ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 105 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 2081 - 2100 จากข้อมูลทั้งหมด 6672 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2081 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์ประเทศไทยใน 2 ทศวรรษหน้า (พ.ศ. 2556 - 2575) ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" | สสป | 25/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์ประเทศไทยใน ๒ ทศวรรษหน้า (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๗๕) ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เพื่อพิจารณากำหนดเป็นแนวนโยบายที่นำไปสู่การพัฒนาประเทศ สรุปได้ ดังนี้
๑. การกำหนดกรอบแนวคิดในการพัฒนาประเทศไทยใน ๒ ทศวรรษหน้า (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๗๕) ที่ยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการขับเคลื่อนให้บังเกิดผลเป็นรูปธรรมในทุกภาคส่วนและทุกระดับ ยึดแนวคิดการพัฒนาแบบบูรณาการที่เป็นองค์รวม โดยมี “คนและชุมชนท้องถิ่นเป็นศูนย์กลางการพัฒนา” มีการเชื่อมโยงทุกมิติ การพัฒนา ทั้งมิติด้านคน สังคม เศรษฐกิจ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การเมือง การปกครอง รวมทั้งให้ความสำคัญกับธรรมาภิบาลและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ๒. การบริหารจัดการยุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติ ประกอบด้วย การกำหนดให้ยุทธศาสตร์ประเทศไทยใน ๒ ทศวรรษหน้าฯ เป็นวาระแห่งชาติ การบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างเป็นองค์รวม โดยปฏิรูปโครงสร้างภาษีของประเทศ จัดสรรงบประมาณแบบบูรณาการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศไทยใน ๒ ทศวรรษหน้าฯ และกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นอย่างจริงจัง ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และภาคประชาสังคมในการบริหารจัดการยุทธศาสตร์ (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๗๕) ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ส่งเสริมให้สื่อมวลชนมีบทบาทสำคัญในการเป็นสื่อกลางเผยแพร่การดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ประเทศ (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๗๕) ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และเป็นสื่อกลางในการสะท้อนความต้องการของประชาชน รวมทั้งติดตามและประเมินผลความสำเร็จของการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ประเทศไทย (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๗๕)ฯ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ๓. การดำเนินงานของหน่วยงานภายใต้ยุทธศาสตร์ของสภาที่ปรึกษาฯ ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การพัฒนาด้วยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การสร้างสังคมเข้มแข็ง อยู่เย็นเป็นสุข มีวิถีประชาธิปไตย ใช้หลักธรรมาภิบาลสู่สังคมสีเขียว ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การพัฒนาเศรษฐกิจสู่การเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และยุทธศาสตร์ที่ ๕ การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมสีเขียว
|
||||||||||||||||||
2082 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนพฤษภาคม 2556 | พณ | 25/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ เทียบกับเดือนเมษายน ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๔ จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๘๗ สาเหตุจากการสูงขึ้นของราคาหมวดผักและผลไม้ ร้อยละ ๔.๓๙ โดยเฉพาะหมวดผักสด ดัชนีสูงขึ้นร้อยละ ๘.๓๗ และหมวดผลไม้สด สูงขึ้นร้อยละ ๐.๙๒ และสินค้าอื่น ๆ ที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ หมวดไข่ ดัชนีสูงขึ้นร้อยละ ๘.๗๙ หมวดเนื้อสัตว์ เป็ดไก่ และสัตว์น้ำ ดัชนีสูงขึ้นร้อยละ ๐.๖๐ หมวดข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๐ หมวดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ดัชนีสูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๗ หมวดอาหารสำเร็จรูป สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๖ สำหรับดัชนีราคาหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลงร้อยละ ๐.๑๐ จากการลดลงของหมวดเคหสถาน ร้อยละ ๐.๒๑ หมวดน้ำมันเชื้อเพลิง ลดลงร้อยละ ๐.๓๕ หมวดการบันเทิงและการอ่าน ลดลงร้อยละ ๐.๒๗ ๒. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ เท่ากับ ๑๐๒.๙๘ เทียบกับเดือนเมษายน ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๕ จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าและบริการ ได้แก่ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล สำหรับสินค้าและบริการที่ราคาลดลง ได้แก่ หมวดค่าใช้จ่ายในการเดินทางโอกาสพิเศษและท่องเที่ยว
|
||||||||||||||||||
2083 | การลงนามบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือระหว่างกระทรวงเศรษฐกิจแห่งสาธารณรัฐโปแลนด์กับกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทย | พณ | 25/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือระหว่างกระทรวงเศรษฐกิจแห่งสาธารณรัฐโปแลนด์กับกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทย มีสาระสำคัญเพื่อมุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยกำหนดให้ดำเนินการเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือในสาขาที่ผู้ประกอบการทั้งสองประเทศมีความสนใจร่วมกัน พัฒนารูปแบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลให้ทันสมัยและสนับสนุนให้ติดต่อประสานโดยตรงระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่งเสริมให้จัดงานแสดงสินค้าระดับชาติและนานาชาติ การประชุมทางเศรษฐกิจ งานสัมมนาและการแสดง รวมถึงการสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนการปฏิบัติภารกิจทางเศรษฐกิจต่าง ๆ รวมทั้งการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างกัน และจัดให้มีการพบหารือในระดับรัฐมนตรีอย่างสม่ำเสมอโดยสลับกันเป็นเจ้าภาพ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกฯ หรือหากติดภารกิจขอให้มอบผู้อื่นลงนามแทนต่อไป และหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงเอกสารที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรปรับถ้อยคำบางประการในร่างบันทึกความเข้าใจฯ และควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าในสาขาที่สาธารณรัฐโปแลนด์มีความเชี่ยวชาญและเป็นสาขาที่ผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพ ได้แก่ สาขาอาหาร เทคโนโลยีชีวภาพ การแพทย์ การบิน ยานยนต์ เป็นต้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนและการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมร่วมกัน รวมทั้งการแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
2084 | การยกเว้นอากรขาเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่นำเข้ามาแสดงและจำหน่ายในงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย | กค | 25/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างประกาศ จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่นำเข้ามาแสดงและจำหน่ายในงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับตามประเภทย่อย ๗๐๑๘.๑๐.๐๐ และสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับในตอนที่ ๗๑ ในภาค ๒ แห่งพิกัดอัตราศุลกากรท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่นำเข้าคลังสินค้าทัณฑ์บนและเขตปลอดอากรตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร หรือเขตประกอบการเสรีตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย แล้วนำออกไปเพื่อแสดงในงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยที่จัดโดยความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และสมาพันธ์อัญมณี เครื่องประดับ และโลหะมีค่าแห่งประเทศไทย และของนั้นได้จำหน่ายในงานแสดงสินค้าดังกล่าวให้ได้รับการยกเว้นอากร โดยผู้นำของเข้ามาแสดงและจำหน่ายดังกล่าวต้องปฏิบัติตามระเบียบและพิธีการที่กรมศุลกากรกำหนด ๑.๒ ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกำหนดให้ของได้รับยกเว้นจากบทบังคับตามความในมาตรา ๑๐ แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับตามประเภทย่อย ๗๐๑๘.๑๐.๐๐ และสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับในตอนที่ ๗๑ ในภาค ๒ แห่งพิกัดอัตราศุลกากรท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ได้รับการยกเว้นอากรเนื่องจากนำเข้ามาพร้อมกับตนหรือนำเข้ามาเป็นการชั่วคราวตามภาค ๔ ประเภทที่ ๓ (ฉ) แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ และได้จำหน่ายในงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยที่จัดโดยความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และสมาพันธ์อัญมณี เครื่องประดับ และโลหะมีค่าแห่งประเทศไทย และของนั้นได้จำหน่ายในงานแสดงสินค้าดังกล่าวให้ได้รับยกเว้นจากบทบังคับตามความในมาตรา ๑๐ พระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ ทั้งนี้ ต้องนำเข้าโดยผู้เข้าร่วมแสดงสินค้า และนำเข้าได้เฉพาะท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานดอนเมือง ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการประเมินผลความคุ้มค่าและผลกระทบจากการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าวในช่วงปีแรก เพื่อพิจารณาปรับปรุงมาตรการให้เอื้อต่ออุตสาหกรรมและสามารถสร้างประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
2085 | การจัดทำยุทธศาสตร์จังหวัด (จังหวัดยโสธรและมุกดาหาร) | นร | 25/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดประชุมเชิงปฏิบัติการในจังหวัดต่าง ๆ เพื่อดำเนินการจัดทำยุทธศาสตร์จังหวัด โดยคำนึงถึงศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของจังหวัด นโยบาย และโครงการสำคัญของรัฐบาล เช่น โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ วงเงิน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ วงเงิน ๒ ล้านล้านบาท และการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (zoning) เป็นต้น รวมทั้งให้มีการระดมสมองร่วมกันระหว่างหน่วยงานและผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคต่าง ๆ (SWOT analysis) ของจังหวัดเพื่อประกอบการจัดทำยุทธศาสตร์จังหวัดด้วย ทั้งนี้ ในเบื้องต้นให้เริ่มดำเนินการนำร่องก่อนใน ๒ จังหวัด คือ จังหวัดยโสธรและมุกดาหาร โดยให้รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ปลัดกระทรวง และรองปลัดกระทรวงที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมในการประชุมเชิงปฏิบัติการดังกล่าว ดังนี้
๑. รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้งนี้ รัฐมนตรีท่านอื่นที่ประสงค์จะเข้าร่วมประชุมด้วย ให้เป็นไปตามความสมัครใจ ๒. ปลัดกระทรวง/หัวหน้าส่วนราชการ และรองปลัดกระทรวง/รองหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ๑ ท่าน ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.ร. ทั้งนี้ ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการพิจารณามอบหมายให้เลขาธิการคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุมด้วย ๓. ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
|
||||||||||||||||||
2086 | การปรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 | พณ | 19/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ วันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๖ เกี่ยวกับการปรับราคารับจำนำข้าวเปลือกเจ้า ๑๐๐% จากราคาตันละ ๑๕,๐๐๐ บาท เป็นราคาตันละ ๑๒,๐๐๐ บาท และข้าวเปลือกชนิดอื่น ๆ ปรับลด ๒๐% จากราคาที่กำหนดไว้เดิม โดยมีระยะเวลาเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ จนถึงวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๖ ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีความเห็นว่าการปรับราคารับจำนำข้าวเปลือกในครั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามกลไกราคาตลาดโลกและอัตราแลกเปลี่ยนที่มีความผันผวนตามสภาวะเศรษฐกิจ และในกรณีที่ราคาตลาดโลกมีการปรับตัวสูงขึ้น คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติก็ควรที่จะได้มีการพิจารณาทบทวนการปรับเพิ่มราคาและเงื่อนไขการรับจำนำข้าวเปลือกให้สอดคล้องกับราคาตลาดโลกด้วย ๒. รับทราบผลการประชุม กขช. ครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ วันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๖ เกี่ยวกับวงเงินรับจำนำข้าวเปลือกของเกษตรกรแต่ละครัวเรือน จากเดิมที่ไม่จำกัดวงเงิน เป็น ไม่เกินครัวเรือนละ ๕๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ๓. การดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกตามที่ กขช. ได้เห็นชอบและเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบในครั้งนี้ ยังคงอยู่ในกรอบของการรวมปริมาณการรับจำนำข้าวเปลือกและกรอบวงเงินในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ (เรื่อง โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ครั้งที่ ๒) โดย ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ โครงการรับจำนำข้าวเปลือกต้องอยู่ในกรอบวงเงิน ๕๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ๔. รับทราบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาชี้แจงว่า ตามนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภามีทั้งนโยบายเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรก และนโยบายที่จะดำเนินการใน ๔ ปี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกร ซึ่งการรับจำนำข้าวเปลือกในราคาที่กำหนดได้ดำเนินการแล้ว ส่วนข้อเสนอของ กขช. ที่มีการดูแลรายได้เกษตรกรให้ยังคงมีกำไรที่เหมาะสม โดยสอดคล้องกับวินัยการเงินการคลัง และรัฐบาลได้มีมาตรการอื่นในการยกระดับรายได้และเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่เกษตรกร เช่น การจัด Zoning ภาคการเกษตร เพื่อกำหนดพื้นที่ในการผลิตพืชผลทางการเกษตรให้เหมาะสมและส่งเสริมการวิจัยพันธุ์ข้าวเพื่อพัฒนาคุณภาพของข้าว รวมทั้งการวิจัยเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลผลิตและผลิตภัณฑ์ที่มาจากข้าวให้สูงขึ้นในระยะยาว จึงเป็นการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลครบถ้วนแล้ว ทั้งนี้ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปกำหนดมาตรการยกระดับราคาสินค้าเกษตรและพืชพลังงาน โดยให้คำนึงถึงนโยบายเกี่ยวกับการเงินการคลังของประเทศด้วย ๕. เพื่อให้การดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเป็นธรรมต่อเกษตรกร ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงมหาดไทยจัดทำแผนปฏิบัติการในการตรวจสอบการดำเนินการโครงการตั้งแต่ขั้นตอนการขึ้นทะเบียน การตรวจสอบคุณภาพข้าว ตลอดจนการเก็บรักษาและระบายข้าวทุกขั้นตอน เพื่อกำหนดแนวทางให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัดต่อไป
|
||||||||||||||||||
2087 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงพาณิชย์) (นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์) | พณ | 18/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาการพาณิชย์ (นักวิชาการพาณิชย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||
2088 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการบรรเทาผลกระทบการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ" | สสป | 18/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการบรรเทาผลกระทบการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย คณะกรรมการค่าจ้าง และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ควรจะมีการประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการดำเนินการตามมาตรการเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบต่าง ๆ ก่อนจะให้มีการปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าว เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณ ๒. ควรเพิ่มองค์ประกอบของคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชน ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ศึกษาและพิจารณามาตรการการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยให้มีผู้แทนจากนายจ้างและผู้แทนลูกจ้างร่วมด้วย ๓. ควรมีมาตรการการบริหารค่าจ้างขั้นต่ำในอนาคตอย่างชัดเจน ดังนี้ ๓.๑ การพิจารณาปรับค่าจ้างขั้นต่ำครั้งต่อไป ควรใช้กระบวนการไตรภาคีและปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ รวมถึงกำหนดเวลาให้ชัดเจน ๓.๒ การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำควรแบ่งเขต (Zoning) เป็นกลุ่มจังหวัด เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและค่าครองชีพของแต่ละกลุ่มจังหวัด ทั้งยังเป็นการสนับสนุนการส่งเสริมการลงทุนไปยังภูมิภาคและสอดคล้องกับการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค ๓.๓ จัดให้มีการส่งเสริมการจัดระบบการบริหารค่าตอบแทนในสถานประกอบการตามหลักการบริหารค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ๔. รัฐควรช่วยเหลือแรงงานกรณีมีการเลิกจ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีการเลิกกิจการโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ให้ได้รับค่าชดเชยรวมทั้งเร่งให้มีการบรรจุงานให้แก่แรงงานเหล่านี้โดยเร็ว
|
||||||||||||||||||
2089 | ผลการจัดอันดับประเทศไทย ตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา 301 พิเศษ ประจำปี 2556 | พณ | 18/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอผลการจัดอันดับประเทศไทย ตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา ๓๐๑ พิเศษ ประจำปี ๒๕๕๖ โดยสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (United States Trade Representative - USTR) ได้ประกาศผลการจัดสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของไทย ตามมาตรา ๓๐๑ พิเศษ ประจำปี ๒๕๕๖ โดยคงไทยเป็นประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ (Priority Watch List - PWL) เช่นเดิม [ทั้งนี้ สหรัฐฯ ได้เคยจัดไทยไว้ในบัญชี PWL ในปี ๒๕๓๕ - ๒๕๓๖ ก่อนจะปรับลงเป็นประเทศที่ต้องจับตามอง (Watch List - WL) และปรับเป็น PWL อีกครั้ง ตั้งแต่ปี ๒๕๕๐ จนถึงปัจจุบัน] โดยมีประเด็นสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. สหรัฐฯ ยังคงจัดไทยไว้ในบัญชี PWL ในปี ๒๕๕๖ แต่พร้อมที่จะทบทวนสถานะของไทย หากไทยมีความก้าวหน้าที่ชัดเจนในการผ่านกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาสำคัญที่เกี่ยวข้อง และการบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา ๒. สหรัฐฯ ยินดีที่ไทยแสดงความมุ่งมั่นที่จะดำเนินการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และปรับปรุงการบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาให้มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะที่ผ่านมา ไทยได้ผ่านกฎหมายฟอกเงินที่ระบุความผิดฐานละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาเป็นความผิดมูลฐาน เพื่อให้สามารถดำเนินการตามกฎหมายดังกล่าว รวมทั้งการตั้งศูนย์ปฏิบัติการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ (National IPR Center of Enforcement หรือ NICE) ซึ่งสหรัฐฯ หวังว่า ศูนย์นี้จะช่วยประสานความร่วมมือในการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เข้มแข็ง และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ๓. เจ้าของสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ รายงานว่า ได้รับความร่วมมือที่ดีกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของไทย ซึ่งรวมถึงตำรวจและศุลกากร ๔. สหรัฐฯ เรียกร้องให้ไทยเร่งดำเนินการออกกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาที่ยังค้างอยู่ให้สำเร็จโดยเร็ว และขอให้ไทยมีกลไกของกฎหมายที่จะปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ และการละเมิดเครื่องหมายการค้า โดยเฉพาะการละเมิดบนอินเทอร์เน็ตผ่านระบบเคเบิลและสัญญาณดาวเทียม ตลอดจนพิจารณาลงโทษผู้กระทำผิดให้เกิดการหลาบจำ และไม่กระทำผิดซ้ำในอนาคต เป็นต้น ๕. สหรัฐฯ เรียกร้องให้ไทยจัดให้มีระบบการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาจากการแข่งขันทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม และการคุ้มครองข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการอนุญาตวางตลาดยา และสินค้าเคมีเกษตร ตลอดจนสนับสนุนให้ไทยจัดให้มีการหารือกับเจ้าของสิทธิที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ เพื่อความโปร่งใส รวมถึงการหาแนวทางแก้ปัญหาทรัพย์สินทางปัญญาและการเข้าถึงยา |
||||||||||||||||||
2090 | ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ปี 2556 (ค.ศ. 2013) | พณ | 18/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ครั้งที่ ๑๙ (The 19th APEC Ministers Responsible for Trade Meeting) ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๑ เมษายน ๒๕๕๖ ณ เมืองสุราบายา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยประเด็นสำคัญของการประชุม ได้แก่ การสนับสนุนการเจรจาการค้ารอบโดฮาและต่อต้านการใช้มาตรการกีดกันทางการค้า การบรรลุเป้าหมายโบกอร์ (Attaining the Bogor Goals) และการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยความเท่าเทียม (Achieving Sustainable Growth with Equity) รวมทั้งข้อคิดเห็นของกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับการประชุม ดังนี้ ๑.๑ ที่ประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคให้ความสำคัญกับการผลักดันการเจรจาขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ให้ประสบความสำเร็จ ประเทศไทยควรให้การสนับสนุนอย่างจริงจังเพื่อให้การประชุมระดับรัฐมนตรีองค์การการค้าโลก ครั้งที่ ๙ (9th Ministerial Conference : 9th MC) ประสบความสำเร็จ เพื่อคงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือและการทำหน้าที่ของ WTO ในการเป็นเวทีเจรจาลดอุปสรรคและข้อกีดกันทางการค้าและจัดทำกฎระเบียบการค้าโลก เป็นเวทีในการยุติข้อพิพาททางการค้า และเป็นกลไกตรวจสอบและทบทวนนโยบายการค้าของประเทศสมาชิก ความสำเร็จของการประชุม 9th MC จะเป็นก้าวสำคัญสำหรับการเจรจา WTO รอบโดฮา (Doha Development Agenda : DDA) ซึ่งยืดเยื้อมาเป็นเวลานานถึง ๑๒ ปีแล้ว ๑.๒ ข้อเสนอของอินโดนีเซียที่ให้เพิ่มสินค้าจากการเกษตรและป่าไม้ (Agricultural and Forestry-based products) ไว้ใน APEC EG List โดยเฉพาะสินค้าน้ำมันปาล์มดิบ และยางพารา ซึ่งเขตเศรษฐกิจส่วนใหญ่แสดงท่าทีชัดเจน ไม่สนับสนุนการเพิ่มรายการสินค้าใน APEC EG List อย่างไรก็ตาม อินโดนีเซียยังคงผลักดันเรื่องนี้ และพยายามขอรับการสนับสนุนจากเขตเศรษฐกิจต่าง ๆ ในช่วงระหว่างนี้ เพื่อให้สามารถมีผลลัพธ์ตามที่ตนต้องการในการประชุมรัฐมนตรีเอเปค (APEC Ministerial Meeting : AMM) และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC Economic Leaders’ Meeting : AELM) ที่จะมีขึ้นในเดือนตุลาคม ศกนี้ ณ เกาะบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อคิดเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงอุตสาหกรรม เกี่ยวกับประเด็นการเพิ่มเติมยางพาราและน้ำมันปาล์มดิบในรายการสินค้าสิ่งแวดล้อมเอเปค ควรเสนออินโดนีเซียและเอเปคชะลอการดำเนินการในเรื่องนี้ออกไปก่อน เนื่องจากการจัดทำรายการสินค้าสิ่งแวดล้อมภาคเกษตรควรต้องมีคำจำกัดความที่ชัดเจน ประเด็นความมั่นคงอาหาร ควรสนับสนุนการจัดทำ Road Map เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายระยะยาวในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกให้มีความมั่นคงอาหาร ภายในปี ๒๕๖๓ (ค.ศ. ๒๐๒๐) และสนับสนุนความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และเกษตรกร เพื่อบรรลุเป้าหมายความมั่นคงอาหารร่วมกัน ประเด็นการจัดทำกรอบความเชื่อมโยงของเอเปค ควรให้มีความสอดคล้องกับแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันของอาเซียน (Master Plan on ASEAN Connectivity : MPAC) และควรบูรณาการกรอบความเชื่อมโยงระหว่างกันของเอเปคเข้ากับภูมิภาคอื่น ๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อประเทศไทยและภูมิภาคเอเปคโดยรวม นอกจากนี้ ในแถลงการณ์การประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ๒๕๕๖ มีประเด็นทางการค้าที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหลายประการ ทั้งทางตรงและทางอ้อม เห็นควรจัดให้มีการหารือระหว่างหน่วยงานภายในกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น ผู้ประกอบการ ภาคอุตสาหกรรม/ภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดท่าทีและแนวทางในการทำงานทั้งภายในประเทศ และการทำงานร่วมกับประเทศอื่นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
2091 | การติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านความมั่นคงและปลอดภัยของประชาชน ประจำเดือนเมษายน 2556 | นร04 | 10/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลด้านความมั่นคงและปลอดภัยของประชาชน ประจำเดือนเมษายน ๒๕๕๖ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติและฟื้นฟูประชาธิปไตย คณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการฝ่ายกฎหมายและวิชาการ และได้จัดเสวนารับฟังความเห็น เมื่อวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๖ และวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๖ สำหรับกระทรวงยุติธรรมได้จ่ายเงินเยียวยาสำหรับผู้ที่ถูกดำเนินคดีจากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง (พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๕๓) จำนวน ๑๓ ราย เป็นเงินรวมทั้งสิ้น ๑๑.๑ ล้านบาท ๒. กำหนดให้การแก้ไขและป้องกันปัญหายาเสพติดเป็น “วาระแห่งชาติ” สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดได้ดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน จำนวน ๕๗,๒๑๔ หมู่บ้าน/ชุมชน (ร้อยละ ๖๗.๘๕) เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ จำนวน ๖,๐๕๖ หมู่บ้าน/ชุมชน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๗.๑๘ และการแก้ไขปัญหาผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดโดยการนำเข้าสู่ระบบบำบัดรักษาทั้ง ๓ ระบบ ได้แก่ ระบบสมัครใจ ระบบต้องโทษ และระบบบังคับ จำนวน ๑๗๘,๕๐๕ ราย (ร้อยละ ๕๙.๕๐) เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๔๐,๑๓๗ ราย คิด เป็นสัดส่วนร้อยละ ๑๓.๓๘ ๓. ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐอย่างจริงจัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการได้ดำเนินการปลุกจิตสำนึกและสร้างตระหนักรู้ การพัฒนาองค์การ การตรวจสอบเฝ้าระวังเชิงรุก การปราบปรามที่จริงจังและการลงโทษที่เข้มงวด และการดำเนินงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๔. ส่งเสริมให้มีการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการและเร่งรัดขยายเขตพื้นที่ชลประทาน สำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติได้ดำเนินโครงการตามแผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ๘ ลุ่มน้ำ และพื้นที่ลุ่มน้ำอื่น ๆ ๑๗ ลุ่มน้ำ การบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการและเร่งรัดขยายเขตพื้นที่ชลประทาน เพื่อส่งน้ำและระบายน้ำให้พื้นที่เพาะปลูก ๒๔.๕๒ ล้านไร่ การป้องกันและบรรเทาอุทกภัยพื้นที่การเกษตรและพื้นที่เศรษฐกิจลดลง ๖๐,๐๐๐ ไร่ ผลงานภาพรวมร้อยละ ๒๙.๗๖ รวมทั้งการก่อสร้างโครงการชลประทานขนาดใหญ่ ๑๐ โครงการ ผลงานภาพรวมร้อยละ ๒๙.๗๖ ๕. เร่งนำสันติสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนกลับมาสู่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติได้จัดทำโครงการและกิจกรรมตามนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ ภายใต้วัตถุประสงค์ ๙ ข้อ ได้แก่ การเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับสังคมจังหวัดชายแดนภาคใต้ และทุกคนในพื้นที่ดำรงชีวิตได้ปกติสุข การขจัดและป้องกันไม่ให้เกิดเงื่อนไขที่หล่อเลี้ยงและเอื้อต่อการใช้ความรุนแรงจากทุกฝ่าย ฯลฯ ๖. เร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์และพัฒนาความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและนานาประเทศ กระทรวงการต่างประเทศได้รายงานการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงและการประชุมทวิภาคีระดับสูงกับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศในอาเซียนของนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี/รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ การประชุมในกรอบอาเซียน การแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงและการประชุมทวิภาคีระดับสูงกับประเทศที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์และเป็นตลาดใหม่ เป็นต้น ๗. เร่งเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ดำเนินการเร่งเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ จำนวน ๖๐๒,๙๓๔.๔๕ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๑.๒๘ ส่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการจัดทำแผนรักษาความปลอดภัยในหลายจังหวัด ๘. สนับสนุนการพัฒนางานศิลปหัตถกรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชนเพื่อการสร้างเอกลักษณ์และการผลิตสินค้าในท้องถิ่น (OTOP และ SMEs) กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ดำเนินโครงการ/กิจกรรมหลายประการ ได้แก่ การจัดงาน OTOP ภูมิภาค (ภาคใต้) ณ ลานพระอาทิตย์ จังหวัดกระบี่ มีผู้ประกอบการ OTOP ที่ผ่านกระบวนการคัดสรรสุดยอดหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ไทย ระดับ ๑-๕ ดาว เข้าร่วมจำหน่ายสินค้าในงาน จำนวน ๓๐๐ ราย การจำหน่ายสินค้า OTOP ในต่างประเทศ ณ ศูนย์การค้า South Asia Top City นครคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน มีผู้ประกอบการเข้าร่วมงาน จำนวน ๘๐ ราย และการส่งเสริมอาชีพด้านหัตถกรรมพื้นบ้าน จำนวน ๑,๑๖๔ ราย คิดเป็นร้อยละ ๑๐๐.๓๔ ๙. เร่งรัดและผลักดันการปฏิรูปการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง กระทรวงมหาดไทยได้จัดการส่งเสริมวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โครงการจัดเวทีการพูดจาหาทางออกประเทศไทย โดยจัดเวทีประชาเสวนาหาทางออกประเทศไทย จำนวน ๒ รุ่น ๆ ละ ๒๒๐ คน รวม ๔๔๐ คน งบประมาณ ๑๖๘.๒๓๒ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||
2092 | ขอความเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยความร่วมมือในการส่งเสริมการทำเกษตรแบบมีสัญญาภายใต้ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี - เจ้าพระยา - แม่โขง (ACMECS) | กต | 10/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยความร่วมมือในการส่งเสริมการทำเกษตรแบบมีสัญญาภายใต้ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่น้ำโขง (Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) มีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการของไทยในการนำเข้าสินค้าเกษตรเป้าหมายซึ่งไทยผลิตไม่เพียงพอและมีนโยบายส่งเสริมให้ไปปลูกในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้ไทยมีความมั่นคงในเรื่องผลิตผลทางการเกษตรซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบ เช่น ถั่วเหลือง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยการให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรจะเป็นไปตามความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน (ASEAN Trade In Goods Agreement : ATIGA) ซึ่งไทยมีพันธกรณีไว้แล้วภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area : AFTA) โดยทั้งสองประเทศยังสามารถคงสิทธิในการใช้มาตรการภายใน ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นควรระบุให้ทั้งกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกันเป็นผู้ดูแลรายละเอียดสินค้าภายใต้การลงทุนแบบมีสัญญา และเพิ่มข้อความเกี่ยวกับการควบคุมการนำเข้าสินค้าเกษตร ว่าให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่ได้เห็นชอบร่วมกันของภาคี และสอดคล้องตามมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช เหมือนที่ปรากฏในบันทึกความเข้าใจฯ ระหว่างไทย-ลาว ซึ่งได้ลงนามไปแล้ว นอกจากนี้ ควรต้องพิจารณาและให้ความสำคัญกับ “การนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยซึ่งผลผลิตทางการเกษตรแปรรูปที่มีการเพาะปลูกหรือเลี้ยงดูในราชอาณาจักรกัมพูชา...” ซึ่งอาจมีประเด็นพืชที่รับการตัดต่อพันธุกรรม (Genetically Modified Organisms : GMOs) เชื้อโรคและแมลงที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศการเกษตรของประเทศไทยได้ รวมทั้งให้ความสำคัญกับคุณภาพผลผลิตทางการเกษตรที่นำเข้าในประเด็นปัญหาการปนเปื้อนสารเคมีทางการเกษตรที่อาจส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค และการส่งเสริมการเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Growth) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้มีการประชาสัมพันธ์ให้ครอบคลุมทุกภาคส่วน และควรมีการกำหนดกลไกภายในประเทศเพื่อเป็นช่องทางในการพิจารณาหารือร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการกำหนดสินค้าเป้าหมายและเงื่อนไข ตลอดจนพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบด้านที่อาจจะมีผลกระทบต่อประเทศในภาพรวม เช่น อุปสงค์และอุปทานของสินค้าเกษตรในประเทศ แนวนโยบายการจัดทำโซนนิ่งภาคเกษตร และแนวนโยบายการพัฒนาพืชพลังงาน เป็นต้น และข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับเนื้อหาของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในร่างข้อ ๑๓ ซึ่งกำหนดให้รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาจะต้องอนุญาตและอำนวยความสะดวกให้บริษัทที่ได้รับความเห็นชอบในการนำเข้ามาซึ่งเมล็ดพันธุ์ ต้นกล้า เครื่องมือ ฯลฯ และให้สิทธิพิเศษทางภาษี ซึ่งรวมถึงอากร ภาษี และค่าธรรมเนียมประเภทอื่น ๆ แก่บริษัทที่ได้รับอนุญาต ว่าอาจมีความซ้ำซ้อนกับเนื้อหาในร่างข้อ ๑๔ จึงสมควรให้หน่วยงานที่รับผิดชอบตรวจสอบและแก้ไขให้ถูกต้อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||
2093 | การดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล | พณ | 10/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอว่า กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการชี้แจงข้อมูลข้อเท็จจริงต่อประชาชนเกี่ยวกับการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๖ โดยเปิดเวทีชี้แจงข้อมูลข้อเท็จจริงต่อประชาชนที่จังหวัดพิษณุโลกเกี่ยวกับการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล ซึ่งมีผู้เกี่ยวข้องทั้งเกษตรกร ผู้ประกอบการ และประชาชนที่สนใจเข้าร่วมรับฟังมากกว่า ๑,๖๐๐ คน และที่ประชุมส่วนใหญ่เห็นว่าโครงการดังกล่าวมีความสำคัญและเป็นประโยชน์อย่างมากต่อเกษตรกรและระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ รวมทั้งพร้อมที่จะสนับสนุนให้รัฐบาลดำเนินโครงการดังกล่าวต่อไป อย่างไรก็ตาม โดยที่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกมีที่มาจากหลายหน่วยงาน จึงควรมีกลไกในการรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ชัดเจน และเป็นระบบ ส่วนการดำเนินโครงการก็ยังคงเป็นไปตามขั้นตอนและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งระเบียบหลักเกณฑ์ มติคณะรัฐมนตรี และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) รวบรวมข้อมูลข้อเสนอแนะของส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกตามนโยบายรัฐบาลเพื่อรวบรวมเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ให้หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงมหาดไทย เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ รวมทั้งหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||
2094 | โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 ครั้งที่ 2 | พณ | 10/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๓/๒๕๕๖ เมื่อวันศุกร์ที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๖ ที่เห็นควรเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณามติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง วงเงินรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ครั้งที่ ๒) ให้ครอบคลุมข้อเสนอเดิมของกระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้การบริหารเงินในการดำเนินโครงการมีประสิทธิภาพ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรณีมีความจำเป็นให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สำรองจ่ายไปก่อนระหว่างรอเงินจากการระบายผลิตผล หรือเงินจากแหล่งอื่น ๆ โดยให้กระทรวงพาณิชย์ตกลงกับ ธ.ก.ส. เป็นคราว ๆ ไป โดย ธ.ก.ส. จะได้รับอัตราชดเชยต้นทุนเงินและค่าบริหารโครงการในอัตราเดิมตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานผลการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และพิจารณาปริมาณและวงเงินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖) ทั้งนี้ ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ กระทรวงพาณิชย์ต้องดำเนินการให้มีการใช้เงินในกรอบวงเงินหมุนเวียนของโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และ ๒๕๕๕/๕๖ ไม่เกินจำนวน ๕๐๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยเป็นเงินทุนของ ธ.ก.ส. จำนวน ๙๐,๐๐๐ ล้านบาท และเงินกู้ที่กระทรวงการคลังจัดหาให้ จำนวน ๔๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ เงินที่ได้จากการระบายผลิตผลทางการเกษตรตั้งแต่ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ เป็นต้นไป ให้นำไปชำระคืน ธ.ก.ส. จำนวน ๙๐,๐๐๐ ล้านบาท ให้เสร็จสิ้นก่อน แล้วจึงชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงินที่กระทรวงการคลังจัดหาและค้ำประกันที่ครบกำหนดในปีงบประมาณ ๒๕๕๖ โดยเงินทุนของ ธ.ก.ส. จำนวน ๙๐,๐๐๐ ล้านบาท ที่ได้รับชำระคืน สามารถนำมาใช้หมุนเวียนสำหรับการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ได้ด้วย ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังรับภาระชำระคืนต้นเงิน ดอกเบี้ย จากการกู้ยืมเงินค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และผลขาดทุนที่เกิดขึ้นทั้งหมดของการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ทั้งในส่วนที่กระทรวงการคลังจัดหาให้ ใช้ และส่วนที่ใช้เงินทุนของ ธ.ก.ส. ๑.๔ ในกรณีที่กรอบปริมาณการรับจำนำภายใต้โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ครั้งที่ ๑ เกินกว่ากรอบที่คณะรัฐมนตรีได้เคยอนุมัติไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์เสนอขอขยายกรอบปริมาณและกรอบวงเงินในการดำเนินโครงการดังกล่าวต่อคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ เพื่อพิจารณาและเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป ทั้งนี้ การขยายกรอบปริมาณและกรอบวงเงินดังกล่าวเมื่อรวมกับประมาณการกรอบปริมาณและกรอบวงเงินของโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ครั้งที่ ๒ ต้องไม่เกินกรอบปริมาณและกรอบวงเงินของโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ ๑.๕ ให้ ธ.ก.ส. แยกการดำเนินงานโครงการออกจากการดำเนินงานปกติ เป็นบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA) และบันทึกเป็นภาระผูกพันนอกงบประมาณ เพื่อทราบผลกระทบการดำเนินโครงการและขอชดเชยความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้น นอกจากนั้น ให้ ธ.ก.ส. ไม่ต้องรวมผลการดำเนินโครงการจากเงินทุนที่ได้จากการกู้ยืมจากสถาบันการเงินต่าง ๆ เป็นสินทรัพย์เสี่ยง (Capital Adequacy Ratio : CAR) ที่ใช้ในการคำนวณสัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงตามที่กำหนดในกฎกระทรวงว่าด้วยเงินกองทุนของ ธ.ก.ส. ๑.๖ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์วางระบบการกำกับติดตามการดำเนินงานของโครงการรับจำนำข้าวเปลือกในทุกขั้นตอน โดยเฉพาะให้องค์การตลาดเพื่อเกษตรกรและองค์การคลังสินค้าดำเนินการและควบคุมการออกใบประทวนอย่างรัดกุม รวมทั้งให้ ธ.ก.ส. ตรวจสอบปริมาณและคุณภาพสินค้าให้เป็นไปตามใบประทวนที่ได้รับ ๒. อนุมัติตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ที่ให้รวมปริมาณรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๖ ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไปแล้ว ครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๑๕ ล้านตัน และที่อนุมัติครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๗ ล้านตัน เข้าด้วยกัน รวมเป็นจำนวน ๒๒ ล้านตัน |
||||||||||||||||||
2095 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 3/2556 | นร11 | 10/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๖ ณ จังหวัดกำแพงเพชร โดยมีรายละเอียดข้อเสนอเพื่อพิจารณาของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน [ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย (กกร.)] สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) สภาธุรกิจตลาดทุนไทย และผู้แทนภาคเอกชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ ประกอบด้วย จังหวัดกำแพงเพชร นครสวรรค์ พิจิตร และอุทัยธานี ๑.๒ เห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ ณ จังหวัดกำแพงเพชร และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป สรุปได้ ดังนี้ ๑.๒.๑ ข้อเสนอของ กกร. ๑.๒.๑.๑ เรื่อง การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ๑.๒.๑.๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องศึกษาในรายละเอียดและความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการจัดตั้ง “ศูนย์บูรณาการการค้าและนวัตกรรมแปรรูปข้าวไทย” เพื่อเป็นศูนย์กลางการค้าข้าว และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันสู่ตลาดโลก โดยเฉพาะรูปแบบการบริหารจัดการและระยะเวลาดำเนินงาน ๑.๒.๑.๑.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาในรายละเอียดของการศึกษาจัดตั้ง “ศูนย์กลางธุรกิจการค้าและนวัตกรรมแปรรูปมันสำปะหลัง จังหวัดกำแพงเพชร” โดยเฉพาะความเหมาะสมและความเป็นไปได้ กลไกและรูปแบบการบริหารจัดการ โครงสร้างราคา มาตรการป้องกันการปลอมปน และการเชื่อมโยงกับสถาบันหรือหน่วยงานที่มีอยู่ในพื้นที่เพื่อให้เกิดความสอดคล้องในกระบวนการผลิต การแปรรูปและการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ๑.๒.๑.๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบหลักร่วมหารือกับกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อพิจารณาแหล่งเงินที่เหมาะสมในการศึกษารายละเอียดของทั้ง ๒ โครงการ ๑.๒.๑.๒ เรื่อง การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) รับไปพิจารณาเร่งรัดดำเนินโครงการก่อสร้างเขื่อนทดน้ำในแม่น้ำน่านและระบบชลประทานตามโครงการชลประทานพิษณุโลก (ตอนจังหวัดพิจิตร) ตามข้อเสนอของภาคเอกชน ๑.๒.๒ ข้อเสนอของ กกร./รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) ๑.๒.๒.๑ เรื่อง การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ๑.๒.๒.๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอโครงการจัดตั้งศูนย์ Inland Container Depot (ICD) หรือ Container Yard (CY) จังหวัดนครสวรรค์ ไปพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับภาคเอกชน โดยให้พิจารณาถึงความเป็นไปได้และศักยภาพของพื้นที่ประกอบด้วย ๑.๒.๒.๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยเร่งเตรียมความพร้อมของโครงการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ โครงการขยายช่องจราจรจาก ๒ ช่องจราจรเป็น ๔ ช่องจราจร ๒ เส้นทาง คือ เส้นทางหมายเลข ๑๑๕ จังหวัดกำแพงเพชร-หมายเลข ๑๑๗ แยกปลวกสูง-จังหวัดพิจิตร และเส้นทางหมายเลข ๑๐๑ จังหวัดกำแพงเพชร-จังหวัดสุโขทัย (คีรีมาศ) (เชื่อมโยงมรดกโลก) สำหรับเส้นทางที่เหลือให้พิจารณาจัดลำดับความสำคัญของเส้นทางตามความจำเป็นและเร่งด่วนเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนปกติต่อไป ๑.๒.๒.๑.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงคมนาคมและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปพิจารณาความเหมาะสมของการก่อสร้างเส้นทางเชื่อมโยงระหว่างอำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร และอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ๑.๒.๓ ข้อเสนอของ กกร./สทท. ๑.๒.๓.๑ เรื่อง การส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการสุขภาพ ๑.๒.๓.๑.๑ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการโครงการและจัดลำดับความสำคัญเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว “วิถีชีวิตและอัตลักษณ์แม่น้ำสะแกกรัง” จังหวัดอุทัยธานี ภายใต้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดอุทัยธานี พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐ และประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการตลาดอย่างต่อเนื่อง ๑.๒.๓.๑.๒ ให้กระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการตามภารกิจของหน่วยงาน โดยคำนึงถึงความเชื่อมโยงกับแผนแม่บทบูรณาการการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร ขององค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และให้หารือกับสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในรายละเอียดของงบประมาณ ๑.๒.๔ รับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามมติการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค (กรอ.ภูมิภาค) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการหารือกับภาคเอกชนในการจัดตั้งกลไกเพื่อติดตามและตรวจสอบความคืบหน้าของประเด็นการพัฒนา เพื่อเร่งรัดการดำเนินงานและจัดลำดับความสำคัญตามศักยภาพของประเด็นการพัฒนาให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศ และนำเสนอผลการดำเนินการต่อที่ประชุม กรอ.ภูมิภาค และคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒.๕ เรื่องอื่น ๆ ที่ กกร. เสนอเพิ่มเติม ๑.๒.๕.๑ การพัฒนาอุตสาหกรรมการขนส่งระบบรางและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นเจ้าภาพหลักและประสานกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันศึกษาความเหมาะสมของแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมการขนส่งระบบรางและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องและความเป็นไปได้ในการจัดตั้งโรงงานผลิตรถไฟ/รถไฟฟ้าในประเทศ การกำหนดเงื่อนไขที่จำเป็นต่อการสนับสนุนให้มีการย้ายฐานการผลิตมาที่ประเทศไทย รวมทั้งการเร่งรัดดำเนินการเสนอแนวทางการพัฒนาบุคลากรด้านระบบขนส่งทางรางให้สอดคล้องและเหมาะสมกับบุคลากรในตำแหน่งต่าง ๆ เพื่อให้มีจำนวนบุคลากรที่สามารถรองรับกับความต้องการตามแผนการพัฒนาระบบรางของประเทศ ๑.๒.๕.๒ ผลการจัด Round Table “โครงการบริหารจัดการน้ำ ๓.๕ แสนล้านบาท” เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ๑.๒.๕.๓ ความคืบหน้าการดำเนินงาน เรื่อง ผลกระทบของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยแรงงานทางทะเล (Maritime Labor Convention 2006 : MLC 2006) กรณีที่ประเทศไทย ไม่มีกฎหมายบังคับใช้ ให้กระทรวงแรงงานเร่งออกประกาศกระทรวงแรงงานว่าด้วยมาตรฐานแรงงานทางทะเลให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ และเร่งรัดร่างพระราชบัญญัติแรงงานทางทะเลให้แล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ เพื่อให้ทันต่อการพิจารณาของรัฐสภาในการประชุมสมัยสามัญครั้งต่อไป และให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและรัฐเจ้าของเมืองท่าให้ทราบและเข้าใจถึงแนวทางการดำเนินการของประเทศตามข้อกำหนดของอนุสัญญาฯ เพื่อให้เจ้าของเรือไทยสามารถขนส่งสินค้า การเข้า-ออกท่าเรือประเทศภาคีอนุสัญญาฯ ได้อย่างสะดวก ๑.๒.๕.๔ โครงการวางท่อส่งน้ำไปในแหล่งพื้นที่ทำการเกษตรในเขตจังหวัดนครสวรรค์ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำผลการศึกษาปี ๒๕๔๕ มาประกอบการพิจารณาศึกษาเพิ่มเติมโครงการวางท่อส่งน้ำไปในแหล่งพื้นที่ทำการเกษตรที่ประสบปัญหาภัยแล้งซ้ำซากในจังหวัดนครสวรรค์ โดยให้ความสำคัญต่อการศึกษาความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจของโครงการด้วย ๒. ให้ปรับถ้อยคำในมติที่ประชุมเกี่ยวกับผลการจัด Round Table “โครงการบริหารจัดการน้ำ ๓.๕ แสนล้านบาท” เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๖ จาก “รับทราบข้อเสนอแนะของภาคเอกชนและมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) รับไปพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป” เป็น “รับทราบและเห็นชอบให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะและมอบให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) รับไปพิจารณาดำเนินการหาแนวทางในการหารือร่วมกันต่อไป”
|
||||||||||||||||||
2096 | การแก้ไขปัญหาราคาผลไม้ตกต่ำ | นร04 | 10/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ในปัจจุบันมีผลไม้ตามฤดูกาลชนิดต่าง ๆ เช่น เงาะและมังคุด เป็นต้น ออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ราคาตกต่ำและเริ่มมีปัญหาเน่าเสีย จึงเห็นควรดำเนินการ ดังนี้
๑. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการอำนวยการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) รับไปประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยเพื่อดำเนินการจัดงานหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) โดยด่วน เพื่อสนับสนุนการจำหน่ายผลไม้ของเกษตรกร รวมทั้งให้นำสินค้าและอาหารที่เป็นที่นิยมและมีชื่อเสียงของแต่ละจังหวัดมาร่วมจัดจำหน่ายด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้ให้มากยิ่งขึ้น เช่น การจัดหาตู้แช่เพื่อถนอมรักษาคุณภาพผลไม้ได้ยาวนานยิ่งขึ้น การส่งเสริมการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากผลไม้ และการให้บริการสั่งซื้อผลไม้ล่วงหน้าและการขนส่งสินค้าทางไปรษณีย์ เพื่อเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายผลไม้ให้ถึงมือผู้บริโภคได้รวดเร็วขึ้น เป็นต้น
|
||||||||||||||||||
2097 | การพิจารณาทบทวนมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2556 | พณ | 04/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการกำหนดมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๕๖ ตามมติคณะกรรมการนโยบายอาหาร เมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประธานกรรมการนโยบายอาหารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ขยายระยะเวลาการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๕๖ ของผู้นำเข้าทั่วไป ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) และโครงการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน (Contract Farming) ภายใต้ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) ออกไปอีก ๑ เดือน จากเดือนมีนาคม-กรกฎาคม ๒๕๕๖ เป็นเดือนมีนาคม-สิงหาคม ๒๕๕๖ อัตราภาษีร้อยละ ๐ กำหนดมาตรการบริหารการนำเข้า โดยให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) นำเข้าได้ตลอดทั้งปี โดยให้จัดทำแผนการจัดซื้อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านการผลิต การตลาด ภาวะราคา และความต้องการใช้ เพื่อไม่ให้กระทบต่อผลผลิตในประเทศ สำหรับผู้นำเข้าทั่วไปนำเข้าได้ช่วงเดือนมีนาคม-สิงหาคม ๒๕๕๖ และต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดมาตรฐานควบคุมการนำเข้าตามพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. ๒๕๒๕ ๑.๒ ให้คงมาตรการบริหารการนำเข้าภายใต้ความตกลงการค้าอื่น ๆ ได้แก่ การนำเข้าตามความตกลงองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ไทย-นิวซีแลนด์ (Thailand-New Zealand Closer Economic Partnership : TNZCEP) ความตกลงการค้าเสรี ไทย-ออสเตรเลีย (Thailand-Australia Free Trade Agreement : TAFTA) ความตกลงการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่น (Japan-Thailand Economic Partnership Agreement : JTEPA) ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ญี่ปุ่น (ASEAN-Japan Comprehensive Economic Partnership : AJCEP) ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-เกาหลี (ASEAN-Korea Free Trade Agreement : AKFTA) และการนำเข้าทั่วไป (ประเทศนอกข้อตกลง) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง นโยบายและมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี ๒๕๕๖) ซึ่งเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายอาหาร เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๕ ๑.๓ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ทั้งทางด้านมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (The Application of Sanitary and Phytosantary Measures : SPS) และเอกสารที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้กรมปศุสัตว์ กรมการค้าต่างประเทศประสานข้อมูลรายชื่อผู้ขออนุญาตนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ระหว่างกัน เพื่อติดตามกำกับดูแล การนำเข้าได้อย่างทั่วถึงและสร้างความมั่นใจแก่อุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบและระมัดระวัง เนื่องจากในเดือนสิงหาคม ผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จะออกสู่ตลาดมาก การดำเนินงานควรเน้นให้มีการประชาสัมพันธ์ให้ครอบคลุมทุกภาคส่วนทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศ โดยเฉพาะราชอาณาจักรกัมพูชา เพื่อให้การดำเนินการไม่เกิดการร้องเรียนในภายหลัง การจัดทำแผนการจัดซื้อและการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของ อคส. ให้พิจารณาดำเนินการอย่างรอบคอบ โดยรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้ครบถ้วนเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาดำเนินการ และให้เข้มงวดกับกระบวนการตรวจสอบคุณภาพการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รวมทั้งการติดตามสถานการณ์ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศอย่างใกล้ชิด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างเคร่งครัดในการบริหารจัดการปริมาณและช่วงเวลาการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เหมาะสม โดยไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณและราคาของสินค้าเกษตรภายในประเทศของไทย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๖ [เรื่อง แผนการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน (Contract Farming) ภายใต้ยุทธศาสตร์อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS) ประจำปี ๒๕๕๖] |
||||||||||||||||||
2098 | ผลการเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาและสาธารณรัฐมัลดีฟส์ | นร04 | 04/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอผลการเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาและสาธารณรัฐมัลดีฟส์อย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๓๑ พฤษภาคม-๓ มิถุนายน ๒๕๕๖ ดังนี้
๑. วันที่ ๓๑ พฤษภาคม-๑ มิถุนายน ๒๕๕๖ ได้เดินทางเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา เพื่อลงนามความตกลงร่วมกันทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านการท่องเที่ยว ด้านการค้าการลงทุน และการเกษตรแปรรูป เป็นต้น และได้นำภาคเอกชนไทยเข้าร่วมหารือกับภาคเอกชนศรีลังกาเกี่ยวกับการค้าการลงทุน โดยสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาต้องการให้ภาคเอกชนไทยเข้าไปลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ การก่อสร้าง การโรงแรม รวมถึงการท่องเที่ยวในเชิงพุทธศาสนา จึงขอให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการโลจิสติกส์ (logistics) ทั้งระบบซึ่งเชื่อมโยงและเป็นประโยชน์ต่อการส่งออก รวมทั้งเป็นช่องทางในการขยายตลาดสินค้าของไทยในสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาและประเทศใกล้เคียงอื่น ๆ เช่น สาธารณรัฐอินเดีย เป็นต้น ๒. วันที่ ๑-๓ มิถุนายน ๒๕๕๖ ได้เดินทางเยือนสาธารณรัฐมัลดีฟส์ เพื่อกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือกับสาธารณรัฐมัลดีฟส์ในด้านการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ด้านเกษตรแปรรูป และพลังงานทางเลือก เป็นต้น ซึ่งเป็นโอกาสของนักธุรกิจไทยที่จะเข้าไปร่วมลงทุนในด้านต่าง ๆ ดังกล่าว รวมทั้งการลงทุนด้านพลังงานชีวมวล โดยเฉพาะการนำขยะมาแปรรูปและผลิตเป็นพลังงาน และในส่วนการท่องเที่ยวของมัลดีฟส์ซึ่งมีภูมิทัศน์เป็นหมู่เกาะที่สวยงาม มีการรักษาความสะอาด และการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ จึงมีกลุ่มนักท่องเที่ยวจากหลากหลายประเทศที่มีกำลังซื้อสูงและพักอยู่ระยะยาวเข้ามาท่องเที่ยว ทำให้ธุรกิจการท่องเที่ยวมีความคุ้มทุนสูง จึงมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) เป็นเจ้าภาพหลักพิจารณาร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจรายชื่อแหล่งท่องเที่ยวทั้งหมดที่มีอยู่ในประเทศไทยและคัดเลือกพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวนำร่อง เช่น แหล่งท่องเที่ยวหมู่เกาะทางทะเลในจังหวัดต่าง ๆ เป็นต้น เพื่อยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการให้บริการให้เทียบเท่าระดับมาตรฐานสากล โดยเน้นการดึงดูดและสร้างแรงจูงใจกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูงให้เข้ามาท่องเที่ยวและพำนักระยะยาว (Long Stay) ซึ่งจะทำให้เกิดการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ให้กำหนดมาตรการในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกต้อง และเหมาะสม โดยอาจจะพิจารณากำหนดเป็นโครงการที่ให้ภาคเอกชนเข้าร่วมด้วยก็ได้
|
||||||||||||||||||
2099 | ยุทธศาสตร์การบูรณาการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) | ทก | 04/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบยุทธศาสตร์การบูรณาการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) มีสาระสำคัญเพื่อใช้เป็นกลไกในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืน โดยมีกรอบแนวทางการดำเนินการ ประกอบด้วย การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานความเร็วสูง ICT ทั้งด้านโครงข่าย (Network Infrastructure) และด้านสารสนเทศ (Information Infrastructure) รวมทั้งการใช้บริการคลาวด์ภาครัฐ (Government Cloud) เพื่อลดความซ้ำซ้อนและภาระการลงทุนในการพัฒนาด้าน ICT ในหน่วยงานของรัฐ และการพัฒนาระบบบริการอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ (e-Government Services) ตามภารกิจของหน่วยงานในลักษณะของระบบบริการที่มีการบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงาน (Integrated e-Services) ให้บริการระบบสารสนเทศแบบรวมศูนย์ ตลอดจนกำหนดกรอบแนวทางการเชื่อมโยงรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติและมาตรฐานด้านความมั่นคงปลอดภัย ทั้งนี้ กรอบแนวทางการดำเนินการดังกล่าวสามารถกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาการบูรณาการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ประกอบด้วย ๑.๑.๑ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นการพัฒนาโครงข่ายสื่อสารข้อมูลภาครัฐโดยการต่อยอดและยกระดับเครือข่ายสื่อสารข้อมูลเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐ (Government Information Network หรือ GIN) ให้เป็นโครงข่ายสื่อสารข้อมูลความเร็วสูงที่เชื่อมโยงภาครัฐสู่ประชาชนทุกภาคส่วน หรือ Super GIN รองรับการบริการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ในหลากหลายรูปแบบ อาทิ การบริการด้านการเกษตร การบริการสาธารณสุขทางไกล การขยายโอกาสทางการศึกษา ตลอดจนการขยายการให้บริการสู่ระดับท้องถิ่นเพื่อการบริการประชาชน และภาคธุรกิจเอกชนที่รวดเร็ว ทั่วถึง และครอบคลุม ๑.๑.๒ การเพิ่มประสิทธิภาพการบริการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยการบูรณาการศูนย์ข้อมูลภาครัฐเข้าด้วยกัน และให้มีระบบสารสนเทศแบบรวมศูนย์ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับจังหวัด พร้อมทั้งการพัฒนาบริการคลาวด์ภาครัฐ เพื่อให้บริการสำหรับหน่วยงานของรัฐ ทั้งในด้านการบริการโครงสร้างพื้นฐาน และแอพลิเคชั่น ซึ่งในระยะแรกให้ดำเนินการบูรณาการบริการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ในกระทรวงหลัก ๔ กระทรวง ประกอบด้วย กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๑.๑.๓ การสนับสนุนการบริการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยการให้หน่วยงานของรัฐทุกหน่วยงานดำเนินการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลในภารกิจของหน่วยงานตามกรอบแนวทางการเชื่อมโยงรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ หรือ TH e-GIF รวมทั้งกำหนดมาตรฐานด้านการรักษาความปลอดภัยในการดำเนินธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ และมาตรฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ๑.๒ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรมียุทธศาสตร์การบูรณาการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นแบบแผนของรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทย โดยเฉพาะ (Thailand e-Government platform) ให้ทุกหน่วยงานได้ปรับใช้และสามารถใช้เป็นแบบแผนเดียวกันทุกระบบ ควรคำนึงถึงการพัฒนาบุคลากรทั้งในส่วนของภาครัฐและประชาชนให้มีความรู้ความสามารถในการใช้งานระบบบริการอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรมียุทธศาสตร์ด้านกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่สนับสนุนการบูรณาการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายที่มีความเกี่ยวข้องกับการใช้งานระบบบริการคลาวด์ภาครัฐ และกำหนดให้มีแนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจนด้านการเติบโตของรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทั้งในด้านการใช้พลังงานและผลกระทบที่มีต่อสภาพภูมิอากาศ หรือ Green ICT eco system ควรเพิ่มระดับความสำคัญของระบบความปลอดภัยให้กับเครือข่าย GIN และการให้บริการคลาวด์ภาครัฐ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ใช้บริการ และควรเร่งจัดทำรายละเอียดองค์ประกอบสำคัญของยุทธศาสตร์ทั้งในด้านกลยุทธ์ เป้าหมายการพัฒนา ตัวชี้วัด การแปลงยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติ การติดตามประเมินผล เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการขับเคลื่อนและผลักดันการดำเนินการให้บรรลุตามยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารให้ความสำคัญในเรื่องการเชื่อมโยงข้อมูล การจัดทำข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล เพื่อยกระดับการบูรณาการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) ไปสู่การให้บริการแบบอัตโนมัติ (e-services) ต่อไป |
||||||||||||||||||
2100 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ระหว่างกัมพูชากับไทย ครั้งที่ 4 | พณ | 04/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ระหว่างกัมพูชากับไทย ครั้งที่ ๔ เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๖ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนในภาคเกษตร ได้แก่ การส่งเสริมความคิดริเริ่มของภาคเอกชน โดยครอบคลุมถึงการจัดตั้งสมาพันธ์โรงสีข้าวและผู้ค้าข้าวแห่งอาเซียน และสมาพันธ์ผู้ค้ามันสำปะหลังแห่งอาเซียน และการจัดตั้งคณะทำงานพิเศษเพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดตั้ง “เขตเศรษฐกิจพิเศษด้านสินค้าเกษตร” “สมาพันธ์ผู้สีข้าวและผู้ค้าข้าวแห่งอาเซียน” และ “สมาพันธ์ผู้ค้ามันสำปะหลังแห่งอาเซียน” ๑.๒ การเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างกัน ได้แก่ การส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างกันมากขึ้นและปรับปรุงการจัดการด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ระหว่างไทยและกัมพูชา ในด้านการแลกเปลี่ยนสิทธิจราจร ความร่วมมือบ้านพี่เมืองน้อง จุดผ่านแดน ตลาดนัดชายแดน และสินค้าผ่านแดน ๑.๓ การส่งเสริมและการอำนวยความสะดวกการค้าและการลงทุน ได้แก่ การผลักดันและอำนวยความสะดวกการแลกเปลี่ยนบุคลากรภาครัฐและภาคเอกชน การจัดงานแสดงสินค้า นิทรรศการ การประชุม กิจกรรมการจับคู่/สร้างเครือข่ายธุรกิจ ให้บ่อยครั้งขึ้นในสถานที่ที่หลากหลายมากขึ้น การแต่งตั้งผู้ประสานงานใน ๓ ระดับ ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์ สถานทูต (ฝ่ายการพาณิชย์) และจังหวัดชายแดนของไทยและกัมพูชา การเพิ่มความโปร่งใสโดยการแลกเปลี่ยนข้อมูลการค้าและการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ การส่งเสริมและอำนวยความสะดวกความร่วมมือของภาคเอกชน รวมถึงความร่วมมือภายใต้สภาธุรกิจไทย-กัมพูชา การสรุปผลการจัดทำและบังคับใช้ความตกลงเพื่อการยกเว้นภาษีซ้อนโดยเร็วที่สุด การส่งเสริมการลงทุนในกัมพูชาในสาขาที่สำคัญลำดับแรกที่ทั้งสองฝ่ายสนใจร่วมกัน การทำให้ง่ายขึ้นและปรับประสานพิธีการศุลกากร โดยการเสริมสร้างศักยภาพบุคลากร การแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวทางปฏิบัติที่ดี และการพิจารณาความเป็นไปได้ในการส่งเสริมจุดพักรถที่จังหวัดโพธิสัตว์ให้เป็นศูนย์แสดงและกระจายสินค้า โดยเฉพาะ OTOP ๑.๔ การให้ความช่วยเหลือด้านวิชาการ ได้แก่ การจัดทำแผนความร่วมมือด้านวิชาการไทย-กัมพูชา ปี ๒๕๕๕/๒๕๕๖ และการให้ความช่วยเหลือด้านวิชาการแก่กัมพูชาต่อไป โดยครอบคลุมการฝึกอบรม สัมมนา การประชุมเชิงปฏิบัติการ ในสาขาที่สำคัญลำดับแรก ได้แก่ นโยบายการแข่งขัน การคุ้มครองผู้บริโภค และการบริหารจัดการตลาด ๑.๕ ความร่วมมือการขนส่งข้ามพรมแดน ได้แก่ การยกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียมอย่างไม่เป็นทางการบนเส้นทางขนส่งระหว่างไทยกับกัมพูชา การพิจารณาความเป็นไปได้ในการนำระบบ E-passport มาใช้ที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ณ จุดผ่านแดนอรัญประเทศ-ปอยเปต และการพิจารณาความเป็นไปได้ในการจังตั้งช่องทางด่วน (Express Lane) สำหรับนักท่องเที่ยวที่ด่านพรมแดน ๑.๖ ขอความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ได้แก่ การจัดกิจกรรมเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้ประโยชน์จาก ACMECS Single ViSa ระหว่างไทยกับกัมพูชา ๑.๗ ความร่วมมือด้านการส่งออกสินค้าเกษตร ได้แก่ การจัดตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อพิจารณาแผนความร่วมมือในการปรับปรุงกระบวนการส่งออกและนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมันสำปะหลังให้ง่ายขึ้น และการจัดตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อศึกษาห่วงโซ่สินค้าเกษตร ๑.๘ ความร่วมมือด้านการลงทุน ได้แก่ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการลงทุน อาทิ การจับคู่ธุรกิจ และการจัดคณะผู้แทนด้านการลงทุนบริเวณพื้นที่ชายแดน อย่างน้อยปีละ ๒ ครั้ง ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เกี่ยวกับการเร่งผลักดันการจัดทำข้อตกลงการเก็บภาษีซ้อนระหว่างกันให้ได้ผลสำเร็จโดยเร็ว รวมทั้งการกำหนดแนวทางและมาตรการในเชิงป้องกันปัญหาในมิติด้านความมั่นคง เช่น การป้องกันการลักลอบเข้าเมือง และการขนส่งสินค้าผิดกฎหมาย เพื่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดทั้งในด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงควบคู่กันไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับไปประสานงานและบริหารจัดการช่วงเวลาและปริมาณการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมันสำปะหลังจากกัมพูชามายังไทยให้เหมาะสมและไม่เกิดผลกระทบต่อปริมาณและราคาผลผลิตในประเทศของไทยด้วย |
.....