ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 104 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 2061 - 2080 จากข้อมูลทั้งหมด 6672 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2061 | ผลการเยือนสาธารณรัฐโมซัมบิก สหสาธารณรัฐแทนซาเนีย และสาธารณรัฐยูกันดา | นร04 | 06/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ
๑. ผลการเยือนสาธารณรัฐโมซัมบิก สหสาธารณรัฐแทนซาเนีย และสาธารณรัฐยูกันดา ระหว่างวันที่ ๒๘ กรกฎาคม-๒ สิงหาคม ๒๕๕๖ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การเยือนสาธารณรัฐโมซัมบิก เป็นการเยือนประเทศแอฟริกาอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก เพื่อกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพ ซึ่งได้หารือถึงความร่วมมือในการฝึกอบรมบุคลากร การอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนในเรื่องภาษีและวีซ่า โดยประเด็นที่ฝ่ายโมซัมบิกสนใจเรียนรู้จากฝ่ายไทย คือ เรื่องอุตสาหกรรมอัญมณี ขณะที่ไทยให้ความสนใจเรื่องพลังงาน น้ำมัน และประมง เป็นต้น ๑.๒ การเยือนสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย เป็นการเยือนอย่างเป็นทางการครั้งแรก เพื่อกระชับความสัมพันธ์และเสริมสร้างความร่วมมือในลักษณะของการเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา ซึ่งได้หารือถึงการส่งเสริมความสัมพันธ์ด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การค้า การลงทุน และความร่วมมือทางด้านวิชาการและการพัฒนาศักยภาพในสาขาต่าง ๆ เช่น ก๊าซธรรมชาติ เหมืองแร่ การบริหารจัดการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ และการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและการอนุรักษ์สัตว์ป่า ซึ่งในส่วนของการบริหารจัดการและดูแลสัตว์ป่า สหสาธารณรัฐแทนซาเนียมีธรรมชาติและสัตว์ป่าที่มีลักษณะเฉพาะและมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ จึงได้มีการประกาศพื้นที่ควบคุมและให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากร และได้ริเริ่มการรักษาที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าพร้อมกับพัฒนาชุมชน รวมทั้งสหสาธารณรัฐแทนซาเนียมีการบริหารงานในเรื่องของการอนุรักษ์สัตว์ป่าร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน เพราะสัตว์ป่ามีการเคลื่อนย้ายไปมาตามฤดูกาล จึงมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) รับไปพิจารณาและประสานการดำเนินการร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดมาตรการและแนวทางในการวางระบบการบริหารจัดการและพัฒนาอุทยานแห่งชาติทุกแห่งในประเทศไทยแบบองค์ร่วม โดยมีการรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมกับเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ให้คนอยู่ร่วมกับสัตว์ป่าได้โดยไม่สร้างผลกระทบกับธรรมชาติของสัตว์ป่า ทั้งนี้ อาจจะเริ่มจากการกำหนดพื้นที่อุทยานแห่งชาตินำร่องในการพัฒนาก่อนเพื่อให้สามารถดำเนินการได้โดยเร็วและมีประสิทธิภาพ ๑.๓ การเยือนสาธารณรัฐยูกันดา เป็นการเยือนอย่างเป็นทางการตามคำเชิญของประธานาธิบดีสาธารณรัฐยูกันดา เพื่อกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือในลักษณะหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาและส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนให้ครอบคลุมในหลายสาขา โดยเฉพาะความมั่นคงด้านอาหาร เช่น การแปรรูปผลิตผลทางการเกษตร พลังงาน และอุตสาหกรรมเหมืองแร่ รวมถึงการเสริมสร้างความร่วมมือทางการค้าและการลงทุน เพื่อเป็นพื้นฐานในความร่วมมือระหว่างกันต่อไป ทั้งนี้ ฝ่ายไทยได้ขอยืมสัตว์จากยูกันดา จำนวน ๓ ชนิด เพื่อนำมาแสดงในสวนสัตว์ในประเทศไทย จึงมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) รับไปดำเนินการร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาและประสานงานในการขอยืมสัตว์ดังกล่าวที่มีความเหมาะสมกับประเทศไทยต่อไปด้วย ๒. ทั้งนี้ ในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศต่าง ๆ ในทวีปแอฟริกา ให้หน่วยงานหลักดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ กระทรวงพลังงานรับไปพิจารณาศึกษาแนวทางการพัฒนาความร่วมมือด้านพลังงาน กระทรวงสาธารณสุขรับไปดำเนินการให้ความช่วยเหลือด้านสาธารณสุข และกระทรวงพาณิชย์รับไปสำรวจช่องทางในการส่งออกสินค้าระหว่างไทยกับประเทศในทวีปแอฟริกา
|
||||||||||||||||||
2062 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนมิถุนายน 2556 | พณ | 30/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ เทียบกับเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๕ จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๗ จากการสูงขึ้นของหมวดยานพาหนะ การขนส่ง และการสื่อสาร สูงขึ้นร้อยละ ๐.๕๖ ตามการสูงขึ้นของดัชนีราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ร้อยละ ๑.๗๙ จากการสูงขึ้นของราคาขายปลีกโดยเฉลี่ยภายในประเทศ ตามภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลก ค่าบริการบำรุงรักษายานยนต์ ร้อยละ ๐.๐๙ และค่าโดยสารสาธารณะ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๖ ขณะที่ดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ลดลงร้อยละ ๐.๐๗ จากการลดลงของราคาหมวดผักและผลไม้เป็นสำคัญ ทำให้ดัชนีราคาลดลงร้อยละ ๒.๓๔ เนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก ส่งผลให้มีปริมาณผลผลิตเข้าสู่ตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะหมวดผักสด ดัชนีลดลงร้อยละ ๒.๙๙ และหมวดผลไม้สด ลดลงร้อยละ ๒.๙๕ ๒. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ เท่ากับ ๑๐๓.๐๗ เทียบกับเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๙ จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าและบริการ ได้แก่ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า นอกจากนี้ สินค้าและบริการอื่น ๆ ที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ ค่าเช่าบ้าน วัสดุก่อสร้าง สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาดในบ้าน ค่าตรวจรักษาและค่ายา ค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล และค่าบริการส่วนบุคคล ค่าเล่าเรียน ค่าเรียนพิเศษ และหมวดเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์
|
||||||||||||||||||
2063 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน สำหรับปี พ.ศ. 2556 (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 (ขยายระยะเวลาการนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรี อาเซียน ปี 2556) | พณ | 30/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๖ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๖ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขความใน (๒) ของข้อ ๔ ของประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียนสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๖ พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยกำหนดให้ผู้นำเข้าทั่วไป ต้องนำเข้าระหว่างวันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ และต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดมาตรฐานควบคุมการนำเข้าตามพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. ๒๕๒๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการนโยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เห็นควรเร่งประชาสัมพันธ์การขยายกรอบระยะเวลาการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ดังกล่าวให้กับภาครัฐและเอกชน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ ตลอดจนควรบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เข้มงวดกับกระบวนการตรวจสอบคุณภาพสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์นำเข้า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยอาหารของอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ในประเทศ รวมทั้งพิจารณามาตรการป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบกับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และพิจารณาให้มีการเพิ่มผลผลิตภายในประเทศโดยการจัดทำโซนนิ่งสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ นอกจากนี้ ต้องดูแลคุ้มครองเกษตรกรและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในระบบอุตสาหกรรมให้ได้รับความเป็นธรรมและสามารถเกื้อกูลกันอย่างเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
2064 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "นโยบายแอลกอฮอล์เพื่ออนาคตเยาวชนไทย" | สสป | 19/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "นโยบายแอลกอฮอล์เพื่ออนาคตเยาวชนไทย" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "นโยบายแอลกอฮอล์เพื่ออนาคตเยาวชนไทย" โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เร่งผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตัวบทกฎหมายหรืออนุบัญญัติที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย แผนงาน และการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ควรเร่งผลักดันให้มีการบังคับใช้ ได้แก่ การกำหนดสถานที่หรือบริเวณห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รอบสถานศึกษา การกำหนดหรือการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เน้นกลุ่มเป้าหมายที่เยาวชน และการปรับปรุงเนื้อหาอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการห้ามโฆษณาเพียงบางส่วนเข้มข้นขึ้น ๑.๒ ส่งเสริมและสนับสนุนให้พนักงานเจ้าหน้าที่ และเจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และกำหนดมาตรการลงโทษในการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ควรเพิ่มระดับความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายเนื่องจากเป็นแนวทางที่มีประสิทธิผลในการจัดการปัญหาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งกับเยาวชนและสังคมในภาพรวม ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะไม่สามารถเกิดประสิทธิผลได้ หากการบังคับใช้กฎหมายยังไม่มีความเข้มงวดในข้อห้าม ๔ ประการ ได้แก่ การห้ามขายผู้ที่อายุต่ำกว่า ๒๐ ปี การห้ามขายนอกเวลาที่กำหนด การห้ามขายและห้ามดื่มในสถานที่ที่กำหนด และการเปิด-ปิดสถานบันเทิงตามเวลาที่กำหนด ๑.๓ ขึ้นภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เต็มเพดาน เพื่อลดความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างประเภทเครื่องดื่ม และเพื่อเพิ่มรายได้ให้รัฐ เนื่องจากการดำเนินการดังกล่าว สามารถช่วยอุดช่องว่างการเก็บอัตราภาษี ณ ปัจจุบัน โดยยังไม่จำเป็นต้องรื้อหรือปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ อีกทั้งยังเป็นการดำเนินการที่ไม่ซับซ้อน แต่สามารถช่วยเพิ่มรายได้ภาษีสรรพสามิตให้กับรัฐได้ ๑.๔ เตรียมการรองรับการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายจากการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ โดยยืนยันตามมติคณะรัฐมนตรีในการไม่รวมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นรายชื่อสินค้าภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างประเทศ ทั้งในระดับทวิภาคี และพหุภาคี และยืนยืนมติคณะรัฐมนตรีในการถอน (Bracketing) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบริการที่เกี่ยวข้องออกรายชื่อสินค้าในข้อตกลงการเจรจาการค้าที่ได้ลงนามและมีผลบังคับใช้ไปแล้ว ตามมติคณะรัฐมนตรีที่รับรองมติสมัชชาสุขภาพครั้งที่ ๒ มติ ๕ ยุทธศาสตร์นโยบายแอลกอฮอล์ระดับชาติ ในยุทธศาสตร์ที่ ๕ ที่ว่าด้วยมาตรการปกป้องความเข้มแข็งของนโยบายแอลกอฮอล์จากผลกระทบของข้อตกลงการค้า ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์รับข้อสังเกตของรัฐมนตรีว่าการกระทรวง สาธารณสุขที่มีข้อสังเกตว่า ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๓ เห็นชอบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๒ เรื่อง ยุทธศาสตร์นโยบายแอลกอฮอล์ระดับชาติ เกี่ยวกับมาตรการปกป้องความเข้มแข็งของนโยบายแอลกอฮอล์จากผลกระทบของข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศในการไม่รวมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นรายชื่อสินค้าภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างประเทศทั้งในระดับทวิภาคี และพหุภาคี นั้น อาจมีผลกระทบกับเศรษฐกิจของประเทศ ไปพิจารณา หากมีเหตุผลความจำเป็นที่จะต้องทบทวนมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ก็ให้กระทรวงสาธารณสุขนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||
2065 | การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ | 19/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการในการแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามความในมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ตามลำดับ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้ครอบคลุมถึงกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทวงพาณิชย์ด้วย ดังนี้
๑. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ๒. นายยรรยง พวงราช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
|
||||||||||||||||||
2066 | การเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐวานูอาตู | นร04 | 19/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการเข้าร่วมการประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ ๒ ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ และการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล ของนายโมอานา การ์กัซ คาโลซิล นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐวานูอาตู ระหว่างวันที่ ๑๘-๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ของกระทรวงการต่างประเทศ และมอบหมายกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ พิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยสรุปผลการเยือนได้ ดังนี้
๑. นายกรัฐมนตรีวานูอาตูได้กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ ๒ ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ โดยกล่าวถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระอัจฉริยภาพด้านการบริหารจัดการน้ำ และการดำเนินงานด้านการบริหารจัดการอุทกภัยเมื่อปี ๒๕๕๔ ของรัฐบาลไทย แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ของวานูอาตูและกลุ่มประเทศหมู่เกาะแปซิฟิกที่ต้องเผชิญกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และปัญหาที่ประชากรจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงแหล่งน้ำสะอาด นอกจากนี้ ได้แสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับความสำคัญของเจตจำนงทางการเมือง การบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคด้านน้ำและสุขาภิบาล รวมทั้งการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการวางแผนและแก้ปัญหาด้านน้ำ ๒. นายกรัฐมนตรีวานูอาตูและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการและการพัฒนาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐวานูอาตู โดยมีนายกรัฐมนตรีของไทยเป็นสักขีพยาน ๓. นายกรัฐมนตรีวานูอาตูและนายกรัฐมนตรีของไทยได้หารือร่วมกันระหว่างงานเลี้ยงอาหารค่ำ โดยนายกรัฐมนตรีของไทยได้แสดงความพร้อมที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์ไทย-วานูอาตูในทุกมิติ อาทิ การเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุน ความร่วมมือทางวิชาการ และความร่วมมือด้านการเกษตร ในส่วนของนายกรัฐมนตรีวานูอาตูเห็นว่า ประเทศไทยเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมการเกษตรและโครงสร้างทางเศรษฐกิจของวานูอาตู โดยหวังว่า บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการและการพัฒนาระหว่างไทยกับวานูอาตูจะเป็นช่องทางในการแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ และความรู้ด้านการพัฒนาระหว่างกัน รวมทั้งประสงค์ขอรับความช่วยเหลือจากรัฐบาลไทยในการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์การจัดประชุมระหว่างประเทศเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่วานูอาตูจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม Commonwealth Heads of Government Meeting (CHOGM) ในปี ๒๕๖๐ นอกจากนี้ ยืนยันที่จะให้การสนับสนุนไทยในการลงสมัครสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ วาระปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๑๘ และสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ วาระปี ค.ศ. ๒๐๑๕-๒๐๑๗ ๔. กิจกรรมอื่น ๆ ระหว่างการเยือนประเทศไทยของนายกรัฐมนตรีวานูอาตู ได้แก่ การเยี่ยมชมศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ การพบปะกับภาคเอกชนไทย การศึกษาดูงานเกี่ยวกับการแปรรูปและบรรจุข้าวเพื่อส่งออกของโรงงานบริษัท วรรณภพ จำกัด จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และการศึกษาดูงานการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (medical tourism) ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
|
||||||||||||||||||
2067 | การติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านความมั่นคงและปลอดภัยของประชาชน ประจำเดือนพฤษภาคม 2556 | นร04 | 19/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านความมั่นคงและปลอดภัยของประชาชน ประจำเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ในขณะนั้น ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๘๑/๒๕๕๕ เรื่อง มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีติดตามงานตามนโยบายของรัฐบาล ลงวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. สร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติและฟื้นฟูประชาธิปไตย สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้ดำเนินการเกี่ยวกับคดีอาญาที่มีลักษณะเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งในทางการเมือง การให้ความช่วยเหลือเยียวยาด้านการเงินตามหลักมนุษยธรรม (ความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย) จากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง (พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๕๓) จำนวน ๒,๒๘๐ ราย และการเยียวยาแก่ผู้ที่ทรัพย์สินเสียหาย มีผู้ได้รับผลกระทบที่ลงทะเบียนไว้แล้ว จำนวน ๑๖,๒๘๖ ราย ๒. กำหนดให้การแก้ไขและป้องกันปัญหายาเสพติดเป็น “วาระแห่งชาติ” สำนักงาน ป.ป.ส. ได้ดำเนินการตามยุทธศาสตร์ ๗ แผนงานหลัก ได้แก่ การแก้ไขปัญหายาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน จำนวน ๖๖,๘๙๔ หมู่บ้าน/ชุมชน (ร้อยละ ๗๙.๓๓) และการแก้ไขปัญหาผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดโดยการนำเข้าสู่ระบบบำบัดรักษาทั้ง ๓ ระบบ จำนวน ๒๓๘,๘๗๔ ราย (ร้อยละ ๗๙.๖๒) และการสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันยาเสพติดให้แก่นักเรียน ป.๕ และ ป.๖ จำนวน ๑,๐๔๗,๓๙๙ ราย (ร้อยละ ๖๙.๘๓) ๓. ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐอย่างจริงจัง สำนักงาน ก.พ.ร. ได้ดำเนินการ ๕ ประการ คือ การปลูกจิตสำนึกและสร้างความตระหนักรู้ การพัฒนาองค์กร การตรวจสอบเฝ้าระวังเชิงรุก การปราบปรามที่จริงจังและการลงโทษที่เข้มงวด และการดำเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๔. ส่งเสริมให้มีการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการและเร่งรัดขยายเขตพื้นที่ชลประทาน สำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติได้ดำเนินโครงการตามแผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตของประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ๘ ลุ่มน้ำ และพื้นที่ลุ่มน้ำอื่น ๆ ๑๗ ลุ่มน้ำ ได้แก่ การบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการและเร่งรัดขยายเขตพื้นที่ชลประทาน โดยการจัดการน้ำชลประทาน การจัดหาแหล่งน้ำ สนับสนุนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ การป้องกันและบรรเทาอุทกภัยพื้นที่การเกษตรและพื้นที่เศรษฐกิจ และการก่อสร้างโครงการชลประทานขนาดใหญ่ ๑๐ โครงการ การวางแผนจัดสรรน้ำทั่วประเทศในช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๕/๒๕๕๖ การวางแผนเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง การพัฒนาแหล่งน้ำชุมชน การก่อสร้างแหล่งน้ำในไร่นานอกเขตชลประทาน และการปฏิบัติการฝนหลวง ๕. เร่งนำสันติสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนกลับมาสู่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติได้บูรณาการในการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การจัดทำโครงการและกิจกรรมตามนโยบายและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ ภายใต้วัตถุประสงค์ ๙ ข้อ ได้แก่ การเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับสังคมจังหวัดชายแดนภาคใต้และทุกคนในพื้นที่ดำรงชีวิตได้ปกติสุข การขจัดและป้องกันไม่ให้เกิดเงื่อนไขที่หล่อเลี้ยงและเอื้อต่อการใช้ความรุนแรงจากทุกฝ่าย การเสริมสร้างความเข้าใจและฟื้นความไว้วางใจระหว่างรัฐกับประชาชนและระหว่างประชาชนด้วยกันให้เกิดความร่วมมือในการพร้อมเผชิญปัญหาร่วมกัน ฯลฯ ๖. เร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์และพัฒนาความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและนานาประเทศ กระทรวงการต่างประเทศรายงานการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงและการประชุมทวิภาคีระดับสูงกับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศในอาเซียนของนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ การประชุมในกรอบอาเซียน การแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงและการประชุมทวิภาคีระดับสูงกับประเทศที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์และเป็นตลาดใหม่ เป็นต้น ๗. เร่งเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ดำเนินการเร่งเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งมีสถิติการท่องเที่ยวจากต่างประเทศใน ๒ ไตรมาส เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๑.๒๘ และได้มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เชิญชวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศให้มาท่องเที่ยวประเทศไทยผ่านทางสื่อโฆษณาต่าง ๆ ได้แก่ สื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ สื่อกลางแจ้ง และสื่อดิจิตอล ประมาณ ๒,๓๒๘ ครั้ง ๘. สนับสนุนการพัฒนางานศิลปหัตถกรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชนเพื่อการสร้างเอกลักษณ์และการผลิตสินค้าในท้องถิ่น (OTOP และ SMEs) กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ดำเนินโครงการ/กิจกรรมหลายประการ ได้แก่ การจัดงาน OTOP Midyear 2013 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็คเมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี และการจำหน่ายสินค้า OTOP ในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ๙. เร่งรัดและผลักดันการปฏิรูปการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง กระทรวงมหาดไทยได้จัดการส่งเสริมวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โครงการจัดเวทีการพูดจาหาทางออกประเทศไทย และการสนับสนุนการจัดเวทีประชาเสวนาหาทางออกประเทศไทย
|
||||||||||||||||||
2068 | การติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนพฤษภาคม 2556 | นร04 | 19/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) รายงานผลการติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ประกอบด้วย การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ สร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค การปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน (กองทุนหมู่บ้าน SML) การยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการปฏิรูปการจัดการที่ดิน (นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ซึ่งจากรายงานผลการดำเนินงานของส่วนราชการต่าง ๆ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) พิจารณาแล้ว มีความเห็น ดังนี้
๑. โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกวา ๕๐๐,๐๐๐ บาท ในส่วนการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ดำเนินโครงการสำหรับสหกรณ์การเกษตรหรือสถาบันเกษตรกร โดยพักหนี้หรือลดภาระหนี้ให้แก่สมาชิก เป็นระยะเวลา ๓ ปี ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณากรอบวงเงินในการดำเนินโครงการ โดยขณะนี้เวลาได้ล่วงเลยมาพอสมควรแล้ว จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเร่งรัดการดำเนินการในเรื่องดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์พิจารณาจัดทำข้อมูลเชิงเปรียบเทียบระหว่างจำนวนเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนในโครงการรับจำนำข้าว และจำนวนเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าว รวมถึงหาสาเหตุที่ทำให้จำนวนเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนและเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวมีความแตกต่างกัน ๓. ตามที่กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการติดตาม ตรวจสอบการรับจำนำสินค้าเกษตร และพบการกระทำความผิด จึงเห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามขั้นตอนตามที่เห็นสมควรและรายงานให้ทราบ ๔. ปัญหาในการดำเนินการของคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ (กบช.) ที่อาจจะทำให้ไม่สามารถใช้งบประมาณได้ทัน เห็นควรให้กรมที่ดินประสานงานกับสำนักงบประมาณเพื่อหาแนวทางในการดำเนินการเกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อให้การดำเนินการของ กบช. เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป
|
||||||||||||||||||
2069 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "มาตรการเชิงรุก - เชิงรับ สำหรับสินค้าเกษตร (ยางพารา) เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน" | สสป | 19/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "มาตรการเชิงรุก - เชิงรับ สำหรับสินค้าเกษตร (ยางพารา) เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง องค์การสวนยาง กรมวิชาการเกษตร และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ มีดังนี้
๑. ปรับปรุงกฎระเบียบ นโยบาย โครงสร้างองค์กร ในการบริหารจัดการสินค้าเกษตร (ยางพารา) ทั้งระบบให้เข้มแข็ง โดย ๑.๑ เร่งรัดผลักดันให้ร่างพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทยผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา และมีผลบังคับใช้ในทางปฏิบัติโดยเร็ว เพราะจะส่งผลให้อุตสาหกรรมยางพารา ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ได้รับการดูแลและพัฒนาอย่างเป็นระบบ ๑.๒ ส่งเสริมให้มีการรวมตัวกันเป็นเครือข่ายวิสาหกิจ (Cluster) ที่มีการกำหนดทิศทาง เป้าหมาย รวมทั้งกลยุทธ์ในการพัฒนาร่วมกัน ๑.๓ ส่งเสริมสนับสนุนให้เกษตรกรเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร (ยางพารา) ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๘๔ (๑๔) ในการทำอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางขั้นปฐม ๑.๔ ส่งเสริมในด้านการวิจัยและพัฒนา โดยเน้นการวิจัยเพื่อให้มีการปรับตัวและใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่การแข่งขันเมื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ๑.๕ ส่งเสริมให้มีการเพิ่มผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่และลดต้นทุนการผลิต พร้อมทั้งส่งเสริมเกษตรกรมีการแปรรูปยางให้มากขึ้นภายใต้การควบคุมผลผลิตให้มีมาตรฐาน ๑.๖ จัดระบบการบริหารเงินสงเคราะห์การทำสวนยาง (CESS) ควบคู่กับทำการศึกษาแนวทางการจัดเก็บเงินสงเคราะห์การทำสวนยาง ในการส่งยางออกนอกราชอาณาจักร ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงโครงสร้างอุตสาหกรรมยางทั้งระบบ และความได้เปรียบเสียเปรียบทางการค้าระหว่างประเทศ ๑.๗ กำหนดทิศทางและนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยางของภาครัฐ ให้มีความชัดเจนและต่อเนื่อง ๑.๘ รัฐควรเตรียมความพร้อมในระบบขนส่งและการบริหารจัดการระบบขนส่ง (Logistics) ให้มีประสิทธิภาพ รวมถึงระบบศุลกากรและการอำนวยความสะดวก ๑.๙ ทบทวนข้อบังคับและกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายบทบัญญัติที่เป็นอุปสรรคต่อการเปิดเสรีในเรื่องยาง โดยเฉพาะการห้ามนำยางเข้ามาจากต่างประเทศ ซึ่งอาจเป็นปัญหาในการเคลื่อนย้ายสินค้าในอาเซียน ๒. ยกระดับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มประเทศอาเซียน โดย ๒.๑ ให้ผู้แทนประเทศผู้ผลิตยางพาราทั้งหมดในอาเซียน เข้ามามีส่วนร่วมการจัดทำ Road Map ในการพัฒนาอุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยางของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่ประเทศมาเลเซียเป็นผู้ได้รับมอบหมายให้จัดทำ ๒.๒ ปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารงานร่วมกันขององค์กรยางพารา ๓ ประเทศ (ไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย) และบริษัทร่วมทุน รวมถึงควรเชิญประเทศผู้ผลิตยางพาราทั้งหมดในอาเซียนเข้าร่วมในองค์กร/บริษัทร่วมทุน เพื่อเป็นการผนึกกำลังภายในกลุ่มอาเซียนให้มีความเป็นเอกภาพเรื่องราคา ๒.๓ ควรประสานความร่วมมือด้านการบริหารจัดการระบบขนส่ง (Logistics) เน้นประสิทธิภาพการขนส่งทางบก ทางน้ำ และทั้งระบบ โดยการบูรณาการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ๒.๔ ยกระดับเพื่อกำหนดมาตรฐานวิชาชีพยางในกลุ่มประเทศอาเซียน ส่งเสริมความรู้ทางวิชาการยางของกลุ่มประเทศอาเซียนให้แพร่หลายและเป็นที่รู้จัก ตลอดจนส่งเสริมการจัดตั้งสมาคมนักวิชาการด้านยางพาราของอาเซียน เพื่อพัฒนาผลงานและแลกเปลี่ยนความรู้/เทคโนโลยีระหว่างกัน ๒.๕ เน้นการมีจุดยืนร่วมกันในเวทีโลก โดยเป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตยางพารารายใหญ่ที่มีการประสาน/มีอำนาจต่อรองกับผู้ใช้ยางธรรมชาติในโลก รวมถึงส่งเสริมให้ประเทศไทยในฐานะผู้นำการส่งออกเป็นอันดับหนึ่งของโลก เป็นศูนย์กลางยางพาราโลก
|
||||||||||||||||||
2070 | การลงนามข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐโมซัมบิก | พณ | 19/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการจัดทำและเห็นชอบข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐโมซัมบิก เพื่อเป็นแนวทางในการกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างสองประเทศที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม โดยร่างข้อตกลงฯ มีสาระสำคัญครอบคลุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจด้านต่าง ๆ ประกอบด้วย การอำนวยความสะดวกและการส่งเสริมทางการค้าและการลงทุน การส่งเสริมการลงทุนร่วมระหว่างภาคเอกชนสองฝ่าย และความร่วมมือทางเศรษฐกิจในสาขาที่สองฝ่ายมีศักยภาพ อาทิ เกษตร ป่าไม้ ประมง ปศุสัตว์ อัญมณีและเครื่องประดับ แร่ธาตุ และพลังงาน เป็นต้น รวมทั้งการตั้งกลไกการหารือภายใต้คณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ระหว่างไทยและโมซัมบิก เพื่อเป็นเวทีในการหารือเพื่อแก้ไขปัญหาทางการค้า และส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลงนามข้อตกลงฯ ๑.๓ หากมีการแก้ไขเพิ่มเติมถ้อยคำของร่างข้อตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ โดยถ้อยคำดังกล่าวสอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของประเทศไทย ให้กระทรวงพาณิชย์สามารถพิจารณาดำเนินการได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับข้อบทความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ ข้อบทที่ ๖ (Article 6 Economic Cooperation) ที่มีการระบุคำว่าการเกษตร (agriculture) ซึ่งคำดังกล่าวครอบคลุมถึงพืชและสัตว์อยู่แล้ว จึงขอให้พิจารณาตัดคำว่า ปศุสัตว์ (livestock) และในส่วนของสาขาการประมง (fisheries) ซึ่งครอบคลุมถึงการเพาะเลี้ยงสัตว์ (aquaculture) จึงขอให้ตัดคำว่าการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (aquaculture) ออก สำหรับการตั้งกลไกการหารือภายใต้คณะกรรมการร่วมทางการค้าเพื่อเป็นเวทีในการหารือเพื่อแก้ปัญหาและส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน ควรดำเนินการอย่างรอบคอบ โดยควรหารือกับหน่วยงานที่มีความเกี่ยวข้องกับสาขาความร่วมมือครอบคลุมด้านต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงพลังงาน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
2071 | ผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวง (กปส.) ครั้งที่ 1/2556 | กษ | 19/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวง (กปส.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองประธานกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวงเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ คณะกรรมการรับทราบผลการดำเนินงานของโครงการหลวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ซึ่งผลการดำเนินงานของโครงการหลวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีผลงานที่ดีมาก แต่ยังต้องมีการสนับสนุนการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติมเพื่อทำให้ระบบโลจิสติกส์สำหรับขนส่งผลผลิตสู่ผู้บริโภคมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งขณะนี้รัฐบาลมีแผนในการลงทุนด้านโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐาน และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรประสานงานขอความร่วมมือจากโครงการหลวงในการจัดทำการแบ่งเขต (zoning) การส่งเสริมการปลูกพืชให้เหมาะสมกับสภาพดินและน้ำต่อไป จึงมีมติมอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานงานกับโครงการหลวงเพื่อขอความร่วมมือในการจัดทำ zoning การส่งเสริมการปลูกพืชให้เหมาะสมกับสภาพดินและน้ำ และประสานงานกับกระทรวงคมนาคมเพื่อขอรับการสนับสนุนในเรื่องระบบโลจิสติกส์ที่ครบวงจรต่อไป ๑.๒ คณะกรรมการได้พิจารณายุทธศาสตร์ แผนงาน และคำของบประมาณของหน่วยงานต่าง ๆ ที่สนับสนุนโครงการหลวง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เห็นชอบในหลักการยุทธศาสตร์ แผนงาน และคำของบประมาณของหน่วยงานต่าง ๆ ที่สนับสนุนโครงการหลวง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่สนับสนุนศูนย์พัฒนาโครงการหลวง จำนวน ๓๘ แห่ง และโครงการขยายผลโครงการหลวง จำนวน ๒๙ แห่ง โดยงบประมาณด้านการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานให้บูรณาการร่วมกับกระทรวงคมนาคม และงบประมาณด้านการปลูกป่าให้บูรณาการงานร่วมกับโครงการประชาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษา มหาราชินี และงบประมาณในส่วนอื่นมอบให้สำนักงบประมาณรับไปพิจารณาให้การสนับสนุนตามความเหมาะสมต่อไป ๒. สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อสนับสนุนโครงการหลวงให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ได้แก่ งบประมาณที่สนับสนุนศูนย์พัฒนาโครงการหลวง เป็นเงิน ๓๒๘,๓๐๐,๓๐๐ บาท งบประมาณที่สนับสนุนโครงการขยายผลโครงการหลวง เป็นเงิน ๓๐๒,๐๐๙,๗๐๐ บาท และงบประมาณด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในส่วนที่บูรณาการร่วมกับกระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวงชนบทได้เสนอตั้งงบประมาณ จำนวน ๕ สายทาง ระยะทางรวม ๔๘.๐๑๗ กิโลเมตร วงเงินงบประมาณทั้งสิ้น ๒๘๙,๖๓๐,๐๐๐ บาท ในส่วนของโครงการประชาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๖ อนุมัติแผนปฏิบัติโครงการฯ และวงเงินสำหรับการดำเนินโครงการฯ จำนวน ๒,๐๘๕,๓๓๖,๑๐๐ บาท ตามแผนการกู้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรพิจารณาส่งเสริมการทำตลาดและประชาสัมพันธ์สินค้าและผลิตภัณฑ์จากโครงการหลวงสู่ต่างประเทศให้มากขึ้น และการสนับสนุนกิจกรรมท่องเที่ยวของโครงการหลวง รวมทั้งการกำหนดแผนงาน/โครงการ ควรพิจารณาให้ครอบคลุมการเสริมสร้างให้คนและชุมชนมีจิตสำนึกด้านความมั่นคง โดยสนับสนุน ส่งเสริม และเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน นอกจากนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์หารือกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดเพื่อบูรณาการงานกับงบประมาณตามนโยบายของรัฐบาลที่ได้ผลักดันไว้แล้ว เช่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน และการจัดทำโซนนิ่งภาคเกษตร เป็นต้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานโครงการให้เพิ่มมากขึ้นทั้งในด้านการผลิต การตลาด และการขนส่งผลผลิตออกสู่ตลาด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
2072 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตกรณีการใช้นโยบายราคาเพื่อแก้ปัญหาสินค้าเกษตรที่เน่าเสียเร็ว | ปช | 19/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีการใช้นโยบายราคาเพื่อแก้ปัญหาสินค้าเกษตรที่เน่าเสียเร็ว ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ ๑.๑.๑ รัฐบาลต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนและรอบคอบว่า สมควรดำเนินนโยบายแทรกแซงราคา เพื่อแก้ปัญหาสินค้าเกษตรที่เน่าเสียเร็ว โดยการรับซื้อมาเก็บไว้เองหรือไม่ เนื่องจากสินค้าเกษตรเหล่านี้จะสูญเสียง่าย และก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมาก ๑.๑.๒ หากรัฐบาลจะดำเนินนโยบายแทรกแซงราคา แนวทางที่ควรจะดำเนินการ คือ การให้สินเชื่อแก่เกษตรกรในช่วงต้นฤดูการผลิตอย่างเพียงพอที่จะทำให้เกษตรกรสามารถอยู่ได้ตลอดฤดูการผลิต และให้เกษตรกรเป็นผู้เก็บรักษาผลผลิตทางการเกษตรระหว่างรอการจำหน่ายเอง โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบาย ด้วยกลไกของธนาคาร เนื่องจากมีระบบบัญชีที่ต่อเนื่องและมีวินัยทางการเงินที่เคร่งครัด ตรวจสอบได้ แต่หากรัฐบาลมีความจำเป็นจะต้องดำเนินนโยบายแทรกแซงราคา เพื่อแก้ไขปัญหาสินเค้าเน่าเสียเร็ว โดยการนำเงินงบประมาณไปใช้ในการรับซื้อสินค้าเกษตรไว้เอง ก็ควรที่จะมีมาตรการ หรือกลไกในการควบคุม กำกับ ดูแลให้รัดกุมมิให้เกิดปัญหาเช่นเดียวกับกรณีแก้ไขปัญหาราคาหอมแดงฤดูการผลิตปี ๒๕๕๔/๕๕ ที่มีการปล่อยปละละเลยให้บุคคลอื่นที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามามีอำนาจในการบริหารจัดการ รวมทั้งมีการนำหอมแดงที่ได้รับซื้อไว้แล้วกลับมาหมุนเวียนขายให้กับทางราชการซ้ำอีก ๑.๑.๓ รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน โดยดำเนินการตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา ตามนโยบายเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรก คือ การให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน การเพิ่มประสิทธิภาพของกลไกตลาด การจัดทำระบบทะเบียนครัวเรือนเกษตรกรให้สมบูรณ์ และนโยบายหลักในการบริหารประเทศที่จะดำเนินการภายในช่วงระยะ ๔ ปี ของรัฐบาลในส่วนของนโยบายปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภาคเกษตร โดยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูก ลดต้นทุนการผลิต พัฒนาระบบการผลิตที่เป็นขั้นตอน มีการวางแผนการผลิตและการจำหน่ายล่วงหน้าที่แม่นยำ ส่งเสริมการผลิตนอกฤดูกาล การแปรรูป ส่งเสริมการตลาด และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการกำกับดูแลสินค้าเกษตรร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการ และเมื่อได้ข้อสรุปแล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๓ ในระหว่างนี้หากมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการยกระดับราคาสินค้าเกษตร ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการด้วยความรอบคอบและสอดคล้องกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ๑.๔ ให้กระทรวงพาณิชย์ในฐานะที่กำกับดูแลองค์การคลังสินค้าดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีพนักงานองค์การคลังสินค้าถูกกล่าวหาร้องเรียนว่า ร่วมกันทุจริตในโครงการแก้ไขปัญหาราคาหอมแดง ฤดูการผลิตปี ๒๕๕๔/๒๕๕๕ ในจังหวัดศรีสะเกษ และหากพบว่ามีความผิดจริงตามที่ถูกกล่าวหาร้องเรียนให้ดำเนินการลงโทษตามกฎหมายอย่างจริงจัง แล้วรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยเร็วและอย่างต่อเนื่อง ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาตรวจสอบการดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎระเบียบของทางราชการ หากพบว่ามีการดำเนินการที่ผิดระเบียบและขั้นตอนที่ทางราชการกำหนด ก็ให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดและรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป |
||||||||||||||||||
2073 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (จำนวน 4 ราย 1. นายอารี ไกรนรา ฯลฯ) | พณ | 19/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน ๔ ราย ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. นายอารี ไกรนรา ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) ๒. นายชัยวัฒน์ ทรัพย์รวงทอง ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายยรรยง พวงราช) ๓. นายสมหวัง อัสราษี ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) ๔. นายสุวัฒน์ ม่วงศิริ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายยรรยง พวงราช)
|
||||||||||||||||||
2074 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 4/2556 | นร11 | 19/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีรายละเอียดข้อเสนอเพื่อพิจารณาของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) (สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป สรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ ข้อเสนอของ กกร. ๒.๑.๑ การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ๒.๑.๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมพิจารณาในรายละเอียดของความคุ้มค่าและความเหมาะสมของโครงการพัฒนานวัตกรรมการเลี้ยงโคนมและนมอินทรีย์ครบวงจร โดยเฉพาะรูปแบบและกลไกการบริหารจัดการที่ไม่เป็นภาระต่องบประมาณของรัฐในอนาคต รวมทั้งความเชื่อมโยงกับกลไกดำเนินงานที่มีอยู่ในพื้นที่ ๒.๑.๑.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการต่างประเทศ และภาคเอกชน เพื่อปรับปรุงประกาศกฎกระทรวงใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดสระบุรีตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๑.๓ ให้สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยจัดทำรายละเอียดคำร้องพร้อมเหตุผลการขอเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินต่อเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา เพื่อประกอบการปรับปรุงผังเมืองรวมพระนครศรีอยุธยาต่อไป และให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาเร่งรัดขั้นตอนการปรับปรุงประกาศกฎกระทรวงใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดสระบุรีตามพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. ๒๕๑๘ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๒.๑.๑.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมของโครงการพัฒนาคลัสเตอร์อุตสาหกรรมการเกษตร ตามที่ภาคเอกชนเสนอ รวมทั้งรูปแบบการบริหารจัดการของโครงการฯ อย่างยั่งยืน และความเชื่อมโยงกลไกดำเนินการที่มีอยู่ในพื้นที่ ๒.๑.๒ การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณา ๒.๑.๒.๑ เร่งรัดโครงการก่อสร้างถนน ๓ เส้นทาง [ถนนวงแหวนต่างระดับ ๙ สาย ตัด ๓๔๐ และตัด ๓๔๕ เชื่อมโยงจังหวัดนนทบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี, ทางด่วนโทลเวย์ (รังสิต-ประตูน้ำพระอินทร์) และเส้นทางหมายเลข ๓๒ ต่อเชื่อมกับสถานีรถไฟมาบพระจันทร์ ที่อำเภอนครหลวง (สถานีขนส่งสินค้า)] การขยายช่องจราจรจาก ๒ ช่องจราจร เป็น ๔ ช่องจราจร ๓ เส้นทาง [ถนนเลียบคลองเจ็ด ฝั่งตะวันตก (ปท. ๓๐๐๔) อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ระยะทาง ๑๐.๔ กิโลเมตร, เส้นทางหมายเลข ๓๒๙ (มาจากหินกอง) ช่วงอำเภอนครหลวง-อำเภอบางปะหัน เพื่อการขนส่งลงทางน้ำของแม่น้ำป่าสัก และถนน ๓๐๕๖ อำเภอภาชี-อำเภออุทัย-อำเภอบางปะอิน ชนหมายเลข ๓๒ เส้นทางหลักของทางออกนิคมอุตสาหกรรมโรจนะไปกรุงเทพมหานคร] และโครงการก่อสร้างขยายถนนหมายเลข ๙ จากแยกทางต่างระดับ ๓๔๐ (จังหวัดนนทบุรี พระนครศรีอยุธยา และปทุมธานี) จาก ๔ ช่องจราจร เป็น ๑๐ ช่องจราจร ตามที่ภาคเอกชนเสนอ ไปประกอบการพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของเส้นทางตามความจำเป็นและความเร่งด่วน เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีหรือการสนับสนุนจากแหล่งเงินกู้เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ วงเงิน ๒ ล้านล้านบาท ตามขั้นตอนต่อไป โดยให้พิจารณาข้อจำกัดของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย ๒.๑.๒.๒ รับข้อเสนอการขยายเส้นทางรถไฟสายสีม่วงจากบางใหญ่-ไทรน้อย (๒.๕ กิโลเมตร) และเชื่อมโยงกับรถไฟฟ้าสายสีชมพูบนถนนชัยพฤกษ์ ระยะทาง ๙ กิโลเมตร (สายสีทอง) ไปพิจารณาการออกแบบในภาพรวม โดยอาจดำเนินการจัดระบบขนส่งผู้โดยสารเพื่อเชื่อมต่อสถานีรถไฟฟ้าทั้งสองสายด้วย ๒.๑.๒.๓ รับข้อเสนอการสนับสนุนโครงการศึกษา ๒ โครงการ ได้แก่ การปรับปรุงสะพานนวลฉวีเพื่อการสัญจรทางน้ำ และการยกระดับเส้นทางรถไฟ เพื่อการแก้ไขปัญหาการจราจร กรณีเส้นทางรถไฟผ่ากลางเมือง จังหวัดสระบุรี ไปประกอบการศึกษาความเหมาะสมและความจำเป็นของโครงการ รวมทั้งพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการตามความจำเป็นและความเร่งด่วนเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณจากแหล่งเงินที่เหมาะสมต่อไป ๒.๑.๓ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒.๑.๓.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาในรายละเอียดของโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำและสถานีสูบน้ำคลองบางบัวทอง และเสนอต่อคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามข้อเสนอของภาคเอกชนต่อไป ทั้งนี้ ในการดำเนินการต้องทำความเข้าใจกับประชาชนและให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการติดตามตรวจสอบและประเมินผลโครงการอย่างใกล้ชิด ๒.๑.๓.๒ ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นและข้อเสนอแนะของภาคเอกชนไปประกอบการพิจารณาโครงการศึกษาความเหมาะสมของการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งพังในแม่น้ำป่าสัก และการพิจารณาจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางน้ำได้ตามเป้าหมาย ๒.๒ ข้อเสนอของ กกร./สทท. ๒.๒.๑ การส่งเสริมการท่องเที่ยว ๒.๒.๑.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอของภาคเอกชนไปหารือร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวัฒนธรรม สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และ สทท. เพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด โดยคำนึงถึงความเชื่อมโยงกับแผนแม่บทการอนุรักษ์พัฒนาและฟื้นฟูประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา และแนวทางการบริหารจัดการศูนย์บริการนักท่องเที่ยวให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากการท่องเที่ยวอยุธยาเมืองมรดกโลก รวมทั้งเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ๒.๒.๑.๒ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงมหาดไทย และ สทท. พิจารณาในรายละเอียดการพัฒนาถนนวัฒนธรรมไท-ยวนเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยให้คำนึงถึงการมีส่วนร่วมของชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรม การเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมภายในกลุ่มจังหวัดและการส่งเสริมด้านการตลาด ๒.๓ เรื่องอื่น ๆ รวม ๖ เรื่อง เสนอโดย สทท./กกร. ๒.๓.๑ การเร่งรัดการวางแผนการบริหารจัดการสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินภูเก็ต เพื่อเตรียมรองรับ High Season ๒.๓.๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักในการจัดตั้งคณะทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในรูปแบบเดียวกับที่เคยใช้แก้ไขปัญหากรณีท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ เพื่อแก้ไขปัญหาแออัดรองรับนักท่องเที่ยวของท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ตให้ทันกับฤดูกาลท่องเที่ยว ๒.๓.๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมประสานบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งรัดการเสนอแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกของท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานภูเก็ต โดยเฉพาะในด้านการรองรับปริมาณผู้โดยสารที่จะเดินทางสู่กรุงเทพฯ โดยคำนึงถึงการแก้ไขปัญหาด้านผลกระทบของสิ่งแวดล้อมโดยรอบของท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิด้วย ๒.๓.๒ แนวทางการรณรงค์เพื่อดำเนินการด้านการใช้แรงงานเด็กและการใช้แรงงานบังคับ (ตามรายงานกระทรวงแรงงานสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับสถานการณ์การใช้แรงงานเด็กและการใช้แรงงานบังคับ) ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงยุติธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมประชาสัมพันธ์ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาหาแนวทางและมาตรการป้องกันและแก้ไขร่วมกัน โดยใช้กลไกต่าง ๆ ที่มีอยู่ให้สามารถดำเนินงานได้อย่างเร่งด่วนและเป็นรูปธรรม ตลอดจนเผยแพร่แนวปฏิบัติด้านการใช้แรงงานที่ดีเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของอุตสาหกรรมและประเทศชาติต่อไป ๒.๓.๓ การทบทวนเกณฑ์การรวมธุรกิจที่ต้องขออนุญาตตามบทบัญญัติมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม และ กกร. พิจารณาการกำหนดแนวทางการหารือเพื่อทบทวนเกณฑ์การรวมธุรกิจที่ต้องขออนุญาต ตามบทบัญญัติมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยการพิจารณาให้คำนึงถึงผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจในทุกระดับทั้งระบบร่วมกัน ๒.๓.๔ การแก้ไขพระราชบัญญัติศุลกากรในประเด็นว่าด้วยโทษสำ
|
||||||||||||||||||
2075 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน" | สสป | 09/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. สนับสนุนการจัดอบรมและสัมมนาให้ผู้ประกอบการ SMEs ได้รับทราบข้อมูลและองค์ความรู้อย่างทั่วถึง ภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (Asean Economics Community - AEC) เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์จากข้อตกลงทางการค้าและการลงทุนต่าง ๆ มาตรการส่งเสริมการลงทุน ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎแหล่งกำเนิดสินค้า และคำแนะนำด้านการวางแผนธุรกิจ ๒. หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในการส่งเสริมอุตสาหกรรม SMEs ต้องบริหารจัดการแบบบูรณาการร่วมกัน เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงของข้อมูลและการดำเนินการต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งสนับสนุนงบประมาณในการจัดตั้งศูนย์กลางการให้บริการข้อมูลในทุก ๆ ด้านเกี่ยวกับการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศแบบ One Stop Service ๓. ยกระดับมาตรฐานทักษะฝีมือให้ตรงตามความต้องการของสถานประกอบการในแต่ละสาขา เนื่องจากอุตสาหกรรม SMEs ยังมีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพของบุคลากร ทั้งกลุ่มแรงงานที่มีทักษะฝีมือและกลุ่มแรงงานด้อยฝีมือ โดยเฉพาะทักษะฝีมือเฉพาะด้านและความสามารถด้านภาษา ทั้งนี้ ควรเน้นภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษากลางของอาเซียน ๔. สำรวจและติดตามสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอ เพื่อทราบถึงปัญหา อุปสรรค ข้อจำกัด และความต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนของผู้ประกอบการ ทั้งนี้ เพื่อการกำหนดมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากระบบการค้าและการลงทุนที่มีความซับซ้อนและการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ๕. สนับสนุนให้ผู้ประกอบการเข้าถึงกิจกรรมด้านการตลาดของภาครัฐอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน รวมทั้งให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ในทุก ๆ ด้าน ในการสร้างพันธมิตรและเครือข่ายทางธุรกิจกับผู้ประกอบการในอาเซียน ๖. สนับสนุนความร่วมมือระหว่างสถาบันวิจัยภาครัฐกับภาคอุตสาหกรรม โดยการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการให้การวิจัยและให้คำปรึกษาแก่ SMEs และให้มีการต่อยอดผลงานวิจัยมาใช้ในเชิงพาณิชย์อย่างจริงจัง รวมทั้งส่งเสริมการยกระดับมาตรฐานสินค้าและสร้างตราสัญลักษณ์ให้เป็นที่ยอมรับในตลาดส่งออก ๗. เร่งปรับปรุงและพัฒนากฎหมายไทยให้ทันสถานการณ์ สอดคล้อง และเอื้อต่อการค้าการลงทุนของอุตสาหกรรม SMEs ในการก้าวเข้าสู่ AEC ๘. ส่งเสริมการสร้างเขตการค้าของ SMEs เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs มีการรวมกลุ่มอยู่ในพื้นที่ที่มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการทำธุรกิจ และสนับสนุนการยกระดับศักยภาพของประเทศไทยในการเป็น Regional SMEs Hub ของอาเซียน ให้กับนักลงทุนและผู้ประกอบการจากทั่วโลก ๙. ควรมีนโยบายและมาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรม SMEs ที่มีประสิทธิภาพ ในลักษณะเช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศต้นแบบในการพัฒนาอุตสาหกรรม SMEs และ OTOP ๑๐. เสริมสร้างโอกาสแก่ผู้ประกอบการ นักลงทุน และผู้บริโภคได้พบปะกัน โดยสนับสนุนการจัดงานแสดงสินค้าต่าง ๆ การสัมมนาระหว่างประเทศ เพื่อเป็นเวทีให้ผู้ประกอบการ นักลงทุน และผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการทำธุรกิจร่วมกัน
|
||||||||||||||||||
2076 | สถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนพฤษภาคมและแนวโน้มปี 2556 | นร11 | 09/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ และแนวโน้มปี ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า เครื่องชี้เศรษฐกิจที่สำคัญ (หลังปรับปัจจัยฤดูกาล) ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ยังแสดงให้เห็นถึงการลดลงของระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยเฉพาะดัชนีการลงทุนภาคเอกชน ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร มูลค่าการส่งออกและมูลค่าการนำเข้าซึ่งหดตัวร้อยละ ๑.๗ ร้อยละ ๐.๓ ร้อยละ ๑.๒ และร้อยละ ๔.๘ ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ดัชนีการบริโภคภาคเอกชนและดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น ๑.๒ ภาวะเศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ เครื่องชี้วัดเศรษฐกิจที่สำคัญ ๆ ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ยังคงหดตัว ทั้งด้านการใช้จ่าย และการผลิต โดยเฉพาะดัชนีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม และการใช้จ่ายภาครัฐ เมื่อรวมกับข้อมูลในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ เครื่องชี้วัดทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากไตรมาสแรก อย่างไรก็ตาม ภาคการท่องเที่ยวยังมีแนวโน้มขยายตัวดีต่อเนื่อง ในขณะที่เสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี ทั้งด้านเงินเฟ้อที่ชะลอตัวต่อเนื่อง และการว่างงานที่อยู่ในระดับต่ำ ๑.๓ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๕ อัตราการว่างงานในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ อยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ ๐.๙ ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลลดลงตามดุลการค้าที่กลับมาเกินดุลและดุลบริการขาดดุลน้อยกว่าเดือนเมษายน ๒๕๕๖ ๑.๔ สถานการณ์ด้านการคลัง การจัดเก็บรายได้สุทธิของรัฐบาลในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ สูงกว่าเดือนเดียวกันของปีก่อน แต่การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตามการเบิกจ่ายจากงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่หนี้สาธารณะคงค้างทรงตัว ๑.๕ สถานการณ์ด้านการเงิน ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ชะลอตัวลงต่อเนื่อง ในขณะที่เงินฝากเร่งตัวขึ้น ส่งผลให้สัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากปรับตัวลดลง อัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลง เงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง ๑.๖ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๖ มีแนวโน้มขยายตัวในช่วงร้อยละ ๔.๒-๕.๒ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี ในช่วงร้อยละ ๒.๓-๓.๓ และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๐.๙ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ๒. ให้รัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ ๒.๑ การส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักรับไปประสานงานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางในการดำเนินการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าส่งออก รวมทั้งการแก้ไขปัญหาการส่งออกสินค้าเกษตรในเรื่องต่าง ๆ เช่น ปัญหาการส่งออกไก่แช่แข็งที่ได้มาตรฐานไปยังประเทศญี่ปุ่น ปัญหาการทำการประมงของเรือประมงรายเล็ก รวมทั้งปัญหาการที่หน่วยงานของไทยยังไม่รับรองสินค้าประเภทอาหารจากประเทศญี่ปุ่นหลายรายการ เป็นต้น ทั้งนี้ โดยให้คำนึงถึงการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชน รวมทั้งการได้รับผลประโยชน์ร่วมกันอย่างเป็นธรรมทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องด้วย ๒.๒ การจัดทำความตกลงเขตการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อหาข้อยุติเกี่ยวกับการจัดทำความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ระหว่างประเทศไทยกับประเทศต่าง ๆ ที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ ๒.๓ ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน และกระทรวงมหาดไทย ตรวจสอบ สำรวจ และรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับราคาสินค้าอุปโภคบริโภคชนิดต่าง ๆ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ เช่น ต้นทุนวัตถุดิบจากแหล่งผลิต ค่าขนส่ง ค่าเชื้อเพลิง เพื่อประกอบการพิจารณาความเหมาะสมของราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำหน่ายให้ประชาชนต่อไป
|
||||||||||||||||||
2077 | การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ | กต | 09/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการมอบหมายให้มีผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามลำดับ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ โดยให้ครอบคลุมถึงกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศด้วย ดังนี้
๑. นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี ๒. นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
|
||||||||||||||||||
2078 | ผลการเยือนสาธารณรัฐโปแลนด์และตุรกี | นร04 | 09/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ในระหว่างวันที่ ๓-๖ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ได้เดินทางเยือนสาธารณรัฐโปแลนด์และสาธารณรัฐตุรกีอย่างเป็นทางการ มีผลการเยือนสรุปได้ ดังนี้
๑. การเยือนสาธารณรัฐโปแลนด์ นายกรัฐมนตรีได้นำนักธุรกิจในสาขาต่าง ๆ เช่น สาขาอาหาร สาขาพลังงาน สาขายานยนต์ สาขาอุตสาหกรรมก่อสร้าง และสาขาการท่องเที่ยว เป็นต้น ร่วมคณะเดินทางไปด้วย เพื่อสร้างความเป็นหุ้นส่วนและขยายโอกาสทางธุรกิจกับนักธุรกิจโปแลนด์ โดยทั้งสองประเทศได้ตกลงที่จะร่วมกันผลักดันเพื่อขยายมูลค่าการค้าขายระหว่างกันให้สูงขึ้นเป็น ๑,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐภายใน ๕ ปี (ปี ๒๐๑๘) ทั้งนี้ สาธารณรัฐโปแลนด์เป็นประเทศที่มีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ ตั้งอยู่ในยุโรปกลางและมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศอื่น ๆ ถึง ๗ ประเทศ จึงมีความเหมาะสมที่นักลงทุนไทยจะเข้ามาลงทุนในประเทศนี้เพื่อเปิดประตูการค้าขายไปสู่ประเทศอื่น ๆ ในสหภาพยุโรปต่อไป สิ่งที่น่าสนใจประการหนึ่งคือ แม้สาธารณรัฐโปแลนด์จะมีสภาพอากาศหนาวยาวนานประมาณ ๘ เดือน และมีสภาพอากาศปกติที่อบอุ่นขึ้นประมาณ ๔ เดือนเท่านั้น แต่ก็สามารถเพาะปลูกได้พืชผลทางการเกษตรที่มีคุณภาพสูงและมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่คุ้มค่ามากกว่าพืชผลทางการเกษตรที่ปลูกและขนส่งไปจากประเทศไทย ซึ่งมีผู้ประกอบการไทยบางรายได้เข้ามาลงทุนทำการเกษตรกรรมแปรรูปในสาธารณรัฐโปแลนด์แล้ว นอกจากนี้ สาธารณรัฐโปแลนด์ยังเป็นประเทศที่มีศักยภาพในด้านการท่องเที่ยว วัฒนธรรม การดนตรี พลังงานและเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (green technology) จึงสมควรที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม จะรับไปศึกษาในรายละเอียดที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือและขยายการค้าการลงทุนระหว่างกันให้มากยิ่งขึ้นต่อไป ๒. การเยือนสาธารณรัฐตุรกี นายกรัฐมนตรีได้นำนักธุรกิจไทยในสาขาต่าง ๆ เช่น พลังงาน ชิ้นส่วนยานยนต์ ก่อสร้าง และสิ่งทอ เป็นต้น ร่วมคณะเดินทางไปด้วย เพื่อแสวงหาลู่ทางทางการค้าการลงทุน โดยในการเยือนครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามแผนปฏิบัติการร่วมระหว่างกัน ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับความร่วมมือให้เป็นหุ้นส่วนที่มีความใกล้ชิดกันมากขึ้น สิ่งที่น่าสนใจคือ การเป็นศูนย์กลางด้านการขนส่ง (logistics hub) โดยทั้งประเทศไทยและสาธารณรัฐตุรกีได้ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการเชื่อมโยงภาคการขนส่งในแต่ละภูมิภาค โดยสาธารณรัฐตุรกีกำลังดำเนินการพัฒนาเส้นทางรถไฟในโครงการ New Silk Road (เส้นทางสายไหม) ซึ่งจะมีส่วนช่วยทำให้เส้นทางรถไฟจากฝั่งยุโรปมีความเชื่อมโยงกับเส้นทางรถไฟของฝั่งทวีปเอเชียที่อยู่ระหว่างการดำเนินการของหลายประเทศ ในส่วนการท่องเที่ยวทั้งสองประเทศได้ประกาศยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางธรรมดาให้แก่กัน รวมทั้งมีการเพิ่มจำนวนเที่ยวบินต่อสัปดาห์จากอิสตันบูล-กรุงเทพฯ จึงเป็นโอกาสอันดีที่ประชาชนของทั้งสองประเทศจะเดินทางติดต่อกันมากขึ้น ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการท่องเที่ยวและการค้าในอนาคตด้วย
|
||||||||||||||||||
2079 | การมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้ตรวจพิจารณาร่างมติคณะรัฐมนตรี | นร04 | 02/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้ตรวจพิจารณาร่างมติคณะรัฐมนตรี รวมทั้งกรณีที่รัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายไม่อยู่ หรืออยู่แต่มิอาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ตามลำดับ ดังนี้
๑. รองนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ๒. รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา)
|
||||||||||||||||||
2080 | รายงานผลการประชุมเชิงปฎิบัติการและการตรวจราชการในพื้นที่เพื่อจัดทำยุทธศาสตร์จังหวัดยโสธรและมุกดาหาร | นร04 | 02/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีรายงานการเดินทางไปตรวจราชการและเป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทำยุทธศาสตร์จังหวัดยโสธรและจังหวัดมุกดาหารให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศ ระหว่างวันที่ ๓๐ มิถุนายน-๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ โดยมีปลัดกระทรวงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมด้วย สรุปได้ ดังนี้
๑. จังหวัดยโสธร เป็นจังหวัดที่มีการปลูกข้าวหอมมะลิเกษตรอินทรีย์ที่มีคุณภาพดีมากที่สุด แต่เกษตรกรที่ปลูกข้าวดังกล่าวไม่ได้เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเพราะข้าวเกษตรอินทรีย์ที่ปลูกสามารถขายได้ในราคาที่สูงกว่าราคาในโครงการรับจำนำข้าว รวมทั้งข้าวดังกล่าวส่งออกไปยังต่างประเทศประมาณร้อยละ ๘๐ ส่วนที่เหลือบริโภคภายในประเทศเพียงร้อยละ ๒๐ เท่านั้น จึงมอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการวิจัยและพัฒนา (R & D) ที่เกี่ยวข้องมาสนับสนุนส่งเสริมให้มีการพัฒนาคุณภาพและขยายพื้นที่เพาะปลูกให้มากยิ่งขึ้นเพื่อให้เป็นจังหวัดต้นแบบการปลูกข้าวหอมมะลิเกษตรอินทรีย์ และการสร้างมูลค่าเพิ่มจากการนำข้าวหัก ปลายข้าว รำข้าวมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวชนิดแคปซูล เป็นต้น โดยเน้นความปลอดภัยและปลอดสารเคมีอย่างครบวงจร รวมทั้งสนับสนุนให้มีการเพาะปลูกพืชชนิดต่าง ๆ เช่น อ้อยและมันสำปะหลังควบคู่กันไปด้วยเพื่อพัฒนาให้กับเกษตรกรในจังหวัดมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นต่อไป ทั้งนี้ เนื่องจากพื้นที่ในจังหวัดยโสธรส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เพาะปลูกข้าว และปัญหาที่เกษตรกรประสบอยู่คือ การขาดแคลนน้ำที่จะนำมาใช้เพาะปลูกข้าว จึงมอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการบริหารจัดการน้ำและแหล่งน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการเพื่อช่วยเพิ่มผลผลิตและรายได้ของเกษตรกรในจังหวัดดังกล่าว ทั้งนี้ ให้ขยายผลการดำเนินโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ให้เกิดประโยชน์แก่เกษตรกรให้มากยิ่งขึ้นด้วย ๒. จังหวัดมุกดาหาร เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยมีแม่น้ำโขงเป็นเส้นกั้นพรมแดน เป็นจังหวัดที่มีรายได้สูงจากแหล่งท่องเที่ยวประเภท homestay แต่รายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรในจังหวัดอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างต่ำ เนื่องจากรายได้ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เป็นรายได้ที่ผ่านไปยังประเทศเพื่อนบ้าน จึงมอบให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวของจังหวัดประเภท homestay ให้เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งพัฒนาเป็นการพำนักระยะยาว (longstay) ต่อไปด้วย และให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมแปรรูป การบริหารจัดการระบบการจัดส่งสินค้า (logistics) เพื่อให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น รวมทั้งเสริมสร้างจุดแข็งของจังหวัดในด้านต่าง ๆ ให้มีความพร้อมรองรับโครงการเชื่อมเส้นทางคมนาคมตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor) ต่อไป
|
.....