญชี และบุคลากรในการติดตามดูแลศูนย์กระจายสินค้าและร้านถูกใจส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ๑.๕ พัฒนาเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ร้านถูกใจ ๑.๖ การบริหารจัดการโครงการ “ร้านถูกใจ” ให้มีสินค้าจำหน่ายอย่างต่อเนื่องและสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์บูรณาการการดำเนินโครงการโชห่วยช่วยชาติ “ร้านถูกใจ” ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับปรุงพัฒนาระบบการบริหารจัดการของร้านถูกใจให้ทันสมัย มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการจัดหา การกระจายและการสั่งซื้อสินค้า ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการจัดทำแผนการดำเนินงานให้ชัดเจน ปรับปรุงและสร้างระบบในการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ และหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่ทำให้จำนวนร้านถูกใจลดลง การพัฒนาระบบบริหารจัดการเพื่อส่งผ่านให้เอกชนดำเนินการต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน การพิจารณาช่องทางและระบบการกระจายสินค้าที่จะส่งผ่านให้ภาคเอกชนดำเนินการให้มีความครอบคลุมมากขึ้น โดยให้ความสำคัญกับความสามารถในการกระจายสินค้าได้ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลเพื่อลดต้นทุนค่าขนส่งของร้านค้าและจูงใจให้ร้านค้าที่มีศักยภาพเข้าร่วมโครงการฯ ได้มากขึ้น การสร้างความรู้ความเข้าใจแก่สมาชิกร้านค้ารายเดิมและรายใหม่ต่อแผนการบริหารจัดการในการดำเนินโครงการฯ ระยะยาว รวมทั้งให้ความสำคัญกับการติดตามปัญหาและให้คำแนะนำในการบริหารจัดการร้านค้าสมาชิกเพื่อให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น เป็นต้น ไปประกอบการดำเนินการต่อไป ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการดำเนินโครงการฯ เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการดำเนินโครงการด้วย (กำหนดระยะเวลา ๖ เดือน) |
||||||||||||||||||
2118 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การเตรียมความพร้อมของประเทศไทยต่อการบังคับใช้กฎหมายป่าไม้ ธรรมาภิบาล และการค้าของสหภาพยุโรป" | สสป | 09/04/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การเตรียมความพร้อมของประเทศไทยต่อการบังคับใช้กฎหมายป่าไม้ ธรรมาภิบาล และการค้าของสหภาพยุโรป" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สมาคมธุรกิจไม้ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. มาตรการระยะเร่งด่วน ในระยะ ๒ เดือน (สิงหาคม-กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๕) เร่งดำเนินการเปิดเจรจาระหว่างผู้แทนประเทศไทยกับผู้แทนสหภาพยุโรป เพื่อรับทราบแนวทาง การจัดทำข้อตกลงการเป็นหุ้นส่วนด้วยความสมัครใจ เพื่อลดผลกระทบ จากมาตรการที่จะมีผลบังคับใช้ในเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยมอบให้รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ รับหน้าที่ในการขับเคลื่อน เร่งรัด การดำเนินงานของคณะกรรมการเจรจา EU-FLEGT อย่างเร่งด่วน เพื่อให้ทันต่อการบังคับใช้ ๒. มาตรการระยะกลาง ในระยะ ๖ เดือน (ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๕-มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๖) โดยยกระดับความสำคัญให้คณะทำงานที่ปฏิบัติหน้าที่ในการเจรจาทำข้อตกลง ให้เป็นภารกิจเร่งด่วน มีบุคลากรเหมาะสมและมีความต่อเนื่องในการดำเนินการ ทั้งนี้ มอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ และกรมส่งเสริมการส่งออก เร่งปฏิบัติตามข้อเจรจา พร้อมทั้งสนับสนุนงบประมาณให้กับหน่วยงานที่ต้องดำเนินการมีงบประมาณเพียงพอในภารกิจสำหรับการเจรจาและการปฏิบัติงานตามข้อเจรจา และส่งเสริมให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องรับทราบ และเข้าใจสาระสำคัญของข้อตกลง ๓. มาตรการระยะยาว (ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป) โดยเตรียมความพร้อมของประเทศไทยให้พร้อมรับมาตรการที่ประเทศคู่ค้าในภูมิภาคต่าง ๆ ที่นอกเหนือจากสหภาพยุโรปจะกำหนดมาตรการในลักษณะเดียวกันมาบังคับใช้ เพื่อให้ประเทศไทยคงศักยภาพในการแข่งขันในธุรกิจไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ได้ยั่งยืน และภาครัฐต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดเพื่อคุ้มครองและรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้ยั่งยืนต่อไป
|
||||||||||||||||||
2119 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (จำนวน 4 ราย 1. นายภาคิน สมมิตร ฯลฯ) | พณ | 09/04/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม จำนวน ๔ ราย ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๙ เมษายน ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. นายภาคิน สมมิตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการตลาด ๒. พันตรี วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการพาณิชย์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการตลาด ๓. นายกนก คติการ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการผลิต ๔. พันตำรวจโท ไพโรจน์ ปัญจประทีป ประธานกรรมการองค์การคลังสินค้า เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารจัดการ
|
||||||||||||||||||
2120 | การขออนุมัติงบประมาณในการเข้าร่วมงาน Universal Exhibition Milano 2015 | กษ | 31/03/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับเรื่อง การขออนุมัติงบประมาณในการเข้าร่วมงาน Universal Exhibition Milano 2015 ไปพิจารณาทบทวนร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับรูปแบบ สารัตถะ และรายละเอียดของงบประมาณค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมงานดังกล่าว ให้เหมาะสม คุ้มค่า และเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศไทย โดยให้นำความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้เสนอคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) พิจารณาโดยด่วน ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
.....