ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 101 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 2001 - 2020 จากข้อมูลทั้งหมด 6672 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2001 | การลงนามความตกลงด้านการค้าบริการ และความตกลงด้านการลงทุน ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับสาธารณรัฐอินเดีย | พณ | 05/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบและอนุมัติการลงนามความตกลงด้านการค้าบริการ และความตกลงด้านการลงทุน ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับสาธารณรัฐอินเดีย ในช่วงการประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลก (Ministerial Conference) ซึ่งกำหนดจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๓-๖ ธันวาคม ๒๕๕๖ ก่อนนำเสนอความตกลงทั้งสองฉบับเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาตามมาตรา ๑๙๐ เพื่อให้ความเห็นชอบเพื่อผูกพันประเทศไทยต่อไป ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ได้รับมอบหมายอื่น เป็นผู้ลงนามความตกลงทั้ง ๒ ฉบับ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญในความตกลงทั้ง ๒ ฉบับ มอบให้ผู้ลงนามเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรี ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ได้รับมอบหมายอื่นลงนามความตกลงทั้ง ๒ ฉบับ ๑.๔ เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบความตกลงทั้ง ๒ ฉบับแล้ว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินกระบวนการภายในประเทศเพื่ออนุวัติให้เป็นไปตามความตกลงทั้ง ๒ ฉบับ และให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งเลขาธิการอาเซียนว่าประเทศไทยได้ดำเนินการตามกระบวนการภายในเสร็จสิ้นแล้ว เพื่อให้ความตกลงทั้งสองฉบับมีผลใช้บังคับ ๒. ให้แก้ไขตารางข้อผูกพันในความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับสาธารณรัฐอินเดียตามความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งสร้างความเข้าใจให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องโดยเร็วเพื่อให้สามารถดำเนินกระบวนการภายในประเทศเพื่ออนุวัติให้เป็นไปตามความตกลงฯ ได้ทันตามกำหนดเวลา รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการภาคเอกชนทราบเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
2002 | ร่างแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยโครงการความร่วมมือของรัฐบาลในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านรถไฟโดยแลกเปลี่ยนกับสินค้าเกษตรจากประเทศไทย (Joint Statement on the Governmental Cooperation Project on the Railway Infrastructure Development in Exchange of Agricultural Products from Thailand) | คค | 05/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการหารือระหว่างฝ่ายไทยและฝ่ายจีนเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างสองประเทศในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านรถไฟโดยแลกเปลี่ยนกับสินค้าเกษตรจากประเทศไทยซึ่งเป็นการดำเนินการภายใต้บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านรถไฟในประเทศไทยโดยแลกเปลี่ยนกับสินค้าเกษตรจากประเทศไทย (ลงวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๖) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ในการดำเนินการตามผลการหารือดังกล่าว ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||
2003 | การลงนามในร่างพิธีสารสรุปความตกลงเปิดตลาดทวิภาคีระหว่างประเทศไทยและเซเชลส์ภายใต้กระบวนการภาคยานุวัติเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกของเซเชลส์ | พณ | 01/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในสารัตถะของร่างพิธีสารสรุปความตกลงเปิดตลาดทวิภาคีระหว่างประเทศไทยและเซเชลส์ภายใต้กระบวนการภาคยานุวัติเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกของเซเชลส์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประเทศไทยเร่งรัดกระบวนการลงนามในพิธีสารสรุปความตกลงฯ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ประเทศอื่น ๆ เข้าใจผิดว่าการดำเนินการล่าช้าของประเทศไทยมีวัตถุประสงค์เพื่อกีดกันการเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกของเซเชลส์ ๑.๒ ให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลก หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในพิธีสารฯ ๒. ทั้งนี้ ไม่ต้องจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามพิธีสารฯ ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓.ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการทราบและศึกษากฎ ระเบียบ และมาตรการทางด้านการค้าและการลงทุนของเซเชลส์ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากข้อตกลงทางการค้าได้โดยไม่เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
2004 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 5/2556 | นร11 | 01/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ จังหวัดลพบุรี ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ ณ จังหวัดลพบุรี และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย) ๒.๑.๑ การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ๒.๑.๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกันเพื่อปรับปรุงรายละเอียดของโครงการส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรและยกระดับการผลิตอาหารปลอดภัยครบวงจรในพื้นที่ ๔ จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดลพบุรี ชัยนาท สิงห์บุรี และอ่างทอง ให้มีความชัดเจน โดยพิจารณาใช้ประโยชน์จากงานวิจัยที่มีอยู่ของหน่วยงานต่าง ๆ เช่น สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็นต้น ๒.๑.๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการจัดตั้งโครงการแปรรูปเถ้าแกลบ โดยพิจารณาใช้ประโยชน์จากงานวิจัยของหน่วยงานต่าง ๆ เป็นพื้นฐานในการดำเนินการ ๒.๑.๑.๓ ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นเจ้าภาพร่วมในการขับเคลื่อนการบริหารจัดการขยะในชุมชน เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการโครงการฯ ได้อย่างยั่งยืน โดยเชื่อมโยงกลไกดำเนินการที่มีอยู่ในพื้นที่ และสร้างกระบวนการให้ท้องถิ่นและชุมชนมีส่วนร่วมดำเนินโครงการฯ ให้เป็นโครงการนำร่องและขยายผลการดำเนินงานในพื้นที่ที่มีศักยภาพต่อไป ๒.๑.๑.๔ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง และกระทรวงพลังงานพิจารณาความเป็นไปได้ในการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่กิจการด้านการส่งเสริมพลังงานทดแทนเป็นกรณีพิเศษ โดยคำนึงถึงการใช้ประโยชน์พื้นที่ ความเหมาะสมของอุตสาหกรรม ผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสิทธิของประชาชนและชุมชนในการดำเนินโครงการฯ ๒.๑.๒ การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ๒.๑.๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอของภาคเอกชนไปประกอบการพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินโครงการ ได้แก่ โครงการทางหลวง ๔ ช่องจราจร ทางหลวงแนวใหม่สายทางหลวงหมายเลข ๓๑๙๕ บรรจบทางหลวงหมายเลข ๓๒ (ทางเลี่ยงเมืองอ่างทอง), โครงการขยายถนน ๔ ช่องจราจร ทางเลี่ยงเมืองลพบุรี (ทางหลวงหมายเลข ๓๖๖) ระยะทาง ๑๙ กิโลเมตร, โครงการก่อสร้างทางเลี่ยงเมืองลพบุรีด้านเหนือ ๔ ช่องจราจร ระยะทาง ๑๓ กิโลเมตร, โครงการเชื่อมโยงโครงข่ายระหว่างจังหวัด โดยการขยายช่องการจราจรเป็น ๔ ช่องจราจร ตลอดเส้นทาง รวม ๒ เส้นทาง และการปรับปรุงทางแยกต่างระดับชัยนาทที่ถนนสายเอเชีย (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๒) (กม. ๑๓๑+๕๙๕) ตามความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อขอรับการจัดสรรจัดงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนปกติต่อไป ๒.๑.๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินโครงการศึกษาทางหลวงแนวใหม่ ๔ ช่องจราจร แยกทางหลวงหมายเลข ๓๒ ทางเลี่ยงเมืองลพบุรี (๓๖๖) ระยะทาง ๒๕ กิโลเมตร ในรายละเอียดเพิ่มเติม ๒.๑.๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคมประสานสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณในการดำเนินโครงการศึกษาสร้างเกาะกลางแบบยกตัว ถนนพหลโยธิน (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑) ตรงสี่แยกเข้าชัยนาท-บ้านกล้วย กม. ๒๘๐+๕๗๘ (แยกหลวงพ่อโอ-ท่าน้ำอ้อย) ระยะทาง ๒๔.๙๘๔ กิโลเมตร ๒.๑.๓ การส่งเสริมการท่องเที่ยว ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปศึกษาในรายละเอียดของการดำเนินโครงการและขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากงบจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้มุ่งเน้นการส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวควบคู่ไปด้วย และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชนที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการโครงการฯ ๒.๑.๔ ข้อเสนอของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ เกี่ยวกับรายงานการติดตามความคืบหน้าประเด็นข้อเสนอตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๑-๗/๒๕๕๕ และครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับประเด็นข้อเสนอในกลุ่มที่ ๑ กลุ่มที่มีความสำคัญยิ่งและต้องดำเนินการขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วนไปประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเสนอที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่อไป รวมทั้งให้คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบันเป็นแกนหลักร่วมติดตามความคืบหน้าประเด็นข้อเสนอในกลุ่มที่ดำเนินการแล้วตามมติคณะรัฐมนตรีจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.๑.๕ เรื่องอื่น ๆ เสนอโดยสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๒.๑.๕.๑ การปรับการขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนให้เป็นศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ ให้กระทรวงพลังงานรวมกับกระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการเพื่อเร่งรัดการปรับปรุงกฎหมายเพื่อลดความซ้ำซ้อน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๖ ๒.๑.๕.๒ การขอให้ปรับอัตราส่วนเพิ่มให้กับโรงไฟฟ้าชุมชนจากพลังงานทดแทนขนาดไม่เกิน ๑ เมกะวัตต์ ให้กระทรวงพลังงานเร่งรัดการประกาศใช้อัตรารับซื้อไฟฟ้าพลังงานทดแทนแบบ Feed-in-Tariff (FiT) ของแต่ละประเภทของพลังงานทดแทนที่ชัดเจนโดยเร็ว โดยพิจารณาร่วมกับภาคเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนให้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าชุมชนมากขึ้น ๒.๑.๕.๓ โครงการคูปองนวัตกรรมเพื่อพัฒนาขีดความสามารถ SMEs ไทยสู่ประชาคมอาเซียน ระยะที่ ๒ (Innovation Coupon for SMEs) ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศึกษารายละเอียดการดำเนินโครงการฯ ระยะที่ ๒ โดยนำผลการประเมินโครงการฯ ระยะที่ ๑ มาประกอบการพิจารณา และเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๕.๔ ข้อเสนอความเห็นต่อการเจรจาขยายขอบเขตความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้า IT (ITA Expansion) ของประเทศไทย ให้กระทรวงพาณิชย์นำเรื่องการทบทวนการเข้าร่วมการเจรจาขยายขอบเขตความตกลงฯ โดยปรับรายการสินค้าตามหลักและเจตนารมณ์ของรายการสินค้า IT ให้ชัดเจน เพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศพิจารณาตามขั้นตอน ๒.๑.๕.๕ ข้อเสนอความคิดเห็นต่อกฎกระทรวงกำหนดจำนวนคนพิการที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าทำงาน ให้คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน หารือร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงแรงงานรับข้อเสนอความคิดเห็นต่อกฎกระทรวงภายใต้พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ ในการกำหนดอัตราการจ้างงานคนพิการของนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการเพื่อให้ได้ข้อสรุปร่วมกัน ทั้งนี้ ให้หน่วยงานของรัฐวิสาหกิจให้ความร่วมมือในการรับคนพิการเข้าทำงานเช่นเดียวกับภาคเอกชนด้วย ๒.๑.๕.๖ โครงการ “ทางรถไฟสายอันดามัน” ให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอของภาคเอกชนไปเร่งรัดดำเนินการในเส้นทางที่ได้ทำการศึกษารายละเอียดไว้แล้ว และพิจารณาศึกษาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการขยายโครงข่ายระบบรางให้เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านตามแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชุมชนและการยอมรับจากประชาชนในพื้นที่ด้วย ๒.๑.๕.๗ โครงการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนเพื่อลดความสูญเสียจากกลุ่มอาการตายด่วน (Early Mortality Syndrome : EMS) และเพิ่มศักยภาพการผลิตสินค้ากุ้งทะเล ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมง ร่วมกับภาคเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอโครงการฯ และเพิ่มศักยภาพการผลิตสินค้ากุ้งทะเลไปพิจารณาในการวางแนวทางในการบริหารจัดการโครงการฯ ให้มีความชัดเจน สามารถแก้ไขปัญหาได้โดยเร็ว ๒.๑.๕.๘ กฎหมายป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีของสหรัฐอเมริกา (Foreign Account Tax Compliance Act : FATCA) ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการผลักดันกรอบการเจรจา Intergovernmental Agreement (IGA) เรื่องกฎหมายป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีของสหรัฐอเมริการะหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสหรัฐอเ
|
||||||||||||||||||
2005 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงพลังงานแห่งสหพันธรัฐรัสเซียว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงาน | พน | 01/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงพลังงานแห่งสหพันธรัฐรัสเซียว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงาน โดยมีสาระสำคัญที่ระบุสาขาความร่วมมือด้านพลังงาน ได้แก่ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน ไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียนและพลังงานทางเลือก และความร่วมมืออื่น ๆ ที่เห็นชอบร่วมกัน และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน) เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้กระทรวงพลังงานหารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ร่างบันทึกความเข้าใจฯ ไม่ต้องจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ตามความเห็นชอบของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา |
||||||||||||||||||
2006 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนกันยายน 2556 | พณ | 29/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนกันยายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนกันยายน ๒๕๕๖ เทียบกับเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๖ (เดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ ลดลงร้อยละ ๐.๐๑) จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๖ จากการสูงขึ้นของราคาหมวดไข่และผลิตภัณฑ์นม หมวดเครื่องประกอบอาหาร หมวดเนื้อสัตว์ เป็ดไก่ และสัตว์น้ำ หมวดข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง และหมวดอาหารสำเร็จรูป สำหรับดัชนีราคาหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๕ จากการสูงขึ้นของหมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ หมวดเคหสถาน หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า และหมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล ๒. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนกันยายน ๒๕๕๖ เทียบกับเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๙ สินค้าและบริการที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ หมวดอาหารสำเร็จรูป หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า หมวดเคหสถาน หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล และหมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์
|
||||||||||||||||||
2007 | ขออนุมัติการจัดทำความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ | กต | 22/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการจัดทำและเห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ (Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Republic of the Union of Myanmar on Visa Exemption for Holders of Ordinary Passports) โดยความตกลงฯ มีสาระสำคัญเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนและส่งเสริมความสัมพันธ์ด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศ โดยยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาเฉพาะที่ท่าอากาศยานตามที่แต่ละฝ่ายกำหนดในระยะเริ่มต้น (โดยไม่ครอบคลุมถึงการเดินทางเข้า-ออกทางจุดผ่านแดนถาวรตามแนวชายแดน) เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบและคัดกรองบุคคล ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในความตกลงฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของราชอาณาจักรไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักข่าวกรองแห่งชาติ เกี่ยวกับการจัดทำความตกลงฯ ควรต้องคำนึงถึงประเด็นด้านความมั่นคงและการเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างรอบคอบ การเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น การใช้ช่วงเวลาที่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือไทย-เมียนมาร์ (Joint Commission : JC) ครั้งที่ ๗ ที่เมืองหลวงเนปิดอว์ ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ในการลงนามความตกลงฯ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
2008 | ขอจัดสรรงบประมาณค่าใช้จ่ายในการขายข้าวสารที่ใช้ไปในโครงการตามนโยบายของรัฐบาล | พณ | 22/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ที่อนุมัติงบประมาณเพื่อชดเชยส่วนต่างของราคาที่ได้รับอนุมัติให้จำหน่ายกับราคาตลาดจากการดำเนินโครงการข้าวสารบริจาค ข้าวสารธงฟ้า และข้าวสารจำหน่ายให้องค์กรของรัฐ ในวงเงิน ๗,๐๔๘.๑๕ ล้านบาท ซึ่งเป็นการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลที่ทำให้มีการส่งมอบและ/หรือการจำหน่ายข้าวในสต็อกของโครงการรับจำนำที่มีระดับราคาต่ำกว่าราคาตลาด ตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๖ โดยให้จัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปี ๒๕๕๗ และให้ขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ในระยะต่อไปหากมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการในลักษณะดังกล่าว ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการ และขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอน ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ๒. การเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อการชดเชยส่วนต่างราคาตามที่ได้รับอนุมัติในข้อ ๑ ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณและเบิกจ่ายงบประมาณตามจำนวนที่จะต้องชดเชยจริงภายในวงเงินที่ได้รับอนุมัติดังกล่าวต่อไป ๓. ให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือเป็นหลักปฏิบัติว่าในกรณีที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานใดมีความจำเป็นต้องจัดหาสินค้าเพื่อการอุปโภคและบริโภคชนิดต่าง ๆ ที่มีอยู่ในสต็อกของรัฐบาล (เช่น ข้าวสาร เป็นต้น) เพื่อนำไปใช้ช่วยเหลือหรือแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนตามนโยบายรัฐบาล (เข่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบอุทกภัย กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ จัดจำหน่ายข้าวสารราคาถูกแก่ประชาชน และกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม จัดหาข้าวสารเพื่อใช้จัดเลี้ยงผู้ต้องขัง เป็นต้น) ให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานนั้น ๆ ดำเนินการจัดหาโดยใช้จ่ายจากงบประมาณที่หน่วยงานได้รับการจัดสรรแล้ว หรือดำเนินการเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อการดังกล่าวไว้ที่หน่วยงานของตน โดยรายละเอียดในการเบิกจ่ายให้ขอตกลงกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||
2009 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การพัฒนาท่าเรือน้ำลึกปากบารา" | สสป | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การพัฒนาท่าเรือน้ำลึกปากบารา" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรมเจ้าท่า กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร การรถไฟแห่งประเทศไทย การท่าเรือแห่งประเทศไทย การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา สรุปได้ ดังนี้
๑. แต่งตั้งหน่วยงานให้ทำหน้าที่หลักในการกำหนดทิศทางการพัฒนาโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบาราให้ชัดเจนว่าจะดำเนินโครงการต่อไปอย่างไร และจะมีโครงการเกี่ยวเนื่องอะไรที่เป็นข้อกังวลของภาคประชาชน ๒. มอบให้หน่วยงานที่มีหน้าที่ในการกำหนดทิศทาง นโยบาย ยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศ เช่น สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นหน่วยงานในการกำหนดทิศทาง ยุทธศาสตร์ แผนพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ของรัฐในภาคใต้ให้ชัดเจน โดยเปิดโอกาสให้ภาคประชาชน ผู้เกี่ยวข้อง นักวิชาการ มีส่วนร่วมตั้งแต่เริ่มจนแล้วเสร็จ ๓. จัดตั้งคณะกรรมการสื่อสารประชาสัมพันธ์ข้อมูลการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ขึ้น โดยมีหน้าที่ในการสื่อสารประชาสัมพันธ์ข้อมูลแนวนโยบายของรัฐ แนวทางและแผนการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ทั้งหมดของหน่วยราชการทุกหน่วย โดยจะต้องสื่อสารและประชาสัมพันธ์ข้อมูลตามความเป็นจริงทั้งในด้านบวกและลบ และอยู่บนหลักการที่ถูกต้องอย่างจริงใจ ทั้งนี้ คณะกรรมการควรประกอบด้วยหน่วยงานที่สามารถประสานกระทรวงต่าง ๆ ที่มีโครงการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ คือ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นหน่วยงานหลักในการทำหน้าที่นี้และหน่วยงานราชการอื่นที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนภาคเอกชน และภาคประชาชนเข้าร่วมด้วย และควรมีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเหมือนกับคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Seaboard) ที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว ๔. เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนผู้มีส่วนได้เสีย ในพื้นที่โดยรอบซึ่งเป็นที่ตั้งของท่าเรือน้ำลึกปากบาราให้เข้ามามีส่วนร่วม ตั้งแต่เริ่มต้นจนสามารถเปิดดำเนินการให้บริการแล้วอย่างเต็มที่ โดยกำหนดให้มีกลไกการมีส่วนร่วมของประชาชนในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้ชัดเจน โดยใช้แนวทางการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment : SEA) ๕. โครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบารา ระยะที่ ๑ ที่ได้รับความเห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA) ไปแล้วนั้น สมควรที่จะต้องมีการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ (Environmental and Health Impact Assessment : EHIA) ตามกฎหมายใหม่ ๖. ให้กำหนดระยะการพัฒนาในภาพรวมให้ชัดเจน พร้อมทั้งระบุระยะการพัฒนาในแต่ละเฟสให้ชัดเจนด้วย โดยให้พัฒนาในเฟสแรกก่อน และเมื่อมีความจำเป็นต้องพัฒนาในระยะต่อไป ให้ประเมินความพร้อมและความคุ้มค่า รวมทั้งจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามกฎหมายก่อน ๗. ต้องมีการบูรณาการระบบการคมนาคมขนส่งเชื่อมโยงพื้นที่ของภาคต่าง ๆ กับท่าเรือน้ำลึกปากบาราอย่างชัดเจน มีมาตรการรองรับและสนับสนุนทั้งโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภคต่าง ๆ ที่จำเป็น รวมถึงกฎหมาย ระเบียบที่เอื้อต่อการลงทุน และการดำเนินโครงการมีมาตรการชดเชย เยียวยา การอุดหนุนต่าง ๆ เพื่อผลักดันการเปลี่ยนโหมดการขนส่งมาใช้ท่าเรือน้ำลึกปากบารา ๘. ต้องมีหลักประกันให้แก่ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบาราเป็นลำดับแรกด้วยการจัดหาพื้นที่รองรับการย้ายถิ่นฐานของชุมชน มีการพัฒนาที่ดิน พัฒนาอาชีพ มีระบบโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค-สาธารณูปการ การสาธารณสุข การศึกษา อย่างต่อเนื่องเป็นธรรมและมีส่วนร่วมของประชาชน ๙. การพัฒนาท่าเรือน้ำลึกปากบารา ให้คำนึงถึงการใช้เทคโนโลยีที่มีความทันสมัยและประสิทธิภาพสูง รวมทั้งระบบการบริหารท่าเรือสมัยใหม่ที่มีประสิทธิภาพในระดับสากล โดยปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Mitigation Plan : EIMP) และอื่น ๆ ที่เสนอในรายงาน EIA และหรือรายงาน EHIA อย่างเคร่งครัด ๑๐. ต้องมีมาตรการจูงใจส่งเสริมสนับสนุนให้มีการใช้ประโยชน์จากท่าเทียบเรือน้ำลึกปากบาราอย่างเต็มศักยภาพ ส่งเสริมให้มีปริมาณสินค้าที่มากพอที่เรือทางยุโรปจะเข้าเทียบท่า รวมทั้งมีมาตรการส่งเสริมการใช้ท่าเรือ เช่น การคิดค่าธรรมเนียมการใช้ท่าเรือที่ต่ำกว่าท่าเรือใกล้เคียง การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่สินค้าที่ใช้ท่าเรือน้ำลึกปากบารา เป็นต้น ๑๑. ให้ความสำคัญกับท่าเรือน้ำลึกปากบาราในด้านความมั่นคงของชาติด้วย
|
||||||||||||||||||
2010 | การช่วยเหลือเกษตรกรเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 | พณ | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเพิ่มวงเงินที่ใช้ในการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ อีกจำนวน ๖,๖๖๐ ล้านบาท (คำนวณจากปริมาณรับจำนำที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ ๔๒๕,๐๐๐-๔๕๐,๐๐๐ ตัน คูณราคารับจำนำข้าวเปลือก ๕% ตันละ ๑๔,๘๐๐ บาท) โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สำรองจ่ายไปพลางก่อน ในวงเงิน ๖,๖๖๐ ล้านบาท โดยชดเชยต้นทุนเงินในอัตรา FDR+1 และให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณเพื่อชำระคืนต้นเงิน จำนวน ๖,๖๖๐ ล้านบาท ให้ ธ.ก.ส. ต่อไป เนื่องจากเกษตรกรนำข้าวเปลือกมาเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ภายในกรอบระยะเวลาการรับจำนำที่กำหนดคือ ไม่เกินวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือเกษตรกรด้านการพัฒนาคุณภาพข้าวและการแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากข้าว รวมทั้งควรมีแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรที่ยากจนและไม่มีข้าวเหลือขาย ที่ไม่มีโอกาสเข้าร่วมโครงการฯ โดยเน้นการพัฒนาประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่เกษตรกรอย่างเป็นธรรมและทั่วถึง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
2011 | แนวทางการแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตร | นร05 | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตร ดังนี้
๑. ให้มีบุคคล (รัฐมนตรี) ที่รับผิดชอบในการติดตามสถานการณ์การดำเนินมาตรการต่าง ๆ รวมทั้งเป็นผู้ประสานงานกิจการด้านสินค้าเกษตรในแต่ละประเภทที่สำคัญ ๆ ตั้งแต่ในขั้นตอนการผลิต การแปรรูป ตลอดจนเสถียรภาพของราคา ให้เชื่อมโยงตั้งแต่ไร่นาจนถึงผู้บริโภค และการส่งออก ได้แก่ ๑.๑ ข้าว นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๑.๒ ข้าวโพด นายยรรยง พวงราช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ๑.๓ มันสำปะหลัง นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ๑.๔ อ้อย นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ๑.๕ ยางพารา นายยุคล ลิ้มแหลมทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๒. ให้รัฐมนตรีทั้ง ๕ ท่านดังกล่าวทำหน้าที่รวบรวมข้อมูล และประสานการดำเนินงานกับรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตรแต่ละชนิด โดยภารกิจหลักในการดำเนินมาตรการต่าง ๆ ยังคงเป็นความรับผิดชอบของรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่ปกติ
|
||||||||||||||||||
2012 | การเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 21 การประชุมสุดยอดอาเซียนและการประชุมที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ 23 | นร04 | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีรายงานว่าในระหว่างวันที่ ๖-๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๖ ได้เดินทางไปร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๑ ณ เมืองบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และเข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียนและการประชุมที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ ๒๓ ณ กรุงบันดาร์เสรีเบกาวัน บรูไนดารุสซาลาม และให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับประเด็นการประชุมดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปซึ่งผลการประชุมสรุปได้ ดังนี้
๑. การเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๑ มีประเด็นหารือสำคัญ ๓ ประเด็น คือ ๑.๑ การบรรลุเป้าหมายโบกอร์ (Attaining the Bogor Goals) ซึ่งกำหนดให้ประเทศที่พัฒนาแล้วเปิดเสรีการค้าการลงทุนภายในปี ค.ศ. ๒๐๒๐ โดยเป็นเป้าหมายตามความสมัครใจสำหรับประเทศไทยต้องเร่งรัดดำเนินการให้ทันภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ๑.๒ การเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยความเท่าเทียม (Sustainable Growth with Equity) โดยประเทศที่พัฒนาแล้วควรพิจารณาให้ความช่วยเหลือและสิทธิพิเศษแก่ประเทศที่ยังพัฒนาไม่ทันประเทศอื่นด้วย ๑.๓ การส่งเสริมความเชื่อมโยงภูมิภาค (Promoting Connectivity) ทั้งในด้านการขนส่งทางน้ำ ทางบก และทางอากาศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่ไม่มีทางออกทางทะเลเพื่อลดต้นทุนการขนส่ง รวมถึงการลงทุนทางด้านโครงสร้างพื้นฐานและความมั่นคงทางด้านอาหาร ด้านน้ำ และด้านพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (green energy) โดยประเทศไทยได้รับการยอมรับให้เป็นแหล่งสำรองอาหารของโลก ๒. การเข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียนและการประชุมที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ ๒๓ ทุกประเทศมีความเห็นตรงกันว่า ในอนาคตต้องพิจารณาว่าภายหลังการรวมตัวกันเป็นประชาคมอาเซียนแล้ว (Post ASEAN) ในปี ๒๐๑๕ ทุกประเทศจะต้องดำเนินการอย่างไรบ้างเพื่อให้เกิดความร่วมมือกันในด้านต่าง ๆ และความมั่นคงในภูมิภาคมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ในส่วนของประเทศไทยได้ผลักดันเรื่องความมั่นคงทางอาหารและการจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือภัยพิบัติ โดยเฉพาะการมีข้าวสำรองกรณีเกิดภัยพิบัติและส่งเสริมความร่วมมือด้านเทคโนโลยีเพื่อนำมาใช้ในการดูแลการเก็บอาหารสำรอง การส่งเสริมพลังงานสีเขียว นอกจากนี้ ไทยมีบทบาทในฐานะผู้ประสานงานอาเซียน-จีน เกี่ยวกับในเรื่องทะเลจีนใต้ (South China Sea) ซึ่งหลายประเทศมีความเห็นตรงกันที่ต้องการให้การเดินเรือในทะเลจีนใต้เป็นไปโดยเสรีและปลอดภัย นอกจากนี้ ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหประชาชาติ เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินความสัมพันธ์ในอนาคต โดยเน้นเกี่ยวกับความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม การส่งเสริมสิทธิมนุษยชน และการพัฒนาภายหลังจากปี ค.ศ. ๒๐๑๕ ในการนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำสรุปภารกิจหลักของแต่ละส่วนราชการที่จะต้องดำเนินการเพื่อรองรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (Asean Economic Community : AEC) และการพัฒนาภายหลังจากปี ๒๐๑๕ แล้วจัดส่งให้แต่ละส่วนราชการเพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||
2013 | การรายงานผลการดำเนินงานมาตรการแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบ ปี 2557 มาตรการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 2556/57 และโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2556/57 ตามมติคณะรัฐมนตรี | กษ | 08/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร รายงานผลการดำเนินการมาตรการแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบปี ๒๕๕๗ มาตรการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี ๒๕๕๖/๕๗ และโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๖/๕๗ โดยผลการดำเนินงาน ณ วันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๕๖ ของกรมส่งเสริมการเกษตรซึ่งมีหน้าที่ในการรับขึ้นทะเบียนเกษตรกร ประชาคม และออกใบรับรองให้กับเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และข้าว ในปี ๒๕๕๖/๕๗ ดังนี้ ๑.๑ ยางพารา เกษตรกรแจ้งขึ้นทะเบียนแล้ว จำนวน ๕๗๕,๒๔๑ ครัวเรือน รับขึ้นทะเบียนและบันทึกในระบบสารสนเทศเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราแล้ว จำนวน ๒๑๖,๔๑๓ ครัวเรือน พื้นที่ปลูก ๓,๑๔๑,๕๗๒ ไร่ พื้นที่เปิดกรีด ๒,๕๓๖,๓๘๐ ไร่ ส่งรายชื่อให้คณะกรรมการตรวจสอบพื้นที่เปิดกรีดระดับตำบลดำเนินการแล้ว จำนวน ๓,๗๙๒ ครัวเรือน พื้นที่ปลูก ๔๓,๗๖๗ ไร่ พื้นที่เปิดกรีด ๓๘,๔๓๕ ไร่ ๑.๒ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เกษตรกรขึ้นทะเบียนแล้ว จำนวน ๑๓๕,๘๔๙ ครัวเรือน พื้นที่ ๒,๔๒๕,๘๑๐ ไร่ ผลผลิต ๑,๗๓๕,๔๒๗ ตัน เกษตรกรผ่านประชาคม จำนวน ๒๘,๕๘๔ ครัวเรือน พื้นที่ ๕๘๓,๐๗๓ ไร่ ผลผลิต ๔๐๔,๕๓๐ ตัน (คิดเป็นร้อยละ ๒๑.๐๔ ของจำนวนครัวเรือนที่ขึ้นทะเบียน) ออกใบรับรอง ๒๓,๐๓๘ ครัวเรือน พื้นที่ ๔๔๑,๘๒๗ ไร่ ผลผลิต ๓๐๖,๓๓๒ ตัน (คิดเป็นร้อยละ ๘๐.๖๐ ของจำนวนครัวเรือนที่ผ่านการประชาคม) ๑.๓ ข้าว เกษตรกรขึ้นทะเบียนแล้ว จำนวน ๒,๓๔๓,๘๒๔ ครัวเรือน พื้นที่ ๔๑,๘๙๙,๐๘๐ ไร่ ผลผลิต ๑๗,๘๕๔,๗๐๘ ตัน เกษตรกรผ่านประชาคม จำนวน ๓๘,๗๙๙ ครัวเรือน พื้นที่ ๘๕๓,๓๓๓ ไร่ ผลผลิต ๔๘๓,๐๘๖ ตัน (คิดเป็นร้อยละ ๑.๖๖ ของจำนวนครัวเรือนที่ขึ้นทะเบียน) ออกใบรับรอง ๑๙,๒๘๙ ครัวเรือน พื้นที่ ๓๙๘,๑๓๙ ไร่ ผลผลิต ๒๓๙,๐๗๓ ตัน (คิดเป็นร้อยละ ๔๙.๗๒ ของจำนวนครัวเรือนที่ผ่านการประชาคม) ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเร่งดำเนินมาตรการการแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบ ปี ๒๕๕๗ โดยเร็ว เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวนยาง การเข้มงวดต่อการตรวจสอบสิทธิ์ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และข้าวที่เข้าร่วมโครงการเพื่อป้องกันการสวมสิทธิและการบุกรุกป่า การเร่งรัดดำเนินการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อให้ความช่วยเหลือเกษตรกรโดยเร็ว โดยดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง การเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเอกสารสิทธิ์และสิทธิครอบครองประกอบการออกใบรับรองเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และข้าวแก่เกษตรกรอย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง การประเมินผลสำเร็จการดำเนินโครงการเพื่อใช้เป็นแนวทางในการช่วยเหลือเกษตรกรที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในระยะต่อไป รวมทั้งการเตรียมความพร้อมและการปรับตัวของเกษตรกรในการรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนในปี ๒๕๕๘ นอกจากนี้ ควรเพิ่มการรายงานการป้องกันปัญหาการทุจริตในกระบวนการขึ้นทะเบียนและการทำประชาคม ตลอดจนผลจากการปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินงานของโครงการให้มีความรัดกุมมากขึ้น และการนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการพัฒนาและปรับปรุงระบบฐานข้อมูลเกษตรกรให้มีความถูกต้องและเป็นปัจจุบันเพื่อให้การลงทะเบียนต่างๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ลดระยะเวลาในการตรวจสอบในระดับพื้นที่ ซึ่งจะช่วยป้องกันเรื่องการสวมสิทธิได้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
2014 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการแก้ไขปัญหาเรื่องข้าวอย่างยั่งยืน" | สสป | 08/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการแก้ไขปัญหาเรื่องข้าวอย่างยั่งยืน"และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สมาคมที่เกี่ยวข้องกับข้าว และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านการผลิต ๑.๑ การบริหารจัดการพื้นที่ปลูกข้าว ได้แก่ การจัดพื้นที่การทำนาให้เพียงพอ เร่งผลักดันการออกโฉนดชุมชน การจัดโซนนิ่ง (Zoning) กำหนดเขตพื้นที่เพาะปลูกตามความเหมาะสม วิจัยและพัฒนาปัจจัยการผลิตที่สำคัญ ใช้เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศในการจัดทำข้อมูลการเพาะปลูกข้าว ๑.๒ การจัดการต้นทุนการผลิต ได้แก่ ลดการใช้ปุ๋ยและสารเคมี การเพิ่มผลผลิตต่อไร่ การลดต้นทุนการขนส่ง ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์เพื่อลดต้นทุนการผลิต สนับสนุนและส่งเสริมศูนย์พันธุ์ข้าวชุมชน ส่งเสริมและสนับสนุนให้แรงจูงใจในการทำเกษตรอินทรีย์ ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการเกษตร เพื่อนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม ส่งเสริมให้ชุมชนใช้ระบบสหกรณ์และระบบวิสาหกิจชุมชน โดยมีรัฐเป็นผู้ให้คำชี้แนะและช่วยผลักดัน ส่งเสริมระบบสหกรณ์อย่างจริงจัง ส่งเสริมให้ใช้ปัจจัยการผลิตร่วมกัน ทั้งในด้านเครื่องจักรกล แรงงาน และส่งเสริมการรวมที่ดินโดยรวมกลุ่มเกษตรกรทำนาร่วมกัน ๓,๐๐๐-๕,๐๐๐ ไร่ ส่งเสริมระบบการออมเพื่อเป็นหลักประกันและสวัสดิการเกษตรกร และการวางแผนการผลิต ๑.๓ การจัดการพันธุ์ข้าวปลูก ได้แก่ ส่งเสริมให้มีการวิจัยพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพ ปรังปรุงพันธุ์ข้าวการค้าให้ตอบสนองปุ๋ยอินทรีย์ ปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้เหมาะสมกับพื้นที่ ตลาด และฤดูกาล จดสิทธิบัตรพันธุ์ข้าวเพื่อคุ้มครองความหลากหลายทางชีวภาพ และแหล่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ รวมถึงการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการจดสิทธิบัตรพันธุ์พืช และความหลากหลายทางชีวภาพในภูมิภาคอาเซียน โดยให้เป็นที่ยอมรับของสากล รวมทั้งแก้ไขพระราชบัญญัติค้าข้าวให้ครอบคลุมถึงผู้ผลิตและผู้จำหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าว ๒. ด้านการตลาด ๒.๑ การยกระดับคุณภาพข้าวไทยให้ตรงตามความต้องการของตลาด ได้แก่ วิเคราะห์จุดเด่นของข้าวแต่ละพันธุ์ ทั้งลักษณะทางภายภาพ (Physical) และทางเคมี (Chemical) สร้างมาตรฐานวิธีการตรวจสอบคุณภาพข้าวที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน สร้างมาตรฐานการจัดลำดับชั้นคุณภาพข้าวเปลือกไม่ปลอมปนพันธุ์ข้าว คัดแยกคุณภาพข้าวตามเกรด ให้มีการควบคุมการแปรรูปจากข้าวเปลือกเป็นข้าวสารต้องแยกตามสายพันธุ์ สร้างตราสินค้าข้าวไทยโดยเริ่มต้นจากการควบคุมกระบวนการผลิตในพื้นที่ให้ได้คุณภาพมาตรฐาน ทำข้อตกลงการซื้อขายล่วงหน้าร่วมระหว่างโรงสีกับเกษตรกรในพื้นที่ ๒.๒ ส่งเสริมและสร้างเอกลักษณ์ข้าว ได้แก่ สร้างเอกลักษณ์ข้าวไทย โดยร้อยเรียงเรื่องเล่าที่มีต่อเนื่องกันมาเป็นประวัติศาสตร์พันธุ์ข้าว กระบวนการผลิต และการแปรรูป ให้เป็นเอกลักษณ์ เพื่อเพิ่มมูลค่าของข้าวไทย จำแนกประเภทข้าว ตามคุณสมบัติทั้งทางกายภาพ ทางเคมี คุณประโยชน์ทางโภชนาการ และเพิ่มข้อมูลเปรียบเทียบมูลค่าเพิ่มระหว่างข้าวที่ผลิตในระบบปกติ กับข้าวที่แปรรูปในลักษณะพิเศษโดยนำราคาขายของข้าวแต่ละประเภทมาเปรียบเทียบ ๒.๓ กลไกการตลาด ได้แก่ วิเคราะห์หาปริมาณความต้องการของผู้บริโภคภายในประเทศ และต่างประเทศ แยกความแตกต่างทางการตลาดของข้าวสาร ชนิดต่าง ๆ ตามประเภทของตลาด ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพที่มีผลต่อสถานการณ์ โดยให้กระทรวงพาณิชย์เป็นเจ้าภาพ ขายข้าวตามคุณภาพในระดับราคาที่ต่างกัน ทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ เชื่อมโยงเมนูอาหารไทยต้องมีวัตถุดิบจากข้าวไทย เพิ่มช่องทางการจำหน่ายข้าวนอกเหนือจากในรูปวัตถุดิบ สร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ และให้ความสำคัญในการรวมกลุ่มประเทศผู้ผลิตและผู้ค้าข้าวในภูมิภาค ๓. การบริหารจัดการโครงสร้างการแบ่งปันรายได้ ได้แก่ ๓.๑ จัดโครงสร้างการแบ่งปันรายได้โดยมีระบบการจัดสรรผลประโยชน์อย่างเหมาะสมและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ตั้งแต่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวในกระบวนการผลิต ไปสู่โรงสีในกระบวนการรวบรวมผลผลิตและการแปรรูปซึ่งนับเป็นกลางน้ำ ไปจนถึงผู้ส่งออกและผู้บริโภค โดยคำนึงถึงระบบห่วงโซ่การผลิต (Supply chain) และระบบห่วงโซ่คุณค่า (Value chain) โดยอาจมีการกำหนดสัดส่วนรายได้ตามข้อตกลงของทุกฝ่ายที่เหมาะสม ๓.๒ การแปรรูป ภายใต้แนวคิด เกษตรกรเป็นเจ้าของผลผลิตตั้งแต่ต้น จนถึงมือผู้บริโภค และกระบวนการผลิตสินค้าเป็นการลงทุนร่วมกันของระบบ ผลตอบแทนที่ได้เป็นของระบบที่ต้องมาจัดสรรแบ่งกันด้วยความเป็นธรรม โดยคำนึงถึงต้นทุนในการผลิตทุกขั้นตอน ๓.๓ ส่งเสริมสนับสนุนการขับเคลื่อนภารกิจตามข้อ ๓.๑ โดยใช้วิสาหกิจหรือระบบสหกรณ์เพื่อขับเคลื่อนให้องค์กรของเกษตรกรมีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน ๓.๔ ควรพิจารณาให้ข้าวสารสำหรับบริโภคภายในประเทศเป็นสินค้าควบคุมราคา
|
||||||||||||||||||
2015 | ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ พ.ศ. .... | วธ | 08/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นควรพิจารณาการยกร่างกฎหมายดังกล่าวให้ครอบคลุมในประเด็นต่าง ๆ โดยคำนึงถึงบริบทการพัฒนาของประเทศ ภัยคุกคามและความเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดการเสื่อมสลายหรือการสูญหายของมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของประเทศ ตลอดจนสอดคล้องกับผลประโยชน์ของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาค และความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับมาตรา ๘ (๔) และมาตรา ๑๑ ก (๓) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ประเด็นคำว่า “สุขภาพ” ควรกำหนดให้ชัดเจนและเกี่ยวข้องกับร่างพระราชบัญญัติฯ โดยแก้เป็น “การแพทย์แผนไทย” รวมทั้งเพิ่มองค์ประกอบ อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเป็นคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ และนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเป็นคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ประจำจังหวัด ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ๒. ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติฯ ควรสอดคล้องกับแผนการจัดตั้งประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนว่าด้วยการสร้างอัตลักษณ์อาเซียน โดยเฉพาะการส่งเสริมการสงวนและอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมอาเซียน โดยการพัฒนาและปรับปรุงกฎระเบียบภายในประเทศและกลไกระดับภูมิภาคเพื่อปกป้องรักษาและส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรมของอาเซียน นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์และสร้างความตระหนักรู้ให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชนเกี่ยวกับเรื่องมรดกทางวัฒนธรรมทั้งที่จับต้องได้และไม่ได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องดังกล่าว รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการรักษา สืบทอด และพัฒนา ผ่านแผนงานและโครงการที่บูรณาการร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
2016 | นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมพิธีเปิดงานแสดงสินค้าจีน - อาเซียน ครั้งที่ 10 ที่นครหนานหนิง | นร04 | 08/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอรายงานผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้นำสาธารณรัฐประชาชนจีน และการเข้าร่วมพิธีเปิดงานแสดงสินค้าจีน-อาเซียน (China-ASEAN Expo : CAEXPO) ครั้งที่ ๑๐ ของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๒-๓ กันยายน ๒๕๕๖ ณ นครหนานหนิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ของกระทรวงการต่างประเทศ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป โดยในส่วนของผลการหารือสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การหารือกับนายกรัฐมนตรีจีน ๑.๑.๑ นายกรัฐมนตรีจีนรับจะเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรีในช่วงเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ และเชิญนายกรัฐมนตรีเดินทางเยือนจีนอีกครั้งในโอกาสที่สะดวก ๑.๑.๒ นายกรัฐมนตรีจะผลักดันมูลค่าการค้าไทย-จีน ให้บรรลุเป้าหมาย ๑๐๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ๒๕๕๘ และขอให้จีนเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากไทย ซึ่งฝ่ายจีนรับที่จะซื้อข้าว ๑ ล้านตันในระยะเวลา ๕ ปี และแสดงความสนใจที่จะนำเข้ายางพาราเป็นจำนวนมาก โดยนายกรัฐมนตรีเสนอให้จีนเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมแปรรูปยางพาราเพื่อจัดตั้ง Rubber City และเสนอให้ทั้งสองฝ่ายจัดตั้งคณะทำงานย่อยว่าด้วยความร่วมมือทางการค้าสินคาเกษตร ภายใต้คณะกรรมการร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน และเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีน (JC เศรษฐกิจไทย-จีน) โดยจีนรับจะจัดการประชุม JC เศรษฐกิจไทย-จีน ครั้งที่ ๓ โดยเร็ว ๑.๑.๓ นายกรัฐมนตรีเสนอให้จีนเข้ามาลงทุนในระบบรถไฟความเร็วสูง โดยเสนอว่าไทยอาจชำระค่าใช้จ่ายบางส่วนเป็นสินค้าเกษตร ซึ่งนายกรัฐมนตรีจีนขอให้ทั้งสองฝ่ายหารือกันต่อไปในการประชุมคณะกรรมการร่วมด้านรถไฟไทย-จีน ครั้งที่ ๓ ๑.๑.๔ นายกรัฐมนตรีจะผลักดันความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนสิทธิจราจรระหว่างไทย-จีน เพื่อให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบให้ทันกับการเปิดใช้สะพานมิตรภาพแห่งที่ ๔ (เชียงของ-ห้วยทราย) รวมทั้งผลักดันให้เส้นทาง R8 และ R12 ซึ่งผ่านลาว เวียดนาม และจีน ผนวกอยู่ในความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในกรอบแผนงานการพัฒนาความร่วมมือในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (Greater Mekong Subregion : GMS) ๑.๑.๕ นายกรัฐมนตรีเสนอที่จะจัดการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนุภูมิภาคแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง ในช่วงต้นปี ๒๕๕๗ เพื่อหารือเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำในลุ่มแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง ซึ่งฝ่ายจีนพร้อมจะร่วมมือ ๑.๑.๖ นายกรัฐมนตรีได้เชิญจีนเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย-แปซิฟิก ด้านโทรคมนาคมที่ประเทศไทยในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๖ และเชิญชวนจีนเข้าร่วมโครงการของภาคเอกชนที่จะจัดตั้งศูนย์การค้าและวัฒนธรรมจีน-ไทย/อาเซียนในประเทศไทย และขอความร่วมมือจากจีนในโครงการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมไทยในจีน ส่วนฝ่ายจีนจะพิจารณาข้อเสนอของไทยเรื่องการจัดทำความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา และเห็นพ้องที่จะหารือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ได้ข้อยุติเรื่องวงโคจรดาวเทียม ๑.๑.๗ นายกรัฐมนตรีเสนอว่าไทยจะทำหน้าที่ประเทศผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน-จีน อย่างดีที่สุด โดยยึดหลักความไว้เนื้อเชื่อใจและความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน ๑.๒ การหารือกับเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง จีนมีแผนการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมจีน-ไทย ที่เมืองฉงจั่ว เพื่อส่งเสริมการลงทุนไทยในกว่างซี และสนใจจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมที่ไทยในอนาคต ซึ่งนายกรัฐมนตรีขอให้การนิคมอุตสาหกรรมทั้งสองฝ่ายหารือกันต่อไป และทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้จัดตั้งคณะทำงานไทย-กว่างซี ระหว่างสถานกงสุลใหญ่ ณ นครหนานหนิง กับสำนักงานการต่างประเทศเขตฯ กว่างซีจ้วง เพื่อขยายความร่วมมือด้านการค้าสินค้าเกษตรและอาหารจากไทยมายังกว่างซี รวมทั้งหาช่องทางส่งเสริมสินค้าเกษตร และขยายความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ระหว่างกัน ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการจัดส่งข้าวคุณภาพเกรดเอพร้อมหม้อหุงข้าวเพื่อมอบแก่นายกรัฐมนตรีจีนโดยประสานกับกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการตามความเหมาะสม
|
||||||||||||||||||
2017 | แนวทางการเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในภาคอุตสาหกรรม | อก | 08/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางการเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในภาคอุตสาหกรรม ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้เชิญผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ยางในภาคอุตสาหกรรมในกลุ่มอุตสาหกรรมยางล้อ ถุงมือยาง ยางยืด ยางที่ใช้งานวิศวกรรม และยางแปรรูปขั้นต้น มาประชุมเพื่อหารือร่วมกันถึงแนวทางในการเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในภาคอุตสาหกรรมและการส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางในประเทศไทย เมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๖ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงอุตสาหกรรมได้วางเป้าหมายการเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในภาคอุตสาหกรรมในปี ๒๕๕๗ โดยประมาณการจากการขยายตัวของปริมาณการใช้ยางพารา ปี ๒๕๕๖ รวมกับปริมาณการใช้ยางพาราจากโรงงานที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนที่จะเปิดดำเนินการในปี ๒๕๕๗ จำนวนทั้งสิ้น ๗๕๐,๐๐๐ ตัน เพิ่มขึ้นจากการประมาณการในปี ๒๕๕๖ ที่ ๕๒๗,๐๐๐ ตัน คิดเป็นร้อยละ ๔๒.๓๒ ๑.๒ ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมได้ร่วมกันพิจารณาแนวทางการขยายปริมาณการใช้ยางพาราในประเทศในภาคอุตสาหกรรมในปี ๒๕๕๗ และพร้อมให้ความร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรมในการเร่งการใช้ยางในประเทศตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมได้ตั้งเป้าหมายไว้ อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการในแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์ยังต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐ โดยได้เสนอแนวทางการเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งมาตรการที่ต้องการให้หน่วยงานภาครัฐช่วยเหลือในแต่ละด้าน ประกอบด้วย ๑.๒.๑ ด้านการส่งเสริมการลงทุน ได้แก่ เร่งพิจารณาคำขอส่งเสริมการลงทุนและการชักจูงการลงทุน และพิจารณาปรับเงื่อนไขให้โอกาสผู้ลงทุนเดิมสามารถรับสิทธิประโยชน์ได้โดยไม่ต้องลงทุนซื้อเครื่องจักรใหม่ทั้งหมด กลั่นกรองการให้การส่งเสริมการลงทุนกับบริษัทข้ามชาติ และคงการให้การส่งเสริมกิจการเกี่ยวกับยางแปรรูปขั้นต้นในยุทธศาสตร์การลงทุนใหม่ ๑.๒.๒ ด้านมาตรฐาน ได้แก่ เร่งกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ยางล้อ มาตรฐานอาเซียน (ASEAN Standard : UNECE Regulation No. 30, 54 และ R 75) ให้เป็นมาตรฐานบังคับ วาง Road Map ในการดำเนินการด้านมาตรฐานและยุทธศาสตร์การเจรจาในกรอบมาตรฐานอาเซียน จัดตั้งห้องทดสอบ สนามทดสอบ และการรับรองมาตรฐานสากลให้ครอบคลุมถึงมาตรฐานใหม่ของยุโรป (UNECE Regulation No. 117) จัดตั้งองค์กรที่ดูแลอุตสาหกรรมถุงมือยางครบวงจร สนับสนุนงบประมาณให้ผู้ประกอบการเดินทางไปเข้าร่วมร่างมาตรฐาน International Organization for Standardization’s Technical Committee (ISO/TC 45) (Rubber and Rubber Products) กับองค์กรมาตรฐานระหว่างประเทศ ๑.๒.๓ ด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ได้แก่ จัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสนับสนุนในด้านการวิจัยขั้นพื้นฐานและการวิจัยที่มีลักษณะเป็นการแก้ปัญหาการผลิตในอุตสาหกรรม ลดต้นทุน และสร้างสินค้าให้มีมาตรฐานสูง จัดตั้งคณะทำงานพิจารณาแนวทางการดำเนินงานเพื่อใช้งบประมาณในการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร เทคโนโลยี และขยายกำลังการผลิต ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท ให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้านการแปรรูปยาง ๑.๒.๔ ด้านสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจ ได้แก่ ส่งเสริมให้ความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ เช่น การอำนวยความสะดวกในการตั้ง/ขยายโรงงาน การขออนุญาตนำเข้าสินค้า เครื่องจักร และการออกใบอนุญาตต่าง ๆ ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเจรจากับประเทศตุรกีที่ใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping) กับสินค้ายางยืดจากไทย ส่งเสริมการส่งออกผ่านระบบแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างประเทศ หน่วยงานของรัฐช่วยจับคู่ธุรกิจโดยให้มีข้อมูลด้านผู้ผลิตเครื่องจักรหรือจัดให้มีการพบกันระหว่างโรงงานผลิตยางพารากับผู้ผลิตเครื่องจักร สนับสนุนระบบประกันภัยโรงงาน ให้การยางแห่งประเทศไทยอำนวยความสะดวกในการดำเนินการต่าง ๆ เช่น การขออนุญาตของผู้ประกอบการให้เป็นแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) และส่งเสริมให้เกิดการรวมกลุ่มในรูปแบบคลัสเตอร์ (Cluster) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ๑.๒.๕ ด้านนโยบาย ได้แก่ ส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์ยางที่ผลิตในประเทศโดยผ่านการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐหรือสร้างแรงจูงใจในการใช้สินค้า “Made in Thailand” การบูรณาการนโยบายอุตสาหกรรมยางระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราทั้งระบบ ๑.๒.๖ ด้านอื่น ๆ ได้แก่ ทบทวนร่างพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... โดยให้ยกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียมการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางขั้นปลาย (CESS) ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการวางแผนทั้งระยะสั้น กลาง และยาว ที่จะต้องพิจารณาให้ครอบคลุมการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ตลอดห่วงโซ่อุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมต่อเนื่องเพื่อเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ยางไทยอย่างมีประสิทธิภาพ และมีมาตรการที่ชัดเจนถึงแนวทางการเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในภาคอุตสาหกรรม การพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางควรมีการแบ่งประเภทให้ชัดเจนเพื่อการดำเนินงานก่อนหลังโดยพิจารณาจากปัจจัยที่ประเทศไทยมีเทคโนโลยีและผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพตามประเภทของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาง และส่งเสริมการนำนวัตกรรมไปสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมยางให้เกิดอุตสาหกรรมคลื่นลูกใหม่ที่สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันที่มีศักยภาพ นอกจากนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมนำข้อเสนอของภาคเอกชนและแนวทางการดำเนินการของภาครัฐที่เกี่ยวข้องมาจัดทำเป็นแผนปฏิบัติการที่มีความชัดเจนในการส่งเสริมการเพิ่มปริมาณการใช้ยางในภาคอุตสาหกรรมได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งการศึกษาวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมยางให้สามารถใช้ประโยชน์จากยางธรรมชาติได้อย่างคุ้มค่า และร่วมกับภาคเอกชนในการขับเคลื่อนมาตรการแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
2018 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 2/2556 | นร11 | 08/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ ระหว่างวันที่ ๒๖ มิถุนายน-๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ณ เมืองเมดาน สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยประเด็นสำคัญของการประชุมฯ ได้แก่ แผนการดำเนินงานในแต่ละกลุ่มเพื่อนประธาน การจัดทำรายงานเศรษฐกิจเอเปคประจำปี การจัดทำรายงานความก้าวหน้าในช่วงกลางของแผนงาน APEC New Strategy for Structural Reform (ANSSR) การหารือระดับนโยบายเรื่องที่ ๑ : การปฏิรูประบบราชการ (Bureaucratic Reform) การหารือระดับนโยบายเรื่องที่ ๒ : มาตรฐานการบัญชีภาครัฐ และ International Public Sector Accounting Standards (IPSAS) การหารือระดับนโยบายเรื่องที่ ๓ : การอภิปรายเรื่องภาวะเศรษฐกิจภูมิภาค สรุปผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่องบทเรียนจากวิกฤติทางการเงินสำหรับกฎหมายหุ้นส่วนบริษัทและบรรษัทภิบาล (Corporate Law and Governance) และสรุปผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่องการลดขั้นตอนการรับรองเอกสารตามอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการยกเลิกความจำเป็นในการรับรองเอกสารทางการของต่างประเทศ ค.ศ. ๑๙๖๑ (Hague Convention of 5 October 1961 Abolishing the Requirement of Legalisation for Foreign Public Documents) รวมทั้งความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๑.๑ ฝ่ายไทยได้หารือกับญี่ปุ่นในฐานะผู้ประสานงานหลักของกลุ่มเพื่อนประธานในเรื่องการปฏิรูปกฎระเบียบ โดยเสนอขอให้ญี่ปุ่นพิจารณาประเทศไทยเป็นกรณีศึกษาในโครงการที่จะจัดทำในอนาคต คือ การส่งเสริมนวัตกรรม และการพัฒนาบรรยากาศทางธุรกิจของ SMEs ๑.๒ ข้อตกลงตามอนุสัญญากรุงเฮก ค.ศ. ๑๙๖๑ เป็นผลให้การรับรองเอกสารทางการของต่างประเทศมีความสะดวกรวดเร็ว ประหยัดค่าใช้จ่าย ช่วยป้องกันการสูญหาย และสามารถตรวจสอบได้ง่ายจากการบริการแบบ One-Stop Service ซึ่งเป็นประโยชน์กับภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เป็นการอำนวยความสะดวกด้านการค้าการลงทุนระหว่างรัฐภาคี ทั้งด้านการค้าข้ามพรมแดนและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ซึ่งอ้างอิงได้จากการประเมินในฐานข้อมูลของธนาคารโลกเรื่อง Investing Across Borders ที่ให้ความสำคัญกับการอำนวยความสะดวกตามอนุสัญญากรุงเฮก ตลอดจนช่วยพัฒนาตัวชี้วัด EoDB ของประเทศให้อยู่ในอันดับที่ดีขึ้น ๑.๓ หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงมหาดไทย ควรมีการศึกษาข้อตกลงตามอนุสัญญากรุงเฮก ค.ศ. ๑๙๖๑ ในรายละเอียด และพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่ไทยจะเข้าร่วมเป็นรัฐภาคี (Contracting State) ของอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการยกเลิกความจำเป็นในการรับรองเอกสารทางการของต่างประเทศ ค.ศ. ๑๙๖๑ (Hague Convention of 5 October 1961 Abolishing the Requirement of Legalisation for Foreign Public Documents) โดยไม่ต้องสมัครเป็นสมาชิก (Member State) ขององค์กรกฎหมายระหว่างประเทศ Hague Conference on Private International Law (HCCH) ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาข้อตกลงตามอนุสัญญากรุงเฮก ค.ศ. ๑๙๖๑ ในรายละเอียดและพิจารณากำหนดท่าทีของไทย และนำเสนอผลการพิจารณาแก่คณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||
2019 | ข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ 9 ของไทย ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน | พณ | 01/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันชุดที่ ๙ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียนและข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ ๙ ของไทย ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน โดยสาระสำคัญของข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการฯ เป็นการเพิ่มสาขาบริการที่ไทยจะเปิดให้อาเซียนถือหุ้นได้ร้อยละ ๗๐ ตามเป้าหมายของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) โดยมีข้อจำกัดในการให้บริการในแต่ละสาขาบริการหรือกิจกรรมที่ไทยต้องการสงวนเพื่อการกำกับดูแลสาขาบริการหรือกิจกรรมดังกล่าว เช่น การกำหนดประเภทของนิติบุคคลที่สามารถจัดตั้งได้ และการสงวนสิทธิไม่ให้ต่างชาติถือครองที่ดิน เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้กระทรวงพาณิชย์แก้ไขเงื่อนไขทั่วไปในตารางข้อผูกพันบริการโทรคมนาคมตามความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ก่อนเสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามพิธีสาร ๓. เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบพิธีสารและข้อผูกพันดังกล่าวแล้ว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินกระบวนการภายในประเทศเพื่ออนุวัติการให้เป็นไปตามพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันชุดที่ ๙ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียนและข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ ๙ ของไทย ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน และให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งเลขาธิการอาเซียนว่าประเทศไทยได้ดำเนินการตามกระบวนการภายในเสร็จสิ้นแล้วเพื่อให้พิธีสารมีผลใช้บังคับ |
||||||||||||||||||
2020 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการงานบริการและการส่งสินค้าข้ามแดนเพื่อการค้าระหว่างประเทศ" | สสป | 01/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการงานบริการและการส่งสินค้าข้ามแดนเพื่อการค้าระหว่างประเทศ" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กองบัญชาการกองทัพไทย กรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การพาณิชย์ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน สำนักผู้แทนการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินการด้านเชิงนโยบาย ได้แก่ ๑.๑ ดำเนินยุทธศาสตร์การพัฒนาความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านแบบองค์รวม ๑.๒ จัดตั้งหน่วยงานพิเศษขึ้นตรงต่อสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อทำหน้าที่ในการวางแผนและบริหารจัดการพื้นที่จังหวัดชายแดนที่เป็นประตูเศรษฐกิจการค้าและงานบริการ โดยมีการจัดตั้งในระดับภูมิภาคและระดับท้องถิ่นในจังหวัดที่มีการค้าชายแดน เพื่อปฏิบัติการและอำนวยความสะดวกในการบริหารจัดการการค้าชายแดน ๑.๓ เร่งรัดแก้ไข จัดทำ และเจรจา ข้อตกลง เงื่อนไข กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และดำเนินงานตามข้อตกลงการขนส่งข้ามพรมแดนอย่างเป็นรูปธรรม และเป็นมาตรฐานสากล ๑.๔ เร่งดำเนินการปรับปรุงพิธีการที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า-ส่งออกสินค้าชายแดนให้สอดคล้องกับกฎระเบียบองค์การการค้าโลก (WTO) และข้อตกลงความร่วมมืออาเซียน รวมถึงข้อตกลงความร่วมมือในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาค ๑.๕ ควรพิจารณากำหนดนโยบายจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน พร้อมกับผลักดันร่างพระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว ๑.๖ เร่งดำเนินการพัฒนาองค์ความรู้ และทักษะในด้าน ๆ แก่บุคลากรให้มีศักยภาพ ๑.๗ จัดตั้งศูนย์ข้อมูลที่เกี่ยวกับแผนการพัฒนาเขตพื้นที่จังหวัดชายแดน ในทุกด้านทั้งการวางแผนผังภูมิประเทศ อาคารสถานที่ต่าง ๆ พร้อมรูปแบบโครงสร้างการบริหารจัดการงานบริการ และการบริหารจัดการส่งสินค้าข้ามแดน ๑.๘ ส่งเสริมสนับสนุนให้นักลงทุนไทยมีการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ๑.๙ ส่งเสริมสนับสนุนการจัดตั้ง เมืองคู่แฝดทางการค้าระหว่างจังหวัดชายแดนกับจังหวัดในประเทศเพื่อนบ้าน ๑.๑๐ ส่งเสริมการลงทุนระหว่างรัฐกับเอกชนที่เกี่ยวกับพื้นที่การพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพสินค้า ประกอบด้วยอาคารโกดังสินค้า พื้นที่การค้า เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณการลงทุน ๒. การดำเนินการด้านเชิงการบริหารจัดการ ได้แก่ ๒.๑ การบริหารจัดการงานบริการ โดยเร่งดำเนินการก่อสร้างอาคารและสถานที่ต่าง ๆ เช่น อาคารบริการด้านสินค้าและบุคคลแบบเบ็ดเสร็จ ศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้า สถานีตรวจปล่อยสินค้า พื้นที่ขบวนการพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพสินค้า ถนน ระบบรางและสะพานในจังหวัดที่ขาดความพร้อม เช่น ด่านสะเดา จังหวัดสงขลา อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก บ้านพุน้ำร้อน จังหวัดกาญจนบุรี บ้านคลองลึก จังหวัดสระแก้ว ๒.๒ การบริหารจัดการส่งสินค้าข้ามแดน โดย ๒.๒.๑ ดำเนินการพัฒนา ปรับปรุง โครงสร้างพื้นฐาน ถนน ระบบราง และสะพาน เพื่อให้การบริหารจัดการระบบการขนส่งสินค้าและคนให้ไหลเคลื่อนได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยเร่งรัดการพัฒนาระบบการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ ให้สามารถเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะทางบก ทางราง และทางน้ำ รวมทั้งพัฒนาการขนส่งระบบราง เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกในระบบโลจิสติกส์ให้มีต้นทุนการขนส่งต่ำลงสามารถแข่งขันได้ ด้วยการขยายเส้นทางเชื่อมต่อระบบรางไปถึงพื้นที่จังหวัดชายแดนที่สำคัญ ๆ ที่เป็นประตูเศรษฐกิจการค้า และงานบริการ ตลอดจนปรับปรุงการวางผังเมือง การจัดภูมิประเทศ อาคารสถานที่ต่าง ๆ และโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่จังหวัดชายแดน เพื่อรองรับการพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ ๒.๒.๒ ดำเนินการพัฒนา ปรับปรุง สิ่งอำนวยความสะดวกด้านการบริหารจัดการงานบริการ โดยเร่งรัดการนำเทคโนโลยีระบบสารสนเทศ พัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้เอกสารมาใช้ในการนำเข้าส่งออก เร่งจัดทำข้อตกลงทวิภาคีกับประเทศเมียนมาร์ กัมพูชา มาเลเซีย ในการเดินรถทุกประเภท และในกรณีที่มีการตรวจปล่อยสินค้า ที่จำเป็นต้องมีใบรับรองประเภทต่าง ๆ ที่ต้องสำแดง ณ ด่านศุลกากรกรุงเทพฯ เมื่อมีการตรวจปล่อยที่ด่านอื่น ๆ โดยเฉพาะประตูเศรษฐกิจการค้าและบริการที่เชื่อมต่อ ๔ ประเทศเพื่อนบ้าน ควรมีการปรับปรุงข้อกำหนดให้ยืดหยุ่นกับสถานการณ์การส่งออกในด้านนี้ด้วย ๒.๒.๓ ดำเนินการพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจการค้าชายแดน โดยส่งเสริมสนับสนุนให้มีการพัฒนาองค์ความรู้ และข้อมูลให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจการค้าชายแดนเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงความรู้ด้านการพัฒนาด้านการผลิตของผู้ประกอบการรายย่อย ส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดการรวมตัวของผู้ประกอบการ ตลอดจนส่งเสริมสนับสนุนด้านเงินลงทุนให้แก่ผู้ประกอบการ โดยผ่านระบบของธนาคารในเครือของรัฐ
|
.....