ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 109 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 2161 - 2180 จากข้อมูลทั้งหมด 6672 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2161 | รายงานผลการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของประธานคณะกรรมาธิการยุโรป | นร04 | 21/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนายจูเซ มานูเอล บาร์โรซู (Mr. Jose Manuel Barroso) ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ของกระทรวงการต่างประเทศ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามตารางติดตามผลการเยือนที่กระทรวงการต่างประเทศได้จัดทำ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปเชิญนายกรัฐมนตรีเยือนกรุงบรัสเซลส์ในโอกาสแรก ซึ่งนายกรัฐมนตรีตอบรับการเยือนในโอกาสที่เหมาะสม หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ๒. ทั้งสองฝ่ายย้ำเจตนารมณ์ให้การเจรจากรอบความตกลงหุ้นส่วนและความร่วมมืออย่างรอบด้าน (Framework Agreement on Comprehensive Partnership and Cooperation-PCA) ได้ข้อสรุปในอนาคตอันใกล้ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๓. ทั้งสองฝ่ายย้ำเจตนารมณ์ให้เริ่มการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป (Thai-EU Free Trade Agreement-FTA) ในอนาคตอันใกล้ ซึ่งไทยเห็นว่าอาจเริ่มได้ในต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เมื่อ Scoping exercise ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานผู้แทนการค้าไทย ๔. ฝ่ายไทยขอให้สหภาพยุโรปรับไปหารือกับประเทศสมาชิกเกี่ยวกับการพิจารณายกเว้นการตรวจลงตราเขต Schengen แก่ผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของไทย หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศ ๕. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้ดำเนินความร่วมมือเพื่อเพิ่มขีดความสามารถ (capacity building) ต่อไป และหารือความเป็นไปได้ในการขยายความร่วมมือแบบไตรภาคีกับประเทศเมียนมาร์ รวมทั้งการขยายความร่วมมือด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์ การฟอกเงิน อาชญากรรมข้ามชาติ และการจัดการโยกย้ายถิ่นฐาน หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่มีความร่วมมือหรือต้องการที่จะมีความร่วมมือกับสหภาพยุโรป (กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กองทัพเรือ กระทรวงคมนาคม องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2162 | ผลการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐยูกันดา | นร04 | 21/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล ของนายโยเวรี คากูทา มูเซเวนี (Yoweri Kaguta Museveni) ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐยูกันดา ระหว่างวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ และให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการเยือนที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดียูกันดาจะพิจารณาการแลกเปลี่ยนการเยือนในโอกาสต่อไป โดยนายกรัฐมนตรีจะนำคณะนักธุรกิจไทยไปร่วมกิจกรรม Business Matching ระหว่างการเดินทางไปเยือนยูกันดาอย่างเป็นทางการ สิ่งที่ต้องดำเนินการ ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาหาช่องทางที่เหมาะสมในการเดินทางไปเยือนยูกันดา ๒. ยูกันดายืนยันการสนับสนุนการสมัครของไทยในตำแหน่งสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) สำหรับวาระปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๑๘ สถานะล่าสุด ยูกันดาแลกเสียงกับไทย โดยไทยสนับสนุนยูกันดาในตำแหน่งสมาชิกไม่ถาวรของ UNSC วาระปี ค.ศ. ๒๐๐๙-๒๐๑๐ แล้ว และยูกันดาสนับสนุนไทยตำแหน่งเดียวกันสำหรับวาระปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๑๘ ๓. ยูกันดาเห็นว่าประเด็นปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเรื่องภายในของไทย จึงเห็นควรให้ไทยบริหารจัดการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง และรับที่จะแจ้งที่ประชุมองค์กรความร่วมมืออิสลาม (Organisation of the Islamic Conference : OIC) ว่า ไม่ควรยกระดับประเด็นดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุม OIC สิ่งที่ต้องดำเนินการ ให้กระทรวงการต่างประเทศ (กรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา) ติดตามท่าทีของยูกันดาในการประชุม OIC ๔. นายกรัฐมนตรีกับประธานาธิบดียูกันดา เห็นพ้องที่จะส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ โดยเพิ่มพูนการค้าระหว่างกัน และส่งเสริมให้ภาคเอกชนไทยลงทุนในยูกันดาในสาขาการแปรรูปสินค้าเกษตร การก่อสร้าง พลังงาน และการท่องเที่ยว และส่งเสริมการพัฒนาผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในยูกันดา สิ่งที่ต้องดำเนินการ ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้ภาคเอกชนไทยดำเนินธุรกิจในยูกันดา ๕. นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดียูกันดาเห็นพ้องให้มีความร่วมมือทางวิชาการในสาขาต่างๆ สิ่งที่ต้องดำเนินการ ให้กระทรวงการต่างประเทศ (สำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ) พิจารณาความเหมาะสมในการให้ความร่วมมือเพื่อการพัฒนากับยูกันดาในสาขาที่ไทยมีความชำนาญ และสามารถก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจแก่ฝ่ายไทย อาทิ เกษตรกรรม สาธารณสุข และการท่องเที่ยว ๖. ภริยาประธานาธิบดียูกันดาชื่นชมและสนใจแนวทางการพัฒนาสตรีและเด็กของไทย โดยส่งเสริมการสร้างอาชีพให้สตรีผ่านโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ และกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี สิ่งที่ต้องดำเนินการ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมการพัฒนาชุมชน) พิจารณาศึกษาแนวทางถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์การพัฒนาสตรีผ่านโครงการดังกล่าว ๗. นายกรัฐมนตรีเสนอให้ไทยและยูกันดากลับมาเจรจาจัดทำร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศไทย-ยูกันดา ซึ่งประธานาธิบดียูกันดารับพิจารณาการเจรจาจัดทำร่างความตกลงดังกล่าวภายในสามเดือน สิ่งที่ต้องดำเนินการ ให้กระทรวงคมนาคม (กรมการบินพลเรือน) พิจารณาศึกษาความเหมาะสมในการดำเนินการเจรจาจัดทำร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศไทย-ยูกันดา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2163 | การดำเนินการเกี่ยวกับหนังสือร้องเรียนที่ยื่นกราบเรียนนายกรัฐมนตรี | นร04 | 21/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบประเด็นเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ของประชาชนและองค์กรต่าง ๆ ที่ได้ยื่นหนังสือกราบเรียนนายกรัฐมนตรี ในระหว่างการปฏิบัติราชการ ณ จังหวัดตาก สุโขทัย และอุตรดิตถ์ เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๖ โดยให้หน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการและติดตามการดำเนินการตามข้อร้องเรียนต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ และมอบหมายการดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้
๑. กรณีข้อร้องเรียนติดตามเงินชดเชยพิเศษกลุ่มเกษตรกรผู้ที่ปลูกอ้อยเพื่อผลิตเอทานอล จังหวัดตาก ให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาจัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย เพื่อดำเนินการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยเพื่อผลิตเอทานอล จังหวัดตาก ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๕ (เรื่อง ขอรับการสนับสนุนเงินชดเชยพิเศษให้กับกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยเพื่อผลิตเอทานอล จังหวัดตาก) ให้ถูกต้องและเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องโดยเร็วต่อไป ๒. กรณีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาราคาลำไยอบแห้งตกต่ำ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นเจ้าภาพหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดมาตรการและแนวทางแก้ไขปัญหาในเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าร่วมการพิจารณาและประสานงานเพื่อเร่งรัดการดำเนินการที่เกี่ยวข้องด้วย เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2164 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 1/2556 | นร11 | 21/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๖ ณ จังหวัดอุตรดิตถ์ ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาคครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ ณ จังหวัดอุตรดิตถ์ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ๒.๑.๑ การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงมหาดไทยเป็นแกนกลางในการแก้ไขปัญหาระยะเร่งด่วนของการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ แม่สอด จังหวัดตาก เช่น ปัญหารถบรรทุกสินค้าที่มีน้ำหนักเกิน ปัญหาโครงสร้างที่ชำรุด เป็นต้น และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานบูรณาการหลักร่วมกับสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษเพื่อกำหนดกรอบแนวทางการพัฒนาในภาพรวม โดยนำข้อเสนอการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด จังหวัดตาก เข้ามาพิจารณาในคณะกรรมการดังกล่าว และนำความเห็นที่ประชุมไปประกอบการพิจารณาด้วย รวมทั้งให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปศึกษาและเตรียมความพร้อมหากมีการยกระดับจุดผ่อนปรนภูดู่ขึ้นเป็นจุดผ่านแดนถาวร และให้กระทรวงการต่างประเทศติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานดังกล่าว ๒.๑.๒ การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดดำเนินการขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๒ (พิษณุโลก-หล่มสัก) จาก ๒ ช่องจราจร เป็น ๔ ช่องจราจรให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และรับข้อเสนอของภาคเอกชนไปพิจารณาทบทวนโครงการศึกษาและพัฒนาจังหวัดพิษณุโลกเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางภาคเหนือตอนล่างและสี่แยกอินโดจีน โดยให้ศึกษาความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ โดยคำนึงถึงจุดพื้นที่ตั้งของศูนย์กลางที่มีความเหมาะสมในการเชื่อมโยงระหว่างจังหวัดที่เป็นศูนย์กลางและพื้นที่โดยรอบ ๒.๑.๓ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงมหาดไทยรับข้อเสนอของภาคเอกชนไปศึกษาและจัดทำรายละเอียดโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก รวมทั้งแผนงาน/โครงการเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๑ และเสนอคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๔ การส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการสุขภาพ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รับไปพิจารณาในรายละเอียดโครงการพัฒนาระบบบริการสุขภาพภาคเหนือตอนล่าง จังหวัดพิษณุโลก เพื่อเป็น Medical Excellence Centre/Medical Tourism โดยจัดลำดับความสำคัญในส่วนที่มีความจำเป็นและสอดคล้องกับเป้าหมายของโครงการเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๕ รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามมติการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ที่ประชุมมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าดังกล่าวตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้ฝ่ายเลขานุการติดตามความคืบหน้าการดำเนินการ มารายงานให้ที่ประชุมทราบเป็นระยะ ๒.๒ เรื่องอื่น ๆ ที่สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย/คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบันเสนอ ๒.๒.๑ การยกระดับบุคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงแรงงานรับไปดำเนินการพัฒนาบุคลากรในภาคการท่องเที่ยวในช่วงเดือนมิถุนายน-กันยายน ๒๕๕๖ ให้เสร็จทันก่อนฤดูกาลการท่องเที่ยวปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเร่งดำเนินการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการด้านการท่องเที่ยวเพื่อขับเคลื่อนนโยบายสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว ๒ ล้านล้านบาท ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อให้ที่ประชุมได้พิจารณารายละเอียดของโครงการและสนับสนุนงบประมาณ รวมทั้งให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำแผนการกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่อหัวให้เพิ่มสูงขึ้น ๒.๒.๒ มาตรการเร่งด่วนเพื่อผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพในภูมิภาคอาเซียน ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานหลักดำเนินการร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดตั้งกลไกเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพโดยบูรณาการการทำงานร่วมกันกับภาคเอกชน ตั้งแต่การกำหนดนโยบาย การจัดหาวัตถุดิบที่เหมาะสม การกำหนดมาตรการส่งเสริม ตลอดจนพิจารณาเลือกจังหวัดต้นแบบที่มีความเหมาะสมตามลักษณะการจัดเขตพื้นที่ ๒.๒.๓ ความคืบหน้าการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ (ระบบราง) ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการจัดทำแผนการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งและระบบโลจิสติกส์ด้านระบบรางของประเทศในภาพรวมให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด โดยหารือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๒.๒.๔ ความคืบหน้าการส่งเสริมการค้าการลงทุนกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่ประชุมมีมติให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านในการพัฒนาด่านชายแดนให้สอดคล้องกับประเทศไทย และนำเข้าบูรณาการในคณะกรรมการนโยบายพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ๒.๒.๕ บทบาทภาคเอกชนในการขับเคลื่อนแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ ไปสู่การปฏิบัติ ที่ประชุมมีมติให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปพิจารณาร่วมกับภาคเอกชนทั้ง ๕ สถาบัน เพื่อกำหนดแนวทางการทำงานในการขับเคลื่อนประเด็นการพัฒนาที่ได้มีข้อสรุปร่วมกันในการประชุมเชิงปฏิบัติการภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ให้เป็นรูปธรรม และประสานกับกลไกการขับเคลื่อนที่คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการอยู่แล้ว โดยจัดลำดับความสำคัญของประเด็นการพัฒนาให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศ ๒.๒.๖ ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. .... (ผลกระทบตามประกาศ Financial Action Task Force : FATF) ที่ประชุมมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอว่า รัฐบาลได้พิจารณาผ่านร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว และรัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๖ ขณะนี้อยู่ระหว่างการยกร่างอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีผลบังคบใช้ทันกำหนดการประชุมของกลุ่มความร่วมมือต่อต้านในการฟอกเงินเอเชีย-แปซิฟิก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ที่มีกำหนดการประชุมในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2165 | การอนุมัตินำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากลาวและกัมพูชาผ่านองค์การคลังสินค้า | พณ | 21/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและราชอาณาจักรกัมพูชาผ่านองค์การคลังสินค้า (อคส.) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ อคส. นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในอัตราภาษีนำเข้าร้อยละ ๐ ช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เพื่อส่งออกต่อไปยังประเทศที่สาม ประมาณ ๒ แสนตัน ๑.๒ ให้ อคส. นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากราชอาณาจักรกัมพูชาในอัตราภาษีนำเข้าร้อยละ ๐ เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ในประเทศ ช่วงเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ ประมาณ ๑ แสนตัน และเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๖-มกราคม ๒๕๕๗ ประมาณ ๑.๕ แสนตัน ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายอาหารร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณารายละเอียดเพื่อบริหารจัดการช่วงเวลาและปริมาณการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เหมาะสม โดยไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณและราคาผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศของไทย ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรให้ความสำคัญกับความเข้มงวดในการกำกับดูแลการนำเข้าสินค้าเกษตรเข้ามาในราชอาณาจักร โดยการตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัย ทั้งศัตรูพืช โรคพืชและสัตว์ สารปนเปื้อนต่างๆ และความปลอดภัยด้านอาหาร โดยเฉพาะการนำเข้าตามแนวชายแดนต่างๆ อย่างเคร่งครัด รวมทั้งกระทรวงพาณิชย์ควรติดตามการนำเข้าเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถบริหารจัดการปริมาณและราคาข้าวโพดไม่ให้มีผลกระทบกับเกษตรกรในประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2166 | การกำหนดสินค้าและบริการควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ | 21/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการกำหนดสินค้า จำนวน ๔๐ รายการ และบริการ จำนวน ๓ รายการ รวม ๔๓ รายการ ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ เป็นสินค้าและบริการควบคุมในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ คงรายการสินค้าและบริการควบคุมเดิม จำนวน ๔๒ รายการ ๑.๑.๑ หมวดอาหาร จำนวน ๑๔ รายการ คือ กระเทียม ข้าวเปลือก ข้าวสาร ข้าวโพด มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ ไข่ไก่ สุกร เนื้อสุกร น้ำตาลทราย น้ำมันและไขมันที่ได้จากพืชหรือสัตว์ทั้งที่บริโภคได้หรือไม่ได้ ครีมเทียมข้นหวาน นมข้น นมคืนรูป นมแปลง ไขมัน นมผง นมสด แป้งสาลี อาหารในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท อาหารกึ่งสำเร็จรูปบรรจุภาชนะผนึก ๑.๑.๒ หมวดสินค้าอุปโภคบริโภคประจำวัน จำนวน ๓ รายการ คือ ผงซักฟอก ผ้าอนามัย กระดาษชำระ กระดาษเช็ดหน้า ๑.๑.๓ หมวดปัจจัยทางการเกษตร จำนวน ๙ รายการ คือ ปุ๋ย ยาป้องกันหรือกำจัดศัตรูพืชหรือโรคพืช หัวอาหารสัตว์ อาหารสัตว์ เครื่องสูบน้ำ รถไถนา รถเกี่ยวข้าว เครื่องวัดความชื้นข้าว เครื่องตรวจสอบคุณภาพข้าว เครื่องชั่งวัดอัตราส่วนร้อยละของแป้งในหัวมัน ๑.๑.๔ หมวดวัสดุก่อสร้าง จำนวน ๓ รายการ คือ ปูนซีเมนต์ เหล็กเส้น เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ เหล็กแผ่น สายไฟฟ้า ๑.๑.๕ หมวดกระดาษและผลิตภัณฑ์ จำนวน ๓ รายการ คือ กระดาษทำลูกฟูก กระดาษเหนียว กระดาษพิมพ์และเขียน เยื่อกระดาษ ๑.๑.๖ หมวดบริภัณฑ์ขนส่ง จำนวน ๓ รายการ คือ แบตเตอรี่รถยนต์ ยางรถจักรยานยนต์ ยางรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถยนต์นั่ง รถยนต์บรรทุก ๑.๑.๗ หมวดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม จำนวน ๓ รายการ คือ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว น้ำมันเชื้อเพลิง เม็ดพลาสติก ๑.๑.๘ หมวดยารักษาโรค จำนวน ๑ รายการ คือ ยารักษาโรค ๑.๑.๙ หมวดอื่น ๆ จำนวน ๑ รายการ คือ เครื่องแบบนักเรียน ๑.๑.๑๐ หมวดบริการ จำนวน ๓ รายการ คือ การให้สิทธิในการเผยแพร่งานลิขสิทธิ์เพลงเพื่อการค้า บริการรับฝากสินค้าหรือบริการให้เช่าสถานที่เก็บสินค้า บริการทางการเกษตร (ค่าจ้าง เก็บเกี่ยวข้าวและผลผลิตทางการเกษตรอื่น ๆ ค่าจ้างนวดข้าว ค่าจ้างสีข้าว เป็นต้น) ๑.๒ เพิ่มรายการสินค้าควบคุม จำนวน ๑ รายการ คือ ผลปาล์มน้ำมัน (เป็นรายการที่ ๔๓) ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกรณีที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเกษตรกร กระทรวงพาณิชย์ควรพิจารณาทบทวนประกาศดังกล่าว ให้มีความเหมาะสมและเป็นธรรมต่อเกษตรกรต่อไป และควรให้ความสำคัญกับการติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรายการสินค้าและบริการที่มีการควบคุม ซึ่งมีความผันผวนด้านราคาและปริมาณสูง เพื่อให้สามารถกำหนดมาตรการรองรับในการแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วนได้รับทราบ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2167 | ผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมทางการค้าระหว่างไทยและเมียนมาร์ ครั้งที่ 6 | พณ | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมทางการค้า (Joint Trade Commission-JTC) ระหว่างไทยและเมียนมาร์ ครั้งที่ ๖ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ กรุงเทพฯ เพื่อให้มีการทำงานอย่างบูรณาการและเกิดผลเป็นรูปธรรม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงพาณิชย์ติดตามการขยายตัวการค้าไทย-เมียนมาร์ให้เพิ่มขึ้นเป็น ๓ เท่าภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ จากมูลค่าการค้าปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ๑.๒ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กระทรวงอุตสาหกรรม สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน ติดตามประเด็นการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านกฎระเบียบการค้าและการลงทุน การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนการเยือนอย่างสม่ำเสมอของผู้แทนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน การจัดงานแสดงสินค้า นิทรรศการ และการจับคู่/สร้างเครือข่ายธุรกิจให้บ่อยครั้งขึ้นในสถานที่ที่หลากหลายมากขึ้น รวมถึงในจังหวัดชายแดน การส่งเสริมการจัดกิจกรรมการส่งเสริมการค้าและการลงทุนเป็นครั้งคราว การส่งเสริมและอำนวยความสะดวกการออกไปลงทุนของภาคเอกชน รวมถึงธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการส่งเสริมให้ภาคเอกชนใช้ประโยชน์จากสภาธุรกิจไทย-เมียนมาร์ ๑.๓ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ติดตามประเด็นการผลักดันความร่วมมือด้านตลาดข้าวอาเซียน (ASEAN5-E) ของ ๕ ประเทศผู้ผลิตและส่งออกข้าว (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ ไทย และเวียดนาม) ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม และการจัดกิจกรรมร่วมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุนในสาขาต่างๆ ๑.๔ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงพาณิชย์ ติดตามประเด็นการผลักดันและติดตามการจัดทำแผนงานการปรับปรุงและยกระดับโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกที่จุดผ่านแดนที่มีอยู่ การผลักดันการยกระดับและการเปิดจุดผ่านแดนที่ถูกปิดไปขึ้นใหม่ รวมถึงการเปิดจุดผ่านแดนแห่งใหม่ในพื้นที่ที่เหมาะสมและจำเป็น การสนับสนุนการนำอุปกรณ์และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยมาใช้ในจุดผ่านแดนต่างๆ ๑.๕ ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง ติดตามประเด็นการผลักดันให้มีการหารืออย่างสม่ำเสมอระหว่างธนาคารกลางของทั้งสองประเทศ การผลักดันการพิจารณาความเป็นไปได้ในการนำเงินบาทมาใช้ในระบบอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเป็นทางการของเมียนมาร์ และการสนับสนุนความร่วมมือด้านวิชาการระหว่างธนาคารกลางและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองฝ่าย ๑.๖ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ สมาคมวิชาชีพสาธารณสุข สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) ติดตามประเด็นการผลักดันความร่วมมือด้านบริการสุขภาพเพื่อขยายโอกาสการทำธุรกิจบริการสุขภาพของไทยในเมียนมาร์ และหาแนวทางการจัดทำความร่วมมือด้านการบริหารจัดการ ประชุม และสัมมนา (Meetings, Incentives, Conferencing and Exhibitions : MICE) ๑.๗ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ติดตามประเด็นการจัดทำความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเดียว (Single tourist destination) การสนับสนุนการใช้วีซ่าเดียว (Single visa) ควบคู่ไปกับการเชื่อมโยงการขนส่งทางอากาศ และการสนับสนุนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับโครงการที่มีกลไกคณะกรรมการกำกับดูแล อาทิ โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ซึ่งมีคณะกรรมการร่วมระดับสูงและคณะกรรมการประสานงานระหว่างไทย-เมียนมาร์เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้องภายใต้การดูแลของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นกลไกหลัก และการเปิดจุดผ่านแดน ซึ่งมีคณะอนุกรรมการพิจารณาการเปิดจุดผ่านแดนภายใต้การดูแลของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นกลไกหลักและเกี่ยวข้องกับกระทรวงการต่างประเทศ ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานดังกล่าวด้วย นอกจากนี้ ในการยกระดับจุดผ่านแดนที่มีอยู่และการเปิดจุดผ่านแดนใหม่ ต้องพิจารณาในภาพรวมอย่างสมดุลทั้งมิติด้านเศรษฐกิจและมิติด้านความมั่นคง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2168 | การกำกับดูแลราคาสินค้าจากการดำเนินนโยบายการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ | พณ | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการกำกับดูแลราคาสินค้าจากการดำเนินนโยบายการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. แนวทางการกำกับดูแล ๑.๑ ด้านราคาสินค้า ตรึงหรือชะลอการปรับราคาสินค้า โดยการกำกับดูแลราคาเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและป้องกันไม่ให้มีการฉวยโอกาสปรับราคาสินค้าสูงขึ้นเพื่อเอาเปรียบผู้บริโภค ได้แก่ ๑.๑.๑ การดูแลราคาสินค้า ณ โรงงาน (ต้นน้ำ) โดยแบ่งการกำกับดูแลเป็น ๔ กลุ่ม คือ กลุ่มที่ ๑ สินค้าที่ต้องใช้วัตถุดิบนำเข้า กลุ่มที่ ๒ สินค้าที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก กลุ่มที่ ๓ สินค้าที่ใช้วัตถุดิบทั้งในประเทศและนำเข้า และกลุ่มที่ ๔ หมวดอาหารสด ซึ่งหากจำเป็นต้องปรับราคาจะพิจารณาให้ปรับราคาตามภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจริง สำหรับหมวดอาหารสด เนื่องจากราคาขึ้นลงตามฤดูกาล จะมีการตรวจสอบราคาและเข้มงวดในการปิดป้ายราคา รวมทั้งการประกาศราคาแนะนำ ๑.๑.๒ การดูแลราคาจำหน่ายของตัวแทนจำหน่ายและผู้ค้าส่ง (กลางน้ำ) ดูแลราคาจำหน่ายส่งให้มีการเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับราคา ณ โรงงาน (ต้นน้ำ) เพื่อมิให้มีการฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบทั้งด้านราคาจำหน่ายและปริมาณ ๑.๑.๓ การดูแลราคาจำหน่ายปลีก (ปลายน้ำ) ติดตามราคาจำหน่ายปลีกให้สอดคล้องกับต้นทุนการผลิต โดยกำหนดสินค้าที่ต้องติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด ๓ ระดับ คือ Watch List (WL) ระดับปกติ ติดตามภาวะและสถานการณ์ใกล้ชิดเป็นประจำทุกสัปดาห์ Priority Watch List (PWL) ระดับที่เริ่มไม่ปกติ ติดตามภาวะและสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษ สัปดาห์ละ ๒ ครั้ง และ Sensitive List (SL) ระดับที่ส่อเค้าว่าจะมีปัญหา ติดตามราคา และภาวะเป็นประจำทุกวัน ๑.๒ ด้านปริมาณ ดูแลให้สินค้าเพียงพอกับความต้องการไม่มีการกักตุนสินค้า ๒. มาตรการกำกับดูแล ๒.๑ มาตรการทางกฎหมาย ได้แก่ การกำหนดราคาจำหน่ายสูงสุด การปรับราคาสูงขึ้นต้องได้รับอนุญาต การให้แจ้งปริมาณสถานที่เก็บต้นทุน ค่าใช้จ่าย และห้ามมิให้มีการกักตุน ปฏิเสธการจำหน่าย และประวิงการจำหน่ายสินค้าควบคุม ๒.๒ มาตรการบริหาร ได้แก่ ขอความร่วมมือผู้ประกอบการตรึงราคาสินค้า และการประกาศราคาแนะนำสินค้า ๒.๓ การกำกับดูแลราคาสินค้าให้เป็นธรรม คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการได้กำหนดให้มีคณะอนุกรรมการพิจารณาราคาสินค้า จำนวน ๙ คณะ ได้แก่ สินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป น้ำมันพืชบริโภค ปุ๋ยเคมี อาหารสัตว์ ผลิตภัณฑ์นม เหล็กเส้นและเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ อาหารปรุงสำเร็จ ยารักษาโรคแผนปัจจุบัน และกลั่นกรองการกำหนดสินค้าและบริการควบคุมและมาตรการกำกับดูแล เพื่อพิจารณาราคาจำหน่ายสินค้าที่เหมาะสมในกรณีที่มีผู้ประกอบการแจ้งขอปรับราคาจำหน่ายสินค้าเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้บริโภค
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2169 | สรุปผลการประชุมคณะทำงานส่งเสริมการสร้างฐานการผลิตในประเทศเพื่อนบ้านและการค้าชายแดน | พณ | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะทำงานส่งเสริมการสร้างฐานการผลิตในประเทศเพื่อนบ้านและการค้าชายแดน และการประชุมคณะทำงานย่อยแต่ละยุทธศาสตร์ ระหว่างวันที่ ๑๗ กันยายน-๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามสรุปผลการประชุมดังกล่าวต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การวางกรอบยุทธศาสตร์การส่งเสริมการค้าและการลงทุนไปตลาดประเทศเพื่อนบ้านและการค้าชายแดน ๕ ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย ๑.๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ระหว่างประเทศและนิคมอุตสาหกรรมในประเทศเพื่อนบ้าน แผนปฏิบัติการนำร่อง โครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจชายแดนร่วมแม่สอด-เมียวดี ๑.๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การส่งเสริมการค้าการลงทุนกับประเทศเพื่อนบ้านในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น แผนปฏิบัติการนำร่อง โครงการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยย้ายหรือขยายการลงทุนอุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้าไปขยายการลงทุนในราชอาณาจักรกัมพูชา ๑.๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ ความมั่นคงทางอาหารที่ผลิตในประเทศหนึ่งและนำไปแปรรูปจำหน่ายอีกประเทศหนึ่ง (ข้าว มันสำปะหลัง ข้าวโพด อ้อย ปศุสัตว์ ไก่ หมู) แผนปฏิบัติการนำร่อง โครงการความร่วมมือสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยด้านอาหารร่วมกัน เพื่อให้กลุ่มประเทศประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเป็นผู้ผลิตอาหารหลักเลี้ยงทวีปเอเชีย ๑.๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ ด้านการท่องเที่ยว การบริการในประเทศเพื่อนบ้าน โดยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยไปลงทุนด้านโรงแรม โรงพยาบาล แผนปฏิบัติการนำร่อง โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาค ๓ เส้นทาง ประกอบด้วย เส้นทางเชื่อมมรดกโลก : โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาค เส้นทางเชื่อมมรดกโลก-สุโขทัย-หลวงพระบาง-พุกาม-เสียมราฐ เส้นทางสามเหลี่ยมมรกต : โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาค เส้นทางสามเหลี่ยมมรกต ไทย-ลาว-กัมพูชา และเส้นทาง ๕ เชียง : โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาค เส้นทาง ๕ เชียง (เชียงตุง เชียงรุ้ง เชียงใหม่ เชียงราย เชียงของ) ๑.๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ TETRO (JETRO OF THAILAND) เพื่อเป็นพี่เลี้ยงให้กับนักลงทุนไทยไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน แผนปฏิบัติการนำร่อง ศึกษาโครงสร้างและการบริหารงานของ JETRO เพื่อจัดตั้ง TETRO ๑.๒ ประเด็นพิจารณาที่สำคัญ ๑.๒.๑ การอำนวยการความสะดวกทางการค้าไทย-เมียนมาร์ ๑.๒.๑.๑ ให้กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เร่งดำเนินการซ่อมสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาร์ (แม่สอด-เมียวดี) แห่งที่ ๑ ให้แล้วเสร็จตามกำหนดสัญญาในเดือนเมษายน ๒๕๕๗ และให้เทศบาลนครแม่สอดพิจารณาลงทุนจัดสร้างสถานที่ขนถ่ายสินค้าบริเวณถนนที่จะเข้าสู่สะพานฯ แห่งที่ ๑ ๑.๒.๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคม และกระทรวงการต่างประเทศ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องในการเร่งก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาร์ แห่งที่ ๒ โดยเฉพาะการเชื่อมโยงการขนส่งทางถนนต่อไปถึงเมืองกอกะเร็กของเมียนมาร์อย่างเป็นระบบและครบวงจร ๑.๒.๑.๓ ให้กรมการบินพลเรือน กระทรวงคมนาคม เร่งพิจารณาดำเนินการขยายสนามบินแม่สอดให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อรองรับการเติบโตด้านการขนส่งและการท่องเที่ยว ๑.๒.๒ การพัฒนาเขตเศรษฐกิจชายแดนแม่สอด-เมียวดี ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งการพิจารณาร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. .... เพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยสาระสำคัญของร่างระเบียบฯ คือ กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ มีหน้าที่ในการจัดทำแผนแม่บทและการกำหนดพื้นที่ที่เหมาะสมจะเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษทั้งส่วนกลางและภูมิภาค รวมทั้งพัฒนาระบบการให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จที่สอดคล้องกับระบบ ASEAN Single Window ๑.๒.๓ การส่งเสริมสนับสนุนให้นักลงทุนไทยในอุตสาหกรรม สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า ฯลฯ ย้ายฐานการผลิตไปราชอาณาจักรกัมพูชา ภาครัฐจะจัดคณะนำนักลงทุนไทยไปสำรวจพื้นที่และเจรจาขอการสนับสนุนจากราชอาณาจักรกัมพูชา ในนิคมอุตสาหกรรมโอเนียงและนิคมอุตสาหกรรมศรีโสภณ ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๓ มกราคม ๒๕๕๖ ๑.๒.๔ การสนับสนุนการลงทุนด้านแหล่งกระจายสินค้าระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน กระทรวงการคลัง เร่งรัดโครงการนำร่องในการจัดตั้ง Container Yard ณ ท่านาแล้ง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการก่อสร้างทางรถไฟท่านาแล้ง-เวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๒.๕ การดำเนินงานตามความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง Cross Border Transport Agreement (GMS/CBTA) เพื่อส่งเสริมและอำนวยความสะดวกการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าทั้งข้ามแดนและผ่านแดน เร่งรัดกระทรวงคมนาคม และกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง ผลักดันการออกกฎหมายที่ค้างอยู่ ๕ ฉบับ ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดน พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติการรับขนของทางถนนระหว่างประเทศ พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติการรับขนคนโดยสารและสัมภาระทางถนนระหว่างประเทศ พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ในเรื่องเกี่ยวกับข้อบทว่าด้วยการผ่านแดน) และร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ว่าด้วยการอนุตามความตกลง (CBTA) ซึ่งขณะนี้ทุกประเทศได้ให้สัตยาบันต่อภาคผนวกและพิธีสารครบทั้ง ๒๐ ฉบับ คงเหลือไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ที่ลงนามยังไม่สมบูรณ์ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาค จำนวน ๓ เส้นทาง จะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อแหล่งท่องเที่ยว แหล่งโบราณสถานต่าง ๆ หรือกระทบต่อวิถีการดำเนินชีวิตของชุมชน และให้หน่วยงานภาครัฐ เอกชน หรือคนในท้องถิ่นมีส่วนร่วมในกระบวนการดำเนินการโครงการต่าง ๆ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2170 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การพัฒนาระบบขนส่งทางราง | สสป | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การพัฒนาระบบขนส่งทางราง และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงคมนาคม ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง กรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กรมการขนส่งทางบก กรมเจ้าท่า กรมการบินพลเรือน กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร การท่าเรือแห่งประเทศไทย บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) การรถไฟแห่งประเทศไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านนโยบายของรัฐบาล รัฐควรดำเนินการจัดให้มีแผนแม่บทอย่างชัดเจนของระบบโลจิสติกส์ของประเทศในการจัดการการขนส่งเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ประกาศนโยบายให้การขนส่งทางรางเป็นวาระแห่งชาติโดยเร่งด่วน ศึกษาแนวทางการขยายโครงข่ายการขนส่งทางรางของประเทศจีนซึ่งจะเป็นผู้นำและรุกคืบมาในภูมิภาคอาเซียน และเปิดให้ภาคเอกชนและภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนแก้ไขปัญหาการขนส่งของประเทศ เป็นต้น ๒. ด้านโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ รัฐควรดำเนินการพัฒนาความเชื่อมโยงการขนส่งภายในประเทศ ทั้งทางราง ทางอากาศ ทางถนน และทางน้ำ จัดให้มีการศึกษาการใช้นวัตกรรมและการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม และมีความปลอดภัยกับการใช้บริการ จัดให้มีระบบการเชื่อมโยงของระบบการขนส่งและโลจิสติกส์ให้ทั่วถึงในแต่ละภูมิภาค ลดต้นทุนโลจิสติกส์เพื่อช่วยเหลือ ชดเชยผู้ประกอบการที่มีปัญหาต้นทุนในปัจจุบัน โดยการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการขนส่ง จากการขนส่งทางถนนไปสู่ทางรางและทางน้ำ พัฒนาท่าอากาศยานหลักในแต่ละภูมิภาคของประเทศ เริ่มโครงการรถไฟความเร็วสูงทั้งเส้นทาง ในเส้นทางหลัก กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ กรุงเทพฯ-ระยอง และเปิดเขตการค้าเสรีของประชาคมอาเซียน เป็นต้น ๓. ด้านกฎหมายที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ รัฐควรดำเนินการทบทวนและปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับนโยบายหลักของประเทศด้านระบบโลจิสติกส์ แก้กฎหมาย และปรับปรุงกฎระเบียบให้มีความบูรณาการและสอดคล้องต่อการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ และแก้ไขกฎระเบียบการขนส่งสินค้าและการเดินทางของผู้โดยสาร และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการข้ามพรมแดน รวมทั้งกำหนดผู้มีอำนาจใช้กฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายอย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพ เป็นต้น ๔. ด้านระบบบริหารจัดการ รัฐควรดำเนินการจัดตั้งทบวงโลจิสติกส์หรือองค์กรมหาชนเพื่อรับผิดชอบนโยบายหลักด้านโลจิสติกส์ของประเทศ จัดตั้งหน่วยงานที่จะเป็นศูนย์กลางในการรับผิดชอบอย่างเป็นรูปธรรม ปรับโครงสร้างการรถไฟแห่งประเทศไทย ให้ความสำคัญกับงานวิจัย ศูนย์ข้อมูล จัดตั้งศูนย์ควบคุมสั่งการระบบโลจิสติกส์ของประเทศ จัดสรรงบประมาณให้เพียงพอและสอดคล้องกับนโยบายและแผนงานโครงการ เร่งสร้างบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ ถ่ายทอดเทคโนโลยีจากผู้ชำนาญการจากต่างประเทศโดยเฉพาะการขนส่งทางราง จัดตั้งสถาบัน หลักสูตรโลจิสติกส์ในสถาบันการศึกษา หรือจัดตั้งสภาวิชาชีพโลจิสติกส์ เป็นต้น ๕. ด้านการมีส่วนร่วมของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รัฐควรดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เช่น จัดทำประชาพิจารณ์ ประชาสัมพันธ์โครงการ เวทีสนทนา การประชุมเชิงวิชาการ การสำรวจปัญหา/ความต้องการ และความพึงพอใจของประชาชนและผู้เกี่ยวข้อง สำรวจผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สำรวจความคิดเห็นของทั้งบุคลากร องค์กร สมาคม นักวิชาการ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต่อการดำเนินโครงการ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2171 | ร่างกฎกระทรวงงดรับจดทะเบียนรถที่ประกอบจากชิ้นส่วนของรถที่ใช้แล้วที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ พ.ศ. .... | คค | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๕ และวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๕๕ เกี่ยวกับการกำหนดระยะเวลาระงับการจดทะเบียนรถที่ประกอบจากชิ้นส่วนของรถที่ใช้แล้ว ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ตัวถังของรถยนต์นั่งที่ใช้แล้ว และโครงรถจักรยานยนต์ที่ใช้แล้ว เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ....] ซึ่งที่ประชุมได้มีมติให้แก้ไขเพิ่มเติมบทเฉพาะกาลในร่างกฎกระทรวงงดรับจดทะเบียนรถที่ประกอบจากชิ้นส่วนของรถที่ใช้แล้วที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว โดยแก้ไขจาก “ข้อ ๒ ผู้ใดประสงค์จะนำรถตามข้อ ๑ มาจดทะเบียนตามมาตรา ๑๐ ให้นำมาจดทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ” เป็น “ข้อ ๒ ผู้ใดประสงค์จะนำรถตามข้อ ๑ มาจดทะเบียนตามมาตรา ๑๐ ให้นำรถมาจดทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ เว้นแต่รถที่ต้องผ่านการทดสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ขึ้นบัญชีกับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมภายในสามสิบวันนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ ซึ่งต้องชำระภาษีสรรพสามิตและผ่านการทดสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมแล้ว ให้นำมาจดทะเบียนภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ” ๒. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงงดรับจดทะเบียนรถที่ประกอบจากชิ้นส่วนของรถที่ใช้แล้วที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๒.๑ กำหนดให้งดรับจดทะเบียนรถที่ประกอบจากชิ้นส่วนของรถที่ใช้แล้วที่เข้ามาจากต่างประเทศ ในเขตกรุงเทพมหานครและในเขตจังหวัดอื่นทุกจังหวัด ได้แก่ รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน ๗ คน รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน ๗ คน รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล และรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล ๒.๒ กำหนดให้ผู้ใดประสงค์จะนำรถมาจดทะเบียนตามมาตรา ๑๐ ให้นำมาจดทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ เว้นแต่รถที่ต้องผ่านการทดสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ขึ้นบัญชีกับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมภายในสามสิบวันนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ ซึ่งต้องชำระภาษีสรรพสามิตและผ่านการทดสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมแล้ว ให้นำมาจดทะเบียนภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับมาตรการป้องกันการนำชิ้นส่วนและโครงรถยนต์ที่ใช้แล้วมาประกอบหรือดัดแปลงเป็นรถยนต์ใหม่ และการกำหนดระยะเวลาการระงับจดทะเบียนรถยนต์ดังกล่าว ให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยเฉพาะผู้ประกอบการทั่วประเทศ เพื่อให้สามารถนำไปใช้ปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2172 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ยุทธศาสตร์การแข่งขันกล้วยไม้ไทยในตลาดโลก พ.ศ. 2554 - 2559 ปีงบประมาณ 2555 | กษ | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๓ (เรื่อง ยุทธศาสตร์การแข่งขันกล้วยไม้ไทยในตลาดโลก พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๙) ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ กรมส่งเสริมการเกษตรและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี ประกอบด้วย แผนงานเพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้านการตลาดส่งออก แผนงานส่งเสริมการผลิตกล้วยไม้คุณภาพ แผนงานพัฒนาและสร้างสรรค์นวัตกรรม แผนงานพัฒนาองค์กร และแผนงานส่งเสริมการใช้และสนับสนุนการส่งออก ๑.๒ ผลกระทบจากการดำเนินการ ๑.๒.๑ ปริมาณการส่งออกกล้วยไม้ตัดดอกของไทยในช่วงเดือนมกราคม-สิงหาคม ๒๕๕๕ ลดลงร้อยละ ๑๙.๓ (ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ปริมาณการส่งออก ๑๕,๓๕๐.๓๓ ตัน และ ๑๒,๓๘๑ ตัน ตามลำดับ) คิดเป็นมูลค่าลดลง ร้อยละ ๘.๓ (ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และปี พ.ศ. ๒๕๕๕ มูลค่าการส่งออก ๑,๔๕๑.๖ ล้านบาท และ ๑,๓๓๑.๐ ล้านบาท ตามลำดับ) ปริมาณการส่งออกกล้วยไม้ต้นของไทยลดลง ร้อยละ ๙.๑ (ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ปริมาณการส่งออก ๒๑.๙ ล้านต้น และ ๑๙.๙ ล้านต้น ตามลำดับ) แต่เมื่อคิดเป็นมูลค่าแล้วส่งออกเพิ่มขึ้น ร้อยละ ๓.๔ (ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และปี พ.ศ. ๒๕๕๕ มูลค่าการส่งออก ๓๗๑.๒ ล้านบาท และ ๓๘๓.๗ ล้านบาท ตามลำดับ) ๑.๒.๒ เกิดการดำเนินการแบบบูรณาการของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอื่นที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน สมาคมต่าง ๆ และสหกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับกล้วยไม้ เพื่อร่วมกันพัฒนาและแก้ไขปัญหาทำให้การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๒.๓ เกษตรกรมีการรวมกลุ่มกันเป็นสมาคม สหกรณ์ และคลัสเตอร์กล้วยไม้ ทำให้เกิดความเข้มแข็งในองค์กรเกษตรกร ๑.๒.๔ มีแผนยุทธศาสตร์ด้านการวิจัยกล้วยไม้ ๑.๒.๕ มีระบบเครือข่ายข้อมูลกล้วยไม้ (เว็บไซต์ Orchid Net) ๑ ระบบ ซึ่งจะพัฒนาไปสู่เว็บไซต์ระดับโลก (World Orchid Net) ในอนาคต ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรรายงานให้ทราบถึงสาเหตุของปัญหาที่พบและผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย เช่น ควรระบุปัญหาอุปสรรคกรณีที่หน่วยงานไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณตามกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ การส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศกับต่างประเทศที่เป็นตลาดหลักทั้งในด้านการผลิต การบริหารจัดการ และการตลาด การส่งเสริมให้มีการจับคู่ทางธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทยกับภาคเอกชนท้องถิ่นในตลาดใหม่ที่นิยมกล้วยไม้ไทย และเพิ่มการประชาสัมพันธ์จุดเด่นของกล้วยไม้ไทย การส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์การเรียนรู้และการประกวดกล้วยไม้นานาชาติ การเร่งสร้างความตระหนักรู้แก่เกษตรกรเรื่องการประกอบการตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี และการทำเกษตรอย่างยั่งยืน การรณรงค์ส่งเสริมให้เกษตรกรเห็นความสำคัญและสนใจในมาตรการควบคุมคุณภาพปัจจัยการผลิต และนำมาตรฐานสินค้าเกษตรมาใช้อย่างจริงจัง เพื่อจูงใจให้เข้าสู่ระบบการจัดการคุณภาพการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับพืช (Good Agricultural Practice ; GAP) การจัดทำโรดแมป (roadmap) และเป้าหมายรายทางของผลลัพธ์ที่จะเกิดในแต่ละช่วงเวลา การศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูลสินค้ากล้วยไม้เชิงเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งและคู่ค้าเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การขยายตลาดใหม่ ๆ ให้มากขึ้นเพื่อทดแทนตลาดส่งออกเดิมที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจ การส่งเสริมให้มีตลาดกลางในการประมูลกล้วยไม้เพื่อพัฒนากลไกตลาดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งการส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนใช้ดอกกล้วยไม้ของไทยอย่างแพร่หลายในการจัดงานและพิธีการต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2173 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร01 | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชนในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้ส่วนราชการให้ความสำคัญกับการเร่งรัดดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม โดยผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชนฯ ๑.๑ สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประชาชนแจ้งเรื่องร้องทุกข์ผ่านช่องทางต่างๆ รวมทั้งสิ้น ๑๑๗,๑๖๒ ครั้ง โดยผ่านช่องทางสายด่วนของรัฐบาล ๑๑๑๑ มากที่สุด รองลงมาคือ ช่องทางตู้ ปณ. ๑๑๑๑/ไปรษณีย์/โทรสาร ช่องทางเว็บไซต์ (www.1111.go.th) และช่องทางจุดบริการประชาชน ๑๑๑๑ ตามลำดับ ส่วนจำนวนเรื่องร้องทุกข์จำแนกตามประเภท ประชาชนร้องทุกข์ในประเภทเรื่องต่างๆ รวมทั้งสิ้น ๗๙,๗๒๒ เรื่อง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ เรื่องขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า รองลงมาคือ การปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ และการแก้ไขปัญหาเหตุเดือดร้อนรำคาญจากเสียง/กลิ่นเหม็น ตามลำดับ ๑.๒ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการจำแนกตามหน่วยงาน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งสิ้น ๓๓,๓๓๔ เรื่อง โดยหน่วยงานที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ๓ ลำดับแรก ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รองลงมาคือ กระทรวงยุติธรรม และสำนักนายกรัฐมนตรี ตามลำดับ รัฐวิสาหกิจ ได้แก่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รองลงมาคือ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ตามลำดับ ๑.๓ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการจำแนกตามองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และจังหวัด ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับ อปท. และจังหวัดต่างๆ รวมทั้งสิ้น ๑๙,๘๔๔ เรื่อง โดยเรียงลำดับจาก อปท. และจังหวัดที่ได้รับการประสานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ๓ ลำดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร รองลงมาคือ จังหวัดปทุมธานี และนนทบุรี ตามลำดับ ๒. รับทราบข้อมูลการร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นจากประชาชนในประเด็นที่เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ พบว่า ประชาชนร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวในจังหวัดที่มีพื้นที่ปลูกข้าวมาก ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ สุโขทัย และพิษณุโลก ตามลำดับ โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ ขอให้เร่งจ่ายเงินรับจำนำข้าว รองลงมาคือ ขอให้ตรวจสอบโรงสีที่เข้าร่วมโครงการ กับขอให้เร่งออกใบประทวนให้กับเกษตรกร ตามลำดับ และให้กระทรวงพาณิชย์ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักนำข้อมูลไปดำเนินการกำหนดนโยบาย แผนงาน และบูรณาการการทำงานระหว่างส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาการดำเนินงานของโครงการรับจำนำข้าวต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2174 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินการโครงการโชห่วยช่วยชาติ "ร้านถูกใจ" ครั้งที่ 2 | พณ | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการโชห่วยช่วยชาติ “ร้านถูกใจ” จากกรอบระยะเวลาเดิมซึ่งจะสิ้นสุดในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ออกไปอีก ๓ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ โดยใช้เงินงบประมาณคงเหลือจากวงเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติไว้เดิมตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ เรื่อง ขออนุมัติงบกลางเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการลดค่าครองชีพไทยช่วยไทย ๑.๒ แนวทางการดำเนินโครงการโชห่วยช่วยชาติ “ร้านถูกใจ” ในระยะต่อไป โดยการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ร้านถูกใจสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างยั่งยืน การใช้งบประมาณอย่างประหยัดเท่าที่จำเป็น และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินโครงการฯ ได้แก่ ๑.๒.๑ จัดหาสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพตรงกับความต้องการของประชาชนเพิ่มมากขึ้น โดยราคาจำหน่ายต่ำกว่าราคาตลาดไม่น้อยกว่าร้อยละ ๒๐ ๑.๒.๒ ขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ จากผู้ผลิต/ผู้จำหน่ายสินค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้า ๑.๒.๓ ปรับปรุงและพัฒนาระบบการบริหารจัดการโครงการฯ ในการจัดเตรียมสินค้าของผู้ผลิต/ผู้จำหน่ายสินค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ และการกระจายสินค้าให้ร้านถูกใจได้ตามระยะเวลาที่กำหนด และปริมาณสินค้าตามความต้องการเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ๑.๒.๔ ปรับลดหรือยกเลิกเงินอุดหนุนให้แก่ร้านถูกใจ โดยเพิ่มส่วนเหลื่อมการตลาดให้แก่ร้านถูกใจ เพื่อให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืน ๑.๒.๕ ประเมินผลร้านถูกใจและปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินโครงการฯ กรณีขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ จากผู้ผลิต/ผู้จำหน่ายสินค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้า หากผู้ผลิต/ผู้จำหน่ายสินค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ไม่สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าแล้ว ควรปรับวิธีการจัดเตรียมสินค้าที่มีแหล่งผลิตในภูมิภาคแทนการจัดเตรียมจากส่วนกลาง โดยเฉพาะข้าวสาร ข้าวเหนียว เพื่อลดปัญหาค่าใช้จ่ายสูงในการขนส่งและความล่าช้าในการจัดส่งสินค้าให้กับร้านค้าถูกใจในแต่ละพื้นที่ ส่วนปัญหาระบบการสั่งซื้อและการจัดส่งสินค้าล่าช้า รวมถึงผู้ผลิต/ผู้จำหน่ายสินค้ายังไม่สามารถผลิตและจัดส่งสินค้าได้ตรงตามความต้องการและระยะเวลาที่กำหนด ควรเร่งพัฒนาระบบการสั่งซื้อให้รวดเร็ว โดยอาจเพิ่มระยะเวลาหรือจำนวนรอบการสั่งซื้อเพิ่มขึ้นในแต่ละสัปดาห์ และจัดระบบการกระจายสินค้าในภูมิภาค และสำรวจความต้องการสินค้าของประชาชนในแต่ละพื้นที่ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการติดตามประเมินผลโครงการฯ เพื่อเป็นข้อมูลในการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของร้านถูกใจ รวมถึงการกำหนดแนวทางการช่วยเหลือในการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนที่มีประสิทธิผลในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาจัดทำแผนบริหารจัดการ “ร้านถูกใจ” ในระยะยาวภายหลังสิ้นสุดโครงการฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดการเครือข่ายขนส่งและการกระจายสินค้า เพื่อให้ “ร้านถูกใจ” ดำเนินการต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยไม่เป็นภาระงบประมาณ และสามารถจัดจำหน่ายสินค้าชนิดต่างๆ ให้แก่ประชาชนผู้บริโภคได้ในราคาที่เหมาะสมเป็นธรรมต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2175 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน สำหรับปี 2556 พ.ศ. .... | พณ | 25/12/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน สำหรับปี ๒๕๕๖ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยร่างประกาศฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ๑.๒ ให้ข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภทย่อย ๑๐๐๕.๙๐.๙๐ ซึ่งมีถิ่นกำเนิดและส่งตรงมาจากประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองตามที่กำหนดแสดงต่อกรมศุลกากรในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อประกอบการใช้สิทธิพิเศษทางด้านภาษีศุลกากร ทั้งนี้ การนำเข้าสินค้าดังกล่าวข้างต้นที่มีมูลค่าตามราคา เอฟ.โอ.บี. ไม่เกินสองร้อยดอลลาร์สหรัฐ ไม่ต้องแสดงหนังสือรับรองต่อกรมศุลกากรในการนำเข้า ๑.๓ องค์การคลังสินค้า (อคส.) เป็นผู้นำเข้า ต้องนำเข้าระหว่างวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ กรณีผู้นำเข้าทั่วไป ต้องนำเข้าระหว่างวันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๔ ให้กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษสำหรับการนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ตามข้อ ๑.๒ เข้ามาในราชอาณาจักร ในอัตราน้ำหนักสุทธิเมตริกตันละศูนย์บาท ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับบทอาศัยอำนาจตามร่างประกาศฯ ควรระบุให้ชัดเจนว่าเป็นการอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ วรรคหนึ่ง (๓) (๔) (๕) และ (๖) มาตรา ๖ และมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. ๒๕๒๒ เพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับฐานอำนาจในการออกประกาศฉบับนี้อันมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน นอกจากนี้ เห็นควรตัดข้อความ “...และต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดมาตรฐานควบคุมการนำเข้าตามพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. ๒๕๒๕” ออก เนื่องจากแม้จะไม่มีการกำหนดความดังกล่าวไว้ ผู้นำเข้าย่อมต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ฯ อยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องกำหนดไว้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงการคลัง โดยกรมศุลกากร รายงานผลการนำเข้าข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์จากต่างประเทศให้กระทรวงพาณิชย์ทราบเป็นระยะ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการปริมาณและราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไม่ให้มีผลกระทบกับเกษตรกรในประเทศ และให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการคลังร่วมมือกันในการบังคับใช้กฎหมายที่ด่านศุลกากรและตามแนวชายแดนต่างๆ อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันมิให้มีการลักลอบการนำเข้าสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2176 | การลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญาไทย และกรมทรัพย์สินทางปัญญาลาว เรื่องความร่วมมือทรัพย์สินทางปัญญา | พณ | 25/12/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญากระทรวงพาณิชย์ แห่งราชอาณาจักรไทย และกรมทรัพย์สินทางปัญญากระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เกี่ยวกับความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญา โดยให้อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ หลังจากได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ ผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ จะต้องได้รับหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดแนวทางการรณรงค์ สร้างความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ให้กับประชาชนได้รับทราบ โดยใช้สื่อในรูปแบบต่างๆ อันจะส่งผลให้ผู้ที่จะติดต่อทำธุรกิจการค้าระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวสามารถประกอบธุรกิจได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากนี้ ควรดำเนินการติดตามและประเมินผลความร่วมมือดังกล่าว เพื่อนำไปสู่การพิจารณาขยายขอบเขตความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญากับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในมิติอื่นเพิ่มเติม รวมทั้งการขยายขอบเขตความร่วมมือไปยังประเทศเพื่อนบ้านหรือประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ เพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. สำหรับการดำเนินความร่วมมือภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการอื่น เช่น ศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านและภูมิปัญญาท้องถิ่น ของกระทรวงวัฒนธรรม ให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมทรัพย์สินทางปัญญา) เชิญกระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2177 | ผลการประชุมเตรียมการของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนสำหรับการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 21 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 25/12/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมเตรียมการของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนสำหรับการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๑ และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๖-๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนเข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดทำความตกลงพันธมิตรทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) ๑.๑ รัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจอาเซียนเห็นชอบถ้อยคำของร่างปฏิญญาร่วมว่าด้วยการประกาศเริ่มการเจรจาความตกลง RCEP (Joint Declaration on the Launch of Negotiations for the Regional Comprehensive Economic Partnership) และได้เสนอแนะต่อผู้นำเพื่อร่วมแสดงเจตนารมณ์ร่วมกับผู้นำของประเทศ+๖ ที่จะเริ่มต้นกระบวนการเจรจาความตกลง RCEP ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยคาดหมายให้การเจรจาเสร็จสิ้นภายในสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อให้เป็นความตกลงที่มีคุณภาพสูงและทันสมัยบนผลประโยชน์ร่วมกันอย่างรอบด้านในการสนับสนุนการขยายการค้าและการลงทุนในภูมิภาค รวมทั้งส่งเสริมการเจริญเติบโตและการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียมกัน ๑.๒ ที่ประชุมรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจเห็นพ้องที่อาเซียนจะยังคงรักษาความเป็นศูนย์กลาง (ASEAN Centrality) ของอาเซียนในการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคไปพร้อมกับการก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ๒. การดำเนินการไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ๒.๑ ที่ประชุมเน้นย้ำเรื่องการดำเนินการตามข้อเสนอของคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่ได้เสนอต่อที่ประชุมผู้นำอาเซียนเพื่อการสร้างประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนให้สำเร็จตามเป้าหมาย โดยเฉพาะการเผยแพร่สาระสำคัญของ AEC ไปสู่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างแรงสนับสนุน AEC การจัดทำ AEC Priority Integration Programme ซึ่งกำหนดกิจกรรมหรือโครงการสำคัญที่ต้องดำเนินการโดยเร็วภายในปี ค.ศ. ๒๐๑๕ จัดสร้างกลไกในการจัดการมาตรการที่มิใช่ภาษีและมาตรการกีดกันทางการค้า การสร้างความเสมอภาคของระดับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกให้เกิดผลเป็นรูปธรรม รวมทั้งจัดทำ Trade Review and Policy Dialogue ซึ่งจะหารือแนวทางการดำเนินการต่อไป ๒.๒ ที่ประชุมหารือการจัดลำดับความสำคัญของมาตรการต่างๆ เพื่อมุ่งสู่การเป็น AEC โดยเบื้องต้นเห็นว่า มาตรการที่ต้องเร่งรัดดำเนินการ เช่น มาตรการที่มิใช่ภาษี การจัดทำคลังข้อมูลอาเซียน การเจรจาเปิดเสรีการค้าบริการ การจัดทำความตกลง RCEP การจัดทำความตกลงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอำนวยความสะดวกทางการค้าและการขนส่ง ๒.๓ รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนลงนามความตกลงว่าด้วยการเคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดาของอาเซียน ซึ่งทำให้การดำเนินงานตาม AEC Blueprint ของอาเซียนในเรื่องการค้าบริการมีความคืบหน้าไปอีกขั้น โดยความตกลงนี้จะช่วยอำนวยความสะดวกการเคลื่อนย้ายบุคลากรชั่วคราวในการดำเนินการด้านการค้าสินค้า การค้าบริการ และการลงทุนระหว่างประเทศ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเข้าเมืองชั่วคราวหรือการพำนักชั่วคราวของบุคคลธรรมดาจากประเทศสมาชิกหนึ่งเข้าไปยังเขตแดนของอีกประเทศสมาชิกหนึ่ง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2178 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "พระพุทธศาสนากับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการพัฒนาประเทศไทย" | สสป | 25/12/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "พระพุทธศาสนากับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการพัฒนาประเทศไทย" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเทคโนโลยีและการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐบาลควรนำหลักธรรมของพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะอริยมรรค และน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำรัส เป็นอุดมการณ์ของชาติ ชี้นำการบริหารและการพัฒนาประเทศ การดำรงชีวิตของคนไทยทุกระดับ เพื่อนำประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียนและประชาคมโลก ๒. รัฐบาลควรแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงทั้งในระดับชาติและระดับจังหวัด คณะกรรมการระดับชาติควรมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ มีหน่วยราชการ องค์การที่เกี่ยวข้อง ภาคศาสนา และภาคประชาชน ร่วมเป็นกรรมการ มีการดำเนินงานอย่างจริงจัง โดยกำหนดยุทธศาสตร์ แผนงาน โครงการ มีการติดตามประเมินผลและการติดตามผลเป็นประจำ ๓. รัฐบาลควรจัดทำแผนทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ถวายเป็นพุทธบูชา ในมหามงคลสมัยเฉลิมฉลองพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า โดยให้ภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วม รัฐบาลควรประกาศให้ประเทศไทยเป็นเมืองพระพุทธศาสนา เป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาของโลก ๔. รัฐบาลควรส่งเสริมการจัดตั้งและการดำเนินงานของสมัชชาชาวพุทธแห่งชาติ และสมัชชาชาวพุทธประจำจังหวัด เพื่อเป็นกลไกที่สำคัญในการพัฒนาชาวพุทธให้เป็นชาวพุทธผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เพื่อให้พระพุทธศาสนามีความเข้มแข็ง เป็นพลังที่สำคัญในการพัฒนาสังคม ให้เป็นสังคมที่ร่มเย็นเป็นสุข ประเทศชาติมีความมั่นคง ๕. รัฐบาลควรสนับสนุนให้มีการบัญญัติว่า "พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ" ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาในมหามงคลสมัยเฉลิมฉลองพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ๖. รัฐบาลควรส่งเสริมสถาบันหลักแห่งความมั่นคงของชาติ คือ สถาบันชาติ สถาบันศาสนา โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้มีความมั่นคงสถิตสถาพรตลอดไป ความสำคัญของ ๓ สถาบัน ปรากฏอยู่ในธงไตรรงค์ซึ่งเป็นธงชาติไทย ๗. รัฐบาลควรใช้มิติทางศาสนาและปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการป้องกันและแก้ไขสังคม โดยเฉพาะปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ปัญหายาเสพติด ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๘. ประเทศไทยควรเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ใน พ.ศ. ๒๕๕๘ และการเข้าสู่ประชาคมโลก โดยสร้างสรรค์แผ่นดินไทยให้เป็นแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง พัฒนาแผ่นดินไทยให้เป็นแผ่นดินแห่งปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นผู้พร้อมด้วยคุณภาพและคุณธรรม พัฒนาสังคมให้มีความสงบเรียบร้อย เป็นสังคมแห่งความสงบสุข อยู่ร่วมกันด้วยความเมตตาเอื้ออาทรต่อกัน เป็นประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองการปกครอง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2179 | ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านการเกษตร ปี พ.ศ. 2556 - 2559 | กษ | 25/12/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านการเกษตร ปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยยุทธศาสตร์ดังกล่าวประกอบด้วย ๓ ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ ๑.๑ ยุทธศาสตร์การปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ประกอบด้วย กลยุทธ์ที่ ๑ เตรียมความพร้อมและสร้างภูมิคุ้มกัน และกลยุทธ์ที่ ๒ การลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ๑.๒ ยุทธศาสตร์การเก็บกักและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตร ประกอบด้วย กลยุทธ์ที่ ๑ การพัฒนาระบบข้อมูลและองค์ความรู้ก๊าซเรือนกระจก และกลยุทธ์ที่ ๒ ส่งเสริม สนับสนุนการปรับระบบการผลิตสู่เกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ๑.๓ ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านการเกษตร ประกอบด้วย กลยุทธ์ที่ ๑ การพัฒนาเสริมสร้างองค์ความรู้ ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลยุทธ์ที่ ๒ สร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน กลยุทธ์ที่ ๓ เพิ่มศักยภาพบุคลากร กลยุทธ์ที่ ๔ พัฒนาการดำเนินงานตามกรอบความร่วมมือกับต่างประเทศ ด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ และกลยุทธ์ที่ ๕ สร้างกลไกในการติดตาม ขับเคลื่อนการพัฒนาการเกษตร ภายใต้การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศอย่างเป็นระบบ ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) เป็นประธาน เป็นหน่วยงานกลาง (Focal Point) รับไปประสานงานและบูรณาการร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยให้นำความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) และคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ เกี่ยวกับคำว่า “การท่องเที่ยวเกษตรเชิงอนุรักษ์” ควรใช้คำว่า “การท่องเที่ยวเชิงเกษตร” (Agro Tourism) ซึ่งเป็นความหมายสากลมากกว่า การให้ความสำคัญกับการนำยุทธศาสตร์ฯ สู่กระบวนการจัดทำแผนปฏิบัติการอย่างบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมสีเขียวที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน การเพิ่มเติมประเด็นที่เชื่อมโยงกับภาคการผลิตอื่นๆ เช่น อุตสาหกรรมอาหารที่จะแสดงให้เห็นถึงเส้นทางการลดก๊าซเรือนกระจก หรือวัฏจักรชีวิตผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และมีกรอบโยบายที่เหมาะสมและกลไกที่ควบคุมได้สำหรับความมั่นคงทางด้านอาหารและพลังงาน เช่น การกำหนดพื้นที่ เขตการผลิตพืช และการปรับปรุงพันธุ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิต เป็นต้น รวมทั้งการกำหนดให้มีการดำเนินการติดตามและประเมินผลการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณในแต่ละปีได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลที่เป็นรูปธรรม เป็นต้น ไปพิจารณาปรับปรุงยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านการเกษตรฯ ให้สมบูรณ์ชัดเจนและครบถ้วน และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบแนวทางเพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้มีการจัดทำยุทธศาสตร์เปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในด้านต่างๆ เพิ่มเติม ได้แก่ ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านสาธารณสุข มอบกระทรวงสาธารณสุขเป็นเจ้าภาพดำเนินการจัดทำ และยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านการเตรียมพร้อมรองรับภัยพิบัติ มอบกระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพดำเนินการจัดทำ แล้วให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2180 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนพฤศจิกายน 2555 | พณ | 25/12/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศ และรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๑๖.๔๑ เทียบกับเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๑๖.๘๒ ลดลง ร้อยละ ๐.๓๕ (เดือนตุลาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้น ร้อยละ ๐.๑๓) จากการลดลงของดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๐.๘๖ เนื่องจากการลดลงของหมวดผักและผลไม้ นมและผลิตภัณฑ์นม และเครื่องปรุงอาหาร ขณะที่สินค้าประเภทข้าวแป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง เนื้อสัตว์ เป็ดไก่ และสัตว์น้ำ และอาหารสำเร็จรูป มีราคาสูงขึ้น สำหรับดัชนีหมวดอื่นๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มลดลง ร้อยละ ๐.๐๒ ตามการลดลงของราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นสำคัญ ๒. พิจารณาเทียบกับดัชนีราคาเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ สูงขึ้น ร้อยละ ๒.๗๔ จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๑.๙๒ โดยดัชนีราคาหมวดข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้งสูงขึ้น ร้อยละ ๑.๓๔ ปลาและสัตว์น้ำ ร้อยละ ๓.๕๓ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๓.๒๑ เครื่องประกอบอาหาร ร้อยละ ๒.๓๔ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๒.๗๕ และอาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๓.๕๐ สำหรับดัชนีราคาหมวดอื่นๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้น ร้อยละ ๓.๒๗ จากการสูงขึ้นของหมวดเคหสถาน ร้อยละ ๓.๓๖ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ร้อยละ ๐.๙๙ หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล ร้อยละ ๑.๑๓ หมวดพาหนะ การขนส่ง และการสื่อสาร ร้อยละ ๔.๑๙ หมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๗.๖๔ หมวดการบันเทิงการอ่าน การศึกษาและการศาสนา ร้อยละ ๐.๕๐ ๓. พิจารณาดัชนีเฉลี่ย ๑๑ เดือนของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เทียบกับระยะเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สูงขึ้น ร้อยละ ๒.๙๖ จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๔.๙๓ และดัชนีหมวดอื่นๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้น ร้อยละ ๑.๗๐ ตามการสูงขึ้นของหมวดข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง ร้อยละ ๒.๒๔ เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ ร้อยละ ๑.๐๕ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๑๑.๕๕ เครื่องประกอบอาหาร ร้อยละ ๕.๗๒ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๒.๗๔ อาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๕.๗๙ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ร้อยละ ๐.๙๕ ค่าน้ำประปา ร้อยละ ๖.๓๖ ค่ากระแสไฟฟ้า ร้อยละ ๑๕.๓๘ ค่าเช่าบ้าน ร้อยละ ๐.๔๑ หมวดยานพาหนะ ร้อยละ ๐.๕๙ และน้ำมันเชื้อเพลิง ร้อยละ ๓.๖๐ ๔. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๐๘.๘๔ เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้น ร้อยละ ๐.๐๕ (เดือนตุลาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้น ร้อยละ ๐.๐๒) จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าและบริการ ได้แก่ ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำประปา วัสดุก่อสร้าง (แผ่นไม้อัด กระเบื้องซีเมนต์ใยหินมุงหลังคา ปูนซีเมนต์ อิฐ) ค่าของใช้ส่วนบุคคล (สบู่ถูตัว ยาสีฟัน ลิปสติก กระดาษชำระ ครีมนวดผม น้ำยาระงับกลิ่นกาย แป้งผัดหน้า) สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด [ผงซักฟอก ก้อนดับกลิ่น ไม้กวาด น้ำยารีดผ้า ผลิตภัณฑ์ซักผ้า (น้ำยาซักแห้ง) ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้น (น้ำยาถูพื้น)] ยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ (บุหรี่ สุรา) สำหรับสินค้าและบริการที่ราคาลดลง เช่น บริภัณฑ์อื่นๆ ร้อยละ ๐.๐๒ (ตู้เย็น หม้อหุงข้าวไฟฟ้า เตารีด เครื่องกรองน้ำ เตาอบไมโครเวฟ) และค่าอุปกรณ์การบันเทิง ร้อยละ ๐.๐๗ (เครื่องรับโทรทัศน์)
|
.....